หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

Fic KHR [8059] My wind...our wind : Chapter24



Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama  Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ



Chapter 24 ขอโทษ



“อืม...”ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ค่อยๆลืมขึ้นอย่างช้าๆเพื่อปรับแสงสว่างเข้าสู่นัยน์ตา ทันทีที่จักษุประสาทรับรู้ มันยังคงมัวๆรับภาพได้ไม่ชัดเจนตามประสาคนที่อยู่กับความมืดมานานถึงสี่วัน  พิรุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่ตกลงที่นื่คือโลกมนุษย์ สวรรค์ หรือ นรก สิ่งที่เห็นคือแผ่นสีขาวกว้างๆเต็มตา เขาคงคิดว่านี่คือในโลกหลังความตายที่มันมีแต่ความว่างเปล่า


...แต่ความจริงมันก็แค่ฝ้าโรงพยาบาล...


 “ท่านยามาโมโตะฟื้นแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์!!!


หือ...?


ไม่นึกว่าวองโกเล่แฟมิลี่จะเป็นลูกพี่ใหญ่คุมมาถึงนรก มีเรียกท่านเรียกเทิ่น ยมทูตพูดผิดหรือเปล่า มันต้องบอกว่าตายแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ต่างหาก


“ยามาโมโตะ!


หา...?


ถ้าจำไม่ผิดนั่นเสียงสึนะ นั่นไงล่ะ เดาไม่ผิด คนตัวเล็กผมฟูฟ่องสีน้ำตาลกำลังวิ่งถลามาหาทั้งๆที่น้ำตาคลอเบ้า อ่อ...คงจะมาส่งฉันเป็นครั้งสุดท้ายสินะ


ตอนนี้ในใจพิรุณกำลังซาบซึ้งกับความเป็นเพื่อนที่ดีสุดๆไปเลย


“ยามาโมโตะฟื้นแล้วหรอ นายเป็นไงบ้าง?” นภาสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาของเขาดูท่าทางเป็นห่วงและดีใจอย่างชัดเจน แต่ในใจของพิรุณมันงงจับต้นชนปลายไม่ถูก ให้ตอบว่าไงล่ะ ก็ดีหรอ? หรือต้องตอบว่า ไม่ได้ต่างจากโลกเดิมเท่าไหร่


“ยามาโมโตะ...นาย...โอเคหรือเปล่า” นภาแห่งวองโกเล่เริ่มหวั่น เมื่อเห็นเพื่อนของเขานิ่งไม่มีการตอบ เนื่องจากไม่ได้เรียนอะไรมานอกจากการเป็นบอสมาเฟีย สึนะโยชิก็คิดไปต่างๆนานา บางทียามาโมโตะอาจจะฟื้นแล้ว แต่ไม่ตอบสนอง บางทีอาจจะเป็นการกล้ามเนื้อตากระตุก หรือว่า...กรณีสุดท้าย เลวร้ายและบัดซบอย่างที่สุด แล้วก็ไม่มีทางเป็นไปไม่ได้ในความคิดนภา คือ...!!!


...ยามาโมโตะตายแล้วแต่ยังไม่หมดห่วง!!!


ม่ายยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!


“ยามาโมโตะ!! นะ..นายเป็นไงบ้างเนี่ย!? ตอบฉันหน่อย อย่าเงียบสิ”  นภาเขย่าไหล่เพื่อนรักที่เพิ่งจะลืมตาฟื้นเบาๆ หัวใจพาลจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม หมอก็บอกว่าฟื้นแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ทำไมสติมันไม่มีซักเปอร์เซ็นต์เลยล่ะ นี่อย่าบอกนะว่าแค่ฟื้น แต่ว่ามีอาการแทรกซ้อน


เป็นใบ้?


ความจำเสื่อม?


หูหนวก?


ประสาทสัมผัสตายด้าน?


เพื่อนตรูเป็นอะไรวะเนี่ยยยยยยยยยยย!!!


“เฮ้ย! ถอยไปหน่อยเด๊ะ!” เสียงใหม่ดังขึ้นมาพร้อมใช้มือผลักนภาให้หลีกทาง พิรุณจำเสียงนี้ได้นะ จำได้ดีทีเดียว รู้สึกดีใจน้ำตาแทบไหลที่มีคนๆนี้มาร่วมไว้อาลัยวาระสุดท้ายของเขาด้วย


คิดดูสิ ขนาดคนๆนี้ยังมา โอ้...การตายมันดีอย่างนี้เอง


เฟี้ยว~


ผลั่วะ!!!!


“โอ๊ย!!!!” เขาร้องออกมาลั่นห้อง พลางใช้มือกุมหัวตัวเอง ไม่ใช่อะไร เมื่อกี้ฉลามคลั่งแห่งวาเรียหรืออดีตครูฝึกดาบของพิรุณเพิ่งใช้สันดาบฟาดไปที่หัวของเขาอย่างพอดิบพอดี อย่างแรงด้วย เรียกว่าเป็นการปลุกสติที่ยอดเยี่ยม... แต่อยากบอกว่าเจ็บจี๊ดไปถึงสมอง คนเห็นยังเสียวหัวตัวเองไปเป็นแถบๆ!


“คราวนี้เลิกเอ๋อได้ยังวะ! ทำตาลอยอย่างกับเด็กปัญญาอ่อน!!!” ตามด้วยเสียงบ่นอีกเป็นชุด พิรุณขมวดคิ้วมองคนที่เพิ่งฟาดเขาอย่างงงๆ


แต่เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ...


เมื่อกี้เขาร้องโอ๊ย เมื่อกี้เขาเจ็บ เมื่อกี้เขาได้ยินนภาและผบ.ใหญ่ของวาเรียพูดด้วยเต็มสองหู และตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ดวงตามองไปรอบๆเห็นแจกันดอกไม้ โซฟา ทีวี ม่านหรูๆราคาเหยียบแสน อ้อ...กระจกสีใสบานใหญ่ที่มองเห็นได้ทั้งเมือง


ข้างๆเขา เขาเห็นนภาแห่งวองโกเล่ เห็นสควอโล่ เห็นเจ้าชายนักฆ่าที่ยืนกอดอกอยู่ห่างออกไป ข้างๆเจ้าชายผู้มีรอยยิ้มไว้เชือดคน มีเด็กผู้ชายถ้าจำไม่ผิดชื่อว่า ฟราน ยืนอยู่


เขาได้ยินเสียงติ๊ดๆของเครื่องวัดคลื่นหัวใจ... ไม่เพียงแต่แค่นั้น เขายังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของหน้าอกด้านซ้าย...ความเจ็บปวดที่มากกว่าสิ่งอื่นๆ เจ็บเหลือเกิน...


ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับจากประสาทสัมผัสทั้งห้า มันกำลังบ่งชี้ชัดว่าสิ่งที่พิรุณคิดตอนแรกมันเลยเถิดเป็นการใหญ่...


เขายังไม่ตาย!


“ยามาโมโตะ...” สึนะโยชิเรียกเพื่อนอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นฉายแววลุ้นจัด พลันดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปลือกไม้ก็กระพริบปริบๆ ปรับโฟกัสภาพจนเห็นเพื่อนเป็นตัวเป็นตนอย่างปกติ


“สึ..นะ...” แต่ดูเหมือนต้องใช้เวลาเรียกสติพอสมควร “นี่ฉันยังไม่ตาย?


ทันทีที่ขยับปากพูด ลำคอก็แห้งผาก รู้สึกเจ็บๆแสบๆเหมือนมีเข็มมาตำกล่องเสียงแทงทะลุไปถึงลูกกระเดือก นภาเลยรีบกุลีกุจอหาน้ำให้ดื่ม


“ใช่...นายยังไม่ตาย ไม่มีใครตายไปไหน” สึนะโยชิไม่รู้จะพูดอะไร ตอนนี้เขาปาดน้ำตาแห่งความปิติทิ้ง นับว่าพระเจ้ายังคงปรานีอยู่บ้าง แต่พิรุณจะรู้หรือไม่ว่าที่เขาพูดอย่างนั้นมันมีความนัยถึงอีกคน...


คนที่พิรุณเกือบสละชีวิตเพื่อช่วยเอาไว้...


เขาก็ยังไม่ตายหรอกนะ...รอเพียงจะฟื้นมาอย่างนี้...


ก็แค่นั้น...


“ฮะๆๆๆ นึกว่าตายไปแล้วซะอีก เหมือนปาฏิหาริย์เลย” สมกับเป็นยามาโมโตะที่เวลาแบบนี้ยังหัวเราะได้ ทั้งๆที่เพิ่งจะรอดตายมาแท้ๆ ไม่รู้ว่าถ้าหลับไปนานกว่านี้ เหล่าวองโกเล่คงต้องเริ่มทำใจ ผบ.ใหญ่ของวาเรียเบะปากมองลูกศิษย์ดวงแข็ง อยากให้มันตายก็อยากอยู่หรอก แต่เขาเกิดรู้สึกโล่งใจที่มันฟื้นนี่สิ...


“เฮ้ยย!! ถ้าแกฟื้นแล้วฉันก็จะกลับแล้ว ถ้าอยู่นานกว่านี้มีหวังได้ฟัดกับคนป่วย”


พิรุณหัวเราะร่วนกับคำหาเรื่อง เขาไม่ได้เห็นหน้าครูคนนี้นานเท่าไหร่แล้วนะ...


“ก็เอาสิ สควอโล่ ฉันไม่ได้บอกซักหน่อยว่าจะสู้กับนายไม่ได้”


ไอ้เด็กอวดเก่ง!!!


“อย่ามาซ่าส์ เพิ่งลืมตาไม่กี่นาทีเองนะไอ้หนู เดี๋ยวได้หลับอีกยาว เผลอๆได้ไปหลับมีดินกลบหน้า”


“ฮะๆๆๆ”


ผู้กองของวาเรียแยกเขี้ยว พร้อมก่อนจะหันไปหาอีกสองคนที่ยืนรออยู่จนรากแทบงอก โดยเฉพาะไอ้เด็กกบที่อ้าปากหาวหวอดๆไปหลายรอบ แต่ไม่ทันที่จะจับลูกบิดประตู...


“เฮ้! สควอโล่...” คนป่วยเรียก ริมฝีปากนั้นขยับรอยยิ้ม เชื่อว่าดีแล้วที่คนถูกเรียกไม่หันไปมอง เพราะมันน่าหมั่นไส้เป็นไหนๆ!


รู้มั้ยทำไมฉันยังไม่อยากตาย...”


“……………”


เพราะในโลกหน้ามันไม่มีดาบให้ฉันจับน่ะ


และนั่นแหล่ะ ที่จะตราตรึงในจิตใต้สำนึกของยอดนักดาบหมายเลขหนึ่งของวองโกเล่แฟมิลี่ว่าต่อให้มันจะโคม่า หรือจะมันเตรียมเข้าห้องดับจิต เขาก็จะไม่มาเยี่ยมมัน...



เป็น! อัน! ขาด!







หลังจากที่สามทหารเสือแห่งวาเรียกลับไปแล้วโดยมีนภาแห่งวองโกเล่ไปส่ง แต่ยังดีที่สควอโล่ไม่ได้ชักดาบออกมาละเลงพิรุณตามคำรับขวัญ ถึงอย่างไรนภาก็มั่นใจอย่างหนึ่งว่าเขาจะไม่ได้เห็นหน้าวาเรียไปอีกพักใหญ่ๆ


...เพราะไอ้คนป่วยที่นอนยิ้มอยู่นั่นล่ะ...


เฮ้อ...ฉันหลับไปนานเท่าไหร่น่ะ...สึนะ พิรุณเปิดคำถาม รอยยิ้มเริ่มจางหาย ทำให้สึนะโยชิรู้ว่าเมื่อสักครู่รอยยิ้มของ    ยามาโมโตะเป็นเพียงรอยยิ้มจอมปลอมหลอกให้นักดาบรุ่นพี่ของเขาไม่ต้องเป็นห่วงซึ่งอันที่จริงก็ไม่น่าจะห่วงอะไรอยู่แล้ว...


แต่ความจริง...พิรุณแห่งวองโกเล่ไม่รู้สึกโล่ง กังวล เขามีเรื่องที่อยากรู้เต็มหัวไปหมด


วันนี้ก็เข้าวันที่ห้าแล้วล่ะ นภาแห่งวองโกเล่ตอบ เขาทรุดตัวนั่งข้างๆผู้ป่วยพิรุณขยับรอยยิ้มบางเบาเหมือนขำให้ตัวเอง เขาไม่เคยหลับนานขนาดนี้มาก่อน ความรู้สึกช่างยาวนานอย่างกับตัวเองไปเที่ยวนรกมาซักเที่ยว


นายเจ็บแผลหรือเปล่า...ให้ฉันตามหมอมาดูอีกรอบดีกว่ามั้ย


ไม่ต้องหรอก... ร่างสูงส่ายหน้าช้าๆ มันไม่ได้เจ็บเลย... ซักนิดเดียว


เขาไม่ได้โกหกคำโตกับนภาแห่งวองโกเล่แต่อย่างใด ความรู้สึกมันไม่ได้เจ็บปวด ไม่ได้เจ็บที่แผล แต่มันเจ็บที่ความรู้สึกข้างในมากกว่า ต่อให้เรียกหมอชั้นหนึ่งของวองโกเล่มาดูก็คงจะทำอะไรไม่ได้ ทันทีที่เขาฟื้นมา เขาไม่ได้ลืมว่าเมื่อสี่ห้าวันก่อนมันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง...


และเมื่อเดือนก่อนมันเกิดอะไรบ้าง...


ยังจำได้ทุกอย่าง


สึนะ...ความจริง ฉันควรจะตายไปซะ


ยะ...ยามาโมโตะ คนฟังถึงกับสะดุ้งเฮือกกับคำพูดโง่ๆของเพื่อน เผลอขึ้นเสียงโดยไม่ตั้งใจ  นายพูดอะไรออกมา!”


ถ้าหากตื่นมา ต้องมารับรู้ความจริงที่เจ็บปวด ฉันรู้แล้วว่าทำไมโกคุเดระถึงได้ตัดสินใจลบความทรงจำของตัวเอง มันรู้สึกแบบนี้แหล่ะ รู้สึกแย่...รู้สึกในโลกนี้ไม่เหลือใครและสิ้นหวัง...ตอนนี้ฉันรู้สึกแบบนั้นทุกอย่างเลยแฮะ พิรุณแค่นหัวเราะสมเพชตัวเองเบาๆ เวรกรรมมันกำลังเอาเขาคืนอย่างไม่ปรานีจริงๆ


โลกนี้พระเจ้ายุติธรรมเสมอ...


ทำอะไรลงไป เป็นต้องเอาคืนเท่านั้น...ทำดีเท่าไหร่...ก็สุขใจเท่านั้น...


และทำชั่วเท่าไหร่...


ก็ทรมาน...เท่านั้น


แต่ฉันรู้ ว่าโกคุเดระต้องเจ็บปวดก็ฉันเป็นหลายสิบเท่า ทุกทีที่นึกถึง ภาพที่ฉันเห็นหมอนั่นทรมานก็ผุดขึ้นมาทันที ฉันมันเลว...สึนะ ฉันทิ้งความไว้วางใจที่โกคุเดระมอบให้ เท่านั้นไม่พอ...ฉันยังทำร้ายหมอนั่นด้วยมือฉันเอง” พิรุณคร่ำครวญออกมาจนหมด ไม่เหลือเกราะแข็งๆที่เคยห่อหุ้มหัวใจยามที่เหยียบย่ำความรู้สึกของวายุ เขาไม่รู้ว่าจะหาคำใดมาแทนความเจ็บปวดแบบนี้ได้อีกแล้ว


นภาแห่งวองโกเล่ถอนหายใจเบา เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของยามาโมโตะเพียงคนเดียว เขาด้วยคนที่เป็นส่วนหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สายลมกับวองโกเล่เกือบตัดขาดจากกันอย่างนิรันดร์


“ยามาโมโตะ ฉันขอโทษ” ประโยคนี้เคยพูดไปแล้วทางเครื่องมือสื่อสาร แต่ถึงอย่างนั้นก็เรียกสายตาพิรุณให้หันกลับมามองอย่างชะงักงัน “ฉันขอโทษที่ไม่บอกเรื่องโกคุเดระคุงถูกลักพาตัวให้นายรู้ ตอนนั้นฉันไม่รู้จะทำยังไง ในหัวมันขาวโพลน นึกภาพในอนาคตไม่ออก ดีไม่ดีฉันอาจจะเสียนายไปอีกคน ฉันถึงขอให้แรมโบ้ช่วยปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ”


เป็นครั้งแรกที่พิรุณได้ฟังคำขอโทษพร่ำออกมาจากริมฝีปากของเพื่อน ที่ผ่านมานับสิบปีตั้งแต่อยู่นามิโมริ ซาวาดะ สึนะโยชิเป็นคนที่เขายอมรับและนับถือ เป็นเพื่อนคนแรกที่สอนเขาให้รู้จักกับคำว่ามิตรภาพ ดังนั้นไม่ว่าคนๆนี้จะไม่กล่าวคำว่า ขอโทษเขาเลย เขาก็จะไม่ถือสา เพราะว่าเป็นเพื่อนกันไม่ว่าจะอยู่ในสนามกว้างๆอย่างสนามเบสบอล ในห้องเรียน หรือในแฟมิลี่แบบนี้ ก็ต้องให้อภัยกันเสมอ...


ก็เพราะเป็นเพื่อนกันนี่นา...


“ไม่หรอกสึนะ ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษนาย” พิรุณยิ้มบางๆ ดวงตาสีเปลือกไม้เหลือบมองเพดานด้วยความว่างเปล่า “นายทำถูกแล้ว มันเป็นอย่างที่นายคิดทุกอย่างนั่นล่ะ ขนาดฉันรู้เรื่องนี้ช้าฉันยังเกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้าพวกนายไม่ตามไป ก็ไม่รู้ว่าจะยังมีฉันนอนอยู่ตรงนี้หรือเปล่า ขอโทษนะ... สึนะ”


นภาอึ้งไปเล็กน้อยกับคำขอโทษเศร้าๆขอพิรุณ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆแทนคำว่ายกโทษให้ ยามาโมโตะก็ยังเป็นยามาโมโตะคนเดิมที่เขารู้จัก เพียงแต่นั่นคงจะเป็นเรื่องเกินความควบคุมที่เกี่ยวกับวายุ ที่ต่อไปเขาต้องรู้ถึงใจเพื่อนทั้งสองคนมากกว่านี้ ไม่ว่ามันจะลึกขนาดไหนก็ตาม


“สึนะ...ฉันมีเรื่องจะขอร้องน่ะ”


“หืม? ว่ามาเลย”


พิรุณค่อยๆชันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง ทำให้นภาต้องรีบช่วยจับ พอนั่งได้แล้ว ความต้องการของพิรุณที่คิดในหัวตลอดเวลาตั้งแต่เขาฟื้นก็เอ่ยออกไปทันที


“พาฉันไปหาโกคุเดระ...ได้มั้ย”





 ห้อง 2403


ผู้พิทักษ์อัสนียังคงนั่งอยู่บนโซฟาข้างเตียง ข้างๆมีจานขนมหวานวางอยู่ ลูกกวาดเอย เค้กเอย คุ้กกี้เอย เหล่าลูกน้องเอาประเคนให้ทุกชั่วโมง เชื่อจริงๆว่าผู้พิทักษ์หน้าละอ่อนคนนี้ไม่ได้มีงานตกถึงท้องยกเว้นอยู่เฝ้าไข้วายุ ความจริงแล้วงานนี้มันน่าเบื่อตามประสาความคิดของเด็กวัยรุ่น แต่ตอนนี้เขาไม่อยากจะไปไหน ไม่อยากอยู่ห่างจากวายุเลย
ทั้งที่...เขารู้แล้วว่าพิรุณฟื้น...


ถามว่าดีใจหรือเปล่า...ดีใจสิ ดีใจมากด้วย รู้สึกโล่งอกเผลอสั่งเค้กมาสองชิ้นเป็นการฉลอง แต่มันมีความรู้สึกเล็กๆเหมือนกัน ความรู้สึกที่ว่าตอนนี้ก็แผ่วเบาแต่ก็ยังมีอิทธิพลในจิตใจ...เขาถึงไม่อยากพบหน้ารุ่นพี่ที่แสนใจดีคนนั้น จะเรียกว่าเป็นความประหม่าหรือมองหน้าไม่ติด...อะไรประมาณนั้น


ก๊อกๆ


“ฉันเอง แรมโบ้ ขอเข้าไปนะ” เสียงนภาดังอยู่หน้าห้องทำให้เด็กหนุ่มวางส้อมลงกับจาน แล้วตะโกนกลับไป


“เชิญครับวองโกเล่”


ประตูเปิดออก แต่คนที่เดินเข้ามาในห้องไม่ได้มีเพียงแต่นภาแห่งวองโกเล่คนเดียว เพราะมีคนที่เขาพยุงนั่นด้วยอีกคน ดวงตาสีเขียวใสของเด็กหนุ่มเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย แต่ก็รีบลุกขึ้นเพื่อให้คนเพิ่งฟื้นนั่งแทนที่ตัวเอง ความจริงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร พิรุณเองก็ฟื้นแล้ว เขาจะมาเยี่ยมวายุที่อยู่ห่างกันแค่ข้ามห้องก็ไม่แปลก แต่สำหรับเด็กหนุ่มยังไม่คุ้นที่ต้องเห็นหน้าคนๆนี้


เพราะเขายังจำวินาทีที่รุ่นพี่เอาชิงุเระ คินโทคิจ่อคอเขาได้ดี...


“เอ่อ...เชิญตามสบายนะครับ ผะ ผมจะออกไปรอข้างนอก” เขาพูดจนลิ้นรัว ไม่แม้แต่สบตาพิรุณ นั่นทำให้คนที่นั่งอยู่ยิ่งเศร้าหนัก ยังไงเขาก็ไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมในสายตารุ่นน้องคนนี้แล้วหรือ?


“ขอโทษนะ แรมโบ้ นายบอกว่าให้ฉันรอดมาแล้วมาขอโทษนายดีๆ ฉันจะขอโทษจนกว่านายจะอภัยให้”


พิรุณเอ่ยเงื่อนไขที่อัสนีบอกเขาเมื่อตอนที่อยู่ฟิลบาโลเน่ ทำให้ดวงตาสีมรกตคู่นั้นสั่นระริก อัสนีสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเผยยิ้มยินดีให้รุ่นพี่...นับเป็นยิ้มแรกนับตั้งแต่วันนั้น เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ได้เท่าวันนี้ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ว่ายิ่งโต...เขาก็ยิ่งต้องทำใจแบกรับแฟมิลี่มากขึ้น


มันเป็นหน้าที่อันทรงเกียรติของเขา...หน้าที่ที่ผู้พิทักษ์แหวนอัสนีต้องรับผิดชอบ


“ผมน่ะ มันพวกความอดทนสูง ไม่ได้เหมือนคุณยามาโมโตะ” น้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความดูแคลนอย่างเด็กๆ “ผมรอได้เสมอครับ แต่ตอนนี้คุณน่ะต้องคุยกับคุณโกคุเดระก่อน เขาเป็นคนที่คุณอยากคุยด้วยมากที่สุดไม่ใช่เหรอครับ”


“แรมโบ้...”


“ขอโทษเขา ผมเชื่ออยู่แล้วว่าคุณโกคุเดระต้องได้ยิน” รอยยิ้มกว้างของอัสนีผุดพรายขึ้นเมื่อมองไปยังร่างโปร่งบางที่อยู่บนเตียง แต่ทว่ารอยยิ้มนั้นอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่มได้ไม่นานก็ต้องหม่นลงอีกครั้ง เพราะนึกถึงระยะเวลาของวายุและอาการปัจจุบันที่มันยังไม่สู้ดี


“คุณโกคุเดระ เหลือเวลาอีกประมาณสองวัน เขาจะได้ยินเสียงพวกเราอีกแค่สองวัน ต่อจากนั้นถ้าโชคดีเราจะได้คุยกับเขาตอนที่เขาฟื้น แต่ถ้าเราโชคร้าย...ถึงจะอยากคุยแค่ไหน ก็คงส่งไปไม่ถึงแล้ว”


อัสนีแห่งวองโกเล่ควบคุมเสียงของตัวเองที่มันสั่น เขารีบรุดออกจากห้องอย่างรวดเร็ว โดยปล่อยให้พิรุณอยู่กับร่างไร้สติเพียงลำพัง ตลอดสี่ห้าวันมานี้ที่เขายังไม่ฟื้น คงจะมีคนที่นั่งเศร้าอยู่ข้างเตียงหมอนี่ทุกวัน...


ดวงตาสีเปลือกไม้ยังคงมองใบหน้าซีดเซียวของวายุ มันเหมือนเหลือเกิน เหมือนกับคืนนั้น คืนที่เขาไปหาคนๆนี้ถึงห้องที่คฤหาสน์ฟิลบาโลเน่ เขาจำได้ว่าดวงหน้านี้ก็ขาวซีด แต่ว่าตอนนั้นกลับตีหน้าโกรธเพื่อปกปิดความอ่อนแอของตัวเองเอาไว้ แต่ตอนนี้สิ มันกลับไม่มีอะไรเลยนอกจากความโรยแรง อ่อนเพลีย ราวกับสายลมบางเบาจะหยุดพัดอยู่ทุกเวลา


“โกคุเดระ...ฉันอยู่ตรงนี้นะ อยู่ข้างๆนาย...” พิรุณเอ่ยคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก มีหลายอย่างที่เขาอยากบอก และอยากให้มันส่งถึงคนที่นอนอยู่ทุกถ้อยคำ มือใหญ่เอื้อมไปกุมมือเย็นเฉียบของร่างโปร่งบางอย่างแผ่วเบา


“ฉันอยากให้นายได้ยิน แม้ว่าตอนนี้นายอาจจะยังจำฉันไม่ได้ ตอนนี้ทุกคนรอนาย รอที่นายจะฟื้นขึ้นมา พวกเราเหลือเวลาอีกสองวัน นายอาจจะคิดว่าทุกคนทำใจได้ถ้านายไม่ฟื้น แต่เปล่าเลย...โกคุเดระ ไม่มีใครทำใจได้...ไม่มีสักคนเดียว”


ยิ่งพูด คนที่ยิ่งเจ็บไปถึงขั้วหัวใจก็คือพิรุณ รู้สึกก้อนสะอื้นจะมาจุกอยู่ที่ลำคอ ดวงตาร้อนผ่าว น้ำเสียงสั่นเครือจนเขาต้องหยุดพูดเพื่อสูดหายใจเข้าลึกๆควบคุมสติ ยิ่งจ้องใบหน้านั้นเท่าไหร่ พิรุณก็ยิ่งสัมผัสถึงความอ่อนแอของหัวใจตัวเอง


“ฟื้นขึ้นมาเถอะ... สึนะอยากคุยกับนายเขาเลี่ยงงานที่หอมาดูนายทุกวัน...แรมโบ้ เด็กคนนั้นไม่เคยไปไหนเขานั่งเฝ้านายอยู่ข้างเตียงตลอดเวลา รุ่นพี่ซาซางาวะเขาก็ห่วงนาย...หรือแม้แต่มุคุโร่กับฮิบาริ สึนะบอกว่าถึงสองคนนั้นจะไม่ค่อยมาโรงพยาบาล แต่เขาก็ถามอาการนายบ่อยๆและรับผิดชอบงานของนายกับฉันอยู่”


พิรุณพร่ำบอก เขาไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป ยามาโมโตะ ทาเคชิ ไม่เคยร้องไห้ เขาไม่เคยร้องไห้ง่ายๆแบบนี้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างถาโถมใส่เขาจนไม่ไหวอีกต่อไป แต่เขาก็รู้ว่าสายลมก็ต้องเสียน้ำตานับไม่ถ้วนเหมือนกัน ดังนั้นเขาจะปล่อยให้มันไหล...ไหลจนกว่าจะพอใจ


มือบางของวายุถูกยกขึ้นมาแนบแก้ม สัมผัสเย็นชืดซึมผ่านผิวเนื้อ พิรุณกุมมือนั้นให้แน่นยิ่งขึ้นก่อนจะกระซิบประโยคอย่างแผ่วเบา เป็นประโยคที่เขาอยากบอกสายลมมากที่สุด


“ส่วนฉัน...ฉันอยากให้นายฟื้น นายรู้มั้ยว่าตอนนี้ฉันทรมาน...ทรมานมาก ฉันยังไม่ได้ขอโทษนาย ยังไม่ได้สารภาพผิดในสิ่งที่ฉันทำไป... นายจะไม่ตื่นขึ้นมาฟังฉันหน่อยหรอ...”


พิรุณกลั้นเสียงสะอื้นเมื่อนึกถึงประโยคนี้ มันเป็นสิ่งที่ตราตรึงในจิตใต้สำนึก เป็นสิ่งที่พิรุณกลัวถ้าเขาไม่สามารถทำได้ เพราะมันเป็นสัญญาข้อสุดท้าย...ที่เขาให้ไว้กับวายุ เขาต้องทำมันให้สำเร็จ


สัญญาที่เขาไม่มีวันลืม...


“ฉันจะอยู่กับนาย...ตลอดไป” ใบหน้าคมคายโน้มเข้าไปใกล้ ริมฝีปากประทับกับหน้าผากนวลเป็นคำยืนยันว่าเขาจะอยู่กับสายลมไม่จากไปไหน แม้ว่าหัวใจของคนๆนี้สุดท้ายจะไม่ได้อยู่ที่เขา แม้ว่าสุดท้ายจะไม่มีคนที่ชื่อว่ายามาโมโตะ ทาเคชิอยู่ในความทรงจำของสายลม


แต่ว่าเขาสัญญา...


สัญญาว่าจะกุมมืออันบอบบางคู่นี้เอาไว้...สัญญาว่าจะพยุงสายลมขึ้นมายามหกล้ม...สัญญาว่าจะดูแล มิให้อันตรายใดๆมากล้ำกราย...


จนกว่าพิรุณจะไร้ซึ่งลมหายใจ...








ฐานทัพส่วนตัว ฮิบาริ เคียวยะ


เสียงไม้ไผ่เคาะลงกับโขดหินเป็นจังหวะเมื่อน้ำไหลลงมาเต็มจนรับน้ำหนักไม่อยู่ ลมพัดกระทบกับใบไผ่เสียดสีกันน่าฟัง มันยังคงเป็นบ่ายธรรมดาของผู้พิทักษ์เมฆาแห่งวองโกเล่ที่แต่งชุดยูกาตะ นั่งจิบน้ำชาอ่านหนังสือ ความเงียบสงบไม่วุ่นวายเหมือนกับหอใหญ่เป็นเหตุผลฮิบาริอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน และเกลียดการที่มีกลุ่มคนสุมหัวรวมกันก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ย่างกรายไปเหยียบโรงพยาบาล


“คุณเคียว...มีแขกครับ...เอ่อ ไม่ค่อยน่ารับ” คุซาคาเบะเลื่อนประตูเปิดเบาๆ แขกที่ว่ายืนอยู่ข้างหลังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจนเขารู้สึกคลื่นเหียน แต่ไม่ทันที่จะอนุญาตแขกที่ไม่ได้รับเชิญก็เข้ามาในห้องแล้วทรุดตัวนั่งตรงหน้าเขา ฮิบาริหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างประเมินแต่ก็ยังไม่หลุดมาดนิ่งๆของเจ้าถิ่น


“มาทำไม”


“คึหึหึหึ ไม่ได้อยากมาหรอกครับ เผอิญงานของมือขวาชั่วคราวน่าเบื่อไปหน่อย เลยมาเดินเล่นน่ะครับ” คำตอบพร้อมหน้าเปื้อนยิ้มของแขกทำให้เมฆาเกิดอาการฉุนขึ้นจมูกทันที รอยยิ้มมุมปากกระตุกเล็กน้อยแต่แสดงความไม่สบอารมณ์


“เสียใจ ฉันไม่มีอารมณ์เล่นกับแก”


“ผมก็ไม่ได้มาเพื่อเล่น” สายหมอกโบกมือเป็นระวิง ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานกว้างขึ้น “แต่มีข่าวดีมาบอกคุณน่ะครับว่าตอนนี้ ยามาโมโตะคุงฟื้นแล้ว ตอนนี้สึนะโยชิคุงก็ยังอยู่ที่โรงพยาบาล”


ข่าวนั้นไม่ได้ทำให้เมฆามีอาการเท่าใดนัก นอกจากสบตากับสายหมอกอย่างตรงๆ อารมณ์ที่เคยนิ่งสงบกำลังเหมือนโดนปั่น ก็คนตรงหน้าพูดโยกไปเย้มาจับความไม่ได้สักที


“แล้วยังไง”


“ฮิบาริคุง ไม่คิดจะไปเยี่ยมพวกเขาบ้างเหรอครับ”


“ไม่” คำตอบชัดเจนสวนกลับมาในเสี้ยววินาทีแบบไม่ได้ผ่านสมองคิดแต่อย่างใด ทำให้สายหมอกมองคนยั่วยากด้วยความอ่อนใจแกมระอา แต่ใบหน้ากลับกรีดยิ้มหวานรับคำตอบไม่ได้สะทกสะท้านว่าเป็นคำปฏิเสธ


“ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอครับ”


“สัตว์กินพืชใกล้ตาย ไปเยี่ยมก็เท่านั้น ไม่ว่าสัตว์หรือคนถ้าจะตายก็ต้องตาย ถ้ามีค่าพอที่จะอยู่ก็ต้องฟื้น มันเป็นสัจธรรมของสิ่งมีชีวิตบนโลก...ซึ่งผีอย่างแกคงไม่เข้าใจ” ผีที่ว่าอุทานออกมาเบาๆ สัจธรรมส่วนตัวของผู้พิทักษ์เมฆาคมบาดหูซะนี่กระไร แต่ก็ไม่ต่อความ เพราะความคิดภายใต้สีหน้าเรียบๆของเมฆาคิดอะไรอยู่ สายหมอกมองออกทุกอย่าง 

อย่าลืม...เขาคือโรคุโด มุคุโร่ ผู้หยั่งรู้ความคิดความอ่านของคนอื่นราวกับไปนั่งในใจ


“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เช้าผมรุดหน้าไปรอที่โรงพยาบาลก่อนก็แล้วกัน” พูดทิ้งท้ายแค่นั้นแล้วเจ้าตัวก็ลุกเดินออกไป ดวงตาสีรัตติกาลตวัดมองจนคนกวนประสาทเดินหายไป คำสบถเล็ดลอดผ่านริมฝีปากเบาๆอย่างหัวเสีย ไม่ว่ายังไงเขาก็เกลียดหมอนั่น มากกว่าเกลียดด้วยซ้ำ!


มันบังอาจมาล้วงความคิดของเขา...


พลันอารมณ์ก็กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง เมื่อนึกถึงบรรดาคนที่อยู่โรงพยาบาล ตอนนี้จำเลยก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็เหลือแต่โจษก์สินะ ละครชีวิตที่มีแต่คนสองคนเป็นผู้ตัดสิน โดยมีวายุเป็นผู้พิพากษารับฟังคำร้องของจำเลยอย่างพิรุณก็น่าดูไม่เลว



รอให้ฟื้นก่อนก็แล้วกัน...






TBC…

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น