Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 11 กำลังสมทบ...?
ปราสาทวาเรีย
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!! ช่วยด้วย! ผีหลอก!!”
เสียงดังสิบแปดหลอดของกระเทยร่างสูงคนเดียวของปราสาทวาเรียดังไปทั่วทุกมุมตึก
เมื่อเปิดประตูเข้ามาจะเสิร์ฟกาแฟให้กับใครบางคนในห้องทำงาน
ใช่...ห้องของผู้บัญชาการใหญ่ของวาเรีย
ร่างโปร่งสูงในผมสีเงินยาวกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทาง
ใต้ดวงตาสีน้ำแข็งมีฐานรองเป็นสีคล้ำ
ไหนจะผิวขาวซีดเหมือนเลือดไม่เลี้ยงกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะง่วนกับการหาอะไรไม่รู้
ดีไม่ดีผมยาวๆนั่นจะย้อยมาปิดหน้าอีกต่างหาก...
ใครๆก็ไม่คิดว่าเป็นคนหรอก...
“จะแหกปากทำไมวะลุซซูเรีย หนวกหูโว้ยยยย!!!” คนที่ถูกหาว่าเป็นผีทำการ ‘แหกปาก’ กลับ
กระเทยร่างสูงค้อนใส่ด้วยท่าทีจริตจะก้าน ก่อนจะวางเครื่องดื่มยามเช้าให้กับ
เอ่อ...คนที่เหมือนวิญญาณจะหลุด
“สคลอลลี่ทำไมมีสภาพงี้ล่ะ
เมื่อคืนอดนอนรึไงน่ะ!”
“เออ!”
ว่าแล้วเชียว...
มันน่าเอาไปฟ้องบอสนัก
ถ้าไม่สบายล่ะก็บอสเอาตายแน่เลย ไม่ใช่อะไรหรอก สควอลลี่ไม่สบายใครจะทำงานล่ะ
บอสเขาชอบอ้างยังงี้อยู่เรื่อย
“แล้วทำอะไรอยู่ล่ะ” ลุซซูเรียชะโงกหน้ามามองหนังสือที่ร่างโปร่งกำลังดูอย่างเอาเป็นเอาตาย
ดูๆแล้วมันคือหนังสือที่เกี่ยวกับภาษาโบราณที่มีรูปภาพแทนตัวอักษรเหมือนอักษรอียิปต์สมัยฟาโรห์ยังไงยังงั้น แล้วข้างหน้าคือเครื่องคอมที่เปิดทิ้งไว้เป็นหน้ากระดาษสีขาวคล้ายๆจดหมาย
แต่แค่ไม่มีอะไรเขียนไว้นอกจากรูปภาพเรียงต่อกันเป็นพรืด
“ก็เมื่อคืนมีเมลล์ส่งมาหาเครื่องฉันน่ะสิฟะ! ภาษาบ้าอะไรไม่รู้เรื่องเลย เช็คไอดีเครื่องแล้วก็ไม่รู้จัก
คนส่งมันมุดหัวอยู่หลืบไหนก็ไม่รู้!”
ฉลามคลั่งแห่งวาเรียโวยวายใหญ่โตพร้อมทึ้งผมยาวๆของตัวเองให้ยุ่งเข้าไปใหญ่
เขาหาความหมายของไอ้ภาษานี่มาตลอดคืน
พจนานุกรมโบราณเล่มหนาทั้งหลายแหล่ถูกโยนทิ้งระเนระนาดไว้ใต้โต๊ะทีละเล่มสองเล่ม
“สควอลลี่ก็เว่อร์เกินไปนะเจ๊ว่า”
กระเทยร่างสูงขมวดคิ้วพร้อมยังปัดมือไปมาด้วยท่าทีตุ้งติ้ง
“ทำไมไม่เอาไปให้บอสดูล่ะ เจ๊ว่านะ
ถ้าเป็นบอสเรื่องแค่นี้มันสบายๆ ชิลล์ๆ”
“ชิลล์บ้านแกเด้ะ!!!
มันได้เตะฉันออกจากห้องข้อหารบกวนมันนอนน่ะสิโว้ยยยยยย!!!” การนอนคือสิ่งสำคัญที่สุดของบอสแห่งวาเรีย
ใครก็ไม่กล้าจะไปยุ่มย่าม สำหรับคนอื่นอาจจะกลัวโดนเผา แต่สำหรับผู้บัญชาการใหญ่คนนี้รู้สึกรำคาญซะมากกว่า
“แต่ถ้างั้นก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรนะยะ
ถ้ามันเป็นอันตรายต่อพวกเราก็ซวยตายเลย”
มันก็จริง...
แต่ถ้ามาก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร
หน่วยลอบสังหารของวองโกเล่ที่ไม่เคยจะทำตามคำสั่งของกองกลางว่างงานมามากแล้วเหมือนกัน
แต่ละคนคันมือคันไม้อยากฆ่าคนใจจะขาด
“แล้วเมื่อกี้ที่แกเอากาแฟไปให้มัน
มันตื่นรึยังล่ะ” ฉลามคลั่งหันไปถามเพื่อความแน่ใจเพื่อว่าจะไม่เกรียมกลับมา
“ตื่นแล้ว
สควอลลี่คิดว่าบอสจะนอนตอนกลางคืนหรอ เห็นมานอนตอนกลางวันตอนเรายุ่งๆนะแหล่ะ”
“เออ..ใช่ เป็นงี้แมร่งทุกที”
แต่... ไม่ลองมันจะไปรู้อะไร
“ไร้...สา...ระ”
สามพยางค์เน้นชัดเจนเมื่อฉลามคลั่งปริ้นเอาจดหมายที่เรียกว่าประหลาดๆมาให้บอสแห่งวาเรียดู
ดวงตาเสียงโกเมนเบือนหนีทันทีเมื่อกลอกตามจดหมายได้สามวิ
แถมยังอ้าปากหาวหวอดๆอีกต่างหาก
กระตุกเหงือกฉลามอย่างรุนแรง
“ไอ้บอสเวรเอ๊ยยยยยยย!!!! อย่ามาเมินได้มั้ยวะ ไอ้นี่ฉันแปลตลอดคืนเลยนะโว้ย” บอสแห่งวาเรียเงยหน้ามาตามเสียงโวยวายก่อนจะถามคำถามแทงใจคนที่แปลทั้งคืน
“แล้วไอ้สวะอย่างแกแปลได้เรื่องรึเปล่าล่ะวะ”
“เอ่อ...”
ไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ว่า“ไม่ได้”
“หึ ขยำทิ้งไปซะ
มีอยู่ก็ใช่จะมีประโยชน์อะไร”เจ้าของดวงตาสีแดงฉานยังคงไม่รู้สึกอะไรเช่นเดิมพร้อมยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
มันช่างเป็นคำสั่งที่ฉลามคลั่งแห่งวาเรียสมควรจะน้อมรับใส่เกล้ามากๆถ้าไม่ติดว่ามันออกจะกวนประสาทและมักง่ายไปหน่อย
“อย่ามาพูดอะไรชวนน่าสับงั้นสิโว้ย!”
“ก่อนดาบแกจะมาระคายผิวฉัน
ฉันคงเผาแกก่อน”
“แล้วแกจะเอายังไง
ถ้าไม่ตอบฉันกุดหัวแกแน่ๆ สาบานได้”
“ก็แค่ทิ้งมันไป
หรือถ้าแกอาลัยอาวรณ์อยากจะรู้ความหมายมันนักก็ไม่ยาก”
บอสแห่งวาเรียเว้นช่วงหายใจไปนิดหน่อยก่อนจะแค่นยิ้มแล้วมองหน้าฉลามคลั่งแห่งวาเรียอย่างท้าทาย “ก็แบกหน้าไปหาไอ้แมลงสวะ ซาวาดะ
สึนะโยชิซะสิ”
ดวงตาสีน้ำแข็งเบิกโพลงทันทีที่จบประโยคปากอ้ากว้างเตรียมอุทานออกมาไม่เป็นภาษา
และแน่นอนว่า มันต้องดังสุดๆ
“หา!!!!!!!!!
ให้ฉันไปหาไอ้หนูรุ่นที่สิบนั่นเรอะ เหอะ ล้อเล่นรึเปล่าวะ”
พรึ่บ!
ลูกไฟสีส้มดวงย่อมๆจุดขึ้นในฝ่ามือของบอสแห่งวาเรีย
เป็นเชิงบอกว่าเขาไม่ได้ล้อคนตรงหน้าเล่นอย่างแน่นอน
ฉลามคลั่งปัดผมสีเงินไปข้างหลังก่อนจะกลืนน้ำลายอย่างฝืดๆ
“มันไม่จำเป็นโว้ย นี่ไอ้บอส แกฟังฉันนะ
ให้ไปขอความช่วยเหลือไอ้พวกนั้น ฉันยอมแพ้ดาบไอ้หนูดาบญี่ปุ่นดีกว่าว่ะ
มีหน้ากว่าเยอะ อีกอย่างขนาดฉันยังไม่รู้เรื่อง ไอ้พวกนั้นมันจะไปรู้อะไร” ตามที่พูดเลย
ใครมันจะอยากไปขอความช่วยเหลือจากเด็ก ยิ่งเป็นเด็กที่เจ้าตัวคิดว่าเปรตๆด้วยแล้ว
ศักดิ์ศรีมันกินได้ในหมู่ของหน่วยลอบสังหารนี่จริงๆ
“งั้นแกก็ไม่รู้เรื่อง
อีกอย่างตอนนี้ฉันง่วง ออกไปซะก่อนที่ฉันจะเผาแก”
“ไอ้บอสเว..”
“ออกไปซะ!!!”
“อะ เออๆๆ”
ฉลามคลั่งเบะปากแช่งคนตรงหน้าอย่างแค้นใจ
คิดว่าถ้าเมื่อไหร่เขาสามารถฆ่าไอ้บอสกร่างนี่ได้ จะมานั่งเก้าอี้ตัวนี้แทนมันซะ
หลังจากออกมาจากห้องแล้ว มือบางหยาบกร้านจากการจับดาบยกกระดาษขึ้นมาดูอีกครั้ง
“ตกลงตูต้องไปใช่มั้ยวะ...”
ไม่ได้อยากไปนะโว้ย แต่ถ้าเรื่องมันมาถึงที่นี่แล้วมันจะยุ่ง
ถึงแม้ว่าดูๆแล้วไม่น่าจะมีอะไรก็เหอะ
ยิ่งตอนนี้ไอ้เบลไม่อยู่ได้พักเรื่องหาคนให้มันฆ่าไปหยกๆ
ตกลงว่าไป...
“บัดซบเอ๊ย!!”
คฤหาสน์วองโกเล่แฟมิลี่
“รุ่นที่สิบครับ
ผมมาเอาเอกสารครับ”
“อ่า...เอาไปเลย
เสร็จพอดี” นภาแห่งวองโกเล่ยื่นแฟ้มให้พร้อมส่งยิ้ม
จะว่าไปเขาคงจะยิ้มกว้างกว่านี้ถ้าคนที่มารับเป็น
มือขวาเจ้าของเรือนผมสีเงิน และคงจะทักเพิ่มด้วยว่าอรุณสวัสดิ์แน่ๆ
แต่นี่มันไม่ใช่...
ตอนแรกๆนภาก็เผลอพูดไปเหมือนกันตามความเคยชิน
เผลอเห็นหน้าคนทีมารับหน้าที่แทนเป็นสายลมคนเดิมบ่อยครั้ง
และบางทีก็เผลอเรียกชื่อเลยก็มี
โกคุเดระคุง
ตอนนี้นายจะเป็นไงบ้างนะ ตามหาที่อยู่ของนายมันยากเหลือเกิน
ฉันก็แค่หวังว่านายจะปลอดภัยอยู่แค่นั้น
แค่นั้นจริงๆ
“ตอนนี้เรื่องให้สืบที่ของโกคุเดระคุงเป็นยังไงบ้าง”
“เอ่อ
ตอนนี้เรายังไม่ได้เบาะแสที่ชัดเจนของฟิลบาโลเน่
เมื่อก่อนแก๊งค์นี้มีอิทธิพลพอสมควรก็จริง แต่ตอนนี้กลับเงียบหายไปแล้วล่ะครับ
คิดว่าต้องไปเที่ยวตระเวนหาแก๊งค์ที่มีฟิลบาโลเน่เป็นพันธมิตรถึงจะทราบที่อยู่อย่างแน่ชัดครับ”
“งั้นหรอ...” รายงานแบบนี้มาตลอด...
“กระจายกำลังเพิ่มเป็นสองเท่า
ผมให้เวลาอีกสองวัน ต้องได้เรื่องมากกว่านี้...”
“ครับ
รุ่นที่สิบ”
ชายฉกรรจ์โค้งงามๆหนึ่งทีก่อนจะรีบสาวเท้าเดินออกไปจากห้อง
นภาแห่งวองโกเล่ยอมรับเลยว่าเมื่อกี้ที่สั่งไปเพราะอารมณ์ล้วนๆ
เขาเพิ่งได้เห็นว่าวองโกเล่ทำงานได้ล่าช้าก็ตอนนี้...
หรือว่า...เป็นนภาเองที่ใจร้อน...
ทำไมนะ
ทำไมถึงมีสิ่งที่วองโกเล่ทำไม่ได้ ทำไมฉันต้องได้คำตอบแบบนี้ทุกครั้งด้วย
ไม่มีความหวังเลยหรอ... หลังจากเมื่อคืน
มุคุโร่ก็ขอตัวหายไปซักพักบอกว่าจะไปหาเบาะแส คุณฮิบาริก็หายไปตั้งแต่เมื่อวาน
ที่ฐานทัพก็ไม่อยู่ ส่วนเจ้ารีบอร์น มีมันก็เหมือนไม่มีนั่นแหล่ะ
ตกลงฉันเหลือใครบ้าง...ถึงจะพูดว่าไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว
แต่ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกว่ามีคนยืนข้างๆเลย...
โดดเดี่ยว...
“ไอ้หนูรุ่นที่สิบ!!!! มุดกะโหลกอยู่ที่ไหนของแกฟะ!!!!!” เสียงดังสนั่นจากข้างล่างทำให้นภาแห่งวองโกเล่ลุกผึงขึ้นจากเก้าอี้
ดวงตาสีน้ำตาลที่สลึมสลืออยู่ตื่นทันทีเหมือนเอาน้ำมาราด
เพราะเสียงขนาดนี้ไม่บอกก็รู้ว่าใคร
สควอโล่มาหรอ!!!!
ตึงๆๆๆๆๆๆ
“สควอโล่!” นภาแห่งวองโกเล่ถลาลงบันได แขกที่ยืนจังก้าอยู่หน้า
ประตูไม่ใช่ใครที่ไหนไกลแต่เป็นผู้บัญชาการร่างโปร่งบางผมยาวสยายสีเงินมือซ้ายยังคงมีดาบคู่ใจเหมือนเดิม
แต่ดูเหมือนข้างๆจะมีเด็กผู้ชายร่างเล็กผมสีเขียวน้ำทะเลที่ใส่หมวกหัวกบใหญ่ๆทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ด้วย
“มาได้ยังไงน่ะครับ”
“ขี่ฉลามมา...” เอ่อ..ช่างเป็นการเดินทางที่สมกับเป็นสควอลโล่จริงๆ
“แล้ว...” นภาแห่งวองโกเล่เหลือบสายตามองเด็กชายอีกคนเป็นเชิงถาม แต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อฉลามคลั่งก็ชิงตอบทันที
“ส่วนไอ้กบนี่
ไอ้บอสมันให้มาช่วย วันๆกินนอนอยู่ในปราสาท ไอ้เบลไม่อยู่
ไอ้บ้านี่ก็ไม่ยอมไปไหนเลย ไอ้ซาซางาวะอีกคน มันฝากมาขอโทษแก
เพราะต้องอยู่ปั่นงานให้แซนซัสเลยมาไม่ได้” ฉลามคลั่งอธิบายเพิ่มเติม
แต่นภาแห่งวองโกเล่ไม่ได้สนใจเรื่องที่ผู้พพิทักษ์อรุณมาไม่ได้แต่อย่างใด
แต่สนใจเรื่องที่จะให้ ‘ช่วย’ มากกว่า
“ช่วย?
ช่วยอะไรหรอครับ”
ฉลามคลั่งชูกระดาษขึ้นแทนคำตอบ
นภาแห่งวองโกเล่มุ่นคิ้วแล้วกลอกสายตาไปมาอยู่หลายรอบ
แต่ที่เห็นคือรูปภาพประหลาดๆเหมือนโค้ดลับเรียงกันเท่านั้น
“นี่มัน...อะไรกันครับ”
“ก็ไม่รู้สิครับ...” เด็กหนุ่มผมน้ำทะเลตอบเสียงเนือย “แต่มันเป็นสิ่งที่โชคร้ายสำหรับผมพอดู
ทำไมผมต้องแหกตาจากนอนกลางวันมาเป็นเพื่อนผบ. ด้วยนะ”
“เงียบไปเลยไอ้กบ!!” ฉลามคลั่งตวาดเสียงแหลมก่อนจะหันไปมองหน้านภาแห่งวองโกเล่อีกครั้ง “ตกลงว่าแกไม่รู้จักมันเรอะ”
“เอ่อ...ขอดูใกล้ๆหน่อยนะครับ” นภาแห่งวองโกเล่รับกระดาษมาก่อนจะพินิจพิจารณาอย่างละเอียด รูปแต่ละรูปเหมือนกับแทนเป็นตัวอักษร
คุ้น...เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย...
ที่ไหนนะ...
“อ๋อ
อักษรจีน่ะครับ”
ตอนนั้นดูเหมือนว่าเราจะไม่ค่อยได้สนใจอะไรเลย
เพราะกำลังช็อคหลายๆเรื่องที่ต้องเจอ
แต่สิ่งที่พอเป็นเบาะแสก็เห็นจะมีแต่กระดาษสี่ห้าแผ่นในมือโกคุเดระคุง
ที่เป็น...อักษรจี
“อักษรจีหรอ”
“อักษรโกคุเดระน่ะครับ
ผมคิดค้นมันในชั่วโมงเรียนตอนอยู่ปีหนึ่ง”
อา...ใช่แล้ว!!!!
อักษรจีของโกคุเดระคุงนี่นา!!!
“สะ
สควอลโล่นายได้มันมายังไงน่ะ!” นภาละล่ำละลักถามสีหน้าตื่นสุดๆ
เมื่อมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่อยู่บนกระดาษเป็นอักษรจีของมือขวาไม่ผิดแน่ๆ
ดีไม่ดีอาจจะเป็นเบาะแสที่มือขวาแอบส่งมาก็ได้!
“มันมาอยู่ในเมลล์ฉันน่ะสิโว้ย!
ตกลงว่าแกรู้จักหรือไม่รู้จักมันก็แน่วะ!!!”
“รู้จักครับ!
รู้จัก!
มันเป็นอักษรที่โกคุเดระคุงคิดค้นขึ้นมาเองน่ะครับ
ถ้ายังไงมันคงจะเป็นข้อมูลที่โกคุเดระคุงแอบส่งมาให้พวกเราก็ได้นะครับ”
“หือ?...ไอ้หนูไดนาไมต์มันส่งมาเรอะ จะว่าไปมันหายไปนี่หว่า
แล้วแกจะนั่งแกะไอ้อักษรเวรนี่สินะ งั้นฉันกับไอ้กบขอบายละกันว่ะ!!!” อ่ะ...ทำ..
ทำไมละครับ อุตส่าห์ใจชื้นว่ามีกำลังสมทบแล้วนะ
“โฮะ
เสียใจครับคุณผบ.ผมยาว” เด็กหนุ่มหมวกกบขัดทันที
ริมฝีปากยกนิดๆเหมือนยิ้มเยาะ “บอสบอกว่าคืนนี้ห้ามผบ.
กลับปราสาทจนกว่าจะไขจดหมายเสร็จน่ะครับ”
“หา!!!!!!!!!!!!! อยู่เรอะ!!!!”
“ตกลงว่าอยู่ละกันนะครับ
จะได้ช่วยกันไขด้วย เดี๋ยวผมจะโทรไปตามทุกๆคนนะครับว่าตอนนี้เราได้เบาะแสของโกคุเดระแล้ว” นภาแห่งวองโกเล่รีบตัดบทแล้ววิ่งขึ้นบันไดด้วยท่าทีที่ยินดีทีสุด
นภาแห่งวองโกเล่เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนมากำลังเลือนหาย
นภาที่มืดครึ้มกำลังจะเปิดรับความสดใส
ถึงแม้ผู้บัญชาการแห่งวาเรียจะร้องโวยวายตามหลังมาเสียงดังสนั่นตึกจะถล่ม แต่นภาไม่ได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว
มันคือความหวัง...ความหวังแรกที่จะได้สายลมคืนมา
จะเป็นไปได้รึเปล่านะ...
ได้โปรดเถอะ...จะเป็นอะไรก็ได้...ตอนนี้ต่อให้ฉันพึ่งในปาฏิหาริย์
ฉันก็ไม่คิดว่ามันงี่เง่า...
ได้โปรด...
อิตาลีเหนือ
ห้องพักของผู้พิทักษ์อัสนี
กริ๊งงงงงงงงง.....งงงงงงงงงงง
“สวัสดีครับ...”
‘แรมโบ้หรอ
นี่ฉันเองนะ ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกนาย’
น้ำเสียงกระตือรือร้นยังไม่ทันจะทักทายของนภาทำให้เด็กหนุ่มผมสีดำประหลาดใจไม่น้อย
เพราะหลายวันมานี่ไม่มีใครติดต่อมาเลย
แน่นอนว่า...เขายังคงปิดเรื่องนั้นไว้อย่างมิดชิดตามสัญญา
“เรื่องอะไรหรอครับ”
‘เราได้เบาะแสของโกคุเดระคุงแล้ว!!!’ สิ้นสุดข่าว
ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างทันที ไม่คิดว่าจะได้ยินข่าวที่ไม่น่าเชื่อแบบนี้..
นับเป็นข่าวดี...ดีมากจริงๆ!!!
“หา!!!!!!!!!!!
จริงหรอครับวองโกเล่!!!!”
‘จริงสิ
เขาส่งข้อความมาน่ะ ตอนนี้ทุกคนอยู่ที่หอใหญ่นะ
เดี๋ยววางสายแรมโบ้ช่วยต่อสายเข้าประชุมด้วย’
“อ่า...เข้าใจแล้วครับ”
เด็กหนุ่มรับคำก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ไปเปิดคอมทันที
รายงานเป็นปึกโดนวางทิ้งไว้ที่เดิม
ส่วนปากกาโดนโยนทิ้งกลิ้งหลุนๆไปอยู่ใต้โต๊ะเรียบร้อย
‘แล้วเจอกันนะ
อืม...แล้วที่สัญญาไว้’ นภาแห่งวองโกเล่พูดเสียงเบาลงกว่าเดิมมาก
ซึ่งไม่บอกก็รู้ว่าอะไร
ผู้พิทักษ์อัสนียิ้มออกมาบางๆเหมือนเข้าใจก่อนจะตอบรับด้วยเสียงเบากว่าเดิมเช่นกัน
“ครับ...ไม่ต้องห่วงนะครับ...”
‘อืม
แล้วเจอกัน’
อัสนีรับคำก่อนจะวางโทรศัพท์ลงกับแป้น
เขาถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ความจริงเขาอยากจะปฏิเสธว่า อยู่แบบนี้มันก็อึดอัด
แต่เมื่อนภาคิดว่าทางนี้เป็นสิ่งเดียวที่จะได้พี่ชายทางธาตุร่างกายคืนมาก็ยินดี
เฮ้อ...จนป่านนี้วองโกเล่ยังไม่เปลี่ยนใจอีกหรอ...
ต้องเก็บไปอีกสินะ...
เด็กหนุ่มเริ่มต่อสายเข้ายังศูนย์บัญชาการวองโกเล่เพื่อเข้าประชุมซึ่งตอนนี้ก็คิดว่าทุกคนคงจะรออยู่แล้ว
แต่ไม่รู้อะไรเลยว่าข้างนอกหน้าต่างนั้นฝนมันตก...
ไม่ได้ตกเฉพาะนอกหน้าต่างล่ะมั้ง...
หน้าประตูก็คงจะด้วย...
“แรมโบ้
เมื่อกี้นี้สึนะโทรมาหรอ”
TBC…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น