หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

S.Au.Fic Gintama [Takasugi X Katsura X Gintoki] สองฝั่งหัวใจ:องก์ที่สาม



[Project: Happy birthday Takasugi kun!
S.Au.Fic Gintama Takasugi X Katsura X Gintoki
Serious drama action
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ รวมทั้งฉากและช่วงเวลาที่ปรากฎในฟิคเรื่องนี้ เป็นการผสมผสานปรับประยุกต์จากช่วงเวลาในประวัติศาสตร์จริงและจินตนาการของผู้เขียน ดังนั้นไม่สามารถใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ


คำเตือนข้อสุดท้าย เนื่องจากเป็น Au คาร์แร็กเตอร์อาจหลุดบ้างน่อ



สองฝั่งหัวใจ



องก์ที่สาม




ห้าปีแล้วที่ข้าไม่ได้เจอเจ้า....ซึระ


ทะ ทากาสึงิ... น้ำเสียงแผ่วเบาและสั่นเครือของร่างบางบนอาชาขาวที่เอ่ยออกมานั้นทำให้เจ้าของชื่อขยับยิ้มบาง หัวใจที่ปิดตายจวบจนกระทั่งมันเหมือนหายไปแล้วเต้นเป็นจังหวะหนักขึ้นมา มหาอุปราชหนุ่มเพ่งพินิจสายตาไปยังคาซึระ ดวงตาคมสวยสีดำขลับที่มองสวนกลับมามีแววตื่นตระหนกอย่างไม่ผิดไปจากการคาดการณ์ของทากาสึงิเท่าใดนัก มันคือแววตาของเจ้าทุกข์ใช้มองฆาตกรใจอำมหิตที่ฆ่าครอบครัวของตนเองจนไม่เหลือใคร


แต่คนตรงหน้าเขาก็ยังคือคาซึระ โคทาโร่ เป็นคนที่ทากาสึงิมั่นใจว่าต่อให้เขาถูกอีกฝ่ายมองด้วยสายตาหวาดผวา หรือจงเกลียดจงชังมากกว่านี้...หัวใจข้างในมันก็ยังคงเต้นเป็นจังหวะผิดปกติอยู่ดี 


และก็เพราะคนตรงหน้าคือคาซึระ โคทาโร่ ยังเป็นคนที่มีนิสัยของการเป็นผู้ดูแลเขาทั้งสองคนเหมือนก่อน นั่นก็คือไม่อาจแสดงอารมณ์ที่แท้จริงให้จับได้ว่ากำลังอ่อนแอ


พยายามจะประกอบความเข้มแข็ง ทั้งๆที่มันแหลกสลายเป็นธุลีผง เจ้าตัวจะรู้หรือไม่ว่าความแข็งกร้าวทว่าสั่นระริกอ่อนไหวในนัยน์ตาคู่นั้น ทำให้ใครต่อใครหลงใหลจนยากจะถอนตัว


“การพบกันครั้งแรกในรอบห้าปี เป็นสมรภูมิรบแล้วเกลื่อนไปด้วยซากศพเหมือนงานสังสรรค์ครั้งก่อน” เสียงต่ำทุ้มเอ่ยเรียบเรื่อย ดวงตาสีเขียวหรี่ต่ำลงกวาดไปรอบจากบนหลังม้าพร้อมรอยยิ้มดูแคลน “มันช่างน่าพิสมัย”


เหมือนเอาน้ำเกลือสาดมายังแผลเดียวที่กลางใจของผู้สูญเสียพี่ชาย ก็เพราะแผลนั้นมันไม่ยอมปิดแล้วตกสะเก็ดหายไปสักที มันถึงได้ยังชุ่มเลือด พร้อมที่จะเจ็บร้าวทุกทีที่นึกถึง คาซึระทนกลืนทุกความทรมานลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า มีเพียงความเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งที่ฉายชัดบนใบหน้าสวย


“แต่ข้าว่าไม่...หากเป็นที่ที่พบกับเจ้า แม้แห่งนั้นจะงดงามราวกับสรวงสวรรค์ แต่ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับขุมนรกนักหรอก”


เสียงนุ่มทุ้มที่แสนคิดถึงเอ่ยตัดรอน เรียกเสียงหัวเราะหึในลำคอของผู้ฟัง ริมฝีปากแสร้งคลี่ยิ้มเศร้า แล้วพลันเหมือนลมกรรโชกวูบ เพียงเสี้ยววินาทีที่เผลอใจและไม่มีใครกล้าขยับตัว ม้าสีดำที่อยู่ห่างออกไปเกือบสามเมตรเข้าประชิดตัวสีขาวจนสีข้างแตะกัน และบุรุษผู้คุมกองทัพเรือนแสนของแผ่นดินได้เข้าใกล้อดีตผู้ดูแล ใบหน้าคมโน้มเข้าใกล้ริมหูอีกฝ่าย


“ใจร้ายเสียจริง” ทากาสึงิกระซิบแผ่วเบา จมูกรับกลิ่นหอมของเส้นผมที่เรียงลาดตามบ่าเล็ก “แค่เจ้าหนีข้ามาตลอดห้าปี มันก็ใจร้ายมากพออยู่แล้ว... เจอหน้ากันทั้งที...อย่าพูดอะไรชวนเสียใจแบบนั้นได้ไหม”


ดวงตาสีดำที่เคยเย็นชาบัดนี้สั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด และเป็นภาพที่กินโทกิไม่สามารถทนมองต่อไปได้ แม่ทัพหนุ่มเผลอเตะสีข้างม้าอย่างรุนแรงจนมันร้องเสียงแหลมแล้วถลาตัวเข้าไปเบียดทากาสึงิให้ถอยห่างจากร่างบาง ดวงตาสีแดงเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว การถือสิทธิ์เข้าเอาตัวบังประกาศความเป็นผู้ปกครองแบบนั้นทำให้ทากาสึงิชักกรุ่นแม้บนใบหน้าจะแสดงออกเป็นการสมเพชน้องชายตัวเองเต็มประดา


“ถอยออกไปซะ ทากาสึงิ!” กินโทกิคำรามเสียงต่ำ “และคงไม่ต้องบอกหรอกใช่หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด”


“สีหน้าที่ปรึกษาเจ้าฟ้องว่าข้าเป็นตัวอันตรายขนาดนั้น ไม่ต้องพูดก็เข้าใจ” ทากาสึงิยิ้มยียวน ชักบังเหียนเล็กน้อยให้ถอยห่างจากคาซึระ กลิ่นหอมอ่อนๆที่จางลงนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาได้สัมผัสคลายความคิดถึง ดวงตาที่แต่เดิมเคยมองเขาอย่างใจดีบัดนี้เบือนหลบไม่ให้เห็นแม้เพียงปลายหางตา ดั่งความห่างเหินที่ประกาศชัดเจนว่าตอนนี้เขากับสองคนนั้นกำลังยืนอยู่คนละฝั่ง


คือศัตรูที่จะต่อสู้กันเอาชีวิต เพื่อทวงเกียรติและล้างอดีตอันแสนขมขื่น


“ก่อนอื่นข้าขอพูดอะไรกับพวกเจ้าสองคนสักอย่าง ว่าถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ ข้าก็ยืนยันที่จะทำเหมือนเดิม”


ความเย็นชาทั้งคำพูดและสีหน้าปรากฏชัดตอกย้ำถึงความไร้สำนึกจนกินโทกิต้องข่มโทสะถึงขีดสุด มือแกร่งบีบฝักดาบจนสั่นระริก ฟันขาวระเบียบขบกันดังกรอด อยากถลาเข้าไปฆ่าปิศาจไม่มีหัวใจตนนั้นเต็มแก่ แต่ตอนนี้ดันมีสิ่งที่เขาอยากทำมากกว่านั้น นั่นคือการปิดหูปิดตาร่างบางที่อยู่ข้างๆไม่ให้รับรู้อะไรก็ตามเกี่ยวกับทากาสึงิ อยากพาหนีไปให้พ้นจากที่นี่!


“มันก็เหมือนกันนั่นล่ะ ไอ้กบฏราชวงศ์ หากย้อนเวลากลับไปได้ ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ข้าก็ไม่มีวันยกโทษให้กับเจ้า!


“ข้าเองก็ไม่ได้อยากขอการอภัยโทษจากเจ้าสักเท่าไหร่หรอก กินโทกิ” ทากาสึงิสวนกลับ ดวงหน้าคมคายประดับด้วยรอยยิ้มพราย ดวงตาคมกริบตวัดมองอีกคนแล้วเอ่ยเสียงอ่อน


“ซึระ...แต่ถ้าหากเจ้าอยากฟังคำขอโทษ ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ข้าก็จะพูดให้เจ้าฟัง....”


“ทหาร!! กลับค่าย!!!


ไม่ทันสิ้นประโยคดี สติของท่านแม่ทัพปราบกบฏก็ขาดผึง น้ำเสียงทุ้มห้าวตวาดเรียกกำลังพลที่เหลือของตนหันหลังกลับทันทีและไม่ลืมที่จะส่งสายตาดุบังคับไปยังที่ปรึกษาคนสำคัญของตัวเองว่าให้กลับพร้อมกันเดี๋ยวนี้


คาซึระพยักหน้า มือบางกุมบังเหียนแล้วสะบัดเบาๆพอให้ร่างระหงของม้าขาวหันหลังกลับ หากแต่ไม่ทันที่จะออกควบ เสียงนุ่มทุ้มก็แว่วเบา หากแต่คนที่ตั้งใจฟังอยู่แล้วอย่างทากาสึงิ มันจึงชัดเจนในโสตประสาท


“เป้าหมายของกินโทกิ คือการทวงบัลลังก์และปกป้องเกียรติยศแห่งรัชทายาทเท่านั้น วางใจได้ว่าเจ้าจะไม่ตายด้วยน้ำมือของเขา....แต่สำหรับข้า...” คาซึระเม้มริมฝีปากจนซีด ความเศร้าและความเคียดแค้นปะทุจับขั้วหัวใจ


“การทวงความเป็นธรรมให้กับท่านพี่โชโยผู้ล่วงลับ คือการสังหารเจ้าด้วยมือของข้าเอง!


น้ำเสียงเจ็บปวดแม้มองไม่เห็นหน้า ก็ทำให้ทากาสึงิจินตนาการออกได้ว่าอีกฝ่ายอยากฆ่าเขาจนน้ำตาหลั่ง ม้าสีขาวที่ควบตามกินโทกิไปนั้นอยู่ในสายตาของมหาอุปราชจวบจนไกลลิบแล้วมองไม่เห็น แต่คำพูดของคาซึระ...เขายังคงจำได้
แต่ไม่รู้จริงๆหรือแกล้งกันแน่ ว่าเรื่องที่เป้าหมายของกินโทกิเพียงแค่การทวงบัลลังก์นั้นมันผิดมหันต์...จิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวของน้องชายต่างแม่คนนั้น มันแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคาซึระอยู่ใกล้เขา



จิตสังหารที่ต้องการจะปกป้อง บ่งบอกชัดเจนว่าแม้เอาชีวิตเข้าเสี่ยง ก็จะไม่มีวันคิดเสียใจ...


แล้วแบบนี้จะยังว่าความแค้นของเจ้า เจ้าเป็นคนแบกมันเอาไว้เพียงคนเดียวได้อีกหรือ?...



แกล้งทำเป็นตาบอดกับคนใกล้ตัวเสมอเลยนะ...ซึระ












ค่ายปราบกบฏ


ร่างสูงสง่าของอดีตเจ้าชายรัชทายาทกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินกระฟัดกระเฟียด สีหน้าบึ้งตึงอย่างปิดไม่อยู่บนใบหน้าท่านแม่ทัพไม่สมกับที่ได้รับชัยชนะ กินโทกิก้าวยาวผ่านการทำความเคารพจากทหารเวรประจำแต่ละหน่วยอย่างรวดเร็ว ความหุนหันพลันแล่นเจ้าอารมณ์แบบนี้ทำให้คนเห็นประหลาดใจไปตามๆกัน  


“ท่านคาซึระขอรับ!!” เสียงใสๆของเด็กหนุ่มคนหนึ่งร้องเรียกไล่หลังมาทำให้ร่างบางที่พยายามจ้ำอ้าวตามคนตรงหน้าอยู่หยุดแล้วหันมามองทันที และแน่นอนว่าท่านแม่ทัพที่กำลังอารมณ์ไม่ดีก็ต้องหยุดด้วย เด็กหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาโค้งเคารพทั้งสองคน แล้วเงยหน้าขึ้นมองด้วยความรู้สึกเย็นไขสันหลังอย่างบอกไม่ถูก


ก็แน่ล่ะสิ ท่านแม่ทัพกินโทกิกำลังจ้องเขาปานว่าเป็นศัตรูที่แค้นกันมาสิบชาติอย่างนั้น!


“เอ่อ...ท่านคาซึระขอรับ หัวหน้าแพทย์ให้มาตามไปช่วยทางกระโจมพยาบาลหน่อย คนเจ็บเยอะเหลือเกินขอรับ” คาซึระพินิจเครื่องแต่งกายของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ใส่เป็นซามุเอะสบายๆไม่ใช่ชุดทหารก็ทำให้รู้ทันทีว่าเป็นคนของหน่วยพยาบาล แต่ไม่ทันที่จะได้พูดอะไร ท่านแม่ทัพที่อยู่ข้างๆก็ชิงถามขึ้น


“เร่งด่วนหรือไม่ มีคนใกล้ตายหรือเปล่า”


“มะ ไม่สาหัสขนาดนั้นขอรับ ท่านแม่ทัพ” เด็กหนุ่มโค้งรับ เหงื่อที่ไม่รู้มาจากไหนแตกซิกเต็มใบหน้าและกลางหลัง ยิ่งสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นๆและความไม่สบอารมณ์ เด็กน้อยจากหน่วยพยาบาลยิ่งอยากเนรเทศตัวเองกลับกระโจมไปซะ 


“คือว่า ตัวยาสำคัญที่ท่านคาซึระคิดค้นขึ้นมีความจำเป็น หากให้พวกข้าปรุงกันเอง เกรงว่าจะไม่มีความชำนาญเท่า”


“บอกท่านหัวหน้าแพทย์ให้รักษาตามอาการไปก่อน เวลานี้ที่ปรึกษาคาซึระมีเรื่องต้องคุยกับข้า”


คำสั่งตัดบทเองเสร็จสรรพทำให้ดวงหน้าสวยหันขวับไปมองกินโทกิทันที ดวงตาสีแดงฉานที่ยังกรุ่นๆอยู่เผยชัดว่าถ้าตอนนี้ไม่ได้คุยกับเขา ก็ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ไปทำอย่างอื่นแน่นอน ร่างบางพรูลมหายใจ ก่อนจะหันไปยิ้มบางให้คนจากหน่วยพยาบาล ผู้ไม่รู้เรื่องราวเกือบตกเป็นที่พาลใส่ของท่านแม่ทัพยามสติใกล้จะแตก


“ที่กระโจมพยาบาล ลิ้นชักไม้ริมสุดชั้นที่สิบสอง ช่องที่สามนับจากซ้ายมือ ข้าจดสูตรยาตัวนั้นเอาไว้ ตั้งใจอ่านดีๆ แล้วทำตามขั้นตอน ก็จะสามารถปรุงได้ไม่ยาก เดี๋ยวสักพักข้าจะตามไป”


“รับทราบขอรับ” ได้คำปลอบประโลมนุ่มนวล ขวัญที่มันกระโจนหนีไปไหนต่อไหนก็พอจะกลับมาได้บ้าง เด็กหนุ่มโค้งทำความเคารพแล้วหมุนตัววิ่งออกไป ลับหลังคนนอกแล้ว ดวงหน้าเรียวหันกลับมาประจันหน้ากับกินโทกิ คิ้วโก่งขมวดมุ่นไม่พอใจ ตำหนิอีกฝ่ายเสียงเบา


“เขาไม่ใช่ทหารในกองทัพนะ เจ้าถึงได้ไปทำหน้าถมึงทึงใส่ขนาดนั้น เมื่อกี้เขาเกือบเป็นลมเพราะท่าทางของเจ้าแล้ว รู้ไหมกินโทกิ!?


“ข้าขอโทษ” แม่ทัพหนุ่มถอนหายใจ สายตาที่อ่อนโยนลงทอดมองคนเบื้องหน้า ก่อนจะค่อยๆสอดมือเข้าไปจับมือเรียวบางแล้วออกแรงดึงเบาๆ


“แต่ตอนนี้...ตามข้ามาก่อนเถอะ....ข้ามีเรื่องต้องพูดกับเจ้า”


กินโทกิจูงมืออีกฝ่ายแล้วเดินไปที่กระโจมกลาง มือของเขาทั้งสั่นเทาและเย็นชืด เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะของคาซึระที่ยอมเดินตามมามันก็เหมือนกับทุกครั้ง นั่นคือคาซึระคือผู้ที่คอยอยู่ข้างหลังเขาเสมอ ไม่ว่าเขาขออะไร จะเคารพ รับรู้ แล้วยอมทำตาม...หากแต่ไม่เคยสนองมากเกินกว่านั้น


...ดวงหน้าคมยิ้มอ่อนใจ ความจริงเขาไม่ควรเอามือเย็นๆและเหนอะไปด้วยคราบเลือดแบบนี้ไปจับต้องคาซึระเลย....


แต่กินโทกิก็ทราบดี....



...ว่าต่อให้มือของเขาอบอุ่นกว่านี้ มือเรียวบางที่กุมอยู่ ก็ไม่มีวันสัมผัสตอบ.....







บรรยากาศในกระโจมกลางที่แต่เดิมเงียบอยู่แล้วเนื่องจากไม่มีใครเข้าออกนอกเสียจากท่านแม่ทัพและที่ปรึกษาคนสนิท บัดนี้เรียกได้ว่าอึดอัดไปถนัดตา มือใหญ่ค่อยๆปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ เอ่ยถามเสียงเรียบทั้งๆที่ยังยืนหันหลังให้


“ทำไมต้องออกจากค่ายด้วย”


“ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไปรับคนเจ็บ”


“แต่ข้ากำชับแล้วนะว่าไม่ให้ออกไป!” กินโทกิหันกลับมา น้ำเสียงที่กร้าวขึ้นเพราะโมโหที่คาซึระไม่เคยเข้าใจสักที เขาโกรธ โกรธอีกฝ่ายทุกครั้งที่ชอบฝ่าฝืนคำสั่ง และคำสั่งมันเคร่งครัดก็เพียงเพราะสาเหตุเดียว นั่นก็คือความเป็นห่วง
แต่มันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง พอได้มองดวงตาเรียวสวยเต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจนั่นแล้วมันก็พาลอ่อนยวบลง น้ำเสียงทอดเอื่อยเพราะความน้อยใจอย่างที่ไม่เคยใช้พูดกับใครเอ่ยถามร่างบางตรงหน้า


“ทำไมไม่ฟังกันบ้างซึระ...เจ้าไม่เห็นข้าเป็นแม่ทัพแล้วหรือ?


“ผิดแล้ว...ข้าเห็นเจ้าเป็นแม่ทัพเสมอ” ใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มชวนมอง มือเรียววางแตะบนท่อนแขนแข็งแรงของท่านแม่ทัพที่กำลังใจร้อน หวังเอาน้ำเย็นเข้าลูบให้สงบลงบ้าง “อย่าห่วงนักเลยกินโทกิ ที่ข้าขัดคำสั่งก็เป็นเพราะประเมินแล้วว่ามันไม่หนักหนากว่าแรง และไม่เป็นอันตราย”


“ไม่อันตราย!?” กินโทกิทวนเสียงดัง สะบัดตัวหันหลังให้ที่ปรึกษา “วันนี้ที่เจ้าไปสนามรบ เจ้ามองเห็นถึงความไม่อันตรายตรงไหน!? ทุกๆที่ที่มีทากาสึงิ ที่นั่นล้วนเต็มไปด้วยอันตราย”


แล้วความจริงก็เผยชัดว่าสรุปท่านแม่ทัพกินโทกิผู้ที่นานๆจะหลุดความควบคุมนั้นโกรธจะเป็นจะตายนี่มันเรื่องอะไร และดูท่าว่าเจ้าตัวจะไม่ได้รู้ตัวเลยว่าถูกหลอกให้พูดความจริงออกมา คาซึระขยับยิ้มบาง เดินไปดักหน้าอีกฝ่าย


“ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่เจ้าโกรธ ก็คงไม่ใช่เพราะข้าออกค่ายไปโดยพลการ แต่เป็นเรื่องทากาสึงิ ใช่หรือไม่?


“ซึร้า....” เสียงครวญไม่ทำให้ที่ปรึกษาผู้ปราดเปรื่องหยุดวิเคราะห์ นิ้วชี้เรียวยกขึ้นชี้หน้าสั่งหยุด อย่างที่ไม่เคยมีใครกล้าทำกับแม่ทัพสายเลือดขัตติยาผู้ยิ่งใหญ่คนนี้มาก่อน


“เรื่องที่เจ้าโกรธคือการที่ข้าออกจากค่ายและไปพบหน้ากับทากาสึงิ...ข้ารู้แล้ว และต้องขอโทษเจ้าที่ทำให้ไม่สบายใจ เพราะข้าไม่คาดการณ์ว่าทากาสึงิจะออกมาที่สมรภูมิด้วย”


การสรุปที่ราวกับไปนั่งอยู่กลางใจทำให้แม่ทัพกินโทกิได้แต่นิ่งเถียงไม่ออกสักคำ มือยกขึ้นลูบท้ายทอยพร้อมเบือนหน้าหลบไป ก็นึกเคืองอีกฝ่ายอยู่เหมือนกันที่ชอบมองอารมณ์เขาได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้



แต่เรื่องบางเรื่อง ก็เหมือนเลี่ยงที่จะไม่มองอยู่เรื่อยไป...แบบนี้จะไม่ให้หงุดหงิดอย่างไรไหว?



“ทีเรื่องอย่างนี้ล่ะก็รู้ เรื่องที่คิดง่ายกว่านี้ตั้งเยอะ ยังไม่รู้เลย” ร่างสูงบู้ปากแล้วบ่นอุบอิบเบาๆ แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้คาซึระได้ยิน โดยที่ไม่ต้องแปลความ ไม่ต้องใช้ตรรกะคิดให้เปลืองสมองอย่างทุกครั้งก็สามารถจับได้ว่า เรื่องที่ง่ายกว่าที่กินโทกิหมายถึงนั้นมันคืออะไร ร่างบางย่อตัวลงนั่งกับเก้าอี้ไม้ สายตาเสมองไปที่อื่นแล้วเปรยเสียงแผ่วเหมือนพูดกับตัวเอง


“บางเรื่อง รู้เอาไว้ก็ใช่ว่าจะดี สู้ไม่รู้จะเหมาะกว่า”


“อย่างนั้นหรือ? จะว่าไปเท่าที่เจ้าเป็นที่ปรึกษาข้ามาห้าปี ข้าไม่เห็นว่าจะมีเรื่องใดที่เจ้าไม่แตกฉาน” กินโทกินั่งลงกับเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง เขาค้อมตัวเล็กน้อยแล้วเท้าแขนเอาไว้บนเข่าทั้งสองข้างเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับคาซึระ ดวงตาสีแดงเฝ้าสังเกตอาการที่จะปรากฏบนหน้าสวยของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ


“เรื่องพิชัยสงคราม ข้าไม่ข้องใจ แต่เรื่องของข้า...ข้ายังไม่เคยถามเจ้าสักที”


“แล้วเจ้าอยากถามเรื่องอะไร” เสียงนุ่มย้อนกลับ หัวใจของกินโทกิเต้นตึกตักทั้งๆที่จะเป็นฝ่ายถาม ดวงตาสีดำที่มองกลับมาพร้อมที่จะตอบดั่งนักเรียนผู้พร้อมไปด้วยความรู้จนทำให้อาจารย์เกิดความประหม่า


“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าที่ข้าทำศึกนี่ด้วยเหตุใด”


“รู้”...แม้สิ่งที่รู้นั้น จะไม่ใช่สิ่งที่ประสงค์


“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าไม่อาจปล่อยเจ้าให้ต่อกรกับทากาสึงิเพียงลำพัง ข้ากลัวอันตรายที่จะเกิดกับเจ้า” ดวงตาสีแดงยามนี้ทั้งนิ่งและทรงอำนาจอย่างจอมทัพ หากแต่หัวใจของคาซึระยังคงไม่สั่นกลัว ใบหน้าเรียวพยักช้าๆแล้วตอบรับ


“รู้”


“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าทากาสึงิไม่มีทางปล่อยมือจากเจ้า ที่มันต้องการเอาชนะข้าก็เพราะสาเหตุด้วยเจ้าเป็นหลัก ข้าว่าเจ้าสังเกตได้แม้ว่าตอนเป็นเด็ก มันตั้งใจ มองเจ้าอย่างชัดเจน” น้ำเสียงของกินโทกิเริ่มสั่นและแตกพร่า ความรู้สึกที่มีมาตลอดเมื่อครั้งยังอยู่ด้วยกันสามคนกำลังกร่อนจิตใจดังเช่นวันวาน...ความเจ็บช่างคุ้นเคย ก็เพราะสังเกตและเห็นมาโดยตลอด เห็นว่าทากาสึงิไม่เคยละสายตาไปจากร่างบางตรงหน้า


หากแม้นแต่ตอนนี้กินโทกิก็มั่นใจว่ามันยังคงเป็นเช่นเดิม...


แล้วคำตอบก็เอ่ยออกมาเบาๆ


“รู้...”


ใบหน้าสวยเงยขึ้นมองแม่ทัพผู้ทรงศักดิ์ แต่เมื่อเห็นแววตาแคลงใจเหมือนต้องการคำอธิบาย คาซึระจึงได้พูดต่อ
“คนที่อยู่ในสายตาของคนอื่นนั้น ตีความหมายได้หลายรูปแบบนะ กินโทกิ จงเกลียดจงชัง ริษยา ผูกพยาบาท ชื่นชม หรือประทับใจ หากแต่จะเป็นแบบใดนั้นหัวใจของเจ้าตัวจะเป็นผู้รู้อยู่คนเดียว เมื่อแสดงออกต่อหน้าคนอื่นก็จะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งตรงนี้ข้าไม่เคยมองออก...ว่าทากาสึงิคิดอะไรอยู่”


“แล้วเจ้ารู้บ้างหรือไม่ ว่าข้าคิดเช่นใดกับเจ้า...”


ความเงียบเข้าก่อตัวในกระโจมเมื่อสิ้นสุดคำถาม การเว้นว่างของคำตอบที่นานกว่าปกติยิ่งทำให้กินโทกิหวั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะดังเช่นก่อนออกศึก กริยาที่แสดงบนใบหน้าของคาซึระเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนในเชิงตกใจกับคำถาม ดวงตาเรียวเบิกกว้าง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเล็กน้อยอย่างที่กินโทกิรู้ว่าเหมือนคาซึระกำลังตรอง หรือต่อสู้กับความคิดเห็นของตัวเอง


แต่สุดท้ายคำตอบก็หลุดออกจากริมฝีปากบาง


“ขออภัยท่านแม่ทัพ ข้าไม่รู้”


 ..........ขออภัย...ที่ไม่อาจรับรู้


สรรพนามใช้เรียกที่แสดงการเหินห่างตอกย้ำกินโทกิอีกครา ดวงตาสีแดงสั่นระริกฝืนยิ้มให้กับตัวเองให้แนบเนียนที่สุดพยายามไม่ให้คนตรงหน้ารับรู้ถึงความกล้ำกลืน ร่างสูงพยักหน้าเนิบๆอยู่หลายครั้งให้ย้ำเตือนหัวใจ มือแกร่งทั้งสองค่อยๆเลื่อนไปจับมือเรียวบางที่วางอยู่บนตักอีกฝ่ายช้าๆ บรรจงลูบแม้รู้ว่าไม่แข็งแรงและนิ่งพอที่จะปลอบใจ เสียงของตนกระซิบก้องในหัวซ้ำๆว่าไม่เป็นไร


“ไม่เป็นไร ซึระ...ก็เพราะเจ้าไม่รู้นี่แหละ ข้าถึงได้พยายามทำให้รู้อยู่ทุกวัน...” น้ำเสียงของท่านแม่ทัพหนุ่มแม้พยายามบังคับให้ร่าเริงแต่มันก็ยังคงสั่นพร่า รอยยิ้มที่เคยยิ้มให้คาซึระในวัยเด็กอย่างไร ตอนนี้กินโทกิก็ยังคงให้เหมือนเดิมพร้อมคำเย้าเล่นแม้ไม่ใช่สถานการณ์ควรสนุก


“ฮะฮะ แต่ไม่ต้องห่วง ต่อให้ทั้งชีวิตนี้เจ้ายังไม่รู้ ข้าก็ไม่มีทางไล่เจ้าออกจากการเป็นที่ปรึกษาข้าหรอกนะ”



ไม่มีทางที่จะทอดทิ้ง...ยินดีจะให้ ยินดีจะสู้ แม้รู้ตัวว่าแพ้


ที่มองออกได้ว่าแพ้ ไม่ใช่เพราะคำตอบ ไม่รู้ของคำถามข้อสุดท้าย


แต่เป็นคำตอบว่า รู้


ของคำถามก่อนหน้านั้น.....












วังหลวง


ร่างสูงโปร่งยังคงนั่งอยู่ตรงบัลลังก์สูงในห้องประชุมสงคราม เบื้องล่างรายเรียงสองข้างด้วยเหล่าบรรดาแม่ทัพนายกองชั้นสูงของกองทหารอสุรา ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างสนุกสนาน นิ้วแกร่งเคาะโต๊ะเป็นจังหวะอย่างสุนทรีย์กับพนักพิงไม่แม้แต่จะสนใจความเครียดของแม่ทัพทาคาจิที่เพิ่งพ่ายแพ้มาให้เสื่อมเสียเกียรติของกองทัพที่เกรียงไกร


“ตอนนี้ทัพของกินโทกิเริ่มบุกเราถึงขั้นถล่มหนึ่งในห้ากองทัพอารักขาวังหลวง พวกมันกำลังได้ใจ คาดว่าต้องรีบรุกสร้างความเสียหายให้เราแน่ขอรับ” เสนาธิการประจำทัพหลวงกล่าว เขาคือผู้เดียวที่ยืนอกผายไหล่ผึ่งอยู่ในห้องนี้ข้างโต๊ะแผนที่ ในมือถือไม้เหลาแหลมฉลุลายเพื่อใช้ชี้ทิศทางต่างๆบนผืนผ้าใบ


“ถ้าอย่างนั้นก็เพราะความผิดท่านแม่ทัพทาคาจิสิเนี่ย” ทากาสึงิหัวเราะหึ นั่งพิงพนักกอดอกแล้วเหยียดมองหนึ่งในห้าทหารเสือของตัวเอง ที่แม้ไม่ใช่สายตาตำหนิ แต่ตัวของทาคาจิกลับสั่นเทิ้มเหมือนรอการตัดสินประหารชีวิตอยู่กลางลาน ร่างทั้งร่างลุกขึ้นจากเบาะนั่งแล้วถลาตัวมาคุกเข่าเบื้องหน้าทากาสึงิ จากนั้นลงไปค้อมตัวขอโทษถึงพื้น ไม่เคยกลัวสายตาของใครเช่นนี้มาก่อนในชีวิต


“ข้าสมควรตายสักพันสักหมื่นครั้งขอรับท่านมหาอุปราช หากจะกรุณา ขอให้ข้าได้ทำงานแก้ตัวด้วยเถอะ ข้าสัญญาว่าจะรับมือกับกองทัพของเจ้าชายกินโทกิอย่างไม่คิดเสียดายชีวิต!


“ลุกขึ้นเถอะ ข้ามิได้โกรธเจ้า” เสียงเย็นๆยังเจือไปด้วยอารมณ์ขัน แม่ทัพผู้มีโทษเฉียดตายก้มจนหัวแตะพื้นก่อนจะไปนั่งที่เก่า ดวงตาทรงอำนาจสีเขียวเข้มกวาดมองแล้วเปรยเสียงเรียบ


“จะแพ้สักครั้งก็ไม่แปลก...ก็เพราะอีกฝ่ายคืออดีตเจ้าชายรัชทายาท ซากาตะ กิโทกิ ผู้มีฝีมือการรบราวกับผู้นำกองทัพของปิศาจ ส่วนฝ่ายเสนาธิการ คือที่ปรึกษาทัพที่ข้าคิดว่าในดินแดนนี้ไม่มีใครแตกฉานในตำราพิชัยสงครามเทียบเท่า...คาซึระ โคทาโร่ ”


คำพูดเยินยอฝ่ายตรงข้ามโดยไม่สนใจว่าเหล่าที่ปรึกษาสูงวัยและบรรดาแม่ทัพในราชสำนักจะรู้สึกโดนหักหน้า ร่างสูงลุกยืนขึ้นแล้วก้าวเดินลงมาท่ามกลางความเงียบเชียบของที่ประชุม ไม่มีการขยับกายของผู้ใด ลมหายใจของทุกคนเชื่องช้า ดวงตาทุกคู่หลุบลงต่ำไม่กล้าแม้แต่จะกลอกขึ้นไปมองผู้นำทัพสูงสุด ที่ตอนนี้แม้ไม่มีอารมณ์โทสะ ก็สะกดทุกคนเอาไว้ได้ด้วยไอสังหารอันเย็นเยือก


“แม้พวกกินโทกิจะได้รับชัยชนะและกำลังได้ใจ แต่ข้ามีความเชื่อมั่นว่า อย่างสองคนนั้นไม่มีทางเหลิงกับความยินดีเพียงชั่วครู่ ภายในวันสองวันนี้กินโทกิจะบุกเข้ามาอีก และจะต้องทำลายเราให้เสียหายหนักกว่าเก่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า”


“หมายความว่าเป้าหมายอาจจะเป็นวังหลวงเลย” สิ้นข้อสันนิษฐานของคาวาคามิ แม่ทัพฝั่งอุดรทากาสึงิก็ขยับยิ้มมุมปาก


“อาณาบริเวณของวังจรดขอบรั้ว คือบ้านของพวกเขา ไม่มีใครที่คิดจะทำลายบ้านของตัวเอง....เว้นก็เสียแต่สองคนนั้นคิดว่าบ้านหลังเก่าได้มอดไหม้ไปเมื่อห้าปีก่อนแล้ว”  ซึ่งทากาสึงิก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างที่สอง...สีหน้าของผู้หลบหนีเหตุการณ์วิปโยค เขายังจำได้ติดตา...จำใบหน้าเล็กๆที่น้ำตาไหลอาบแก้ม สภาพจิตใจอ่อนแรงและแหลกสลาย แต่มีใครอีกคนพยายามประคับประคองเอาไว้ทุกเศษเสี้ยว


“ทหารทุกคนจงฟัง! ภายในห้าวันนี้ขอให้แม่ทัพระดับรักษาวังทั้งห้าเตรียมรับศึก ส่วนตัวข้าจะเป็นผู้รักษาวังเอง...และเมื่อข้าลงศึก ก็จะไม่มีคำว่าแพ้!!!


“ขอรับ! ท่านมหาอุปราช!!




สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดโชยมา พัดพาเอากลิ่นหอมอวลและกลีบซากุระพัดปลิวเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมที่ไม่ว่าจะดมอย่างไร ทากาสึงิก็คิดถึงถึงหน้าของบุคคลๆเดียว คนที่ชอบดึงแขนเขาไปนั่งหย่อนเท้าลงลำธาร มองต้นซากุระในคาบอ่านกลอนไฮกุเมื่อตอนเด็กๆ


ศึกนี้ใครจะแพ้ จะต้องเสียทหารหรือมีรอยด่างพร้อยว่ากองทัพอสุราพบกับความปราชัย...ทากาสึงิไม่เคยสนใจ แต่หากเป็นเขาสู้ด้วยตัวเอง มันจะต้องไม่แพ้!


ปากบอกไม่แพ้...หาใช่ว่าใจจะไม่กลัว


...เจ้าทำให้คนไร้พ่ายอย่างข้า หวาดกลัวศึกครั้งนี้แม้แต่ยังไม่ทันสู้ ที่กลัว....ก็เพราะว่าข้าไม่ได้อยู่ใกล้ชิดเจ้า....ที่กลัว เพราะท่าทางของเจ้าที่แสดงออกว่าเกลียดข้าหนักหนา


ข้ากลัวว่าจะไม่อาจเปลี่ยนใจของเจ้าได้



...ยิ่งกว่าดาบสังหารที่จะมอบความตายให้ข้าด้วยมือของเจ้า......


.


.


.



TBC…

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น