Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 3 เจรจา…คำถามสามข้อ
คฤหาสน์ฟิลบาโลเน่แฟมิลี
“วองโกเล่ส่งสาส์นตอบมาแล้วรึ”
ชายวัยกลางเปรยขึ้นเมื่อเห็นลูกน้องคนสนิทถือซองสีขาวเดินเข้ามาแม้ยังไม่ได้เปิดดู ในมือของบุรุษผู้สูงส่งถือไปป์ส่งกลิ่นโชยไปทั่วห้อง
ตัดสินใจได้เร็วกว่าที่คิด...สมกับเป็นวองโกเล่รุ่นที่สิบที่ถูกร่ำลือว่าเป็นเหลนแท้ๆของบุรุษแห่งนภา
วองโกเล่รุ่นที่หนึ่ง…
“นี่ครับบอส”
ชายหนุ่มวางจดหมายตรงหน้าบุรุษผู้สูงส่ง
ชายวัยกลางวางไปป์ลงพร้อมแกะซองจดหมายอย่างประณีต ในใจก็ลุ้นไปด้วย
ว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้วองโกเล่รุ่นที่สิบจะตัดสินใจว่ายังไง
“บอสครับถ้าทางวองโกเล่ไม่ยอมส่งตัวนายน้อยจริงๆ
จะดำเนินการ ตาม ‘แผนนั้น’ จริงๆหรือครับ”
“ก็ไม่มีทางเลือก”
ฟุ่บ พรึ่บ
กะดาษสีขาวสะอาดถูกกางออกพร้อมกับไฟดับเครื่องชนซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์สว่างวาบขึ้น
ดวงตาของผู้มีอำนาจกวาดไปตามตัวหนังสือทีละบรรทัด...บรรทัด
แต่แล้วคิ้วเข้มๆก็ขมวดเข้าหากันทันที
“นี่...” เสียงแหบห้าวเรียกคนที่อยู่ข้างๆ
“เอ่อ ครับ”
“ไปนำดิกชันนารีญี่ปุ่น – อิตาลีมา”
แม้จะงงๆอยู่บ้างแต่ชายหนุ่มก็เดินไปหยิบดิกชันนารีที่อยู่บนตู้เก็บหนังสือมาวางตรงหน้าของบุรุษผู้สูงส่ง
คำตอบเป็นประจักษ์แก่สายตาเมื่อชายหนุ่มเห็นว่าในจดหมายมีแต่ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ
“คิดว่าวองโกเล่รุ่นที่สิบจะชินกับการเขียนภาษาญี่ปุ่นมากกว่าล่ะมั้งครับ
ก็เลยไม่ทันยั้งคิด”
“อย่างนั้นรึ”
ชายอาวุโสยิ้ม
พร้อมกับกางเครื่องมือแปลภาษาเล่มโตเทียบกับอักษรที่อยู่ในจดหมาย แม้จะลำบากแต่ชายอาวุโสก็ไม่เรียกที่จะให้คนอื่นแปลให้
ทั้งนี้ก็ต้องการทราบถึงวัฒนธรรมของญี่ปุ่นด้วยว่าน่าสนใจสักเท่าไร
เด็กคนนั้นถึงได้หนีไปอยู่ที่ญี่ปุ่น
เกือบครึ่งชั่วโมง
ชายอาวุโสวางดิกชันนารีลง สีหน้าที่ดูไม่สู้ดีนักทำให้ลูกน้องคนสนิทเอ่ยปากถาม
“ว่าอย่างไรบ้างครับ”
“เป็นอย่างที่คิด....”
“ถ้าเช่นนั้นจะดำเนินตามแผน...”
“ยังไม่ต้อง”
ชายอาวุโสโบกมือห้าม “ใจร้อนไปก็ไม่ช่วยอะไร
มีแต่จะทำให้พลาดซะเปล่าๆ”
“บอสคิดจะทำอะไรหรือครับ”
“เตรียมรถให้ที
ราวบ่ายๆฉันจะไปวองโกเล่แฟมิลี่เพื่อเจรจากับวองโกเล่รุ่นที่สิบ!!!”
หอบัญชาการวองโกเล่แฟมิลี่เวลา
13.50 น.
“รุ่นที่สิบครับ
รุ่นที่สิบ!!!!”
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกระวีกระวาดเข้ามาในห้องทำงานของนภาแห่งวองโกเล่โดยไม่ทันได้เคาะประตู
แม้แต่ชื่อเรียกว่ารุ่นที่สิบยังได้ยินแว่วมาตั้งแต่ยังไม่ขึ้นบันไดได้
“ว่ายังไง
มีเรื่องอะไรหรอ!”
“โวยวายเสียงดัง
อยากกินกระสุนนักเรอะแก”
ต่างคนต่างความคิด
ทำให้ม้าเร็วรีบกางกระดาษมาอ่านอย่างงกๆเงิ่นๆ
พลางสายตาจ้องจะหลบปากกระบอกปืนของนักฆ่าอันดับหนึ่งที่ส่ายไปส่ายมาอย่างน่าหวาดเสียว
“ขะ ขะ
ขอโทษครับคุณรีบอร์น แต่ผมมีเรื่องสำคัญมากมาแจ้ง”
“ข้าศึกบุกรึ”
การเดาที่ไม่เคยจะเป็นเรื่องดีของนักฆ่าอันดับหนึ่งแทงหัวใจของนภาแห่งวองโกเล่ไม่ใช่น้อย
ข้าศึกบุก!!!
จะบุกบุกอะไรตอนเน้!!
คนอยู่มีแค่หยิบมือ
จะบุกก็ตอนที่อยู่กันครบสิ(ฟะ)
“มะ
ไม่ใช่ครับคุณรีบอร์น แต่มีสาส์นมาจากฟิลบาโลเน่อีกแล้วครับ”
“.....”
ความเงียบบังเกิดขึ้นมาในห้องบัดดล
นักฆ่าอันดับหนึ่งถึงกับเก็บปืนคู่ใจ ส่วนนภาแห่งวองโกเล่ก็ได้แต่ลืมตาโพลง
อ้าปากค้าง ลืมมาดของบอสมาฟียไปจนหมดสิ้น
“เอ่อ
เค้าบอกว่าจะมาเจรจากับรุ่นที่สิบตอนบ่ายสองครับ”
เฮือก แม่เจ้า!!!
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ชายฉกรรจ์รีบกุลีกุจอหายไปจากห้องเหลือไว้แต่นักฆ่าอันดับหนึ่งกับนภาที่สติกำลังจะไม่สมประกอบ
“สึนะ...”
“...”
“สึนะ!!”
“...”
“เจ้าห่วยสึน้า!!!!!!”
“ไม่จริง!”
“อะไรนะ”
“ไม่จริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!!”
“มันคือความจริงสึนะ
แกกำลังจะไปตาย เอ้ย ไปคุยกับพ่อของโกคุเดระในอีกสิบนาทีนี้”ว่าแล้วนักฆ่าอันดับหนึ่งก็นั่งลงบนโซฟาตัวโปรดพร้อมยกเอซเพรซโซ่ขึ้นซดอย่างสบายใจหรือประชดอารมณ์ก็ไม่อาจทราบได้
“อี๊
แล้วเอาไงดีอ่ะรีบอร์น พ่อของโกคุเดระคุงกำลังจะมาถึงในอีกสิบนาทีนี้อ่ะ” นภาแห่งวองโกเล่เดินวนไปมาระส่ำระส่ายเป็นร้อยรอบ
ดวงตาจับไปที่นาฬิกาเป็นระยะๆ ถ้าถึงเลขสิบสองเมื่อไหร่เป็นอันจบเห่
ตั้งแต่เกิดมานภาผืนนี้เคยเจรจาอะไรเป็นงานเป็นการถึงขั้นตกลงเรื่องคนซะเมื่อไหร่กัน
แถมอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่อาวุโสคราวรุ่นพ่อของเพื่อนสนิทและลูกน้องที่ซื่อสัตย์
แล้วมองเงาหัวตัวเองซิ...
กะอีแค่เด็กหนุ่มเพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่กี่ปี!
ตาย! มีแต่ตายลูกเดียว!
“เป็นถึงบอสอย่ามาทำเสียงอ่อยสิเฟ้ย
มีอะไรก็ลุยดับเครื่องชนไปเลย”
มันก็เป็นแบบนี้ทั้งปี
นักฆ่าอันดับหนึ่งไม่เคยยื่นมือไปช่วยลูกศิษย์ให้เสียนิสัย!
“อย่ามาทำเย็นชานะรีบอร์น
เรื่องนี้มันใหญ่โตถึงขั้นฉันอาจเสียเพื่อนที่สำคัญที่สุดคนนึงไปเลยนะ! แกเลิกเมินฉันซักทีได้มั้ย!!”
“เรื่องนี้มันอยู่ที่การตัดสินใจของแก
ครูสอนพิเศษอย่างฉันไม่มีสิทธิ์ยื่นจมูกเข้าไปเจือก!”
“เรื่องแค่นี้เจือกหน่อยก็ได้”
“ไม่!”
บ้าชะมัด!
ทีเรื่องอื่นล่ะเจือก เอ้ย! ยุ่งจัง
ทีเรื่องแบบนี้ทำไมหดหัวหดเท้าล่ะฟะ!!
“น่านะ รีบอร์น
ทีเมื่อก่อนยังช่วยกันเลยอ่ะ แค่นี้นายจะทิ้งฉันหรอ”
นภาแห่งวองโกเล่เริ่มเปลี่ยนแผนเอาลูกอ้อนเข้าช่วย ทำตาใสแป๋ว
เค้นน้ำตามาหล่อเลี้ยง บีบเสียงให้น่าสงสารหน่อย เพิ่มแอคติ้งคุกเข่านิด
เพอร์เฟคสมบูรณ์แบบ...
“.....”
“สึนะ...”
“อะ...หา?”
เฮ้ยยยยยย!!!!!
ได้ผลหรอ ผิดคาดแฮะ
“อย่ามาปั้นหน้าตาน่าสงสาร
สำหรับฉันมันน่าสมเพช งอแงไม่เข้าเรื่อง
ถ้ายังไม่รีบจัดแจงเนื้อตัวของแกล่ะก็...มีเจื๋อน!!!”
“แอ๊
รีบ๊อร์นนนนนนน ขอเวลานอก”
ว่าแล้ว...
ป่วยการอีกตามเคย
แผนของนภาแห่งวองโกเล่ไม่เคยใช้กับนักฆ่าอันดับหนึ่งสุดฉลาดนี่ได้ซักแผน
ถ้ามีคนอยู่ในคฤหาสน์สักคน
ร้อยทั้งร้อยเขาไม่มีทางมาคุกเข่าอ้อนวอนครูพิเศษจอมโหดนี่เด็ดขาด!!
“ขอร้องล่ะนะ
รีบอร์น ฉันไม่รู้ว่าจะคุยกับเขายังไงอ้ะ”
“ง่ายๆ...คิดยังไงก็พูดอย่างนั้น”
“หา...?”
นักฆ่าอันดับหนึ่งวางแก้วกาแฟลงก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มจึ้กๆไปที่หัวของลูกศิษย์หลายที
“ในหัวทึ่มๆของแกคิดอะไรอยู่...”
นิ้วชี้เลื่อนลงมาชี้ที่ปากเล็กๆ
“แกก็พูดมันออกไป
อย่าลืมว่า ตอนนี้แกคือวองโกเล่รุ่นที่สิบอย่างเต็มตัว
ใครหน้าไหนก็มาห้ามแกไม่ได้ทั้งนั้น ใครขัดขืนก็เจื๋อนมันทิ้งซะ...แค่เนี้ย!”
‘แค่เนี้ย’
ดูพ่อคุณพูดได้ไม่อายฟ้าดินจะลงโทษ
“แค่เนี้ย
หรอรีบอร์น นี่แกคิดถึงชีวิตของฉันบ้างป่ะ”
คนเจรจามันไม่ใช่แกนี่เฟ้ย
ถ้าพ่อของโกคุเดระคุงเกิดโมโหขึ้นมาเขาไม่เอาปืนมาส่องฉันพรุนเรอะ!
ตายก็ตายจริงไม่อิงนิยายน้ำเน่าแต่อย่างใด...
“ความสำคัญมันไม่ใช่ชีวิตที่สั้นจู๋ของแก
แต่มันคือการอยู่การไปของโกคุเดระต่างหาก ถ้าแกอยากปล่อยหมอนั่นไปก็บอกว่า ยอม
แต่ถ้าแกไม่อยากให้ไปก็ตอบว่า ไม่”
“แค่ ยอม กับ ไม่
แค่นี้เองหรอรีบอร์น”
ยอม กับ ไม่
ตัดสินชะตาของโกคุเดระคุงงั้นหรอ
ฟังดูมันไม่ยุติธรรมเท่าไหร่เลย
ฉันไม่ใช่เทพเจ้าที่จะมีสิทธิ์ไปตัดสินชีวิตใครก็ได้
เรื่องแบบนี้...
เรื่องแบบนี้มัน...
สมควรแล้วรึไง!!!!
“สึนะ...”
“ระ รีบอร์น
ฉัน... ฉันทำไม่ได้หรอก!!
โกคุเดระคุงเค้าไม่ใช่สิ่งของที่ฉันจะยกให้ใครก็ได้ตามความพอใจของตัวเอง
อีกอย่างตอนนี้เค้าก็ไม่อยู่ โกคุเดระคุงยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย
แล้วจะให้ฉันตัดสินสุ่มสี่สุ่มห้างั้นหรอ ฉันทำไม่ได้!!!!”นภาแห่งวองโกเล่
ทรุดลงตรงหน้าครูสอนพิเศษของตนเอง มือทั้งสองขยุ้มกางเกงจนสั่นระริก
เหงื่อเม็ดใสย้อยตั้งแต่ขมับจนถึงคาง
สภาพจิตใจของนภาในตอนนี้ไม่กล้าแม้จะลุกขึ้นยืน แม้ว่าเข็มนาฬิกาจะเดินใกล้เลขสิบสองเข้าไปทุกที
“ตอบฉันสิ..สึนะ
ตอนที่แกจะเขียนจดหมายตอบไป แกคิดอะไรอยู่”
นักฆ่าอันดับหนึ่งย่อตัวลงมาจนเท่าลูกศิษย์ น้ำเสียงที่ต่ำลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ดวงตาสีดำสนิทมองลูกศิษย์ร่างเล็กอย่างเรียบเฉย
จนกระทั่งดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่ก้มมองพื้นตลอดเวลาขึ้นมาสบ
“โกคุเดระไม่เคยบอกแกรึว่าจะฝากชีวิตไว้กับแก
หมอนั่นเรียกแกว่ารุ่นที่สิบตั้งแต่แกยังอ่อนด๋อยไม่ได้เรื่องได้ราว
หมอนั่นตั้งใจจะเป็นมือขวาของแกตั้งแต่แกยังไม่เห็นแสงสว่างสู่ความเป็นบอสมาเฟีย
หึ... ลูกน้องอย่างนี้หายากออกนา”
“รีบอร์น...”
“....”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะไม่ยอมเสียโกคุเดระคุงไปเด็ดขาด...”
“....”
“ตอนนั้น
ตอนที่เขียนจดหมายตอบไปฉันก็คิดแค่นั้นแหล่ะ”
“หึ...คิดได้เจ๋ง”
รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของนักฆ่าอันดับหนึ่งราวกับเจอของที่ถูกใจ
เสื้อนอกสีดำที่พาดอยู่บนเก้าอี้ถูกโยนมาคลุมหัวฟูๆของนภาอย่างพอดิบพอดี
“ไปได้แล้วเฟ้ย
เป็นเจ้าถิ่นแต่ให้แขกรอมันเสียมารยาท”
“อะ อืม”
นภาแห่งวองโกเล่ชันตัวลุกขึ้นพร้อมใส่เสื้อนอก
ขาทั้งสองข้างเริ่มก้าวออกจากห้องในสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องเผชิญ
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องหลบหนี การเจรจาครั้งนี้นภาไม่ได้หวังว่าจะสามารถเหนี่ยวรั้งสายลมไว้ได้สำเร็จ
แต่มีอยู่สิ่งเดียวที่นภามั่นใจก็คือ...
ในเมื่อสายลมฝากฝังชีวิตให้กับนภาผืนนี้ไว้แล้ว...
นภาก็มีหน้าที่ปกป้องหวงแหนสายลมนี้ไว้...จนถึงวินาทีสุดท้าย!
ห้องโถงใหญ่ 14.00
น.
“รุ่นที่สิบครับ
บอสของฟิลบาโลเน่มาถึงแล้วครับ”
“อ๋า...อืม”หัวใจของนภาแห่งวองโกเล่เต้นกระหน่ำราวกับกลองศึกมือที่เย็นชืดแถมชุ่มไปด้วยเหงื่อประสานกันไว้ที่หน้าตักเมื่อเห็น
ลีมูซีนสีดำคันงามแล่นมาจอดเทียบตรงหน้าคฤหาสน์ รอเวลาเพียงคู่เจรจามานั่งอยู่ตรงหน้าเขาเท่านั้น
“รุ่นที่สิบรอท่านอยู่ข้างใน
เชิญครับ”เสียงลูกน้องคนหนึ่งของวองโกเล่ดังอยู่ด้านนอก
ยิ่งทำให้คนเป็นบอสซึ่งอยู่ด้านในยิ่งตื่นเต้นเข้าไปอีกเขาเองก็อยากเห็นเหมือนกัน
พ่อแท้ๆของเพื่อนสนิทที่ไม่เคยได้ยินจากปากของเจ้าตัวเลย
จนกระทั่งได้ยินเรื่องนั้นจากรีบอร์น...
ชายในชุดสูทสีน้ำตาลแก่
ผูกเนคไทสีที่เข้าชุดกันพร้อมกางเกงสแล็คสีน้ำตาล
ผมบางๆมีสีขาวแซมบ่งบอกถึงอายุที่อาวุโส ดวงตาดูน่าเกรงขามและมีอำนาจ
แต่ทว่ามองลึกลงไปกลับเป็นแววตาที่เจือความเศร้า
บุรุษอาวุโสเดินมาหยุดตรงหน้านภาหนุ่มแห่งวองโกเล่
มือข้างหนึ่งยื่นไปแสดงการทักทาย
“ฉันเป็นบอสของฟิลบาโลเน่
เป็นเกียรติมากที่ได้รู้จักเธอ วองโกเล่รุ่นที่สิบ”
“อ้า...เอ่อ
ยินดีเช่นกันครับ ผมต่างหากที่รู้สึกเป็นเกียรติ”
นภารีบลุกขึ้นอย่างเก้ๆกังๆ แล้วเอื้อมไปจับมือกับบุรุษอาวุโส
อุ่นจัง...
นี่หรอพ่อของโกคุเดระคุง...ต่างจากที่คิดไว้เหมือนกันแฮะ
“เชิญนั่งก่อนครับ” มือล็กผายไปตรงเก้าอี้หรูตรงหน้าตน
พลางสายตาเหลือบมองคู่เจรจาคราวรุ่นพ่อเป็นระยะๆ
ดูๆแล้ว
ก็ท่าทางใจดีนี่นา
นึกถึงเรื่องที่รีบอร์นเล่าให้ฟังไม่ออกเลย
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้เห็นเธอ แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้จัก
“งะ
งั้นหรอครับ”
“ใช่
ฉันรู้จักเธอตั้งแต่ฮายาโตะถูกเรียกตัวไปเป็นหนึ่งในสมาชิกของวองโกเล่แฟมิลี่ชุดใหม่ที่มีผู้สืบทอดคือ
ซาวาดะ สึนะโยชิ”
อี๋
ไม่อ้อมค้อมเลย ตกลงเขามาเพื่อพูดเรื่องของโกคุเดระคุงอย่างเดียวเลยใช่มั้ยเนี่ย
แต่ไหนๆก็มานั่งตรงหน้าแล้ว...
เป็นไงเป็นกัน!!!
“เอ่อ...คุณลุงครับ คือว่าเรื่องของโกคุเดระคุง”
“ฉันรู้” ชายอาวุโสคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “เธอคงไม่ยอมง่ายๆสินะ”
“คือ...ผมมีเหตุผลน่ะครับ”
“ฉันเองก็มีเหตุผลเหมือนกัน”ชายอาวุโสพูดขึ้นแทบจะทันทีที่ยังไม่จบประโยค
ยิ่งทำให้บรรยากาศในห้องโถงกดดันขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ “หลายคนอาจคิดว่าการพูดกันด้วยเหตุผลจะทำให้ปัญหาสงบลงได้
แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น แต่ละคนก็มีเหตุผลที่ต่างกัน
พอมีเหตุผลที่ต่างกันก็จะตกลงกันไม่ได้ กลายเป็นทะเลาะกันอีก...เธอว่ามั้ย”
“ก็คิดอย่างนั้น...ครับ” นภาแห่งวองโกเล่ตอบรับเสียงอ่อย
แต่ในใจจริงแล้วไม่ได้คิดอย่างที่พูดเลยสักนิด
ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้ในใจของนภาวิ่งหนีออกจากปราสาทไปเรียบร้อยแล้ว
จะไม่คุยกันด้วยเหตุผล
แล้วจะคุยกันด้วยลูกปืนหรอคร้าบ ไม่เอาอ้ะ
“เอาอย่างนี้ ฉันจะถามคำถามเธอสามคำถาม ถ้าเธอมีเหตุผลที่จะรั้งเด็กคนนั้นเอาไว้พอ
ฉันก็จะยอมตัดใจ”
“สามคำถามหรอครับ!”
เป็นการเจรจาที่แปลกจริงๆ
แต่ถ้าสามคำถามเราตอบได้...
เจรจาก็จะจบสินะ!
แต่ถ้าเราตอบไม่ได้ล่ะ...
“ถ้าอย่างนั้นผมขอทราบเรื่องราวของโกคุเดระคุงก่อนที่เขาจะเจอผมหน่อยได้มั้ยครับถึงแม้ผมจะทราบมาจากรีบอร์นบ้างแล้วแต่ก็อยากจะได้ยินจากปากพ่อแท้ๆของเขามากกว่าน่ะครับ”
“จะเอาไปเป็นข้อมูลตอบคำถามงั้นรึ”
“ไม่ใช่หรอกครับ!”
นภาแห่งวองโกเล่ปฏิเสธทันทีก่อนจะหลุบสายตาลงต่ำ “...ผมก็แค่อยากทราบ”
“เอางั้นก็ได้ อย่างน้อยฮายาโตะก็ลูกน้องเธอ
ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ดูกระไรอยู่ อย่างที่เธอได้ยินมาจากอัลโกบาเลโนรีบอร์น ฮายาโตะเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของฉัน
แต่คนละแม่ของเบียงกี้ แม่ของฮายาโตะเป็นนักเปียโนสาวที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง
อนาคตของเธอยังอีกไกล ฉันตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบ
ฉันรู้ว่าทำแบบนี้มันผิดต่อกฎของสังคมมาเฟีย แต่ฉันก็พยายามฝืน จนมันเลยเถิด
เธอให้กำเนิดลูกชายคนหนึ่งกับฉัน...เด็กคนนั้นก็คือฮายาโตะ”
สีหน้าของชายอาวุโสหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตาที่มีอำนาจบาตรใหญ่กลับไม่มีให้เห็นอีกแล้ว
เหลือไว้เพียงแต่แววตาของชายชราที่เศร้าสร้อยเท่านั้น
“แต่เวรกรรมก็ตามฉันทัน แม่ของฮายาโตะต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ
แถมยังมีโอกาสเจอฮายาโตะแค่สามครั้ง อนาคตในฐานะนักเปียโนก็ยังดับวูบ
วันหนึ่งฮายาโตะก็ได้หนีออกจากปราสาท แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย”
“จากนั้น คุณลุงไม่ได้ข่าวของเขาอีกเลยหรอครับ”
“ได้สิ! ฉันให้คนติดตามข่าวของเขาตั้งแต่ออกจากปราสาท
จนรู้ว่าเด็กคนนั้นเสนอตัวไปตามแฟมิลี่ต่างๆ แต่ก็ไม่มีคนรับเด็กคนนั้นปิดกั้นหัวใจตัวเองจนกลายเป็นคนแข็งกระด้าง ไม่เคยยอมรับใคร
จนกระทั่งวองโกเล่แฟมิลี่กำลังจะแต่งตั้งวองโกเล่รุ่นที่สิบเขาก็ถูกเรียกตัวไปญี่ปุ่น
เพื่อไปพบเธอ เธอทำเอาฉันแทบช็อค เด็กคนนั้นสวามิภักดิ์และจงรักภักดีกับเธอตั้งแต่แรกพบ
ซึ่งฉันไม่เคยเห็นเขาในสภาพแบบนั้น และไม่คิดว่าตลอดชีวิตเขาจะเทิดทูนใครขนาดนี้”
ครั้งแรกที่พบกัน...
“ผมแพ้แล้วครับ ได้โปรดให้อภัยผมด้วย
ท่านคือผู้ที่เหมาะสมที่จะเป็นรุ่นที่สิบที่สุด ความจริงแล้วผมไม่ได้ตั้งใจจะเป็นรุ่นที่สิบหรอกครับ
ก็แค่อยากจะทดสอบความสามารถเท่านั้น
แต่ท่านกลับทำได้เกินกว่าที่ผมคาดคิดเอาไว้ซะอีก แถมยังช่วยชีวิตผมไว้อีก
ซาบซึ้งจริงๆครับ”
นั่นสินะ...
ครั้งแรกที่พบกันนภาแห่งวองโกเล่คิดว่าผู้ชายหัวเงินท่าทางห่ามๆคนนี้น่ากลัวสิ้นดี
พอรู้ว่าเป็นมาฟียมาจากอิตาลี่ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่
แต่ว่าคนๆนั้นกลับกลายเป็นคนที่ก้มหัวให้คนห่วยๆอย่างเขา
แถมยังตามติดแจตั้งปนิธานว่าจะเป็นมือขวาของเขาให้ได้
แล้วเป็นคนแรกที่เรียกเขาด้วยสรรพนามที่ต่างจากใครๆว่า
‘รุ่นที่สิบ’
“เธอเป็นคนแรกที่เด็กคนนั้นยอมรับเลยนะ...”
“โกคุเดระคุงก็เป็นเพื่อนคนแรกของผมเหมือนกันครับ”
นภาแห่งวองโกเล่ต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังต่างจากตอนแรกลิบลับทำให้คู่เจรจาอาวุโสคลี่ยิ้มออกมาบางๆกับประโยคนั้น
“นั่นเป็นเหตุผลที่เธอไม่คืนฮายาโตะให้ฉันงั้นรึ”
เริ่มถามแล้วสินะ
เอายังไงดี ทำยังไงฉันถึงจะตอบได้เข้าหูเขา
นภาแห่งวองโกเล่เริ่มระส่ำระส่าย
มือทั้งสองกุมแน่นจนถึงกับสั่น ในหัวมีแต่ความว่างเปล่าจนขาวโพลน
หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างเร็ว ถึงจะบอกให้ตอบตามที่ใจของเขาคิด แต่เอาเข้าจริงๆ
ในหัวกลับไม่มีความคิดอะไรที่จะพูดออกไปเลย
เหตุผล...เหตุผลที่ฉันรั้งโกคุเดระคุงไว้มีแต่ทีว่าเขาเป็นเพื่อนคนแรกหรอ
ถ้าเขาไม่ใช่เพื่อนคนแรกฉันจะไม่รั้งเขาไว้ จะปล่อยเขาไปตามชะตากรรมอย่างนั้นหรอ
“ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกครับ”
“เธอภูมิใจที่มีลูกน้องอย่างเขารึ”
พอใจมั้ย
ถามว่าพอใจมั้ย
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงตอบว่า
ไม่ ยามเมื่อคนร่างโปร่งบางผมสีเงินอยู่ใกล้เขาทีไรเป็นต้องมีเรื่องวุ่นๆเกิดขึ้นทุกที
ทั้งที่พยายามแก้ไขปัญหายิ่งทำให้ปัญหานั้นคาราคาซังเข้าไปใหญ่
เพราะเป็นคนใจร้อนเลยเป็นคนที่น่ากลัวในสายตาเขาตั้งแต่แรกพบ
แต่ทว่า
‘รุ่นที่สิบครับ การที่จะว่ายน้ำให้ได้ดีนั้น
ต้องกางแขนสี่สิบห้าองศากับระดับผิวน้ำ จัดความสมดุลตัว...บลาๆ”
ตอนที่สอนเราว่ายน้ำโกคุเดระคุงก็เต็มใจสอนเราอย่างเต็มที่
ถึงแม้เราจะไม่รู้เรื่องเลยก็ตาม
‘รุ่นที่สิบครับ หนีไป! เจ้าแว่นนี่ให้ผมจัดการเอง’
พอถึงตอนที่มีเด็กโกคุโยมาเล่นงานเด็กนามิโมริ
โกคุเดระคุงก็เอาตัวเองเข้ารับเข็มพิษแทนเราแบบไม่กลัวตายสักนิด
‘เรื่องห่วงชีวิตน่ะ ฉันจำได้น่า แต่การที่เราแพ้เมื่อศึกแหวนอัสนี
แล้วรุ่นที่สิบยังโดนยึดแหวนไปอีก แบบนี้ก็เท่ากับตอกฝาโลงแล้ว
แล้วจะให้ฉันกลับไปได้ยังไงกัน!’
ตอนศึกชิงแหวนแห่งวายุโกคุเดระคุงเกือบเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อชัยชนะ
แม้จะมีเรื่องวุ่นๆไปบ้าง
แม้จะชอบทำอะไรฝืนสังขารตัวเอง แต่โกคุเดระคุงก็ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ร่วมฝ่าฟันอุปสรรคกับพวกเรามาโดยตลอด มีสุขก็หัวเราะด้วยกัน มีทุกข์ก็คอยปลอบโยน
อย่างนี้มัน...มันเรียกว่าคนที่เป็นแค่ลูกน้องงั้นหรอ...?
“คุณลุงครับ
โกคุเดระคุงไม่ใช่ลูกน้องของผมหรอกนะครับ”
คำตอบที่หลุดออกจากปากของนภาแห่งวองโกเล่ทำให้ชายอาวุโสถึงกับชะงัก
แก้วกาแฟในมือถูกวางลงบนจานรองเหมือนเดิม
“ผมไม่เคยมีความคิดความรู้สึกว่าเขาเป็นแค่ลูกน้อง
เขาเป็นเพื่อนของผม เป็นเพื่อนที่คอยฝ่าฟันอุปสรรคจนทำให้ผม เขา และคนอื่นๆมายืน ณ
จุดๆนี้ ถ้าไม่มีโกคุเดระคุง
ก็อาจจะไม่มีเด็กผู้ชายในตำแหน่งวองโกเล่รุ่นที่สิบมานั่งคุยกับคุณลุงตอนนี้ก็ได้นะครับ”
“เด็กคนนั้น...สำคัญกับเธอขนาดนั้นเลยรึ”
“...”
“ครับ...ถ้าในฐานะหัวหน้ากับลูกน้องผมอาจจะคืนเขาให้คุณลุงได้”
ดวงตาสีน้ำตาลของนภาแห่งวองโกเล่เงยขึ้นมาประสบกับชายอาวุโสด้วยแววตาที่จริงจังและมั่นคง
แต่ทว่า...ไม่ใช่ดวงตาของผู้ที่แสดงตนเป็นบอสมาเฟีย...
ไม่ใช่เลย...
“แต่ในฐานะเพื่อนกับเพื่อนผมคงคืนโกคุเดระคุงให้คุณลุงไม่ได้หรอกครับ”
พูดออกไปแล้ว...เราพูดออกไปแล้ว
พูดตามที่ใจของเราคิด
ฉันสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะปกป้องโกคุเดระคุงเอาไว้จนถึงวินาทีสุดท้าย...ให้มันคุ้มกับที่โกคุเดระคุงไว้ใจฝากชีวิตไว้ที่ฉัน
ตอนแรก
ฉันไม่คิดว่าตนเองจะรับผิดชอบชิวิตใครได้
เพราะฉันมันอ่อนแอ
แค่ชีวิตของตนเองก็ยังไม่มีปัญญาทำให้มันดีขึ้น
ถึงตอนนี้ฉันได้ทำหน้าที่ของฉันแล้ว...
ถึง...แม้
จะต้องตาย...ฉันก็ยอม!
นภาแห่งวองโกเล่ก้มหน้าหลับตาปี๋
พร้อมยอมรับชะตาของตนเองที่จะเกิดขึ้นเขารู้ว่าคำพูดของเขาท้าทายมัจจุราชขนาดไหนโอกาสที่ชายอาวุโสที่อยู่ตรงหน้าเขาจะโกรธแล้วชักปืนออกมาปลิดชีพเขาก็เป็นไปได้สูง
แต่มันจะเป็นอะไรไป...
ต่อให้ตาย...แต่ได้รักษาหนึ่งชีวิตที่มีค่าไว้...ก็พอแล้วนี่
“แปะ
แปะ แปะ” เสียงปรบมือกระชากความคิดของนภาออกจากภวังค์ นภาแห่งวองโกเล่ค่อยๆเงยหน้ามองชายอาวุโสที่กำลังยิ้มจนแก้มแทบปริ
“กล้าหาญเหลือเกิน
วองโกเล่รุ่นที่สิบ สมกับเป็นคนที่ฮายาโตะยอมฝากชีวิตเอาไว้”
“เอ๋...”
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
แต่แค่อยากจะเห็นหน้าของวองโกเล่รุ่นที่สิบกับตาก็แค่นั้น เจ้าฮายาโตะนี่โชคดีนะ
ที่ได้อยู่กับคนวิเศษแบบเธอ”
“ต้องขอโทษจริงๆนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก
ฉันเองก็ต้องขอโทษที่ทำให้เธอลำบากใจ”ชายอาวุโสใช้ไม้เท้าค้ำแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้
ทำให้คนที่นั่งอยู่พลอยลุกตามไปด้วย
“รบกวนเวลาเธอมามากแล้วนะ เห็นทีจะต้องกลับซักที”
“ครับ...เอ่อ ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ”
“โชคดีนะ”
ชายอาวุโสยื่นมือไปจับมือกับนภาแห่งวองโกเล่อีกครั้งเพื่ออำลา
มือของชายอาวุโสยังคงอุ่นเช่นเดิม แต่ตอนนี้กลับมีความรู้สึกแปลกๆ
เล่นเข้ามาในหัวนภาแห่งวองโกเล่ด้วย
เหมือนความอบอุ่น...
แต่ทว่ามีความเย็นยะยือกเจือจาง
ความรู้สึกอะไรกันนะ...คิดไปเองมั้ง
แต่อย่างไรซะ
ตอนนี้ฉันก็ดีใจแล้วที่สามารถทำตามใจที่ตัวเองคิด
ขอบคุณนะ...รีบอร์น
รถลีมูซีนค่อยๆแล่นออกจากคฤหาสน์ไปไกลทุกที...ทุกทีจนลับสายตานภาแห่งวองโกเล่
เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนยกภูเขานับพันออกจากอก
“คึหึหึหึ พูดได้ดีนี่ครับวองโกเล่ เสียดายที่ไม่ได้อัดเสียงไว้นะครับเนี่ย”เสียงทุ้มเย็นที่เป็นเอกลักษณ์ แค่หัวเราะออกมาก็รู้แล้วว่าเป็นใคร
นภาหันขวับไปมองด้านหลังตัวเองทันที
“มุคุโร่!!! ไหนบอกจะไปข้างนอกไง”
“ผมไปตั้งนานแล้วล่ะครับ
กลับมาก็ทันได้ยินวองโกเล่เจรจากับพ่อของโกคุเดระคุงพอดี”
“งะ
งั้นหรอ”
“จะพูดก็พูดได้นี่ ตอนแรกอย่างกับหมาโดนยาเบื่อ”
เสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังผู้พิทักษ์ผมสีน้ำเงินไพลิน
คนตัวสูงในชุดสูทสีดำเดินกอดอกเชิดหน้าสมมาดนักฆ่าอันดับหนึ่ง
“รีบอร์น...อย่าบอกนะว่านายแอบฟังฉันคุยตลอดเลยน่ะ!”
“เออ!
ฉันต้องทำตามครูที่ดีคือตามดูลูกศิษย์ทุกฝีก้าว” แต่ไม่เคยยื่นจมูกเข้าเจือก...
แค่นั้นเอง
“วองโกเล่ครับอีกสิบนาทีโกคุเดระคุงจะเข้ามาในคฤหาสน์
จะเอายังไงล่ะครับ...เรื่องวันนี้” ผู้พิทักษ์สายหมอกยกโทรศัพท์มือถือ
ซึ่งน่าจะเป็นสายจากหมากตัวสำคัญของเรื่องวันนี้ลง
ก่อนจะหันหน้ามาถามนภาแห่งวองโกเล่
จริงด้วย!...โกคุเดระคุงยังไม่รู้เรื่องนี้นี่นา เราจะบอกให้เขารู้ยังไงดี...
หรือจะปล่อยให้มันผ่านเลยไป...เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
เลือกอย่างหลังดีกว่ามั้ง...
“ช่วยเก็บเอาไว้ที...เขาคง...”นภาแห่งวองโกเล่ถอนหายใจก่อนจะเมินหน้าออกจากชายหนุ่มผมสีน้ำเงินไฟลินและครูสอนพิเศษไปมองบนฟ้าสีใส
ลมพัดเอื่อยๆ พอทำให้ใบไม้พลิ้วไหว
“...”
“ไม่อยากรู้เท่าไหร่นักหรอก”
“แกเลือกที่จะปิดโกคุเดระเรื่องนี้ไว้เพื่อรักษาความรู้สึกของหมอนั่นได้...
มันก็จริง แต่ถ้าหมอนั่นมารู้ที่หลัง มันจะไม่ยิ่งเลยเถิดไปกันใหญ่งั้นรึ” นักฆ่าอันดับหนึ่งท้วงความคิดของลูกศิษย์ตัวเองเสียงเรียบ
“....”
“แล้วแต่แกละกัน “
ฉันรู้ว่าสายลมเหนื่อยกายมามากแล้ว
แล้วทำไมนภาอย่างฉันต้องทำให้สายลมเหนื่อยใจขึ้นด้วยล่ะ
ภายในรถลีมูซีน
ยังคงมีบุรุษสองคนนั่งคุยกัน คนหนึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทที่บังคับพวงมาลัย
อีกคนนั่งอยู่ที่เบาะหลังบทสนทนาที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้ แน่นอนซึ่งรวมถึงวองโกเล่รุ่นที่สิบด้วย
“ได้รับการปฏิเสธสินะครับ”
“ใช่
วองโกเล่รุ่นที่สิบมีความสามารถมากว่าที่ฉันคิดเอาไว้เยอะ ถ้าทางงานนี้จะยาก”
“ถ้าเช่นนั้นคืนพรุ่งนี้ผมจะรีบทำตามแผนเลยนะครับ”
“อืม
อย่าให้พลาด ฉันต้องนำเด็กคนนั้นกลับไปที่คฤหาสน์ให้ได้!!!”
TBC…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น