Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 17 แทรกซึม
“มุคุโร่...
ตกลงเราจะนั่งอยู่ตรงนี้จริงๆหรอ” นภาแห่งวองโกเล่จับแขนสายหมอกแล้วเขย่าเบาๆ
เมื่อหลังจากที่เขาเข้าเขตของคฤหาสน์ของฟิลบาโลเน่ ในระยะไกลประมาณร้อยเมตร
ก็ได้แต่นั่งอยู่ในรถตลอด สายตาของมนุษย์ยามค่ำคืนไม่อาจมองเห็นได้ไกลถึงขนาดนั้น
ตอนนี้เขากำลังหายใจทิ้งไปทุกนาที
“รอสักครู่ครับ...รอให้ลูกน้องผมติดต่อมาก่อน
ถ้าบุกเข้าไปแบบไม่มีข้อมูลก็เหลวแย่สิครับ”
คนถูกถามยังคงใจเย็นไม่มีทีท่าว่าหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้นในหูของเขายังคงมีหูฟังเสียบไว้ทุกเมื่อ
ถ้ามีใครติดต่อมาเมื่อไหร่ก็คงรู้ทันที
นภาแห่งวองโกเล่ถอนหายใจยาว
ก่อนจะพิงตัวเอนลงกับเบาะนุ่มๆอีกครั้ง ก็จะไม่ให้ใจร้อนได้อย่างไร
เพื่อนสนิทของเขาสองคนอยู่ในนั้น คนหนึ่งเป็นตัวประกัน
ส่วนอีกคนก็บุกมาเมื่อคืนด้วยอารมณ์ ตอนนี้รับประกันความปลอดภัยไม่ได้เลย
โดยเฉพาะคนบุก...
ถึงจะมีฝีมือ...แต่คนเดียวต่อมาเฟียเป็นพัน
จะเอาตัวรอดได้รึเปล่านะ
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับวองโกเล่...”
เสียงนุ่มทุ้มของคนที่นั่งข้างๆเขาเปรยขึ้นมาเหมือนรู้ความคิด
ไม่รู้เพราะเขาแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไป หรือถูกอ่านใจอีกแล้วกันแน่
“ยามาโมโตะคุงเขาไม่เป็นอะไรหรอกครับ
อย่างคนๆนั้นคงมีสัญชาตญาณเอาตัวรอดแต่กำเนิด
แต่ดูเหมือนเป็นคนที่เดาอารมณ์ไม่ค่อยถูกน่าดู...”
“...”
“เมื่อสามชั่วโมงก่อนที่จะถึง
ลูกน้องผมติดต่อมาว่า
ตั้งแต่ยามาโมโตะคุงเขามาเหยียบที่นี่จนถึงตอนนี้เขายังไม่ออกมาเลยครับ...”
“ว่ายังไงนะ!!!” นภาตะโกนถามสุดเสียงอย่างตกใจ ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างออก
อะไรกัน!!!... นี่มันใกล้จะหนึ่งวันเต็มๆแล้วนะ...ทำไมคนๆนั้นถึงยังไม่ออกมาพร้อมโกคุเดระคุงอีก!!
ช่วยไม่ได้งั้นหรอ...!
หรือว่า...ถูกจับได้แล้ว!!!
“ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกนะครับ...”
ก่อนที่สติของนภาจะเตลิดไปไกลกว่านี้ก็ถูกเรียกให้กลับมาด้วยเสียงค้านเบาๆของอีกฝ่าย
“ถึงจะไม่ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ยังไงตอนนี้ยามาโมโตะคุงก็น่าจะปลอดภัย
เพราะเครื่องส่งสัญญาณยังไม่ถูกทำลาย เพียงแค่ล็อคเอาไว้เฉยๆ
ตอนนี้เขาน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนซักแห่งในคฤหาสน์นั่นแหล่ะครับ...”
“แล้ว...โกคุเดระคุงล่ะ...”
จะเป็นอย่างไรบ้าง...สองคนนั้นจะได้เจอกันรึยัง
“ไม่ทราบสิครับ” สายหมอกส่ายหน้าช้าๆ
ดวงตาสองข้างอันมีสีที่ตัดกันจ้องตอบนภาแห่งวองโกเล่
คำตอบว่าไม่ทราบนั้นทำลายกำลังใจของคนฟังไปถึงครึ่ง
แต่ว่าอำนาจของสายตาที่จ้องมาเหมือนกับจะหล่อหลอมปลอบโยน ถึงแม้มันจะดูเยือกเย็น
แต่ตอนนี้นภารู้สึกว่ามันอบอุ่น
“แต่ว่าคุณก็เชื่อใจในตัวสองคนนั้น...ใช่มั้ยล่ะครับ”
ใช่...ฉันเชื่อ เชื่อสิ
เชื่อว่าทั้งสองคนต้องกลับมาอย่างปลอดภัย
จะต้องไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นในนั้น
แต่ความรู้สึกที่มันหายใจไม่ทั่วท้องนี่มันคืออะไรกัน...เหมือนกับว่าฉัน...
กำลังฝืนลางสังหรณ์!!!
ปิ๊บๆ
เสียงแหลมๆเล็กๆดังขึ้น
เมื่อทราบว่าเป็นสายเข้าของเครื่องสื่อสารตัวจิ๋ว
สายหมอกก็กดรับแล้วเพิ่มเสียงขึ้นมาให้ได้ยินชัดขึ้น
ร่างเล็กๆของนภาขยับเข้าไปใกล้อย่างใจร้อน
‘ท่านมุคุโร่ครับ...ตอนนี้เหตุการณ์ภายนอกดูสงบดี
มีคนเฝ้าประตูหลังแค่ไม่กี่คน สมควรแก่การบุกนะครับ’
“ขอบคุณมากนะครับ เดี๋ยวจะรีบไปเดี๋ยวนี้”สายหมอกกดตัดสายก่อนจะหันมามองนภาแห่งวองโกเล่ที่นั่งมองเขาอย่างใจจดใจจ่อ
หวังว่าคำตอบคงจะเป็นให้สามารถเข้าไปได้
“เรียบร้อยครับวองโกเล่
อีกสิบนาทีพวกเราจะแทรกซึมเข้าไปในคฤหาสน์ รีบฟอร์มทีมเถอะครับ”
“ว่าไงนะ!! จริงหรอ!!”
“ตอนนี้ผมมีโครงสร้างของคฤหาสน์คร่าวๆ
จากแฟคที่ลูกน้องส่งมาให้”
สายหมอกยืนกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับนภาก่อนที่จะส่งสัญญาณติดต่อไปที่ผู้พิทักษ์อีกสามคน
‘ว่าไง โรคุโด ทางนี้มืดสุดหูรูดเลย
ตกลงบุกได้ยัง!!!’ เสียงปลายสายรายงานมา
ดูท่าจะอยู่ไม่เป็นสุขแล้วแน่ๆ
เสียงดังๆนั่นทำให้คนติดต่อไปถึงกับยกเครื่องมือสื่อสารออกจากหู
“ครับ คุณซาซางาวะ
ช่วยติดต่อไปทางแรมโบ้คุงทีนะครับ ฟังผมให้ดีๆ
อีกสิบนาทีคุณกับแรมโบ้คุงจะบุกไปด้วยกันโดยเริ่มจากชั้นใต้ดิน จนถึงชั้นสาม
ผมจะรีบส่งแฟคไปให้คุณเดี๋ยวนี้...เป้าหมายหาคุณยามาโมโตะให้เจอ!
ส่วนคนที่มาขัดขวางพวกเรานั้นขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ...เข้าใจใช่มั้ยครับ...”
‘ฮ่าๆๆ แน่นอนสิ ชัดแจ๋วเลย
งานนี้มันส์หยดล่ะ’ สุดท้ายก็เหลือเพียงเสียงหัวเราะร่าเริงกับน้ำเสียงฟังดูสนุกสนาน
เขาได้วางให้อรุณกับอัสนีค้นหาพิรุณ ส่วนตัวของวายุนั้น เขา นภา และคนคุยยากอีกคนหนึ่งจะเป็นคนหาเอง
ว่าแต่ถึงจะฟอร์มได้เรียบร้อยแล้วก็เถอะ...แต่คนคุยยาก
ที่ว่าจะยอมทำตามแบบดีๆรึเปล่า
“เหลือคุณฮิบาริสินะ” นภาถามเบาๆ
ในใจก็วิตกไม่แพ้กัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งกลัวพวกเดียวกัน ดูท่าแล้วอย่างมุคุโร่ถึงจะอยากติดต่อแค่ไหน
แต่คนปลายทางไม่รับแน่ๆ พอตั้งสติได้
นภารีบคว้าเครื่องส่งสัญญาณแล้วติดต่อผู้พิทักษ์เมฆาทันที
ไม่นานเกินรอก็มีคนรับสาย
‘ไง’
“คุณฮิบาริครับ
ตอนนี้ทุกคนเตรียมตัวที่จะแทรกซึมไปในฐานทัพ ผมอยากให้คุณฮิบาริ...”
‘ไม่ล่ะ’
ไม่ทันที่นภาแห่งวองโกเล่จะร่ายหน้าที่ของเขาเสร็จ
คำปฏิเสธเรียบๆก็ดังออกมาจากหูฟัง
แต่ในความคิดของนภาคนๆนี้คงไม่ได้ฟังเขาพูดเลยด้วยซ้ำล่ะมั้ง
“หา…”
ตกลงคุณพี่ท่านจะไม่ลงจากรถเลยใช่มั้ยเนี่ย!!!
‘ฉันมีวิธีของฉัน
ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้วิธีกระเสือกกระสนแบบสัตว์กินพืชอย่างพวกนาย
หวังว่าจะได้เจอกันแบบเป็นๆในโน้นนะ
ซาวาดะ สึนะโยชิ’
“อะ อ๋า!! เดี๋ยวครับคุณ...”
ปิ๊บ
ตัดสายไปซะแล้ว...
นภาแห่งวองโกเล่ถอนหายใจ
เขารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ไม่ว่างานไหนๆ
จะใหญ่ซักเท่าไหร่คงไม่มีทางได้ผู้พิทักษ์เมฆามาร่วมงานอย่างเป็นทางการได้สักที
ก็ต่อให้เป็นนภา
ก็ไม่มีวันหยุดเหล่าเมฆที่เคลื่อนคล้อยได้
“คึหึหึหึ ไม่ยอมสินะครับ”
“อืม...”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเขาเถอะครับ
มีหลายๆแผนดีออกจะตายไป หรือไม่ว่าฮิบาริคุงอาจจะเจอโกคุเดระคุงก่อนเราก็ได้”สายหมอกยิ้มเหมือนคนมองโลกในแง่ดีเต็มเปี่ยม ถ้าหากไม่ติดว่าเส้นเลือดตรงขมับดีดตัวกันปึ้ดปั้ดเขาคงเป็นคนใจกว้างที่สุดในโลก
นาฬิกาเรือนแพงถูกเจ้าของยกขึ้นมาดู
ตอนนี้กำหนดเวลาที่อรุณและอัสนีต้องแทรกซึมเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว
ดังนั้นเขาและนภาจึงไม่จำเป็นต้องอยู่เฉยอีกต่อไป
“เอ้า...ไปกันเถอะครับวองโกเล่...ไปเอาสายลมของเราคืนกัน”
“อื้อ!”
นภารับคำก่อนที่จะสวมมือสองข้างด้วยถุงมือสัญลักษณ์ตัวเอ็กซ์อันเป็นอาวุธประจำตัว
ยาเม็ดกลมเกลี้ยงถูกกลืนลงคอทันที ไฟสีส้มงดงามตามความบริสุทธิ์ผุดขึ้นบนหน้าผาก
นภากระชับให้ถุงมือแน่นขึ้นอีกครั้งก่อนจะเริ่มบุก!
“ไปกันเถอะ...”
ขอให้ทันที...
พวกเราจะช่วยนายออกมาให้ได้...รออีกหน่อยเถอะนะ
ณ
มุมมืดแห่งหนึ่งในคฤหาสน์ของฟิลบาโลเน่แฟมิลี่
“แฮ่กๆ...”
เสียงหายใจหอบถี่ดังขึ้นในความมืด เนื่องจากในหนึ่งวันมานี้เขาต้องหลบๆซ่อนๆอยู่ในคฤหาสน์ที่ใหญ่โตมโหฬาร
เหงื่อเม็ดใหญ่เกาะพราวที่ใบหน้าคมคายบ่งบอกความเหนื่อยที่ต้องหลบหนีซ่อนตัวตามที่โน้นที่นี้
ไหล่ข้างหนึ่งสะพายดาบคู่ใจที่ตอนนี้มันไม่ได้เงาวาวเหมือนแต่ก่อน
แต่มันกลับเกรอะกรังไปด้วยคราบเลือดแห้งๆที่คร่าชีวิตผู้คนมากมายเมื่อคืนนี้...
เขาถามตัวเองอยู่ร้อยครั้งพันครั้ง...จะพูดให้ถูกก็คือวันนี้หัวของเขาไม่หยุดคิดเลย...
ฉันอยู่ที่นี่ทำไม?
หมอนั่นพยายามลืมฉัน...แบบนั้นน่ะเหรอที่สมควรพูดกับคนที่มาช่วย
แบบนั้นหรอที่สมควรพูดกับคนที่เคยสัญญากัน
แล้วทำไมฉันถึงต้องคอยป้วนเปี้ยนอยู่ที่คฤหาสน์นี่ด้วย...
รู้สึกผิดงั้นหรอ...
ไม่ใช่สิ...ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
ไม่ได้มีความรู้สึกสงสารหรือว่าสำนึกอะไรสักนิดในสิ่งที่ทำไป
เกลียดการผิดสัญญา เกลียดการโกหก
เกลียดในสิ่งที่หมอนั่นทำทุกอย่างในตอนนี้...ทั้งๆที่เฝ้าแต่ห่วง
ทั้งๆที่เมื่อก่อนเป็นคนบอกเองว่าเมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันเป็นเรื่องงี่เง่า...แต่ตอนนี้ทำไมคนๆนั้นกลับจะทิ้งพวกพ้องซะเอง
นายจะทิ้งฉัน...นายกำลังจะทิ้งฉัน
แล้วปล่อยให้ฉันเฝ้าแต่ห่วงหานายเพียงคนเดียวหรอ...
ไม่มีทาง!!
ปิ๊บๆ
ผู้พิทักษ์พิรุณถูกดึงออกจากห้วงความคิดของตนเองจากเสียงสัญญาณเรียกเข้าที่ข้างหู
ไม่ต้องเดาก็สามารถรู้ได้โดยเซ้นส์ว่าต้องเป็นวองโกเล่ที่มาถึงคฤหาสน์แน่ๆ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาน่าจมีสายเขาตลอดจนเขารู้สึกรำคาญจึงล็อคออฟเอาไว้
แต่เพิ่งจะได้เปิดเมื่อกี้
ไหนๆก็มาถึงกันแล้ว...ฉันไม่ควรจะหนีสุดยอดลางสังหรณ์ของนายจริงๆสินะ...สึนะ
‘ยามาโมโตะ!’
ทันทีที่กดรับ
น้ำเสียงดีใจแม้จะเจือการหอบดังขึ้นทันที
ผู้พิทักษ์พิรุณนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะแสร้งยิ้มเหมือนยินดีที่มีคนติดต่อ
“ว่าไงสึนะ...มาถึงเร็วจัง
นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”
แต่อย่างไรก็ตาม
เขาก็ยังนึกเคืองวองโกเล่รุ่นที่สิบอยู่ดี...
‘เรื่องนั้นช่างก่อนเถอะ
แต่บอกฉันมาว่านายอยู่ไหน’ น้ำเสียงนั่นร้อนรนมาก
พิรุณยังได้ยินหมัดหนักๆรบกวนมากับเสียงพูดเลยพอจะมองภาพออกว่าตอนนี้นภาแห่งวองโกเล่ไม่ได้อยู่สบายนัก
“นายไม่ต้องห่วงฉันหรอก...ตอนนี้นายไม่ว่างอยู่ใช่มั้ยล่ะ”
‘ยามาโมโตะ ฉันขอโทษ’
“...”
ถึงมันจะไม่ชัดมากนักตามเสียงที่เข้ามารบกวน
แต่พิรุณก็จับศัพท์ได้เป็นอย่างดีและชัดเจน...สามพยางศ์ที่นภาแห่งวองโกเล่เอ่ยออกมานั้น...
คือคำว่า...ขอโทษ
‘ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกนาย ฉันรู้ว่าผิด
แต่ที่ฉันทำไปเพราะว่ามันมีเหตุผล แต่ถึงตอนที่ฉันเล่าเหตุผลให้นายฟังนายจะโกรธจะเกลียดฉันหรือไม่เห็นว่าฉันเป็นเพื่อนอีกเลยก็ได้...แต่ตอนนี้ฉันขอร้อง
ช่วยโกคุเดระคุงด้วยกันนะ พวกเราคงทำงานไม่สำเร็จถ้าไม่มีนาย...ออกมาเถอะ
ยามาโมโตะ’
คำขอร้อง?
คำสั่ง?
ไม่รู้ว่าจะเรียกมันว่ายังไงดีนะ
แต่ที่คนปลายสายเอ่ยออกมาทั้งหมดมันผสมผสานกันด้วยอารมณ์ที่ไม่แน่นอน
ใจหนึ่งคงจะรีบร้อนมากที่จะไปช่วยวายุ
แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกผิดอย่างมหันต์ที่ไปโกหกเพื่อนสนิทจนทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่
แต่สำหรับคนที่เป็นหัวหน้านั้นไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวกับลูกน้องคือสิ่งสำคัญทั้งหมด
ไม่สามารถที่จะแบ่งแยกได้...
คนที่เป็นเพื่อนนภาอย่างพิรุณเข้าใจในข้อนั้นดี...
‘ยามาโมโตะ...’
นภาเรียกอีกครั้ง
ซึ่งตอนนี้นอกจากเสียงแหบพร่าที่พูดแล้วมีเพียงเสียงของลมหายใจที่ติดขัดจากการขาดออกซิเจนไปกับพลังงานในการต่อสู้
เขาได้ยินเสียงของนภาชัดเจนยิ่งขึ้น จนไม่ต้องกดเครื่องมือสื่อสารแนบหูอย่างเก่า
‘ฉันรู้
ว่านายคงไม่อยากทำตามสัญญา...’
“ฮะๆๆ
ฉันไม่ได้พูดซักคำนะ”พิรุณแค่นหัวเราะออกมา
เมื่อนึกถึงสัญญาที่ร่างโปร่งบางเป็นคนพูดกับเขาเอง
ตอนนั้นเขานึกค้านและไม่ยอมรับเลยจริงๆ
แต่ตอนนี้ความรู้สึกมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย...
ไม่อยากทำตามสัญญา...
‘ไม่หรอก
ฉันได้ยินแค่เสียงของนายฉันก็รู้แล้ว
แต่ฉันไม่ได้เสียใจ...ไม่ได้รู้สึกห่วงอะไรเลย...แต่ที่ฉันห่วงคือกลัวว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก’
กลัวว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก...
ประโยคนี้ซึมลึกเข้าไปในใจของพิรุณ
มันช่างเป็นประโยคที่บีบรัดหัวใจให้ทรมานสิ้นดี ไม่รู้ว่าเขาอ่อนแอทางจิตใจหรือว่ากลัวเหมือนกับนภากันแน่
แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใด
นภาต้องการที่จะปลุกกำลังใจและเรียกให้พิรุณออกมาต่างหาก และอีกอย่าง...
‘หน้าที่ของโกคุเดระคุง
ฉันไม่ให้ใครมาทำแทนหรอกนะ’
นั่นสิ...หน้าที่ของหมอนั่นไม่มีใครมาแทนได้สักหน่อย...
แต่ว่า...
“เข้าใจแล้ว
ขอบคุณที่นายยังเห็นฉันในสายตา ไม่ต้องห่วงนะ ฉันพาหมอนั่นกลับวองโกเล่ได้แน่ๆ
แต่ถ้าบางทีอาจจะได้กลับไปเพียงแค่โกคุเดระเท่านั้น...นายคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย”
‘นะ นาย
หมายความว่าไง” นภาครางถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เพราะประโยคนั้นของพิรุณ
เหมือนกับคนที่กำลังจะไปตายอย่างนั้น
พิรุณกระชับดาบของตัวเองให้สะพายแน่นขึ้น
ก่อนที่จะกรอกเสียงของตัวเองเป็นประโยคสุดท้าย
“ถ้าฟ้ายังอยากให้พวกเราอยู่ด้วยกัน...ฉันคงได้พบนายอีกครั้งนะ สึนะ ”
พิรุณไม่รู้ว่าทำไม
ตัวเองจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร...
เพราะคำนั้นแน่ๆเลย...
กลัวว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ดังนั้น
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนใดคนหนึ่งต้องลาโลกใบนี้ไป
แต่เพราะพิรุณไม่คิดจะทำตามสัญญานั่น
ดังนั้นคนที่จะอยู่เคียงข้างนภาต้องเป็นสายลม...ไม่ใช่เขา
และคนที่จะช่วยต้องเป็นเขาเท่านั้น...คนอื่นไม่มีสิทธิ์!!!
TBC…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น