Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 4 สัญญาที่ฉัน(จำเป็น)ต้องทำ
“เอกสารชุดใหม่ครับ
รุ่นที่สิบ”
มือขวาร่างโปร่งบางวางแฟ้มเอกสารสี่ห้าแฟ้มลงบนโต๊ะของนภาแห่งวองโกเล่ที่นั่งง่วนกับการเซ็นชื่อยิกๆ
กองเดิมยังไม่เสร็จ
“หา...เหลืออีกตั้งเยอะหรอเนี่ย
นึกว่ากองสุดท้ายแล้วซะอีก” มือแทบจะหักแล้ว
แล้วนี่มันจะเที่ยงคืนแล้วเนี่ย จะได้หลับได้นอนมั้ยว้า~
“เหนื่อยหน่อยนะครับ
นี่ชุดสุดท้ายแล้ว ถ้ายังไงให้ผมช่วย...”
“อะ
เอ่อ อย่าเลยโกคุเดระคุง” นภาแห่งวองโกเล่โบกมือเป็นระวิง
พร้อมรีบกอบเอกสารในมือของมือขวามาถือไว้ “เรื่องแค่นี้เอง อย่าลำบากเลยนะ
อีกอย่างวันนี้โกคุเดระคุงก็ไปทำงานข้างนอกมาทั้งวันไม่ใช่หรอ
ไปพักผ่อนเถอะหน้านายซีดมากเลย ถ้าไม่สบายจะแย่เอา”
หน้านายซีดจริงๆ
นะ เพราะทำงานหักโหมให้ฉันเมื่อหลายวันก่อนแท้ๆ
“อ่า...ครับ
แต่นี่มันดึกแล้ว รุ่นที่สิบก็สมควรไปพักผ่อนนะครับ” ทำงานที่ไหนกัน
เสียเวลาตอนไปส่งไอ้บ้าเบสบอลนั่นแหล่ะ เรื่องนี้จะให้รุ่นที่สิบรู้ไม่ได้
รู้เมื่อไหร่ขายหน้าตาย
“อืม
เดี๋ยวอีกแป๊บนึงละกัน เอาให้หมดกองนี้ก่อน” นภาแห่งวองโกเล่ไม่ปฏิเสธว่าเขาก็ง่วงเต็มที
แต่อุตส่าห์ถ่างตาทำเหมือนไม่ง่วงให้เป็นที่สบายใจของร่างโปร่งบาง
แต่อย่างไรซะก็ปิดไม่มิดอยู่ดี
“อย่าฝืนเลยครับ ผมไปเอากาแฟมาให้นะครับรุ่นที่สิบ
รับรองก็สร่างแน่ๆครับ”
มือขวารีบกุลีกุจอออกไปจากห้องโดยไม่ฟังคำตอบรับของนภาแห่งวองโกเล่
แต่คิดว่าถ้าตอบไปมือขวาตัวดีก็คงไม่ฟัง
กาแฟที่โกคุเดระคุงชงหรอ...
ต่อให้ง่วงฉันก็ข่มตานอนไม่ลงแน่ๆ!
“อืม...ห้องครัวๆ “
ร่างโปร่งบางเดินมองที่เรียงรายทั้งซ้ายและขวา คฤหาสน์ออกใหญ่โตขนาดนี้
หาห้องๆหนึ่งมันก็ไม่ต่างกับงมเข็มในมหาสมุทรเท่าไหร่ แถมเคยมาแค่ครั้งเดียวตอนที่ชงกาแฟให้นภาแห่งวองโกเล่ดื่มครั้งแรก
หลังจากนั้นนภาก็ไม่เคยให้เขามาเหยียบห้องครัวอีกเลย
ก็ไม่แปลกที่จะลืม...
“ห้องนี้สินะ” ร่างโปร่งบางหยุดที่ห้องใหญ่พอสมควร
ที่รู้ก็เพราะหน้าห้องมีคำว่า ‘ห้องครัว’ เป็นภาษาอิตาลีเด่นหรา ดูเหมือนในห้องจะมีกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นลอยโชยมาจางๆถึงหน้าห้องอีกด้วย
ใครมาทำอะไรดึกๆดื่นๆอย่างนี้วะ
คงจะเป็นเจ้าจางนีนิล่ะมั้ง
เจ้านั่นนอนดึกจะตาย
“ฉันเข้าไปนะ จางนีนิ”
“...” ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
ร่างโปร่งบางจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป
“เฮ้ย แก๊!!!!”
“ไง โกคุเดระ ฮายาโตะ” คนที่อยู่ในห้องไม่ใช่วิศวกรประจำแฟมิลีแต่กลับเป็นชายหนุ่มร่างสูงในชุดยูคาตะสีเข้มสบายๆ
แต่ก็ถือเป็นบุคคลอันตรายที่ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้กำลังใช้ช้อนคนแก้วกาแฟที่มีควันลอยโชยออกมาบางๆ
“นอกจากจะเข้าประชุมสายแล้ว
นายยังนอนดึกเกินเวลาอีก แหกกฎได้ทุกเวลาเลยนะนาย”
ตูนอนดึก...
แล้วไฉนเอ็งยังยืนหัวโด่อยู่ไม่เอาหัวไปมุดหมอนล่ะฟะ
“หนวกหูเฟ้ย!
ฉันเป็นมือขวาของรุ่นที่สิบ งานมันต้องเยอะเป็นธรรมดา
ไม่ได้นั่งกินตำแหน่งไปวันๆเหมือนแก!”
คำพูดของมือขวาปากไวไปโดนต่อมโมโหหรือที่เรียกสำหรับเมฆาคนนี้ก็คือ
ต่อมอยากขย้ำคน เข้าจังๆ
ร่างสูงโปร่งค่อยๆก้าวมาหาพร้อมทอนฟาเหล็กคู่ใจที่เอาตลอดเวลาไม่เว้นแม้แต่ตอนนอน
ซึ่งตอนนี้ในมือของร่างโปร่งบางเองก็มีไดนาไมต์เตรียมเอาไว้อยู่แล้ว
“อยากเกรียมก่อนนอนก็เอาสิฟะ”
พริบตาเดียวไม่ทันที่จะได้หายใจออก
ผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดก็เข้าประชิดตัวร่างโปร่งบางเหล็กเย็นเฉียบแตะที่ปลายคางอย่างหมิ่นเหม่
ดวงตาสีรัตติกาลจ้องหน้าร่างโปร่งบางไม่ต่างกับยมทูตตัดสินวิญญาณ
“ดูเหมือนจะยังมีห่วงสินะ ฉันไม่อยากฆ่าคนที่ไม่หมดห่วง”
กลัวฉันกลายเป็นผีแล้วไปหลอกแกรึไงวะ!!! จะมีห่วงหรือไม่ห่วงแกก็ซัดเรียบหมดแหล่ะ
ทำเป็นพูดดี
“เฮอะ
คนอย่างฉันจะมีห่วงอะไร ถอยไปเฟ้ย! ฉันมาเอากาแฟให้รุ่นที่สิบ!” มือบางๆผลักคนตัวสูงกว่าให้ถอยห่าง แต่แน่นอนว่าไม่เป็นผล
เรี่ยวแรงของร่างโปร่งบางไม่เคยสู้คนที่อยู่ตรงหน้าไหวอยู่แล้ว
และยิ่งตอนค่อนข้างจะไม่สบายอย่างตอนนี้ก็ยิ่งไม่ไหวเข้าไปใหญ่
“งั้นเรอะ”
ริมฝีปากของเมฆาเหยียดยิ้ม ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็น
“เจ้านั่นสำคัญกับนายมากนี่”
‘เจ้านั่น’ หมายถึงรุ่นที่สิบน่ะเรอะ
“ของมันแน่อยู่แล้วเฟ้ย!”
“ถ้าอย่างนั้นฉันปล่อยแกไปสักวันก็ได้”
ผู้พิทักษ์เมฆาเอาทอนฟาลงพร้อมหันหลังกลับ เล่นเอาคนตัวเล็กกว่าหน้าเหวอไปไม่ใช่น้อย
กินกาแฟทำให้บุคลิกคนเปลี่ยนไปได้รึไงวะ
หรือว่ามันง่วงจนขี้เกียจเถียงกับเราแล้ว
“แกเองก็สำคัญกับมันมากนี่
อย่าด่วนตายไปก่อนละกัน”
“หา
ว่าไงนะ” เสียงของผู้พิทักษ์เมฆาเบาไปตามที่เจ้าตัวเดินออกไปจากห้องไกลเรื่อย ๆ
มันเบามากซะจนร่างโปร่งบางจับศัพท์ไม่ได้สักตัว
ได้แต่ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจ
“ฮึ่ย
โชคร้ายอะไรวะที่มาเจอมัน ป่านนี้รุ่นที่สิบไม่รอแย่แล้วหรอเนี่ย”
ดวงตาสีมรกตกวาดหาแก้วบนเคาท์เตอร์
แต่ก็ต้องสะดุดเมื่อเหลือบไปเห็นแก้วกระเบื้องใบสวยใบหนึ่งที่มีกาแฟ ครีมเทียม
และน้ำตาลอีกสองก้อนเหมือนเตรียมเอาไว้แต่ยังไม่เห็นมี น้ำร้อนใส่
“ของใครน่ะ
นอกจากฮิบาริกับเราแล้วก็ไม่มีใครนี่หว่า”
ถึงปากจะว่าไปนั่นแต่ก็ยกแก้วกระเบื้องขึ้นแล้วเติมน้ำร้อนลงไปทันที
ของใครเขาก็ไม่มีทางสนอยู่แล้ว
ถึงแม้กาแฟที่เหมือนลาภตกใส่แก้วนี้จะมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวตาม...
ฮิบาริ...
นี่แก...
แกกินกาแฟทีเดียวสองแก้วเชียวเรอะ!!!
“รุ่นที่สิบครับ
กาแฟ...” คำพูดของร่างโปร่งบางกลืนหายเข้าไปในลำคอ
เมื่อเดินถือกาแฟเข้ามาในห้องแล้วเห็นนภาฟุบหลับกับโต๊ะทำงานทั้งที่ในมือยังถือปากกาเอาไว้
เอกสารกองโตยังวางไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม
ร่างโปร่งบางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะวางแก้วกาแฟลง
ค่อยๆหยิบปากกาออกจากมือนภาพร้อมถอดเสื้อนอกมาคลุมร่างเล็ก ๆ เอาไว้
“รุ่นที่สิบทำงานหนักเกินไปแล้วนะครับ...”
ร่างโปร่งบางเปรยขึ้นเบาๆ แต่คนที่พูดถึงยังหลับตาพริ้มในห้วงของนิทรา
ไม่ได้ยินแม้แต่น้อย แล้วค่อยๆกอบเอกสารทั้งหมดบนโต๊ะมาไว้ในอ้อมแขน
“ได้โปรด
ให้ผมได้แบ่งเบาภาระของรุ่นที่สิบบ้าง เอกสารที่เหลือนี่ผมจะเป็นคนทำแทนเองครับ”
นภาต้องโอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ แม้ภาระอันเหนื่อยแสนเหนื่อยแต่ไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือ
ดังนั้นสายลมที่เปรียบเสมือนผู้หนุนรับท้องฟ้าคนนี้...
จะแบ่งเบาความเหนื่อยของนภาเอง...
แม้ว่า...สายลมที่พัดอย่างโหมกระหน่ำลูกนี้จะอ่อนกำลังลงก็ตาม...
ตึกวายุ
“กลับมาแล้วเหรอครับท่านโกคุเดระ”
ผู้ดูแลประจำตึกหรือเลขาส่วนตัวของร่างโปร่งบางเอ่ยถามพร้อมเปิดประตูให้
“เออ ที่นี่มีปัญหาอะไรมั้ย ตอนที่ฉันไม่อยู่”
“ไม่มีครับ...”
ชายหนุ่มตอบแล้วทำหน้าครุ่นคิดเหมือนติดใจอะไรบางอย่างก่อนจะร้องออกมา “อ้อ!
แต่เมื่อสักครู่ มีโทรศัพท์มาถึงท่านโกคุเดระครับ”
“หา?” ร่างโปร่งบางขมวดคิ้วจนเป็นโบว์ “ใคร?”
“ท่านยามาโมโตะครับ โทรมาเป็นสิบๆ สายตั้งแต่เย็น
แต่ผมบอกเขาไปแล้วว่าท่านโกคุเดระไม่ว่าง จะให้โทรกลับน่ะครับ”
คำตอบของเลขาคนสนิททำเอาดวงตาสีมรกตเบิกโพลง
ดีที่เรี่ยวแรงยังพอมีที่จะอุ้มเอกสารเหลืออยู่
“ยะ ยะ ยามาโมโตะน่ะเรอะ!!!” ชิบหาย!
ไม่มีงานมีการทำรึไงวะ ถึงโทรมาป่วนตึกฉันจนสายแทบไหม้
อิตาลีเหนือนี่มันไม่มีงานสักงานเลยเรอะ!
ถ้ายังไงงานตัดหญ้า ให้อาหารหมาน่าจะว่างอยู่
ทำไมไม่ไปทำล่ะฟะ
“ครับ ท่านยามาโมโตะ โทรมาทุกชั่วโมงเลยครับ ท่าทางมีเรื่องสำคัญ”
“เฮอะ อย่างหมอนั่นมันจะมีอะไร ถ้าวันหลังมันโทรมาอีก ดึงสายออกเลย!” ร่างโปร่งบางขึ้นเสียงออกคำสั่งอย่างไม่สนใจก่อนจะเดินขึ้นห้อง
ปล่อยให้ลูกน้องยืนงงเกาหัวแกรกๆ อยู่ตรงนั้น
แต่ที่แน่ๆก็คือ
ร่างโปร่งบางไม่อยากคิดถึงมือถือของตัวเองเลย ขนาดโทรศัพท์ของตึกยังตั้งขนาดนั้น
ไม่รู้ว่าในมือถือจะมีเบอร์ไม่ได้รับสักกี่สาย...
โทรศัพท์ตู...พังไปแล้วมั้ง
ตึง!
แฟ้มเอกสารที่ใหญ่โตเป็นน้องๆภูเขา
ถูกวางลงบนโต๊ะทำงานที่มีเอกสารวางกองเป็นชุดๆ เกือบจะเต็มโต๊ะอยู่แล้ว
พอเพิ่มแฟ้มที่เพิ่งจะหอบมานี่ ก็เป็นอันว่าเต็มพอดี
ร่างโปร่งบางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่แล้วหยิบมือถือที่ปิดมันเอาไว้ตั้งแต่กลับมาจากสนามบินมาเปิดเครื่อง
แล้วข้อมูลการใช้โทรศัพท์ก็ฟ้องด้วยตัวเลขน่าเหนื่อยใจพอๆ กับเอกสารกองโตบนโต๊ะ
เบอร์ที่ไม่ได้รับ
Yamamoto
78 สาย
เฮือก! ไอ้ทุเรศ!
เอาเวลาที่ไหนโทรมาตั้งเจ็ดสิบกว่าสายฟะ! สมองมีเท่าหัวแม่มือรึไง
ถึงจำไม่ได้ ว่าฉันจะโทรไปหาแกเองน่ะ
ร่างโปร่งบางปิดโทรศัพท์ลงอีกครั้ง
ก่อนจะยัดมันลงลิ้นชักแล้วใช้กุญแจปิดตายมันอย่างไม่ใยดี
มือบางคว้าเอกสารกับปากกามาเขียนต่อจากนภาแห่งวองโกเล่อย่างเอาเป็นเอาตาย
ไม่ได้สนใจเลยว่าสภาพร่างกายมันใกล้จะเกินขีดจำกัด
มันแย่...ฉันรู้
แต่เพราะไอ้ประโยคประโยคหนึ่งนี่แหล่ะที่มันน่าหมั่นไส้ซะจนกลายเป็นแรงกระตุ้นชั้นดียิ่งกว่ากินยาบ้า
“สัญญากับฉันว่านายจะดูแลตัวเองให้ดี
อย่าทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบหลายวันก่อนอีก”
กล้าดียังไงถึงมาสั่งฉันแบบนั้น เมื่อแกไม่ทำตามข้อสัญญาของฉัน
อย่าหวังเลยเฟ้ยว่าฉันจะทำตามคำสั่งของแก!
“สัญญาว่าอย่าหักโหมทำงานจนดึกจนดื่น”
ร่างกายก็ร่างกายฉัน ไปหนักส่วนไหนของแกไม่ทราบ!
“สัญญาว่าห้ามอดข้าวอดน้ำ”
กระเพาะก็กระเพาะฉัน
ฉันไม่กินแล้วมันทำให้แกหิวรึไง!
“สัญญากับฉันนะโกคุเดระ...”
“โว้ย!
จะมายุ่งอะไรกับฉันนักหนา ฮะ!!!”
ปากกาวางกระแทกลงอย่างแรง
มือบางขยี้หัวสีเงินจนยุ่งเหยิงพยายามไล่ไอ้คำพูดที่เจ้าตัวคิดว่าไร้สาระสิ้นดีออกไปจากหัว
ไร้สาระ...
ใช่...ไร้สาระแถมปัญญาอ่อนยิ่งกว่าอะไร...
แต่ทำไมปากมันถึงตอบไปเองแบบนั้น
“เออๆ
สัญญาๆ”
ทำงานก่อนสมองอยู่เรื่อย...
แต่ยังไงซะ...ฉันพูดว่าสัญญา
แปลว่าฉันต้องทำตามสัญญาสินะ แกจะได้ออกไปจากหัวฉันซักที
“ฮึ่ย! ก็ได้วะ” ร่างโปร่งบางปิดแฟ้มแล้วเดินไปอาบน้ำ
นี่ถือว่าเร็วกว่ากิจวัตรประจำวันปกติของเขา แต่ในเมื่อมันช่วยไม่ได้
สัญญาไปแล้ว...
ฉันรักษาคำพูดในฐานะของมือขวาของรุ่นที่สิบเท่านั้นนะ...ไอ้บ้าเบสบอล!
อีกด้านหนึ่ง
อิตาลีเหนือ
ห้องพักของ
ยามาโมโตะ ทาเคชิ
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่บริการรับฝากหมายเลขโทรกลับ...”
ประโยคที่มีเสียงผู้หญิงดังอยู่ปลายสายทวนซ้ำๆทุกครั้งเมื่อเขากดเบอร์เพื่อโทรหาคนบางคน
แต่ก็ได้ยินแต่ประโยคนี้จนท่องจำได้ขึ้นใจ พิรุณโยนโทรศัพท์ลงบนเตียง
แล้วล้มตัวลงนอนตาม รอยยิ้มเจื่อนๆประดับบนหน้าหล่อเหลาเหมือนปลอบใจตัวเองทุกที
ตั้งแต่กลางวันแล้ว...
งานเยอะสินะ
ทำไมฉันถึงห้ามตัวเองไม่ให้โทรไปหานายได้สักที ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจ
ว่าต่อให้โทรไปเป็นร้อยสายนายก็ไม่มีทางรับ ไม่มีทางโทรกลับ
ทุเรศจริงๆ...
“ชิชิชิ
เจ้าชายเข้าไปได้มั้ย” เสียงๆหนึ่งดังอยู่หน้าประตูกระชากพิรุณออกจากภวังค์
ร่างสูงลุกจากเตียงไปเสดาะกลอนออก
สิ่งที่ชายหนุ่มผมสีทองอร่ามที่มีมงกุฎสวมอยู่หมิ่นๆ
รอยยิ้มแสยะที่ศัตรูไม่ประสงค์อยากจะเห็นกรีดเด่นหราบนใบหน้าที่เห็นเพียงครึ่ง
ความจริงแล้ว นักดาบรุ่นพี่จะต้องมาทำงานคู่กับเขาที่นี่
แต่ดูเหมือนบอสแห่งวาเรียจะไม่ให้มาเลย(ถีบ)ส่งเจ้าชายนักฆ่าคนนี้มาแทน
“ยังไม่นอนอีกหรอ
เบลเฟกอล”
“ฮี่
วันนี้เจ้าชายไม่ได้ฆ่าคนก็เลยนอนไม่ค่อยหลับน่ะ” เบลเฟกอลตอบ
ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นพิรุณคงคิดว่าเป็นการกวนโอ๊ยสิ้นดี
แต่สำหรับเจ้าชายบ้าเลือดคนนี้คงจะเป็นเรื่องจริง
เบลเฟกอลทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาในห้อง สายตาที่คมกริบเวลามองหาเหยื่อเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียง
เสียงหัวเราะวิปริตดังผ่านลำคออย่างขำๆ
“ชิชิชิชิ
ทำแบบนี้มีหวังโทรศัพท์พังพอดี ทั้งของนายและของไดนาไมต์ด้วย”
“หือ...?”
“อย่ามาทำหน้าเอ๋อกับเจ้าชายนะ
โทรหาไดนาไมต์อยู่ใช่ป่ะล่ะ”การเดาของนักฆ่าอัจฉริยะเล่นเอาพิรุณชะงักไปไม่ใช่น้อย
ฉลาดไม่หยอกเลยแฮะ
“รู้ได้ไงเนี่ย
อุตส่าห์ไม่ให้มีคนเห็นแล้วนะ”
“พูดไป”
เบลเฟกอลเอียงคอ “นายกดมือถือตั้งแต่กลางวันแล้ว แถมไม่เห็นได้คุยสักที
ถึงตอนนี้ก็น่าจะรวมๆเกือบแปดสิบสายได้แล้วมั้ง
แต่ที่โทรไปหาใครนี่เซนส์อัจฉริยะของเจ้าชายเอง ดูท่าจะเป็นคนหัวดื้อน่าดู”
“คนหัวดื้อหรอ...”
“ช่าย...
อย่างไดนาไมต์ไงล่ะ ชิชิชิ”
“เซนส์นายนี่ดีน่าดูนะ อยากมีมั่งจัง ”
ดวงตาสีเปลือกไม้กดต่ำลงจ้องไปที่เจ้าชายนักฆ่า
เซนส์ที่พูดถึงนี่หมายถึงเซนส์ที่รู้เฉพาะโกคุเดระรึเปล่า
คนที่เคยสู้กันนี่จะเห็นไส้เห็นพุงของอีกฝ่ายกันเลยรึไง
หึ
น่าอิจฉาจริงๆนั่นแหล่ะ
“มันก็ได้แต่ต้องรอ...” เจ้าชายอัจฉริยะเปรยกับพิรุณ เรียกดวงตาสีเปลือกไม้หันเข้าหาอย่างแปลกใจ
ถึงแม้จะไม่เห็นดวงตาแต่ใบหน้าที่ดูวิปริตก็อ่อนลงเล็กน้อย
รวมทั้งน้ำเสียงนั่นด้วย
“เจ้าชายไม่รู้หรอกนะ
ว่านายรอมานานเท่าไหร่ แต่ของบางอย่างมันก็ต้องใช้เวลา
บางครั้งเจ้าชายไม่ต้องถือมีดออกไปเชือดคน
มันก็มีคนเดินตกหลุมพรางมาให้เจ้าชายเชือดเอง”
“พูดเหมือนนายกำลังรอใครบางคนน่ะ” พิรุณกลั้วยิ้มถามเหมือนล้อๆ
แต่ผลก็คืออีกคนไม่ยิ้มตอบแต่กลับเมินหน้าหนีไปทางอื่นซึ่งผิดกับนิสัยอย่างสิ้นเชิง
“ไม่รู้สินะ
เจ้าชายเป็นพวกความอดทนต่ำ ไม่เคยรออะไรนานนักหรอก”เบลเฟกอลลุกขึ้นจากโซฟาแล้วอ้าปากหาวหวอดเหมือนเด็กไม่มีผิด
หน้าตาเจื่อนๆเมื่อกี้ก็หายไปด้วยเหมือนกับเล่นกล
“เจ้าชายง่วงแล้ว
นายเองก็รีบนอนซะ พรุ่งนี้มีงานหนัก”
“อ๋อ อืม”
“อ้อ
แล้วอีกอย่างนะ...”เจ้าชายนักฆ่าหันกลับมาแล้วฉีกยิ้มแสยะจนคนเห็นขนลุกซู่
“ถึงไดนาไมต์จะน่ารักน่าเชือด
แต่ไม่ใช่สเปกเจ้าชายหรอก ชิชิชิ ราตรีสวัสดิ์”
“อ่า...ราตรีสวัสดิ์”พิรุณตอบรับงงๆ
ถึงแม้จะไม่เข้าใจความหมายของเพื่อนร่วมงานในครั้งนี้เท่าไหร่ แต่ก็รู้ว่า
นักฆ่าที่หลายคนมองว่าโรคจิตคนนี้ก็มีส่วนดีเหมือนกัน
รอ...งั้นเหรอ
นั่นสินะ...บางสิ่งบางอย่างก็ต้องรอ
แต่...
ก็ไม่รู้ว่า...จะอดทนรอได้นานแค่ไหน
เพราะฉันเองก็ไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูง
แต่ฉันก็จะรอ...
พิรุณเอื้อมมือไปปิดไฟที่มุมห้อง
ก่อนจะล้มตัวลงนอนกับหมอนนุ่มดวงตาสีเปลือกไม้ยังไม่ปิดลง จะหลับก่อนได้ไงล่ะ
ในเมื่อยังไม่ได้พูด...
“ราตรีสวัสดิ์...โกคุเดระ”.......เลยนี่นะ...
TBC...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น