หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Au.Fic KHR [805918] อดีตนิรันดร์ : 03



Au.Fic KHR [805918]
อดีตนิรันดร์
Period Drama
NC-17
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ช่วงระยะเวลาที่ดำเนินเรื่องนั้นเป็นการผสมผสานระหว่างยุคสมัยจริงในประวัติศาสตร์ผสมผสานกับจินตนาการของผู้แต่ง ดังนั้นไม่สามารถใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ




อดีตนิรันดร์ : 03




นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างเมื่อเห็นใครบางคนที่เขาคิดว่าทั้งชีวิตนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้พบอีก ฉับพลันหัวใจที่เจ้าตัวพร่ำสอนให้มันนิ่งสนิทไม่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ ขอแค่สักครึ่งของท่านปู่ก็ยังดี ยามนี้มันตอกย้ำว่าตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา การฝึกฝนของเขาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แค่มันเต้นเป็นจังหวะที่เร็วขึ้น แค่มันทำให้นัยน์ตาเขาสั่นไหว แค่นั้น...มันก็ผิดพลาดมากแล้ว

รู้สึกว่าโชคชะตา...มันหมุนเร็วเกินไป ราวกับเป็นการกลั่นแกล้ง เพียงแค่มีความรู้สึกนี้ เจ้านายน้อยก็รู้แล้ว ว่าเขายังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าอีกฝ่ายจริงๆ

“ฮายาโตะ” เสียงเรียกแผ่วเบาที่ข้างหูจากท่านปู่ทำให้เขากระพริบตาช้าๆแล้วก้าวเท้าเดินต่อไปที่ประจำของตน นึกขอบคุณสวรรค์อยู่บ้างที่ที่นั่งของเขาเพียงแค่เยื้องยามาโมโตะ และคนที่นั่งตรงข้ามทายาทจากประจิมจริงๆคือเคียวยะ ดวงตาของผู้อยู่ในท้องพระโรงทุกคู่จับจ้องบุรุษในเครื่องแต่งกายสีอึมครึมสองคนหันหน้าเข้าหากัน ซ้ำบรรยากาศรอบตัวยังเยียบเย็นเสียจนราวเป็นรูปสลักเทพสงครามสององค์อย่างไรอย่างนั้น

สำหรับเคียวยะ เขาไม่รู้ แต่กับท่านปู่ ไม่มีทางที่ท่านจะพบหน้ายามาโมโตะแล้วไม่รู้สึกอะไร แต่สีหน้านิ่งเย็นชาของทั้งคู่มันทำให้เขายิ่งอยากหัวเราะเยาะตัวเอง...ยังใช้ไม่ได้จริงๆ

“ขอเชิญทุกท่านรับประทานอาหารก่อน แล้วหลังจากนั้นเราจะหารือกันเรื่ององคมนตรี” สุรเสียงอบอุ่นหากแต่น่าเกรงขามจากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเอ่ยอนุญาตให้ทุกคนเริ่มจับตะเกียบ แต่สำหรับคนที่ชินกับบรรยากาศในรั้วในวังแล้ว มันเป็นสัญญาณเริ่มสงครามประสาทเสียมากกว่า

“วันนี้เป็นงานมงคล ข้าว่าท่านจีกับเจ้านายน้อยไม่ควรแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าไร้สีสันเช่นนี้” และผู้เปิดประเด็นจะเป็นไปไม่ได้นอกจากเหล่าบรรดาราชนิกูลที่นั่งถัดๆไปจากบรรดาคณะบริหาร ต่อให้เขาห่างหายจากการเข้าวัง แต่ร่างโปร่งบางก็ไม่เคยลืม...ท่านปู่เคยบอกเขา ว่ามีคนรัก ก็ต้องมีคนเกลียด มันคือสัจธรรม ต่อให้มันเท่าผืนเสื่อ แต่ก็ต้องมีอยู่ดี

พวกที่ริษยาตระกูลโกคุเดระ.......

และดูท่าทางสายตาของพวกนั้นจะน่าขยะแขยงขึ้นเยอะ

ขุนนางจียิ้มจาง แต่ควรเรียกว่าเหยียดยิ้มมากกว่า “ข้ามันก็อายุมากแล้ว ให้แต่งด้วยสีสันสดใสคงไม่เหมาะ ส่วนฮายาโตะ ข้าว่าก็ไม่ต้องรีบร้อนไป เขามีเวลาที่จะแต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามอีกมาก ข้าว่าพวกท่านจะได้เห็นบ่อยๆแน่ ถึงตอนนั้นหวังว่าจะให้เกียรติชม”

เหมือนเป็นประโยคที่ไม่ชวนคิดอะไร แต่กับพวกผู้ชินการแปลภาษาระหว่างการเลี้ยงอาหารในวัง คำพูดของขุนนางจีทำให้หน้าของบรรดาราชนิกูลชาวาบ ในขณะที่เหล่าคณะบริหารเลิกคิ้วขึ้น มุมปากยกขึ้นนิดเป็นรอยยิ้มขำขัน มันเป็นการประกาศแน่ชัดว่าเจ้านายน้อยโกคุเดระต้องได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์แน่นอน และจะได้อยู่ในวังนี่อีกยาว และพวกเขาก็ต้องให้ความนับถือเด็กคราวลูกอย่างไม่ต้องสงสัย

ยามาโมโตะลอบยิ้มอย่างสาแก่ใจ สมกับที่คิดถึง...วาจาของประมุขตระกูลโกคุเดระยังคมบาดหูเหมือนเดิมเลยสิ

ว่าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเบนสายตาจับจ้องไปที่ผู้เป็นหลาน กับสรรพนามที่คนอื่นเรียกว่า เจ้านายน้อยมันฟังแล้วเหมาะกับเจ้าของร่างขาวผ่องในชุดกิโมโนสีขาวนวลนั่นอย่างบอกไม่ถูก แต่เดิมที่เขาคิดว่าโกคุเดระช่างถอดแบบออกมาจากจีได้อย่างน้อยนิด แต่ตอนนี้นับว่าอย่างกับโขลกกันออกมา และดูจากสายตาคู่สวยที่ปรายมองบรรดาเจ้านายช่างจ้อพวกนั้นแล้วมันทำให้เขาขนลุกทั่วทั้งแขน

แต่ก็คงจะมีอยู่คนที่ไม่รู้สึกเหมือนกับใคร เสียงหัวเราะประหลาดดังขึ้นจนขุนนางจีต้องย้ายสายตาไปมอง

“ขำอะไรของเจ้า...ว่าที่อดีตเสนาธิการฝ่ายซ้าย”

“คึหึหึหึ ก็ฟังเจ้าพูดแล้วข้าก็รู้สึกอยากนึกถึงอดีตตามประสาคนแก่เหมือนเจ้าบ้างน่ะสิ” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเป็นประกายระยับบ่งความขบขัน “อย่านึกว่าข้าจำไม่ได้นะว่าเมื่อก่อนนี่เจ้าแต่งตัวฉูดฉาดแค่ไหน นางกำนัลตำหนักในมีรายการตัดเครื่องแต่งกายให้ตระกูลโกคุเดระยาวยิ่งกว่าขององค์จักรพรรดิเสียอีก ใส่รถม้าขนไปที่คฤหาสน์ตั้งสองสามคัน...” นัยน์ตาประหลาดเย็นลง ยิ่งมันหรี่ลงแล้วจับจ้องมาที่เป้าหมาย ดูคมกริบราวกับมีดที่จะเฉือนความรู้สึกของผู้ที่อยู่ในสายตา

“แต่ดูเหมือนรสนิยมท่านจะเปลี่ยนไป....อืม...นานแค่ไหนกันนะ....สี่สิบปีเห็นจะได้”

ห้องเงียบนิ่งขึ้นชั่วอึดใจเมื่อดวงตาสีโกเมนหรี่ลงเพื่อปรามท่านเสนาธิการสูงวัยมากเล่ห์ แต่เรื่องที่ตระกูลโรคุโดจะเกรงใจฝ่ายโกคุเดระนั้น มันไม่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่ไม่เคารพ ไม่ใช่ไม่นับถือ ซ้ำสายตาที่ใช้มองก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกน่ารังเกียจเหมือนกับอีกกลุ่ม ถ้าจะให้นิยามมันควรจะเป็นคำว่า ท้าทายอย่างพอเหมาะพอควร
เพราะเป็นตำแหน่งที่ทัดเทียมกัน ราวกับตราชั่ง ถ้าหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโอนเอนให้ มันก็คงจะไม่สมดุล ดังนั้นการพูดคุยกันในลักษณะนี้ถือเป็นหน้าที่ก็ว่าได้

“ชุดสีอึมครึมของท่าน....ไม่ขาวจืดจาง ก็ดำสนิท ท่านใส่มานานแค่ไหน ใส่เพื่ออะไร ข้ารู้ดีพอๆกับตัวท่านรู้ใจตัวเอง....ว่าที่อดีตสมุหนายก”

“มันก็ช่วยไม่ได้” เสียงลมหายใจผ่อนยาวแบ่งรับแบ่งสู้ “ไม่ใส่ก็คงจะเสียมารยาทไปเล็กน้อย เพราะว่าเจ้าเป็นคนสั่งตัดให้ข้าเองนี่”

“แต่ข้าไม่ได้บังคับแล้วท่านจะโยนทิ้งไปก็คงไม่ทำให้ตระกูลผู้มั่งคั่งอย่างท่านเดือดร้อนสักเท่าไหร่หรอก....เว้นเสียแต่ว่าท่านชินกับมัน เผลอเมื่อใดก็หยิบมาสวมทุกที ทั้งๆที่ตัวสวยๆอื่นๆก็มีอยู่เต็มหีบ...” ดวงตาลึกล้ำปานมหาสมุทรเลื่อนไปเล็กน้อยแล้วหยุดที่ผู้สืบสายเลือดของคู่สนทนา คลี่ยิ้มอย่างใจดีแล้วเอ่ยเตือนราวผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กเล็กๆ

“ข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่เอาอย่างปู่เจ้าหรอกนะ....เจ้านายน้อย”

“ท่านเสนาธิการ” เสียงปรามจากท่านจักรพรรดิไม่ทำให้ผู้พูดสะดุ้งสะเทือนมากนักนอกจากจะยิ้มออกมาบางๆแล้วไม่พูดอะไรอีก ดูจากบรรยากาศของห้องยามนี้คงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นงานเลี้ยงรื่นเริง หากแต่นี่เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีความสุขแท้ในรั้วพระราชวัง ไม่มีความปิติใดที่กลั่นออกมาจากใจแล้วทะลุหน้ากากของเหล่าขุนนางกษัตริย์ ดั่งสะท้อนสภาพที่แท้จริงของแผ่นดินนี้
แม้จะเป็นสิ่งที่ทราบดีอยู่แล้ว แต่เหล่าว่าที่คณะบริหารก็จำต้องเรียนรู้

“ข้าน้อมรับคำแนะนำของท่านเสนาธิการอาวุโส” เสียงของว่าที่ที่ปรึกษาส่วนพระองค์นิ่งเรียบแล้วค้อมศีรษะลงอย่างสุภาพ แต่เมื่อดวงหน้างามเงยขึ้น ดวงตาคู่สวยมีประกายแสงกล้า อย่างที่ใครๆเจนตา มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรีของบุคคลผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ริมน้ำ

คนเป็นเสนาธิการอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ เตือนยังไม่ทันขาดคำ...บอกไม่ให้เป็นเหมือนปู่ แต่นี่ลอกกันมาซะเหมือนเปี๊ยบเลยไม่ใช่หรือไง

“แต่สิ่งที่ข้าอยากจะแจงคือ คนของตระกูลโกคุเดระทุกคนมีวิธีจัดการตนเอง...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภายนอกกาย หรือความรู้สึกในใจ...”

โกหกทั้งเพ....โกหกหน้าซื่อๆเลย ร่างบอบบางลอบยิ้มสมเพช นึกอยากให้ศักดิ์ศรีของตระกูลเป็นเกราะกำบังชั้นดีที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าที่เขาพูดไปนั้นมันเป็นเรื่องจริงยิ่งกว่าอะไร และหวังว่าจะไม่มีใครสังเกต...ว่าคำพูดของเขาสะดุดทุกครั้งเมื่อรู้สึกถึงดวงตาคู่คมสีน้ำตาลเปลือกไม้นั้นจ้องมองมา

“ได้ฟังเจ้าพูดเช่นนั้นข้าก็ดีใจ”

เสียงแหบห้าวเรียกดวงตาสีมรกตปรายมองไปยังคนที่นั่งถัดจากยามาโมโตะ เจ้านายน้อยแห่งโกคุเดระจำได้ ฟูจิวาระ ฮิเดอากิชายชราผู้มีศักดิ์เป็นพระปิตุลาของท่านซาวาดะและเจ้าหญิงฮารุ ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าหมาจิ้งจอก และเป็นหนึ่งในตัวเลือกของเสนาธิการฝ่ายซ้ายว่าจะได้เป็นกุญแจสำคัญที่จะเผด็จศึกแผ่นดินประจิม และถ้าหากตาแก่นี่ทำสำเร็จเช่นที่ท่านปู่ของเขาทำได้ ตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์ก็คงจะไม่ใช่ของตระกูลโกคุเดระ เพราะฉะนั้นไม่แปลกใจเลย หากดวงตาของฮิเดอากิเวลามองเจ้าของเรือนผมสีเงิน มันจะน่าขยะแขยงยิ่งกว่าใคร

“ท่านหมายความว่าเช่นไร” คำถามเรียบเฉยส่งไป แต่ชายอาวุโสกลับยังมีรอยยิ้มพึงใจ ไม่สิ...สาแก่ใจ

ใบหน้าผอมตอบเชิดขึ้น หลุบสายตาลงมองอย่างเหนือกว่า “ก็ไม่ได้หมายถึงอะไรเป็นพิเศษ แค่ข้าจะได้รู้ว่า การที่งานเลี้ยงคราวนี้ มีคนจากแผ่นดินอื่นมาร่วมงานเลี้ยงด้วย เป็นเพราะการจัดการที่ตรองมาอย่างดีแล้วของตระกูลโกคุเดระ ไม่ใช่ความรู้สึกชั่ววูบ”

พลันบรรยากาศที่พอจะผ่อนคลายอยู่บ้างดับลงทันควันราวกับเปลวเทียนต้องลม แทนที่ด้วยความเงียบกริบและความกดดันอย่างแสนสาหัส เมื่อสิ้นประโยคที่นับเป็นข้อสงสัยในใจทุกคนแต่ไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดออกมา ราวกับว่ามันเป็นคำต้องห้าม ดวงตาทุกคู่หันไปจับจ้องคนพูดไม่วาง เมื่อเจ้าตัวเหมือนจะลืมไปแล้ว ว่านั่งอยู่ข้างๆใคร

ร่างบอบบางกลืนน้ำลาย ลมหายใจสะดุด มือบนหน้าตักเริ่มสั่นสะท้าน

เพราะคนในท้องพระโรงนี้ไม่มีใครรู้...ไม่มีใครเคยสัมผัสทั้งนั้น ความน่ากลัวของผู้สืบทอดชิงุเระ คินโทคิแห่งดินแดนประจิม แต่กับเขา...กับท่านปู่ กับคนตระกูลโกคุเดระ ทุกคนเห็นฝันร้ายนั้นมาจะๆตา แล้วก็ยังสลักลึกในความทรงจำ

นับแต่วินาทีนี้เขาไม่สนใจ เจ้านายน้อยแห่งโกคุเดระจ้องไปที่ร่างสูงเรือนผมสีดำที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายทันที หัวใจสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว ถ้าเขายังคงมีความสามารถพิเศษในการอ่านใจคน เขาขอภาวนาให้ยามาโมโตะไม่โกรธเคืองประโยคเมื่อสักครู่นั่น....ขอแค่นัยน์ตาสีเปลือกไม้คู่นั้นยังคงนิ่งเย็นชาเหมือนเดิม อย่าได้มีแววของจิตสังหารฉายขึ้นมา....ขอแค่นั้น

โดยคนขอที่ไม่รู้เลย ว่าท่าทีของตนถูกจับจ้องโดยนัยน์ตาสีดำสนิทของคนข้างกาย

หัวคิ้วเข้มย่นเข้าหากันเล็กน้อยจนไม่อาจสังเกต เมื่อเขาตอบคำถามในใจตนได้หนึ่งข้อ

ว่า ใครเป็นเจ้าของความรู้สึกห่วงหาอาลัยของฮายาโตะ...เจ้าของแววตาอาทรที่ฉายออกมาเมื่อวานตอนกลางวัน

“ท่านลุงฮิเดะ” เสียงใสกังวานดังมาจากว่าที่องค์จักรพรรดิ ใบหน้าเล็กมีรอยโกรธอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจหมิ่นคนที่ตนเลือกมา ไปกว่านั้น แค่เขาสังเกตสีหน้าของเจ้านายน้อยโกคุเดระ มันยิ่งต้องจบบทสนทนานี้โดยไว

“อะไร? เจ้าจะสั่งข้าจำตรวนรึ สึนะโยชิ ข้าว่าข้าไม่ได้กระทำการใดไม่เหมาะไม่ควรนะ” ริมฝีปากชายสูงวัยเหยียดยิ้ม นิสัยของตาแก่นี่ โกคุเดระรู้ดีว่ามันไม่ได้แค่เป็นคนคะนองปาก แต่ทำอะไรมีจุดประสงค์เสมอ มันถึงยังไม่หยุดง่ายๆ จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย

“ตอบคำถามข้าซิ โกคุเดระ ฮายาโตะ ว่ายามาโมโตะ ทาเคชิ สินเชลยที่ติดมาพร้อมกับแผ่นดินประจิมนี้ มีอะไรดี เจ้าถึงไม่ฆ่าเขาทิ้ง!

“ฮิเดอากิ!!

ใบหน้าสวยนิ่งไปไร้ความรู้สึก ทั้งๆที่ในหัวขาวโพลน เสียงแข็งกร้าวที่นานๆครั้งจะได้ยินจากท่านจักรพรรดิดังลั่นคับห้อง แต่เขากลับไม่ได้ยินเลย และไม่รับรู้ถึงเสียงฮือฮาของราชนิกูลคนอื่น แม้แต่ทหารเฝ้าหน้าประตู โกคุเดระก็ไม่รู้สึกว่าโดนจ้องมอง แม้ทุกสายตาคาดคั้นคำตอบอย่างเอาเป็นเอาตาย

แต่ที่เขานิ่งอึ้ง ไม่ใช่คำว่า ฆ่าคำพูดโหดร้ายที่มันหลุดจากปากได้ง่ายๆ

แต่เป็นเพราะทั้งประโยคบ่งให้รู้ว่า เรื่องราวเมื่อเจ็ดปีก่อนระหว่างยามาโมโตะและโกคุเดระไม่ใช่ความลับอีกต่อไป.........

โศกนาฏกรรมขนาดย่อมในรั้วของคฤหาสน์ริมน้ำที่ไม่น่าจะมีใครรับรู้นอกจากองค์จักรพรรดิและบรรดาคณะบริหารชุดเก่า ใช่...แม้แต่เคียวยะ มุคุโร่ หรือท่านซาวาดะ ไม่มีใครรู้ทั้งนั้น ทุกอย่างที่ท่านปู่ทำเพื่อปิดเรื่องราว ทุกคนคิดว่ายามาโมโตะเป็นเพียงผู้บริสุทธิ์ที่หลงเหลือจากประจิม ที่มารับมรดกคืนตามชอบธรรมแห่งตระกูลอาซาริ อาศัยอยู่บนแผ่นดินนี้ไม่ต่างอะไรกับชาวบ้านผู้พ่ายสงครามที่ทางฝั่งบูรพายังให้ที่ดินทำกินเหมือนเดิม เพียงแต่มีฝีมือดาบที่เป็นเลิศชนิดอาจต่อกรกับตระกูลฮิบาริได้อย่างสูสี ยุพราชซาวาดะจึงรับเข้าวังทันทีที่ท่านสมุหกลาโหมเกษียณอายุ

แล้วคนตรงหน้านี้...รู้ได้อย่างไร.....

“เป็นเช่นนั้นหรอกรึ นี่แสดงว่ายามาโมโตะ ทาเคชิคนนี้ไม่ได้มีเจตนาบริสุทธิ์กับฝั่งบูรพาตั้งแต่ทีแรก” เสียงละล่ำละลักหวาดหวั่นของเหล่าเจ้านายที่ขึ้นตรงกับฮิเดอากิ ทำให้บรรดาผู้บริหารชุดเก่าขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม...นี่ยังไม่พอกันอีกรึ

“จะเจตนาบริสุทธิ์ได้อย่างไร ผู้แพ้สงครามนี่...เรื่องคณะบริหารชุดใหม่ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเขาอยู่ด้วย!

“เลือดแค้นเข้มข้นคงไหลอยู่ทั่วตัว”

“ลูกเสือลูกตะเข้!

“หยุดได้แล้ว” ดวงตาสีโกเมนที่เยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง แต่ยามนี้มันเหมือนน้ำมัน ยิ่งเป็นผู้พูด ดูท่าจะยิ่งโหมให้สถานการณ์แย่หนัก

“สักวันมันต้องยึดอำนาจของแผ่นดิน ทำเหมือนที่เราทำกับมัน!

“สันติสุขที่ผ่านมาไม่ช่วยอะไร ความพยายามของพวกเราไร้ผล เพียงเพราะพวกเจ้าไว้ชีวิตเชลยสงคราม”

“นี่หรือผลงานของราชสกุลโกคุเดระ”

“ไม่นานก็จะมีสงครามอย่างเช่นสามสิบเจ็ดปีก่อน!!

ฉึก!!!

ความเงียบกลับคืนสู่ท้องพระโรงอีกครั้ง แต่คราวนี้นอกจากเงียบแล้วมันยังไม่มีใครกล้าขยับตัวแม้กระทั่งจะกระพริบตาหรือสูดลมหายใจเมื่อมีวัตถุแหลมเรียวบางอย่างพุ่งตรงอย่างแรงจากทางฝั่งขวาแล้วปักแน่นกับผนังเบื้องหลังราชนิกูลทั้งหลายที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้าย มันทอประกายระยับเมื่อต้องกับโคมไฟในกระดาษสา หัวใจของผู้ตื่นตูมยิ่งเต้นถี่กว่าเก่า เมื่อรู้ว่ามันมาจากปลายนิ้วเรียวของร่างบอบบางในกิโมโนสีขาวนวล เส้นผมสีเงินที่มวยไว้อย่างเรียบร้อยค่อยๆทิ้งตัวร่วงลงข้างกรอบหน้า

ไม่ใช่เท่านั้น......

ดวงตาคมกริบสีดำมืดมนของคนข้างๆพร้อมกับนิ้วโป้งที่นิ่งค้างอยู่ตรงรอยต่อด้ามกับฝักขยับเลื่อนจนเห็นส่วนของคมดาบเป็นมันปลาบ ก็เป็นการเตือนว่าถ้าหากยังไม่หยุด สิ่งที่จะไปปักแทนปิ่นเงินแท้นั้นอาจจะเป็นดาบ แล้วแทนที่จะเป็นผนัง...อาจเป็นบนลำตัวของใครสักคน มั่นใจว่าหากสถานการณ์นั้นเกิดขึ้น...พวกเขาไม่มีเวลาแม้จะร้องเรียกองครักษ์มาปกป้องตน

เพราะแม้ว่าจะเป็นเพียงปิ่นที่ถูกขว้างโดยเจ้านายน้อยโกคุเดระ มันยังเร็วเสียจนพวกเขาไม่ได้ยินเสียงเมื่อโลหะนั้นแหวกอากาศมา....รู้ตัวอีกทีมันก็ปักนิ่งอยู่ข้างหลัง สัมผัสแผ่วเบาที่ข้างลำคอ บ่งบอกว่ามันเฉียดใกล้ผิวพวกเขาแค่ไหน

แล้วถ้ามันเป็นดาบ......ดาบของฮิบาริ เคียวยะ....

“ข้าไม่ได้อยากจะทำเช่นนี้ แต่นั่นเป็นการเตือน ว่าอย่างน้อยๆพวกท่านไม่ควรนำเรื่องแบบนี้มาโต้เถียงกันในงานฉลองขององค์ยุพราช” นัยน์ตาสีมรกตโชนแสงโรจน์ เสียงใสกังวานว่าอย่างช้าๆทว่าหนักแน่นชัดเจน “และข้า...ผู้เป็นว่าที่ที่ปรึกษาส่วนพระองค์จะไม่ให้อภัยทุกคนที่ทำให้ท่านซาวาดะไม่สบายพระทัย....ตระกูลโกคุเดระเรามีวิธีการจัดการดังที่ข้าได้บอกไปแล้ว...เพียงแต่จะรุนแรงหรือนุ่มนวลอยู่ที่บุคคลพวกนั้นกระทำตัวเอง....หวังว่าจะเข้าใจ”

ดวงใจของผู้ที่ถูกคาดโทษร่วงวูบ แม้แต่สายเลือดเชื้อพระวงศ์ผู้อาวุโสอย่างฮิเดอากิยังต้องลอบกลืนน้ำลาย พังทลายสิ้นทุกทัศนคติที่มองว่าตระกูลโกคุเดระเป็นราชสกุลชั้นสูงที่เชี่ยวชาญด้านตำราพิชัย มากกว่าจะขู่ใครด้วยอาวุธ แต่พวกเขาคงลืมไป...ลืมไปว่าเมื่อแผ่นดินสงบสุขก่อนสงครามกลางเมืองนั้น ตระกูลโกคุเดระสนิทสนมกับตระกูลของสมุหกลาโหมทั้งฝั่งประจิมและบูรพา แถมเมื่อสามสิบเจ็ดปีก่อน ผู้ที่ยืนหยัดสู้กับอาซาริ อุเก็ตสึเป็นคนสุดท้าย ก็คือขุนนางจี

“ถ้าหากยังไม่รู้ถึงกลิ่นอายของสงคราม...อย่าได้พูดมันออกมา พวกเจ้าปรารถนามันมากนักรึ?” เสียงทุ้มต่ำจากผู้ตรวจการสูงสุด ริมฝีปากที่น้อยครั้งจะขยับ กระตุกน้อยๆเป็นรอยยิ้มแสดงชัดว่าสมเพช

            “ควันไฟลอยคว้างกลางอากาศ ศพเรือนหมื่นนอนก่ายทับกันไม่รู้ใครเป็นใคร เลือดหลั่งทาทั่วแผ่นดิน เสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงม....เรื่องทำนองนั้นข้าไม่เกี่ยง...แต่พวกเจ้ารับกันได้?....รับได้ใช่ไหม หากนอนๆไปแล้วเผอิญหัวหลุดจากบ่า”

ไม่บ่งชัดว่าเป็นคำขู่หรือคำถามชวนผวา แต่เหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่ออกปากโต้เถียงรับรู้ถึงความกลัวที่เข้าจับจิตเป็นครั้งแรก เหล่าท่านหญิงที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่แทบจะร้องไห้ออกมาเพียงเพราะดวงตาสีดำทะมึนคู่นั้นมองผ่านเพียงชั่วครู่ ผู้ตรวจการสูงสุดมองภาพนั้นด้วยความไม่สบอารมณ์มากกว่าเดิม กระซิบบ่นในใจว่าพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ปากกล้าเพียงแค่รู้ว่านี่คือถิ่นตน ซ้ำยังโง่เง่า...ไม่รู้ว่าถูกช่วยชีวิตไว้แล้วกี่ครั้ง.....

ฮิบาริ เคียวยะ ลอบมองสัตว์ร้ายบาดเจ็บที่นั่งอยู่ตรงข้ามตน อาจเป็นเพราะเขาคือสัตว์ร้ายประเภทเดียวกันด้วยล่ะมั้ง ถึงรับรู้ได้.....รับรู้ถึงจิตสังหารที่มันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแผ่ขยายรอบตัวยามาโมโตะ ทาเคชิ ไม่แน่ว่าถ้าฮายาโตะไม่เตือนแรงๆแบบนั้น.....หรือถ้าหากช้าไปกว่านี้เพียงแค่หนึ่งนาที...

ฟูจิวาระ ฮิเดอากิ อาจจะหัวขาดเป็นรายแรก....ตามติดด้วยเจ้าของคำพูดทุกประโยคที่แสลงหู สายตาของหมอนั่นไล่ไปทีละคนๆ ราวกับนักฆ่าจดจำใบหน้าเหยื่อ และคนที่ตายอย่างทรมานที่สุดคงจะเป็นเจ้าของคำพูดที่ว่า

“นี่หรือผลงานของราชสกุลโกคุเดระ”

ไม่ต้องอาศัยหลักการคาดเดาอะไรทั้งสิ้น...หากยามาโมโตะ ทาเคชิเหมือนเขาจริงๆ ย่อมคิดอย่างนั้น...

“คมเขี้ยวของเสือ ถูกจดจำว่าคมและทรงพลังขั้นสังหารเหยื่อได้ภายในการกัดครั้งเดียว...” ประมุขแห่งโกคุเดระเปรยเสียงเรียบ แต่ฟังรู้ว่าหมายถึงอะไร “แต่ก็มีคนเขลาบางคนที่ไม่เชื่อ ปรารถนาจะลิ้มรสชาตินั้นด้วยตนเอง ราวกับว่าถ้าไม่โดนกับตัว ก็คงจะไม่รู้สึก”

“หวังว่าคนเขลาพวกนั้น คงจะไม่ใช่พวกท่านนะขอรับ” คำต่อเพิ่มเติมและรอยยิ้มเหยียดของเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินยาว ยิ่งเพิ่มรอยคับแค้นในใจของผู้ฟัง...แต่จะเอาอะไรไปโต้เถียง เมื่อดวงตาทุกคู่ของคณะบริหารจ้องพวกเขาราวกับข้าศึก ความจริงมันไม่สมควรจะเป็นอย่างนี้ พวกเขาเป็นราชนิกูล ญาติวงศ์ของผู้ที่อยู่สูงที่สุดบนแผ่นดินอาทิตย์อุทัย แต่แม้คำราชาศัพท์สักคำ....ยังไม่ได้ยินจากปากพวกนั้นเลย...

เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่...

“จากนี้ไปขอให้เหล่าราชนิกูลไปพักผ่อนที่ตำหนักของตนเองได้ ส่วนคณะบริหารชุดเก่าข้าขอให้อยู่หารือกับข้าก่อน” จักรพรรดิองค์ปัจจุบันดำรัสสั่ง ดวงตาคู่อ่อนโยนเป็นนิจหันไปมองผู้สืบทอดของตนข้างกาย

“ส่วนสึนะโยชิ เจ้าพาว่าที่องคมนตรีไปที่ตำหนักของเจ้า...ทำความรู้จักกันให้เรียบร้อย พวกเจ้าคงต้องทำงานด้วยกันอีกนาน....”










“ความแม่นลดลงไปนะขอรับ” มุคุโร่กระเซ้าขำๆพลางเหลือบตามองคนที่กล้าทดสอบความแม่นตัวเองในท้องพระโรง ความจริงจังจนน่าขนลุกของเจ้านายน้อยโกคุเดระหายไปแล้ว เหลือเพียงความฟึดฟัดบนใบหน้าเช่นเคยเมื่อยามอยู่กับเพื่อนสนิท ใบหน้าที่ยามาโมโตะลอบสังเกตจากการเดินตามหลังแล้วอดคิดไม่ได้ ว่านิสัยบางเรื่องคนเราก็แก้ไม่หายจริงๆ

ว่าที่ที่ปรึกษาโกคุเดระ ก็ยังเหมือนนายน้อยโกคุเดระ ยังยอมหักไม่ยอมงอเมื่อเป็นเรื่องของตระกูลและแผ่นดิน

“ขอบใจข้าเถอะที่การปาอาวุธของข้ามันแม่นไม่ได้ครึ่งของธนู อย่าล้อเล่นกับความอดทนข้าให้มันมากนัก” คนผมเงินยังเสียงเขียว นี่ถ้าองค์จักรพรรดิไม่ตรัสห้ามทัพแล้วเจ้าพวกนั้นยังพล่ามเรื่องไม่เข้าหูเขาไปอีกเรื่อยๆ เขาจะขอธนูจากคนติดตามมายิงมันทิ้งกลางงานจริงๆ ต่อให้ต้องโดนอาญาอะไรก็ไม่สนใจ ใช่ ตอนนั้น เจ้านายน้อยโกคุเดระผู้เคยเยือกเย็นคิดถึงขนาดนั้น.....

แล้วสาเหตุ....ตัวเขาเองก็ยังรู้อยู่แก่ใจ มันไม่ได้มีแค่ความโกรธ มันมากกว่านั้น...มากพอที่จะทำให้เขาคว้าปิ่นที่มวยผมตนแล้วออกแรงปาออกไปโดยไม่ผ่านการไตร่ตรอง

ความกลัว.....กลัวว่าชนวนแห่งสงครามที่มันยังคุกรุ่นอยู่จะลุกโชติช่วง

“ทำไมเจ้าถึงไม่พูดอะไรออกไปบ้าง”

น้ำเสียงราบเรียบฟังแปลกแปร่งทำให้คนทั้งสี่หยุดชะงักแล้วหันกลับมามองบุคคลที่ยืนอยู่ตรงกลาง แต่คนพูดกลับไม่สนใจ ร่างบางหันหลังขวับเผชิญหน้ากับชายหนุ่มร่างสูง แม้รู้ว่าใจจะยังไม่พร้อม แม้รู้ว่าบาดแผลจะยังไม่หายสนิท แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่แม้มันยังไม่แสดงความรู้สึกใด แต่ก็มีรอยตกใจนิดๆที่อยู่ดีๆเขาก็โพล่งถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

“เจ้ากำลังจะเป็นอัครสมุหกลาโหม...สายเลือดของเจ้ามีศักดินาสูงเทียบเท่าข้า เพราะฉะนั้นในที่ประชุมเจ้ามีปากมีเสียง พูดสิ! เจ้าชี้แจงได้ว่าเจ้าไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น!! พูดไปว่าเจ้ายินดีที่จะรับใช้แผ่นดินนี้อย่างเต็มกำลังความสามารถ! ไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อเป็นกบฏ!!

น้ำเสียงเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆตามความกลัวที่มันพุ่งทะลุเพดานอารมณ์ มันปะเดปะดังจนถ้าหากไม่ไหวเขาอาจจะคว้าไหล่คนตรงหน้าแล้วจับเขย่า ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์ในท้องพระโรง หัวใจยิ่งเต้นถี่ โกคุเดระรู้ดีว่าที่พวกราชนิกูลเงียบเสียงได้นอกจากการกระทำอุกอาจของเขา ยังมาจากท่าทางพร้อมฆ่าคนทุกเมื่อของฮิบาริ เคียวยะ แต่ที่ผู้ตรวจการสูงสุดเตรียมถอดฝักดาบ มันไม่ใช่มีเป้าหมายแค่นั้น

เคียวยะแตะดาบตั้งนานแล้ว...ตั้งแต่เมื่อปู่ของมุคุโร่เอ่ยถึงเครื่องแต่งกายของปู่เขาด้วยซ้ำ...หมอนั่นรอบคอบและอ่านเหตุการณ์ล่วงหน้าเสมอว่าถ้าหากความอดทนของยามาโมโตะต่ำ แล้วเกิดอยากทำตัวเป็นตัวอันตรายของราชวงศ์ขึ้นมา...คนตรงหน้าไม่มีโอกาสมายืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้แน่!

ดวงตาสีมรกตงดงามหลุบต่ำเพราะมันสั่นระริกจนไม่อาจให้ใครเห็น น้ำเสียงอ่อนลงจนแทบกลายเป็นกระซิบ “ใช่....ขอแค่เจ้าพูด....”

นัยน์ตาคู่คมเบิกกว้างมองคนร่างบางเม้มริมฝีปากสีเรื่อกับกำแน่นจนขึ้นข้อขาว เหมือนเดิม...เหมือนตอนนั้นไม่มีผิด ตอนที่นายน้อยโกคุเดระโกรธและเจ็บใจ มันชัดเจนจนเขาเห็นเจ้าเด็กตัวเล็กๆนั่นซ้อนทับเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่มันเป็นอดีตที่ไม่น่าจดจำเท่าใดนัก และเป็นเรื่องโชคร้ายที่สุดในชีวิต แต่พอเห็นอย่างนี้เขากลับอยากยิ้มออกมา

“พูดไป...ไม่แน่ว่าสถานการณ์จะดีขึ้น” เสียงทุ้มที่ไม่ได้ยินมาเจ็ดปีเอ่ยเป็นประโยคแรกกับเขา มุมปากยกเป็นรอยยิ้มนิดๆหากแต่นัยน์ตาของเขายังคงว่างเปล่าเหมือนเดิม “ไม่ต้องห่วงว่าข้าจะก่อจลาจลหรอกนะที่ปรึกษาส่วนพระองค์....ข้ายังไม่ได้อยากตายขนาดนั้น”

พลันเหมือนตาฝาดไป เจ้านายน้อยโกคุเดระเหมือนเห็นนัยน์ตาเย็นชาไร้ความรู้สึกคู่นั้นวูบไหวขึ้นมาชั่ววินาทีหนึ่ง

 “......เพราะชีวิตที่ได้มามันแสนจะสูงค่า”....ชีวิตที่ข้าได้จากเจ้า

“ก็ดี” เสียงตอบรับห้วนๆจากอีกคนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ นัยน์ตามืดมนจ้องนิ่งไปที่เจ้าสัตว์ร้ายที่มันไม่เจียมว่ากำลังเจ็บไม่หายแต่ก็หาเรื่อง “พยายามอยู่ไปนานๆ....นานจนกว่าจะมีคนที่คู่ควรที่จะฆ่าเจ้าได้”

หางตาปรายมองผู้ตรวจการสูงสุดแห่งตระกูลฮิบาริ พลันเรื่องสนุกบางอย่างก็วาบขึ้นมาในหัว มันทั้งเป็นเรื่องน่าขำและน่าหงุดหงิดในเวลาเดียวกันแค่เห็นสายตาและท่าทางของผู้ชายคนนี้เขาก็พอจะนิยามได้คร่าวๆ....หมาหวงก้าง

“เอ่อ....ข้าคงไม่ได้ขัดอะไรใช่มั้ย” เสียงใสๆของคนที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบที่มันมีบรรยากาศแปลกๆระหว่างว่าที่องคมนตรีของเขาทั้งสามคน...มันเหมือนกับว่าจะไม่มีช่องว่างให้แทรกผ่านอย่างไรไม่รู้

“คุยกันมาขนาดนี้ ข้าว่าคงไม่ต้องแนะนำแล้ว แต่...ยามาโมโตะ ทาเคชิ คนนี้แหล่ะโกคุเดระคุง ที่ข้าอยากจะให้เจ้าพบเมื่อวาน”

ดวงหน้าของเจ้านายน้อยโกคุเดระนิ่งอึ้งไป อยากถามนักว่าโชคชะตาอยากจะเล่นตลกอะไร แล้วมันเป็นตลกร้ายที่ไม่มีใครอยากหัวเราะออก แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าร่างบางนี้เป็นความจริง ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์ข้างๆที่ถูกแบ่งอาณาเขตด้วยประตูไม้แล้วลงกลอนอย่างแน่นหนา แต่เขาก็ยังเฝ้ามองมานับปี....ผู้ที่เป็นเจ้าของรอยบาดแผลบนอก ผู้ที่เป็นเจ้าของความแค้นตระกูลโกคุเดระ ทำทุกอย่างเพื่อทวงศักดิ์ศรีและสมบัติ....ทำทุกอย่างแม้ต้องก้าวเข้ามาสู่กรงเล็บของตระกูลโกคุเดระด้วยตัวคนเดียว....ทำทุกอย่างแม้ต้องฆ่าท่านปู่ของเขา......

ทำทุกอย่างเพื่อเกลียดเขา......

แล้วสุดท้ายกลับเอ่ยคำตรงกันข้ามออกมาง่ายๆ....

แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น ดวงตาสีมรกตงดงามเบิกค้างเมื่อชายหนุ่มร่างสูงสง่าตรงหน้าโค้งคำนับลงให้เขาอย่างเชื่องช้า ศีรษะนั้นลดลงจนต่ำกว่าระดับสายตา ขาสองข้างแนบชิด และมือข้างซ้ายยังคงมีดาบประจำตระกูลถือไว้ไม่ห่าง สง่างามและแข็งแกร่งภูมิฐานจนไม่อาจละสายตา ดังเช่นทหารองครักษ์โค้งให้กับเจ้าหญิงหรือเจ้าชายในวันรับตำแหน่ง...แต่กับเขาที่เป็นที่ปรึกษา และอีกฝ่ายที่จะเป็นผู้คุมกองทัพทหารในแผ่นดินนี้...ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องทำ

แล้วคนทำรู้บ้างไหม...ว่ามันหมายความว่าอย่างไร

ข้าขอสาบาน...ชีวิตของข้าเป็นของๆเจ้า...

“เจ้า....”

“ขอฝากด้วย...ท่านที่ปรึกษาส่วนพระองค์”

เสียงทุ้มต่ำนั้นราบเรียบและจริงจังจนแทบเปลี่ยนให้ระเบียงหน้าตำหนักของเจ้ายุพราชเป็นท้องพระโรงกลางยามพิธี ถ้อยคำนั้นมันกลายเป็นว่าทำให้หัวใจของเขาเต้นถี่ หากอยากฝากตัว ใช้พูดเมื่อตอนพบกันเป็นครั้งแรก แต่ระหว่างเขากับยามาโมโตะไม่ใช่ เพราะฉะนั้นคำว่า ฝากที่พูดเมื่อครู่มันคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากความหมายที่เจ้านายน้อยโกคุเดระตั้งคำถามว่าคนตรงหน้ารู้บ้างหรือไม่

 ชีวิต




.


.


.


.


.


TBC….



มิยะขอเม้าท์


ฟะ...ฟิคเรื่องนี้...เหมาสาม!


แต่มัน...ทำไมอีหรอบนี้ไม่เหมือนฟิคของเจ้าของวันเกิดอีกแล้วแว้!!! TT[]TT แบบ...ขอโทษค่ะ ขอโทษจากหัวใจเลย จะทุบ จะตี จะซ้อม เอาไปให้นกจิก? เก๊ายอมรับทุกอย่าง งืออออออ แต่นี่เหมือนเป็นปีแรกที่เก๊ามามอบของขวัญให้เลยแฮะ...ปีอื่นขี้เกียจจัด เพราะมันติดกับวันเกิดของลูกเขยเบอร์หนึ่งนี่แหล่ะ

แต่ปีนี้ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เก๊าขอส่งมอบ สถาปนามันเป็นฟิคให้คู่ 3P ในดวงใจ



สุขสันต์วันเกิดนะคะ คุณฮิบาริ >..<

ทำท่านอบน้อมสุดติ่งกระดิ่งแมว คลานเข่าไปมอบของขวัญ เรื่องเดิมที่คุณฮิได้เป็นพระเอก? ถึงจะจบไปแล้ว แต่เก๊ายังคิดถึงคุณฮิเสมอ ขอให้เมืองนามิโมริสงบสุขทุกเมื่อเชื่อวัน ขอให้โรงเรียนนามิโมริมีแต่ความสันติ....ต่อให้มีเสียงระเบิดบ้าง? มีเด็กหัวเงินๆ ตาเขียวๆ ดูน่ารักๆเหมือนตุ๊กตาบลายธ์ไปยืนสูบบุหรี่อยู่ดาดฟ้าบ้าง มีกลุ่มคนประหลาดๆเล่นเป็นมาเฟียในโรงเรียน ทำให้ตึกพังบ้าง ขอคุณฮิอย่าถือสา ปล่อยๆไปเต๊อะ ฮะๆๆๆ ขอให้หล่อวันหล่อคืน ทำอะไรสมหวังทุกอย่าง เก่งที่สุดในใต้หล้าเลยค่ะ

ขอขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียนบล็อก เม้นต์ได้เป็นกำลังใจจ้ะ


Miya



4 ความคิดเห็น:

  1. คำตอบ
    1. มิยะจะพยายามกระเตื้องเรื่องนี้ให้ไวว่องๆ โครงการทลายไหยังคงตั้งมั่นอยู่// เอ็งตั้งมั่นมากี่ปีแล้ววะคะ! ขอบคุณที่ยังติดตามนะคะ เดี๋ยวมิยะคงต้องปั่นฟ้าถล่มให้จบ หรือไม่งั้นคงจะต้องปั่นพร้อมกับทางฮิมาวาริ เพราะตอนนี้ติดภาษาฟ้าถล่มอยู่พอสมควร อาจจะทำให้ภาษาเรื่องนี้เพี้ยนได้ เง้อออออ เรื่องนี้ไม่ทิ้งๆ ขอบคุณที่รอค่ะ

      ลบ
  2. มีต่อมั้ยเอ่ยยยยย อ่านฟ้าถล่ม แล้วอยากให้ต่ออันนี้ด้วย เป็นกำลังใจให้นะคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มีจ้ามี >w< ขอตอนนี้มิยะเคลียร์ฟ้าถล่มแป๊บๆ ฮ่าๆ เพราะภาษามันต่างกันพอสมควร คาร์แร็กเตอร์ด้วย เพราะงั้นถ้าจะมีโอกาสกระเตื้องเรื่องนี้แบบเป็นมั่นเป็นเหมาะจริงๆคงจะวันเกิดหนูก๊กเดือนกันยาค่ะ ขอโทษจริงๆที่ต้องช้า แต่มิยะดีใจมากๆที่ให้โอกาสมาอ่าน จะรีบเคี่ยวพล็อตแล้วเขียนออกมาค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ

      ลบ