Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 22 กลับบ้าน...เมื่อสายลมพัดหวน
“ยามาโมโตะ...” นภาเอื้อมมือไปแตะไหล่ของพิรุณเบาๆเป็นเชิงว่าอย่างเพิ่งใจร้อน
การถอนโรคมันน่ากลัวมาก ถึงขั้นอาจจะเสียชีวิต และไม่แน่ว่าถ้าหากรักษาแล้ว
วายุจะกลับมาจำทุกอย่างได้เหมือนปกติร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกอย่างมีแต่เสี่ยงกับเสี่ยง
“ดร.ชามาล ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้หรอครับ”
“จะไปมียังไง
ในเมื่อในแต่ละโรคมันมีวิธีรักษาตายตัวนี่หว่า!
ซึ่งมีวิธีเดียวด้วย” คำตอบที่โต้กลับมาทำให้นภาแห่งวองโกเล่ถอนหายใจ
แต่ละคนสีหน้าไม่สู้ดี แต่ในที่สุดผู้พิทักษ์เรือนผมสีน้ำเงินไพลินก็เอ่ยปาก
“ปล่อยเขาให้ทำเถอะครับวองโกเล่
ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดจากเขาเป็นต้นเหตุ ลองคิดสิครับถ้ายามาโมโตะคุงไม่ไปทำอะไรเกินเลย
โกคุเดระคุงก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้” น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
ไร้ไมตรีสมกับเป็นคนที่ผ่านโลกอันโหดร้ายมามากทั้งหกภพ
ซึ่งไม่อยากยอมรับก็จริงอยู่
แต่ประโยคนี้ผู้พิทักษ์เมฆาที่ยืนอยู่เงียบๆไม่ขอคัดค้านแต่อย่างใด...
“กลับไปฉันเรียกรถโรงพยาบาลให้ได้”
........รวมถึงนักฆ่าอันดับหนึ่งก็ด้วย
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเราเชื่อใจในตัวนาย
ตอนนี้ก็เหมือนกันยามาโมโตะ อย่าดูถูกฝีมือแพทย์ของวองโกเล่ล่ะ” พิรุณแห่งวองโกเล่หันไปมองรอบๆกายเขาที่ล้อมรอบไปด้วยเพื่อนร่วมแฟมิลี่
ก่อนที่สุดท้ายจะไปสบกับดวงตาสีเขียวที่มันรื้นไปด้วยน้ำตาของอัสนีซึ่งมองได้ไม่ถึงสามวินาทีก็เบือนหลบ
พิรุณหลุบสายตาลงต่ำยอมรับกับตัวเองอย่างไม่กระดากอายว่าเขาก็ไม่กล้าจะสบกับตาของรุ่นน้องตรงๆ...เขากลายเป็นพี่ชายใจร้ายอย่างไม่สมควรได้รับการนับถืออีกต่อไป
ฉันขอโทษ...
“ถ้าฉันทำให้โกคุเดระกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้...นายจะหายโกรธฉันมั้ย
แรมโบ้” สิ้นเสียงพิรุณ เด็กหนุ่มชำเลืองตามองรุ่นพี่
พลันก้อนสะอื้นก็พาลจะมาจุกที่ลำคอ น้ำใสๆก็เค้นจะไหลออกมาให้ได้อีก
ไม่ใช่เพราะยังโกรธ แต่เขากลัวต่างหาก กลัวเหลือเกิน ว่าฟ้าจะใจร้ายพรากชีวิตของรุ่นพี่คนนี้ไปเพราะเกิดพลาดขึ้นมา
“เอาไว้ให้ตัวเองรอดชีวิตแล้วมาขอโทษผมดีๆเถอะครับ”
พิรุณยิ้มหวานอย่างยินดี
ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับวายุและหมอแห่งโลกมืดอีกครั้งเพื่อให้รู้ว่าเขาพร้อมแล้ว เหล่าผู้พิทักษ์คนอื่นๆได้ถอยไปข้างหลังเพื่อเตรียมรองรับหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน
รวมทั้งโทรเตรียมเฮลิคอปเตอร์เพื่อรับคนเจ็บ สั่งไปทางโรงพยาบาลประจำแฟมิลี่เพื่อเตรียมพร้อม
“และก็ฉันมีเรื่องจะบอกอีกอย่างหนึ่ง
การกรีดเลือด ฉันไม่ได้เป็นผู้กรีด ต้องให้ผู้ป่วยเป็นผู้กรีด” ไทรเด้นท์
ชามาลเอ่ยเงื่อนไขข้อสุดท้ายแล้วส่งมีดสองคมเล่มเล็กแตะทว่าแหลมคมมากให้ร่างโปร่งบางถือ
ปลายของมันเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น่าจะเกินหัวปากกาแบบเข็ม
ทันใดที่มือบางสัมผัสกับด้ามมีด
ความรู้สึกแปลกๆก็วูบเข้ามาในจิตใจ
ภาพบางอย่างดับๆติดๆในหัวจนร่างโปร่งบางต้องสะบัดหัวเบาๆสองสามครั้ง
จะว่าไปมันก็ตั้งแต่ได้เห็นหน้าผู้บุกรุกนาม วองโกเล่แฟมิลี่ เขาสงสัย สงสัยหลายอย่าง
ทำไมพวกนี้...ต้องทำเหมือนว่ารู้จักเขาดี
ถึงขั้นสนิทสนม
ทำไมต้องทำเหมือนว่าเขาเป็นคนสำคัญของพวกเขา
ถึงขั้นมาชิงตัวคืน...เขาเคยรู้จักกับพวกนี้จริงๆหรือ?
และสุดท้าย...
ทำไม...คนตัวสูงผมสีดำที่อยู่ข้างหน้าเขา...ต้องมาเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเขาด้วย
ทำไมต้องเป็นคนนี้ล่ะ
“นาย...เป็นใครกันแน่”เสียงที่เอื้อนเอ่ยมาจากกลีบปากบาง
แต่ทว่าความรู้สึกมันคือคำถามที่ออกมาจากจิตใจ
พิรุณฝืนยิ้มรับกับคำถามซึ่งมันเป็นการฝืนที่ยากลำบากเหลือเกิน
เขาเพิ่งจะรู้ว่าการกลืนกินความเจ็บปวดไม่ให้อีกคนได้รู้สึกนั้นมันยาก...ยากมาก...เพิ่งจะรู้เมื่อตอนนี้เอง
ทั้งที่ความจริง...ตลอดมาไม่รู้เลยว่าร่างโปร่งบางเคยผ่านความเจ็บปวดนั้นมามากมายเพียงใด
“เอาไว้เดี๋ยวนายก็รู้....นายต้องได้รู้จักฉันแน่ๆ”
ใช่...นายต้องรู้จักฉัน
ฉันเคยบังคับนายเอาไว้แบบนั้น แต่ตอนนี้ฉันได้พูดประโยคนี้เพื่อปลอบใจตัวเองก็แค่นั้น
ฉันขอเพียงนายจำพวกเพื่อนๆได้
ต่อให้ฉันเป็นคนเดียวที่นายจำไม่ได้...ฉันก็จะไม่เสียดาย
เพราะสิ่งที่ฉันทำเอาไว้กับนายมันทำร้ายนายมามากพอ
ถึงตอนนี้นายจะเป็นฝ่ายทำร้ายฉันบ้าง...ฉันก็ยินดี
โกคุเดระ
“ฮายาโตะ
ไปเอาเลือดออกจากหัวใจเขาซะ แทงลงไปตรงๆที่หัวใจนั่นล่ะ”
หมอแห่งโลกมืดกำชับคำสั่งกับลูกศิษย์อีกครั้ง
ซึ่งไม่รู้ว่าเขาจะรับรู้หรือเปล่าว่าทำไปทำไม แต่ร่างโปร่งบางก็พยักหน้าแล้วเดินตรงไปหาพิรุณช้าๆ
ไม่รู้ว่าทำไม
แต่ละก้าวมันช่างก้าวลำบาก ความรู้สึกหนักหน่วงถ่วงแข้งขา
หัวใจเจ้ากรรมเต้นกระหน่ำอยู่ภายในอกอย่างไม่มีสาเหตุ
หัวก็พาลจะปวกตุ้บๆและทวีความรุนแรงขึ้นทีละน้อยๆอย่างน่าทรมาน
พร้อมๆกับภาพบางอย่างที่มันเข้ามาในหัว...ภาพที่เขา
‘เคย’ คุ้นเคย
“โกคุเดระ
นายเอาแต่ดูคู่มือมาพักใหญ่แล้วนะ”
“เฮ้ย!
เดี๋ยวปั๊ดเจี๋ยนทิ้งซะเลยแน่ะ ก็คำตอบมันอยู่ในนี้นี่หว่า”
ภาพที่ผู้ชายตัวสูง
ใบหน้าฉาบไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาเหมือนกับชีวิตนี้มีความสุขเสมอ
กับบรรยากาศในห้องของคนบางคน แต่ดูว่าจะเป็นวันที่สันติสุข
“ยามาโมโตะ
ที่เหลือฝากด้วยนะ ไม่ได้อยากจะขอร้องหรอกนะเฟ้ย! แต่มันไม่เหลือใครนอกจากแกนี่หว่า!”
ภาพเด็กหนุ่มผมสีเงินร่างกายโทรมบาดแผลเต็มตัว
เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและเขม่าควันซมซานคว้าคอเสื้อของคนตัวสูงคนเดิม กำชับถ้อยคำเหมือนฝากความหวังเอาไว้ไม่รู้ทำไมถึงได้มั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเขาขนาดนั้น
ถ้าหากว่าคนที่เริ่มไว้ใจซักวันหนึ่งกลับทรยศขึ้นมา...
“หึ
มันยังอีกเยอะนะโกคุเดระ นายต้องรู้จักฉันให้มากๆเข้าไว้”
เฮือก!
“โอ๊ย!!” ร่างโปร่งบางหวีดร้องออกมาเมื่อทนรับความเจ็บปวดไม่ไหว
มือกุมศีรษะที่มันรัดแน่นขึ้นๆราวกับจะบีบอัดให้มันแตกให้ได้
ภาพไม่รู้มาจากไหนวิ่งสลับอยู่ในหัวเขาไปมาอย่างรวดเร็วเหมือนฟิล์มฉายหนัง
“โกคุเดระ!!!”
พิรุณเห็นท่าไม่ดีรีบถลาเข้าไปหา
แต่ไม่ทันที่จะถึงตัว อาวุธสีเงินในมือของร่างโปร่งบางก็หันปลายเข้าหาทันทีจนพิรุณชะงักกึก
ร่างโปร่งบางค่อยๆทรงตัวยืนขึ้นดวงตาสีมรกตจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“อย่าแตะต้องตัวฉัน! แกเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ แค่นี้ฉันก็สับสนจะแย่อยู่แล้ว อย่ามาหลอกหลอนในหัวฉันจะได้มั้ย!!!”เสียงของสายลมตวาดลั่น
สติของเขาเริ่มคุมไม่อยู่เพราะภาพพวกนั้นบวกกับสภาพจิตใจที่มันกำลังปะทุจากก้นบึ้งของความทรงจำ
ตัวของเขาสั่นเทิ้ม ฟันกัดเข้าที่ริมฝีปากจนได้รสคาวๆของเลือด ยิ่งพูดเท่าไหร่
แต่ละคำของสายลมมันซึมลึกลงไปในความเจ็บปวดของพิรุณจนหมดสิ้น
มือหนึ่งที่ถือมีดยื่นออกไปข้างหน้ามันกำลังสั่น...สั่นตามหัวใจ
สับสนกับตัวเองไปหมด
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เขาต้องเอามีดเสียบตรงเข้าหาหัวใจของคนๆนี้มันคือสิ่งที่ตัวเขาอยากทำหรือเปล่า
มันคือความต้องการของร่างกาย...หรือหัวใจกันแน่
กลัว...ฉันกลัว
กลัวไปหมดแล้วทุกๆอย่าง
หมับ
พลันมือที่ถือมีดอยู่ก็หยุดสั่นเพราะมีมืออีกคู่หนึ่งยื่นมากุมเอาไว้
ร่างโปร่งบางเงยหน้ามองคนโง่ที่เดินเข้าหาคมมีดโดยไม่สนใจว่าถ้าเขาเดินเข้าไปใกล้มากกว่านี้มีดได้ปักฉึกเข้าเนื้ออย่างไม่มีทางสงสัย
แต่ทว่ามือที่กอบกุมนั้นมันกลับอบอุ่น คุ้นเคย
รอยยิ้มของพิรุณถูกมอบให้สายลมอย่างอ่อนโยนไม่ต่างจากมือที่กุมเอาไว้
“ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย...โกคุเดระ”
น้ำเสียงนั่นนุ่มนวล
เหมือนสายฝนที่โปรยปรายเบาๆคลอเคลียกับลมอ่อนๆ
“ฉันบอกกับนายแล้วไง...ว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
อยู่ด้วยกันตลอดไป....
คำๆหนึ่งที่ทำให้ร่างโปร่งบางเบิกม่านตาออก
ในใจไหววูบเหมือนต้นอ้อลู่ลม มันอ่อนแอลงเมื่อได้ฟังคำๆนี้
แต่ไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากพูดโต้ตอบอะไรออกไป สิ่งที่ทุกคนไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
ฉึก!
มือของพิรุณดันมีดแหลมแทงผ่านทะลุเสื้อสูทตรงๆที่หน้าอกข้างซ้ายอย่างแม่นยำ
เลือดบริสุทธิ์จากหัวใจทะลักเปื้อนมือและเสื้อเชิ้ตสีขาวของร่างโปร่งบางเป็นจุดๆ ท่ามกลางความตกใจของทุกคนในห้อง
วายุได้ลืมไปแล้วว่าหัวใจของตัวเองยังเต้นอยู่หรือไม่ รู้แต่เพียงมันเบาหวิว
ความตกใจ เสียใจ กดดันถามโถมเข้าใส่จนทรงตัวไม่อยู่ น้ำตาสีใสๆไม่รู้มาจากไหนไหลรินทั้งๆที่ดวงตายังเปิดกว้าง
ทำไมน้ำตาถึงไหล...ทำไมกัน.......
ร่างของพิรุณทรุดฮวบลงกับพื้นพร้อมๆกับวายุที่กำลังจะสิ้นสติ
เขาไม่ไหวแล้ว ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะแบกรับน้ำหนักตัวเอง
น้ำอุ่นๆจากดวงตายังคงอาบแก้มไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
“ยามาโมโตะ!!!” นภาแห่งวองโกเล่ตะโกนลั่น พร้อมๆกับผู้พิทักษ์แห่งอรุณที่เข้ามาเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้น
หมอแห่งโลกมืดเตรียมหลอดแก้วเพื่อเก็บเลือดที่เป็นส่วนผสมสำคัญในการช่วยฟื้นความจำของวายุ
เขาดึงมีดออกจากอกของพิรุณแล้วหยดเลือดจากปลายมีดลงหลอด
“ไม่ไหว
แผลลึกเกินไป ฉันอาจจะยื้อไว้ได้ไม่นาน ถ้าไม่รีบส่งโรงพยาบาลยามาโมโตะตายแน่ๆ”
อรุณรายงานเสียงเครียด พลางในมือกำลังใช้ไฟธาตุสีเหลืองอร่ามสมานแผล
แต่ว่าก็ทำได้เพียงรักษาแต่ภายนอกเท่านั้น
อย่าลืม...ว่าผนังหัวใจของพิรุณนั้นได้ถูกมีดแทงทะลุไปเรียบร้อยแล้ว
“รีบอร์น
เมื่อไหร่เฮลิคอปเตอร์จะมา”นภาหันไปถามครูสอนพิเศษด้วยสีหน้าร้อนรนเป็นที่สุด
แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือท่านิ่งๆเรียบๆเป็นเชิงว่า ‘ต้องรอ’
ณ
นาทีนี้เสมือนเป็นการแข่งขันเวลาของวองโกเล่และยมทูตรับวิญญาณว่านาฬิกาของใครที่เดินเร็วกว่ากัน...
อีกมุมหนึ่ง
หมออัจฉริยะประคองร่างของวายุเอาไว้โดยที่มีผู้พิทักษ์แห่งหมอกและอัสนีเฝ้าดูอยู่
พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปจับให้สายลมอยู่นิ่งๆตามแบบที่เขาชอบทำกันในยามที่มีคนคลุ้มคลั่ง
เพราะตอนนี้จะว่าว่าสายลมมีวิญญาณอยู่หรือเปล่าก็ยังไม่รู้
ร่างกายของเขาอ่อนปวกเปียกราวตุ๊กตาผ้า เพียงแต่ว่ามีน้ำตาไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้างก็เท่านั้น
ให้ตายสิ...ให้ตาย
ลูกศิษย์ของเขากำลังจะกลายเป็นบ้าอีกไม่กี่นาที
จากประสบการณ์ความเป็นหมอมาการช็อคเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนปกติผันตัวเองไปเป็นบ้า!
ไทรเด้นท์ ชามาล
หยิบกระเป๋าใส่แคปซูนออกมาแล้วไล้นิ้ววนๆไปตามเม็ดยาก่อนจะจับออกมาหนึ่งเม็ด ถึงมันจะไม่ต่างอะไรมากจากการหยิบไอ้โรคพวกนี้มาฆ่าคน
แต่ว่าครั้งนี้คุณหมอรู้สึกการหยิบยามันช่างยากเย็น ไม่ใช่เพราะไม่อยากรักษาตัวผู้
แต่ว่าถ้าเขาทำอะไรพลาดไปนั่นหมายถึงชีวิตของสายลมที่อยู่ข้างหน้านี่
สรุปว่า...ตอนนี้หมอเถื่อนกำลังทำภารกิจที่แสนจะลำบากที่เรียกว่า
‘ช่วยคน’ ไม่ใช่ ‘ฆ่าคน’
ชามาลเปิดปลอกแคปซูนออกด้วยเล็บมือ
พลันไทรเด้นท์ มอสกิโต้ก็บินหึ่งออกมา
คุณหมอบงการมันให้ดิ่งลงสู่หลอดแก้วแล้วสูบเลือดบริสุทธิ์จากหัวใจพิรุณ
มันดูดกินจนท้องมันป่องแล้วกลายเป็นสีแดงสด
เชื่อว่าถ้าตบเลือดคงจะทะลักออกมาเปื้อนเต็มฝ่ามือ
แต่แล้วเจ้ายุงชาญฉลาดไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น
มันบินตรงรี่ไปหาร่างโปร่งบางแล้วไปเกาะที่เรียวแขนก่อนจะใช้ปากรูปร่างเหมือนสามง่ามแทงลงไป!
ยุงตัวนี้คือไทรเด้นท์
มอสกิโต้ ยุงตัวหนึ่งที่มีพาหะนำโรคลบล้างกับโรคลืมคนสำคัญ...
แต่ทว่าตอนนี้มีเลือดบริสุทธิ์ของคนสำคัญเจ้าของความทรงจำอันแสนโหดร้ายสุดท้ายผสมลงไปด้วย...
เพื่อทำให้สายลมกลับมาจำทุกคนได้อย่างปกติ...
ทุกคน...หวังว่าเป็นอย่างนั้น
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!”เสียงหวีดร้องของร่างโปร่งบางดังจนสุดเสียง
จนนภาต้องละจากพิรุณหันมามองอย่างตะลึงงัน เขามองมือขวาของตัวเองนอนกระเสือกกระสนบนพื้น
ดูท่าทางทรมานมากเจียนตาย มือทั้งสองกุมหัวสีเงินที่มันยุ่งเหยิง ภายในหัวกำลังประมวลภาพบางอย่างไหลเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด
มันรวดเร็วจับไม่ทัน ไม่รู้อะไรเป็นอะไรบ้าง รู้แต่เพียงมันปวด
ร้อนรุ่มไปทั่วร่างกาย หัวใจเต้นเร็วราวกับจะฉีดเลือดทะลักออกมานอกอก
เจ็บปวด! ทรมาน! ไม่ต่างอะไรกับนรก!!
“คุณโกคุเดระ!!!” อัสนีทนเห็นภาพนั้นไม่ได้เป็นคนแรก เขากำลังจะถลาเข้าไปหาวายุทั้งน้ำตา
แต่ก็ถูกหมอแห่งโลกมืดใช้มือกันเอาไว้ สีหน้าของคนห้ามเคร่งขรึมเด็ดขาด
“อย่าเข้าไป
เชื่อฉัน รออยู่ตรงนี้เฉยๆ เดี๋ยวทุกอย่างจะดีเอง”
ไม่รู้ไอ้คำว่าดีในที่นี้มันจะหมายถึงอะไร เห็นแล้วสภาพมันห่างไกลจากคำว่าดีมากมาย
สายลมของพวกเขานอนดิ้นทุรนทุรายน้ำตาอาบเหมือนคนเป็นบ้า!
เหล่าผู้พิทักษ์วองโกเล่ อยากจะเอาตัวเองไปถวายให้ยมบาลซะตอนนี้
พวกเขาทำอะไรไม่ได้แล้วหรอ...
ต้องเป็นสักขีพยานยืนดูเพื่อนเจ็บจนตายไปต่อหน้าหรือไง!!!
ร่างโปร่งบางยังคงพลิกไปพลิกมาบนพื้นไม่หยุด
ไม่ใช่มาเพียงแต่ภาพที่ชวนปวดหัวอย่างนี้
แต่ในจิตสำนึกลึกๆก้นบึ้งของหัวใจ...เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
เขากำลังได้ยินเสียงจากใจตัวเอง
หากประสาทการรับฟังยังคงใช้งานได้
มันดังแว่วๆว่า
“โกคุเดระ
ฮายาโตะ...”
“คุณโกคุเดระ”
“โกคุเดระคุง”
กำลังเรียกใคร..เรียกเขาหรือเปล่า
เสียงนั้นดังสะท้อนไปมาอยู่ในหูแล้วค่อยๆเบาลงๆเหมือนระฆังที่ถูกเคาะจนมันเงียบไป
เพียงอึดใจเสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีก
แต่ทว่ามันแปลก...มันเป็นเสียงที่...รู้สึกคุ้นเคย
“โกคุเดระ...”
“เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป...ฉันสัญญา”
เฮือก!
ร่างบางที่เคยนอนดิ้นไปมากระตุกเฮือกแล้วแน่นิ่งไป
ทำให้เหล่าวองโกเล่ใจสั่นไม่น้อย คิดได้สองทางคือยาออกฤทธิ์จนหมดแล้วหรือไม่ก็...
เขาทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนตาย...
ตึกๆๆๆๆๆ
เสียงมอเตอร์ดังอยู่ข้างนอกคฤหาสน์
จะเรียกข้างนอกก็ไม่ถูกนักเพราะกระจกและหลังคามันถูกเปิดออกเพราะพลังไฟของสองบอส
สรุปว่ายานพาหนะบินได้จำนวนไม่น้อยข้างลำมีสัญลักษณ์วองโกเล่อย่างโก้หรูประดับอยู่คือเฮลิคอปเตอร์ของวองโกเล่แฟมิลี่ที่มาถึง
“รีบช่วยท่านยามาโมโตะ
เร็ว!” ทีมแพทย์มือหนึ่งกระโดดลงจากฮอลล์แล้วพาร่างของพิรุณขึ้นเตียงฉุกเฉิน
สวมที่ครอบทางจมูกและปากเพื่อให้ออกซิเจนก่อนจะเข็นขึ้นฮอลล์แล้วบินหายไปทันที
เพราะตอนนี้พวกเขารู้ว่าพิรุณแห่งวองโกเล่จะรอดหรืออยู่ขึ้นกับเวลา
ทีมแพทย์อีกชุดหนึ่งเอาร่างของวายุที่ไม่มีสติเข้าไปในฮอลล์อีกลำหนึ่งซึ่งข้างในมีแพทย์เตรียมพร้อมด้วยเครื่องมือพยาบาลที่ทันสมัย
ส่วนอีกสี่ห้าลำที่เพิ่งมาถึงก็คือสำหรับนภาและผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ก่อนที่นภาจะก้าวขึ้นฮอลล์เขาก็ได้หันกลับไปโค้งให้ชายอาวุโสและหมอแห่งโลกมืดอีกครั้ง
หากไม่มีพวกเขาเหล่าวองโกเล่คงตกนรกทั้งเป็น ตอนนี้หนี้บุญคุณมันหนักอึ้งไม่รู้ว่าต้องตอบแทนอย่างไร
“นี่...ไอ้หนู”
ไทรเด้นท์ ชามาลร้องเรียกนภาแห่งวองโกเล่เอาไว้
เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมชายอาวุโสแล้วใช้ฝ่ามือตบบ่าของนภาเบาๆ
“รอไปอีกไม่เกินอาทิตย์
เจ้าหมอนั่นคงจะฟื้นแล้วกับมาเป็นปกติ แต่ถ้าหากไม่เป็นอย่างนั้น...”
“...”
“ก็ขอให้ยอมรับกับความเห็นแก่ตัวครั้งสุดท้ายของเจ้าฮายาโตะมัน”
ซาวาดะ
สึนะโยชิหัวใจกระตุกวูบแล้วเต้นไม่เป็นจังหวะ เขารู้ดีตอนนี้มันก็คือเสี่ยง
มีโอกาสโชคดีและโชคร้ายพอๆกัน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับกับมัน
“ครับ...ขอบคุณมาก”
เฮลิคอปเตอร์เกือบสิบลำบินออกแล้วมุ่งหน้ากลับแฟมิลี่เป็นสัญญาณว่าศึกย่อมๆนี้ได้จบลง...ฟิลบาโลเน่มีความเสียหายมากไม่ใช่เล่น
แต่ทว่าวองโกเล่ไม่ได้รู้สึกยินดีกับชัยชนะครั้งนี้...
นาฬิกาของพวกเขาจะเดินเร็วกว่าโชคชะตาที่โหดร้ายหรือเปล่านะ...
โรงพยาบาลประจำวองโกเล่แฟมิลี่
ตึกๆๆๆๆๆๆ
เหล่าแพทย์และพยาบาลมากฝีมือครึ่งต่อครึ่งขอโรงพยาบาลเข็นเตียงผู้ป่วยลงจากเฮลิคอปเตอร์
ทุกคนดูวุ่นวายและรีบร้อน
หากไม่ใช่เพราะคนที่นอนอยู่บนเตียงถึงสองคนคือผู้พิทักษ์พิรุณและวายุแห่งวองโกเล่
ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีเหตุการณ์ผู้พิทักษ์อาการหนักเข้าขั้นโคม่าถึงสองคนขนาดนี้
ถ้าเป็นอะไรไปล่ะก็ บรรดาหมอๆจะเอาหัวที่ไหนไปก้มขอโทษวองโกเล่รุ่นที่สิบ
ร่างของพิรุณและวายุถูกนำเข้าห้องไอซียูทั้งคู่
โดยผู้พิทักษ์ทั้งหมดได้ถูกกันเอาไว้ให้อยู่ข้างนอก ไม่เว้นแม้แต่นภาแห่ง วองโกเล่
“ขออภัยครับ
รุ่นที่สิบ...ได้โปรดรออยู่ข้างนอก
กระผมจะช่วยท่านยามาโมโตะและท่านโกคุเดระสุดความสามารถ” นภาแห่งวองโกเล่พยักหน้าให้หมออาวุโสคนหนึ่งอย่างฝากความหวังเอาไว้เต็มเปี่ยม
ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้หน้าห้องไอซียูพร้อมๆกับสายหมอก
“โรคุโด...อยู่เป็นเพื่อนซาวาดะหน่อย
ฉันจะขอกลับตึก เหนื่อยสุดหูรูด” ผู้พิทักษ์อรุณขอตัวด้วยสีหน้าอ่อนล้า
ใบหน้าที่เคยแจ่มใสเสมอกลับซีดเซียว นภากล่าวขอบคุณเบาๆ
ก่อนที่อรุณจะหันหลังกลับพร้อมอัสนี
แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามบอกว่าจะอยู่เฝ้าดูอาการรุ่นพี่ทั้งสองก็จริงอยู่
แต่ดูท่าแล้ว คนนี้นี่แหล่ะอาการน่าเป็นห่วงที่สุด
มีหวังจะได้เข้าไปนอนในโรงพยาบาลอีกคน นภาเลยจำเป็นต้องไล่กลับ
ส่วนผู้พิทักษ์แห่งเมฆาได้กลับฐานทัพลับของตัวเองตั้งแต่พื้นรองเท้าเหยียบที่นี่…
ทุกคนเหนื่อย...เหนื่อยทั้งกาย...เหนื่อยทั้งใจ
แต่คงไม่เทียบเท่าสองคนที่กำลังนอนไม่ไหวติงอยู่ในห้องนั้น...
“เหนื่อยมากมั้ยครับ
วองโกเล่”
ตามหลักคนอัธยาศัยดีและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยคงไม่ชอบใจหากบรรยากาศมันเกิดเงียบ
“อืม...เหนื่อย”
ซาวาดะ สึนะโยชิตอบรับเบาๆ ก่อนจะมองไปที่ประตูสีขาวสะอาดเบื้องหน้า
“แต่ฉันก็คงเหนื่อยไม่เท่าสองคนนั้น มุคุโร่...ถ้าสองคนนั้นเป็นอะไรไปฉันจะทำยังไง”
เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินไพลินยาวหันมามองคนถามด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยไปประมาณสามวินาที
ก่อนที่จะคลี่ยิ้มอีกครั้งหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเอารอยยิ้มมากลบเกลื่อนคำตอบหรือเปล่า
จะว่ายังไงเมื่อในใจเขาคิดว่าโอกาสรอดกับตายมันมีพอๆกัน
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ...ผู้พิทักษ์ดวงไม่แข็งก็ไม่สมควรเป็นผู้พิทักษ์...ผมเชื่ออย่างนั้นนะครับ”
แต่ตอนนี้การปลอบใจนภาน่าจะสำคัญที่สุด...เขารู้...
นภามองไปยังประตูอีกครั้ง
นึกเสียดายที่เขาไม่ได้เรียนเก่งจะได้เข้าไปอยู่ในห้องนั้น ไม่รู้ว่าหลังประตูนั่นจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ทั้งสองคนหัวใจยังเต้นอยู่หรือเปล่า ชีพจรยังรู้สึกอยู่มั้ย
หรือแม้แต่ลมหายใจ...เมื่อไหร่จะมีคนเดินออกมาจากห้องสักที...หรือต้องนั่งจ้องประตูไปอีกสักห้าชั่วโมง...
“เอ่อ
วองโกเล่ครับ แผลที่หัวไหล่นี่” สายหมอกมองไปที่ไหล่ของนภาที่มันชุ่มไปด้วยเลือดจากบาดแผลโดนมีดฟันเอา
เลือดมันไหลออกมาเยอะพอสมควรที่พอจะทำให้คนเป็นลมได้
แต่คนๆนี้ไม่เป็นอะไรจริงๆหรือ
“ไม่เป็นไรหรอก”
นภาคลี่ยิ้มบางๆ “มันชาไปแล้วล่ะ”
ใช่...มันชาไปแล้ว
ชาจนไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ...หรืออาจจะเป็นเพราะมีคนเจ็บปวดกว่าเขามาก ความเจ็บแค่นี้มันเลยกลายเป็นเรื่องเล็กไปโดยปริยาย
“รุ่นที่สิบครับ...”
เสียงเรียกหนึ่งทำให้นภาหันขวับไปหา ถ้าสำหรับเขาแล้วคนที่เรียกตัวเขาว่า
รุ่นที่สิบ แล้วเขาปรารถนาจะได้ยิน คงจะเป็นคำพูดของมือขวา
แต่ทว่าเมื่อเป็นคำพูดของหมอคนหนึ่งสีหน้าของนภาก็ไม่ได้แสดงอะไรมาก
“เชิญที่ห้องด้วยครับ
กระผมจะทำแผลให้แล้วจะรายงานอาการเบื้องต้นของท่านโกคุเดระด้วยครับ” นภาตาเบิกกว้างขึ้น
หัวใจเต้นแรง ไม่ได้สนเรื่องทำแผลอะไรทั้งนั้น
แต่คืออาการเบื้องต้นของสายลมนั่นต่างหาก แต่อย่างไรซะถ้าบอกว่ามันคือเบื้องต้น
หมายความว่ามันยังไม่แน่นอนอะไรใช่มั้ย
ชีวิตมันมีความไม่แน่นอนเสียจริงๆ
นภาลุกเดินตามหมอเพื่อไปทำแผล
ภายในห้องทำแผลมีกลิ่นแอลกอฮอล์ ขวดน้ำยาฆ่าเชื้อ
เข็มเบอร์เล็กเบอร์ใหญ่เรียงเต็มไปหมด ทั้งที่เมื่อก่อนมันไม่น่าพิสมัยเลยแท้ๆ
แต่ตอนนี้นภาไม่ได้รู้สึกกลัวพวกมัน การทำแผลไม่ได้เจ็บอย่างเคย
ความจริงมันก็แสบจนน้ำตาจะเล็ด แต่ว่านภาไม่รู้สึก
ประสาทความรับรู้ของเขามันโดนตัดขาดหรือเปล่านะ
“เสร็จแล้วครับ”
หมอพูด พร้อมเก็บชายผ้าก๊อซสีขาวสะอาดที่มันพันอยู่รอบไหล่ “คือ...เรื่องอาการของท่านโกคุเดระนั้น...”
คุณหมอกลืนคำพูดลงคอไปเมื่อสังเกตใบหน้าของนภา
จะเอายังไงดี ถ้าเขารายงานผิดจะเป็นยังไง รอให้มันแน่ชัดก่อนจะดีหรือเปล่า
แต่ความคิดฟุ้งซ่านของหมอก็หยุดชะงักลงเมื่อนภาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“พูดตามตรงเถอะครับ...ผมอยากจะรู้จริงๆ”
คุณหมอถอนหายใจก่อนจะยิบสคริปต์อาการของมือขวาแห่งวองโกเล่ขึ้นมาดูแล้วสาธยาย
โดยผู้มีอำนาจสูงสุดในวองโกเล่เป็นผู้รับฟัง
“อาการเบื้องต้นของท่านโกคุเดระนั้น
ภายนอกไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนอกจากขาดสารอาหารครับ...ซึ่งกระผมได้ให้อาหารเสริมแล้ว
คาดว่าคงจะดีขึ้น...แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงเหนืออื่นใดนั้น...คือสมองของท่านโกคุเดระครับ”
นภาพยักหน้ารับรู้
เก็บซ่อนอาการสลดเอาไว้ เขารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ แม้ไทรเด้นท์
ชามาลจะแก้โรคให้ก็ตามแต่
“มันแย่มากเลยหรอครับ”
“ไม่ถึงขั้นนั้น...ท่านรุ่นที่สิบ”
คุณหมอส่ายหน้าค้าน “ท่านโกคุเดระได้รับโรคซึ่งเป็นพาหะจากไทรเด้นท์ มอสกิโต้
ซึ่งเป็นที่โจษจันดีว่าเป็นโรคที่สามารถฆ่าคนได้ทุกโรคแล้วรักษาไม่หาย
แต่ถ้าหากถอนโรคมาแล้วก็หายห่วงครับ
สิ่งที่ห่วงคือความรู้สึกก้นบึ้งของท่านโกคุเดระ
เพราะว่าถ้าหากท่านโกคุเดระมีจิตใต้สำนึกที่เข้มแข็งพอไม่นานก็จะฟื้นและจำทุกอย่างได้เป็นปกติครับ
แต่ว่า...”
คุณหมอเว้นวรรคไป
แต่นภาไม่คิดอยากจะพูดแทรก เขาอยากจะรู้ว่าแต่อะไร
“ถ้าหากจิตใต้สำนึกถูกรบกวนมากๆก็เป็นผล
เดี๋ยวสั่งให้ลืม เดี๋ยวสั่งให้กลับมาจำ
แล้วคนป่วยรับไม่ไหวก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ตื่นได้ครับ เขาจะหลับไปอีกนานหรือบางทีอาจจะชั่วชีวิต...”
ชั่วชีวิต...หลับไปชั่วชีวิต
เหมือนกับคนตายเพียงแต่ยังมีลมหายใจ...
ฟังดูโหดร้ายอะไรขนาดนี้
“ทุกอย่างอยู่ที่ท่านโกคุเดระ
และกำลังใจครับ”
“แล้ว
ยามาโมโตะล่ะครับ” นภาแห่งวองโกเล่ยังไม่รู้สึกว่าใจของตัวเองเบาขึ้นเมื่อนึกถึงเพื่อนอีกคนที่เข้าห้องไอซียูพร้อมๆกับสายลม
ทั้งห้องเข้าสู่ความเงียบงันทันที คุณหมอก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะรายงานตามความเป็นจริง
“พวกกระผมกำลังผ่าตัดหัวใจของท่านยามาโมโตะอยู่
ต้องใช้เวลานานพอดูเพราะว่าผนังหัวใจของท่านยามาโมโตะฉีกขาด
แต่ดีหน่อยครับที่มีดมันเล่มเล็กมากแผลเลยไม่กว้างมาก
คาดว่าไม่เกินคืนนี้ก็จะผ่าตัดเสร็จครับ”
“ขอบคุณครับ”
นภาเอ่ยเบาๆ ทีมแพทย์ของวองโกเล่เป็นสิ่งที่นภาเชื่อมั่น
ไม่ช้าก็เร็วเขาเชื่อว่าเพื่อนทั้งสองคนต้องกลับมากเป็นปกติอีกครั้ง แต่ว่า...
อีกนานเท่าไหร่ล่ะ...
“ท่านรุ่นที่สิบครับ
แต่ผมมีเรื่องจะเตือนให้ท่านทราบ เผื่อเตรียมใจ...”
หมอของวองโกเล่เปรยขึ้นมาเรียกดวงตาสีน้ำตาลให้หันไปมอง
เตรียมใจ?...หมายถึง สิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นสินะ แต่ก็ดีแล้ว
ดีกว่าว่าหากมันเกิดขึ้นมาจริงๆแล้วไม่เตรียมเผื่อเอาไว้จะเสียใจมากเป็นเท่าทวีคูณ
“หลังจากการรักษา
หากท่านโกคุเดระไม่ฟื้นภายในหนึ่งอาทิตย์...ก็คงต้องทำใจครับ”
“หนึ่งอาทิตย์...หรอครับ”
นภาทวนเสียงเบา สั้น...สั้นมาก เวลามันช่างสั้นมาก
เพียงแค่หนึ่งอาทิตย์แต่ทำไมดูจะเป็นทั้งชีวิตของสายลม
ถ้าเกิดสายลมไม่พัดภายในเจ็ดวันนี้...
วองโกเล่ก็จะไม่มีลมพัดอีกต่อไป...
อะไรกัน...
“เชิญครับ...รุ่นที่สิบ”
คุณหมอเปิดประตูแล้วโค้งคำนับพอเป็นพิธีเมื่อนภาออกจากห้อง หูทั้งสองข้างซ้ายขวาของเขาไม่ได้รับรู้เสียงอะไรเลย
เดินออกจากห้องทำแผลมาเขายังไม่รู้สึกว่ารอบๆกายมีแพทย์ พยาบาลเต็มไปหมด
รู้สึกแต่เพียงทางเดินในโรงพยาบาลมีเพียงเขา...มีแต่เขาเท่านั้นเอง
“วองโกเล่ครับ...”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มกระชากนภาให้หลุดจากภวังค์
ทำให้รอบตัวเขากลายเป็นบรรยากาศโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง สายหมอกยังนั่งอยู่ที่เดิม
แล้วยังยิ้มให้เขาเหมือนเดิมด้วย
“มุคุโร่...”
ตอนนี้ฉันเหลืออยู่แค่นายหรือเปล่า
ฉันจะบอกนายเรื่องโกคุเดระคุงและยามาโมโตะยังไงดี
ภายใต้สีหน้าที่ยิ้มแย้มนั้น นายจะรู้สึกเศร้ามั้ย
“คือว่า...”
“ไม่ต้องพูดหรอกครับ...”
ผู้พิทักษ์สายหมอกเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้ “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น
มนุษย์ยิ่งทวนความจำ ยิ่งนึกถึงเรื่องที่เครียดมากๆ ก็จะยิ่งเจ็บปวด
ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามผมเชื่อว่าวองโกเล่จะผ่านมันไปได้ ผมไม่อยากรับรู้นะครับว่าคุณหมอเค้าพูดทฤษฎีให้คุณฟังว่าอะไรบ้าง
แต่ตอนนี้เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือเชื่อในตัวสองคนนั้น...จริงมั้ยครับ”
“ขอโทษนะมุคุโร่...ฉันไม่ได้เข้มแข็งอะไรขนาดนั้น” ท้องฟ้าก็แค่แผ่นสีฟ้าบางๆ
สีของมันก็เปลี่ยนไปอยู่ทุกวันเวลา ยามฝนตกก็เป็นสีดำทะมึน ยามแดดออกก็เป็นสีฟ้าสดใส
พอดวงอรุณใกล้ตกดินก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
ไม่ได้มั่นคงอะไรเลย
“คุณน่ะ...เข้มแข็งออกนะครับ”
นภาเงยหน้าขึ้นกับคนที่พูดว่าเขาเข้มแข็ง นภารู้ว่าที่สายหมอกพูดมาอาจจะเป็นคำโกหกหลอกลวงเพื่อให้เขาสบายใจ
แต่ทว่าในใจของอีกฝ่ายอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น
“ผมเกลียดมาเฟีย
เพราะพวกมันต่ำช้า โหดร้าย และไร้มนุษยธรรม...”
ใช่
ผมเกลียด...จนทุกวันนี้ก็เกลียด
แต่ทว่า...
“ผมไม่เคยเจอมาเฟียแบบคุณมาก่อน
จะเรียกว่าไม่ใช่มาเฟียก็ไม่ได้ เพราะยังไงคุณก็คือวองโกเล่รุ่นที่สิบ”
ไม่เคยเจอมาก่อน...คนที่เป็นมาเฟีย
และ ‘เข้มแข็ง’ ขนาดนี้ เข้มแข็งตีความหมายได้หลายอย่าง
เข้มแข็งแบบแข็งแรงไม่หวั่นไหวเมื่อเจออุปสรรค
เข้มแข็งแบบเลือดเย็นจนทำให้กลายเป็นคนที่โหดร้าย
แต่ว่าเข้มแข็งแบบนี้สายหมอกยอมรับตลอดที่ผ่านเวียนว่ายในหกภพเขาไม่เคยเจอ...
“ความเข้มแข็งที่แท้จริงคือการมีจิตใจที่อ่อนโยนไม่มีวันแปรผัน...นั่นคือความเข้มแข็งของวองโกเล่รุ่นที่สิบที่ผมรู้จัก
และเชื่อว่าทุกคนต้องเห็นอย่างที่ผมเห็น
โดยเฉพาะคนที่เชื่อมั่นในตัวคุณมาตลอดอย่าง...”
“...โกคุเดระคุง”
สายหมอกเงียบลงพลันดวงตาสองสีก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่แก้มทั้งสองข้างของนภาแห่งวองโกเล่...มันกำลังไหลริน...ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
น้ำตา...
น้ำตาไหลรินออกมาเป็นทาง
กลั่นกรองจากทุกความรู้สึก ไม่มีเสียงสะอึกสะอื้น
ณ
นาทีนี้ก็ไม่มีใครหยุดความอ่อนโยนนี้ได้...มันดูสูงส่งและบริสุทธิ์เกินกว่าจะเอื้อมไปสัมผัส...ทำได้เพียงรอให้มันหยุดไหลด้วยตัวมันเอง...
รอเท่านั้นเอง...
TBC…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น