Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 23 Look around…You'll never walk
alone
สามวันนับจากนั้น...
“คุณซาซางาวะ กาแฟครับ ”
“โอ๊ะ ขอบใจ”
ผู้พิทักษ์อรุณรับกาแฟร้อนหอมกรุ่นมาจากอัสนีแล้วยกขึ้นจิบ
ตอนนี้เขามีหน้าที่เฝ้าไข้ผู้พิทักษ์พิรุณอยู่ในห้องพิเศษ
อืม...เรียกว่าพิเศษยิ่งกว่าตรงที่หรูหราฟู่ฟ่าไม่ต่างจากโรงแรมห้าดาว
เฟอร์นิเจอร์เกรดเอครบครัน ทั้งแจกันดอกไม้ โต๊ะ ตู้ โซฟาและเครื่องปรับอากาศ
มองออกไปนอกกำแพงกระจกใสมองเห็นเมืองทั้งเมือง
ม่านสีอ่อนประดับดูดีกว่าอพาร์ทเม้นท์ชื่อดังทั่วไปด้วยซ้ำ
แต่ก็คงไม่มีใครอยากจะเข้ามาอยู่
ใช่...พิรุณถูกย้ายมาห้องนี้เมื่อสองวันก่อนหลังจากผ่าตัดเสร็จ
มีแพทย์มือดีมาตรวจดูอาการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่ก็ยังไม่มีท่าทีจะฟื้น
ร่างสูงยังคงแน่นิ่งบนเตียง
มีเครื่องช่วยหายใจที่ทำงานวัดคลื่นหัวใจเขาดังติ๊ดๆเป็นจังหวะ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงแสดงว่ายังหายใจ
ก็พอจะสรุปได้ตอนนี้ว่า ยามาโมโตะ ทาเคชิยังไม่ลาโลกใบนี้
แต่ไม่รู้จะฟื้นเมื่อไหร่...เท่านั้นเอง
“วันนี้วองโกเล่จะเข้ามาหรือเปล่าครับ”
อัสนีหันหน้าไปถามรุ่นพี่ เขาล่ะปลาบปลื้มใจแทนคนป่วย นภาแห่งวองโกเล่เจียดเวลามาเยี่ยมไม่ได้ขาด
ถ้านอนค้างได้ก็คงนอนไปแล้วด้วยซ้ำ
“มาสิ
แต่วันนี้คงจะเป็นตอนเย็นๆ เห็นว่าต้องเคลียร์งานนาน
ฉันเองก็เหมือนกันตอนบ่ายก็ต้องกลับ แล้วนายล่ะ?”
“ตลอดวันครับ...ช่วงนี้วองโกเล่ไม่ป้อนงานผมซักนิด
ถึงมีงานผมก็ไม่ทำแน่ล่ะครับ”เด็กชายยิ้มแป้นตอบทันที ช่วยไม่ได้ เขาน่ะยังเด็ก
ยิ่งหลังจากไปเจอเรื่องร้ายๆมา ตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากปิดเทอมหน้าร้อน...
จะเป็นไรมั้ยหากอรุณจะรู้สึกอิจฉาเด็ก!
“ไอ้หัวปลาหมึก
ใครเฝ้าอยู่” เขาถามเมื่อนึกถึงคนที่นอนอยู่ห้องข้างๆ ข้างจริงๆติดกันเลย
เดินไปไม่เกินสามก้าว ด้วยอำนาจบาตรใหญ่ระดับผู้พิทักษ์
กะอีแค่ห้องที่ดีที่สุดติดกันสองห้อง ทำไมโรงพยาบาลจะจัดสนองให้ไม่ได้
รายนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน นอนหลับไหลไม่ตื่นขึ้นมา มีแต่อาการจะทรงตัวอยู่
ไม่ได้แย่ลง แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด
“เลขาตึกวายุครับ
แล้วก็คุณฟูตะด้วย”
อรุณพยักหน้ารับรู้
เขาวางแก้วกาแฟลงแล้วเดินออกจากห้องพิรุณเพื่อไปอีกห้องหนึ่ง ทันทีที่ก้าวพ้นประตู
ซาซางาวะ เรียวเฮก็เพิ่งจะประจักษ์ในความโอเว่อร์ก็ไม่ใช่ บ้าบิ่นเกินไปก็ไม่เชิงของวองโกเล่
ชายฉกรรจ์ในชุดสูทเป็นสิบๆคนยืนตรงแด่วเรียงรายทั้งชั้นอย่างกับหุ่นขี้ผึ้ง
ทั้งๆที่ความจริงมีคนป่วยอยู่แค่สองห้องเนี่ยนะ
“ใครส่งมาฟะ
ตั้งเยอะตั้งแยะ”
“เพื่อความปลอดภัยของท่านโกคุเดระและท่านยามาโมโตะครับผม! กองกำลังที่ห้าสิบเก้าคิดเป็นเศษหนึ่งส่วนสิบของตึกวายุและพิรุณยินดีรับใช้ครับ!”
ละเอียดดีแท้...
อรุณรู้แล้วว่าต่อให้เขาไม่มาเฝ้าไอ้สองคนนี่
มันก็คงจะไม่เป็นอะไรแหงๆ
นักมวยของวองโกเล่แหวกตัวเข้าไปในห้องของผู้พิทักษ์วายุ
ภายในห้องร่างกายบอบบางกำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด พร้อมๆกับชายหนุ่มที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนโซฟา
ส่วนเก้าอี้อีกตัวก็มีเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนนักจัดอันดับมือหนึ่งนั่งอยู่
ดูแล้วไม่มีอะไรคืบหน้า
“เมื่อสักครู่คุณหมอเพิ่งมาฉีดอาหารเสริมให้ครับคุณซาซางาวะ”
เลขาตึกวายุรายงานเสียงแผ่วเบา “ถ้าท่านโกคุเดระมีเนื้อมีหนังขึ้นมาหน่อย
ก็คงเบาใจ”
“แล้วสมองของหมอนี่ล่ะ”
อรุณถามต่อ คราวนี้เลขาเงียบไปเป็นความหมายว่ามันยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
พวกเขารู้...รู้ถึงระยะเวลาชะตาชีวิตของวายุแล้ว
หากว่ายังไม่ฟื้นภายในหนึ่งอาทิตย์
วายุก็จะไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีก...
ราวกับนับเวลาถอยหลังด้วยความหวังและความเศร้าใจ
ตะวันและจันทราผลัดเปลี่ยนไปทุกวันๆ อยากจะหยุดเวลาเอาไว้แต่ก็ทำไม่ได้
พวกเขาภาวนาว่าอีกไม่กี่วันวายุจะต้องฟื้นขึ้นมาแน่ๆ
หวังว่าอย่างนั้น...
ตื๊ดดดดดดดดด.....
เสียงสั่นโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของอรุณดังขึ้น
พอตาเห็นโชว์เบอร์พร้อมกับชื่อบนหน้าจอ
รอยยิ้มสดใสของอรุณก็กลับมาทอประกายอีกครั้ง จำได้ว่าไม่ได้บริหารกล้ามเนื้อบนใบหน้าแบบนี้มาก็นานแล้ว
อยากจะส่องกระจกดูเหมือนกัน
รอยยิ้มฉันมันเปลี่ยนไปหรือเปล่า...?
“ฮัลโหล...กว่าจะโทรมาได้นะพวกนาย!”
“หา!?
ฮะๆๆๆๆๆ หลงทางเรอะ ออกจากหอใหญ่แล้วเลี้ยวซ้ายตรงมาอีกห้ากิโลเฟ้ย!!!
เออๆ...ชั้นที่ยี่สิบสี่นะ เออ...แล้วเจอกัน”
อรุณยิ้มไม่หุบ
จนเผลอขำเบาๆออกมาด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนว่าคนที่นั่งอยู่อย่างฟูตะและเลขาตึกวายุจะไม่ได้สงสัยอะไรที่อรุณมายืนหัวเราะตรงหน้าคนป่วยไม่ฟื้น
เพราะพวกเขารู้อยู่แล้ว เลขาได้ลอบยิ้มออกมาอย่างสุภาพ ส่วนแรงกิ้ง ฟูตะก็ขำเบาๆก่อนจะนั่งอ่านหนังสือต่ออย่างสบายใจ
เพราะอะไรวองโกเล่ถึงได้เรียกว่าเป็นแฟมิลี่...เป็นแฟมิลี่ที่ไม่ได้แปลว่าแก๊งค์มาเฟียเหมือนอย่างแก๊งค์อื่น...
แต่เป็นคำว่าแฟมิลี่ที่แปลได้ว่า...ครอบครัว...
เพราะอะไรรู้มั้ย?
“เฮ้ย...ไอ้หัวปลาหมึก”
อรุณเรียกคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงเหมือนกับเรียกคนปกติ “รีบๆตื่นขึ้นมาได้แล้วเว้ย
งานของแกค้างเป็นกระตั๊กเลย เป็นมือขวาใครเขาโดดงานกันฟะ!?”
ไม่รู้ว่าจะได้ยินหรือเปล่า...แต่หมอนี่น่ะหูดีอยู่แล้ว
คิดว่าคงจะได้ยินล่ะนะ ถ้าไม่ได้ยินอรุณคงจะใช้วิธีที่วายุเคยบอกเอาไว้ไอ้เรื่องสื่อสารกันทางจิต
หรือโทรจิตอะไรของหมอนั่นน่ะ
อยากให้รู้ว่า...
“แกไม่ได้อยู่คนเดียวหรอกนะ...”
เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป...
อรุณแห่งวองโกเล่ได้ยิ้มให้คนป่วยแล้วเดินออกไปจากห้องโดยที่มีเลขาของตึกวายุเดินไปส่งหน้าประตู
โดยไม่มีใครเห็นเลย...
ว่านิ้วของวายุได้กระตุกเบาๆ
“เฮ้ย!!! ไอ้เบลๆ เลี้ยวซ้ายเฟ้ย!”
“เลี้ยวซ้ายแยกไหนล่ะ
เจ้าชายเห็นมันมีตั้งหลายแยกเนี่ย เดี๋ยวก็ได้หลงกันอีกหรอก”
“จะแยกไหนล่ะครับรุ่นพี่
ก็แยกหน้าสุดนี่แหล่ะ ที่หลงก็เพราะรุ่นพี่เบลจำทางไม่ได้นี่ครับ...ใช้ไม่ได้เลย
เจ้าชายตกอับ!”
“ชิชิชิ
สควอโล่...เจ้าชายว่านะ เอาไอ้กบนี่ลงเหอะ”
“เงียบไปทั้งคู่เลยโว้ย!!!”
อุ๊บ!
นับเป็นการผจญภัยในรถคันงามที่สาหัสสากรรจ์ของสามทหารเสือแห่งวาเรีย
สืบเนื่องจากว่า...เมื่อหลายวันก่อนทางวาเรียได้ทราบว่าเหล่าวองโกเล่ได้กลับคืนสู่มาตุภูมิด้วยความร่องแร่ง
เห็นรายงานแจ้งมาบาดเจ็บห้าและเฉียดตายอีกสอง
ทางปราสาทได้มีปาร์ตี้ฉลองกันยกใหญ่กับความสะใจ เอ๊ย...ดีใจที่ยังไม่มีใครตาย
ตอนนี้ยังเมาไม่สร่าง เลยหลงๆมึนๆกันจวบจนวินาทีนี้
ไม่ได้ตั้งใจจะมาหรอกนะ...วาเรียไม่ได้มีน้ำใจอะไรขนาดนั้น
ธงก็ปักอยู่ซะสวยงามว่า ‘ตรูไม่ยอมรับรุ่นที่สิบคนปัจจุบัน’
แต่ไม่อยากจะให้ใครมาว่า
ว่าหน่วยลอบสังหารสุดเจ๋งของวองโกเล่ไร้มารยาท ถึงจะไม่ได้ส่งกำลังไปช่วยรบ
แต่มาดูศพหน่อยก็ยังดี ดังนั้นบอสแห่งวาเรียอันเป็นที่เคารพรักของลูกน้องจึงได้ส่งพวกเขาสามคนมาหลงทางด้วยเอวังประการฉะนี้
“ทำไมไม่ให้คนขับรถขับมาส่งล่ะ
มาใช้อะไรเจ้าชายเนี่ย...” นักฆ่าที่ยังหลงเหลือเชื้อพระวงศ์บ่นอุบ
เมื่อเขาถูกถีบให้มาเป็นคนขับรถหนึ่งวันเต็ม
คิดดูสิจากเจ้าชายนั่งบัลลังก์มานั่งขับรถหมุนพวงมาลัย...
เป็นเกียรติอย่างล้นพ้น...และในขณะเดียวกันก็น่าเกลียดสุดๆ!
รับ-ไม่-ได้
“คนขับรถมันขับช้านี่หว่า
ถ้าให้มันขับมานะ ขี่ฉลามมายังจะดีกว่า”
“ชิชิชิ
บอสของเราก็ไม่มาจนได้เนอะ เต๊ะท่าหยิ่งทั้งปี”
“ช่างหัวไอ้บอสเวรนั่นเหอะ!”
“เลี้ยวคร้าบๆ
แหกตาดูสิครับรุ่นพี่ป้ายบอกอยู่เนี่ยว่าโรงพยาบาลวองโกเล่”
เด็กหนุ่มผมเขียวน้ำทะเลชี้ยิกๆไปที่ทางเข้าโรงพยาบาลก่อนจะเอามือแตะริมฝีปากเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง
“เอ...ผมก็ลืมไปว่ารุ่นพี่เบลไม่มีตา”
หะ...หา?
นักฆ่าราชนิกูลเส้นเลือดขมับดีดตัวตีกันปึ้ดปั้ด
อยากจะเอามีดมาเสียบไอ้รุ่นน้องปากไม่น่าพิสมัยนี่เต็มแก่
ถ้าไม่ติดว่าเสียบไปแล้วอีกฝ่ายมันไม่สะทกสะท้าน
อีกอย่างดันเด็ดมีดเขาโยนทิ้งอีกต่างหาก
เปลืองมีดจะตายไป...
รถหรูจอดเทียบท่าที่หน้าโรงพยาบาลที่จำลองความใหญ่ความโตมาจากพระราชวังแวร์ซายส์
ทันทีที่ก้าวเท้าพ้นประตูรถ ชายฉกรรจ์นับสิบคนก็ออกมาเรียงแถวต้อนรับอย่างดี
แถมยังเอารถไปเก็บให้อีกด้วย
ไม่ได้มานานเท่าไหร่แล้ววะเนี่ย?
ไม่สิ
ต้องถามว่าเคยมาหรือเปล่าเถอะ
อย่างหน่วยลอบสังหารวาเรียไม่ต้องดั้นด้นถ่อมาถึงโรงพยาบาล
ไอ้หน้าไหนที่มันใกล้จะตายก็ปล่อยให้มันม่องเท่งไปซะ
อีกอย่างที่ปราสาทก็มีแพทย์มือหนึ่งควบตำแหน่งแม่ครัวอยู่อีกทั้งคน
โรงพยาบาลไม่เห็นจะจำเป็นตรงไหน
นี่แหล่ะ...วาเรียควอลิตี้
“ชิชิชิ
ยุ่งได้ยุ่งดีน้า ความจริงเราก็มาทีเดียวตอนม่อง...เอ๊ย ตอนฟื้นก็ได้นี่นา”
เจ้าชายนักฆ่าเปรยๆตามประสาคนขี้เกียจพร้อมเดินเข้าไปในโรงพยาบาล
ในมือหอบช่อดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ ส่วนอีกช่อเป็นดอกกุหลาบสีแดงสดให้รุ่นน้องเป็นคนถือ
ส่วนผบ.ใหญ่เดินสบายตัวปลิว ตลอดทางมีคนก้มหัวให้เป็นแผงๆ
สามหน่อกดลิฟท์เพื่อขึ้นไปที่ชั้นยี่สิบสี่ตามที่ซาซางาวะ
เรียวเฮ บอกเอาไว้ อยู่ก็อยู่ซะชั้นบนสุด ทรมานกันดีเหลือเกิน
ทันทีที่ลิฟท์หยุดชั้นยี่สิบสี่
ทั้งสามก็ได้รับรู้ถึงความเงียบสงบ พื้นปูพรมสีแดงนุ่มเท้า
สองข้างทางเดินประกบไปด้วยชายฉกรรจ์ยืนตรงไม่ขยับเขยื้อน
อ้อ...เด็กหนุ่มสายหมอกของวาเรียได้เอานิ้วไปจิ้มๆดูแล้ว
รับรองว่าคือของจริงไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้ง
“ยินดีต้อนรับครับ
ท่านสควอโล่ ท่านเบล ท่านฟราน ท่านยามาโมโตะและท่านโกคุเดระอยู่ห้อง 2403
และ 2404 ครับ”
ชายคนหนึ่งโค้งคำนับแล้วผายมือให้พวกเขาเดินตามไป
เป็นครั้งแรกที่วาเรียยอมรับการบริการของวองโกเล่ ถ้าไปเองมีหวังได้เปิดห้องผิด
ช่วยไม่ได้คนมันไม่รู้อะไรเลยนี่หว่า...
“ท่านซาซางาวะรอทุกท่านอยู่ในห้องครับ...”เขาเปิดประตูห้องของพักของวายุ
ก่อนจะโค้งอีกที “เชิญครับ”
ในห้อง
ผู้พิทักษ์อรุณของวองโกเล่นั่งอยู่บนโซฟา ส่วนบนเตียงก็มีคนป่วยนอนอยู่
เรียกรอยยิ้มสะใจของเจ้าชายไม่ใช่น้อย
แต่ดูเหมือนคนที่ยิ้มจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว แขกที่มีมารยาทล้นเหลือเหยียดมองร่างของวายุด้วยสายตาสงสารซะเต็มประดา
สงสารจริงๆนะ...
“ฮะๆๆๆๆ
นึกว่าพวกแกจะตัดใจแล้วกลับวาเรียไปแล้วซะอีก ทำไมหลงทางได้ฟะ” อรุณยังไม่หยุดขำ
ดูสิเขารับโทรศัพท์จากไอ้พวกนี้เมื่อชั่วโมงก่อน
พวกมันใช้เวลาประมาณชั่วโมงในการขับรถแค่ไม่ถึงยี่สิบกิโล คิดยังไงก็อยากจะหัวเราะดังๆ
“เฮอะ ไม่แปลก
พวกฉันไม่ได้ห่วยถึงต้องมาโรงพยาบาลนี่หว่า จะไม่รู้จักทางก็เรื่องปกติ”
ฉลามคลั่งแห่งวาเรียปัดผมยาวๆของตัวเองไปไว้ด้านหลังอย่างมีมาด
“แล้วนี่ไอ้หนูดาบญี่ปุ่นอยู่ไหน ห้องดับจิตหรือไอซียู?”
แปลได้ตามความหมายว่าตายหรือโคม่า?
“อยู่ห้องข้างๆนี่แหล่ะ
อยากไปดูมั้ยล่ะ” ผบ.ใหญ่ของวาเรียเดินออกทางประตูพร้อมๆกับอรุณ
ทิ้งไว้เหลือเพียงเจ้าชายนักฆ่ากับเด็กหนุ่มผมสีเขียวหน้าตาละอ่อนในห้อง
“รุ่นพี่...จะไม่ไปหารุ่นพี่ยามาโมโตะหรือไงครับ”
“ไปก็คุยไม่รู้เรื่อง
จะไปทำด๋อยไรล่ะ” เจ้าชายตอบพร้อมรอยยิ้ม ฟรานอยากจะถามกลับนัก
ว่ามันต่างกันตรงไหน คนที่นอนอยู่ตรงหน้าก็คุยกันไม่ได้อยู่ดี
เบลเฟกอลวางดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ลงบนโต๊ะเล็กๆข้างเตียง
ก่อนจะนั่งลงกับเก้าอี้ เขาหันหน้ากลับมาถามเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“รู้มั้ยทำไมเจ้าชายถึงคุยกับเจ้าหนูดาบญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง”
“เขาสลบอยู่ครับ” ไม่ได้กวนประสาทนะเอ้า...ก็สลบอยู่จริงๆนี่
“ไดนาไมต์ก็สลบอยู่
แต่เจ้าชายคิดว่าเจ้าชายคุยกับไดนาไมต์ได้ เจ้ากบเชื่อมั้ยล่ะ”
เด็กหนุ่มผมเขียวนิ่วหน้าลงเล็กน้อยตามคำพูดของรุ่นพี่
ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาสมองไม่ถึงขั้นอัจฉริยะหรือไรถึงตามไม่ทัน หรือไม่บางที
เมื่อคืนปาร์ตี้หนักไปหน่อย คนๆนี้เลยไม่หายมึนดี
“คงจะคุยได้นะครับ
แต่รุ่นพี่โกคุเดระ จะได้ยินหรือเปล่าเถอะ”
“ชิชิชิ
ได้ยินแน่นอนอยู่แล้น...หมอนี่น่ะเจ้าชายไม่อยากยอมรับหรอกนะ
แต่ยังไงก็เป็นธาตุวายุ คนธาตุเดียวกัน ต่อให้อีกฝ่ายไม่มีสติยังไง แต่เจ้าชายเชื่อว่าคำพูดมันต้องส่งต่อทางจิต
คำพูดแบบนี้มันจะไม่ได้ยินด้วยหู แต่จะต้องใช้จิตฟัง...”
ราชนิกูลหนุ่มอธิบายใส่เป็นฉากๆ
ส่วนรุ่นน้องก็จะพยายามเข้าใจอยู่หรอก แต่เป็นเรื่องเหนือมนุษย์จังแฮะ
ไอ้สื่อสารทางจิตหรือเทเลพาธง เทเลพาธี อะไรเนี่ย
“เหมือนกัน ถ้าเกิดต่างธาตุอาจจะทำได้
แต่ก็คงไม่ง่ายเหมือนธาตุเดียวกัน ถ้าไม่ใช่คนที่เชื่อใจกันมากๆ
ก็ไม่มีสิทธิ์คุยกันรู้เรื่อง
สควอโล่เลยน่าจะคุยกับเจ้าหนูดาบญี่ปุ่นรู้เรื่องกว่า”
อืม...พอจะเข้าข่าย
สายหมอกแห่งวาเรียก็ไม่เถียง เขาเองก็ใช้วิธีนี้คุยกับอาจารย์บ่อยๆ ส่วนใหญ่อาจารย์แกจะเรียกเข้ามา
บ่นนู่นบ่นนี่ เม้าท์โน่นเม้าท์นี่สาระพัด เห็นทีคงจะจริงล่ะมั้ง...
เจ้าชายนักฆ่าหันกลับเข้าหาเตียงคนป่วย
วายุแห่งวองโกเล่หายใจขึ้นลงเป็นจังหวะแต่ก็ฟังดูอ่อนเพลีย ขัดตาเจ้าชายเอาซะจริงๆ
มีผู้พิทักษ์วายุที่ไหนเขาอ่อนแอกันแบบนี้บ้าง
“ไดนาไมต์ ปกติถ้าเจ้าชายมาไดนาไมต์จะต้อนรับด้วยระเบิดไม่ใช่หรอ...ทำไมตอนนี้เอาแต่นอนล่ะ
นอนมากๆจะโง่เอานะ”
ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก...นักฆ่าราชวงศ์กำลังพูดอยู่คนเดียวจริงๆนั่นแหล่ะ
แต่ด้วยความเชื่อมันคงจะซึมลึกเข้าไปตามจิตของวายุ ดีไม่ดีวายุอาจจะปาระเบิดใส่เขาทางจิตแล้วก็ได้
ใครมันจะไปรู้
“ดอกกุหลาบนั่น
ไอ้กบมันเป็นคนเลือก จะว่ามันสวยมันก็สวย...”
เจ้าชายเหลือบมองรุ่นน้องที่ทำหน้าหน่ายๆใส่เขาอยู่แล้วอมยิ้ม “มันมีสีขาวแหล่ะ
ความจริงเจ้าชายอยากได้สีแดงมากกว่า แต่สควอโล่คาบไปให้ไอ้หนูดาบญี่ปุ่นแล้วอ่ะ
เจ้าชายอยากให้ไดนาไมต์ตื่นขึ้นมาเห็นตอนมันยังสดๆ รู้เปล่า ช่อนึงมันแพง...”
“ไม่ใช่ตังค์รุ่นพี่นี่ครับ
บ่นทำไม...”เสียงเหน็บแนมดังแทรกขึ้นมา อ้าว...มันตังค์เขาชัดๆ
กินโบนัสที่ได้มาจากบอสตั้งครึ่งเลยนะเออ...
“ตังค์เจ้ากบกับตังค์เจ้าชายต่างกันตรงไหน...”
“ต่างมากมายครับ”
คนถูกถามสวนกลับโดยไม่เปลืองสมองคิด
“โบนัสผมได้แค่เจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของโบนัสรุ่นพี่
แต่ทว่าเดี๋ยวนี้เหลือแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์
เพราะโดนเจ้าชายตกอับอย่างรุ่นพี่คาบไปกิน...”
เด็กหนุ่มยังคงตามใจปากตัวเองอย่างเมามันส์ เขาล่ะชอบนัก เอาความจริงของคนอื่นมาแฉ
ฟรานกอดอกมองเจ้าชายนักฆ่านิ่งๆ
“เพราะในปราสาทเนรเทศรุ่นพี่ออกมาโดยไม่ให้สมบัติพัสถานสักแดงเลยใช่มั้ยล่ะฮะ...น่าสงสารเจงๆ~”
จึ้ก!
ไม่ใช่เสียงแทงใจดำ
แต่เป็นเสียงมีดเล่มหนึ่งจากมือคนที่โดนหาว่าเป็นเจ้าชายถูกเนรเทศไปปักหัวรุ่นน้องกลางแสกหน้าเด๊ะๆ
แต่เจ้าตัวกลับส่ายหน้าเนือยๆแล้วดึงมีดออกท่าทางไม่เจ็บไม่คันอะไรสักนิด
“ไดนาไมต์...”
ราชนิกูลหนุ่มหันกลับไปหาคนป่วย น้ำเสียงเหมือนกลั้นความโกรธไว้เต็มแก่
ในมือมีมีดหลายสิบเล่มเรียงต่อกันเป็นแพอย่างกับพัด
“อยากได้เพื่อนนอนมั้ย
จะได้ไม่เหงา ชิชิชิ...”
เป็นอีกประโยคหนึ่งที่มันจะตีความหมายได้อย่างสวยงามว่า...
ร่างโปร่งบางไม่ได้อยู่คนเดียว...จริงๆ
ห้อง 2404
ผบ.ใหญ่ของวาเรียยืนกอดอกเหยียดมองร่างของอดีตลูกศิษย์ที่มันสลบไสลไม่ได้สติ
ตอนนี้อรุณได้ออกไปรอข้างนอกแล้ว
ในห้องมีเพียงสองนักดาบที่เก่งกาจที่สุดของวองโกเล่เพียงลำพัง
เครื่องช่วยหายใจยังติดอยู่ที่ปาก
มีสายระโยงระยางอะไรก็ไม่รู้พันอีลุงตุงนัง
เครื่องวัดคลื่นหัวใจแสดงผลดังติ๊ดๆเป็นจังหวะพร้อมโชว์กราฟคลื่นหัวใจด้วย...อ้อๆ
แล้วยังมีผ้ากอซสีขาวสะอาดปิดแผลตรงหน้าอกตำแหน่งหัวใจหลังการผ่าตัด
อีแบบนี้มัน...
อนาถลูกตาสุดทน!!!
ในใจของสควอโล่คิดแบบนี้จริงๆ
แบบนี้อนาถตายิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าไอ้หนูนี่แพ้การประลองกับอัสวินมายา มาเห็นแบบนี้
ฉลามคลั่งแห่งวาเรียยอมมาเห็นหลุมศพยังจะเท่กว่า
“เฮ้ย ไอ้หนู”
เขาก็คงจะใช้วิธีเดียวกับเจ้าชายนักฆ่า...การสื่อสารทางจิต
“ฉันรู้มาจากไอ้ซาซางาวะว่าแกเอามีดเสียบหัวใจตัวเองเพื่อช่วยไอ้หนูไดนาไมต์...โคตรเท่แต่ก็โคตรโง่ในเวลาเดียวกันเลยว่ะ!!”
“หัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในร่างกาย
ไม่มีก็ตาย เป็นรูก็อาจจะตาย คิดดูเด่ะ แกอาจจะไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาจับดาบอีกครั้งก็ได้...แกจะไม่มีโอกาสลืมตา
แกอาจจะไปอยู่ในโลกหน้า ซึ่งฉันขอบอกเอาไว้ก่อนว่าในนรกไม่มีดาบให้แกฝึก
และไม่มีครูสอนพิเศษคอยจะชี้ทางให้แกด้วยโว้ย!!!...”
ฉลามคลั่งแห่งวาเรียบ่นใส่พิรุณเป็นชุด
ความเป็นจริงเขาอยากจะถีบมันตกเตียงด้วยซ้ำเพื่อเป็นการให้รางวัลกับวีรบุรุษที่สุดงี่เง่าแห่งปีถ้าไม่ติดว่ามันยังสลบอยู่
อีกอย่างเขาพอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าทำไมไอ้หนูนี่ถึงยอมทำถึงขนาดนั้น
หัวใจคืออวัยวะสำคัญ
ถ้าไม่มี...ก็ตาย
สายลมคือสิ่งสำคัญ...ถ้าพิรุณขาดสายลม...ก็ตาย
แต่ก็เป็นความรู้สึก...ที่ตาย
มันจะค่อยๆด้านชาทีละนิดๆ จนสุดท้าย จะไม่รู้สึกอะไรอีกเลย
เหมือนกับคนที่ยังหายใจอยู่
มีอวัยวะภายนอกทำงานได้เหมือนคนปกติ...แต่ทว่า จะเป็นคนที่ไร้ความรู้สึก...
และไร้หัวใจ
“ไอ้เด็กโง่...” สควอโล่สบถเบาๆแล้วนั่งลงกับเก้าอี้ข้างเตียง
เขาไม่รู้จะพูดอะไรอีก จะต่อว่าเหรอ...จะว่าอะไรได้
จะเอาไฟฟ้ามาช็อตให้มันฟื้นเหรอ...ถ้าหัวใจเกิดรั่วขึ้นมาอีกจะทำยังไง
ไม่ได้เตรียมด้ายเตรียมเข็มมาเย็บให้ได้เหมือนเดิมหรอก
ดวงตาสีน้ำแข็งทอดมองพิรุณแห่งวองโกเล่
ก่อนจะเอ่ยประโยคด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ฉันไม่รู้นะ
ว่าแกจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่ถ้าแกตื่นฉันอยากจะให้แกรู้อะไรไว้
แกจะไม่มีทางอยู่คนเดียวอย่างที่แกเข้าใจ จะไม่มีใครทิ้งแกไปไหน แล้วพอแกตื่นมา
จะมีคนมุงดูแกเหมือนมุงดูศพเป็นสิบๆ ฉันจะรับขวัญแกแน่นอน พ่อจะสับให้เป็นชิ้นๆเลย
คอยดูนะโว้ย!!”
คนที่ว่าจะรับขวัญขยับมือกลพร้อมแยกเขี้ยวโชว์ฟันสามสิบสองซี่สวยงาม
อยากจะตบปากตัวเองเหลือเกิน เขาพูดบ้าอะไรออกไปวะ เหมือนคนบ้าจริงๆนั่นแหล่ะ
พล่ามอยู่คนเดียว ไอ้คนนอนอยู่มันจะได้ยินหรือเปล่าก็ไม่รู้...
ได้ยินสิ...ต้องได้ยินแน่ๆ
เมื่อเปลือกตาของพิรุณกลิ้งขยับไปมา...กราฟของหัวใจขึ้นสูงขึ้น
ไม่ได้อยู่คนเดียว...
ฉลามคลั่งแห่งวาเรียเดินออกมาจากห้องพร้อมกับเจ้าชายนักฆ่าและเด็กหนุ่มผมสีเขียวที่ตอนนี้มีรอยฟกช้ำเต็มไปหมด
ผมเผ้าของเจ้าชายยุ่งเหยิ่งไม่เป็นทรงยิ่งกว่าตอนปกติ สภาพตอนมากับตอนกลับนี่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ไปเล่นอะไรกันมาวะ
ไอ้เด็กเปรตพวกนี้!!!”
“อา...ผบ.สควอโล่คร้าบ~ รุ่นพี่เบลเอามีดมาจิ้มหัวผมอ่ะ เจ็บ...” โอว...ไอ้คนถูกปรักปรำอยากจะเอามีดอีกชุดกระซวกเข้าเนื้อคนฟ้องซะจริงๆ
ไอ้ที่พูดไปนั่นมีมูลความจริงเท่าไหร่กัน เออ...ไอ้เอามีดเสียบน่ะจริง
แต่ไอ้ที่บอกว่าเจ็บนี่แหลสดชัดๆ
เอ้อ...น้ำตาที่มันเอ่อๆเบ้าตาบวมๆนั่นก็ด้วย
มันเพิ่งเค้นเมื่อกี้เอง เจ้าชายเห็นนะเฟ้ย!!!
“รีบกลับได้แล้วเว้ย
มีงานต้องสะสางอีกเป็นกอง” ผบ.ผู้รักงานและขี้เกียจมีเรื่องกับบอสหันหลังเตรียมจะเดิน
แต่ไม่ทันที่จะได้ก้าวก็ได้ยินเสียงคนเรียกขึ้นข้างหลังซะก่อน
“อ้าว!?
จะรีบกลับแล้วเหรอ...สควอโล่”
ไม่ใช่เสียงใครที่ไหน...ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของวองโกเล่ที่พวกเขายังเชิดหน้าไม่ยอมรับนั่นแหล่ะ
ไอ้หนูนี่ยังอุตส่าห็ฝ่ากองงานมาโรงพยาบาลอีกเรอะ!?
“เออ...งานฉันยุ่งเฟ้ย
ไม่ได้ว่างเหมือนพวกแก”
“แล้วเจอโกคุเดระคุงกับยามาโมโตะแล้วหรือยังล่ะครับ
ได้ไปเยี่ยมพวกเขาหรือเปล่า” ช่างเป็นคำถามสมกับที่มีลางสังหรณ์สุดยอด
ไม่อยากจะบอกว่าไปเยี่ยมมาแล้ว แล้วก็ไปคุย(?)มาแล้วเล้ย
ศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ของหน่วยลอบสังหารวาเรียจะพังเอาไม่มีชิ้นดี
“ชิชิชิ
ยังโชคดีน้า ที่ยังหายใจ” เจ้าชายเปรยในขณะที่รุ่นน้องหมวกกบเบะปาก
ซึ่งนภาแห่งวองโกเล่ไม่รู้ว่านั่นมันคือคำตอบหรือเปล่า แต่ก็...
“ขอบคุณครับที่มาเยี่ยม”
น่าดีใจแทนโกคุเดระคุงและยามาโมโตะจริงๆ
เมื่อไหร่พวกนายจะฟื้นนะ...พวกนายจะได้รับรู้
ว่ากำลังใจของพวกนาย
มันมีมากขนาดไหน
ตึกๆๆๆๆๆๆ
เสียงฝีเท้าของแพทย์คนหนึ่งวิ่งมาหาพวกเขาสี่คนที่ยืนอยู่
สีหน้าของหมอดูตื่นเต้น เหงื่อออกเต็มหน้าและหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ส่วนเบื้องหลังของหมอคนนั้นมีแพทย์และพยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออกวุ่นทั้งชั้น
“ขะ
ขอรายงานครับ”
“เกิดอะไรขึ้น!!?” นภาเร่งถามซึ่งตอนนี้เหล่าวาเรียได้หยุดเดินแล้วหันกลับมาหานภากับคุณหมอเรียบร้อย
ไม่ต้องเดาก็ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์
มันต้องเกี่ยวข้องกับอาการของใครคนใดคนหนึ่งนั่นแหล่ะ
“ข่าวดีอย่างยิ่งครับรุ่นที่สิบ...”
นภาได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเอง
เสียงของลมหายใจ และเสียงของคุณหมอที่จะพูดประโยคต่อไป
“...”
ราวกับทุกสรรพสิ่งจะเงียบงันลง
ทุกอย่างพร้อมจะรับฟัง...
“ท่านยามาโมโตะรู้สึกตัวแล้วครับ”
รับฟังเสียงฝน
ที่ตกพรำให้กับวองโกเล่อีกครั้งหนึ่ง...
TBC…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น