[Project: Happy birthday Takasugi kun!
S.Au.Fic Gintama Takasugi X Katsura X Gintoki
Serious drama action
คำเตือน
เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
รวมทั้งฉากและช่วงเวลาที่ปรากฎในฟิคเรื่องนี้
เป็นการผสมผสานปรับประยุกต์จากช่วงเวลาในประวัติศาสตร์จริงและจินตนาการของผู้เขียน
ดังนั้นไม่สามารถใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
คำเตือนข้อสุดท้าย
เนื่องจากเป็น Au คาร์แร็กเตอร์อาจหลุดบ้างน่อ
สองฝั่งหัวใจ
องก์ที่สาม
“ห้าปีแล้วที่ข้าไม่ได้เจอเจ้า....ซึระ”
“ทะ ทากาสึงิ...”
น้ำเสียงแผ่วเบาและสั่นเครือของร่างบางบนอาชาขาวที่เอ่ยออกมานั้นทำให้เจ้าของชื่อขยับยิ้มบาง
หัวใจที่ปิดตายจวบจนกระทั่งมันเหมือนหายไปแล้วเต้นเป็นจังหวะหนักขึ้นมา
มหาอุปราชหนุ่มเพ่งพินิจสายตาไปยังคาซึระ
ดวงตาคมสวยสีดำขลับที่มองสวนกลับมามีแววตื่นตระหนกอย่างไม่ผิดไปจากการคาดการณ์ของทากาสึงิเท่าใดนัก
มันคือแววตาของเจ้าทุกข์ใช้มองฆาตกรใจอำมหิตที่ฆ่าครอบครัวของตนเองจนไม่เหลือใคร
แต่คนตรงหน้าเขาก็ยังคือคาซึระ โคทาโร่
เป็นคนที่ทากาสึงิมั่นใจว่าต่อให้เขาถูกอีกฝ่ายมองด้วยสายตาหวาดผวา
หรือจงเกลียดจงชังมากกว่านี้...หัวใจข้างในมันก็ยังคงเต้นเป็นจังหวะผิดปกติอยู่ดี
และก็เพราะคนตรงหน้าคือคาซึระ โคทาโร่ ยังเป็นคนที่มีนิสัยของการเป็นผู้ดูแลเขาทั้งสองคนเหมือนก่อน นั่นก็คือไม่อาจแสดงอารมณ์ที่แท้จริงให้จับได้ว่ากำลังอ่อนแอ
และก็เพราะคนตรงหน้าคือคาซึระ โคทาโร่ ยังเป็นคนที่มีนิสัยของการเป็นผู้ดูแลเขาทั้งสองคนเหมือนก่อน นั่นก็คือไม่อาจแสดงอารมณ์ที่แท้จริงให้จับได้ว่ากำลังอ่อนแอ
พยายามจะประกอบความเข้มแข็ง
ทั้งๆที่มันแหลกสลายเป็นธุลีผง
เจ้าตัวจะรู้หรือไม่ว่าความแข็งกร้าวทว่าสั่นระริกอ่อนไหวในนัยน์ตาคู่นั้น
ทำให้ใครต่อใครหลงใหลจนยากจะถอนตัว
“การพบกันครั้งแรกในรอบห้าปี
เป็นสมรภูมิรบแล้วเกลื่อนไปด้วยซากศพเหมือนงานสังสรรค์ครั้งก่อน”
เสียงต่ำทุ้มเอ่ยเรียบเรื่อย
ดวงตาสีเขียวหรี่ต่ำลงกวาดไปรอบจากบนหลังม้าพร้อมรอยยิ้มดูแคลน “มันช่างน่าพิสมัย”
เหมือนเอาน้ำเกลือสาดมายังแผลเดียวที่กลางใจของผู้สูญเสียพี่ชาย
ก็เพราะแผลนั้นมันไม่ยอมปิดแล้วตกสะเก็ดหายไปสักที มันถึงได้ยังชุ่มเลือด
พร้อมที่จะเจ็บร้าวทุกทีที่นึกถึง คาซึระทนกลืนทุกความทรมานลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า
มีเพียงความเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งที่ฉายชัดบนใบหน้าสวย
“แต่ข้าว่าไม่...หากเป็นที่ที่พบกับเจ้า
แม้แห่งนั้นจะงดงามราวกับสรวงสวรรค์ แต่ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับขุมนรกนักหรอก”
เสียงนุ่มทุ้มที่แสนคิดถึงเอ่ยตัดรอน เรียกเสียงหัวเราะหึในลำคอของผู้ฟัง ริมฝีปากแสร้งคลี่ยิ้มเศร้า แล้วพลันเหมือนลมกรรโชกวูบ เพียงเสี้ยววินาทีที่เผลอใจและไม่มีใครกล้าขยับตัว ม้าสีดำที่อยู่ห่างออกไปเกือบสามเมตรเข้าประชิดตัวสีขาวจนสีข้างแตะกัน และบุรุษผู้คุมกองทัพเรือนแสนของแผ่นดินได้เข้าใกล้อดีตผู้ดูแล ใบหน้าคมโน้มเข้าใกล้ริมหูอีกฝ่าย
“ใจร้ายเสียจริง” ทากาสึงิกระซิบแผ่วเบา
จมูกรับกลิ่นหอมของเส้นผมที่เรียงลาดตามบ่าเล็ก “แค่เจ้าหนีข้ามาตลอดห้าปี
มันก็ใจร้ายมากพออยู่แล้ว... เจอหน้ากันทั้งที...อย่าพูดอะไรชวนเสียใจแบบนั้นได้ไหม”
ดวงตาสีดำที่เคยเย็นชาบัดนี้สั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด
และเป็นภาพที่กินโทกิไม่สามารถทนมองต่อไปได้
แม่ทัพหนุ่มเผลอเตะสีข้างม้าอย่างรุนแรงจนมันร้องเสียงแหลมแล้วถลาตัวเข้าไปเบียดทากาสึงิให้ถอยห่างจากร่างบาง
ดวงตาสีแดงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
การถือสิทธิ์เข้าเอาตัวบังประกาศความเป็นผู้ปกครองแบบนั้นทำให้ทากาสึงิชักกรุ่นแม้บนใบหน้าจะแสดงออกเป็นการสมเพชน้องชายตัวเองเต็มประดา
“ถอยออกไปซะ ทากาสึงิ!” กินโทกิคำรามเสียงต่ำ “และคงไม่ต้องบอกหรอกใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด”
“สีหน้าที่ปรึกษาเจ้าฟ้องว่าข้าเป็นตัวอันตรายขนาดนั้น
ไม่ต้องพูดก็เข้าใจ” ทากาสึงิยิ้มยียวน ชักบังเหียนเล็กน้อยให้ถอยห่างจากคาซึระ
กลิ่นหอมอ่อนๆที่จางลงนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาได้สัมผัสคลายความคิดถึง
ดวงตาที่แต่เดิมเคยมองเขาอย่างใจดีบัดนี้เบือนหลบไม่ให้เห็นแม้เพียงปลายหางตา
ดั่งความห่างเหินที่ประกาศชัดเจนว่าตอนนี้เขากับสองคนนั้นกำลังยืนอยู่คนละฝั่ง
คือศัตรูที่จะต่อสู้กันเอาชีวิต
เพื่อทวงเกียรติและล้างอดีตอันแสนขมขื่น
“ก่อนอื่นข้าขอพูดอะไรกับพวกเจ้าสองคนสักอย่าง
ว่าถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ ข้าก็ยืนยันที่จะทำเหมือนเดิม”
ความเย็นชาทั้งคำพูดและสีหน้าปรากฏชัดตอกย้ำถึงความไร้สำนึกจนกินโทกิต้องข่มโทสะถึงขีดสุด มือแกร่งบีบฝักดาบจนสั่นระริก ฟันขาวระเบียบขบกันดังกรอด อยากถลาเข้าไปฆ่าปิศาจไม่มีหัวใจตนนั้นเต็มแก่ แต่ตอนนี้ดันมีสิ่งที่เขาอยากทำมากกว่านั้น นั่นคือการปิดหูปิดตาร่างบางที่อยู่ข้างๆไม่ให้รับรู้อะไรก็ตามเกี่ยวกับทากาสึงิ อยากพาหนีไปให้พ้นจากที่นี่!
“มันก็เหมือนกันนั่นล่ะ ไอ้กบฏราชวงศ์ หากย้อนเวลากลับไปได้
ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ข้าก็ไม่มีวันยกโทษให้กับเจ้า!”
“ข้าเองก็ไม่ได้อยากขอการอภัยโทษจากเจ้าสักเท่าไหร่หรอก
กินโทกิ” ทากาสึงิสวนกลับ ดวงหน้าคมคายประดับด้วยรอยยิ้มพราย
ดวงตาคมกริบตวัดมองอีกคนแล้วเอ่ยเสียงอ่อน
“ซึระ...แต่ถ้าหากเจ้าอยากฟังคำขอโทษ
ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ข้าก็จะพูดให้เจ้าฟัง....”
“ทหาร!! กลับค่าย!!!”
ไม่ทันสิ้นประโยคดี สติของท่านแม่ทัพปราบกบฏก็ขาดผึง
น้ำเสียงทุ้มห้าวตวาดเรียกกำลังพลที่เหลือของตนหันหลังกลับทันทีและไม่ลืมที่จะส่งสายตาดุบังคับไปยังที่ปรึกษาคนสำคัญของตัวเองว่าให้กลับพร้อมกันเดี๋ยวนี้
คาซึระพยักหน้า มือบางกุมบังเหียนแล้วสะบัดเบาๆพอให้ร่างระหงของม้าขาวหันหลังกลับ หากแต่ไม่ทันที่จะออกควบ เสียงนุ่มทุ้มก็แว่วเบา หากแต่คนที่ตั้งใจฟังอยู่แล้วอย่างทากาสึงิ มันจึงชัดเจนในโสตประสาท
“เป้าหมายของกินโทกิ
คือการทวงบัลลังก์และปกป้องเกียรติยศแห่งรัชทายาทเท่านั้น
วางใจได้ว่าเจ้าจะไม่ตายด้วยน้ำมือของเขา....แต่สำหรับข้า...” คาซึระเม้มริมฝีปากจนซีด
ความเศร้าและความเคียดแค้นปะทุจับขั้วหัวใจ
“การทวงความเป็นธรรมให้กับท่านพี่โชโยผู้ล่วงลับ
คือการสังหารเจ้าด้วยมือของข้าเอง!”
น้ำเสียงเจ็บปวดแม้มองไม่เห็นหน้า
ก็ทำให้ทากาสึงิจินตนาการออกได้ว่าอีกฝ่ายอยากฆ่าเขาจนน้ำตาหลั่ง ม้าสีขาวที่ควบตามกินโทกิไปนั้นอยู่ในสายตาของมหาอุปราชจวบจนไกลลิบแล้วมองไม่เห็น
แต่คำพูดของคาซึระ...เขายังคงจำได้
แต่ไม่รู้จริงๆหรือแกล้งกันแน่
ว่าเรื่องที่เป้าหมายของกินโทกิเพียงแค่การทวงบัลลังก์นั้นมันผิดมหันต์...จิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวของน้องชายต่างแม่คนนั้น
มันแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคาซึระอยู่ใกล้เขา
จิตสังหารที่ต้องการจะปกป้อง
บ่งบอกชัดเจนว่าแม้เอาชีวิตเข้าเสี่ยง ก็จะไม่มีวันคิดเสียใจ...
แล้วแบบนี้จะยังว่าความแค้นของเจ้า
เจ้าเป็นคนแบกมันเอาไว้เพียงคนเดียวได้อีกหรือ?...
แกล้งทำเป็นตาบอดกับคนใกล้ตัวเสมอเลยนะ...ซึระ
ค่ายปราบกบฏ
ร่างสูงสง่าของอดีตเจ้าชายรัชทายาทกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินกระฟัดกระเฟียด
สีหน้าบึ้งตึงอย่างปิดไม่อยู่บนใบหน้าท่านแม่ทัพไม่สมกับที่ได้รับชัยชนะ
กินโทกิก้าวยาวผ่านการทำความเคารพจากทหารเวรประจำแต่ละหน่วยอย่างรวดเร็ว
ความหุนหันพลันแล่นเจ้าอารมณ์แบบนี้ทำให้คนเห็นประหลาดใจไปตามๆกัน
“ท่านคาซึระขอรับ!!”
เสียงใสๆของเด็กหนุ่มคนหนึ่งร้องเรียกไล่หลังมาทำให้ร่างบางที่พยายามจ้ำอ้าวตามคนตรงหน้าอยู่หยุดแล้วหันมามองทันที
และแน่นอนว่าท่านแม่ทัพที่กำลังอารมณ์ไม่ดีก็ต้องหยุดด้วย
เด็กหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาโค้งเคารพทั้งสองคน
แล้วเงยหน้าขึ้นมองด้วยความรู้สึกเย็นไขสันหลังอย่างบอกไม่ถูก
ก็แน่ล่ะสิ
ท่านแม่ทัพกินโทกิกำลังจ้องเขาปานว่าเป็นศัตรูที่แค้นกันมาสิบชาติอย่างนั้น!
“เอ่อ...ท่านคาซึระขอรับ
หัวหน้าแพทย์ให้มาตามไปช่วยทางกระโจมพยาบาลหน่อย คนเจ็บเยอะเหลือเกินขอรับ”
คาซึระพินิจเครื่องแต่งกายของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ใส่เป็นซามุเอะสบายๆไม่ใช่ชุดทหารก็ทำให้รู้ทันทีว่าเป็นคนของหน่วยพยาบาล
แต่ไม่ทันที่จะได้พูดอะไร ท่านแม่ทัพที่อยู่ข้างๆก็ชิงถามขึ้น
“เร่งด่วนหรือไม่ มีคนใกล้ตายหรือเปล่า”
“มะ ไม่สาหัสขนาดนั้นขอรับ ท่านแม่ทัพ”
เด็กหนุ่มโค้งรับ เหงื่อที่ไม่รู้มาจากไหนแตกซิกเต็มใบหน้าและกลางหลัง
ยิ่งสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นๆและความไม่สบอารมณ์
เด็กน้อยจากหน่วยพยาบาลยิ่งอยากเนรเทศตัวเองกลับกระโจมไปซะ
“คือว่า
ตัวยาสำคัญที่ท่านคาซึระคิดค้นขึ้นมีความจำเป็น หากให้พวกข้าปรุงกันเอง
เกรงว่าจะไม่มีความชำนาญเท่า”
“บอกท่านหัวหน้าแพทย์ให้รักษาตามอาการไปก่อน
เวลานี้ที่ปรึกษาคาซึระมีเรื่องต้องคุยกับข้า”
คำสั่งตัดบทเองเสร็จสรรพทำให้ดวงหน้าสวยหันขวับไปมองกินโทกิทันที
ดวงตาสีแดงฉานที่ยังกรุ่นๆอยู่เผยชัดว่าถ้าตอนนี้ไม่ได้คุยกับเขา
ก็ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ไปทำอย่างอื่นแน่นอน ร่างบางพรูลมหายใจ
ก่อนจะหันไปยิ้มบางให้คนจากหน่วยพยาบาล ผู้ไม่รู้เรื่องราวเกือบตกเป็นที่พาลใส่ของท่านแม่ทัพยามสติใกล้จะแตก
“ที่กระโจมพยาบาล
ลิ้นชักไม้ริมสุดชั้นที่สิบสอง ช่องที่สามนับจากซ้ายมือ ข้าจดสูตรยาตัวนั้นเอาไว้
ตั้งใจอ่านดีๆ แล้วทำตามขั้นตอน ก็จะสามารถปรุงได้ไม่ยาก เดี๋ยวสักพักข้าจะตามไป”
“รับทราบขอรับ” ได้คำปลอบประโลมนุ่มนวล
ขวัญที่มันกระโจนหนีไปไหนต่อไหนก็พอจะกลับมาได้บ้าง
เด็กหนุ่มโค้งทำความเคารพแล้วหมุนตัววิ่งออกไป ลับหลังคนนอกแล้ว
ดวงหน้าเรียวหันกลับมาประจันหน้ากับกินโทกิ คิ้วโก่งขมวดมุ่นไม่พอใจ
ตำหนิอีกฝ่ายเสียงเบา
“เขาไม่ใช่ทหารในกองทัพนะ
เจ้าถึงได้ไปทำหน้าถมึงทึงใส่ขนาดนั้น
เมื่อกี้เขาเกือบเป็นลมเพราะท่าทางของเจ้าแล้ว รู้ไหมกินโทกิ!?”
“ข้าขอโทษ” แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจ สายตาที่อ่อนโยนลงทอดมองคนเบื้องหน้า
ก่อนจะค่อยๆสอดมือเข้าไปจับมือเรียวบางแล้วออกแรงดึงเบาๆ
“แต่ตอนนี้...ตามข้ามาก่อนเถอะ....ข้ามีเรื่องต้องพูดกับเจ้า”
กินโทกิจูงมืออีกฝ่ายแล้วเดินไปที่กระโจมกลาง
มือของเขาทั้งสั่นเทาและเย็นชืด เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะของคาซึระที่ยอมเดินตามมามันก็เหมือนกับทุกครั้ง
นั่นคือคาซึระคือผู้ที่คอยอยู่ข้างหลังเขาเสมอ ไม่ว่าเขาขออะไร จะเคารพ รับรู้
แล้วยอมทำตาม...หากแต่ไม่เคยสนองมากเกินกว่านั้น
...ดวงหน้าคมยิ้มอ่อนใจ
ความจริงเขาไม่ควรเอามือเย็นๆและเหนอะไปด้วยคราบเลือดแบบนี้ไปจับต้องคาซึระเลย....
แต่กินโทกิก็ทราบดี....
...ว่าต่อให้มือของเขาอบอุ่นกว่านี้
มือเรียวบางที่กุมอยู่ ก็ไม่มีวันสัมผัสตอบ.....
บรรยากาศในกระโจมกลางที่แต่เดิมเงียบอยู่แล้วเนื่องจากไม่มีใครเข้าออกนอกเสียจากท่านแม่ทัพและที่ปรึกษาคนสนิท บัดนี้เรียกได้ว่าอึดอัดไปถนัดตา มือใหญ่ค่อยๆปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ เอ่ยถามเสียงเรียบทั้งๆที่ยังยืนหันหลังให้
“ทำไมต้องออกจากค่ายด้วย”
“ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไปรับคนเจ็บ”
“แต่ข้ากำชับแล้วนะว่าไม่ให้ออกไป!” กินโทกิหันกลับมา
น้ำเสียงที่กร้าวขึ้นเพราะโมโหที่คาซึระไม่เคยเข้าใจสักที เขาโกรธ โกรธอีกฝ่ายทุกครั้งที่ชอบฝ่าฝืนคำสั่ง
และคำสั่งมันเคร่งครัดก็เพียงเพราะสาเหตุเดียว นั่นก็คือความเป็นห่วง
แต่มันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง
พอได้มองดวงตาเรียวสวยเต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจนั่นแล้วมันก็พาลอ่อนยวบลง
น้ำเสียงทอดเอื่อยเพราะความน้อยใจอย่างที่ไม่เคยใช้พูดกับใครเอ่ยถามร่างบางตรงหน้า
“ทำไมไม่ฟังกันบ้างซึระ...เจ้าไม่เห็นข้าเป็นแม่ทัพแล้วหรือ?”
“ผิดแล้ว...ข้าเห็นเจ้าเป็นแม่ทัพเสมอ”
ใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มชวนมอง
มือเรียววางแตะบนท่อนแขนแข็งแรงของท่านแม่ทัพที่กำลังใจร้อน
หวังเอาน้ำเย็นเข้าลูบให้สงบลงบ้าง “อย่าห่วงนักเลยกินโทกิ
ที่ข้าขัดคำสั่งก็เป็นเพราะประเมินแล้วว่ามันไม่หนักหนากว่าแรง และไม่เป็นอันตราย”
“ไม่อันตราย!?” กินโทกิทวนเสียงดัง สะบัดตัวหันหลังให้ที่ปรึกษา “วันนี้ที่เจ้าไปสนามรบ
เจ้ามองเห็นถึงความไม่อันตรายตรงไหน!? ทุกๆที่ที่มีทากาสึงิ
ที่นั่นล้วนเต็มไปด้วยอันตราย”
แล้วความจริงก็เผยชัดว่าสรุปท่านแม่ทัพกินโทกิผู้ที่นานๆจะหลุดความควบคุมนั้นโกรธจะเป็นจะตายนี่มันเรื่องอะไร
และดูท่าว่าเจ้าตัวจะไม่ได้รู้ตัวเลยว่าถูกหลอกให้พูดความจริงออกมา
คาซึระขยับยิ้มบาง เดินไปดักหน้าอีกฝ่าย
“ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่เจ้าโกรธ ก็คงไม่ใช่เพราะข้าออกค่ายไปโดยพลการ
แต่เป็นเรื่องทากาสึงิ ใช่หรือไม่?”
“ซึร้า....”
เสียงครวญไม่ทำให้ที่ปรึกษาผู้ปราดเปรื่องหยุดวิเคราะห์
นิ้วชี้เรียวยกขึ้นชี้หน้าสั่งหยุด
อย่างที่ไม่เคยมีใครกล้าทำกับแม่ทัพสายเลือดขัตติยาผู้ยิ่งใหญ่คนนี้มาก่อน
“เรื่องที่เจ้าโกรธคือการที่ข้าออกจากค่ายและไปพบหน้ากับทากาสึงิ...ข้ารู้แล้ว
และต้องขอโทษเจ้าที่ทำให้ไม่สบายใจ
เพราะข้าไม่คาดการณ์ว่าทากาสึงิจะออกมาที่สมรภูมิด้วย”
การสรุปที่ราวกับไปนั่งอยู่กลางใจทำให้แม่ทัพกินโทกิได้แต่นิ่งเถียงไม่ออกสักคำ
มือยกขึ้นลูบท้ายทอยพร้อมเบือนหน้าหลบไป
ก็นึกเคืองอีกฝ่ายอยู่เหมือนกันที่ชอบมองอารมณ์เขาได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้
แต่เรื่องบางเรื่อง
ก็เหมือนเลี่ยงที่จะไม่มองอยู่เรื่อยไป...แบบนี้จะไม่ให้หงุดหงิดอย่างไรไหว?
“ทีเรื่องอย่างนี้ล่ะก็รู้ เรื่องที่คิดง่ายกว่านี้ตั้งเยอะ
ยังไม่รู้เลย” ร่างสูงบู้ปากแล้วบ่นอุบอิบเบาๆ
แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้คาซึระได้ยิน โดยที่ไม่ต้องแปลความ
ไม่ต้องใช้ตรรกะคิดให้เปลืองสมองอย่างทุกครั้งก็สามารถจับได้ว่า ‘เรื่องที่ง่ายกว่า’ ที่กินโทกิหมายถึงนั้นมันคืออะไร
ร่างบางย่อตัวลงนั่งกับเก้าอี้ไม้ สายตาเสมองไปที่อื่นแล้วเปรยเสียงแผ่วเหมือนพูดกับตัวเอง
“บางเรื่อง รู้เอาไว้ก็ใช่ว่าจะดี
สู้ไม่รู้จะเหมาะกว่า”
“อย่างนั้นหรือ?
จะว่าไปเท่าที่เจ้าเป็นที่ปรึกษาข้ามาห้าปี
ข้าไม่เห็นว่าจะมีเรื่องใดที่เจ้าไม่แตกฉาน” กินโทกินั่งลงกับเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง
เขาค้อมตัวเล็กน้อยแล้วเท้าแขนเอาไว้บนเข่าทั้งสองข้างเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับคาซึระ
ดวงตาสีแดงเฝ้าสังเกตอาการที่จะปรากฏบนหน้าสวยของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ
“เรื่องพิชัยสงคราม ข้าไม่ข้องใจ
แต่เรื่องของข้า...ข้ายังไม่เคยถามเจ้าสักที”
“แล้วเจ้าอยากถามเรื่องอะไร” เสียงนุ่มย้อนกลับ
หัวใจของกินโทกิเต้นตึกตักทั้งๆที่จะเป็นฝ่ายถาม
ดวงตาสีดำที่มองกลับมาพร้อมที่จะตอบดั่งนักเรียนผู้พร้อมไปด้วยความรู้จนทำให้อาจารย์เกิดความประหม่า
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าที่ข้าทำศึกนี่ด้วยเหตุใด”
“รู้”...แม้สิ่งที่รู้นั้น
จะไม่ใช่สิ่งที่ประสงค์
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าไม่อาจปล่อยเจ้าให้ต่อกรกับทากาสึงิเพียงลำพัง
ข้ากลัวอันตรายที่จะเกิดกับเจ้า” ดวงตาสีแดงยามนี้ทั้งนิ่งและทรงอำนาจอย่างจอมทัพ
หากแต่หัวใจของคาซึระยังคงไม่สั่นกลัว ใบหน้าเรียวพยักช้าๆแล้วตอบรับ
“รู้”
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าทากาสึงิไม่มีทางปล่อยมือจากเจ้า
ที่มันต้องการเอาชนะข้าก็เพราะสาเหตุด้วยเจ้าเป็นหลัก
ข้าว่าเจ้าสังเกตได้แม้ว่าตอนเป็นเด็ก มันตั้งใจ ‘มอง’
เจ้าอย่างชัดเจน” น้ำเสียงของกินโทกิเริ่มสั่นและแตกพร่า
ความรู้สึกที่มีมาตลอดเมื่อครั้งยังอยู่ด้วยกันสามคนกำลังกร่อนจิตใจดังเช่นวันวาน...ความเจ็บช่างคุ้นเคย
ก็เพราะสังเกตและเห็นมาโดยตลอด เห็นว่าทากาสึงิไม่เคยละสายตาไปจากร่างบางตรงหน้า
หากแม้นแต่ตอนนี้กินโทกิก็มั่นใจว่ามันยังคงเป็นเช่นเดิม...
แล้วคำตอบก็เอ่ยออกมาเบาๆ
“รู้...”
ใบหน้าสวยเงยขึ้นมองแม่ทัพผู้ทรงศักดิ์
แต่เมื่อเห็นแววตาแคลงใจเหมือนต้องการคำอธิบาย คาซึระจึงได้พูดต่อ
“คนที่อยู่ในสายตาของคนอื่นนั้น
ตีความหมายได้หลายรูปแบบนะ กินโทกิ จงเกลียดจงชัง ริษยา ผูกพยาบาท ชื่นชม
หรือประทับใจ หากแต่จะเป็นแบบใดนั้นหัวใจของเจ้าตัวจะเป็นผู้รู้อยู่คนเดียว
เมื่อแสดงออกต่อหน้าคนอื่นก็จะเปลี่ยนแปลงไป
ซึ่งตรงนี้ข้าไม่เคยมองออก...ว่าทากาสึงิคิดอะไรอยู่”
“แล้วเจ้ารู้บ้างหรือไม่
ว่าข้าคิดเช่นใดกับเจ้า...”
ความเงียบเข้าก่อตัวในกระโจมเมื่อสิ้นสุดคำถาม
การเว้นว่างของคำตอบที่นานกว่าปกติยิ่งทำให้กินโทกิหวั่น
หัวใจเต้นผิดจังหวะดังเช่นก่อนออกศึก กริยาที่แสดงบนใบหน้าของคาซึระเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนในเชิงตกใจกับคำถาม
ดวงตาเรียวเบิกกว้าง
ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อยอย่างที่กินโทกิรู้ว่าเหมือนคาซึระกำลังตรอง
หรือต่อสู้กับความคิดเห็นของตัวเอง
แต่สุดท้ายคำตอบก็หลุดออกจากริมฝีปากบาง
“ขออภัยท่านแม่ทัพ ข้าไม่รู้”
..........ขออภัย...ที่ไม่อาจรับรู้
สรรพนามใช้เรียกที่แสดงการเหินห่างตอกย้ำกินโทกิอีกครา
ดวงตาสีแดงสั่นระริกฝืนยิ้มให้กับตัวเองให้แนบเนียนที่สุดพยายามไม่ให้คนตรงหน้ารับรู้ถึงความกล้ำกลืน
ร่างสูงพยักหน้าเนิบๆอยู่หลายครั้งให้ย้ำเตือนหัวใจ
มือแกร่งทั้งสองค่อยๆเลื่อนไปจับมือเรียวบางที่วางอยู่บนตักอีกฝ่ายช้าๆ
บรรจงลูบแม้รู้ว่าไม่แข็งแรงและนิ่งพอที่จะปลอบใจ
เสียงของตนกระซิบก้องในหัวซ้ำๆว่าไม่เป็นไร
“ไม่เป็นไร
ซึระ...ก็เพราะเจ้าไม่รู้นี่แหละ ข้าถึงได้พยายามทำให้รู้อยู่ทุกวัน...”
น้ำเสียงของท่านแม่ทัพหนุ่มแม้พยายามบังคับให้ร่าเริงแต่มันก็ยังคงสั่นพร่า
รอยยิ้มที่เคยยิ้มให้คาซึระในวัยเด็กอย่างไร
ตอนนี้กินโทกิก็ยังคงให้เหมือนเดิมพร้อมคำเย้าเล่นแม้ไม่ใช่สถานการณ์ควรสนุก
“ฮะฮะ แต่ไม่ต้องห่วง
ต่อให้ทั้งชีวิตนี้เจ้ายังไม่รู้
ข้าก็ไม่มีทางไล่เจ้าออกจากการเป็นที่ปรึกษาข้าหรอกนะ”
ไม่มีทางที่จะทอดทิ้ง...ยินดีจะให้
ยินดีจะสู้ แม้รู้ตัวว่าแพ้
ที่มองออกได้ว่าแพ้ ไม่ใช่เพราะคำตอบ ‘ไม่รู้’ ของคำถามข้อสุดท้าย
แต่เป็นคำตอบว่า ‘รู้’
ของคำถามก่อนหน้านั้น.....
วังหลวง
ร่างสูงโปร่งยังคงนั่งอยู่ตรงบัลลังก์สูงในห้องประชุมสงคราม
เบื้องล่างรายเรียงสองข้างด้วยเหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองชั้นสูงของกองทหารอสุรา
ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างสนุกสนาน นิ้วแกร่งเคาะโต๊ะเป็นจังหวะอย่างสุนทรีย์กับพนักพิงไม่แม้แต่จะสนใจความเครียดของแม่ทัพทาคาจิที่เพิ่งพ่ายแพ้มาให้เสื่อมเสียเกียรติของกองทัพที่เกรียงไกร
“ตอนนี้ทัพของกินโทกิเริ่มบุกเราถึงขั้นถล่มหนึ่งในห้ากองทัพอารักขาวังหลวง
พวกมันกำลังได้ใจ คาดว่าต้องรีบรุกสร้างความเสียหายให้เราแน่ขอรับ” เสนาธิการประจำทัพหลวงกล่าว
เขาคือผู้เดียวที่ยืนอกผายไหล่ผึ่งอยู่ในห้องนี้ข้างโต๊ะแผนที่
ในมือถือไม้เหลาแหลมฉลุลายเพื่อใช้ชี้ทิศทางต่างๆบนผืนผ้าใบ
“ถ้าอย่างนั้นก็เพราะความผิดท่านแม่ทัพทาคาจิสิเนี่ย”
ทากาสึงิหัวเราะหึ นั่งพิงพนักกอดอกแล้วเหยียดมองหนึ่งในห้าทหารเสือของตัวเอง
ที่แม้ไม่ใช่สายตาตำหนิ
แต่ตัวของทาคาจิกลับสั่นเทิ้มเหมือนรอการตัดสินประหารชีวิตอยู่กลางลาน
ร่างทั้งร่างลุกขึ้นจากเบาะนั่งแล้วถลาตัวมาคุกเข่าเบื้องหน้าทากาสึงิ จากนั้นลงไปค้อมตัวขอโทษถึงพื้น
ไม่เคยกลัวสายตาของใครเช่นนี้มาก่อนในชีวิต
“ข้าสมควรตายสักพันสักหมื่นครั้งขอรับท่านมหาอุปราช
หากจะกรุณา ขอให้ข้าได้ทำงานแก้ตัวด้วยเถอะ
ข้าสัญญาว่าจะรับมือกับกองทัพของเจ้าชายกินโทกิอย่างไม่คิดเสียดายชีวิต!”
“ลุกขึ้นเถอะ ข้ามิได้โกรธเจ้า”
เสียงเย็นๆยังเจือไปด้วยอารมณ์ขัน แม่ทัพผู้มีโทษเฉียดตายก้มจนหัวแตะพื้นก่อนจะไปนั่งที่เก่า
ดวงตาทรงอำนาจสีเขียวเข้มกวาดมองแล้วเปรยเสียงเรียบ
“จะแพ้สักครั้งก็ไม่แปลก...ก็เพราะอีกฝ่ายคืออดีตเจ้าชายรัชทายาท
ซากาตะ กิโทกิ ผู้มีฝีมือการรบราวกับผู้นำกองทัพของปิศาจ ส่วนฝ่ายเสนาธิการ
คือที่ปรึกษาทัพที่ข้าคิดว่าในดินแดนนี้ไม่มีใครแตกฉานในตำราพิชัยสงครามเทียบเท่า...คาซึระ
โคทาโร่ ”
คำพูดเยินยอฝ่ายตรงข้ามโดยไม่สนใจว่าเหล่าที่ปรึกษาสูงวัยและบรรดาแม่ทัพในราชสำนักจะรู้สึกโดนหักหน้า
ร่างสูงลุกยืนขึ้นแล้วก้าวเดินลงมาท่ามกลางความเงียบเชียบของที่ประชุม
ไม่มีการขยับกายของผู้ใด ลมหายใจของทุกคนเชื่องช้า
ดวงตาทุกคู่หลุบลงต่ำไม่กล้าแม้แต่จะกลอกขึ้นไปมองผู้นำทัพสูงสุด
ที่ตอนนี้แม้ไม่มีอารมณ์โทสะ ก็สะกดทุกคนเอาไว้ได้ด้วยไอสังหารอันเย็นเยือก
“แม้พวกกินโทกิจะได้รับชัยชนะและกำลังได้ใจ
แต่ข้ามีความเชื่อมั่นว่า อย่างสองคนนั้นไม่มีทางเหลิงกับความยินดีเพียงชั่วครู่
ภายในวันสองวันนี้กินโทกิจะบุกเข้ามาอีก
และจะต้องทำลายเราให้เสียหายหนักกว่าเก่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า”
“หมายความว่าเป้าหมายอาจจะเป็นวังหลวงเลย”
สิ้นข้อสันนิษฐานของคาวาคามิ แม่ทัพฝั่งอุดรทากาสึงิก็ขยับยิ้มมุมปาก
“อาณาบริเวณของวังจรดขอบรั้ว
คือบ้านของพวกเขา
ไม่มีใครที่คิดจะทำลายบ้านของตัวเอง....เว้นก็เสียแต่สองคนนั้นคิดว่าบ้านหลังเก่าได้มอดไหม้ไปเมื่อห้าปีก่อนแล้ว” ซึ่งทากาสึงิก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างที่สอง...สีหน้าของผู้หลบหนีเหตุการณ์วิปโยค
เขายังจำได้ติดตา...จำใบหน้าเล็กๆที่น้ำตาไหลอาบแก้ม สภาพจิตใจอ่อนแรงและแหลกสลาย
แต่มีใครอีกคนพยายามประคับประคองเอาไว้ทุกเศษเสี้ยว
“ทหารทุกคนจงฟัง!
ภายในห้าวันนี้ขอให้แม่ทัพระดับรักษาวังทั้งห้าเตรียมรับศึก
ส่วนตัวข้าจะเป็นผู้รักษาวังเอง...และเมื่อข้าลงศึก ก็จะไม่มีคำว่าแพ้!!!”
“ขอรับ! ท่านมหาอุปราช!!”
สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดโชยมา
พัดพาเอากลิ่นหอมอวลและกลีบซากุระพัดปลิวเข้ามาในห้อง
กลิ่นหอมที่ไม่ว่าจะดมอย่างไร ทากาสึงิก็คิดถึงถึงหน้าของบุคคลๆเดียว
คนที่ชอบดึงแขนเขาไปนั่งหย่อนเท้าลงลำธาร
มองต้นซากุระในคาบอ่านกลอนไฮกุเมื่อตอนเด็กๆ
ศึกนี้ใครจะแพ้
จะต้องเสียทหารหรือมีรอยด่างพร้อยว่ากองทัพอสุราพบกับความปราชัย...ทากาสึงิไม่เคยสนใจ
แต่หากเป็นเขาสู้ด้วยตัวเอง มันจะต้องไม่แพ้!
ปากบอกไม่แพ้...หาใช่ว่าใจจะไม่กลัว
...เจ้าทำให้คนไร้พ่ายอย่างข้า
หวาดกลัวศึกครั้งนี้แม้แต่ยังไม่ทันสู้ ที่กลัว....ก็เพราะว่าข้าไม่ได้อยู่ใกล้ชิดเจ้า....ที่กลัว
เพราะท่าทางของเจ้าที่แสดงออกว่าเกลียดข้าหนักหนา
ข้ากลัวว่าจะไม่อาจเปลี่ยนใจของเจ้าได้
...ยิ่งกว่าดาบสังหารที่จะมอบความตายให้ข้าด้วยมือของเจ้า......
.
.
.
TBC…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น