Project: Happy birthday Mameaw [28.07.13]
S.Fic The thief of Baramos
KaloXFelin
คำเตือน
: เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักหญิง
(เตือนเพื่อ!?) นั่นแหล่ะ เป็นนอร์มอลค่ะ ฟิคสุดยอดเฉพาะกิจจากหัวขโมยแห่งบารามอส
และเป็นฟิคเรื่องเดียวแห่งปี 2013 อีกด้วย เลยเอามาลงกรุอีกเรื่อง สนใจอ่านได้ค่ะ
ไร้พิษไร้ภัย
The authority of
sword
ตอนที่ 4
ห้องโถงใหญ่
สภาสูงเอดินเบิร์ก
โต๊ะยาวกว่าห้าเมตรวางอยู่กลางห้องกว้างพร้อมผ้าปูสีขาวสะอาดขลิบทองกับเก้าอี้เรียงรายสองฝั่งฟากที่เข้าชุด
รายล้อมรอบงานไปด้วยกระถางดอกไม้จัดตกแต่งอย่างวิจิตร
และแสงไฟสีนวลจากแชนเดอเลียแก้วส่องกระทบกันไปมาเสริมด้วยดนตรีหวานผะแผ่วอย่างที่เจ้าหญิงเรนอนแอบยืนอมยิ้มอยู่อย่างภาคภูมิใจในฝีมือตนกับรุ่นน้อง
นึกขอบคุณคาโลที่อนุญาตให้พวกเธอกับเพื่อนร่วมชั้นทั้งหมดสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงรับอาคันตุกะในครั้งนี้ได้
ยกเว้นก็แต่พวกที่ต้องปฏิบัติงานภายนอก
คิดไปคิดมาก็อยากให้ใครบางคนมาร่วมงาน
คนๆนั้นไม่ค่อยได้พักเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่งานจ้างจากทางบ้าน ก็ต้องเป็นงานที่คาโลมอบหมายมาให้ทำ
ชีวิตนี้จะได้เปิดหูเปิดตากับคนอื่นเขาบ้างไหม
อย่างน้อยๆก็อยากให้มาเห็นงานนี้ที่เธอจัด
“งานสวยมากเลยเรนอน”
เสียงเพื่อนสาวที่ดังอยู่ข้างหลังทำให้เธอหันไปยิ้มกว้างรับ
นี่ก็ถือเป็นโชคดีที่ยังมีเพื่อนผู้หญิงหลุดเข้ามาในงานบ้าง มาทิลด้ายังอยู่เวร แต่สำหรับสี่ผู้คุมกฎแล้วตอนนี้เป็นกะของครี้ด
แองเจลีน่าที่โชคดีว่างงานเลยอยู่ในชุดกระโปรงตัวสวย
ผมสีทองของหล่อนเกล้าตลบเรียบร้อย แต่พอดวงตาสีฟ้าสอดส่องไปทั่วงานเท่านั้น
คิ้วเรียวก็ขมวดมุ่น
“แล้วเจ้าหมอนั่นล่ะหายไปไหน! ที่ห้องก็ไม่เจอ
นี่ถ้ามันชิ่งขึ้นมา ไม่อยากจะคิด...” แม่มดสาวหน้าถอดสี
ขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล “งานสวยๆฤดูใบไม้ผลิของเธอ ได้กลายเป็นฤดูหนาวแน่ๆ”
“คุณเฟรินแต่งตัวอยู่กับพี่ชายค่ะ
คุณโรฝากบอกมาแล้ว” เรนอนหัวเราะคิกแล้วชี้แจง ความจริงเธอก็แอบหวั่นอยู่เหมือนกัน
นี่ถ้าไม่ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรอยู่แถวห้องรับรองเจ้าชายเฟเลียตเธอก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีนอกจากหนีออกจากงานไปแล้ว
จะว่าไปเจ้าชายคนนี้ก็เก่ง ไม่เคยเห็นใครจับเฟรินอยู่มาก่อน ต่อให้เป็นคาโล
บางทีก็เหลือรับ
“พี่ชาย?”
แองจี้ทำหน้าปุเลี่ยน ส่ายหัวไปมา “ไม่เหมือนสักนิด”
“แต่ฉันว่าเหมือน” เสียงค้านดังขึ้นข้างหลังจากโร
เซวาเรส “โดยเฉพาะไม่อยู่กับร่องกับรอย ไปไหนมาไหนไวทายาท”
แองเจลีนากับเรนอนถึงกับขำออกมาน้อยๆกับสีหน้าหนักใจหายากของท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายผู้ปราดเปรื่องแห่งป้อม
นี่ขนาดกำหนดการเขาว่าให้อาคันตุกะเสด็จพร้อมองครักษ์ประจำพระองค์ เจ้าชายคนนั้นยังบังอาจไล่เขาให้ลงมาคนเดียวก่อน
เห็นหน้ายิ้มๆใจดีแบบนั้น แต่ข้างในเอาเรื่อง
คนแบบนั้นยังไม่รู้ขีดจำกัดพลังของตัวเองว่ามากเพียงใด
จึงไม่ประสงค์ที่จะสำแดงฤทธิ์
เลยทำให้คนทั่วไปมองไม่ออก
ว่าแน่จริงหรือแค่ขู่
ตรงนี้แหล่ะ
ที่เหมือนอย่างกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
พลันเสียงดนตรีหวานจากเครื่องสายก็หยุดชะงักลงเมื่อถึงเวลาอันสมควร
กลับกลายเป็นเสียงบรรเลงจากเครื่องเป่าตามธรรมเนียมต้อนรับราชนิกูล
ทันทีที่ประตูห้องโถงเปิดออกก็ปรากฏร่างของแขกคนสำคัญของงาน
ท่านจ้าวปิศาจเอวิเดสในชุดทรงสีดำสนิทกับบุรุษผู้เป็นองครักษ์ที่ตรึงสายตาของทุกคนในห้องจัดเลี้ยง
บุรุษชุดขาวสะอาด ร่างสูงก้าวดำเนินติดตามเจ้าบัลลังก์แห่งเดมอสด้วยความเงียบสงบ
มีเพียงดวงตาสีฟ้ากระจ่างเยือกเย็นคู่นั้นที่ดูอย่างไรก็สูงส่งกว่าที่จะเป็นเพียงแค่คนรักษาความปลอดภัย
“เฟลิโอน่า?”
คำดำรัสแรกถึงธิดาคนโปรดที่ไม่อยู่ในห้องทำให้โกโดมต้องรีบทูล
“แต่งตัวอยู่ที่ห้องเจ้าชายเฟเลียตพระเจ้าค่ะ”
ท่านเจ้าขยับรอยสรวล แล้วหันไปหาผู้ดูแลสูงศักดิ์ของตนก่อนเอ่ยเย้า
“ต้องขออภัยท่านด้วยคาโล
ที่ฉันพาคนมาแย่งหน้าที่” คนโดนแย่งหน้าที่ยังมีสีหน้าเรียบเฉย ค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนจะย้อนกลับอย่างสงบอย่างเคย
“ต้องขอบพระทัยฝ่าบาทมากกว่า
หากมีคนที่จะดูแลธิดาของฝ่าบาทได้ หม่อมฉันก็เบาใจ”
เท่านั้นจ้าวเอวิเดสผู้น่าเกรงขามในความคิดใครหลายคนถึงกับสรวลออกมาเสียงดัง
เสียงสรวลที่คาโลนึกในใจว่าช่างเหมือนลูกสาวท่านไม่มีผิดเพี้ยน
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ต้องหนักใจไปอีกนานแล้วล่ะ
ปรินซ์คาโล”
ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเนิบๆรับคำ
“หม่อมฉันก็พร้อมที่จะหนักใจอยู่แล้ว
เชิญเสด็จ”
บนโต๊ะเสวยที่บัดนี้คลับคล้ายคลับคลาจะเป็นโต๊ะอาหารในโรงอาหารดราก้อนยามเที่ยงหากแต่ไม่ใช่ว่ามีคนนอกป้อมมาร่วม
เว้นไว้เพียงสองที่นั่งแถวแรกติดกับราชาเอวิเดสที่ดูจะยิ้มแย้มอารมณ์ดีเป็นพิเศษยามที่ท่านตักอาหารเรียกน้ำย่อยเข้าปาก
ทำเอาบางคนก็เพิ่งรู้เอาเดี๋ยวนี้เองว่าท่านจ้าวแห่งเดมอสไม่โปรดเสวยเนื้อสัตว์ ชักคิดบ้างแล้วว่าที่เฟรินมันอวดนักอวดหนาว่าพ่อมันเป็นปิศาจใจบุญอาจไม่ใช่แค่คำพูดพล่อยๆ
“ด้วยพระบารมีของฝ่าบาท
ช่วงนี้ทางเดมอสคงร่มเย็น”
คำเปรยเริ่มบทสนทนาดังมาจากท่านเสนาธิการฝ่ายซ้ายทำให้คนร่วมโต๊ะเหลือบตามามองผู้กล้า
ลอบกลืนน้ำลายเอื๊อกเมื่อเห็นดวงตาดำขลับของจ้าวปิศาจมองมาก่อนแย้มรอยสรวล
“ไม่มีบารมีของฉัน เดมอสก็สงบสุข”
“กระหม่อม เพราะประชาชนชาวเดมอสของฝ่าบาทมีการดำเนินชีวิตที่ไม่เบียดเบียน
ช่างเป็นวิถีที่น่าอิจฉา” โร เซวาเรสเสริมยิ้มๆ
“หากแต่ชาวเอเดนติดหนี้บุญคุณบารมีของฝ่าบาทเสียแล้ว หากพระองค์ไม่เมตตา
เอเดนคงเดือดร้อนก็ครานั้น”
คำกล่าวของเด็กหนุ่มอายุห่างจากท่านไม่รู้กี่ชั่วโคตรทำได้แม้แต่สะกิดใจให้คิด
ท่านจ้าวหรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าท่านดำริไปเองหรือเปล่าว่าทุกคำพูดของเจ้าหมอนี่ฟังดูไม่น่าไว้ใจเหมือนจอมปราชญ์แห่งเอเดนไม่มีผิด
บางทีท่านอาจจะโดนหลอกแขวะ ว่าถ้าหากท่านไม่เมตตา
แล้วขึ้นเป็นไฮคิงอาจจะทำให้เอเดนเดือดร้อน
อืม...เป็นไปได้
“แต่นี่ขนาดฉันเมตตา
ดูเหมือนว่าเอเดนกำลังเดือดร้อน”
“ความเดือดร้อนที่เราไม่ได้เป็นผู้ก่อ
ฝ่าพระบาท” เสียงค้านจากขอทานปากกล้าคนเก่าทำให้โต๊ะเสวยร้อนอ้าว
ถ้าไม่มีดวงตาสีฟ้าเย็นๆคอยปรามเจ้าคนไม่ห่วงชีวิตให้มันเพลาๆลงบ้าง
แต่ก็อย่างว่ามันเคยฟังเขาที่ไหน ในเมื่อตัวมันก็เชื่อว่าศักดิ์ศรีตนไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย
“แต่น่าเสียดายที่ความทุกข์ยากครานี้ พวกเราไม่สามารถแก้เองได้
จึงจำต้องขอให้พระปรีชาของฝ่าบาทช่วย”
นัยน์ตาของท่านจ้าวเอวิเดสวาววับในขณะที่ราชองครักษ์ตัวจริงอย่างโกโดมถึงกับสำลักอาหารเลิศรส
หากแต่ไม่มีคำดำรัสใดๆหลุดออกจากโอษฐ์นอกเสียจากเหลือบตาทอดพระเนตรเจ้าชายคนเก่งที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
พอเห็นรอยกังวลใจบนใบหน้าของว่าที่พระราชบุตรเขยแล้วยิ่งทำให้ท่านจ้าวปิศาจพอจะเดาเค้าออกรางๆว่าคนที่ไม่เคยกลัวอะไรอย่างเจ้าชายคาโล
กำลังกลัวอะไร
“เรื่องของพวกเธอน่าสนใจ
หากแต่ฉันเกรงว่าการประชุมพรุ่งนี้ คงไม่มีลูกสาวฉันเข้าร่วมการประชุม”
ประโยคบอกเล่าที่บ่งถึงถามความเห็นจากเจ้าชายหัวหน้าป้อมกลายๆ
คำถามที่เรียกดวงหน้านิ่งเย็นชาให้เงยขึ้นมาสบ ก่อนจะตอบอย่างตรงไปตรงมาไม่ปิดบัง
“การประชุมในครั้งนี้มีเพียงฝ่าบาท
หม่อมฉัน เจ้าชายเฟเลียต เกรเดเวลและเสนาธิการซ้ายขวา
ส่วนพระธิดาเฟลิโอน่าของฝ่าบาทคงต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่คอกสัตว์”
“ท่านไม่อยากให้เธอรู้เรื่องขนาดนั้น”
ใบหน้าคมรูปสลักชะงักไปเล็กน้อยกับคำถามของจ้าวปิศาจ
เรียกรอยยิ้มมุมปากจากท่านเสนาธิการมากเล่ห์จนปิดไม่มิดจนต้องแสร้งยกผ้าเช็ดปากขึ้นมาบัง
แต่เจ้าชายมาดมากก็ยังยั่วยากไม่เปลี่ยนจนท่านจ้าวต้องถอนหายใจ
“คาโล
ท่านรู้ไหมว่าคำว่าเป็นห่วงกับไม่ไว้ใจมันห่างกันเพียงเส้นบางๆกั้น”
เท่านั้นดวงหน้าขาวๆของคนฟังก็ขึ้นสี
หันไปสบกับดวงตาของผู้ที่เจนโลกกว่าหลายเท่าตัวแล้วพูดไม่ออก
“แต่จะโทษท่านคนเดียวก็คงไม่สมควร
เพราะลูกสาวฉันก็เป็นแบบนั้น” ราชาเอวิเดสกลั้วหัวเราะ
“เฟลิโอน่าเองก็ยังแยกไม่ออกว่าสิ่งที่เธอทำมันทำให้ท่านรู้สึกอย่างไร
แต่ก็เบาใจเถอะ คาโล เพราะมันเป็นเหตุผลเดียวกันที่ท่านไม่ยอมบอกเธอนั่นแหล่ะ”
เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ ดวงตาสีฟ้ากระจ่างอ่อนลง
ผ่อนลมหายใจเล็กน้อยแบ่งรับแบ่งสู้ “ก็ถ้าหากฝ่าบาทอยากทราบ”
“สรุปตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร”
น้ำเสียงเคร่งขรึมสมกับเป็นกษัตริย์มีให้ฟังเป็นครั้งแรกจากจ้าวบัลลังก์เดมอสเรียกดวงตาของพระสหายของธิดาตนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
จนกระทั่งเป็นคนที่รู้ดีที่สุดเป็นฝ่ายทูล
“ขยายวงกว้าง”
น้ำเสียงเครียดจากเจ้าชายแห่งคาโนวาล “เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหม่อมฉันได้รับแจ้งจากโร
เซวาเรสว่ามีการทะเลาะวิวาทของนักเรียนป้อมอัศวินชั้นปีสี่
หนึ่งในนั้นเป็นผู้ครอบครองดาบจากเดมอส และได้ทำร้ายคู่กรณีจนเจ็บสาหัส
หลังจากนั้นก็มีข่าวทำนองนี้มาอีกวันละรายถึงสองราย”
สิ้นคำเล่าเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นทันทีสมเป็นชาวป้อมอัศวิน
นัยน์ตาของแต่ละคนมีแววตื่นเต้น
ในขณะที่โรกับซีบิลไม่มีแววตกใจเพราะเป็นผู้ทราบเรื่องอยู่ก่อนแล้ว
“ท่านจะบอกว่าอาวุธจากเดมอสมีส่วนเกี่ยวข้อง?”
พระเนตรของบุรุษผู้สูงส่งหรี่ลงครุ่นคิด “เหมือนคราวมงกุฎแห่งใจ
อาถรรพ์ได้ครอบงำมนุษย์จนสูญเสียตัวตน”
“กระหม่อม” เสียงรับสุภาพจากซีบิล
สเวน
“นอกจากนี้ยังมีสาเหตุร่วมที่ทำให้พวกเราคิดแบบนั้นนั่นคือการสอบปากคำของผู้ครองอาวุธทุกราย
พวกเขาบอกว่ามันเริ่มจากความฝัน”
“ฝัน?”
ท่านจ้าวทวน หันไปสบตากับโกโดมที่ทำตาโตก่อนอยู่แล้ว
“ฝันเพราะฤทธิ์เวทย์” โรเสริม
“ความฝันที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นอายแห่งมนต์ดำแทรกแซงจิตใจได้”
เพียงเท่านั้นแองเจลีน่าถึงกับไหวตัวเมื่อนึกถึงอาการของเฟริน
หัวใจเต้นกระหน่ำจนอยู่ไม่สุขแล้วเผลอสบตาเข้ากับคาโลทันที ดวงหน้าของท่านหัวหน้าป้อมเคร่งขรึมลงทันทีเมื่อรับรู้ว่าแม่มดสาวจากวิทช์ต้องการสื่ออะไร
ทุกอย่างเข้าลงตามล็อคที่เธอตัดสินใจเล่าให้คาโลฟังหลังจากการประลองดาบระหว่างเฟรินกับลาเวน
“อำนาจจิตแห่งศาตราวุธ”
เสียงพึมพำเบาๆจากท่านจ้าวเรียกรอยมุ่นที่หัวคิ้วคาโลแต่ไม่ทันที่ท่านจะตรัสอะไรต่อ
ก็เหลือบไปเห็นสัญญาณจากนายประตู ใบหน้าเป็นงานเป็นการของท่านเหมือนพับเก็บได้
รอยแย้มสรวลกว้างเข้ามาแทนที่
“เอาเป็นว่าเรียกน้ำจิ้มแค่นี้ก็แล้วกัน
เรื่องเครียดๆจะทำให้อาหารไม่อร่อย รู้ไหม...”
“เจ้าหญิงเฟลิโอน่าและเจ้าชายเฟลียตแห่งเดมอส
เสด็จ!!”
เสียงประกาศจากนักเรียนป้อมอัศวินที่ทำหน้าที่พร้อมกับประตูที่เปิดออก
ชายหญิงคู่หนึ่งที่ทั้งงานรอคอยก็ปรากฏ
ฝ่ายชายอยู่ในชุดสูทเรียบกริบสีขาวบริสุทธิ์ตัดกับเส้นผมสีแดงยาวที่รวบไว้อย่างเรียบร้อยท้ายทอย
เส้นผมบางส่วนปรกลงที่ข้างกรอบหน้าคมชวนมองด้วยทุกอิริยาบถท่วงท่าคือเจ้าฟ้าชายผู้สูงศักดิ์
นัยน์ตาสีแดงอ่อนโยนนุ่มนวลทอดมองแขกเหรื่อทุกคนในห้องด้วยแววตาขอโทษที่ลงมาช้า
และที่ช้าเห็นทีจะเป็นสาเหตุใดไปไม่ได้ นอกจากหญิงสาวข้างตัว
หญิงสาวที่ทุกคนตั้งคำถามในใจของตนเองว่า
นั่นใช่เฟรินแน่เหรอ
หญิงสาวร่างบอบบางผิวขาวกระจ่างสวยสง่ากว่าที่เคยเห็นในชุดราตรีสีน้ำเงินไพลินทิ้งตัวยาวตามแบบฉบับของเจ้าหญิงผู้งดงามไม่มีผิดเพี้ยน
ใบหน้าหวานล้ำติดกระดากอายคอยก้มหน้างุดไม่สบตากับผู้ใดแต่ก็ไม่ทำให้สาวเจ้าลดความสง่าน่ารักลง
เส้นผมสีน้ำตาลไหม้ม้วนเก็บเป็นมวยสูงประดับด้วยหวีเพชรเลื่อมพราย
แล้วเครื่องประดับอีกชิ้นที่ส่องประกายไม่แพ้กันคือไข่มุกแสงจันทร์ที่ทอแสงนวลละออบนลำคอระหง
มือเล็กๆของเจ้าหล่อนวางอยู่บนท่อนแขนของผู้เป็นพี่ชาย
ทุกก้าวย่างของกุมารและกุมารีแห่งเดมอสพร้อมรอยยิ้มตราตรึงในหัวใจของผู้มองตั้งแต่วินาทีนั้น
ดั่งก้าวข้ามโลกมนุษย์
มาเยือนชั้นฟ้าแดนสวรรค์ แล้วเห็นเทพบุตรกับเทพธิดากลางแสงไฟนวล
นับว่าเจ้าชายแห่งเดมอสผู้นี้เก่งเอาการที่สามารถจับหัวขโมยพลิกเป็นนางฟ้าไปได้
เฟรินชักประดักประเดิดเมื่อสายตาของคนนับสิบจ้องมองมาที่เธอกับพี่ชายเป็นสายตาเดียวกัน
อยากตะโกนออกไปนักว่าจะมองกันทำซากอะไรรู้ไหมจ้องกันเยอะๆมันเป็นของแสลงสำหรับขโมยนัก
แล้วยิ่งรู้สึกอยากร้องไห้เข้าไปใหญ่เมื่อเจ้าชายเจ้าของไข่มุกบนคอเธอเกิดนึกอุตริเป็นสุภาพบุรุษยังไงก็ไม่รู้
ร่างสูงลุกขึ้นจากที่นั่ง ค้อมหัวให้ท่านพ่อของเธอเล็กน้อยเป็นเชิงขออนุญาติ
ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“หมดหน้าที่ของพี่แล้วสิ เฟลิโอน่า”
เสียงกระเซ้าจากพี่ชายยิ่งทำให้เธออยากท่องคาถาแหวกธรณีแล้วแทรกแผ่นดินหนี
เฟเลียตแกะมือของเธอที่วางอยู่บนแขนก่อนจะนำมันไปวางบนมือของบุรุษอีกคนที่ตั้งท่ารอรับอยู่แล้ว
เฮ้ย! ไอ้ฉากหวานเลี่ยนแบบนี้มันเกิดขึ้นบ่อยๆในโบสถ์ใช่ไหม
ใช่ไหมนะ
แล้วไยไอ้พี่ชายตัวดีมันถึงทำเรื่องน่าอายได้ถึงขนาดนี้!!!
“เจ้าชายคาโล
โปรดให้เกียรติน้องสาวเราโดยการเต้นรำกับเธอสักเพลง”
หนักเข้าไปใหญ่!!
เฟรินอ้าปากค้างให้กับเจ้าชายผู้อ่อนโยนแห่งแดนโลกันตร์ที่ขยันทำความผิดติดตัวไปอีกหนึ่งกระทง
ส่วนไอ้เจ้าชายคนไม่ชอบให้ใครมาสั่งโน่นสั่งนี่ยังยินยอมรับแต่โดยดีแล้วพาเธอไปกลางฟลอร์โน่น
เสียงดนตรีชั้นเยี่ยมจากนักดนตรีชั้นยอด
แถมคู่เต้นรำยังเป็นเจ้าชายรูปงามแห่งตำหนักเหมันต์ที่ใครๆเฝ้าฝันไม่ทำให้เฟรินสงบใจได้
ดวงหน้าแดงๆของสาวน้อยในอ้อมแขนนานๆทีจะมีให้เห็นอยู่ในสายตาเอ็นดูอาทรของเจ้าชายแห่งคาโนวาลตลอดเวลา
เสียแต่เสียงบ่นหงุงหงิงไม่หยุดนี่สิ ไม่รู้จะทำยังไงให้เลิกบ่นสักที
“ไม่เอาแล้ว ทั้งชุดนี่ รองเท้านี่
แกจะได้เห็นฉันใส่เป็นครั้งสุดท้ายแน่”
“ไม่มีทาง นายต้องได้ใส่อีกแน่นอน”
เสียงค้านทันทีจากคาโล “หัดใส่บ่อยๆก็ดีแล้ว”
“แล้วฉันจะใส่บ่อยๆไปเพื่อใคร”
คนชอบยั่วยังอุตส่าห์พล่ามไปโน่นพร้อมรอยยิ้มกริ่ม ผลทันตาเห็น คนโดนยั่วถึงกับนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
ก่อนจะตอบ
คำตอบที่เฟรินนึกสาปแช่งว่าชาตินี้ควรให้ไอ้กำแพงน้ำแข็งหนาๆนั่นทับเจ้าของมันตายไปซะ
“การดูแลบุคลิกภาพของตัวเอง
ก็ต้องทำเพื่อตัวเองอยู่แล้ว”
อ้อ เหรอ!
ความโกรธแล่นเป็นริ้วๆบนใบหน้าของเจ้าหญิงแห่งเดมอสผสมผสานกับความอายแต่เก่าไม่รู้ว่าตอนนี้มันกลายเป็นสีแดงหรือดำ
นึกอยากฆ่าคู่เต้นรำหน้าหล่อนี่เต็มแก่
และคนที่สองที่ควรจะฆ่าให้ตายไปตามๆกันก็คือไอ้หนุ่มเฟริน
เดอเบอโรว์ที่ยอมให้เขาถอดแหวนง่ายๆกลายเป็นยัยเจ้าหญิงเฟลิโอน่าคนงาม
นั่งเป็นชั่วโมงๆให้พี่สาวนางกำนัลจับทึ้งหัว ขัดสีฉวีวรรณจนหนังแทบหลุด
ถ้าเธอรู้ว่ามันยังอ่อนหัดไม่ได้เรื่องอย่างนี้ ใส่แหวนสวมสูทลงมาดีกว่ามั้ย
ไอ้บ้าตายซากนี่!
เหมือนคนโดนด่าทางสายตาจะรับรู้ได้
รอยยิ้มมุมปากกับสายตาแพรวพราวหายากของคนได้ชื่อว่าเจ้าชายน้ำแข็งทอดมองสตรีในอ้อมแขนก่อนจะกระชับวงกอดให้แน่นขึ้น
กระชับอุ้งมือให้กุมมือน้อยๆนั้นจนแน่นแล้วกระซิบเสียงแผ่วอย่างไม่คิดว่าคนอย่างมันจะยอมพูด
“เพื่อฉัน....ก็ได้” ดวงหน้าของคนฟังร้อนวูบ
ลมหายใจอุ่นๆที่คลอเคลียอยู่แถวแก้มส่งผลไปถึงหัวใจให้เต้นกระหน่ำ
แต่คนปากเก่งยังกลบรอยเขินด้วยการยิ้มกว้าง
ตีสีหน้าพึงพอใจเหมือนครูเห็นลูกศิษย์อยู่ในโอวาท
“ดีมาก! เพราะงั้นต่อไปนี้ฉันยอมไอ้เรื่องบุคลิกกับนายก็ได้”
เจ้าตัวดียิ้มแป้น
การคืนชีพที่เร็วเกินทำให้คาโลนึกตงิดใจว่าคนตรงหน้าจะมาไม้ไหนอีก “แต่แลกกัน
จากนี้ไปนายจะทำอะไรนายต้องบอกฉัน ห้ามไปสนุกคนเดียว เข้าใจ?”
“ไม่เห็นจะเกี่ยว”
หัวหน้าป้อมอัศวินค้าน ถอนหายใจพรืด
“เกี่ยวเห็นๆ ไม่เกี่ยวกับนาย
แต่ก็ต้องเกี่ยวกับฉัน” เฟรินแย้งขวับ
“มัวแต่เงียบแบบนี้ใครเขาจะไปตรัสรู้กับแกได้ เอาเป็นว่าฉันรู้ว่าแกกำลังคิดอะไร
ตั้งใจจะทำอะไร รู้แม้กระทั่งหนทางออกของปัญหาที่เราเผชิญ
ไอ้จิตวิญญาณอาวุธนั่นมันมีกึ๋นซะเมื่อไหร่”
“มีกึ๋นหรือไม่มี
ทุกวันนี้ก็เกือบมีคนฆ่ากันตายเพราะมัน แล้วฉันไม่คิดว่านายจะรู้ทางแก้ปัญหา”
“อ๋อ แต่นายรู้งั้นสิ”
เสียงถามกลับทำให้เจ้าชายแห่งคาโนวาลนิ่งไปเมื่อรู้แล้วว่าคิดกับดักแม่คนมากเล่ห์
สีหน้าของเด็กสาวเครียดจัด ยิ่งเห็นท่าทีนิ่งๆของอีกฝ่ายแล้วมันชวนระเบิดลง
“คาโล อย่ามาเสือกเงียบแบบนี้
นายรู้อะไร แล้วคิดจะทำอะไรก็คายออกมาให้หมด!”
“แล้วนายคิดจะทำอะไร เป็นอะไร
นายบอกฉันหรือยัง เฟริน” คำย้อนเย็นชากลับมาสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจของคนฟัง
ร่างกายทั้งคู่ที่ขยับไปตามท่วงทำนองของเพลงหยุดชะงัก คาโลคลายอ้อมแขนลงแล้วถอยห่างออกจากคู่เธอ
สายตาบอกชัดว่าเครียดไม่แพ้กัน
เฟรินเม้มริมฝีปากแน่น
พยักหน้าช้าๆ แววตาเจ็บปวดฉายแวบเพียงเพราะคิดไปว่ามันอาจจะนึกว่าเธอไม่น่าไว้วางใจ
แล้วเธอเองก็ไม่ไว้วางใจมัน มันเจ็บแปลบๆคล้ายแผลเก่าถูกซ้ำรอยเดิมเมื่อตอนศึกเอเดน-เดมอสพุ่งขึ้นมาทำร้ายหัวใจอย่างสาหัสจนเธอคิดว่าทำไมมันถึงงี่เง่าได้ขนาดนี้
แค่เล่าให้คนตรงหน้าฟังไปว่าเธอไปเจออะไรมา จะบอกลาตัวตนในขณะนี้เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงพูดไม่ออก
เหมือนเธอกลัวจะสูญเสียอะไรบางสิ่งบางอย่างไปหากมันผิดพลาด
เช่นเดียวกับมัน
แค่บอกเธอมาว่าคิดจะทำอะไรกับเรื่องนี้ต่อไป
มันคงจะได้ช่วยคนแก้ไขปัญหาไปได้แล้วแท้ๆ แต่นี่ยังกลัวดอกพิกุลร่วงจากปากอยู่ได้
หรือเพราะมันเกิดขึ้นกับใจตน
จึงจำเป็นต้องเป็นใจตนที่รับผิดชอบ นึกโทษพ่อมาดัสนัก
ที่สอนให้เธอต้องเดียวดายแต่เด็ก
พอเป็นเรื่องส่วนตัวเลยขอความช่วยเหลือจากคนอื่นไม่ค่อยเป็น
เชื่อว่าเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่ถูกเลี้ยงมาโดยเปี่ยมไปด้วยความรับผิดชอบนั่นก็เหมือนกัน
“ฮึ” เฟรินแค่นยิ้มอย่างเย็นชา
ปรายตามองบุรุษตรงหน้าแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“เรื่องนี้เป็นชีวิตของฉัน
ฉันต้องจัดการด้วยตัวเอง อย่างที่บอกแหล่ะคาโล ว่ามันไม่เกี่ยวกับนาย”
ทั่กๆๆๆ
เสียงวิ่งลงส้นเท้าอย่างหนักไม่สมกับชุดสวยๆดังไปทั่วทั้งชั้นหอพักปีห้า
แสงจันทร์ยามค่ำคืนและกลิ่นดอกไม้หอมตลบไม่ทำให้เด็กสาวสงบใจได้แม้แต่น้อย
ดวงตาสีน้ำตาลโชนแสงโรจน์เป็นประกายแน่วแน่เมื่อหยุดอยู่หน้าห้องพักของเจ้าชายคาโล
วาเนบลี แล้วลงมืองัดห้องด้วยลวดเส้นเล็กๆอย่างชำนาญสมฉายาเก่า
ดวงตาสอดส่องหาของบางอย่างท่ามกลางความมืด
ก่อนจะสะดุดไปที่ห่อผ้าอะไรบางอย่างมีรูปร่างลักษณะยาววางพิงอยู่กับผนังห้อง
แล้วเพียงชั่วพริบตาทั้งของสิ่งนั้นและตัวเธอก็หายวับไปจากห้อง
เหลือทิ้งไว้เพียงสายลมพัดวนเวียนอยู่แถวพื้นห้อง
ให้มันจารึกกันไปเลยว่าในประวัติศาสตร์ว่าทายาทหัวขโมยชั้นเซียนอย่างเฟริน
เดอเบอโรว์ กล้าขโมยได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งคทาพิพากษา อาวุธประจำกายของหัวหน้าป้อมอัศวินผู้เก่งกาจ
เฟรินงับประตูห้องพักของเธอลงเบาๆ
ในห้องสี่เหลี่ยมกว้างพิเศษของผู้หญิงชั้นปีห้ามีเพียงเธอกับคทาทรงฤทธิ์เท่านั้น
เด็กสาวพรูลมหายใจ
มือกำแน่นที่ด้ามแล้วเริ่มพึมพำบริกรรมคาถาที่คาโลเคยสอนเอาไว้ยามฉุกเฉิน
จากนั้นเคาะลงกับพื้นเบาๆสองสามที
กลุ่มหมอกควันปรากฏแล้วเริ่มเห็นชัดเป็นรูปร่างของชายสูงอายุที่ดูคุ้นเคยกันดียามป่วยไข้
“เจ้า...”
เจ้าของร่างโปร่งใสอ้าปากค้าง หน้าที่ว่าซีดแล้ว
ไม่รู้ทำยังไงให้ซีดเข้าไปได้อีกเมื่อเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นเจ้านายตน
“ฉันมีอะไรอยากให้ลุงช่วย”
เฟรินเข้าเรื่อง ดวงตาจริงจังอ่านยากทำให้ลุงหมอถึงกับกลืนน้ำลายเอื๊อก
“แล้วนายท่านรู้เรื่องไหม”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมัน”
เจ้าหญิงแห่งเดมอสสวนขวับ “มีเพียงฉันคนเดียวที่จะจัดการกับมันได้
ที่ฉันอยากให้ลุงช่วยก็ไม่ยาก แล้วก็ไม่ต้องบอกคาโลมันด้วย”
“เรื่องอะไร”
“ฉันอยากหลับ” คำสั่งเอาจริงทำเอาหมอเทวดาเบิกตากว้างจนถลน
ลมจะจับเข้าไปอีกเมื่อฟังประโยคต่อมา “ทำให้ฉันหลับเหมือนคราวแหวนแห่งปราชญ์
ถ้าฉันยังไม่เสร็จธุระ ลุงก็ห้ามปลุก”
ดวงตาสองคู่สบกันไปมาท่ามกลางความมืด
คนหนึ่งมีแววจริงจังเหมือนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ส่วนอีกคนหนึ่งฉายแววกังวลเป็นห่วง
ทั้งคู่จ้องกันอย่างเนิ่นนาน ในที่สุดก็เป็นฝ่ายผู้ถูกขอร้องถอนหายใจ
เธอคนนี้ก็ยังไม่รู้อีกตามเคยว่าการกระทำแบบนี้ต้องแลกมาด้วยอะไร
ต้องแลกมาด้วยความเป็นห่วงของใคร ไม่เคยคิดเลยว่าถ้าหากพลาดขึ้นมา
ใครจะเป็นฝ่ายเสียใจ
แต่เหมือนเด็กสาวจะเดาความคิดของลุงหมอได้
เจ้าตัวยิ้มกว้างแล้วแจงเสียงใส คำพูดสุดท้ายที่เธอจะฝากไว้กับผีตนหนึ่งก่อนที่โลกของเธอจะมืดมิด
มืดไปนานเท่าไหร่ เธอก็ไม่อาจรู้
“ไม่ต้องห่วงน่าลุง
ฉันสัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทำให้นายท่านของลุงเสียใจน่ะ”
ผ่าปฐพี...ได้ยินไหมว่าใครเป็นคนเรียกเจ้า
ผ่าปฐพี...รู้ไหมว่าใครที่เป็นผู้ได้ยินเสียงเจ้า
ผ่าปฐพี...คนที่มอบจิตวิญญาณแล้วปลุกเจ้าให้ตื่นจากการหลับใหลเป็นเวลานานคือใคร
จำได้ไหม...
“ผ่าปฐพี”
เด็กสาวเอ่ยเรียกดาบคู่กายท่ามกลางความมืดอีกครั้ง พลันร่างของสตรีอีกคนก็ปรากฏ
ยังคงความเหมือนเธอไม่มีผิดเพี้ยน ที่เห็นแปลกไปก็คือแววตา
เธอจำได้ว่าคราวนั้นมันยังสดใสเหมือนเธอไม่มีผิด
แต่คราวนี้ไร้ความวาวดูราวหุ่นยนต์
หรือจะเป็นตัวเธอเองที่ทำให้จิตวิญญาณแห่งดาบมัวหมองเช่นนี้
“คราวนี้มาหาฉันเอง
มีเรื่องอะไรเหรอ หรือตัดสินใจได้แล้วว่าจะเอาอะไรมาแลกกับอำนาจฉัน”
“มีแน่นอน ไม่รู้เรียกว่าเอามาแลกได้หรือเปล่า
แต่มันเป็นสิ่งที่ฉันอยากจะบอกแก” น้ำเสียงแจ่มใสบอกด้วยความมั่นใจทำให้คนฟังขมวดคิ้ว
ดวงตาหรี่ลงเหมือนระแวง
เป็นอากัปกริยาน่แปลกใจที่ไม่คิดว่าจะมีให้เห็นสำหรับไอ้คนที่ควรจะกินวิญญาณเธอไปแล้ว
“คิดดีๆ บางทีเธออาจจะคิดผิด”
“อะไรวะ
ขนาดตัวแกเองก็ยังไม่ไว้ใจฉันเนี่ยนะ” เด็กสาวยิ้มร่า “ไม่ต้องห่วง
สิ่งที่ฉันเอามาแลกมันคุ้มค่ากับอำนาจของแกแน่นอน อำนาจที่เป็น นิรันดร์ของแกไงล่ะ
ผ่าปฐพี”
“ไม่มีอำนาจใดที่เป็นนิรันดร์” อีกฝ่ายค้านยิ้มๆ
เฟรินพยักหน้าเข้าใจ
“ใช่ ไม่มีอำนาจใดที่เป็นนิรันดร์
แต่พอฉันมาคิดๆดูแล้ว แกมันก็เป็นคนฉลาดคนนึง ไอ้อำนาจกิ๊กก๊อกใช้แล้วหมดแบบนั้น
แกไม่มีทางมาเสนอขายให้ฉัน ฉันก็เลยลงความเห็นว่าแกต้องการจะบอกอะไร
สิ่งใดที่แกอยากให้ แล้วสิ่งใดที่ฉันต้องแลก”
“แล้วอะไรที่นายจะเอามาแลก”
“ใจเย็น” เด็กสาวเบรกด้วยรอยยิ้ม
มองคนที่บัดนี้ไม่มีร่องรอยของความล้อเล่นอยู่
สีหน้าเอาจริงบนใบหน้าเหมือนตนอย่างนั้นยิ่งทำให้เฟรินรู้ว่ามันเองก็กำลังคิดหนัก “ฉันอยากจะถามอะไรแกก่อน”
“ถามอะไร”
“ตอนนั้น ตอนที่ฉันสู้กับลาเวน
ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นแกมากกว่า ความจริงแกฆ่าลาเวนได้สบายๆอยู่แล้ว
แต่แกก็ปล่อยโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย แล้วไม่ต้องมาเสือกอ้างว่าเพราะพวกคาโลมาห้ามเอาไว้นะ
เพราะบ้าดีเดือดอย่างแกไม่เคยแพ้ให้กับเจ้าชายแห่งคาโนวาลแน่ ฉันรู้ดี”
“ถ้าจะถามตรงๆก็ถามมาเถอะว่าทำไมตัวเองยังคุมสติอยู่ได้ใช่ไหม
เฟลิโอน่า?” คำสรุปจากอีกฝ่ายทำให้เด็กสาวแย้มรอยยิ้ม ไอ้ดาบบ้านี่ฉลาดเป็นกรด
ถ้ามันไม่ทำตัวน่าหมั่นไส้เธอจะเอามันมาเป็นน้องสาวฝาแฝดให้ท่านพ่อจริงๆด้วยเอ้อ
“ก็แล้วเธอคิดว่ายังไง
จะบอกว่าฉันเกิดนึกปรานีเธอขึ้นมางั้นสิ”
“ก็คงใช่มั้ง ฉันบอกแล้วว่ายังไงแกกับฉันมันก็เพื่อนกัน
แกกินวิญญาณเพื่อนได้หรือไง ฮึ!”
สิ้นคำสันนิษฐานสุดฉลาดของเจ้านายตัวเอง
ผ่าปฐพีมีแววอึ้งไปนิดก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนดังก้องผนังมืดๆ
เสียงหัวเราะที่เธอคิดอยากจะกุมขมับเหมือนคาโล
เพิ่งจะรับรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเอายัยเจ้าหญิงเฟลิโอน่ามาคู่กับเสียงขำดังคับฟ้าแบบนี้มันน่ามองซะที่ไหน
ทำเข้าไปได้
“หยุดได้แล้วน่า ไอ้บ้า!”
“ก็เธอมันจี้นี่
คิดมาได้ยังไงน่ะว่าฉันกับเธอเราเป็นเพื่อนกัน”
“อ้าว ก็หรือไม่จริง” เฟรินแยกเขี้ยว
สบถพรืด ชักจะทนไม่ไหวไม่ไปวางมวยกับมันสักรอบ
“ฟังให้ดี ธิดาแห่งความมืด”
เสียงของผ่าปฐพียามนี้ดังก้องกังวาน ดวงตาคู่คุ้นเคยจับจ้องมาที่เธอจนรู้สึกได้ว่าขนเริ่มลุกซู่
หัวใจเริ่มเต้นกระหน่ำเมื่อฟังประโยค “อาวุธกับผู้ใช้ไม่อาจเรียกได้ว่าเพื่อนกัน
เพราะเธอไม่เคยผลักไสเพื่อนรักคนไหนให้ไปฟาดฟันผู้อื่น ไม่เคยดึงเพื่อนรู้ใจที่ไหนให้มารับคมดาบของศัตรูแทนตัว
ยามเธอขาวสะอาด ตัวฉันสิหนาวเหน็บและชโลมไปด้วยเลือด”
ผ่าปฐพียิ้มจาง
ค่อยเดินใกล้เธอเข้ามาแล้วเอ่ยเสียงเย็น “ไม่คิดบ้างเหรอ
ว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผลกับคำว่าเพื่อนเท่าไหร่”
หัวใจดวงน้อยของเด็กสาวกระตุกวูบ
น้ำเสียงแบบนั้นแม้ใครบางคนจะฝึกเธอจนคุ้นชินแต่ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงจับแข็งไปทั้งหัวใจจนอ่อนล้า
แววตาสั่นระริกทอดมองร่างเบื้องหน้า
เอ่ยพึมพำเบาๆอย่างสั่นเครือราวกับว่ามันกลั่นกรองออกมาจากใจ
“แต่นายก็ไม่เคยทิ้งฉันไปไหน
นายเหนื่อยแต่นายก็ยืดหยัดอยู่ข้างฉันเสมอ เพราะฉะนั้นฉันถึงคิดว่านายคือเพื่อน”
ผ่าปฐพีนิ่งเงียบ มองภาพเด็กสาวที่อยู่ด้วยมาตลอดสี่ปี
ไม่อาจปฏิเสธที่อีกฝ่ายพูดมานั้นจริงทุกประการ
เสียงพร่ำเรียกในหูคอยบอกว่าอาวุธอย่างเขานั้นไม่มีหัวใจ
ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่มันรู้สึกหวั่นไหวอยู่ภายในยามนี้นี่มันคืออะไร
อาวุธสร้างอำนาจ อำนาจสร้างคน
แต่ไม่เห็นมีใครเคยบอกมาก่อน ว่าคนสร้าง ‘หัวใจ’ ให้อาวุธได้หรือไม่
“เพราะนายเองก็หลงรักมนุษย์
แบบเดียวกับที่ฉันเป็น” ดวงตาของอาวุธที่ทรงฤทธานุภาพเบิกกว้าง
มองเด็กสาวผู้เป็นนายตนที่บัดนี้ในมือขวาถือดาบและมีเช่นกันในมือของเขา
“นี่คือสิ่งที่ฉันตัดสินใจ ตัวฉันจะเป็นแบบไหน
มนุษย์ธรรมดา หรือธิดาแห่งความมืด ฉันจะเป็นผู้เลือกเอง
ไม่ใช่หน้าที่ของแกที่จะมาเลือกให้ฉัน”
วงดาบงามตวัดวูบแล้วชี้ไปที่หน้าของอีกฝ่าย
เด็กสาวขยับยิ้มแล้วประกาศศึก
“ฉันจะขอเอาชนะนาย
นี่แหล่ะที่ฉันจะเอามาแลกกับอำนาจนิรันดร์ ผ่าปฐพี!”
สภาสูงป้อมอัศวิน
ห้องสภากว้างที่มักจะมีผู้เข้าร่วมปรึกษาหารือแน่นขนัดทุกๆวาระการประชุมแต่ยามนี้กลับมีเพียงห้าคน
และถึงแม้จะมีเพียงหน้าคนแต่เนื้อหาการประชุมในครั้งนี้นั้นเครียดยิ่งกว่าครั้งไหนที่เคยมีมา
ดวงหน้าของหัวหน้าป้อมที่มักจะสงบเยือกเย็นอยู่กลับฉายแววเคร่งขรึมกว่าทุกที
ในขณะที่สองเสนาซ้ายขวาไม่มีรอยยิ้ม
และปราศจากการล้อเล่นยินดีจากอาคันตุกะคนสำคัญแห่งเดมอส
“อำนาจจิตแห่งศาตราวุธที่ครอบงำ
จะค่อยๆดึงตัวตนของนักรบปิศาจในตัวของคนๆนั้นออกมาเรื่อยๆ
ช้าเร็วแค่ไหนที่จะสำเร็จก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของผู้ถือครองว่าฝักใฝ่ในอำนาจมืดเพียงใด”
เจ้าชายเฟเลียต เกรเดเวลว่า
นึกไปถึงน้องสาวผู้ทรงผ่าปฐพี ถึงแม้จะไม่เล่าให้ฟัง
แต่สีหน้าแววตาของเธอเมื่อวานนี้ทำให้เขาเดาได้ไม่ยากว่า เฟรินก็เริ่มสูญเสียตัวตนไปบ้างแล้วเหมือนกัน
ดวงตาสีโกเมนที่เคยอบอุ่นมีแววจริงจังมาฉายทับ ก่อนจะหันไปหาผู้เป็นเจ้าของการประชุม
“เฟลิโอน่าเริ่มฝันตั้งแต่เมื่อไหร่
เจ้าชายคาโล”
“อาทิตย์ก่อน” คาโลตอบ
“ผมได้ถามเอาจากเพื่อนร่วมห้องที่นอนห้องเดียวกับเฟริน”
“และเป็นเวลาเดียวกันที่เฟรินได้ประดาบกับลาเวน”
โรเพิ่มเติม รอยยิ้มเครียดฉายชัดบนใบหน้า “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ยอดนักรบแห่งบารามอสเกือบสิ้นชื่อ” ทั้งโต๊ะประชุมร้อนอ้าว
ไม่มีเสียงหลุดออกจากปากของใคร จนกระทั่งบุรุษผู้อาวุโสที่สุดบนหัวโต๊ะไหวตัวนิด
เหลือบมองเจ้าชายแห่งคาโนวาล
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็น่าจะรู้วิธีแก้ปัญหาของเรื่องนี้ใช่ไหม
คาโล” ดวงตาสีฟ้ากระจ่างหันมาสบกับจ้าวปิศาจไม่บ่งบอกอารมณ์ใด
แต่กับผู้เจนโลกน้อยกว่าที่ชอบเก็บงำความรู้สึก ทำไมจ้าวบัลลังก์จะไม่รู้
“ทั้งๆที่ท่านมีคาทาพิพากษาแห่งเดมอส
แต่ท่านกลับไม่มีเหตุการณ์แปลกที่ว่าเกิดขึ้นกับตัว
จะบอกว่าอาถรรพ์ครั้งนี้มันเลือกคนเกิดอย่างนั้นรึ?”
“แต่กระหม่อมคาดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้พระเจ้าค่ะ”
ซีบิลค้านอย่างสุภาพ “จากรายงานของคิล
ฟีลมัสที่ลงพื้นที่ตรวจสอบเองตลอดทั้งสัปดาห์นี้
ชาวเอเดนทุกคนที่ครอบครองอาวุธของเดมอสมีอาการเช่นนี้กันหมด
การแก้ไขมีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือต้องสู้จนพวกเขาแพ้
จากนั้นจึงทำลายอาวุธโดยการโยนเข้ากองไฟเวทย์
ส่งวิญญาณแห่งศาสตราวุธสู่ปรภพกระหม่อม”
“นั่นเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ”
ข้อคิดเห็นดังจากเจ้าชายแห่งเดมอส “แต่ฉันอยากฟังการแก้ไขที่ต้นเหตุมากกว่า คาโล
ฉันเชื่อว่าท่านรู้ เพราะที่ท่านไม่มีอาการของอำนาจจิตแห่งศาตราวุธ
นั่นเป็นเพราะว่าท่านได้เอาชนะจิตของตนเองที่สิงสถิตอยู่ในคทาพิพากษามานานแล้วใช่หรือไม่
เช่นเมื่อคราวที่ชายป่าหลงลืม”
เจ้าชายคนฟังสะดุดลมหายใจ
สบนัยน์ตาประกายกล้าสีแดงฉานที่บ่งชัดว่ารู้เห็นทุกอย่าง เฟเลียตคลี่ยิ้ม
แล้วถามลงไปชัดๆ “ตอนนั้นท่านทำอย่างไร ทำด้วยอะไร และทำเพราะใคร”
เท่านั้นโร เซวาเรสถึงกับหลุดขำ
จนต้องยกชาขึ้นจิบไม่ให้รอยยิ้มของตัวเองโจ่งแจ้ง
คิดไม่ผิดที่นึกว่าสองพี่น้องนี่ไม่แตกต่างกันสักนิด
จะใครก็ตามก็สามารถปั่นหัวให้เจ้าชายน้ำแข็งผู้ไม่เคยมาดหลุดแห่งป้อมอัศวินได้จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
อยากให้เฟรินมาเห็นจริงๆ ให้ตาย
เสียงเงียบเป็นคำตอบ
แต่ดวงตาคมคู่นั้นกลับเบือนหลบ
ใบหน้าขาวจัดเริ่มซับสีเลือดทำให้เฟเลียตเดาคำตอบได้ไม่ยาก
หันไปสบตากับบุรุษผู้เป็นพระปิตุลาที่กำลังแย้มรอยสรวล แล้วเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องห่วงเจ้าชายคาโล
หากท่านมีคำตอบในใจทั้งสามคำตอบครบถ้วน สิ่งที่เฟลิโอน่าทำก็คงจะไม่ต่างกัน เธอเป็นคนกล้าหาญ
เรื่องนี้ท่านน่าจะรู้ดีกว่าเรา”
เจ้าชายแห่งคาโนวาลผ่อนลมหายใจ
แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“รู้ไหม
คำว่ากล้าหาญกับเลือดร้อนน่ะ มันห่างกันเพียงเส้นบางๆกั้น”
ผลั่วะ!
“คาโล!”
เสียงประตูเปิดอย่างแรงพร้อมเสียงเรียกทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมหันไปมองต้นเสียง
เป็นเจ้าหญิงมาทิลด้าที่ถึงกับวิ่งเข้ามาข้างในโดยไม่คิดจะขออนุญาตใคร
ทั้งๆที่การกระทำบุ่มบ่ามเช่นนี้ไม่เคยปรากฏแม้แต่ครั้งเดียว
และสิ่งที่หลุดออกจากปากของเจ้าหญิงจากอเมซอน ก็ขโมยลมหายใจของผู้ฟังทุกคนในห้อง
“แย่แล้ว เฟริน...เฟรินไม่ฟื้น
ชีพจรอ่อนมาก ลุงหมอบอกว่ากำลังจะหยุดเต้น!”
ตึง!
เสียงตบโต๊ะดังที่ไม่เคยมีจากหัวหน้าป้อมอัศวินพร้อมใบหน้าเครียดพร้อมคณะทุกคนรีบรุดออกจากห้องประชุมแล้วตรงดิ่งไปที่หอพักทันที
คำพูดของเจ้าชายเฟเลียตก้องเวียนอยู่ในหัวจนเขานึกกลัว ใช่
เพราะเจอมาก่อนถึงได้รู้ ว่ามันยากมากมายเพียงใด แต่เพราะเขารู้ว่ามีคนรออยู่
เขาถึงได้กลับมา ถึงได้มีชีวิตอยู่
อย่างน้อยๆก็ภาวนาว่าเธอคนนั้นจะรู้
ว่ามีใครเฝ้ารอเธออยู่ตรงนี้
“นายท่าน!” หมอเทวดาโอเดลสะดุ้งโหยงแล้วถอยห่างออกจากตัวหญิงสาวที่นอนราบอยู่บนเตียงด้วยชุดเดิมที่เห็นเมื่อคืนเมื่อเห็นทุกคนกรูเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าตระหนก
คาโลสบถอุบทรุดตัวลงข้างกายคู่หมั้น ใบหน้าซีดเผือดของคนที่ร่าเริงอยู่เสมอยิ่งทำให้เขาร้อนใจ
ท่านจ้าวเอวิเดสกับเจ้าชายแห่งแดนโลกันตร์ยืนอยู่ปลายเตียง
ทอดมองผู้ที่เป็นดั่งดวงใจอย่างกังวลไม่แพ้กัน
ถึงแม้ในใจจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเฟลิโอน่าจะใช้วิธีนี้
แต่เอาชีวิตของตัวเองไปแขวนบนเส้นด้ายแล้วจะตกลงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้แบบนั้น
ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง
“นายท่าน....ข้า..”
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดเจ้า”
เสียงทุ้มเรียบเอ่ยตอบหมอเทวดาที่ยืนหน้าซีดอยู่
ฝ่ามืออุ่นสอดใต้มือของคนที่นอนอยู่แล้วกระชับมั่น หันไปหาเจ้าอาคมแห่งเดมอสแน่วแน่
“ฉันจะเข้าไปหาเฟริน”
คำสั่งสั้นๆแต่ได้ใจความทำให้ชายหนุ่มคนฟังหรี่ตาลง ขมวดคิ้ว
“หมายถึงจะให้ฉันแทรกแซงจิตใจพานายไปหาเฟลิโอน่าในห้วงความคิดของเธอ?”
“ใช่”
“ไม่ได้”
คำปฏิเสธชัดเจนจากเจ้าชายผู้เมตตา คำตอบรับที่ทำให้นัยน์ตาสีฟ้าของคนร้อนรนยิ่งเดือดเข้าไปอีกเมื่อฟังเหตุผล
“ถ้าท่านเป็นนักเวทย์มนต์เหมือนกันท่านก็ควรจะรู้
ว่าการใช้วิชาแบบนั้นมันละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ผิดจรรยาบรรณ”
“นี่ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องแบบนั้น
เฟเลียต เกรเดเวล”
“คาโล วาเนบลี”
เสียงทรงอำนาจหลุดออกจากปากเป็นครั้งแรกจากเจ้าชายแห่งเดมอส
ดวงตาสีแดงวาววับโชนโรจน์หอบเอากลิ่นไอเวทย์มหาศาลจนร่างกายของผู้ได้รับสัมผัสพากันสั่นเทิ้ม
ลมประหลาดพัดเอากิ่งไม้ไหวเสียดสีกันอย่างรุนแรงภายนอกห้อง
บุรุษผู้ทรงเวทย์ที่ยังไม่ได้ร่ายมนตร์สักอย่าง
แต่ทำให้คทาพิพากษาในห้องส่องสว่างจ้าเรืองรอง
ดวงตาสีฟ้ากระจ่างจ้องเขม็งไร้ความเกรงกลัว บีบมือหญิงสาวนี่ยังไม่ได้สติแน่น เมื่อร่างสูงสง่าเดินเข้ามาแล้วพึมพำเบาๆ พลันลมก็สงบ คทาดับ ร่างกายของผู้ที่หวาดผวาปรับเปลี่ยนเป็นคงที่ตามเดิม
สร้อยคอที่ห้อยอยู่ติดตัวเสมอที่เฟเลียตบอกน้องสาวเขาว่านำติดมาจากนครจันทราถูกถอดออกแล้วสวมเข้ากับคอของเฟรินแทน
แสงสว่างไสวส่องประกายจากลูกแก้วแวววาว มองแล้วชวนอบอุ่นไปถึงหัวใจ
“เชื่อมั่นในตัวเธอสักครั้งเถอะเจ้าชายคาโล
เชื่อเหมือนกับที่เฟลิโอน่าเชื่อว่าท่านต้องกลับมาเมื่อคราวนั้น”
เคร้งงงง!!!
“ชิ! รับได้ทุกดอกเชียวนะแก
ท่าเมื่อกี้ฉันเพิ่งคิดใหม่สดๆ แกมาตรัสรู้ได้ไงวะ”
เสียงบ่นขรมดังสลับกับเสียงตอบโต้กันของดาบในตำนานรูปร่างเหมือนกันทั้งสองเล่ม
แม้ตอนนี้ร่างกายจะชาหนัก ความอ่อนล้ากัดกินทุกส่วนของร่างกายให้พลังถดถอย
แต่รอยยิ้มสนุกสนานก็ไม่เลือนหายไปจากใบหน้า เฟรินส่ายหน้าขำๆ นับวันเธอจะยิ่งมีนิสัยเหมือนคนป้อมอัศวินเต็มร้อย
นั่นคือสนุกที่ได้ต่อสู้ ตื่นเต้นที่ได้เดิมพัน
จะได้กลับไปเห็นหน้าคนที่รอเธออยู่หรือเปล่า ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
แต่ไอ้หน้ามู่ทู่บุญไม่รับของคู่ต่อสู้เธอนี่สิ
เห็นแล้วมันขัดใจ
“คิดดีแล้วเหรอที่ทำแบบนี้
บอกเอาไว้ก่อนว่าฉันไม่ได้เหมือนเวทย์มนต์กระจกทมิฬ เธอเอาชนะฉันไม่ได้” ผ่าปฐพีว่าพร้อมรับดาบหนักที่จะฟาดลงกลางไหล่
ในขณะที่เฟรินขยับยิ้ม
“เออ ไม่เหมือน แกเก่งกว่าเยอะ
แต่เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงบอกว่าการเอาชนะแกมันคู่ควรกับอำนาจล้ำค่านั่น”
“อำนาจนิรันดร์นั่นน่ะเหรอ” มันว่า
แล้วแค่นยิ้ม “จะเพ้อพกไปถึงเมื่อไหร่ ก็บอกแล้วไงว่าของแบบนั้นมันไม่มีอยู่ในโลก”
เคร้งงง!
ดาบสองเล่มตวัดงัดกันและกันอย่างหนักหน่วงจนผู้ใช้ทั้งคู่กระเด็นออกมา
เฟรินลูบหน้าตัวเองที่ชื้นไปด้วยเหงื่อ
เสียงหอบหายใจฮักกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวมันเป็นเครื่องเตือนว่าตัวเธออาจจะทานได้ไม่ไหว
ในขณะที่ตัวตนของเธออีกคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากลับไม่มีแม้ร่องรอยของความอ่อนล้า
ร่างระหงยืนเหยียดตรง ดวงตาจ้องเขม็ง
“อย่างี่เง่าจนตัวตาย เฟลิโอน่า
เกรเดเวล อย่าเอื้อมคว้าในสิ่งที่ไม่มี อย่าปรารถนาในสิ่งที่หาไม่ได้”
ฟังคำพูดของมันแล้วเธอฉุนกึก คนไม่เจียมสถานะตวาดกลับในใจว่าไม่เอื้อมคว้า
ไม่ปรารถนา ชาตินี้จะเป็นขโมยได้ยังไง คนงี่เง่านั่นมันแกต่างหาก ไอ้ดาบดื้อด้าน!
“ฉันก็คิดเหมือนแกแหล่ะ
เกลียดนักอำนาจที่ทำให้คนกระทำในสิ่งผิดๆ
เกลียดจนไปด่าคิงริชาร์ดเขากลางสนามรบว่าเขามันก็แค่คิงบ้าอำนาจ เพราะไอ้สิ่งที่เรียกว่าอำนาจคือบ่อเกิดแห่งกิเลส
อยากได้อยากมี ต้องการที่จะเอาชนะคนอื่น เบียดเบียนคนอื่นเพื่อให้ตนได้เสพสุข”
“ก็เหมือนเธอในตอนนี้”
ผ่าปฐพีแทรก “เธอต้องการจะเอาชนะฉัน ซึ่งอำนาจ"
“ก็แกใช่คนอื่นซะที่ไหน”
สิ้นคำพูดดวงตาของผู้ฟังก็เบิกกว้าง สายลมพัดหวีดหวิวข้างหูกับหัวใจที่มันเต้นกระหน่ำ
เฟรินยิ้มบางสาวเท้าช้าๆเข้าไปใกล้อาวุธของตน
“แกเป็นคนบอกฉันเองตอนครั้งแรกที่เจอกันว่า ฉันคือแก แกคือฉัน
วิญญาณเราผูกสัมพันธ์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ฉันจะเอามาแลกคือวิญญาณตนนี้!”
ปลายดาบคมชี้ไปที่ใบหน้าของผู้ฟังที่ยังนิ่งอึ้ง
ดวงตาสีน้ำตาลประกายกร้าวทั้งสง่างามและกล้าหาญ
“เพื่อแลกกับชัยชนะของตนเอง
อำนาจที่เป็นนิรันดร์ก็คืออำนาจที่เหนือตนเอง หาใช่เหนือผู้อื่น”
“อำนาจเหนือตน?”
เสียงพึมพำทวนเบาๆจากอีกฝ่าย
“ใช่
อำนาจที่จะคอยควบคุมตัวเอง แปรเปลี่ยนความฟุ้งซ่านเป็นความมุ่งมั่น เปลี่ยนผันความละโมบเป็นความเมตตา
เปลี่ยนความหลอกลวงให้เป็นปัญญา และเปลี่ยนความโกรธเคืองให้กลายเป็นกล้าหาญ!”
สิ้นคำร่างของเด็กสาวก็เข้าปะทะกับศึกสุดท้ายในจิตใจตน
ดวงตาประกายกล้าด้วยคุณสมบัติที่จะสยบอาถรรพ์ทั้งสี่ยังก้องกังวานเวียนวนในโลกแห่งห้วงความคิด
เป็นสิ่งที่ผ่าปฐพีได้รับรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงได้ติดตามเธอคนนี้มาจนถึงทุกวันนี้
เพราะหัวใจที่บริสุทธิ์
ความคิดที่ประกายความเชื่อมั่นในตัวเองและพวกพ้อง
อาจเป็นเพราะสิ่งนี้ก็ได้ที่ทำให้วิญญาณแห่งดาบอย่างเขา เกิดมี ‘หัวใจ’
ขึ้นมา
รอยยิ้มแรกที่เต็มไปด้วยความสุขของอาวุธในตำนานวาดบนใบหน้างาม
พร้อมๆกับรอรับดาบที่จะฟันเข้ากลางตัวในอีกไม่กี่วินาที
พร้อมกับถ้อยคำกระซิบเบาแผ่วที่ข้างหู
“บางทีฉันอาจจะหลงรักในตัวตนของเธอก็เป็นได้”
ฉั่วะ!
เสียงดาบผ่านร่าง
เป็นวิถีที่งดงามที่สุดเท่าที่เฟรินเคยเห็น
และรอยยิ้มของคนตรงหน้าที่มอบให้เธอก็จริงใจที่สุดเท่าที่เคยมี
ร่างวิญญาณของผ่าปฐพีเริ่มเลือนรางกลายเป็นสีทองสว่างสดใส
ดาบที่อยู่ในมือแหลกสลายกลายเป็นเกล็ดแก้วแวววาวแล้วปลิวไปตามสายลม และคำพูดสุดท้ายจากดาบทรงฤทธิ์
“ฉันจะเฝ้ามองเธอ
เฝ้ามองวิถีทางที่เธอเลือก จำไว้ให้ดีล่ะเฟลิโอน่า ไม่ว่าเธอจะเป็นมนุษย์หรือปิศาจมันก็ไม่สำคัญ
ฉันก็คือคนที่จะอยู่ข้างเคียงเธอเสมอนะ....เพื่อน”
ขอบตาของเด็กสาวคนฟังอุ่นชื้น
ก้อนสะอื้นมาจุกอยู่ที่ลำคอเมื่อมองร่างที่เหมือนตนเองจางแล้วหายไปกับความมืดเหลือทิ้งไว้กับคำพูดที่เธอสัญญากับตนเองว่าจะไม่มีวันลืมเลือน
เด็กสาวปรือตาลงอย่างอ่อนล้าทรุดกายนั่งลงกับพื้น
มือกอดกันอย่างหนาวเหน็บ เพิ่งรู้ว่าพออยู่คนเดียวมันหนาวได้ขนาดนี้
นี่ถ้าเป็นเวลาปกติเธอก็คงจะด่าใครบางคนไปแล้วว่าอย่าขยันสร้างความเย็นนัก
แต่คราวนี้อยู่คนเดียว เธอจะไปด่าใครได้
เปลือกตาเริ่มหนัก
ลมหายใจเบาแผ่ว เธอคงจะเข้าสู่นิทราหากไม่มีแสงสว่างแสงหนึ่งเข้าตา
แสงสว่างอบอุ่นที่ส่องเด่นท่ามกลางอนธกาล จากวัตถุทรงกลมที่เหมือนกับลูกแก้ว
เฟรินเอื้อมมือไปคว้าไว้แนบอก หวังให้ความอบอุ่นช่วยชโลมจิตใจที่เย็นเฉียบ
น่าแปลกว่าตัวเธอกลับเบาขึ้นมาอย่างประหลาด พร้อมกับเสียงอ่อนโยนของใครดังขึ้น
“ฉันเชื่อใจนายว่านายต้องทำได้
กลับมาเถอะเฟริน...กลับมาเถอะนะ”
เปลือกตาบางกระพริบช้าๆ
ภาพของฝ้าเพดานที่เจนตากับสัมผัสอบอุ่นจนร้อนจากใครบางคนเหมือนเมื่อตอนแหวนแห่งปราชญ์ทำให้เธอได้สติ
และคนที่กุมมือเธอจนร้อนก็ยังคงเป็นคนเดิม คนที่เธอเชื่อมั่นตลอดว่ามันต้องตามไปช่วยเธอไม่ว่าอยู่ที่ไหนทั้งในโลกแห่งความเป็นจริง
หรือในโลกแห่งจิตใจ ปลายเตียงเป็นท่านพ่อกับท่านพี่เฟเลียต
ทั้งสองคนยิ้มให้เธออย่างใจดีเหมือนเก่า
ส่วนโน่นก็ลุงหมอที่ทำหน้าโล่งอกจนเธออยากขอโทษที่หาเรื่องให้ท่านโดนปลดระวาง
ส่วนโรกับซิบิลก็ดูจะสบายดี
กลับมาแล้ว
“เฟริน”
เสียงของบุรุษที่อยากได้ยินชัดๆเรียกอีกครั้งตอกย้ำความมั่นใจ เพียงเท่านั้น
ร่างบอบบางก็ถลาเข้าสู่อ้อมกอดอุ่น กอดให้แน่นให้สมกับที่มันเชื่อใจว่าเธอจะกลับมา
ไม่มีคำพูดใด นอกจากเสียงสะอื้นของเด็กสาว น้ำตาแห่งความดีใจไหลเป็นสายแล้วก้มลงซบกับแผ่นอก
มือน้อยกำแน่นที่บ่ากว้าง
เพียงแค่มืออุ่นๆที่ลูบหลังเธออยู่ตอนนี้มันก็เพียงพอแล้วกับการบรรเทาแผลหลังการต่อสู้
“ฮึก ฉัน ฉันขอโทษ
ฉันเกือบผิดสัญญา ฮึก ฉันเกือบทำนายเสียใจ”
เสียงสะอื้นฮักสารภาพทำให้คนฟังแย้มรอยยิ้มอย่างเอ็นดู กอดกระชับแม่ยอดยุ่งเป็นการปลอบประโลม
“รู้ตัวว่าผิดก็ดี”
น้ำเสียงเคร่งว่า ดันร่างสาวน้อยให้ออกห่างแล้วใช้นิ้วปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน “คราวหลังเป็นอะไรก็บอกสิ
จะให้ฉันต้องรู้เองไปถึงเมื่อไหร่ ถ้านายจะตายพรุ่งนี้ ถึงตอนนั้นนายจะบอกฉันไหม”
คำบ่นยาวจากเจ้าชายที่เคยพูดน้องเรียกรอยยิ้มจากคนฟัง
ก่อนจะหันไปหาพระบิดากับพี่ชายผู้ใจดี พี่ชายที่เธอรู้สึกดีใจหนักหนาที่เขามาเยือน เอดินเบิร์กในครั้งนี้ บุญคุณที่เขาให้เธอ
ทุกคำสอนสั่งไม่รู้ชดใช้อย่างไรถึงจะพอ เฟรินยิ้มแป้นแล้วค่อยบรรจงถอดสร้อยคืนให้พี่ชาย
“ลูกแก้วท่านอาลูน่าดูท่าจะมีประโยชน์มากกว่าสะกดรอยตามผมนะฮะ”
“ก็ต้องใช้ตามสถานการณ์
มันถึงเป็นลูกแก้วสารพัดนึก” เฟเลียตยิ้มรับอย่างอ่อนโยน “เป็นยังไงบ้างเฟลิโอน่า
เหนื่อยหรือเปล่า”
“ก็เหนื่อย
แต่ก็ได้รู้อะไรอีกหลายอย่าง อย่างเช่นตัวตนของเจ้าหญิงเฟลิโอน่า เกรเดเวล”
เฟรินยิ้มจาง ก่อนจะหันไปหาบุรุษผู้เป็นบิดา “ท่านพ่อ ลูกทะเลาะกับเจ้าผ่าปฐพีถึงขึ้นแตกหัก
จากนี้ไปมันคงจะไม่อยากอยู่กับลูกแล้วล่ะมั้ง”
ท่านจ้าวเอวิเดสแย้มรอยสรวลเมื่อฟังคำพระราชธิดา
แววตาฉายแววครุ่นคิดก่อนดำรัสถาม “แล้วลูกจะเอายังไง ถ้าจะคืนให้พ่อ
พ่อไม่เอาหรอกนะ”
“ทำไมล่ะกระหม่อม”
“มันบิ่น”
ฟังเหตุผลท่านพ่อบังเกิดเกล้าแล้วเธออยากจะสลบไปอีกสักรอบ
ส่วนซีบิลผู้ไม่เคยเห็นตัวตนที่แท้จริงของท่านจ้าวถึงกับเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู
นึกสงสารพ่อหนุ่มน้อยหายากแห่งป้อมนักที่ภาพลักษณ์ท่านจ้าวผู้น่าเชื่อถือพังทลายอย่างไม่มีชิ้นดี
“ง่า งั้นหม่อมฉันรับไว้อย่างเดิมเหรอกระหม่อม”
“ก็ใช่สิ ลูกเป็นคนทำลายวิญญาณมัน
ก็ต้องเป็นผู้สร้างจิตวิญญาณขึ้นมาใหม่
พ่อเองก็อยากจะเห็นจิตแห่งผ่าปฐพีของเจ้าหญิงเฟลิโอน่าจะงดงามสักเพียงใด”
เท่านั้นคนถูกได้รับมอบหมายนัยน์ตาพราวระริกอย่างที่เจ้าชายแห่งคาโนวาลเริ่มประสาทเสียขึ้นมา
แม่คุณไม่รู้จักเหน็ดจากเหนื่อย นี่ไม่สำนึกเลยว่าเพิ่งเอาตัวไม่รอดมาหยกๆ
แถมคราบน้ำตายังมีอยู่ทั้งสองแก้ม แต่ฉับพลันคิ้วเรียวของเด็กสาวก็มุ่นหนัก
ถามพระบิดา
“แม้ว่าอาวุธจากเดมอสจะมีหัวใจอย่างมนุษย์?”
ท่านจ้าวเอวิเดสทอดดวงตาเอ็นดูอาทร มือใหญ่วางลงบนกลุ่มผมนิ่มลื่น
“ใช่
เพราะมันอยู่ที่ลูกเป็นคนเลือก”
เฟรินยิ้มกว้างรับแล้วโผเข้ากอดพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ที่เข้าใจเธอยิ่งกว่าผู้ใด
คิดอยู่เหมือนกันว่าเจ้าผ่าปฐพีมันจะยอมให้เธอบงการวิญญาณของมันหรือเปล่า
แต่พอคิดถึงคำพูดนั้น เด็กสาวก็เบาใจ
“ฉันจะเฝ้ามองเธอ
เฝ้ามองวิถีทางที่เธอเลือก จำไว้ให้ดีล่ะเฟลิโอน่า
ไม่ว่าเธอจะเป็นมนุษย์หรือปิศาจมันก็ไม่สำคัญ
ฉันก็คือคนที่จะอยู่ข้างเคียงเธอเสมอนะ....เพื่อน”
The authority of
sword/END
บทส่งท้าย
“ทำไมแกไม่เคยบอกฉัน
ว่าแกเอาชนะตัวแกในคทาได้แล้ว” เสียงบริภาษดังจากเจ้าหญิงแห่งเดมอส
“ถ้าฉันบอกไปแล้วมันมีประโยชน์อะไร”
เจ้าชายแห่งคาโนวาลตอบกลับบ้าง
ในมือเคาะเอกสารพยายามไม่สนใจเสียงแว้ดๆสาวเจ้าที่โวยวายหนัก
ประณามว่าเขาชอบมีความลับไม่จบไม่สิ้น
“อย่างน้อยๆก็เป็นแนวทาง
เกิดฉันแพ้มันขึ้นมาจะทำยังไง” เธอยังบ่นอุบ นี่มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ เรื่องที่เจ้าชายแห่งคาโนวาลดำเนินการทำโดยไม่บอกเธอมีอีกเป็นพะเรอเกวียน
เธอเพิ่งมารู้เอาทีหลังว่าเจ้านักฆ่าเพื่อนซี้ไม่ได้มีหน้าที่เฝ้ายามอยู่หน้าตึกรับรองหรอก
มันกับครี้ดชวนกันลุยดะไปเก็บกวาดพวกเจ้าของอาวุธเดมอสเป็นสัปดาห์ๆ แต่ก็อย่างว่า
คนอย่างคาโลไม่มีทางใช้ทรัพยาการสิ้นเปลือง กางข่ายมนต์ไว้แล้ว
แถมยังลงทุนเป็นผู้อารักขาเองอีกต่างหาก ยังจะมีคนเฝ้าหน้าตึกอีกทำไม
อันนี้เธอก็โง่แสนโง่ที่ไม่รู้สึกตงิดใจ
ส่วนเจ้าชายเฟเลียต
เกรเดเวล พี่ชายสุดหล่อของเธอ ไอ้บ้านี่ก็ยังอมพะนำเก็บเงียบ
มันตั้งใจเขียนจดหมายเชิญเจ้าชายเฟเลียตโดยเฉพาะเพราะรู้ว่าท่านพี่ของเธอมีอาคมเก่งกล้า
ถ้ามีเหตุฉุกเฉินอาจจะช่วยกันไหว แต่พอถามว่าไปรู้ได้ยังไง
มันก็ตอบเหมือนพี่เธอเปี๊ยบว่าแค่ใช้จิตสัมผัสก็รู้
ส่วนไอ้เรื่องที่คาโลไปรู้จักกับเฟเลียตตอนไหนนี่นึกไม่ออกจริงๆ
บางทีท่านพ่อเอวิเดสอาจจะเป็นคนบอก ก็ทั้งสองคนเล่นคุยจดหมายกันบ่อยๆ
อันนี้เธอก็โง่คูณสองที่ไม่รู้เรื่องสักนิด
ตามมาด้วยความโง่ครั้งที่สาม
ไอ้แหวนแปลงร่างเป็นชายที่ท่านพ่อจงใจหยอดไว้ในกระเป๋าเสื้อเตะตาขโมยอย่างเธอก็เป็นแผนของคาโลอีกนั่นแหล่ะ
มันบอกว่าเธออยู่ในร่างของแม่เจ้าหญิงเฟลิโอน่าจะยิ่งเป็นการปลุกปั่นอำนาจมืดในใจเพราะพลังสายเลือดแห่งเดมอสเต็มเปี่ยม
ให้อยู่ในร่างผู้ชายจะเป็นการลดทอนพลังได้ดี ช่วยยืดเวลาครอบงำไปได้อีกนิด
คิดแล้วก็น่าโมโห
เป็นนักต้มแท้ๆแต่ดันไปโดนเจ้าชายอ่อนหัดต้มซะเปื่อย
ทะเลาะกันเป็นวรรคเป็นเวรกลางงานเลี้ยงเต้นรำอย่างกับละคร บ้าที่สุด!
“จะว่าไปฉันก็อยากให้นายเห็นผ่าปฐพีมันนะ
เหมือนฉันเปี๊ยบยังกะแฝด แล้วคทาพิพากษาของแก เชื่อขนมกินได้ พูดน้อย
เย็นเป็นน้ำแข็งเหมือนแกแหงๆ”
คาโลถอนหายใจพรืด
ชักอยากปิดปากคนพูดมาก หากไม่ติดว่านี่มันเป็นห้องทำงาน แถมข้างนอกคณะในสภายังอยู่กันเต็ม
“แกคุยอะไรกับมันบ้าง
มันถึงยอมปล่อยแกออกมา หือ คาโล” แม่ยอดยุ่งยังถามเข้าไปอีก
ซึ่งดูท่าว่าถ้าเขาไม่ตอบไปสักทีก็คงจะไม่หยุดถาม
ใบหน้าคมเงยขึ้นมาสบ
ดวงตาสีฟ้าอ่านยากทอดมองมาจนรู้สึกร้อนวูบวาบ
“ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
แค่บอกว่าฉันมีคนที่รอฉันอยู่”
“คนที่รออยู่?”
เฟรินทวน
“อืม...คนที่รักมากที่สุด”
สิ้นคำดวงหน้าขาวของเด็กสาวก็ขึ้นสีแปร๊ด ลุกพรืดจากเก้าอี้เตรียมเดินหนี
แต่ไม่ทันแล้วเมื่อมือใหญ่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือ แถมลากกลับมาจนชิดขอบโต๊ะ
แถมยังส่งคำถามเสียงนุ่มทุ้มไม่เกรงใจว่าหัวใจใครจะทำงานหนัก
“จะไปไหน”
“ไปตรวจอาคาร”
“วันนี้เวรแองเจลีนากับคิล”
เสียงของบุรุษดังใกล้กว่าเดิม “ฉันตอบคำถามนายแล้ว
นายก็ตอบฉันมาบ้างว่าคิดว่ายังไง นายถึงกลับมาได้”
เฟรินเม้มริมฝีปากแน่น
เหลือบตามองไอ้ก้อนน้ำแข็งเดินได้ที่เดี๋ยวนี้มันชักจะพัฒนาบังอาจมาทำให้หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ
น้ำลายหนืดกลืนเอื๊อกแล้วตอบไป
“ก็คิดว่ามีคนที่รออยู่
คนที่ฉันไม่อยากให้เขาเสียใจ”
เป็นคำตอบสุดท้าย
และไม่มีเสียงใดดังเล็ดลอดออกมาจากห้องทำงานของหัวหน้าป้อมอัศวินอีกเลย
.
.
.
.
.
จบบริบูรณ์....
มิยะขอเม้าท์
ระ เรียกว่าเป็นฟิคสั้นได้มั้ย อะ เอาน่า ไนติงเกลก็สี่ตอน ยังเป็นฟิคสั้นเลย // แถลงคูเลยครัช!
ฟิคเรื่องนี้แต่งไว้เมื่อปีที่แล้วค่ะ ไม่เคยเผยแพร่สู่สาธารณชน แต่จัดการปริ้นท์เอง รวมเล่มเอง เล่มเดียวด้วย เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้กับเพื่อน เฉพาะกิจขั้นสุดยอดจริงๆ ไม่รู้จะได้แต่งอีกมั้ย แต่คิดว่าอาจไม่มีโอกาสแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ หนึ่งในฟิคนอร์มอล หนึ่งเดียวจริงๆตอนนี้
ก่อนอื่นขอพูดถึงฟิคก่อน
เพราะเมื่อมีเสียงบ่นทางตรงว่าอยากอ่านฟิคบารามอส อยากเห็นเจ้าชายแห่งเดมอส
(สรุปมันเพราะการนี้) แถมด้วยแกลบที่มีเต็มกระเป๋า
เลยตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งฟิคบารามอสให้ ฟิคเรื่องนี้แอบเขียนมาเกือบเดือน
บางทีก็แอบปั่นที่ห้อง ไม่รู้ว่าเจ้าของเห็นบ้างหรือเปล่า แหะๆ
ส่วนแรงบันดาลใจ ไม่มี (อ้าว) ไม่มีจริงๆค่ะ// แลดูเลวมาก แต่ก็อย่างที่เจ้าของวันเกิดบอกว่าอยากให้มีเจ้าชายแห่งเดมอส
ก็เลยถือกำเนิดเป็นพี่เฟเลียตสุดหล่อขึ้นมา แค่นั้นเลยค่ะ ^^; แต่อยากบอกว่าฟิคบารามอสนี่มันเขียนสั้นๆไม่ได้จริงๆ ตอนแรกไม่คิดว่าจะยาวขนาดนี้เลยค่ะ คิดว่าตอนเดียวจบด้วยซ้ำ แต่ด้วยความรักที่มีต่อคาโลกับเฟริน ก็ผลักจนมันได้ขนาดนี้นี่แหล่ะน้า แล้วก็ดีใจมากๆ เพราะมีรูปประกอบด้วยค่ะ งือออ ขอบคุณต้ามากๆจริงๆที่อดตาหลับขับตานอนวาดให้เพื่อแฮปวันเกิดมะเหมี่ยวอีกหนึ่ง
โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก สวยสครีมมากๆจริงๆ ขอบคุณค่ะ อยากชมผลงานอื่นๆของผู้วาด ตามไปที่บล็อกนี้เลยค่ะ >>Liqueur<< หรือไปคลิกตรง Fav สุดท้ายของไอ้มิยะก็ได้ค่ะ บล็อกเดียวกัน
ขอบคุณอีกครั้งจากใจ เลิกดองบล็อกเต๊อะ! // กร๊าก โดนเสย
ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียนบล็อก เม้นท์ได้เป็นกำลังใจจ้ะ
Miya
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น