หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

Fic KHR [8059] My wind...our wind : Chapter23

Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama  Action
NC-17

คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ



Chapter 23 Look around…You'll never walk alone



สามวันนับจากนั้น...


“คุณซาซางาวะ กาแฟครับ


“โอ๊ะ ขอบใจ”


ผู้พิทักษ์อรุณรับกาแฟร้อนหอมกรุ่นมาจากอัสนีแล้วยกขึ้นจิบ ตอนนี้เขามีหน้าที่เฝ้าไข้ผู้พิทักษ์พิรุณอยู่ในห้องพิเศษ อืม...เรียกว่าพิเศษยิ่งกว่าตรงที่หรูหราฟู่ฟ่าไม่ต่างจากโรงแรมห้าดาว เฟอร์นิเจอร์เกรดเอครบครัน ทั้งแจกันดอกไม้ โต๊ะ ตู้ โซฟาและเครื่องปรับอากาศ มองออกไปนอกกำแพงกระจกใสมองเห็นเมืองทั้งเมือง ม่านสีอ่อนประดับดูดีกว่าอพาร์ทเม้นท์ชื่อดังทั่วไปด้วยซ้ำ แต่ก็คงไม่มีใครอยากจะเข้ามาอยู่


ใช่...พิรุณถูกย้ายมาห้องนี้เมื่อสองวันก่อนหลังจากผ่าตัดเสร็จ มีแพทย์มือดีมาตรวจดูอาการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่ก็ยังไม่มีท่าทีจะฟื้น ร่างสูงยังคงแน่นิ่งบนเตียง มีเครื่องช่วยหายใจที่ทำงานวัดคลื่นหัวใจเขาดังติ๊ดๆเป็นจังหวะ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงแสดงว่ายังหายใจ ก็พอจะสรุปได้ตอนนี้ว่า ยามาโมโตะ ทาเคชิยังไม่ลาโลกใบนี้


แต่ไม่รู้จะฟื้นเมื่อไหร่...เท่านั้นเอง


“วันนี้วองโกเล่จะเข้ามาหรือเปล่าครับ” อัสนีหันหน้าไปถามรุ่นพี่ เขาล่ะปลาบปลื้มใจแทนคนป่วย นภาแห่งวองโกเล่เจียดเวลามาเยี่ยมไม่ได้ขาด ถ้านอนค้างได้ก็คงนอนไปแล้วด้วยซ้ำ


“มาสิ แต่วันนี้คงจะเป็นตอนเย็นๆ เห็นว่าต้องเคลียร์งานนาน ฉันเองก็เหมือนกันตอนบ่ายก็ต้องกลับ แล้วนายล่ะ?


“ตลอดวันครับ...ช่วงนี้วองโกเล่ไม่ป้อนงานผมซักนิด ถึงมีงานผมก็ไม่ทำแน่ล่ะครับ”เด็กชายยิ้มแป้นตอบทันที ช่วยไม่ได้ เขาน่ะยังเด็ก ยิ่งหลังจากไปเจอเรื่องร้ายๆมา ตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากปิดเทอมหน้าร้อน...


จะเป็นไรมั้ยหากอรุณจะรู้สึกอิจฉาเด็ก!


“ไอ้หัวปลาหมึก ใครเฝ้าอยู่” เขาถามเมื่อนึกถึงคนที่นอนอยู่ห้องข้างๆ ข้างจริงๆติดกันเลย เดินไปไม่เกินสามก้าว ด้วยอำนาจบาตรใหญ่ระดับผู้พิทักษ์ กะอีแค่ห้องที่ดีที่สุดติดกันสองห้อง ทำไมโรงพยาบาลจะจัดสนองให้ไม่ได้ รายนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน นอนหลับไหลไม่ตื่นขึ้นมา มีแต่อาการจะทรงตัวอยู่ ไม่ได้แย่ลง แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด


“เลขาตึกวายุครับ แล้วก็คุณฟูตะด้วย”


อรุณพยักหน้ารับรู้ เขาวางแก้วกาแฟลงแล้วเดินออกจากห้องพิรุณเพื่อไปอีกห้องหนึ่ง ทันทีที่ก้าวพ้นประตู ซาซางาวะ เรียวเฮก็เพิ่งจะประจักษ์ในความโอเว่อร์ก็ไม่ใช่ บ้าบิ่นเกินไปก็ไม่เชิงของวองโกเล่ ชายฉกรรจ์ในชุดสูทเป็นสิบๆคนยืนตรงแด่วเรียงรายทั้งชั้นอย่างกับหุ่นขี้ผึ้ง ทั้งๆที่ความจริงมีคนป่วยอยู่แค่สองห้องเนี่ยนะ


“ใครส่งมาฟะ ตั้งเยอะตั้งแยะ”


“เพื่อความปลอดภัยของท่านโกคุเดระและท่านยามาโมโตะครับผม! กองกำลังที่ห้าสิบเก้าคิดเป็นเศษหนึ่งส่วนสิบของตึกวายุและพิรุณยินดีรับใช้ครับ!


ละเอียดดีแท้...


อรุณรู้แล้วว่าต่อให้เขาไม่มาเฝ้าไอ้สองคนนี่ มันก็คงจะไม่เป็นอะไรแหงๆ


นักมวยของวองโกเล่แหวกตัวเข้าไปในห้องของผู้พิทักษ์วายุ ภายในห้องร่างกายบอบบางกำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด พร้อมๆกับชายหนุ่มที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนโซฟา ส่วนเก้าอี้อีกตัวก็มีเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนนักจัดอันดับมือหนึ่งนั่งอยู่ ดูแล้วไม่มีอะไรคืบหน้า


“เมื่อสักครู่คุณหมอเพิ่งมาฉีดอาหารเสริมให้ครับคุณซาซางาวะ” เลขาตึกวายุรายงานเสียงแผ่วเบา “ถ้าท่านโกคุเดระมีเนื้อมีหนังขึ้นมาหน่อย ก็คงเบาใจ”


“แล้วสมองของหมอนี่ล่ะ” อรุณถามต่อ คราวนี้เลขาเงียบไปเป็นความหมายว่ามันยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
พวกเขารู้...รู้ถึงระยะเวลาชะตาชีวิตของวายุแล้ว


หากว่ายังไม่ฟื้นภายในหนึ่งอาทิตย์ วายุก็จะไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีก...


ราวกับนับเวลาถอยหลังด้วยความหวังและความเศร้าใจ ตะวันและจันทราผลัดเปลี่ยนไปทุกวันๆ อยากจะหยุดเวลาเอาไว้แต่ก็ทำไม่ได้ พวกเขาภาวนาว่าอีกไม่กี่วันวายุจะต้องฟื้นขึ้นมาแน่ๆ


หวังว่าอย่างนั้น...


ตื๊ดดดดดดดดด.....


เสียงสั่นโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของอรุณดังขึ้น พอตาเห็นโชว์เบอร์พร้อมกับชื่อบนหน้าจอ รอยยิ้มสดใสของอรุณก็กลับมาทอประกายอีกครั้ง จำได้ว่าไม่ได้บริหารกล้ามเนื้อบนใบหน้าแบบนี้มาก็นานแล้ว อยากจะส่องกระจกดูเหมือนกัน
รอยยิ้มฉันมันเปลี่ยนไปหรือเปล่า...?


“ฮัลโหล...กว่าจะโทรมาได้นะพวกนาย!


“หา!? ฮะๆๆๆๆๆ หลงทางเรอะ ออกจากหอใหญ่แล้วเลี้ยวซ้ายตรงมาอีกห้ากิโลเฟ้ย!!! เออๆ...ชั้นที่ยี่สิบสี่นะ เออ...แล้วเจอกัน”


อรุณยิ้มไม่หุบ จนเผลอขำเบาๆออกมาด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนว่าคนที่นั่งอยู่อย่างฟูตะและเลขาตึกวายุจะไม่ได้สงสัยอะไรที่อรุณมายืนหัวเราะตรงหน้าคนป่วยไม่ฟื้น เพราะพวกเขารู้อยู่แล้ว เลขาได้ลอบยิ้มออกมาอย่างสุภาพ ส่วนแรงกิ้ง ฟูตะก็ขำเบาๆก่อนจะนั่งอ่านหนังสือต่ออย่างสบายใจ


เพราะอะไรวองโกเล่ถึงได้เรียกว่าเป็นแฟมิลี่...เป็นแฟมิลี่ที่ไม่ได้แปลว่าแก๊งค์มาเฟียเหมือนอย่างแก๊งค์อื่น...



แต่เป็นคำว่าแฟมิลี่ที่แปลได้ว่า...ครอบครัว...



เพราะอะไรรู้มั้ย?


“เฮ้ย...ไอ้หัวปลาหมึก” อรุณเรียกคนที่นอนหลับอยู่บนเตียงเหมือนกับเรียกคนปกติ “รีบๆตื่นขึ้นมาได้แล้วเว้ย งานของแกค้างเป็นกระตั๊กเลย เป็นมือขวาใครเขาโดดงานกันฟะ!?


ไม่รู้ว่าจะได้ยินหรือเปล่า...แต่หมอนี่น่ะหูดีอยู่แล้ว คิดว่าคงจะได้ยินล่ะนะ ถ้าไม่ได้ยินอรุณคงจะใช้วิธีที่วายุเคยบอกเอาไว้ไอ้เรื่องสื่อสารกันทางจิต หรือโทรจิตอะไรของหมอนั่นน่ะ


อยากให้รู้ว่า...



“แกไม่ได้อยู่คนเดียวหรอกนะ...”


เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป...


อรุณแห่งวองโกเล่ได้ยิ้มให้คนป่วยแล้วเดินออกไปจากห้องโดยที่มีเลขาของตึกวายุเดินไปส่งหน้าประตู โดยไม่มีใครเห็นเลย...


ว่านิ้วของวายุได้กระตุกเบาๆ







“เฮ้ย!!! ไอ้เบลๆ เลี้ยวซ้ายเฟ้ย!


“เลี้ยวซ้ายแยกไหนล่ะ เจ้าชายเห็นมันมีตั้งหลายแยกเนี่ย เดี๋ยวก็ได้หลงกันอีกหรอก”


“จะแยกไหนล่ะครับรุ่นพี่ ก็แยกหน้าสุดนี่แหล่ะ ที่หลงก็เพราะรุ่นพี่เบลจำทางไม่ได้นี่ครับ...ใช้ไม่ได้เลย เจ้าชายตกอับ!


“ชิชิชิ สควอโล่...เจ้าชายว่านะ เอาไอ้กบนี่ลงเหอะ”


“เงียบไปทั้งคู่เลยโว้ย!!!


อุ๊บ!


นับเป็นการผจญภัยในรถคันงามที่สาหัสสากรรจ์ของสามทหารเสือแห่งวาเรีย สืบเนื่องจากว่า...เมื่อหลายวันก่อนทางวาเรียได้ทราบว่าเหล่าวองโกเล่ได้กลับคืนสู่มาตุภูมิด้วยความร่องแร่ง เห็นรายงานแจ้งมาบาดเจ็บห้าและเฉียดตายอีกสอง ทางปราสาทได้มีปาร์ตี้ฉลองกันยกใหญ่กับความสะใจ เอ๊ย...ดีใจที่ยังไม่มีใครตาย ตอนนี้ยังเมาไม่สร่าง เลยหลงๆมึนๆกันจวบจนวินาทีนี้


ไม่ได้ตั้งใจจะมาหรอกนะ...วาเรียไม่ได้มีน้ำใจอะไรขนาดนั้น ธงก็ปักอยู่ซะสวยงามว่า ตรูไม่ยอมรับรุ่นที่สิบคนปัจจุบันแต่ไม่อยากจะให้ใครมาว่า ว่าหน่วยลอบสังหารสุดเจ๋งของวองโกเล่ไร้มารยาท ถึงจะไม่ได้ส่งกำลังไปช่วยรบ แต่มาดูศพหน่อยก็ยังดี ดังนั้นบอสแห่งวาเรียอันเป็นที่เคารพรักของลูกน้องจึงได้ส่งพวกเขาสามคนมาหลงทางด้วยเอวังประการฉะนี้


“ทำไมไม่ให้คนขับรถขับมาส่งล่ะ มาใช้อะไรเจ้าชายเนี่ย...” นักฆ่าที่ยังหลงเหลือเชื้อพระวงศ์บ่นอุบ เมื่อเขาถูกถีบให้มาเป็นคนขับรถหนึ่งวันเต็ม คิดดูสิจากเจ้าชายนั่งบัลลังก์มานั่งขับรถหมุนพวงมาลัย...


เป็นเกียรติอย่างล้นพ้น...และในขณะเดียวกันก็น่าเกลียดสุดๆ!


รับ-ไม่-ได้


“คนขับรถมันขับช้านี่หว่า ถ้าให้มันขับมานะ ขี่ฉลามมายังจะดีกว่า”


“ชิชิชิ บอสของเราก็ไม่มาจนได้เนอะ เต๊ะท่าหยิ่งทั้งปี”


“ช่างหัวไอ้บอสเวรนั่นเหอะ!


“เลี้ยวคร้าบๆ แหกตาดูสิครับรุ่นพี่ป้ายบอกอยู่เนี่ยว่าโรงพยาบาลวองโกเล่” เด็กหนุ่มผมเขียวน้ำทะเลชี้ยิกๆไปที่ทางเข้าโรงพยาบาลก่อนจะเอามือแตะริมฝีปากเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง “เอ...ผมก็ลืมไปว่ารุ่นพี่เบลไม่มีตา”


หะ...หา?


นักฆ่าราชนิกูลเส้นเลือดขมับดีดตัวตีกันปึ้ดปั้ด อยากจะเอามีดมาเสียบไอ้รุ่นน้องปากไม่น่าพิสมัยนี่เต็มแก่ ถ้าไม่ติดว่าเสียบไปแล้วอีกฝ่ายมันไม่สะทกสะท้าน อีกอย่างดันเด็ดมีดเขาโยนทิ้งอีกต่างหาก


เปลืองมีดจะตายไป...


รถหรูจอดเทียบท่าที่หน้าโรงพยาบาลที่จำลองความใหญ่ความโตมาจากพระราชวังแวร์ซายส์ ทันทีที่ก้าวเท้าพ้นประตูรถ ชายฉกรรจ์นับสิบคนก็ออกมาเรียงแถวต้อนรับอย่างดี แถมยังเอารถไปเก็บให้อีกด้วย


ไม่ได้มานานเท่าไหร่แล้ววะเนี่ย?


ไม่สิ ต้องถามว่าเคยมาหรือเปล่าเถอะ อย่างหน่วยลอบสังหารวาเรียไม่ต้องดั้นด้นถ่อมาถึงโรงพยาบาล ไอ้หน้าไหนที่มันใกล้จะตายก็ปล่อยให้มันม่องเท่งไปซะ อีกอย่างที่ปราสาทก็มีแพทย์มือหนึ่งควบตำแหน่งแม่ครัวอยู่อีกทั้งคน โรงพยาบาลไม่เห็นจะจำเป็นตรงไหน


นี่แหล่ะ...วาเรียควอลิตี้


“ชิชิชิ ยุ่งได้ยุ่งดีน้า ความจริงเราก็มาทีเดียวตอนม่อง...เอ๊ย ตอนฟื้นก็ได้นี่นา” เจ้าชายนักฆ่าเปรยๆตามประสาคนขี้เกียจพร้อมเดินเข้าไปในโรงพยาบาล ในมือหอบช่อดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ ส่วนอีกช่อเป็นดอกกุหลาบสีแดงสดให้รุ่นน้องเป็นคนถือ ส่วนผบ.ใหญ่เดินสบายตัวปลิว ตลอดทางมีคนก้มหัวให้เป็นแผงๆ


สามหน่อกดลิฟท์เพื่อขึ้นไปที่ชั้นยี่สิบสี่ตามที่ซาซางาวะ เรียวเฮ บอกเอาไว้ อยู่ก็อยู่ซะชั้นบนสุด ทรมานกันดีเหลือเกิน
ทันทีที่ลิฟท์หยุดชั้นยี่สิบสี่ ทั้งสามก็ได้รับรู้ถึงความเงียบสงบ พื้นปูพรมสีแดงนุ่มเท้า สองข้างทางเดินประกบไปด้วยชายฉกรรจ์ยืนตรงไม่ขยับเขยื้อน อ้อ...เด็กหนุ่มสายหมอกของวาเรียได้เอานิ้วไปจิ้มๆดูแล้ว รับรองว่าคือของจริงไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้ง


“ยินดีต้อนรับครับ ท่านสควอโล่ ท่านเบล ท่านฟราน ท่านยามาโมโตะและท่านโกคุเดระอยู่ห้อง 2403 และ 2404 ครับ”
ชายคนหนึ่งโค้งคำนับแล้วผายมือให้พวกเขาเดินตามไป เป็นครั้งแรกที่วาเรียยอมรับการบริการของวองโกเล่ ถ้าไปเองมีหวังได้เปิดห้องผิด ช่วยไม่ได้คนมันไม่รู้อะไรเลยนี่หว่า...


“ท่านซาซางาวะรอทุกท่านอยู่ในห้องครับ...”เขาเปิดประตูห้องของพักของวายุ ก่อนจะโค้งอีกที “เชิญครับ”


ในห้อง ผู้พิทักษ์อรุณของวองโกเล่นั่งอยู่บนโซฟา ส่วนบนเตียงก็มีคนป่วยนอนอยู่ เรียกรอยยิ้มสะใจของเจ้าชายไม่ใช่น้อย แต่ดูเหมือนคนที่ยิ้มจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว แขกที่มีมารยาทล้นเหลือเหยียดมองร่างของวายุด้วยสายตาสงสารซะเต็มประดา


สงสารจริงๆนะ...


“ฮะๆๆๆๆ นึกว่าพวกแกจะตัดใจแล้วกลับวาเรียไปแล้วซะอีก ทำไมหลงทางได้ฟะ” อรุณยังไม่หยุดขำ ดูสิเขารับโทรศัพท์จากไอ้พวกนี้เมื่อชั่วโมงก่อน พวกมันใช้เวลาประมาณชั่วโมงในการขับรถแค่ไม่ถึงยี่สิบกิโล คิดยังไงก็อยากจะหัวเราะดังๆ


“เฮอะ ไม่แปลก พวกฉันไม่ได้ห่วยถึงต้องมาโรงพยาบาลนี่หว่า จะไม่รู้จักทางก็เรื่องปกติ” ฉลามคลั่งแห่งวาเรียปัดผมยาวๆของตัวเองไปไว้ด้านหลังอย่างมีมาด “แล้วนี่ไอ้หนูดาบญี่ปุ่นอยู่ไหน ห้องดับจิตหรือไอซียู?


แปลได้ตามความหมายว่าตายหรือโคม่า?


“อยู่ห้องข้างๆนี่แหล่ะ อยากไปดูมั้ยล่ะ” ผบ.ใหญ่ของวาเรียเดินออกทางประตูพร้อมๆกับอรุณ ทิ้งไว้เหลือเพียงเจ้าชายนักฆ่ากับเด็กหนุ่มผมสีเขียวหน้าตาละอ่อนในห้อง


“รุ่นพี่...จะไม่ไปหารุ่นพี่ยามาโมโตะหรือไงครับ”


“ไปก็คุยไม่รู้เรื่อง จะไปทำด๋อยไรล่ะ” เจ้าชายตอบพร้อมรอยยิ้ม ฟรานอยากจะถามกลับนัก ว่ามันต่างกันตรงไหน คนที่นอนอยู่ตรงหน้าก็คุยกันไม่ได้อยู่ดี


เบลเฟกอลวางดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ลงบนโต๊ะเล็กๆข้างเตียง ก่อนจะนั่งลงกับเก้าอี้ เขาหันหน้ากลับมาถามเด็กหนุ่มอีกครั้ง “รู้มั้ยทำไมเจ้าชายถึงคุยกับเจ้าหนูดาบญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง”


“เขาสลบอยู่ครับ” ไม่ได้กวนประสาทนะเอ้า...ก็สลบอยู่จริงๆนี่


“ไดนาไมต์ก็สลบอยู่ แต่เจ้าชายคิดว่าเจ้าชายคุยกับไดนาไมต์ได้ เจ้ากบเชื่อมั้ยล่ะ” เด็กหนุ่มผมเขียวนิ่วหน้าลงเล็กน้อยตามคำพูดของรุ่นพี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาสมองไม่ถึงขั้นอัจฉริยะหรือไรถึงตามไม่ทัน หรือไม่บางที เมื่อคืนปาร์ตี้หนักไปหน่อย คนๆนี้เลยไม่หายมึนดี


“คงจะคุยได้นะครับ แต่รุ่นพี่โกคุเดระ จะได้ยินหรือเปล่าเถอะ”


“ชิชิชิ ได้ยินแน่นอนอยู่แล้น...หมอนี่น่ะเจ้าชายไม่อยากยอมรับหรอกนะ แต่ยังไงก็เป็นธาตุวายุ คนธาตุเดียวกัน ต่อให้อีกฝ่ายไม่มีสติยังไง แต่เจ้าชายเชื่อว่าคำพูดมันต้องส่งต่อทางจิต คำพูดแบบนี้มันจะไม่ได้ยินด้วยหู แต่จะต้องใช้จิตฟัง...”


ราชนิกูลหนุ่มอธิบายใส่เป็นฉากๆ ส่วนรุ่นน้องก็จะพยายามเข้าใจอยู่หรอก แต่เป็นเรื่องเหนือมนุษย์จังแฮะ ไอ้สื่อสารทางจิตหรือเทเลพาธง เทเลพาธี อะไรเนี่ย


“เหมือนกัน ถ้าเกิดต่างธาตุอาจจะทำได้ แต่ก็คงไม่ง่ายเหมือนธาตุเดียวกัน ถ้าไม่ใช่คนที่เชื่อใจกันมากๆ ก็ไม่มีสิทธิ์คุยกันรู้เรื่อง สควอโล่เลยน่าจะคุยกับเจ้าหนูดาบญี่ปุ่นรู้เรื่องกว่า”


อืม...พอจะเข้าข่าย สายหมอกแห่งวาเรียก็ไม่เถียง เขาเองก็ใช้วิธีนี้คุยกับอาจารย์บ่อยๆ ส่วนใหญ่อาจารย์แกจะเรียกเข้ามา บ่นนู่นบ่นนี่ เม้าท์โน่นเม้าท์นี่สาระพัด เห็นทีคงจะจริงล่ะมั้ง...


เจ้าชายนักฆ่าหันกลับเข้าหาเตียงคนป่วย วายุแห่งวองโกเล่หายใจขึ้นลงเป็นจังหวะแต่ก็ฟังดูอ่อนเพลีย ขัดตาเจ้าชายเอาซะจริงๆ มีผู้พิทักษ์วายุที่ไหนเขาอ่อนแอกันแบบนี้บ้าง


“ไดนาไมต์ ปกติถ้าเจ้าชายมาไดนาไมต์จะต้อนรับด้วยระเบิดไม่ใช่หรอ...ทำไมตอนนี้เอาแต่นอนล่ะ นอนมากๆจะโง่เอานะ”


ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก...นักฆ่าราชวงศ์กำลังพูดอยู่คนเดียวจริงๆนั่นแหล่ะ แต่ด้วยความเชื่อมันคงจะซึมลึกเข้าไปตามจิตของวายุ ดีไม่ดีวายุอาจจะปาระเบิดใส่เขาทางจิตแล้วก็ได้ ใครมันจะไปรู้


“ดอกกุหลาบนั่น ไอ้กบมันเป็นคนเลือก จะว่ามันสวยมันก็สวย...” เจ้าชายเหลือบมองรุ่นน้องที่ทำหน้าหน่ายๆใส่เขาอยู่แล้วอมยิ้ม “มันมีสีขาวแหล่ะ ความจริงเจ้าชายอยากได้สีแดงมากกว่า แต่สควอโล่คาบไปให้ไอ้หนูดาบญี่ปุ่นแล้วอ่ะ เจ้าชายอยากให้ไดนาไมต์ตื่นขึ้นมาเห็นตอนมันยังสดๆ รู้เปล่า ช่อนึงมันแพง...”


“ไม่ใช่ตังค์รุ่นพี่นี่ครับ บ่นทำไม...”เสียงเหน็บแนมดังแทรกขึ้นมา อ้าว...มันตังค์เขาชัดๆ กินโบนัสที่ได้มาจากบอสตั้งครึ่งเลยนะเออ...


“ตังค์เจ้ากบกับตังค์เจ้าชายต่างกันตรงไหน...”


“ต่างมากมายครับ” คนถูกถามสวนกลับโดยไม่เปลืองสมองคิด  “โบนัสผมได้แค่เจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของโบนัสรุ่นพี่ แต่ทว่าเดี๋ยวนี้เหลือแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะโดนเจ้าชายตกอับอย่างรุ่นพี่คาบไปกิน...” เด็กหนุ่มยังคงตามใจปากตัวเองอย่างเมามันส์ เขาล่ะชอบนัก เอาความจริงของคนอื่นมาแฉ ฟรานกอดอกมองเจ้าชายนักฆ่านิ่งๆ


“เพราะในปราสาทเนรเทศรุ่นพี่ออกมาโดยไม่ให้สมบัติพัสถานสักแดงเลยใช่มั้ยล่ะฮะ...น่าสงสารเจงๆ~


จึ้ก!


ไม่ใช่เสียงแทงใจดำ แต่เป็นเสียงมีดเล่มหนึ่งจากมือคนที่โดนหาว่าเป็นเจ้าชายถูกเนรเทศไปปักหัวรุ่นน้องกลางแสกหน้าเด๊ะๆ แต่เจ้าตัวกลับส่ายหน้าเนือยๆแล้วดึงมีดออกท่าทางไม่เจ็บไม่คันอะไรสักนิด


“ไดนาไมต์...” ราชนิกูลหนุ่มหันกลับไปหาคนป่วย น้ำเสียงเหมือนกลั้นความโกรธไว้เต็มแก่ ในมือมีมีดหลายสิบเล่มเรียงต่อกันเป็นแพอย่างกับพัด


“อยากได้เพื่อนนอนมั้ย จะได้ไม่เหงา ชิชิชิ...”


เป็นอีกประโยคหนึ่งที่มันจะตีความหมายได้อย่างสวยงามว่า...



ร่างโปร่งบางไม่ได้อยู่คนเดียว...จริงๆ







ห้อง 2404


ผบ.ใหญ่ของวาเรียยืนกอดอกเหยียดมองร่างของอดีตลูกศิษย์ที่มันสลบไสลไม่ได้สติ ตอนนี้อรุณได้ออกไปรอข้างนอกแล้ว ในห้องมีเพียงสองนักดาบที่เก่งกาจที่สุดของวองโกเล่เพียงลำพัง


เครื่องช่วยหายใจยังติดอยู่ที่ปาก มีสายระโยงระยางอะไรก็ไม่รู้พันอีลุงตุงนัง เครื่องวัดคลื่นหัวใจแสดงผลดังติ๊ดๆเป็นจังหวะพร้อมโชว์กราฟคลื่นหัวใจด้วย...อ้อๆ แล้วยังมีผ้ากอซสีขาวสะอาดปิดแผลตรงหน้าอกตำแหน่งหัวใจหลังการผ่าตัด


อีแบบนี้มัน...


อนาถลูกตาสุดทน!!!


ในใจของสควอโล่คิดแบบนี้จริงๆ แบบนี้อนาถตายิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าไอ้หนูนี่แพ้การประลองกับอัสวินมายา มาเห็นแบบนี้ ฉลามคลั่งแห่งวาเรียยอมมาเห็นหลุมศพยังจะเท่กว่า


“เฮ้ย ไอ้หนู” เขาก็คงจะใช้วิธีเดียวกับเจ้าชายนักฆ่า...การสื่อสารทางจิต “ฉันรู้มาจากไอ้ซาซางาวะว่าแกเอามีดเสียบหัวใจตัวเองเพื่อช่วยไอ้หนูไดนาไมต์...โคตรเท่แต่ก็โคตรโง่ในเวลาเดียวกันเลยว่ะ!!


“หัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในร่างกาย ไม่มีก็ตาย เป็นรูก็อาจจะตาย คิดดูเด่ะ แกอาจจะไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาจับดาบอีกครั้งก็ได้...แกจะไม่มีโอกาสลืมตา แกอาจจะไปอยู่ในโลกหน้า ซึ่งฉันขอบอกเอาไว้ก่อนว่าในนรกไม่มีดาบให้แกฝึก และไม่มีครูสอนพิเศษคอยจะชี้ทางให้แกด้วยโว้ย!!!...”


ฉลามคลั่งแห่งวาเรียบ่นใส่พิรุณเป็นชุด ความเป็นจริงเขาอยากจะถีบมันตกเตียงด้วยซ้ำเพื่อเป็นการให้รางวัลกับวีรบุรุษที่สุดงี่เง่าแห่งปีถ้าไม่ติดว่ามันยังสลบอยู่ อีกอย่างเขาพอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าทำไมไอ้หนูนี่ถึงยอมทำถึงขนาดนั้น
หัวใจคืออวัยวะสำคัญ ถ้าไม่มี...ก็ตาย


สายลมคือสิ่งสำคัญ...ถ้าพิรุณขาดสายลม...ก็ตาย


แต่ก็เป็นความรู้สึก...ที่ตาย มันจะค่อยๆด้านชาทีละนิดๆ จนสุดท้าย จะไม่รู้สึกอะไรอีกเลย


เหมือนกับคนที่ยังหายใจอยู่ มีอวัยวะภายนอกทำงานได้เหมือนคนปกติ...แต่ทว่า จะเป็นคนที่ไร้ความรู้สึก...



และไร้หัวใจ



“ไอ้เด็กโง่...” สควอโล่สบถเบาๆแล้วนั่งลงกับเก้าอี้ข้างเตียง เขาไม่รู้จะพูดอะไรอีก จะต่อว่าเหรอ...จะว่าอะไรได้ จะเอาไฟฟ้ามาช็อตให้มันฟื้นเหรอ...ถ้าหัวใจเกิดรั่วขึ้นมาอีกจะทำยังไง ไม่ได้เตรียมด้ายเตรียมเข็มมาเย็บให้ได้เหมือนเดิมหรอก


ดวงตาสีน้ำแข็งทอดมองพิรุณแห่งวองโกเล่ ก่อนจะเอ่ยประโยคด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“ฉันไม่รู้นะ ว่าแกจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่ถ้าแกตื่นฉันอยากจะให้แกรู้อะไรไว้ แกจะไม่มีทางอยู่คนเดียวอย่างที่แกเข้าใจ จะไม่มีใครทิ้งแกไปไหน แล้วพอแกตื่นมา จะมีคนมุงดูแกเหมือนมุงดูศพเป็นสิบๆ ฉันจะรับขวัญแกแน่นอน พ่อจะสับให้เป็นชิ้นๆเลย คอยดูนะโว้ย!!


คนที่ว่าจะรับขวัญขยับมือกลพร้อมแยกเขี้ยวโชว์ฟันสามสิบสองซี่สวยงาม อยากจะตบปากตัวเองเหลือเกิน เขาพูดบ้าอะไรออกไปวะ เหมือนคนบ้าจริงๆนั่นแหล่ะ พล่ามอยู่คนเดียว ไอ้คนนอนอยู่มันจะได้ยินหรือเปล่าก็ไม่รู้...


ได้ยินสิ...ต้องได้ยินแน่ๆ


เมื่อเปลือกตาของพิรุณกลิ้งขยับไปมา...กราฟของหัวใจขึ้นสูงขึ้น



ไม่ได้อยู่คนเดียว...





ฉลามคลั่งแห่งวาเรียเดินออกมาจากห้องพร้อมกับเจ้าชายนักฆ่าและเด็กหนุ่มผมสีเขียวที่ตอนนี้มีรอยฟกช้ำเต็มไปหมด ผมเผ้าของเจ้าชายยุ่งเหยิ่งไม่เป็นทรงยิ่งกว่าตอนปกติ สภาพตอนมากับตอนกลับนี่ต่างกันราวฟ้ากับเหว


“ไปเล่นอะไรกันมาวะ ไอ้เด็กเปรตพวกนี้!!!


“อา...ผบ.สควอโล่คร้าบ~ รุ่นพี่เบลเอามีดมาจิ้มหัวผมอ่ะ เจ็บ...” โอว...ไอ้คนถูกปรักปรำอยากจะเอามีดอีกชุดกระซวกเข้าเนื้อคนฟ้องซะจริงๆ ไอ้ที่พูดไปนั่นมีมูลความจริงเท่าไหร่กัน เออ...ไอ้เอามีดเสียบน่ะจริง แต่ไอ้ที่บอกว่าเจ็บนี่แหลสดชัดๆ


เอ้อ...น้ำตาที่มันเอ่อๆเบ้าตาบวมๆนั่นก็ด้วย มันเพิ่งเค้นเมื่อกี้เอง เจ้าชายเห็นนะเฟ้ย!!!


“รีบกลับได้แล้วเว้ย มีงานต้องสะสางอีกเป็นกอง” ผบ.ผู้รักงานและขี้เกียจมีเรื่องกับบอสหันหลังเตรียมจะเดิน แต่ไม่ทันที่จะได้ก้าวก็ได้ยินเสียงคนเรียกขึ้นข้างหลังซะก่อน


“อ้าว!? จะรีบกลับแล้วเหรอ...สควอโล่” ไม่ใช่เสียงใครที่ไหน...ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของวองโกเล่ที่พวกเขายังเชิดหน้าไม่ยอมรับนั่นแหล่ะ


ไอ้หนูนี่ยังอุตส่าห็ฝ่ากองงานมาโรงพยาบาลอีกเรอะ!?


“เออ...งานฉันยุ่งเฟ้ย ไม่ได้ว่างเหมือนพวกแก”


“แล้วเจอโกคุเดระคุงกับยามาโมโตะแล้วหรือยังล่ะครับ ได้ไปเยี่ยมพวกเขาหรือเปล่า” ช่างเป็นคำถามสมกับที่มีลางสังหรณ์สุดยอด ไม่อยากจะบอกว่าไปเยี่ยมมาแล้ว แล้วก็ไปคุย(?)มาแล้วเล้ย ศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ของหน่วยลอบสังหารวาเรียจะพังเอาไม่มีชิ้นดี


“ชิชิชิ ยังโชคดีน้า ที่ยังหายใจ” เจ้าชายเปรยในขณะที่รุ่นน้องหมวกกบเบะปาก ซึ่งนภาแห่งวองโกเล่ไม่รู้ว่านั่นมันคือคำตอบหรือเปล่า แต่ก็...


“ขอบคุณครับที่มาเยี่ยม”


น่าดีใจแทนโกคุเดระคุงและยามาโมโตะจริงๆ


เมื่อไหร่พวกนายจะฟื้นนะ...พวกนายจะได้รับรู้


ว่ากำลังใจของพวกนาย มันมีมากขนาดไหน


ตึกๆๆๆๆๆๆ


เสียงฝีเท้าของแพทย์คนหนึ่งวิ่งมาหาพวกเขาสี่คนที่ยืนอยู่ สีหน้าของหมอดูตื่นเต้น เหงื่อออกเต็มหน้าและหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ส่วนเบื้องหลังของหมอคนนั้นมีแพทย์และพยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออกวุ่นทั้งชั้น


“ขะ ขอรายงานครับ”


“เกิดอะไรขึ้น!!?” นภาเร่งถามซึ่งตอนนี้เหล่าวาเรียได้หยุดเดินแล้วหันกลับมาหานภากับคุณหมอเรียบร้อย ไม่ต้องเดาก็ถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ มันต้องเกี่ยวข้องกับอาการของใครคนใดคนหนึ่งนั่นแหล่ะ


“ข่าวดีอย่างยิ่งครับรุ่นที่สิบ...”


นภาได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเอง เสียงของลมหายใจ และเสียงของคุณหมอที่จะพูดประโยคต่อไป


“...”


ราวกับทุกสรรพสิ่งจะเงียบงันลง ทุกอย่างพร้อมจะรับฟัง...


“ท่านยามาโมโตะรู้สึกตัวแล้วครับ”



รับฟังเสียงฝน ที่ตกพรำให้กับวองโกเล่อีกครั้งหนึ่ง...





TBC…   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น