Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 7 เมื่อสูญเสียสายลม...
“รุ่นที่สิบครับ
ท่านโกคุเดระหายตัวไปครับ!!!”
คำรายงานของผู้ดูแลตึกวายุดังก้องไปมาในหัวของนภาแห่งวองโกเล่
ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโพลงกว้างสั่นระริกอย่างตกใจ
ในหัวมีแต่คำๆนี้วิ่งชนกันเต็มไปหมดในแบล็คกราวน์ที่ขาวโพลน
มือเล็กๆเผลอขยุ้มกระดาษเอกสารจนกลายเป็นก้อนกลมๆ
“ปะ เป็นไปได้ยังไง...เรื่องแบบนี้น่ะ”
ไม่จริงน่ะ...อย่างโกคุเดระคุงน่ะเหรอ
เป็นไปไม่ได้หรอก!!!
ฉันไม่เชื่อ!
ไม่เชื่อเด็ดขาด!!!
“ผมขอโทษครับรุ่นที่สิบ
ถ้าผมขึ้นไปหาท่านโกคุเดระตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น” คำขอโทษขอโพยพรั่งพรูดังต่อเนื่องจากโทรศัพท์
ยิ่งตอกย้ำวองโกเล่รุ่นที่สิบว่า ตอนนี้ที่ตึกวายุไม่มีโกคุเดระ ฮายาโตะแล้วจริงๆ
“หะ หาดีแล้วหรอ
คนๆนั้นยิ่งชอบออกมาทำอะไรตอนกลางคืนอยู่แล้วด้วย”
นภาแห่งวองโกเล่ยังคงพยายามหาความหวัง
เสียงหัวเราะแห้งดังประกอบประโยคเหมือนปลอบใจตนเอง แต่ก็ทำได้แค่นั้น...
ยังไงๆ ขอให้ฉันได้โกหกตัวเอง...
ขอให้ฉันได้หนีลางสังหรณ์ของสายเลือดแห่งวองโกเล่สักครั้ง...
“ไม่หรอกครับรุ่นที่สิบ
กล้องวงจรปิดทางออกทุกตัวไม่มีภาพของท่านโกคุเดระอยู่เลย อีกอย่างท่านโกคุเดระไม่สบายคงจะไม่คิดอยากออกไปไหนหรอกครับ”.......ถึงแม้ฉันจะไม่มีวันหนีมันได้เลยก็ตาม...
นภาแห่งวองโกเล่ทรุดลงกับพื้น
ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด มือเล็กๆบีบโทรศัพท์จนสั่น
ในใจตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว นอกจากจะคิดทบทวนและโทษตัวเองในใจ ฉันน่าจะเชื่อตัวเองตั้งแต่ทีแรก
ฉันน่าจะให้เขาขึ้นไปดูโกคุเดระคุงตั้งแต่ทีแรก ฉันน่าจะเชื่อลางสังหรณ์ของฉัน
ฉันมัน...
ฉันมัน...
ป้าบ! ผลั่วะ!
เสียงหนักๆปะทะเข้ากับใบหน้าของนภาแห่งวองโกเล่
เสียงแรกคือมือหนาๆตบเข้าที่หัวฟูสีน้ำตาลกลางกระหม่อม ส่วนอีกเสียงคือหมัดหนักๆที่ซัดพอดีกับแก้มของนภาจนหน้าคว่ำ
“ขอโทษทีนะ เส้นมันกระตุก” เจ้าของเสียงทุ้มๆเอ่ยค้ำหัวเรียกให้นภาเงยหน้าขึ้นมองเคืองๆ
ใช่...คนที่ตื่นแล้วขุดจากโซฟาขึ้นมาเพราะเสียงของตัวเองก็คือ
“เจ้ารีบอร์น!!! เจ็บนะว้อย!”
“ก็เห็นนายนั่งอยู่กับพื้น
ก็นึกว่านายเมื่อยเลยนวดให้” นักฆ่าอันดับหนึ่งเปรย
พร้อมหักมือกรอบแกรบ เป็นเชิงว่าถ้านภายังไม่ลุกอาจจะโดนไปอีกซักหมัดสองหมัด
เปล่าเลยเฟ้ย...เคยรู้อะไรกับเค้าบ้างมั้ยเนี่ย
ว่าคนเค้าเครียดจนประสาทจะกินอยู่แล้ว!!!
นักฆ่าอันดับหนึ่งสังเกตหน้าของลูกศิษย์ตัวเองแต่ก็ไม่ได้แปลกใจเหมือนรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว
เห็นๆนอนหลับตานิ่งไม่ไหวติงอยู่อย่างนั้น
ใครมันจะไปรู้ว่านักฆ่าอันดับหนึ่งสุดเจ๋งคนนี้ได้ยินทุกประโยค เผลอๆ
อาจจะรู้ตัวก่อนนภาแห่งวองโกเล่ด้วยซ้ำ...
“เสียไปแล้วสินะ...เจ้าห่วยสึนะ” น้ำเสียงเรียบๆทำให้นภาหลุบสายตาต่ำลงอีกครั้ง ความเจ็บใจทั้งหลายแหล่ถาถมเข้ามาในจิตใจของนภาจนไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ
นอกจากพยักหน้าเบาๆ
“ฉันผิดเอง
ถ้าฉันไม่ห้ามคนดูแลเอาไว้แต่แรก โกคุเดระคุงอาจจะปลอดภัยก็ได้ เพราะฉันใช่มั้ย
รี...”
เพียะ!
“แอ๊ฟ
ทำไรของแกฟะ!!!!!”
นภาแห่งวองโกเล่แหวลั่นเมื่อมีฝ่ามือหนาๆมาตบเข้าให้ที่หน้าอย่างจังจนกลายเป็นปื้นแดงๆรอยห้านิ้วประทับเต็มแก้ม
แต่ตอนนี้ใบหน้าของนักฆ่าอันดับหนึ่งกลับไม่มีท่าทีล้อเล่นหรือตั้งใจจะกวนประสาททั้งนั้น
เป็นการสั่งสอน...ให้นภาแห่งวองโกเล่ได้สติต่างหาก
“ก็เตือนสติของแกไง
ในประวัติศาสตร์ของวองโกเล่ไม่เคยมีบอสที่โหลยโท่ยขนาดดูแลผู้พิทักษ์ของตนเองไม่ได้เหมือนวองโกเล่รุ่นที่สิบมาก่อน!”
ภูมิใจชะมัด...เออ...ใช่
ฉันมันห่วย...เป็นบอสที่อ่อนแอสิ้นดี! นึกว่าตัวเองเข้มแข็งตอนที่เจรจาสำเร็จแล้วแท้ๆ แต่สุดท้าย...
คนอย่างฉันก็หนีไม่พ้นคำว่า
‘เจ้าห่วยสึนะ’ อยู่ดี
“เอาเลยรีบอร์น
จะด่าอะไรก็เชิญตามใจ ยังไงฉันมันก็เป็นบอสมาเฟียที่สมบูรณ์แบบไม่ได้อยู่แล้วนี่”
“คนอย่างแกไม่มีค่าพอที่ฉันจะด่าหรอก”นักฆ่าอันดับหนึ่งเอ่ยอย่างเย็นชา
สายตาคมปราดมองลูกศิษย์ที่อยู่แทบเท้าถึงแม้ว่าจะเป็นสีหน้าที่ไร้อารมณ์ใดๆแต่ก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆร่างสูงชุดสูทดำหันหลังแล้วพูดเปรยๆ
เหมือนไม่ได้ตั้งใจให้ใครได้ยิน
“บอสของวองโกเล่ไม่มีใครเคยเสียผู้พิทักษ์ก็จริงอยู่...”
นักฆ่าอันดับหนึ่งเว้นเสียงไปนานพักหนึ่ง
สายตาเหลือบมองลูกศิษย์อีกครั้งก่อนจะพูดต่ออย่างมั่นใจ
“แต่ว่าก็ไม่มีบอสของวองโกเล่คนไหนเหมือนกันที่ขี้ขลาดไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหาแล้วมานั่งโทษตัวเองแบบนี้!”
“รีบอร์น...”
“อีกอย่าง
ฉันไม่ได้ยอมเสียสิ่งที่ทรงเกียรติที่สุด
มีค่าที่สุดของวองโกเล่แฟมิลี่อย่างวองโกเล่ริงให้พวกนายทั้งเจ็ดไปใส่เล่นๆ
บนแหวนของนายเป็นตราแฟมิลี่ถือว่าเป็นนภาของวองโกเล่แฟมิลี่โดยสมบูรณ์
ส่วนที่เหลืออีกหกคือสภาพอากาศต่างๆ ที่นายต้องโอบอุ้มเอาไว้
และสภาพอากาศต่างๆนั้น จะคอยช่วยเหลือนายโดยไม่เว้นว่างเช่นกัน...”
ช่วยเหลือ...โดยไม่ว่างเว้น
“แต่สภาพอากาศนั้นจะทำงานดีก็ต่อเมื่ออยู่ครบครัน
ไม่ขาดอะไรไปแม้แต่อย่างเดียว เพราะทุกสิ่งคือตัวที่เชื่อมประสานทำงานร่วมกัน
เมื่อขาดอะไรไป ที่เหลือก็จะไม่ต่างจากสิ่งที่ไร้ประโยชน์...”
เพราะเราอยู่ร่วมกันแบบนี้...จึงฝ่าฟันอุปสรรคมาได้
เพราะเราอยู่ร่วมกันแบบนี้...ที่คอยเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
แล้วถ้าขาดไปซักคนล่ะ...
คนที่เหลือ...จะอยู่ยังไง
นั่นสินะ...
ตอนแรกฉันเองไม่ใช่เหรอที่คิดแบบนี้
แต่กลับทำให้แค่ความตกใจ เสียใจ เจ็บใจมาบดบังความคิดนี้ไปซะหมด.....บ้าจริงๆเลย...
ไม่ใช่เราคนเดียวซะหน่อยที่ยืนอยู่ในโลกที่แสนน่ากลัวนี่เพียงลำพัง...
ทุกคนคอยเกื้อหนุนเราอยู่!!!
จากปลายความมืดมิดของอนธกาล...ยังมีแสงสว่างอยู่เสมอ...
แสงสว่างที่คงอยู่ตลอดกาล...ส่องให้เห็นทางยามพลัดหลง...
แสงจากอรุณ...
ณ
ปราสาทใหญ่ของวาเรีย…
“เชคเมท!” เสียงกวนๆ
เนือยๆของเด็กชายตัวเล็กผมสีเขียวน้ำทะลสวยดังขึ้นพร้อมๆกับเลื่อนหมากตัวสุดท้ายเป็นการปิดเกม
ทำให้คู่เล่นที่นั่งอยู่ตรงข้ามพ่นคำสบถออกมาเสียงดังไม่ใช่น้อย
“ให้ตายเด้!!!
แกโกงฉันรึเปล่าวะไอ้ฟราน ชนะทุกรอบเลยนะโว้ย!!!!”
“แพ้แล้วอย่ามาพาลสิครับผบ. คุณเองต่างหากที่เล่นไม่ได้เรื่อง”
“ว่าไงนะ
ไอ้เด็กกบ!”
“ก็อย่างที่พูด”
“แก๊!!!!”
ตุ้บ! เพล้งงงงง!!!
แหกปากคำว่า
’แก’ ได้ไม่นานเท่าไหร่
แก้วใส่เหล้าสีใสชั้นดีก็ลอยมากระทบกับหัวสีเงินจนแตกกระจายพร้อมกับแอลกอฮอล์หลายดีกรีย้อยเต็มหน้า
ฉลามคลั่งแห่งวาเรียสะบัดหน้าไปมองร่างสูงใหญ่ที่กำลังนั่งเป็นพระราชาอยู่บนเก้าอี้หรูส่วนขาทั้งสองก็ยกขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รักษามารยาท...
“หุบปากของแกซะ
ไอ้ฉลามสวะ! เสียงแกมันทำให้ฉันรำคาญ!” จะว่าไปก็ไม่เคยมีนี่...บอสของวาเรียไม่เคยมีคำว่า
มารยาทอยู่แล้ว
“ไอ้บอสเวร!” เสียงตวาดแว้ดจนคนข้างๆต้องปิดหู “แกก็อยู่ส่วนแกสิฟะ
อย่าพาลเอาแก้วเหล้ามาปาใส่หัวฉัน!”
“หืม...แกอยากโดนเผานักเรอะ!”
“แล้วแกอยากโดนสับนักเรอะ!”
“น่าๆ สคลอลี่จัง
อย่าโมโหสิจ๊ะ เอ้า! กาแฟ”
ก่อนห้องนั่งเล่นจะเกิดสงครามกันย่อมๆ
แม่ครัวคนเดียวสุดเจ๋งของปราสาทวาเรียผลักประตูเข้ามาพร้อมยิ้มหวาน
ในมือของหล่อนมีถาดใส่เครื่องดื่มเต็มไปหมด แล้วจัดการแจกจ่ายให้ทุกคนเรียบร้อย
แน่นอนว่าไม่ลืมชายร่างสูงกำยำที่อุตส่าห์เดินทางจากหอบัญชาการวองโกเล่
มาช่วยงานที่นี่ด้วย
“ส่วนนี่ของเรียวเฮจังจ้า
เจ๊ทำให้พิเศษเลย!”
“โอ้ว!!
ขอบคุณสุดหูรูด!”
เป็นประจำดังนี้ทุกวัน
ถึงแม่ว่าใครจะคิดว่าวาเรียเป็นหน่วยลอบสังหารที่โหดเหี้ยมและไร้ความปรานี
แต่ผู้พิทักษ์อรุณไม่คิดอย่างนั้น
ความจริงไอ้พวกนี้ก็มีมุมพักผ่อนที่เห็นแบบนี้แหล่ะ
ถ้าใครมาเห็นคงไม่เชื่อหรอกว่าจะเป็นคนเดียวกับกลุ่มปิศาจร้ายนามหน่วยลอบสังหารพิเศษของวองโกเล่
วาเรีย ที่ไม่เกี่ยงยามฆ่าคน
มาอยู่ที่นี่ได้รู้อะไรอีกเยอะ...
กริ๊งงงงงงงงงงงง....งงงงงงงง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
ทั้งห้องสู่ภาวะเงียบ เกี่ยงกันทางสายตาอยู่นาน
ในที่สุดคนอยู่ใกล้อย่างสควอโล่ก็ต้องจำใจเดินไปรับ
“ที่นี่
ปราสาทวาเรีย ไม่อยากเสียชีวิตรีบพูดมา!”
ฉลามคลั่งถือโทรศัพท์นานพอดู เสียงอือๆออๆ
ก่อนจะยื่นมาทางผู้พิทักษ์อรุณที่อยู่มุมห้อง
“ไอ้หนูรุ่นที่สิบโทรมา
มันจะคุยกับแก” พอพูดคำว่ารุ่นที่สิบ ไม่ใช่แค่คนที่ถูกเรียกเท่านั้นที่หันมามอง
ราชาแห่งวาเรียที่นอนหลับตาอยู่ยังลืมตาสีแดงฉานขึ้นมานิดๆ
“ฮัลโหล
ซาวาดะเรอะ”
[คุณพี่เหรอครับ
ตอนนี้ว่างซักแป๊บมั้ยครับ ผมมีเรื่องด่วนจะแจ้งให้คุณพี่ทราบ] น้ำเสียงปลายสายของนภาแห่งวองโกเล่ดูร้อนรนเป็นที่สุดจนผิดสังเกต
ถึงแม้ตอนนี้อรุณมีรายงานที่ต้องทำอีกเยอะ แต่ก็จำต้องตอบไปว่า
“ว่างสุดหูรูดเลยซาวาดะ!!! มีเรื่องอะไรให้ช่วยรึเปล่า”
[เปล่าครับ
คือตอนนี้ที่หอมีเรื่องนิดหน่อย]
“เรื่อง?”
[ครับ...]เสียงของนภาแห่งวองโกเล่เงียบไปซักพัก
จนคนที่อยู่ทางนี้เริ่มแปลกใจ
ตอนนี้ทุกคนในห้องเริ่มหยุดกิจกรรมแล้วมองผู้พิทักษ์แห่งอรุณเป็นตาเดียว
[โกคุเดระคงหายไปครับคุณพี่...]
“หา!!!!!” พอได้ฟังข่าวร้ายจากนภาอรุณก็กลั้นความตกใจไว้ไม่อยู่
ถึงจะเป็นคนที่ไม่คิดมากแต่ฟังจากน้ำเสียงของคนส่งข่าวแล้วคงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ๆ
คนร่างสูงรีบรวบรวมสติอีกครั้งก่อนจะถามอย่างละล่ำละลัก “หะ
หายไปตอนไหนน่ะ ซาวาดะ ไอ้หมอนั่นเป็นคนเลือดร้อนซะด้วย
ไม่ใช่ออกไปทำอะไรตอนตีห้าหรอกนะ”
[ไม่ใช่ครับคุณพี่
ตอนนี้คาดได้อย่างเดียวว่าถูกลักพาตัว]
“งะ
งั้นเหรอ” คำว่าถูกลักพาตัวยิ่งทำให้ผู้พิทักษ์อรุณใจหายเข้าไปใหญ่
เหงื่อที่มาจากไหนมั่งไม่รู้ย้อยจนถึงคาง
[เดี๋ยวผมจะเรียกคุณฮิบาริกับมุคุโร่เข้าห้องประชุม
ส่วนคุณพี่ช่วยบอกแรมโบ้ทีนะครับ]
“ได้เลย
เดี๋ยวฉันจะโทรบอกเดี๋ยวนี้แหล่ะ!”
สิ้นเสียงรับปากร่างสูงวางโทรศัพท์ลงกับแป้น แต่พอหันขวับมาสายตาทุกคู่จ้องจนแทบพรุน
ไม่เว้นแม้แต่บอสแห่งวาเรีย...แซนซัส
“ไอ้หัวปลาหมึก...หายไปน่ะ...”
“ว้ายยยยย!!
ตาเถรตกหม้อ หายไปได้ยังไงน่ะเรียวเฮจัง”
อรุณส่ายหน้าช้าๆเป็นเชิงว่าไม่รู้อะไรทั้งสิ้น
ก่อนจะหันหน้าไปหาบอสของวาเรียให้ช่วยตัดสินใจ
“เอายังไง
แซนซัส งานนี้ฉันคิดว่า ซาวาดะต้องการนาย”
บอสของวาเรียปิดเปลือกตาลงอย่างไม่สนใจเหมือนให้คำพูดผ่านหูไปเฉยๆ
ก่อนจะเอ่ยปากปฏิเสธตามวิสัย “มันไม่ใช่ผู้พิทักษ์ของฉัน
เรื่องอะไรฉันต้องช่วย...แค่ผู้พิทักษ์คนเดียวยังดูแลไม่ได้..อ่อนแอไร้ที่ติ!” ทั้งหมดถอนหายใจให้กับคำตอบของบอส แต่ใครจะรู้
ว่าภายใต้สีหน้าเย็นชาไร้น้ำใจนั้นคิดอะไรอยู่
เหอะ...สายลมคือสิ่งประสานทุกอย่างกับนภา
บ้างครั้งมันก็โหมกระหน่ำรุนแรง…จนห้ามไม่อยู่
บางครั้งมันก็บางเบาเปราะบางเหมือนแก้วที่จะแตกอยู่รอมร่อ...
แต่ก็สำคัญ...
แกจะยอมปล่อยให้เป็นอย่างนี้เรอะ...
เรื่องแบบนี้แกจะทำยังไง...ฉันขอดูหน่อยเถอะ
ซาวาดะ
สึนะโยชิ
ห้องประชุม
หอบัญชาการวองโกเล่แฟมิลี่
“พร้อมแล้วนะครับ”
นภาแห่งวองโกเล่ประจำอยู่ที่หัวโต๊ะ ดวงตาสีน้ำตาลกลอกมองผู้พิทักษ์สองคนที่ยังมีตัวเป็นๆอยู่ขณะนี้
คนหนึ่งก็ยกมือหาวหวอดประมาณว่าง่วงสุดขีด
ความเป็นจริงนภาแห่งวองโกเล่จะได้กินทอนฟาเป็นอาหารรอบเช้ามืดแต่พอแจ้งเรื่องที่จะประชุมไปนั้นถึงได้ยอมมานั่งเก้าอี้ฟังได้
ส่วนอีกคนก็โทรไปตามมาจากข้างนอกเพิ่งจะกลับเข้ามาเมื่อตะกี้นี่เอง
คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ควางแทนผู้พิทักษ์อรุณและอัสนีที่ไม่สามารถมาเข้าร่วมประชุมด้วยตัวเองได้
แต่เขาทั้งสองคนจะสามารถรู้เห็นการประชุมได้ตามปกติจากจอมอนิเตอร์เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์นี่ทุกอย่าง
“ซาวาดะ
ตกลงไอ้หัวปลาหมึกมันหายไปได้ยังไงน่ะ!!”
เสียงของผู้พิทักษ์อรุณเอ่ยดังมาจากลำโพงเป็นคนแรก
“ไม่รู้เหมือนกันครับ...แต่ว่าผมไม่คิดว่าโกคุเดระคุงจะถูกลักพาตัวง่ายๆ”
“คึหึหึหึ
แน่ใจหรอครับวองโกเล่” น้ำเสียงทุ้มเย็นของสายหมอกสวนทันที
ดวงตาสองสีมองนภาแห่งวองโกเล่ยิ้มๆ“จะว่าไปช่วงนี้ก็มีคนต้องการโกคุเดระคุงอยู่...ไม่ใช่หรอครับ”
คำใบ้ของสายหมอกทำเอาดวงตาของทุกคนกระตุก
คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรอย่างสองคนในมอนิเตอร์ถึงกับกลืนก้อนสะอึกลงคอ โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่อ่อนวัยที่สุดแถมยังเสมือนน้องชายต่างสายเลือด
“คะ ใคร
น่ะครับวองโกเล่ที่ลักพาตัวคุณโกคุเดระ”
“อืม...ตอนนี้เห็นคนที่กำลังอยากได้โกคุเดระคุงก็คงจะมี...”
นภาแห่งวองโกเล่ทบทวนความคิด ไม่นานเท่าไหร่ใบหน้าเริ่มถอดสี
ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโพลงขึ้นเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิด
“มะ ไม่จริงน่ะ!
คนๆ นั้น คือพ่อของโกคุเดระคุงหรอ!!!”
“พ่อของไอ้ปลาหมึกเนี่ยนะ
หมอนั่นมันมีพ่อด้วยเรอะ” ผู้พิทักษ์แห่งอรุณเกาหัวแกรกๆ
บ่งบอกว่าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่นภายังคงไม่สนใจ เพราะตอนนี้ในหัวมีแต่คำว่า
ไม่เชื่อ ลอยอยู่เต็มไปหมด
“ไม่น่าเชื่อ...
ผมคุยกับเขาไปแล้ว พ่อของโกคุเดระคุงเขาจะยอมตัดใจน่ะครับ
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะผิดสัญญา”
นภาแห่งวองโกเล่ยังคงไม่เชื่อในความคิดของตัวเอง
แม้ว่าหนทางมันชี้ไปทางนี้ทางเดียว
แต่เขาก็ไม่อยากจะยอมรับว่าจะมีใครกล้าทำผิดสัญญาที่เพิ่งทำไปหยกๆ
แถมเขาคนนั้นยังเป็นผู้ใหญ่อุดมการณ์สูง
“คึหึหึหึ
สมัยนี้ใครเขาคิดแบบวองโกเล่มีหวังเจ๊งกันพอดีสิครับ อยากได้อะไรก็ต้องได้
ถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็ต้องเอาด้วยคาถาแหล่ะครับ
ไว้ใจไม่ได้หรอก”
“อ้อ งั้นเรอะ”
ผู้พิทักษ์แห่งเมฆาดักเสียงเรียบ
ดวงตารัตติกาลคมกริบเหลือบมองคนที่นั่งตรงข้ามตั้งใจจะหาเรื่องทางประสาทก็ไม่รู้ได้“แสดงว่าแกทำบ่อย...สินะ”
“คึหึหึหึ
ใครกันครับที่ทำบ่อย ผม หรือ ฮิบาริคุงกันแน่”
“ไอ้พืชล้มลุก!”
“ครับ”
“พอเถอะครับ
ผมขอร้อง!!
อย่าเพิ่งทะเลาะกันตอนนี้เลยนะครับ
เรารีบมาช่วยหาวิธีนำตัวโกคุเดระคุงคืนมาดีกว่า”
“นั่นสินะครับ”
ผู้พิทักษ์แห่งสายหมอกลูบคาง
แต่ยังไม่วายกัดผู้พิทักษ์คู่อริด้วยสายตายิ้มเยาะก่อนจะหันไปพูดกับนภาแห่งวองโกเล่“กำลังพลเป็นสิ่งสำคัญครับ
ถ้าพลน้อย โอกาสชนะก็มีน้อยตาม...”
“อืม...แล้วจะเอายังไง
งานนี้ฉันเห็นด้วยกับมุคุโร่นะซาวาดะ ถ้ากำลังมีเยอะ สบายสุดหูรูด
แต่ฉันมีข่าวร้ายมาบอกก่อนว่างานนี้วาเรียไม่ขอร่วมด้วย” ผู้พิทักษ์แห่งอรุณบอก
ทำเอาใจของนภาแห่งวองโกเล่แป้วไปไม่น้อย
เพราะยังไงกะจะยืมมือของวาเรียมาช่วยเหมือนกัน
“ทะ
ทำไมล่ะครับคุณพี่”
“มันไร้สาระ...พวกเขาพูดมางี้ล่ะ” เหอะ นั่นสินะ
ผู้พิทักษ์ของตัวเองหายไปมีรึจะให้คนอื่นมาช่วย
ยิ่งเป็นพวกห่วงศักดิ์ศรีสูงกว่าชีวิตอย่างวาเรียคงไม่มีทาง
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับวองโกเล่
กำลังเราใช่จะน้อยซะเมื่อไหร่ แต่ก็มีสิ่งที่ผมข้องใจอยู่อย่างนึง”
สายหมอกเหลือบดวงตาสองสีไปมองที่เก้าอี้ซ้ายมือตัวแรกที่มันว่างเปล่า
แล้วค่อยเงยมองนภาก่อนจะเอ่ยถาม
“ผมไม่ทราบว่าคุณลืมรึเปล่า...แต่เรื่องนี้...ยามาโมโตะคุงยังไม่รู้เรื่องเลยนะครับ”คำทัดทานทำให้ผู้พิทักษ์ทั้งหมดมองนภาเป็นตาเดียวต่างก็เห็นด้วยกับชายหนุ่มผมสีน้ำเงินไพลิน
เก้าอี้ข้างๆนภาว่างทั้งคู่ ทางขวาเป็นผู้พิทักษ์วายุที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ส่วนตัวซ้ายก็เป็นผู้พิทักษ์พิรุณที่สมควรจะนำโน้ตบุ๊คแสดงตัวเข้าร่วมประชุม
แต่นี่กลับไม่มี...ว่างเปล่า
“ผมไม่รู้...” คำตอบที่เอื้อนเอ่ยจากริมฝีปากเล็กสะกดสายตาทุกคู่ให้เบิกโพลง
“ซะ ซาวาดะ”
“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทุกคนจะเชื่อผมมั้ย
แต่ในใจลึกๆ ผมไม่อยากบอกให้ยามาโมโตะรู้เรื่องเลย ไม่อยากบอกเลย!”
“วองโกเล่ครับ
มันจะดีหรอครับ” ผู้พิทักษ์อายุน้อยที่สุดท้วงขึ้น
อย่างน้อยตัวเองก็ยังทำงานอยู่ที่เดียวกับคนที่จะไม่บอกให้รู้เรื่อง
แต่ถ้าเขาเกิดรู้ขึ้นมาล่ะ จะเป็นยังไง
“เชื่อใจฉันนะแรมโบ้...ถือว่าฉันขอร้อง
เรื่องนี้ช่วยปิดไว้เป็นความลับสำหรับพวกเราห้าคนเท่านั้น
ห้ามให้คนอื่นรู้เข้าใจมั้ย”
“...”
หงึก
เด็กหนุ่มผงกหัวตอบรับหลังจากที่นิ่งอยู่เล็กน้อย
ถึงแม้จะรู้ว่ามันผิด แต่ถ้าเป็นสิ่งที่นภาผืนนี้เชื่อมั่นเขาก็ไม่กลัวต่อสิ่งใด
ตอนนี้คิดได้เพียงสิ่งเดียวว่าจะต้องนำวายุกลับคืนสู่วองโกเล่ให้ได้
ใช่...สายลมคือสิ่งสำคัญ
เมื่อไร้สายลม...
นภาจะไร้สิ่งผสมผสาน...
สายหมอกจะไม่จางหาย
แต่จะคงอยู่อย่างนั้น หนาวเหน็บและ มืดมัว...
เมฆาจะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระตามที่ใจต้องการ
จะต้องหยุดนิ่ง ไปที่แห่งใดไม่ได้...
อรุณจะทอแสงอย่างโดดเดี่ยว...ไม่มีสายลมเอื่อยๆ
พัดผ่านในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส...
อัสนีจะไร้สิ่งชักนำ
ยามใดที่ฟาดลงมาบนพื้นปฐพี...ถ้าไม่มีวันที่พายุโหมกระหน่ำ...อะไรจะมาเป็นสิ่งเสริมพลังให้...
แต่สุดท้าย...ทุกๆ
สิ่ง ก็ตัดสินใจที่จะทวงสายลมกลับคืนมา...
แต่ไม่มีใครที่คิดถึงเลย...
ว่าพิรุณที่ฉ่ำเย็นได้ถูกปล่อยทิ้งให้รอสายลมที่ไม่มีวันพัดเคียงกาย...เพียงลำพัง...
TBC...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น