Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 13 ความจริงที่น่าเศร้า...
วันที่สายฝนกระหน่ำ
“เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่วองโกเล่มาซะ
แรมโบ้!” พิรุณสั่งเสียงแข็งอีกครั้ง นัยน์ตาสีเปลือกไม้ไม่มีแววที่ฉายให้เห็นความใจดีอีกต่อไป
ในตอนนี้พิรุณเรียกได้ว่า ไม่ต่างจากคนร้ายที่ข่มขู่เหยื่อเท่าไหร่นัก
เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำกับเด็ก แต่ดูเหมือนพิรุณจะไม่สนใจว่า
เด็กหนุ่มสั่นเกร็งด้วยความกลัวเขาแค่ไหน
ก็ใครใช้ให้นายมาปิดบังฉัน...
ใครใช้ให้นายมาผิดสัญญากับฉัน…
โดยเฉพาะกับเรื่องของหมอนั่น! ทำไม!!!
“ฮึก ผมไม่รู้อะไรนะครับคุณยามาโมโตะ
ผม... ฮึก ผม ไม่รู้อะไรทั้งนั้น วองโกเล่เป็นไงบ้างผมไม่รู้ ฮึก ฮือ...” ไม่ว่าจะบังคับอย่างไรแต่สภาพจิตใจที่มันสับสนจนถึงขีดสุด
น้ำตาไหลออกมาเป็นสายพร้อมกับพร่ำคำปฏิเสธออกมาตลอดเวลา
พิรุณขมวดคิ้วเข้าหากันช้าๆเหมือนคนโดนขัดใจ
ก่อนจะปล่อยสายที่สะพายดาบคู่ใจเป็นเชิงเตือน
“คุณจะทำอะไร...”
เสียงแหบพร่าเอ่ยออกมาอยากยากเย็น
ดวงตาสีมรกตเบิกกว้าง ไหล่เล็กๆสั่นมากจนตัวเกร็ง
พิรุณกรีดรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง แล้วใช้นิ้วแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเหมือนขบคิดอะไรบางอย่าง
“เอ...ที่ฉันได้ยินมามันไม่ใช่อย่างนี้นี่นา
นายเล่าผิดรึเปล่า...”
“ได้ยินมา?...”
“อื้ม ใช่ ได้ยินมาอย่างชัดเจนเลย
นายได้ยินยังไงฉันก็ได้ยินอย่างงั้นแหละ ฉันถึงบอกแล้วไงว่า
มาดูกันว่านายจะเล่าได้ตรงกับฉันมั้ย...”
“อึก…”ได้ยินอย่างชัดเจน...นี่หรือว่า
คุณยามาโมโตะดักฟังเรารึไงกัน!!!
ปัดโธ่เว้ย!!!
“ไม่ครับ...ถ้าคุณเองได้ยินชัดเจนอย่างที่ผมได้ยินขนาดนั้น
ก็คงไม่ต้องเสียเวลามาซักผมแล้วมั้งครับ
เพราะอะไรที่ผมรู้เรื่องคุณเองก็รู้หมดแล้วนี่ครับ”
เด็กหนุ่มสบตากับพิรุณนิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่ากล้าทำได้ยังไง
อะดรีนาลินในตัวคงหลั่งล่ะมั้ง อย่างไรก็ตามแต่ ก็ขอให้ปิดจนถึงวินาทีสุดท้าย...
ร่างสูงยังคงกรีดรอยยิ้ม
แค่นเสียงหัวเราะในลำคอ พริบตาเดียวไม่ทันที่อัสนีจะได้หายใจออก ชิงุเระ คินโทคิ
ดาบคู่ใจของพิรุณก็มาอยู่ในมือเรียบร้อย คมดาบที่วาววับแตะที่ข้างลำคอตรงจุดเส้นเลือดอย่างแม่นยำและแผ่วเบาจนรู้สึกขนลุกกับความเย็นของโลหะ
แต่ถ้ามือของพิรุณขยับเมื่อไหร่ คมดาบจะตัดเส้นเลือดใหญ่ของลำคอทันที
“นี่แรมโบ้...ดาบนี้ฉันยังไม่เคยใช้กับเพื่อนร่วมแก๊งค์ยกเว้นตอนประลองกับสควอโล่นะ
อย่าให้ฉันได้ใช้กับนายเป็นคนแรก” อัสนีกลืนน้ำลายดังอึก
สายตาแหล่มองคมดาบเป็นระยะๆ คนตรงหน้าคิดจะฆ่าเขาจริงๆแน่
แต่ว่าคุณคิดว่าผมจะตายไปโดยไม่ได้เตือนอะไรคุณบางอย่างงั้นหรือครับ...คุณยามาโมโตะ
“คุณผิดสัญญา...”
“หืม...ฉันหรอ”
พิรุณเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัยไม่ใช่น้อยแต่รอยยิ้มเหยียดๆก็ยังไม่หายไปจากใบหน้า
ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้กล้าเอาสัญญามาอ้างกับเขากันนะ
“ตอนที่เราจะมาที่นี่ผมได้ยินเรื่องที่คุณโกคุเดระสัญญากับคุณ
คุณเคยทำตามสัญญาเขาเหรอครับ ตอนนี้คุณกำลังจะตัดเส้นเลือดผมอยู่แล้ว
เพราะผมผิดสัญญา แต่ว่าคุณเองก็ผิดสัญญากับคุณโกคุเดระเหมือนกัน!!!”
ผิดสัญญา...หรอ...
‘ไม่ต้องมาโทษฉัน
แกนั่นแหล่ะ เป็นคนสัญญาเองแท้ๆ
รู้มั้ยว่าเมื่อคืนฉันต้องนอนเร็วกว่าปกติเพราะเสียงน่ารำคาญของแกดังอยู่ในหู แต่แกล่ะ
เคยทำตามสัญญาบ้างมั้ย! ฉันบอกว่าฉันจะโทรไปหาแกเอง
ทำไมไม่จำหา ไอ้งี่เง่า!!!’
น้ำเสียงแหลมๆที่เคยตวาดเขาผ่านโทรศัพท์ดังหวนเข้ามาในโสตประสาทของเขาอีกครั้ง
ตอนนั้นเขาเผลอไปโทษว่าเรื่องไม่ยอมรับโทรศัพท์
แต่พอได้ยินแบบนี้สวนกลับมาเขาถึงกับอึ้ง...พยายามตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฉันผิดหรอ...
ฉันผิดหรือเปล่า แน่นอนว่าคนที่ผิดสัญญามันต้องผิดสิ...
แต่ตอนนี้
มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ... มีประโยชน์อะไร...
ในเมื่อนายไม่อยู่...
ให้ฉันทำตามสัญญาแล้ว...
สีหน้าที่เจือความเศร้าเมื่อคิดถึงเรื่องเก่าอันตรธานหายไปราวกับเล่นกล ดวงตาสีเปลือกไม้กลับฉายแววแข็งกร้าวอีกครั้ง
“มันไม่จำเป็น หึ นายน่าจะรู้ดีกว่าฉันด้วยซ้ำแรมโบ้...เรื่องของโกคุเดระ”
ใช่..นายรู้ดีกว่าฉันด้วยซ้ำ
ไม่สิ ไม่ใช่นาย แต่เป็น...
พวกนายต่างหาก!!!
“เอาล่ะ
หมดเวลาแล้วนะ…” พิรุณกดเสียงต่ำเตือน
แต่อัสนียังคงนิ่งเงียบยกเว้นแต่จะได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ
ทั้งคู่เงียบจนได้ยินสายฝนที่กระหน่ำเทลงมาอย่างหนัก อัสนีเงยหน้ามองผู้พิทักษ์รุ่นพี่ช้าๆ
ดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้ฉายแววอ้อนวอน
“ผมทราบครับว่าคุณเกลียดการผิดสัญญา
แต่ว่าครั้งนี้ผมขอสักครั้ง ผมไม่อยากผิดสัญญากับวองโกเล่ ฮึก
เขาเลี้ยงดูผมตั้งแต่เด็ก เขามีพระคุณกับผมมากนะครับ ฮึก
ยังไงผมก็ต้องทำตามสัญญาที่ผมให้ไว้กับเขา คุณได้ยินมั้ยครับ
ผมไม่อยากผิดสัญญากับเขา!!!”
สิ่งที่อัสนีพรั่งพรูออกมาทำให้ร่างสูงถึงกับนิ่งงัน โดยเฉพาะคำว่า ‘สัญญากับวองโกเล่’
นั่นเหมือนกับเป็นฟ้าผ่าลงไปในใจ...
มันรู้สึกเกร็ง
เหมือนประสาทไม่ทำงาน ไม่น่าเชื่อเลย...
ว่ามันจะเป็นแบบนี้!!
“สึนะ...”
ดาบที่แตะอยู่ที่คอถูกเอาลงอย่างช้าๆ
ร่างสูงเอ่ยชื่อของเพื่อนสนิทและบอสที่เขานับถือออกมาเหมือนไม่เชื่อ
“ผมขอโทษครับ
แต่ว่าเรื่องทั้งหมดได้โปรดไปถามวองโกเล่เอาเองเถอะครับ
ขอให้ผมผิดสัญญาแค่กับคุณก็พอ แต่อย่าให้ผมผิดสัญญาซ้ำสองเลยนะครับ...”อัสนีกะพริบตาถี่ๆเพื่อไล่น้ำตา
ถึงแม้ภายนอกจะไม่มีน้ำตาหยดออกมาอีกแล้วแต่ในใจเขายังคงร้องไห้ให้กับความงี่เง่าของตัวเอง...
ไม่หยุดหย่อน
ผมทำได้แค่นี้ครับวองโกเล่...ผมขอโทษ...ผมทำได้แค่นี้
พิรุณเก็บดาบเข้าฝักอีกครั้ง
แต่ดวงตาสีเปลือกไม้ที่ว่างเปล่าตวัดมองเด็กหนุ่มอย่างเย็นชา
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว…ความจริงฉันก็นับถือในความอดทนของนายอยู่หน่อยนะ ที่ผ่านมาคงจะอึดอัดน่าดู
แต่หยุดร้องไห้ซะ ฉันไม่อยากเห็นตาแดงๆของนาย”
“...”
“ตาของนายมันมีสีเขียวมรกต...เหมือนกับคนบางคน
ฉันไม่อยากเห็นมันต้องรื้นไปด้วยน้ำตาแม้แต่ครั้งเดียว... แต่ในเมื่อมันร้องไปแล้วก็ช่วยไม่ได้นะ...”
ร่างสูงเว้นช่วงไปก่อนจะก้มหน้าลงมากระซิบแผ่วๆแต่ทว่าเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ…
“ดวงตาสีแบบนี้จะรื้นไปด้วยน้ำตา...เพราะฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น!”
พิรุณทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะหันหลังกลับวิ่งออกไปที่รถบีเอ็มดับบลิวประจำตำแหน่งและสตาร์ทเครื่องขับออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าตอนนี้มันดึกขนาดไหนแถมฝนยังตกหนัก
ไม่ต้องเดาก็รู้
จุดหมายปลายทางของรถหรูคันนี้ต้องเป็นหอบัญชาการใหญ่ของวองโกเล่อย่างแน่นอน...
อัสนีมองจนรถคันสีน้ำเงินแล่นหายไปจนลับตา
ตอนนี้ในใจเขาอยากจะให้นภาแห่งวองโกเล่ได้ยินเหลือเกิน...
คำว่าขอโทษ...
อยากจะให้สายลมได้ยินเหลือเกิน...
ว่าเป็นห่วง...
แต่ก็ทำได้แค่ภาวนาในใจแค่นี้...อยู่ร่ำไป...
“ชิชิชิ
ไปซะแล้วงั้นหรอ~”
น้ำเสียงเย็นๆฟังดูวังเวงหูดังขึ้นข้างหลังอัสนี
เจ้าชายนักฆ่าเดินแสยะยิ้มออกมาจากมุมอับ แม้จะไม่เห็นแววตา แต่ก็สัมผัสได้ว่าเจ้าชายอัจฉริยะคนนี้รู้ทุกอย่าง
แต่ก็รู้มานานแล้ว...นั่นล่ะนะ
ไม่ใช่รู้ธรรมดา...รู้ดีซะด้วย
“คุณเบลเฟกอล...”
“ฮี่...เจ้าชายเตือนนายไว้อย่างนะ
ทีหลังอย่าเล่นอะไรแบบนี้กับคนความอดทนต่ำดีกว่า
ผลออกมาก็อย่างที่เห็นเนี่ยล่ะน้า... พวกความอดทนสูงอย่างนายไม่เข้าใจหรอก”
“หรอครับ...” เด็กหนุ่มมองหน้าเจ้าของเรือนผมสีทองประดับมงกุฎอย่างงงๆ
แต่เบลเฟกอลก็ยังมองสายฝนที่กระหน่ำลงมาเนิ่นนาน
ริมฝีปากก็เผยเสียงหัวเราะออกมาตลอดเวลา...
ไม่ใช่ซักหน่อยนี่นา...ความจริงไม่มีใครมีความอดทนสูงหรอก
ที่ดูมีความอดทนสูงก็คือพวกเก็บกดความรู้สึก
ทำว่าแข็งแกร่ง
แต่ที่จริงก็อ่อนแอ...
พอถึงจุดมันก็ต้องแตกโพละออกมาอยู่ดี...
ใช่มั้ยล่ะ
ชิชิชิ...
คฤหาสน์ฟิลบาโลเน่แฟมิลี่
ครืน...ซ่า!!
เสียงฝนที่กระหน่ำเทลงมาภายนอกหน้าต่างจนมองไม่เห็นภาพทิวทัศน์ประกอบกับเสียงฟ้าร้องและลมพัดแรงทำให้ร่างโปร่งบางชักสีหน้าเล็กน้อย
บรรยากาศ...น่าเบื่อ...
ทำไมฝนต้องตกวะ...เป็นบ้าอะไรขึ้นมา...
เฮอะ...น่าเบื่อ
ดวงตาสีมรกตทอดไปไกลเท่าที่จะทำได้
ตอนนี้เขาก็ยังห่วงเรื่องข้อมูลที่ส่งไปให้วองโกเล่ ส่งน่ะ ส่งถึงอยู่แล้ว
แต่ว่าจะเข้าใจความหมายกันรึเปล่ามันก็แค่นั้น
ตอนนี้ชีวิตของร่างโปร่งบางมันเข้าขั้นน่าเบื่อมากถึงมากที่สุด
แทบอยากจะเชือดคอตัวเองตายคาห้องด้วยซ้ำไป มีอย่างที่ไหน
ติดกล้องเอาไว้ทั่วทุกมุมห้องนอนของเขา ล็อคประตูจากข้างนอกเปิดไม่ได้
แทบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันยกเว้นซะแต่สามเวลาจำเป็นของมนุษย์...นอกนั้น
ฉันก็เหมือนถูกขังกรง...อาวุธโดนยึดหมดอีกต่างหาก
ใช่...ก็ตั้งแต่ใจกล้าส่งข่าวให้วองโกเล่นั่นล่ะ
ถูกกักบริเวณ...น่าสมเพชที่สุด!
แกร๊ก...แอ๊ด~
เสียงประตูไม้ชั้นดีเปิดออกช้าๆ
เรียกดวงตาสีเขียวมรกตหันขวับไปมอง คิ้วเรียวๆขมวดเข้าหากันอีกครั้งในความไร้มารยาทของคนที่เข้ามา
ไหนๆก็ขังแล้ว จะเข้ามาก็เคาะหน่อยก็น่าจะดีนะ
แต่พอกรณีโผล่หน้ามาในห้องร่างโปร่งบางก็ถึงบางอ้อว่า...ไม่เคาะก็น่าจะปกติสุดแล้ว
“มีธุระอะไรกับฉันอีกฟะ
ชามาล”ไทรเด้นท์
ชามาลไม่ตอบคำถาม แต่ดันมองร่างโปร่งบางตังแต่หัวจรดพื้น
ธรรมดาร่างนี้ก็บางเพรียวจนเรียกได้ว่าผอมอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับซูบเข้าไปอีก
ผิวขาวซีดเพราะไม่ได้เจอแสงแดด
อีกอย่างเขาก็รู้มาจากแม่บ้านว่านายน้อยไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาสองวันแล้ว
“ไอ้เด็กเวรเอ๊ย...เมื่อไหร่แกจะรู้จักรักตัวเองซะทีฟะ
ผอมจนกระดูกจะตำเนื้ออยู่แล้วเนี่ย”
“เรื่องของฉัน
ไม่เกี่ยวกับแก” ร่างโปร่งบางสะบัดหน้าหนีอย่างดื้อรั้น
หมอแห่งโลกมืดถอนหายใจพรืดใหญ่ก่อนจะเดินมาทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้
พอมานั่งตรงหน้าลูกศิษย์อย่างนี้แล้ว
นอกจากผิวจะซีดยิ่งทำให้เห็นชัดอีกว่าหน้าก็ซีดด้วย
“เอางั้นก็ได้ฮายาโตะ
ชีวิตแกไม่ใช่ชีวิตฉันนี่หว่า...อีกอย่างแกก็โตแล้ว
น่าจะรู้ว่าอะไรมันจะทำให้ตัวรอดหรือตาย...”
ไม่รู้ว่าพูดตัดหางปล่อยทิ้งหรือยังไงแต่ร่างโปร่งบางรู้สึกถูกใจดีจัง
เออ...น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว
ชีวิตก็ชีวิตฉันมาตั้งนานแล้ว...ไม่เข้าใจที่ธรรมชาติสร้างเท่าไหร่
ทำไมต้องมีคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตมายุ่งด้วย...
ชีวิตฉันก็น่าจะเป็นฉันเท่านั้นที่มีสิทธิ์เลือก!!
“ตกลงมีอะไร...”ร่างโปร่งบางเอ่ยถามอีกครั้ง แถมยังเจือไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนิดๆ
“ฉันมาเอาคำตอบจากแก...” สิ้นสุดประโยคร่างโปร่งบางก็ขมวดคิ้วสวยๆเข้าหากันทันที
“คำตอบบ้าอะไรวะ?”
“คำตอบที่ว่าแกจะเอายังไงกับชีวิตตัวเองน่ะสิเฟ้ย!
นี่ ฮายาโตะ แกจะเรียนรึไม่เรียน”
คำถามนี้เหมือนกับยาระงับประสาทที่ทำให้สมองของร่างโปร่งบางด้านชาอีกครั้ง
แถมปากที่เคยเก่งๆพาลจะพูดไม่ออกซะอีก
“ว่าไงคิดได้ยัง...”
“ไม่ได้คิด...”
ไอ้เด็กเวร!
“อ้าว
เฮ้ยๆ อย่ามาเบี่ยงเบนนะ นี่พ่อแกเขาไม่ฆ่าแกทิ้งก็ดีแค่ไหนแล้ว
นึกว่าเขาไม่รู้เรอะว่าแกแอบติดต่อกับวองโกเล่น่ะหา”
หมอแห่งโลกมืดโวยขึ้นมาเบาๆพร้อมขู่ไปในตัว แต่คิดรึว่าร่างโปร่งบางจะกลัว
ริมฝีปากบางยกยิ้มแค่นหัวเราะเบาๆ
“หึ
ถ้าฆ่าเลยก็ดีสิ ยังไงตอนนี้รุ่นที่สิบก็ปลอดภัยแล้ว ฉันไม่มีอะไรต้องห่วงเฟ้ย”
“มีสิ” ไทรเด้นท์ ชามาลเถียงทันที แต่ไม่ว่าจะพูดยังไงร่างโปร่งบางก็ไม่เคยฟัง
แถมยังไม่เคยเห็น’สิ่งนั้น’ อยู่ในสายตาแม้แต่ครั้งเดียว
หมอแห่งโลกมืดหยุดปากเอาไว้แค่นั้น...ในเมื่อเตือนแล้วไม่ฟัง ก็ไม่จำเป็นต้องเตือนอีก
คนๆนี้ต้องเห็นเข้าสักวัน...เห็นชีวิตตัวเองสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด..
“เอาเถอะฮายาโตะ
ว่าแต่แกจำที่แกบอกฉันได้มั้ยเรื่องที่ถ้าแกไม่เล่นตุกติกพ่อแกจะไม่ทำอะไรวองโกเล่”
“เออ
จำได้” ร่างโปร่งบางพยักหน้าหงึกหงัก
แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่คนข้างหน้าต้องการจะสื่อ
“แล้วนี่แกไปทำอะไรเข้าล่ะ
หือ ฉันว่าตอนนี้รับประกันความปลอดภัยของวองโกเล่ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่ะ
เล่นซะขนาดนั้น แกฟาดลูกน้องสลบเฉียดตายเป็นสิบ แฮคก์เข้าห้องข้อมูลอีก
เตรียมส่งวิญญาณพวกนั้นเลยเหอะ”
“ไอ้หมอบ้า!!!!” ร่างโปร่งบางปรี๊ดแตกทันทีทันใดไม่ต้องจุดไฟหรือไขลาน “ใครใช้ให้แกพูดงั้นหา!!! ป่านนี้ไอ้ระเบิดพวกนั้นโดนรุ่นที่สิบสอยไปหมดแล้วเฟ้ย! วองโกเล่ต้องปลอดภัยแน่นอน!!”
“อ้อ เรอะ” หมอแห่งโลกมืดยืนขึ้นตัวตรง
มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์สีขาวสะอาด ก่อนจะเอ่ยถามคนที่นั่งด้วยน้ำเสียงกวนประสาทไม่ใช่น้อยแต่ถึงไม่ต้องมาเย้ยด้วยน้ำเสียงแบบนี้
ร่างโปร่งบางก็สติแตกไปตั้งนานแล้ว
“แกคิดว่าเอามือไปกดรีโมตจึ๋งเดียว
แล้วไปขุดหาระเบิดเป็นร้อยๆอะไรมันเร็วกว่ากัน...”
“อ่ะ กะ
แก...” ร่างโปร่งบางอ้าปากพะงาบๆ
ชี้หน้าครูสอนพิเศษอย่างแค้นจัด อยากจะด่าสารพัด แต่ก็ไม่ออกแม้แต่คำเดียว
มันแค้นจริงๆนะ ตอนที่ทำอะไรไม่ได้
ไม่จริง
รุ่นที่สิบต้องปลอดภัย!!
ผมเชื่อว่าท่านต้องเข้าใจจดหมายที่ผมส่งไป...ไม่มีทางที่วองโกเล่จะกลายเป็นจุณ
ไม่มีวัน!!!
“ฉันไม่เชื่อ!!!
นี่แกจะบอกว่าวองโกเล่โดนทำลายแล้วรึไง!!!”
“ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของแก
แกก็ลองชั่งความเป็นไปได้ก็แล้วกัน คิดว่าพ่อแกจะทนได้เรอะ เรื่องที่แกผิดสัญญา...”
“...”
“เอาล่ะ
พระเจ้าคุ้มครองนะฮายาโตะ จะตายเมื่อไหร่ก็เรียกได้
ยกเว้นตอนที่ฉันอยู่กับสาวๆน่ะนะ”
หมอแห่งโลกมืดเดินไปที่ประตูก่อนจะโบกมือหยอยๆ ลาลูกศิษย์เหมือนว่าลูกศิษย์จะตายวันตายพรุ่ง
มันกวนกล้ามเนื้อเท้าของร่างโปร่งบางที่อยากจะลุกขึ้นไปเตะซักป้าบถ้าไม่ติดว่า
ไม่มีแรงจะลุกนี่สิ
แค้นว้อยยยยยยย!!!
แต่ว่า
ร่างโปร่งบางก็ยอมรับว่าภายใต้ความเชื่อมั่นเขาเองก็ลังเลเหมือนกัน
วองโกเล่ปลอดภัยจริงๆรึเปล่านะ...
หอบัญชาการใหญ่
วองโกเล่แฟมิลี่
“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจของเหล่าลูกน้องชายฉกรรจ์ทั้งหลายที่เดินเข้ามาในห้องโถง
เพราะตั้งแต่ตอนบ่ายๆจนถึงตอนนี้ต้องไปก้มหน้าก้มตาขุดระเบิดทั่ววองโกเล่
ถึงกำลังคนจะเยอะก็เถอะ แต่ระเบิดนี่มันเยอะจนน่าปวดหัวจริงๆ
กว่าจะขุดหมดก็ปาไปจนค่ำ ไหนฝนจะตกหนักฟ้าร้องจะผ่าไม่ผ่าแหล่
เลยทำให้การดำเนินงานล่าช้าไปอีก นี่ยังไม่รู้เลยว่ายังมีฝังอยู่แถวไหนอีกรึเปล่า
“ว่าไง
หมดรึเปล่า”
นภาแห่งวองโกเล่ถามลูกน้องคนหนึ่งซึ่งตัวเปียกโชกเหมือนโดนสาดน้ำมา แม้จะเหนื่อยจนแทบไปนอนกองกับพื้นแต่ก็ฝืนยืนตัวตรงรายงานตามระเบียบ
“น่าจะส่วนใหญ่แล้วครับรุ่นที่สิบ
โซนรอบๆหอใหญ่หมดแล้วครับ ส่วนหอของผู้พิทักษ์ทั้งหกกำลังพลยังไม่กลับมาเลยครับ” นภาแห่งวองโกเล่พยักหน้ารับรู้เบาๆ ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟา
ซึ่งรอบๆกายคนที่มาเป็นกำลังสมทบบางส่วนได้ไปพักแล้ว
เหลือไว้เพียงแต่ผู้พิทักษ์แห่งสายหมอก และศิษย์ผู้พี่ที่คอยดูแลเขาอยู่
“อย่าเครียดไปน่าสึนะ
ยังไงตอนนี้เราก็ยังได้ช่วยวองโกเล่เอาไว้ส่วนหนึ่งแล้ว
หมอนั่นต้องดีใจแน่ๆที่ไม่เสียทีส่งจดหมายมาให้”
ศิษย์ผู้พี่ยิ้มให้นภาแห่งวองโกเล่อย่างให้กำลังใจ
เพราะเขารู้ว่านภาเครียดกับคำลงท้ายของจดหมายมากแต่ไหน
และตั้งแต่บ่ายนภานั่งไม่ติดเลย
เมื่อกี้เป็นครั้งแรกที่นภายอมนั่งเพื่อสงบสติอารมณ์
แต่ว่าสิ่งที่นภาแห่งวองโกเล่กังวลใจไม่ใช่เพราะวองโกเล่โดนแขวนอยู่บนเส้นด้าย...
“ผมห่วงโกคุเดระคุงน่ะครับ
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องลงท้ายแบบนั้น นี่เขากำลังจะเป็นอันตรายหรอครับ
คุณดีโน่” นภาแห่งวองโกเล่สารภาพออกมาเสียงสั่น
ซึ่งความเป็นไปได้ที่เขาคิดมันจะเกิดขึ้นจริงๆ
ถ้าพ่อของโกคุเดระคุงรู้ว่าเขาทำอย่างนี้ล่ะก็ เขาจะทำยังไง...
“อืม...ฉันไม่รู้สินะ
แต่นายต้องเชื่อใจในตัวหมอนั่น สโมคกิ้งบอมบ์เป็นมือขวานายไม่ใช่หรอ
บอสถ้าไม่เชื่อใจมือขวา จะไปเชื่อใจใครล่ะ”
คำพูดของศิษย์พี่เรียกรอยยิ้มบางๆของนภาคืนมา
ถึงไม่มีลูกน้องมานั่งอยู่ต่อหน้าจะเป็นคนที่ไม่เอาไหน
พอมีลูกน้องก็กลายเป็นบอสในอุดมคติทันที ไม่ว่าใครๆจะมองว่าม้าพยศแห่งวงการมาเฟียคนนี้เป็นแบบไหน
แต่ในสายตาของนภาแห่งวองโกเล่ เขาเป็นรุ่นพี่ที่ดีและเท่เสมอ
“ขอบคุณครับ...”
“ทำใจให้สบายๆดีกว่า
ไม่นานเราต้องช่วยโกคุเดระออกมาได้แน่ๆ”
“รุ่นที่สิบครับ
ได้เรื่องแล้วครับ!!!”
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องหน้าตาตื่น ในมือเขาถือกระดาษธรรมดาสีขาวๆแต่กลับประคองมาอย่างดีเหมือนสมบัติล้ำค่า
“เราได้ที่อยู่ของฟิลบาโลเน่แล้วครับ
เพิ่งได้เมื่อสักครู่นี่เอง แต่ก็เป็นที่อยู่ที่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ” ชายกรรจ์กล่าว พร้อมยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้ นภากล่าวขอบคุณเบาๆ
แต่ก็เป็นคำขอบคุณที่มันบรรจุไปด้วยความยินดีเต็มหัวใจ นภาแห่งวองโกเล่หันไปหารุ่นพี่ที่นั่งอยู่ด้วยรอยยิ้มยินดีเปื้อนใบหน้า
“คุณดีโน่ครับ
เราหาที่อยู่ของฟิลบาโลเน่ได้แล้วครับ!!”
“อื้ม
ว่าแล้วมั้ยล่ะ หมอนั่นน่ะดวงแข็งจะตาย ไม่ทันให้นายไปช่วยล่ะมั้ง
เดี๋ยววันดีคืนดีเดินกลับวองโกเล่เองได้ต่างหาก ฮ่าๆๆๆ”
ครืน!! ซ่า!!!!
เสียงของฝนและฟ้าร้องข้างนอกดังจนกลบบทสนทนาของนภาสองผืนอย่างสิ้นเชิง
นภาแห่งวองโกเล่มองลอดหน้าต่างออกไปเห็นฝนที่เทกระหน่ำลงมาพร้อมกับลมพัดจนต้นไม้ต้นใหญ่ๆไหวเอนจะหักแหล่มิหักแหล่
พร้อมๆกับฟ้าที่มืดมิดดำสนิทของยามรัตติกาลที่ถูกวาดด้วยไฟฟ้าเล่นผ่านสว่างวาบเป็นระยะๆ
ฝนตกหนัก...ลมพัดแรง...
เหมือนกับฟ้าไม่ยินดีในความหวังของเรา...เหมือนกับว่าจะเอาความสะพรึงมากลืนกินช้าๆ
อะไรกันนะ...บรรยากาศที่น่ากลัวแบบนี้
“อ๊ะ
เข้าไม่ได้นะครับ ท่าน...อ๊ากกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!”
อะไรน่ะ!!!
ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนของชายฉกรรจ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูดังขึ้น
มันดังพอที่จะสู้เสียงฝนได้ชัดเจนจนทุกสายตาในห้องหันไปมอง
ทุกๆคนเริ่มคว้าอาวุธประจำตัวขึ้นมาถือเอาไว้
ผู้พิทักษ์ที่ยังเหลืออยู่อย่างผู้พิทักษ์แห่งสายหมอกรีบถลาตัวเข้ามาบังนภาแห่งวองโกเล่เอาไว้
กึก...เฮือก!!!
แรงดันของจิตสังหารที่ถาถมเข้าใส่จนนภาแห่งวองโกเล่รู้สึกแน่นหน้าอก
หายใจไม่ออก จนม้าพยศต้องรีบมาคว้าแขนไม่ให้นภาล้มลงไปกองกับพื้น
เป็นจิตสังหารที่แฝงไปด้วยความโกรธ ความเสียใจ ทุกๆสิ่งมันรวมกันจนน่ากลัว
ฝนที่ตกกระหน่ำข้างนอกมันทวีความรุนแรงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
ใครน่ะ!!!
แกร๊ก...แอ๊ด...
บุคคลปริสนาค่อยๆเปิดประตูอย่างช้าๆราวกับจะท้าทำสงครามประสาท
เสียงรองเท้าก้าวเข้ามาในห้อง
พอทุกๆสายตาได้เห็นคนที่เดินเข้ามาแล้วก็เก็บความตกใจไว้ไม่อยู่
แม้แต่ผู้พิทักษ์สายหมอกยังเลิกตาสองสีขึ้น แต่นภาแห่งวองโกเล่ได้ล้มลงไปนั่งกับพื้นเรียบร้อยทั้งๆที่ดวงตาสีน้ำตาลยังเบิกโพลงไม่กระพริบเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น
ไม่จริงน่ะ...มาได้ยังไง!!!
ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้!!!
“ยามาโมโตะ!!!”
TBC…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น