S.Fic
Gintama [TakasugiXKatsura]
NC-17
NC-17
Romantic Drama
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ฟิคเรื่องนี้เป็นฟิคที่แต่งมานานมากแล้ว เป็นฟิคกินทามะเรื่องแรกที่คลอดออกมาเพราะทนไม่ไหวกับความสัมพันธ์ของสองคนนี้จริงๆ อารมณ์มันเลยออกมาเป็นฟิคที่สมควรปาหม้อ ถัง กะละมัง ไห มาก ฮะๆ สูดลมหายใจก่อนอ่านจ้ะ
อันนี้ไม่ใช่คำเตือน ไม่ใช่คำแนะนำ แต่เป็นคำสั่ง (เห้ย!) หากไม่รังเกียจ เปิดฟังเพลงนี้คลอไป จะได้อารมณ์และมีอรรถรสยิ่งขึ้นค่ะ อิอิ >..< ปาฏิหาริย์ที่รอคอย Calories Blah Blah
เมื่อหลับตา
ยังเห็นตะวันทอแสง
ยามราตรีที่เงียบสงัดเข้าครอบคลุมเมืองคาบุกิโจแห่งเอโดะได้ราวสองชั่วยามแล้ว
ทั่วทั้งเมืองที่มักจะมีแต่เสียงหัวเราะสรวลเสเฮฮาของทั้งมนุษย์และชาวสวรรค์ที่อยู่ร่วมพื้นปฐพีเดียวกัน
ยามนี้ไร้ซี่งสำเนียงเสียงดังกล่าวแม้เพียงเล็กน้อย
กลับมีเพียงเสียงของหรีดเรไรที่ร้องแซ่ระงมดุจวงดุริยางศ์ผู้เป็นเอกลักษณ์ในราตรีกาล
ไฟทุกดวงไม่จุดสว่างส่องแสงแข่งกับแสงของดวงดาราพราวพรายบนท้องนภาที่ดำสนิทพร้อมด้วยดวงจันทร์เสี้ยววาดรัศมีโค้งใหญ่ราวกับว่าจะอ้าปากกลืนกินทุกอย่างในนภากาศ
บนถนนที่เป็นใบ้
มีร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเรียบเรื่อยเป็นจังหวะเสมอกันด้วยท่วงท่าที่สง่างามสมกับสายตาที่ผู้คนมองว่าเขาเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์
เรือนผมสีดำขลับและดูนุ่มละมุนพลิ้วสยายไปกับแรงลม ดวงหน้าเรียบเฉยทอดมองไปไกลตามท้องถนน
นิ่งสงบ ดูเลือนรางยามเมื่อหมอกแห่งราตรีเคลื่อนกายจับ
เยือกเย็น ยามเมื่อสายลมพัดพา เสมือนกับอารมณ์ของเขาซึ่งไม่ยอมเข้าสู่ห้วงของนิทราเช่นผู้คนปกติ
เพราะหน้าที่ทำให้เขาต้องมาสังเกตการณ์ความเรียบร้อยในเมืองคาบุกิโจที่เข้าสู่กลียุคพร้อมกับดาบคมกริบเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งซามูไรที่เหน็บไว้ข้างเอว
“หัวหน้ากลุ่มซามูไรขับไล่ต่างแดน
คาซึระ โคทาโร่สินะขอรับ...”
กริ๊ก!
คาซึระหันขวับไปตามเสียงเรียก
พร้อมมือบางที่เตรียมถอดฝักดาบตามสัญชาตญาณ
แต่ร่างของคนที่ปรากฏเบื้องหลังกลับเป็นบุรุษร่างสูงที่เคยผ่านตาในเสื้อโค้ทยาวสีฟ้าน้ำทะเลเฉกเช่นเดียวกับสีผมที่ถูกเซ็ตให้ตั้งเสมอ
แว่นตาสีดำทรงแปลกปกปิดดวงตาทำให้ไม่อาจรับรู้ได้ว่าเขาผู้นี้แสดงอารมณ์อย่างไร
ที่หูครอบด้วยเฮดโฟนซึ่งไม่รู้จักถอด
พร้อมสะพายเครื่องดนตรีประเภทสายเอาไว้ข้างหลังบ่งบอกว่าเขานั้นเป็นผู้คลั่งใคล้ในท่วงทำนองแห่งเสียงเพลง
คาซึระหรี่ตาลงอย่างประเมิน
นึกแปลกใจว่าคนตรงหน้าจะเอาอย่างไรกันแน่
เป็นคนเรียกหาเรื่องเองแท้ๆแต่กลับยกมือขึ้นจำนนอย่างนั้น
“นาย...คาวาคามิ บันไซ
ลูกน้องของทากาสึงิ...ท่าทีที่นายแสดงออกมาแม้ว่าจะไม่ได้อยากมีเรื่อง...แต่อาวุธที่อยู่ข้างหลังนายฉันรู้ว่ามันกำลังหิวเลือดจนตัวสั่น”
“จากที่จบเรื่องเบนิซากุระไป
ดูเหมือนว่าคุณคาซึระจะระแวงพวกกองทัพอสุรามากเลยนะขอรับ...โปรดสบายใจเถิด
กระผมไม่ได้ประสงค์ร้ายเหมือนนิโซ...”
คำพูดที่ฝ่ายตรงข้ามพูดมา
คาซึระรู้ว่าความเป็นไปได้ที่มันอาจแฝงด้วยคำโป้ปดนั้นมีอยู่มาก
ตอนนี้เขาทำได้เพียงจับด้ามดาบเอาไว้ให้มั่น
แล้วจ้องไปที่อีกฝ่ายไม่ให้คลาดสายตาก็เท่านั้น
เพราะคาซึระเองก็เป็นซามูไรที่มีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์
การทำร้ายคนอื่นก่อนนั้นไม่เคยอยู่ในสาระบบ
“ต้องการอะไรจากฉัน”
“สมกับเป็นคนที่ชินสุเกะเล่าให้ฟัง...พอมาเจอตัวจริงแบบนี้ต้องบอกว่ากระผมนั้นไม่หลงทางจริงๆที่มาเจอคุณ
จังหวะทำนองของคุณนั้นคือดนตรีคลาสสิคนุ่มนวลที่ฟังสบายหูราวกับสายลม
บางครั้งเยือกเย็นราวกับลำน้ำไหลริน แต่ก็มีความหนักแน่นแฝงอยู่ในทุกๆตัวโน้ต
ช่างเป็นท่วงทำนองที่น่าหลงใหลจริงๆนะขอรับ...”
“ตอบคำถามผิดแล้วล่ะ...”
“ผมต้องการให้คุณไปพบชินสุเกะ...เขากำลังแย่
นี่คือคำขอร้อง ไม่ใช่คำสั่งใดๆทั้งสิ้นขอรับ” สิ้นคำพูดอย่างตรงไปตรงมาของบันไซ
ไม่ทำให้ดวงหน้าสวยคมของคาซึระแปรเปลี่ยนไปจากความเรียบเฉย เพียงแต่ว่าไม่มีเสียงตอบรับใดๆขัดคำพูดของคนตรงหน้าเพียงคำเดียว
เขาเคยประกาศออกไปแล้วว่านับจากเหตุการณ์เบนิซากุระ ทากาสึงิ ชินสุเกะ
ไม่ใช่เพื่อนพ้องของเขาอีกต่อไป....ไม่ใช่เพื่อนพ้อง...ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ
ไม่จำเป็น...หันกลับไปเถิดคาซึระ
โคทาโร่ หันกลับแล้วเดินหนีไปอย่าได้รับฟัง เรื่องนี้หาได้เกี่ยวกับเจ้าไม่...เจ้าทำได้หรือเปล่า...หรือว่าชื่อของเขาคนนั้นยังคงเป็นพันธนาการที่มัดเจ้าให้จมอยู่กับความคิดเดิมๆ
“นับแต่เรื่องตอนเบนิซากุระนั้น
ชินสุเกะฝันร้ายทุกคืนถึงอาจารย์ของเขาและพวกคุณ ทุกคราที่เขาตื่นมา
ผ้าพันแผลที่ปิดอยู่นั้นมันชื้นด้วยรอยน้ำตา คุณคาซึระคงจะเข้าใจความเจ็บปวดตรงนั้นดี
สำหรับพวกเราเหล่ากลุ่มคิเฮไทนั้นไม่อาจเยียวยาความเจ็บปวดของชินสุเกะจากก้นบึ้งในจิตใจได้ พอจะเข้าใจแล้วใช่ไหมขอรับ
ว่ากระผมต้องการอะไรจากคุณ”
คาซึระนิ่งเงียบ
ปล่อยให้เสียงเรไรยามค่ำคืนขับขานแทนคำตอบของตนเอง ใช่...เขาเข้าใจดี ความเจ็บปวดของลูกศิษย์ที่สูญเสียอาจารย์
มันเป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของพวกเขานั้นถูกฉีกขาดจนสะบั้น ไร้ซึ่งที่ยึดเหนี่ยว
ต้องผจญกับเรื่องราวชั่วร้ายบนโลกอันโสมมนี้ต่อไปด้วยกำลังขาของตนเอง...แต่ถ้าหากยึดมั่นในทางเดินที่ลาดตรงตามที่อาจารย์ปูเอาไว้ให้ซึ่งเป็นดั่งของดูต่างหน้า
คงไม่มีวันหลงทางเป็นแน่ นี่เป็นสิ่งที่คาซึระเชื่อมั่น
เพราะมีอาจารย์ ถึงได้มีพวกเขา
อาจารย์ก่อสร้างเด็กผู้ชายผู้เปี่ยมไปด้วยความมุ่งหวังกลุ่มหนึ่งให้กลายเป็นนักรบผู้มีเกียรติ
พร้อมทั้งสร้างหัวใจของพวกเขาให้แข็งแกร่งเทียบเท่าคมเหล็กกล้าที่พกอยู่ข้างเอว
แต่อาจารย์คงไม่อาจรู้...ว่าพออาจารย์จากไปอย่างชั่วนิรันดร์นั้น...อาจารย์ได้พรากเอาหัวใจของใครบางคนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับด้วย...
“ทากาสึงิ
เจ้านายของพวกเจ้าน่ะ เป็นเหมือนเด็กที่ยังไม่ยอมรับความเป็นจริง...แล้วอย่างไรงั้นหรือ ทากาสึงิคิดถึงอาจารย์โชโยผู้ล่วงลับแล้วเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน” คาซึระขยับยิ้มบาง
น้ำเสียงของเขายังคงนิ่งเรียบไร้ที่ติเหมือนกับว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร
ยังคงพยายามพร่ำบอกกับตัวเองว่า เรื่องของทากาสึงิสหายผู้ทะเยอทะยานคนนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีกต่อไป
คนๆนั้นจะทุกข์ทรมานเพียงเพราะเรื่องเก่าๆจนขาดใจตายไปก็เป็นไม่ใช่เรื่องที่ควรจะใส่ใจ
แต่ในใจเป็นความจริงเช่นไร...คาซึระรู้ดี
“ชินสุเกะเคยบอกกระผมว่า
คุณคาซึระน่ะ...เหมือนอาจารย์ของเขา ทั้งบุคลิก รูปลักษณ์ หรือแม้กระทั่งนิสัยก็คล้ายคลึงกันอย่างมาก
ถือเสียว่าเป็นการช่วยเหลือคนเคยรู้จักเถิดขอรับ ช่วยไปพบเขาหน่อย
บางทีถ้าคุณเห็นอาการของชินสุเกะนั้นคุณอาจไม่แสดงท่าทีเพิกเฉยเพียงนี้”
ร่างสูงตรงหน้าที่มีบุคลิกสง่าผ่าเผยสมกับเป็นมือขวาของหัวหน้าแห่งกองทัพอสุรานั่งย่อกายลงกับพื้นถนนที่เย็นชืด
พร้อมกับศีรษะที่ก้มแตะก้อนกรวดเม็ดเล็กๆหยาบระคายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเพื่อขอร้อง
คาซึระ โคทาโร่ ซึ่งถือว่าเป็นคู่ปรับตัวฉกาจของกองทัพ
แต่มันก็มีเพียงวิธีขอความเห็นใจเท่านั้นที่จะมีหวังให้อีกฝ่ายใจอ่อนแล้วขึ้นเกี้ยวไปพบทากาสึงิกับเขา
ดวงตาสีน้ำตาลคมสวยจ้องมองด้วยความชั่งใจหนัก
อยากตำหนิตัวเองยิ่งนักที่ไม่ยอมก้าวเท้าเดินหนีไปตามที่ใจสั่ง
ต้องมารับฟังเรื่องของคนๆนั้นอีกจนได้อย่างไม่รู้จักหลุดพ้น
แต่สิ่งที่คาซึระโทษตัวเองมากที่สุดก็คือ
ทั้งๆที่อีกฝ่ายเห็นเขาเป็นเพียงแค่ตัวแทนของอาจารย์โชโย พอคิดถึงก็พร่ำเพรียกหา ช่วยชโลมจิตใจที่หนาวเหน็บของทากาสึงิแม้เป็นเพียงแค่ให้อีกฝ่ายโกหกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่เขาก็คอยปลอบประโลมเรื่อยมา คอยสงสารอยู่ร่ำไป
โดยที่ไม่เคยคิดเลย
ว่าหัวใจของผู้ที่ทำหน้าที่ปลอบคนอื่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น...ก็ต้องการคนมาไยดีบ้างเหมือนกัน...เพียงแค่ต้องการเท่านั้น
แต่ก็ไม่ถึงกับปรารถนา...
อยากรู้จริงๆ...ว่าเราสองคนเชื่อมติดด้วยพันธนาการที่ชื่อว่าอะไรนะ
ทากาสึงิ เราสองคนถึงได้เหมือนกันอยู่อย่าง
เป็นคนที่ยึดมั่นถือมั่นในความคิดเดิมๆเหมือนกัน...ทนกับความเจ็บปวดแห่งความจริงทุกที....
เกี้ยวไม้สลักเล็กๆสำหรับผู้โดยสารเพียงแค่คนเดียวขับเคลื่อนไปอย่างค่อนข้างรีบเร่งด้วยม้าฝีเท้าดีที่บังคับบังเหียนโดยคาวาคามิ
ระยะทางจากใจกลางเมืองคาบุกิโจไปยังฐานกองทัพหลักของกองทัพอสุรานั้นไกลพอสมควรที่จะทำให้คาซึระจมดิ่งอยู่กับความคิดของตนเอง
สายลมเย็นที่แทรกซึมผ่านม่านทางหน้าต่างเกี้ยวเกี่ยวเอาปอยผมยาวพัดลู่เคลียแก้มขาว
อากาศโดยรอบเริ่มเย็นลงๆเมื่อสองข้างทางนั้นผ่านพ้นเขตเมือง
และปูลาดด้วยพื้นหญ้าเขียวชะอุ่มและดอกไม้ป่าสีสดเข้าแทนที่
หิ่งห้อยขยับปีกบินอ้อยอิ่งให้แสงสว่างเย็นตาแทนโคมไฟ บรรยากาศรอบกายเงียบสงัด
นับว่าเป็นชัยภูมิที่ดีต่อการตั้งถิ่นฐานกบดานของกองทัพๆหนึ่ง
เพราะว่านายอยู่ในที่ๆหนาวเหน็บ
และอ้างว้างเช่นนี้ ฉันอยากรู้ ว่าใครคนใดจะคอยกอดนายให้ความอุ่นเพื่อบรรเทาความหนาวกัน...ทากาสึงิ
กุบ..กุบ
ฝีเท้าม้าชะลอลงและหยุดหน้าบ้านทรงญี่ปุ่นหลังใหญ่หลังหนึ่ง
คาวาคามิเลื่อนประตูเกี้ยวออกเพื่อให้แขกคนสำคัญย่างเท้าออกจากเกี้ยว
สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคาซึระนับว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่งดงามหากแต่ว่าเร้นลับอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้ห่างไกลจากความศิวิไลซ์
แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าข้างหลังคฤหาสน์หลังนี้ล่ะคือโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตสาระพัดสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปอย่างพินาศสิ้น
คาซึระย่างเท้าเดินขึ้นไปบนชานคฤหาสน์
กลิ่นควันจากกล้องยาสูบที่ไม่ได้สัมผัสมานานลอยเข้ามาแตะจมูกก็พอจะคาดได้ว่าเจ้าบ้านนั้นอาจจะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล...ที่เขามาที่นี่นั้นไม่ได้นึกเห็นใจ
ไม่ได้เป็นห่วง
เพียงแต่ว่ามาแค่ดูอาการคนที่เคยรู้จักและเป็นสหายร่วมทัพกันมาก่อนก็เท่านั้น
อยากรู้นักว่ามันจะงี่เง่าไม่รู้จักโลกปานเด็กห้าขวบที่นอนดิ้นพล่านสติไม่สมประดีเพราะฝันร้ายขนาดไหน
“อาจารย์!”
อะไร...นะ!?
เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังขึ้นจากข้างหลัง
แม้ว่าไม่ใช่เป็นการเรียกชื่อตัวเอง ถึงกระนั้นคาซึระก็ต้องหันกลับไปมอง
แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยคำใดหรือขยับกาย
ร่างสูงโปร่งในกิโมโนสีม่วงลายผีเสื้อก็เข้าประชิดตัวเขาด้วยความเร็วสูง
ท่อนแขนแข็งแกร่งรั้งเอวบางเข้าแนบชิดกับแผ่นอกแล้วกอดเอาไว้อย่างแน่นหนา
จมูกโด่งคมซุกลงกับเรือนผมเรียบลื่นไล้เคลียอย่างเพลิดเพลิน คาซึระได้เพียงแต่ยืนนิ่งให้อีกฝ่ายกอดเขาอย่างเนิ่นนานจนกว่าจะพอใจโดยไม่พูดไม่กล่าวอะไร
มันทั้งตกใจ ทั้งสะเทือนความรู้สึก และมีอีกความรู้สึกอีกอย่างที่ผุดชัด
แม้ได้สิ่งที่ได้ยินเป็นเพียงแค่คำเรียกสองพยางค์สั้นๆ
แต่ความรู้สึกนี้กลับกัดกินหัวใจอย่างยาวนาน
ความรู้สึกที่ว่า...ได้รับของๆที่ไม่ใช่ของตนเอง
แม้อยากได้เพียงใด ก็ไม่อาจแตะต้อง...เช่นอ้อมกอดที่โอบรัดเขาอยู่นี้...
เพราะอ้อมแขนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกถวิลหา
เพราะอ้อมแขนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา อยากได้ไออุ่นอิงกาย
แต่จะให้เขาแสดงอาการอะไรออกมาได้ ก็ในเมื่ออ้อมแขนนี้ไม่ใช่อ้อมแขนที่โอบกอดเขา...
คาซึระเม้มริมฝีปากบาง
เขาได้ยินชัดเจนเต็มสองหู ทากาสึงิไม่ได้เรียกว่า ซึระ อย่างที่เคยเรียก
แต่เรียกเขาว่า... ’อาจารย์’
สิ่งที่กำลังแย่ตามที่คาวาคามิบอก...คือจิตใต้สำนึกของนายใช่มั้ย...
“อาจารย์กลับมาแล้วใช่มั้ย
ไปไหนมาทำไมถึงไม่บอกกันบ้าง
ปล่อยให้ผมต้องจมอยู่กับโลกเน่าเหม็นนี่เพียงคนเดียวได้ยังไง”
ดวงตาของคาซึระเบิกกว้างอย่างตกใจ ร่างทั้งร่างนิ่งเกร็งเมื่อรับรู้ได้ชัดเจนแล้วว่าสติความรู้สึกพื้นฐานโดยสัญชาตญาณของทากาสึงิแทบเสียไปอย่างสมบูรณ์
ไม่แยกแยะคนเป็นกับคนตาย ถูกครอบงำด้วยจิตใต้สำนึกไม่มีวันหวนกลับ
และด้วยจิตใต้สำนึกแห่งตัวแทน ทากาสึงิเชื่ออย่างสนิทใจว่าคาซึระคืออาจารย์โชโย
ไม่ใช่เชื่อสิ
‘เห็น’ เลยต่างหาก
โหดร้ายเสมอ...นายโหดร้ายแบบนี้เสมอ
มัดมือชกฉันแบบนี้ประจำ
แล้วฉันจะทำอย่างไรได้
ถ้าเห็นนายเป็นทุกข์ขนาดนี้...จะทำอย่างไรได้ล่ะ
คาซึระผ่อนลมหายใจออกก่อนจะค่อยๆแกะอ้อมแขนออกเบาแล้วหมุนตัวมาประจันหน้ากับสหายเก่า
ดวงตาสีเขียวที่มักฉายแววชั่วร้ายเสมอเมื่อยามมองเหยื่อหรือแม้กระทั่งเพื่อนอย่างเขา
ตอนนี้ไม่มีเลยสักนิด
มีเพียงดวงตาอ่อนโยนที่คาซึระคุ้นเคยดีว่าหมอนี่ชอบใช้มองอาจารย์โชโยตั้งแต่เด็กๆ ฝ่ามือบางยกขึ้นแตะลูบที่กลุ่มผมสีดำขลับ
รอยยิ้มบางอบอุ่นที่แสนกล้ำกลืนวาดบนใบหน้าสวยคม รอยยิ้มที่เมื่อไรก็ยังชวนมองเสมอ
แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่คาซึระไม่อยากจะนึกถึง
รอยยิ้มของอาจารย์...
“ไม่ได้ไปไหนมาสักหน่อย
ก็อยู่ข้างๆทากาสึงิคุงตลอดนั่นแหล่ะ
เพียงแต่ว่าทากาสึงิคุงอาจไม่สังเกตเห็นก็เท่านั้น” ใช่...เพียงแค่นายไม่สังเกตก็เท่านั้น
“ผมคิดถึงคุณนะ
พอคุณไม่อยู่โลกทั้งใบก็เหมือนเข้าใกล้วันสิ้นกัลปาวสาน
โชคดีจริงๆที่ได้คุณมายืนอยู่ใกล้ๆแบบนี้ โชคดีจริงๆที่ไม่ต้องทนกับฝันร้าย”
มือแกร่งของหัวหน้ากองทัพอสุราเอื้อมไปกุมมือบางเอาไว้แล้วนำมาแนบแก้มด้วยความรัก
การกระทำนั้นสะเทือนใจจนกระทั้งคาซึระต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
รูปร่างแข็งแรงของทากาสึงิที่เขาเคยเห็น ตอนนี้ซูบลงอย่างชัดเจน
ใบหน้าคมคายขาวซีดทั้งฐานรองดวงตามีสีคล้ำบ่งบอกว่าสุขภาพนั้นกำลังแย่
“กลิ่นของอาจารย์...”
ทากาสึงินิ่งงันไปราวใช้ความคิดทั้งๆที่ยังกุมมือคาซึระไว้อยู่อย่างนั้น ไม่นานนักดวงตาสีเขียวก็กลอกขึ้นสบกับดวงตาสีน้ำตาล
แล้วเอ่ยชัดเจน “เหมือนกลิ่นของคนบางคน...กลิ่นของซึระ”
ร่างทั้งร่างของคาซึระกระตุกเฮือกแล้วดึงมือกลับโดยอัตโนมัติ
สายตาเบือนหลบไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายอีก มันช่างน่าขัน
ทั้งๆที่เป็นตัวตนของเขาเองแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมรับ
และไม่อยากให้ทากาสึงิต้องสงสัยและรับรู้ เขาต้องการให้ทากาสึงิเชื่อว่าเขาคืออาจารย์โชโยจริงๆไปเสียแล้ว
“จริงสิ
คาซึระกับกินโทกิเป็นอย่างไรบ้าง พวกเธอสามคนยังเป็นเพื่อนรักกันอยู่ใช่มั้ย”
“หึ
ไม่ใช่แล้ว” รอยยิ้มหยันผุดพรายบนใบหน้าหล่อเหลา
ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวมองทอดออกไปข้างนอกชานคฤหาสน์
“ซึระและกินโทกิเพิ่งตัดเพื่อนตัดฝูงผมไปเมื่อไม่นานนี้เอง...แต่ก็ดี
เวลาจะฆ่าก็ฆ่าได้โดยไม่ต้องคำนึง มีมันสองคนก็รกหูรกตาเปล่าๆ”
นั่นสินะ...นอกจากอาจารย์ที่เคารพรัก
แม้เป็นสหายที่เคยร่วมสมรภูมิรบกันฝ่าความเป็นความตายด้วยกันมา
ตอนนี้ก็เป็นแค่บุคคลอื่นที่รอการทำลายให้อันตรธานหายไปพร้อมกับโลกที่เจ้าตัวว่าโสโครกหนักหนา
ไม่มีความหมายอะไรเลย...ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญพอที่นายจะต้องปกป้องสินะ ทากาสึงิ
“ยังไง
ก็เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนนะ แล้วฉันเชื่อว่าสองคนนั้นก็ยังคงห่วงใยเธออยู่แน่นอน
รีบไปนอนเถอะ...ร่างกายของเธอ....อ๊ะ!”
ไม่ทันพูดจบประโยค
ท่อนแขนแข็งแรงผิดกับสภาพร่างกายก็รั้งเอวบางเข้าประชิดอีกครั้ง
พร้อมประคองใบหน้าสวยหวานให้เชยขึ้นแล้วกดริมฝีปากบดเบียดกลีบปากบางของอีกฝ่ายทันที
อารามตกใจและไม่ทันได้เตรียมตัวทำให้ปฏิกิริยาทางกายของคาซึระต่อต้านทันที
ฝ่ามือบางพยายามดันแผงอกของผู้รุกล้ำให้ถอยห่าง
ชะรอยจะไม่เป็นผลเมื่อร่างสูงซ้ำกดริมฝีปากให้แน่นยิ่งขึ้นไปอีก
นิ้วแกร่งบีบเน้นที่ปลายคางมนเพื่อบังคับให้คาซึระอ้าปากออกเพื่อแทรกลิ้นร้อนเข้าไปตักตวงหาความหวานล้ำอย่างจาบจ้วง
“อึก...อื๊ออ!!”
สัมผัสที่ส่งถึงคาซึระคือความร้อนผ่าวดุจไฟลามเลีย ข้อมือบางถูกพันธนาการรวบอย่างแน่นหนาด้วยมือเพียงข้างเดียวของอีกฝ่าย
ลมหายใจเริ่มขาดห้วงจนกระทั่งกลายเป็นเสียงหอบระทวยยิ่งกระตุ้นให้ทากาสึงิพอใจในรสสัมผัส
มือหยาบกร้านจากการจับดาบลูบไล้เข้าไปใต้คอกิโมโนผ่านเนื้อนิ่มลื่นไม่ผิดแปลกไปจากผิวพรรณของคุณชายผู้สูงศักดิ์
“อ๊ะ
หยะ หยุด..อื๊อ!” ริมฝีปากร้อนระอุของผู้นำกองทัพอสุราเลื่อนลงฝังประทับกับลำคอขาวระหง
กลิ่นหอมรัญจวนจากเรือนผมสีดำฟุ้งกรุ่นรับกับร่างกายที่ร้อนรุ่ม ยิ่งได้สัมผัส
ยิ่งได้กลิ่น ทากาสึงิก็ยิ่งอยากที่จะครอบครองมากขึ้น ไม่พอ...ได้เท่าไรก็ยังไม่พอ
ยิ่งโลมเลียเคลียเคล้าเท่าไหร่
กลิ่นหอมบริสุทธิ์ที่โชยมาก็ไม่มีท่าว่าจะหมดไปจากร่างกายของคนๆนี้
กลิ่นของอาจารย์เปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่...ทำไมถึงได้คล้าย...คล้ายกลิ่นของซึระมากเกินไปแล้ว
“หยะ
หยุด!
หยุดสิ!!”
ทากาสึงิผละริมฝีปากออกจาลำคอระหงแล้วค่อยๆคลายมือที่ใช้รวบข้อแขนของคาซึระออกจนร่างโปร่งบางล้มลงไปกองกับเสื่อทาทามิที่แสนแข็งกระด้าง
ร่างบางยามนี้สั่นสะท้านราวกับคนจับไข้
พร้อมทั้งพยายามกระชับกุมคอกิโมโนเพื่อปิดรอยประทับแดงก่ำบนซอกคอของตัวเอง
ดวงหน้าสวยคมก้มลงไม่แม้แต่จะมองหน้าคนที่ยืนค้ำหัวของตัวเองอยู่ตอนนี้แม้ปรายตา คาซึระรู้ว่าทากาสึงิรักอาจารย์โชโยมากขนาดไหน
แต่เขาไม่เคยคิด ว่าทากาสึงิจะกระทำกับร่างกายที่เจ้าตัวคิดว่าเป็นอาจารย์แบบนี้...
มันเจ็บ...แสบร้อนไปหมดทุกที่ที่โดนสัมผัส
ความเจ็บที่หาใช่มาจากปลายประสาท แต่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ...
ทำไม...ทำไมถึงเจ็บถึงขนาดนี้กัน
ร่างสูงในกิโมโนสีม่วงย่อกายลงคุกเข่าตรงหน้า
ฝ่ามือเดิมแตะไล้ไปตามแก้มเนียนแล้วเชยขึ้นให้เงยมามอง
สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาที่พร่าเลือนของคาซึระยามนี้
คือดวงตาสีเขียวข้างเดียวของสหายเก่าที่มองมาอย่างมีความหมายแฝง
ริมฝีปากจุดรอยยิ้มเย็นดูมีเลศนัยเสมอ บ่วงเล่ห์กลที่คาซึระต้องหลงเข้าไปติดทุกที
“ขอโทษครับ
ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณเจ็บหรอก” น้ำเสียงนุ่มทุ้มปลอบประโลม
พร้อมๆกับใบหน้าที่โน้มเข้ามาแล้วกระซิบแผ่วที่ริมหู
“แต่ว่าต่อไปนี้อาจารย์ต้องชดเชยส่วนที่หายไปมาตลอดนะ
อยู่กับผมที่นี่....อยู่ไปตลอดกาล....”
ต้องเป็นตัวแทนของอาจารย์โชโยให้นายไปตลอดกาลใช่ไหม...แล้วนายจะไม่เรียกฉันว่า
‘ซึระ’ อีกต่อไปแล้วใช่ไหม ทากาสึงิ
ฮึ
น่าสมเพชจริงๆ ถึงจะเป็นชื่อที่เกลียดนักเกลียดหนา
แต่ฉันก็ปรารถนาจะให้นายเรียกอีกสักครั้ง...อีกสักครั้งก็ยังดี...ถ้าฉันอยู่กับนายตลอดไป
จะมีสักวันไหมที่นายจะเห็นว่าฉันคือ ซึระ เพื่อนของนาย...ไม่ใช่อาจารย์โชโยที่ล่วงลับไปนานแล้ว...
จะมีวันนั้นไหม
ทากาสึงิ...
“อืม
ฉันจะอยู่กับเธอ...”
คาซึระ
โคทาโร่ นายมันคนอ่อนแอ อ่อนแอเหลือเกิน...
กลิ่นดอกไม้ป่า...หอมฟุ้งอบอวล
ได้ยินเสียงทำนองเพลงครวญ...เศร้าจับใจ
ทันทีที่เปลือกตาบางเปิดรับเช้าวันใหม่
ดวงตาสีน้ำตาลก็หรี่ลงเมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องซึมผ่านผ้าม่านบางอาบทั่วใบหน้า
เมื่อชันตัวขึ้นจากฟูกหนาหนุ่มและมองไปรอบกาย ที่นี่คือคฤหาสน์ของทากาสึงิ
ศูนย์กลางของกองทหารอสุราอย่างไม่มีทางสงสัย กิโมโนตัวเดิมที่เขาใส่มายังอยู่ในสภาพที่เรียบร้อยไม่น่าเป็นห่วง
เพียงข้างๆฟูกมีกิโมโนตัวใหม่พร้อมกับผ้าขนหนูแช่ในกะลังมังน้ำอุ่นเอาไว้ให้ด้วย
คาซึระรีบจัดแจงเนื้อตัว
กิโมโนตัวเดิมไหลลงเลียดบ่ามนเผยให้เห็นรอยแดงเป็นจ้ำๆตัดกับผิวขาวผ่องจากการกระทำอันอุกอาจเมื่อคืน
เมื่อผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นๆลากผ่านช้าๆ
คาซึระยังรู้สึกถึงความชาราวกับว่าหยาดน้ำอุ่นระอุที่ร่วงพรูผ่านซอกคอไม่อาจเทียบกับความร้อนแรงของรอยกดจูบเหล่านี้ได้เพียงเสี้ยว
เสียงดนตรีจากเครื่องสายโบราณยังคงใสพลิ้วขับกล่อมเป็นท่วงทำนองเพลงช้าดุจจะประโคมให้ทุกสรรพสิ่งจมดิ่งสู่ห้วงนิทราที่มืดมิด
ร่างโปร่งบางในกิโมโนสีน้ำเงินคลุมทับด้วยฮาโอริสีดำสนิทเดินออกจากห้อง
เดินไป...ตามเสียงเพลงที่เพรียกหา
จนสุดท้ายเท้าก็หยุดลงตรงชานระเบียงที่หันหน้าเข้าหาสวนหย่อม เพียงเท่านี้คาซึระก็พอจะรู้แล้วว่าสิ่งที่เศร้าสร้อยนั้นคงไม่ใช่มีเพียงเสียงเพลงอย่างเดียว
“เพิ่งรู้ว่าเธอก็มีอารมณ์สุนทรีย์กับเขาเป็น”
คาซึระทักยิ้มๆพร้อมทรุดกายนั่งลงข้างๆกับร่างสูง
ดวงตาสีเขียวของทากาสึงิกลอกมองเขาเพียงชั่วครู่ก่อนจะหันกลับไปในทิศทางเดิม
“สุนทรีย์ที่ไหน อารมณ์ดราม่าต่างหาก...”
ทากาสึงิวางเครื่องดนตรีลงกับพื้นชานระเบียงก่อนจะล้มตัวลงนอนโดยใช้ตักนิ่มของคาซึระต่างหมอนหนุน
พลางเอื้อมมือสางผมสีดำยาวสยายอย่างเบามือ ดวงตาข้างนั้นเริ่มปรือลงคล้ายกำลังจะเข้าสู่นิทรา
สายลมเย็นยามเช้าของเอโดะพัดเอากลิ่นอายดินและดอกไม้หอมรื่นจมูก
แต่คาซึระรู้ดีว่าสำหรับทากาสึงิแล้ว เอโดะแห่งนี้มีแต่กลิ่นเหม็นโสมม
“ผมอยากหลับ...ไม่อยากเห็นมันอีก โลกที่เน่าเฟะใบนี้...ไม่อยากเห็นมัน
จนกว่ามันจะพังทลายย่อยยับด้วยน้ำมือผม”
“ถ้าอยากหลับนัก ก็หลับเสียสิ” คาซึระยิ้มน้อยๆ มือบางลูบเรือนผมสีดำสั้นของอีกฝ่ายช้าๆเป็นจังหวะคล้ายปลอบโยน
น้ำเสียงนุ่มแผ่วดังกังวานชวนฟังไม่ต่างจากเครื่องสายที่ทากาสึงิเล่นเมื่อชั่วครู่
“หลับตาลง...แล้วบอกฉันว่าเธอเห็นอะไรบ้าง”
เปลือกตาค่อยๆปิดลงตามคำพูด
น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นใบหน้าของหัวหน้ากองทัพอสุราจะปล่อยวางไม่คิดอะไร
ผ่านไปราวสองนาทีทากาสึงิกระตุกยิ้มน้อยๆแล้วเริ่มเอ่ยปากเป็นคำตอบสั้นๆ
“เห็นซึระ...”
สิ้นคำพูด
หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะเรื่อยๆของคาซึระได้พลันกระตุกวูบ
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องที่ใบหน้าคนกำลังหลับตาพริ้มอย่างไม่เชื่อหู
“เห็น...ใครนะ?”
“แปลก
เห็นมาตั้งนานตั้งแต่หลับตาแล้ว...เห็นอยู่คนเดียว เห็นซึระ
เห็นมันอยู่คนเดียว....แล้วก็แปลก...ทั้งๆที่หลับตาอยู่แท้ๆแต่ภาพนั้นสว่างจนแสบตา...”
เห็นแต่เขาเหรอ...ยังไงก็เห็นแต่เขางั้นเหรอ
ทากาสึงิ...นายคิดจะทำยังไงกับฉันกันแน่
“จะว่าไปแล้วนะอาจารย์
ซึระกับผมน่ะต่างกันมากทั้งๆที่เรียนกับคุณมาด้วยกันแท้ๆ
เจ้าหมอนั่นคือแสงสว่างเปรียบเหมือนดวงตะวันที่คอยส่องนำทางให้เอโดะพ้นจากยุคมืด
แต่สำหรับผมคือความ ดำมืดที่จะกลืนกินเอโดะให้หายไป
แต่ไม่ว่าใครจะทำวิธีการใด สุดท้ายความเน่าเละที่เกาะกินอยู่ทุกวันนี้ก็ต้องสูญสลายไปอยู่ดี...”
“ซึระคือคนสำคัญของเอโดะ
และเอโดะก็สำคัญกับมันมากเช่นกัน มันถึงยอมสู้ตายถวายหัวเพื่อปกป้องขนาดนั้น คนที่สำคัญจะถูกจารึก
หากซึระตายไปแล้วชื่อของมันคงจะถูกลิขิตเอาไว้ในตำนานวีรบุรุษ...” ทากาสึงิดึงมือบางที่วางอยู่บนหัวของตัวเองมาจับเอาไว้
นิ้วชี้ไล้วนเกลี่ยบนฝ่ามืออย่างเพลิดเพลิน
“แต่สำหรับผมแล้ว
ผมไม่เคยนึกถึงหรอกว่าซึระสำคัญกับผมตรงไหน....มันเป็นคนเดียวที่ผมหลับตาแล้วมองเห็น
จนตอนนี้ก็ยังเห็นอยู่ไม่หายไป...หึ ชักแสบตาแล้วสิ”
ร่างสูงบนตักเริ่มหายใจสม่ำเสมอ
นิ้วแกร่งที่เกลี่ยฝ่ามือบางอยู่ช้าลงๆจนนิ่งไปในที่สุด
ทากาสึงิทิ้งศีรษะหนุนตักของคาซึระอย่างสมบูรณ์
เขาไม่ได้นึกรังเกียจหากทากาสึงิจะยึดเขาเป็นที่พึ่งแล้วหลับลงอย่างสบายใจ ไม่ได้ซ้ำอยากจะให้ท่องไปในโลกแห่งความฝันอันแสนหวานที่เจ้าตัวคิดว่ามีความสุขที่สุด
แต่รู้อะไรบ้างไหมว่า...ที่พึ่งคนนี้ก็รู้สึกเหนื่อยบ้างเหมือนกัน...
ไหล่บางเริ่มสั่นสะท้านจนคุมไม่ค่อยจะอยู่
ขอบตาชักร้อนผ่าว ก้อนอะไรบางอย่างเลื่อนมาจุกอยู่ที่ลำคอ ฝ่ามือข้างหนึ่งกำแน่นกระชับตรงหน้าอกที่ยามนี้มันช่างเจ็บแสนเจ็บ
ส่วนอีกข้างปิดปากตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่ให้ความอ่อนแอใดๆเล็ดลอดออกมาได้
แต่เขาจะทนไปได้อีกนานเพียงใด เมื่อคำพูดทุกคำของทากาสึงิยังคงก้องเวียนอยู่ในโสตประสาทของเขาทุกถ้อยคำ...
“มันเป็นคนเดียวที่ผมหลับตาแล้วมองเห็น
จนตอนนี้ก็ยังเห็นอยู่ไม่หายไป”
นาย...ต้องการอะไรจากฉันกันแน่
“ฮึก...” ตอนนี้
ขอร้อง...ขอเพียงแค่ว่าน้ำตาอย่าเพิ่งไหล...
ขอร้อง...อย่าเพิ่งหลุดเสียงสะอื้น
อย่าทำให้หมอนี่รู้ตัวแล้วตื่นขึ้นมาเห็นความน่าสมเพชของนักแสดงที่กำลังจะหลุดออกนอกบท
ทากาสึงิ...ฉันมีตัวตนอยู่ในจินตภาพของนายเมื่อยามหลับตา
แต่ว่ามันจะมีค่าอะไรอย่างนั้นหรือ?
เมื่อนายลืมตามาเผชิญกับโลกแห่งความจริง
นายกลับเห็นคนอีกคน...
“จะไปไหนขอรับ
คุณคาซึระ” มือขวาแห่งกองทัพอสุราดังขึ้นข้างหลังร่างโปร่งบางที่ยืนกอดอกพิงกับรถม้า
น้ำเสียงที่ไม่สู้จะวางใจนักทำให้คาซึระพอเข้าใจว่าตอนนี้พวกคิเฮไทคิดว่าเขาเป็นของใต้อาณัติไปเสียแล้ว
หาใช่แขกที่มาเยี่ยมเยียน
“ฉันจะไปในเมืองสักหน่อย แต่ถ้านายไม่ไว้ใจ
จะอาสาเป็นคนขับรถม้าตามไปคุมฉันก็ได้”
“หามิได้ขอรับ” อารมณ์ของคาวาคามิยังคงเย็นเยือก “ต้องขออภัยหากคำถามของกระผมทำให้คุณลำบากใจ เพียงแต่ว่าตอนนี้คุณสำคัญต่อชินสุเกะมาก
ถ้าคุณหายไปในขณะที่เขาหลับ ผมเกรงว่าจะทำให้อาการของเขายิ่งทรุด อย่างไรก็ตาม
ถ้าคุณจะไปผมก็ไม่ห้ามครับ แต่ขอเพียงรีบไปรีบกลับก่อนที่ชินสุเกะจะตื่น”
ฟังคำพูดของคาวาคามิแล้วคาซึระขยับยิ้มบางเสริมเค้าโครงหน้าให้งดงามชวนมอง
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นมีแววเจืออารมณ์ขบขัน นึกแปลกใจอย่างว่ากองทัพอสุราจะไว้ใจคนนอกมากเกินไปแล้ว
“แล้วนายไม่กลัวฉันหนีหรือไง ฉายาฉันน่าจะดังระบือมาถึงที่นี่อยู่”
“โคทาโร่จอมหลบหนีใช้ไม่ได้กับชินสุเกะ...กระผมรู้ขอรับว่าคุณไม่หนี”
อา....นั่นสินะ
คาซึระผ่อนลมหายใจออกเบาๆรู้สึกว่าในลำคอตีบตันไปหมด ไม่มีเสียงใดที่จะเอ่ยโต้แย้ง
ร่างบางหันกลับไปแล้วลงมือปลดชนักตัวเกี้ยวที่ติดอยู่กับรถม้า
ก่อนจะกระโดดขึ้นคร่อม แล้วสะบัดบังเหียนให้ม้าห้อตะบึงออกไปด้วยความเร็วทันที
ลมที่โชยมาปะทะใบหน้า
เป็นเครื่องบอกอย่างดีว่าร่างกายของเขาถูกพาให้เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว
เขาอยู่ห่างไกลออกไปจากคฤหาสน์ของทากาสึงิทุกทีๆ แต่ความรู้สึกนี่มันอะไร
มันเหมือนกับมีด้ายบางๆผูกลึกเข้าไปตรงหน้าอกด้านซ้ายของเขา
เป็นด้ายที่ยาวมาก...หากวิ่งไปเท่าไหร่ก็ไม่มีวันขาด แต่ถ้าหากคิดจะหนีเมื่อไหร่ มันจะออกแรงดึงจนรู้สึกเจ็บมหาศาล
ฮึ..โคทาโร่จอมหลบหนี
คงจะได้สิ้นชื่อก็ครานี้...
หัวใจเจ้าเอย...ข้าขอโทษที่ปล่อยให้เจ้าไร้ซึ่งอิสระภาพ
ตั้งแต่เมื่อก่อนจวบจนปัจจุบัน
.
.
.
TBC...
โอ้ววววว ชีวิตคาซึระของเจ๊ช่างอาภัพนักT^T
ตอบลบโอ้ววววว ชีวิตคาซึระของเจ๊ช่างอาภัพนักT^T
ตอบลบ