หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2557

Fic KHR [8059] My wind...our wind : Chapter19



Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama  Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ



Chapter 19 Match point



ในห้องทำงานที่กว้างใหญ่ มันน่าจะดูเล็กไปนับแต่วินาทีต่อไปนี้ ลมหนาวพัดวูบเข้ามาในห้อง แต่ไม่อาจสะเทือนไปถึงจิตใจของคนทั้งสองคนที่ยืนถืออาวุธสบตากันอย่างท้าทาย คนหนึ่งคือบอสแห่งฟิลบาโลเน่แฟมิลี่ พ่อบังเกิดเกล้าแท้ๆของวายุแห่งวองโกเล่ และอีกคน ผู้พิทักษ์พิรุณ ยามาโมโตะ ทาเคชิ


ห้องนี้เงียบงัน...ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจ...


“ถึงคุณจะเป็นพ่อของหมอนั่น แต่ไม่ใช่เหตุผลที่ผมจะออมมือให้” พิรุณเอ่ยขึ้น ดาบในมือกระชับให้แน่นขึ้นเรื่อยๆ มือชื้นไปด้วยเหงื่อ คิ้วมุ่นเข้าหากันเป็นภาพที่เห็นได้ยาก ชายอาวุโสเผยรอยยิ้มน้อยๆ แค่นหัวเราะเบาๆ


“ไม่เคยจำได้ว่าให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างเธอมาออมมือให้ การสู้อย่างเต็มฝีมือถือเป็นการให้เกียรติแก่กันและกัน วางใจได้ว่าตำแหน่งพิรุณแห่งวองโกเล่มีฐานะมากพอที่สมควรได้รับเกียรตินั้น” ชายอาวุโสควงไม้กระบองแหวกอากาศดังเป็นเสียงแหลมบาดหู แล้วหันปลายไม้กระบองชี้ไปที่หน้าของพิรุณ


“เข้ามา!


เด็กเมื่อวานซืนกระตุกรอยยิ้ม เขาก้าวประชิดตัวอีกฝ่ายด้วยความเร็ว ดาบคมวาดยาวออกไปข้างหน้าจนจับตามองไม่ทันหมายจะให้อีกฝ่ายได้เลือด แต่ทว่าไม่ง่ายขนาดนั้น ไม้กระบองยาวยกขึ้นมาปกป้องผู้ใช้ด้วยท่าทางสบายๆ พิรุณนึกชมอยู่เล็กน้อยถึงอายุน่าจะมาก แต่เรี่ยวแรง พละกำลัง ความเร็วกลับไม่สมเหตุสมผล


แบบนี้แหล่ะ ขิงน่ะยิ่งแก่มันก็ยิ่งเผ็ด


เพลงดาบสำนักชิงุเระ โซเอน กระบวนท่ารุกที่ 8 พิรุณกระหน่ำแทง!” เพลงดาบประจำสำนักที่ลือเลื่อง ถูกงัดขึ้นมาใช้ นับเป็นการจู่โจมที่รวดเร็วและรุนแรงที่สุดและเป็นท่าที่พิรุณถนัดที่สุด ชายอาวุโสเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนจะกระโจนหลบเพราะคิดว่าหากประทะตรงๆคงจะแย่


เสียงดาบแหวกอากาศดังอย่างน่าหวาดเสียว ชายอาวุโสเหลือบมองที่ต้นแขนตัวเองที่เสื้อเชิ้ตฉีกขาดออกแล้วมีเลือดสดๆไหลทะลักออกมาจากการหลบไม่พ้นคมดาบ


ได้เลือดแล้วล่ะครับ เจ้าของเพลงดาบยิ้มเหยียด พลางสายตามองบาดแผลของคู่ต่อสู้สลับกับคมดาบของตนเองที่มีเลือดชโลมอยู่


บอสของฟิลบาโลเน่ไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย เขารู้สึกดีใจด้วยซ้ำไป อย่างน้อยไอ้เด็กตรงหน้านี่ก็ไม่ได้เก่งแต่ปาก


ถึงว่าล่ะ...ทำไมสายของฟิลบาโลเน่ถึงได้จับตามองนัก


“การต่อสู้ถ้าไม่ได้เลือดคงจะไม่สนุก แต่ไม่คิดว่าพวกรักสันติวิธีอย่างวองโกเล่จะชอบ”พิรุณขยับยิ้มเย็น นึกค้านอยู่ในใจ สันติวิธีงั้นหรอ วองโกเล่เป็นคนดีในสายตาแก๊งค์อื่นขนาดนั้นเลยรึไง มันตัดกับประวัติศาสตร์อันยาวนานเกินปกติของวองโกเล่อยู่หน่อย


“ไม่ได้ชอบครับ แค่เลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อสันติวิธีมันไม่ช่วยอะไร ถ้าคุณยอมแพ้ตั้งแต่คุยกับสึนะตั้งแต่แรก เรื่องมันคงไม่บานปลาย อย่างว่าล่ะครับ ทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง”


เหตุผลของตัวเอง...


ไม่ใช่แค่พวกรักสันติวิธี...ยังมีความคิดความอ่านเหมือนกันทั้งแฟมิลี่อีกด้วย...น่าทึ่งจริงๆ


บอสแห่งฟิลบาโลเน่สะบัดกระบองเหล็กสีเงินวาว แต่ทันทีที่กระบองหยุดนิ่งในมือเปลือกนอกของกระบองค่อยๆเลื่อนออก แล้วแบ่งมันออกเป็นสองส่วนกลายเป็นมีดคู่คมเฉียบที่มีไฟธาตุนภาสีส้มคลุมอยู่อย่างน่าเกรงขาม


“งั้นก็ขอดูเหตุผลเธอหน่อยละกัน ถ้าผ่านฉันอาจจะรับไว้พิจารณา”


พิจารณา?


พิรุณแทบหลุดขำ เขาไม่ชอบให้บรรยากาศต่อสู้ต้องเครียด มุกนี้คงใช้ได้นะ อุตส่าห์ด้นคิดสดๆ




“ได้เสมอครับ เป็นลูกเขยของท่านคงสบายไม่หยอก”







ชั้นสี่ ชั้นห้องข้อมูล


ผลั่ว! ตุ้บ... ตุ้บ


ชายฉกรรจ์กึ่งศพกึ่งมีชีวิตร่วงลงกับพื้นพร้อมๆกับอาวุธ สองซาตานแห่งวองโกเล่ยืนมองรอบๆตัวเองที่พื้นกองไปด้วยคนเจ็บเจียนตายด้วยดวงตาเหยียดๆ รอยยิ้มพรายผุดขึ้นบนใบหน้าของทั้งสองราวกับยินดีที่บริการไปส่งถึงประตูนรก
ดวงตาสีรัตติกาลชายหางตามองพันธมิตรชั่วคราวที่ถือสามง่ามอยู่ แค่มองขนาดนี้ยังรู้สึกหมั่นไส้แทบอยากจะฆ่าให้ตายคามือเขา เป็นคนเดียวที่ฝากรอยแค้นเอาไว้อย่างแน่นหนา จนเขาตั้งปณิธานเอาไว้กับตัวเองว่า สักวันหนึ่งจะต้องฆ่ามันให้ได้ แต่เมื่อกี้เขาทำอะไร...


ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ


ดูเหมือนหางตาที่เมฆามองมาจะถูกคนความรู้สึกเร็วจับได้เข้า สายหมอกหันมาระบายยิ้มละไม แต่ในใจเมฆามันช่างน่าขยะแขยง


“เอ้า! ยืนอยู่ทำไมล่ะครับ รีบไปกันเถอะ ป่านนี้วองโกเล่คงบุกได้ถึงใจกลางของแฟมิลี่แล้วช่วยโกคุเดระคุงได้แล้วมั้งครับ”


มันกล้าดียังไงมาสั่งเขา...


“แกอยากไปไหนก็ไป ไม่เกี่ยวกับฉัน”


“แต่ทางที่ผมจะไปเนี่ยมันใกล้ห้องของคุณพ่อโกคุเดระคุงที่สุดแล้วนะครับ ถ้าฮิบาริคุงขยันอยากจะไปอีกทางก็เชิญแต่ว่าต้องอ้อมสองตึกนะครับ” สายหมอกยิ้มพร้อมโชว์แผนที่หรา ยิ่งกระตุกความอดทนของอีกฝ่ายให้ใกล้ขาดเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าสักวัน แต่คิดว่าอาจเป็นวันนี้ที่สองซาตานจะซัดกันตายเองในขณะปฏิบัติงาน


ให้ประวัติศาสตร์จารึกไปเลยว่าผู้พิทักษ์วองโกเล่รุ่นที่สิบว่างงานขนาดไหน


“ผมทราบครับ ว่าฮิบาริคุงไม่พอใจในตัวของผมมากอยู่ แต่คุณไม่ควรจะยึดติดเบื้องหลังเมื่อคราวนั้นของพวกเรา ตอนนั้นผมก็แค่อยากจะหาตัววองโกเล่แต่ต้องเข้าใจนะครับว่าผมไม่มีข้อมูล เลยต้องไล่กวดเด็กโรงเรียนนามิโมริและเดือดร้อนถึงคุณ แต่ตอนนี้เราเป็นเพื่อนร่วมแฟมิลี่กันนะครับ...”


เหมือนจะเบรกไม่อยู่ซะแล้ว ทอนฟาสีเงินพุ่งเข้าใส่คนที่กำลังพล่ามอยู่อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทันที่อาวุธจะระคายผิวของจอมขมังเวทย์แห่งวองโกเล่ สามง่ามคู่ใจก็ถูกยกขึ้นมากันไว้ก่อน


“ฉันไม่เคยจำได้ว่านับพวกแกเป็นเพื่อน”


“ไม่นับตอนนี้ก็คงไม่ได้มั้งครับ  ผมมีเวลาให้คุณอีกเยอะ ชั่วชีวิตของผมเลยก็ยังได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาของพวกเราขอให้คุณเข้าใจหน่อย กลับไปวองโกเล่เมื่อไหร่เรายังเป็นเพื่อนเล่นกันได้เสมอนะครับ”


เพื่อนเล่น?


ดวงตาสีรัตติกาลปรายมองเพื่อนเล่นของตัวเองอย่างเหยียดๆ ก่อนจะผละออก ที่อีกฝ่ายพูดมันก็ถูก เขามีเวลาอีกเยอะ อีกอย่างอยากให้หลุมฝังศพของมันดูกว้างกว่านี้


“กลับไปค่อยเล่นกันนะครับ ตอนนี้มันเป็นการเล่นแบบพาร์ทเนอร์ คุณจำเป็นที่จะต้องเป็นคู่หูผมชั่วคราว” สายหมอกเน้นหนักที่คำว่า จำเป็น อย่างชัดเจน เพราะตัวเองก็รู้สึกจำเป็นเช่นกัน คู่หูของเขากรีดรอยยิ้มรับ


ใช่...กลับไปค่อยเล่นกัน...


“หวังว่าเล่นเกมคู่กับนายมันจะไม่กร่อยหรอกนะ โรคุโด มุคุโร่” สายหมอกแย้มริมฝีปากให้กว้างขึ้นจนรอบข้างรู้สึกหนาวยะเยือก เขามองไปทางข้างหน้า ถ้าจะเทียบแล้วก็คือเส้นชัย ลมหนาวไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนพัดวูบ


“คึหึหึหึ...ผมทราบครับตอนนี้คุณอยากเชือดจ่าฝูงเต็มแก่...ไม่ต้องห่วงครับ...ผมน่ะ ทำให้คุณสนุกได้เสมอ”







ทางด้านผู้พิทักษ์อรุณและอัสนี


“วองโกเล่...ไม่ติดต่อมาเลยนะครับ” คนอายุน้อยกว่าเปรยขึ้นเบาๆตามนิสัยกลัวนู่นเกรงนี่ นี่มันก็จะรุ่งเช้าอยู่แล้ว นึกทึ่งอยู่เล็กน้อย เมื่อคืนไม่ได้นอนกันเลย แต่ไม่ได้รู้สึกเหนื่อย เลือดร้อนๆถูกฉีดพล่านทั่วร่างกาย ในใจมีเรื่องให้ขบคิดตลอดเวลา


อรุณหันกลับมามองรุ่นน้องแล้วพยักหน้ารับรู้ เขาเองก็ไม่ได้รับการสื่อสารจากคนอื่นๆเหมือนกัน ไม่รู้ว่าการเคลื่อนไหวเป็นยังไงบ้าง


“แรมโบ้ นายคิดว่าซาวาดะจะปะทะกับพ่อของไอ้หัวปลาหมึกหรือยัง” เท่าที่คิดได้ว่าเงียบไปแบบนี่ น่าจะไม่ว่าง ถ้าไม่ใช่ตะลุยเปิดทางอยู่ชั้นบน ก็น่าจะพบกับบอสเรียบร้อยแล้ว แต่ดูเขากับอัสนีสิ ยังติดเหง็กอยู่ที่ชั้นห้าเนี่ย ไม่รู้ว่าทำไมชั้นนี้กองกำลังแน่นกว่าชั้นอื่น เดินเพ่นพล่านเต็มไปหมด


อัสนีมุ่นคิ้วคิด ก่อนจะส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าคิดว่ายังไม่ได้ปะทะ แต่เป็น...ไม่รู้ต่างหาก


“แต่คนอย่างซาวาดะ ถ้าคิดว่าจะเจาะแก่นได้นานขนาดนี้ไม่น่าจะปล่อยเหตุการณ์ให้มันเป็นตามแผนที่วางไว้แต่แรก ไม่งั้นไม่ทันกินหรอก หมอนั่นน่ะ ต้องส่งคนไปปะทะบอสแล้วแน่ๆ”


“แล้วจะเป็นใครล่ะครับ?


“ไม่รู้สิ” คนอาวุโสกว่าส่ายหน้า แต่ไม่ทันจะคิดอะไรต่อ เครื่องมือสื่อสารที่มันร้างมาตลอดสองชั่วโมงก็ดังขึ้น


“โรคุโดรึ ว่าไง” ผู้พิทักษ์อัสนีที่ได้ยินรีบกระเถิบเข้ามาใกล้คนถือเครื่องมือสื่อสารโดยอัตโนมัติเมื่อรู้ว่าคนติดต่อมาคือสายหมอกซึ่งปัจจุบันไม่รู้หายสาบสูญไปอยู่ไหน


“อือ ตอนนี้ฉันอยู่ชั้นห้า ศัตรูเยอะสุดหูรูดเลยเฟ้ย ซ่อนตัวอยู่เนี่ย แล้วนาย...”


อรุณเงียบไปแวบหนึ่งเพื่อให้คนปลายสายตอบ แต่พอได้คำตอบมาอรุณแทบปิดปากตัวเองไม่ทัน แต่พอคุณก็ยังไม่ลืมอาการตกใจ แต่แค่เบาเสียงลงกว่าเดิมมากกว่าปกติ


“หา! นี่นายอยู่กับฮิบาริเรอะ ตั้งแต่เมื่อไหร่ฟะ? เออๆ ช่างเหอะ ตกลงว่าแกจะบุก?


คำว่า บุก ทำให้อัสนีตาโตขึ้น ไอ้ที่เรียกว่าบุกนี่ คือเจาะรังหัวหน้าแล้วชิงตัววายุคืนเลยใช่มั้ย นี่เขาจะขึ้นเขียง เอ๊ย สังเวียนแล้วใช่มั้ย


“โอ้ว ก็ได้ กำลังว่าง ซาวาดะรุดหน้าไปก่อนแล้วใช่มั้ยล่ะ...ไอ้พวกที่มันเดินเฉี่ยวจมูกฉันไปมาอยู่เนี่ยขอเวลาประมาณห้านาที”


“งั้นเหรอ...อือ แล้วเจอกัน” อรุณวางสายแล้วหันไปมองรุ่นน้องที่กำลังมองตาปริบๆ เขารู้ดีว่าอัสนีคิดอะไรอยู่ ความจริงแล้วเด็กไม่ควรจะมาพัวพันกับเรื่องแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะผ่านศึกใหญ่ๆมามากแล้วก็ตาม แต่เขาเชื่อว่าต่อให้ไล่กลับรถก็คงไม่ไปหรอก หมอนี่ดูลุกลี้ลุกลนสุดตั้งแต่ออกมาจากวองโกเล่


คงจะห่วงโกคุเดระมาก...สินะ


“ได้เวลาไปแล้ว แรมโบ้”


“แล้ววองโกเล่ล่ะครับ”


อรุณยิ้มแล้วโคลงหัวเด็กชายอย่างเอ็นดู


“ซาวาดะก็ไปรอเราที่ขุมทรัพย์ลูกอมแล้วไง ดีไม่ดีอาจจะแบกกลับมาให้นายแล้วก็ได้ นายก็ไปรับซาวาดะกับฉันแค่นั้นเอง”


อัสนีพยักหน้ารับหงึกๆพร้อมยิ้มรับแก้มปริ พลางมองออกไปข้างนอก การ์ดของฟิลบาโลเน่ยังแข็งเหมือนเคย อย่างกับยกมาทั้งแก๊งค์มาอัดไว้ในชั้นนี้อย่างนั้นแหล่ะ


มีอะไรหรือยังไง...หรือว่าโดนไล่ต้อนมา


“แล้วเอายังไงครับ เรามีสอง ส่วนข้างนอกยี่สิบ” ดูยังไงก็น่าเสียเวลาชัดๆ ตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลามากพอมาเล่นกับพวกนี้หรอก


“อย่าเลย จะให้เก็บน่ะ เราสองคนเก็บไหวอยู่หรอก แต่ถ้าซาวาดะรู้ว่าเราฆ่าศัตรูตายต้องโวยแน่ๆ อีกอย่างฆ่าคนมันไม่ได้อยู่ในสาระบบของนักมวยอย่างฉัน” อรุณกล่าวเปรย ก่อนจะจุดไฟที่แหวนเป็นสีเหลืองประกายระยิบระยับแล้วอัดเข้าไปในกล่องเพื่อเปิดอาวุธออกมา นวมอรุณคู่กายปรากฏสู่สายตา


“ฉันรู้ว่านายพกระเบิดควันยาสลบ โยนมันออกไปซะ อาจจะพอตัดคู่ต่อสู้ไปซักครึ่ง ส่วนที่เหลือ...ก็แค่ทำให้เขาไปเฝ้าพระอินทร์ซักพักก็พอ”


อัสนีพยักหน้ารับรู้ แม้ว่าในใจจะสวดมนต์ภาวนาทำสัญญาจะไปอยู่กับพระจ้าเรียบร้อย เขาคว้าระเบิดควันมาไว้ในมือ เปิดสลัก แล้วก็กลิ้งมันออกไป


ควันสีเทาพวยพุ่งออกมาแพร่เข้าสู่อากาศ ยาสลบในรูปควันเริ่มออกฤทธิ์ ชายฉกรรจ์ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเริ่มล้มพับกันไปทีละคนสองคน อรุรสบตากับรุ่นน้องแล้วให้สัญญาณ


“จังหวะนี้แหล่ะ กลั้นหายใจแล้ว...ไป!” ทั้งคู่ผละออกจากที่ซ่อนออกมาอยู่ทางเดินอีกครั้ง คนที่เป็นเหยื่อยาสลบนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้น ส่วนไอ้พวกรู้ตัวก็ยกมือขึ้นปิดปากสำลักควันกันถ้วนหน้าแต่สติยังอยู่ครบทุกประการ ชายคนหนึ่งชี้มือไปที่สองผู้พิทักษ์แห่งวองโกเล่แล้วตะโกนสั่งลั่น


“เฮ้ย!! แค่กๆ มันอยู่โน่น!!! ไปจับมันสิโว้ย!!!


“แรมโบ้! เผ่น! วิ่งสุดหูรูดดดดดด!!!


เหล่าการ์ดชุดใหม่ไม่รู้ผุดมาจากใต้ดินชั้นไหน วิ่งกรูใส่พวกเขาเป็นโขยง สองผู้พิทักษ์เลยยอมสละศักดิ์ศรีวิ่งหนีสุดชีวิต อารามตกใจอัสนีคว้าทุกอย่างเท่าที่จะคว้าได้ น้อยหน่าเอย บอมบ์ลูกเท่าแตงโมเอย จับอะไรได้เปิดสลัก จุดชนวนโยนทิ้งข้างหลักหมด กลับกลายเป็นว่าระเบิดตูมตัดทางศัตรูเป็นอย่างดี


ส่วนไอ้หน้าไหนที่มันมาดัก เป็นต้องเอาหน้าชนกับหมัดของนักมวยแห่งวองโกเล่กันหน้าบวมทุกคน บางคนกระเด็นติดผนังอย่างอนาถ สลบคาที่


อัสนีและอรุณวิ่งรอบชั้นที่ห้า จนผ่านห้องๆหนึ่ง มีอะไรดลใจบางอย่างทำให้ทั้งสองต้องเหลือบไปมองประตูห้องพร้อมกัน ไม่ใช่เพราะประตูสวยหรืออย่างไร แต่มันให้กลิ่นอายความรู้สึกคุ้นๆแปลกๆ



ห้องอะไรกันนะ...



ถึงจะอยากรู้แค่ไหน ตอนนี้ก็ทำได้แค่วิ่งผ่านเลยไป เพราะเป้าหมายของพวกเขาอยู่ที่ชั้นเจ็ด หากไม่รีบ อาจจะไม่ทัน
โดยที่ทั้งสองไม่รู้เลย...ว่าห้องที่พวกเขาวิ่งผ่านเลยไปนั้น...



คือห้องเก็บร่างที่ยังไม่ได้สติของคนที่พวกเขาทั้งหกกำลังตามหาอยู่อย่างสุดชีวิต...


เหมือนกับพระเจ้ากลั่นแกล้ง พรหมลิขิตมิเข้าข้างให้พวกเขาได้เจอกัน...หรือเป็นเพราะว่า...



พระเจ้าทำตามคำขอของใครบางคนกันแน่?







ห้องบัญชาการใหญ่


แปะๆๆๆ


เสียงเลือดสีแดงสดไหลออกจากบาดแผลแล้วหยดลงบนพื้นพรมชั้นดีเป็นดวงๆ ร่างกายที่เคยหาญห้าวของพิรุณบัดนี้ทรุดลงกับพื้น เสียงหอบถี่ประกอบกันเสียงหัวใจเต้นเพราะความเหนื่อยดังอยู่ภายในอก ใบหน้าร้อนผ่าว กลิ่นคาวเลือดของตัวเองลอยมาแตะจมูก


พิรุณใช้ดาบยันพื้นต่างไม้เท้าพยุงตัวเองขึ้น ดวงตาสีเปลือกไม้มองคู่ต่อสู้ซึ่งตอนนี้ยังคงท่าทีที่สบายๆไม่ค่อยต่างกับตอนเริ่มสู้ มีเพียงบาดแผลที่ต้นแขนและเหงื่อที่ย้อยเต็มใบหน้า


“แฮ่กๆๆ สมกับเป็นบอส เล่นเอาผมซะแย่” ถึงปากจะบอกว่าแย่ ร่างกายจะโทรมยังไงแต่ใบหน้ายังคงรอยยิ้ม บาดแผลที่ถูกของมีคมกรีดไม่ส่งความเจ็บปวดไปถึงกระดองใจของพิรุณเลย กลับคิดว่าเกมนี้มันสนุกขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ


“ก็เธอดันล้อเล่นไม่เข้าเรื่อง” พิรุณหัวเราะในลำคอ มองอีกฝ่ายเขม็ง แต่ตอนนี้ในมือของชายอาวุโสจากมีดคู่ถูกประกอบเข้าให้กลายเป็นกระบองเหล็กไปแล้ว


“ฮะๆๆๆ ผมเปล่าล้อเล่นครับ ถึงยังไงพวกผมอุตส่าห์มาถึงนี่ไม่ยอมเสียแรงเปล่าๆ ต้องได้ของกลับไปด้วย ไม่อย่างนั้นคงจะไม่กลับไปให้ขายหน้าลูกน้อง”


“วองโกเล่ไม่ชอบการเสียเปรียบ...ฉันรู้” พิรุณพยักหน้าเห็นด้วย มือที่ตอนนี้เย็นเฉียบเหนียวเหนอะไปด้วยเลือดกุมดาบแน่น พอชายอาวุโสเห็นอย่างนั้นแล้ว ก็ยกมือขึ้นห้ามเอาไว้ท่าทางใจเย็น


“ช้าก่อน...สภาพเธอตอนนี้ไม่ไหวหรอก ฉันเองก็ไม่อยากให้ใครมาหาว่ารังแกเด็ก เรียกเพื่อนเธอมาเปลี่ยนตัวก็ได้นะฉันไม่ว่า หรือจะให้สึนะโยชิคุงมาปิดเกมเลยก็ได้”


“ไม่ครับ...” คนถูกท้าส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะเหยียดยิ้ม “ผมสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าคนที่จะช่วยหมอนั่น ต้องเป็นผมเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์”


บอสแห่งฟิลบาโลเน่หรี่นัยน์ตาลงอย่างประเมิน คนที่อยู่ตรงหน้าเขาสมกับเป็นผู้พิทักษ์แห่งวองโกเล่ซะจริงๆ สภาพแบบนี้กำลังใจยังดีเยี่ยม...สมแล้วที่เป็นเหล่าวองโกเล่รุ่นที่สิบที่ผ่านมือของหน่วยลอบสังหารชั้นเซียนก่อนจะขึ้นครองตำแหน่ง


ไม่แปลกใจว่าทำไมเจ้าฮายาโตะถึงติดวองโกเล่นัก


“ถอยไปดีกว่ายามาโมโตะคุง คฤหาสน์ของฉันไม่ปรารถนาจะมีศพจากวองโกเล่”


“ยังเร็วเกินไปนะครับ ที่จะตัดสินขีดชะตาชีวิตผม” พิรุณยังคงดื้อด้าน พยายามสะกดใจตัวเองให้ลืมความเจ็บปวดจากบาดแผล ความจริงมันจะเริ่มจากนี้ต่างหาก


“อย่าล้อเล่นกับความตาย” ชายอาวุโสเตือนเสียงต่ำ เริ่มหมดความอดทนกับไอ้เด็กดื้อแล้วเหมือนกัน


“ยังไม่มีอะไรชี้แน่ชัดว่าผมจะตาย”


“ถอยออกมาซะ ยามาโมโตะ!


ไม่ใช่เสียงจากบอสของฟิลบาโลเน่ แต่เป็นเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากประตู พิรุณหันไปมองก่อนจะเบิกตากว้าง เขายอมรับว่าเขายินดีก็ได้ที่ได้เห็นคนๆนี้อีกครั้ง เด็กหนุ่มใส่ชุดสูทพร้อมเปลวไฟดับเครื่องชนสีส้มผุดขึ้นที่หน้าผาก พร้อมกับถุงมือวองโกเล่ที่หลังมือเป็นตราสัญลักษณ์เป็นหัวแหวน


บอสของวองโกเล่กำลังยืนอยู่ตรงนี้!


“ถอยออกมา ต่อไปนี้ขอให้เป็นหน้าที่ฉัน” นภาแห่งวองโกเล่เดินเข้ามาพูดกับพิรุณแล้วค่อยมองไปยังคู่ต่อสู้ที่ยืนยิ้มรับแขกคนสำคัญ พิรุณทำท่าจะเถียง แต่มีเสียงๆหนึ่งดังขัดเอาไว้พร้อมยึดไหล่ของเขาเอาไว้ด้วย


“เชื่อฟังบอส คือหน้าที่ของผู้พิทักษ์นะ ยามาโมโตะ” นักฆ่าใบหน้าคมคายในหมวกทรงสูงพร้อมชุดสูทสีดำเป็นเอกลักษณ์กำลังยืนอยู่ข้างหลังเขา เจ้ากิ้งก่าสารพัดประโยชน์ยังคงเกาะอยู่บนปีกหมวกเช่นเดิม


ไม่ผิดแน่...เขาไม่ได้เลือดเข้าตาจนเบลอหรอก


“เจ้าหนู!!! มาได้ยังไง”


“ขึ้นรถมา งานมันส์แบบนี้รับรองฉันไม่พลาด”


นภาแห่งวองโกเล่หันไปประจันหน้ากับคู่กรณีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คงไม่ใช่เจรจากันด้วยเหตุผลหรือคำถามสามข้อเหมือนคราวนั้น แต่ตอนนี้คงต้องใช้กำลังตัดสินอย่างเลี่ยงไม่ได้


“ขอโทษครับคุณลุง แต่ผมไม่มีทางเลือก”


“ฉันเข้าใจ” บอสแห่งฟิลบาโลเน่ยิ้มบางๆแล้วพยักหน้ารับ ความรู้สึกที่มอบให้มันดูเหมือนอบอุ่นเหมือนกับตอนที่เจรจากันไม่มีผิดเพี้ยน


“ทุกคนมีทางเลือกเป็นของตัวเอง แต่ตอนนี้เป้าหมายของเธอกับฉันเหมือนกัน แต่มันคนละทางเลือก...”


“...”นภามองด้วยสายตาสงบ สูดลมหายใจเข้าลึก มาจนถึงวินาทีนี้แล้วเขาคงต้องเดินต่อไป แล้วไม่มีวันถอยหลังเด็ดขาด เป้าหมายก็รออยู่ข้างหน้าแล้ว ความคิดแวบหนึ่งผุดขึ้นเข้ามาในหัว พร้อมภาพของแฟมิลี่ที่ครบหน้าทุกคน ไม่ขาดใครไปแม้แต่คนเดียว


อยู่ด้วยกัน...ตลอดไป


“มาสิสึนะโยชิคุง...เรามาปิดเกมกันซักที”







TBC…

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น