หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

S.Fic Gintama [TakaZura] เมื่อหลับตา ยังเห็นตะวันทอแสง ENDING




S.Fic Gintama [TakasugiXKatsura]
NC-17 
Romantic Drama
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ฟิคเรื่องนี้เป็นฟิคที่แต่งมานานมากแล้ว เป็นฟิคกินทามะเรื่องแรกที่คลอดออกมาเพราะทนไม่ไหวกับความสัมพันธ์ของสองคนนี้จริงๆ อารมณ์มันเลยออกมาเป็นฟิคที่สมควรปาหม้อ ถัง กะละมัง ไห มาก ฮะๆ สูดลมหายใจก่อนอ่านจ้ะ

อันนี้ไม่ใช่คำเตือน ไม่ใช่คำแนะนำ แต่เป็นคำสั่ง (เห้ย!) หากไม่รังเกียจ เปิดฟังเพลงนี้คลอไป จะได้อารมณ์และมีอรรถรสยิ่งขึ้นค่ะ อิอิ >..< ปาฏิหาริย์ที่รอคอย Calories Blah Blah




เมื่อหลับตา ยังเห็นตะวันทอแสง




กลางเมืองคาบุกิโจ


ยามกลางวันเช่นนี้ คาบุกิโจยังคงสดใสและคลาคล่ำไปด้วยผู้คนทั้งมนุษย์โลกและชาวสวรรค์ ร่างสูงโปร่งผมยาวสยายดีดำขลับจูงม้าเดินไปตามท้องถนนปิดบังหน้าตาด้วยหมวกสานทรงคล้ายสามเหลี่ยมใบใหญ่เผื่อว่าจะมีชินเซ็นงุมิคนใดหนึ่งครึ้มออกมาตรวจตราบ้านเมืองตอนนี้ จุดประสงค์ที่คาซึระกลับมาในเมืองอย่างแรกก็เพราะห่วงพวกกลุ่มซามูไรขับไล่ต่างแดนและอลิซาเบ็ธที่อาจออกตามหาเขาจนวุ่นวาย และอีกอย่างก็เพื่อมาพบคนๆหนึ่งและบอกถึงอาการของทากาสึงิให้หมอนั่นรับรู้ ถึงแม้ว่าบอกไปแล้วสิ่งที่ได้กลับมามันจะเป็นความไม่สนใจไยดีก็ตาม


แต่ว่าตอนนี้หมอนั่นจะอยู่ที่บ้านหรือเปล่า...


คาซึระเดินผ่านตรอกซอยที่ตนทะลุปรุโปร่ง นับว่าตามช่องเล็กๆต่างๆในคาบุกิโจจะเป็นเพื่อนสนิทของเขาแล้วก็ว่าได้ พลางสายตาสอดส่องไปมาซ้ายขวาดูลาดเลาของชินเซ็นงุมิด้วยความไม่ประมาท


แต่ว่า..!


“อุ๊บ!” มีมือปริศนาโผล่มาจากหลืบเล็กๆแล้วคว้าปิดปากของคาซึระเอาไว้อย่างแน่นหนาพร้อมท่อนแขนแข็งแรงอีกข้างรั้งเอวบางให้เข้าไปในซอกอย่างรวดเร็ว ด้วยสัญชาติญาณแห่งนักรบทำให้เขาป่ายมือคว้าด้ามดาบอย่างรวดเร็ว แต่ผู้บุกรุกก็เหมือนนกรู้ มันกดข้อแขนด้านขวาของเขาไว้ด้วยกำลังจนไม่อาจเขยื้อน แล้วคาซึระจะทำอย่างไรได้ตอนนี้ นอกจากดิ้นสุดกำลัง


“ชี่! อย่าดิ้นได้มั้ยวะ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นเคยดีดังแผ่วที่ริมหู ทำให้อาการตื่นตระหนกลดฮวบลงไปจนไม่เหลือ ใบหน้าคมสวยสะบัดไปมองข้างหลัง สิ่งที่เป็นประจักษ์ก็คือผู้ชายรูปร่างสูงเรือนผมหยักศกสีเงิน ใบหน้ายังคงด้านตายไม่เปลี่ยน แต่คาซึระกลับโล่งใจพึลึกที่ได้มาเจอหน้าหมอนี่อีกครั้ง


“กินโทกิ!?...”


“เรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยหรือเปล่า? ซึระ”





หนึ่งซามูไรขับไล่ต่างแดนกับอีกหนึ่งอดีตทรุดกายลงนั่งบนม้านั่งยาวข้างถนน ม้าที่ยืมมาจากคฤหาสน์ของทากาสึงิยืนอย่างสงบด้วยบังเหียนที่ถืออยู่ในมือบาง บรรยากาศเริ่มไม่แจ่มใสด้วยที่ว่าบนท้องฟ้าชักมีเมฆสีเทาครึ้มบางส่วนบดบังท้องนภาสีฟ้ากระจ่าง ไอแสงแดดหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับบรรยากาศระหว่างคนที่ขึ้นชื่อว่าเพื่อนเป็นเพื่อนตายอย่างซากาตะ กินโทกิ และคาซึระ โคทาโร่ในยามนี้


“แกหายไปไหนมา ทำอย่างนี้บ่อยๆก็แย่สิว้า ตอนนี้มีตัวประหลาดสีขาวๆที่ไหนก็ไม่รู้ไปหาฉันทุกวี่ทุกวันแล้วบอกว่าตามหาแกไม่เจอ”


น้ำเสียงฉอเลาะบ่นแสดงความหน่าย แต่คู่สนทนายังคงนิ่งเงียบฟัง ดวงหน้าสวยคมยังคงเรียบเฉยเย็นชา ซึ่งแม้ว่าจะเป็นสีหน้าปกติของคาซึระ แต่สำหรับเพื่อนที่คบกันมานานมากแล้วอย่างกินโทกิ ย่อมรู้สึกได้ว่ามันต่างออกไปจากทุกที แม้พยายามเงี่ยหูฟังเสียงร่ำร้องที่เผื่อจะหลุดออกมา แต่กินโทกิก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรจากคาซึระเลย...


เมื่อปากไม่พูด...ซ้ำหัวใจดวงนั้นยังคงเป็นใบ้ ไร้ซึ่งสำเนียงใดๆที่จะแสดงออกมาทางสายตาซึ่งเป็นดั่งหน้าต่างของหัวใจ


หมอนั่นขังแกไว้อีกแล้วสินะ...


“หนีไม่พ้นอีกแล้วงั้นหรือ ซึระ? ฉันเห็นเชือกที่คมดาบเหล็กกล้าใดก็ไม่มีวันตัดขาดพันตัวแกเต็มไปหมด” กินโทกิยิ้มเย็นเมื่อปรายสายตามองเพื่อนชัดๆตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกด้วยความปลงกับนิสัยของเพื่อน นิสัยเก่าๆแย่ๆที่แก้ไม่หายสักที


“ชอบทำตัวเสียสละ อุทิศตนเป็นประโยชน์กับคนอื่นทุกทีเลยแกนี่น้า...ถามหน่อยเถอะ เหนื่อย บ้างมั้ย?


เท่านั้นคาซึระก็หลุดหัวเราะ พร้อมเบือนหน้าไปมองเพื่อนด้วยดวงตาขบขัน ทั้งที่ความจริงตอนนี้มันอยู่ในสถานการณ์หัวเราะไม่ออกด้วยซ้ำ


“ฮึ ก็เพราะแกดันทิ้งหนังสือของอาจารย์โชโยเล่มนั้นไปน่ะสิ เลยจำไม่ได้ว่ากฎเหล็กของซามูไรที่สำคัญที่สุดคือ การเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม อุทิศร่างกายให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนและมาตุภูมิจนกระทั่งโลหิตหยาดสุดท้ายจะหลั่งไหล...” ดวงตาคมสวยปรือลงก้มมองมือตัวเองที่จับกันแน่นบนตัก ดวงหน้าวาดรอยยิ้มบางเบายิ่งทำให้งามละมุนตาชวนมอง


“มันก็ต้องมีบ้างที่จะเหนื่อย...มีบ้างที่ทำไปแล้วไม่ได้ผลตอบแทน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเกี่ยง หากจิตวิญญาณแกที่เดินตรงตามทางนี้อยู่ แกก็น่าจะรู้ ว่าฉันละทิ้งมันไม่ได้”


ฟังเพื่อนรักหัวแข็งพล่ามกฎแห่งซามูไรฉบับส่วนตัวจบ มือใหญ่ยกขึ้นเกาหัวตัวเองทำให้ผมยิ่งยุ่งเข้าไปอีก จนดูเหมือนตาลุงขี้เมา ตบท้ายด้วยหาวอีกหนึ่งหวอดอย่างไม่เกรงใจ


แต่เมื่อใบหน้าไร้ชีวานั้นหันกลับมามองทางเขา ดวงตาที่จ้องลึกลงมากลับเปี่ยมไปด้วยความจริงจัง... ดวงตาที่ประกายเจิดจ้าของชิโร่ยาฉะ


“ก็เพราะแกไม่เลือกปฏิบัติแกถึงต้องเหนื่อยไง ไอ้เรื่องอุทิศกายถวายแผ่นดินน่ะฉันพอจะนึกออกรางๆ แต่บอกฉันหน่อยได้มั้ยซึระ...”


“.....”


“......ว่ามีกฎข้อไหนที่บอกว่าจงเสียสละหัวใจให้กับคนที่ไม่รู้จักคุณค่าของมันบ้าง?


สิ้นประโยคความเงียบก็คืบคลาน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่สวยเบิกโตสบกับดวงตาอีกคู่ที่แม้จะไร้ชีวาแต่ก็ต้องการเค้นเอาคำตอบ แล้วถ้าหากไม่ได้รู้สึกไปเอง คาซึระสัมผัสได้ถึงไอความเศร้าบางๆส่งผ่านมา ร่างกายทั้งร่างนิ่งงัน ภาพในอดีตผุดขึ้นมาหลอนเป็นฉากๆ ภาพที่เขาสามคนยังเป็นเด็ก ยังเรียนอยู่ด้วยกัน กลีบซากุระสีชมพูหวานปลิวว่อนเข้ามาในห้องเรียน ทุกสายตาที่จับจ้องไปที่ครูผู้สอนด้วยความตั้งใจ เว้นเสียก็แต่สายตาของเด็กชายผมหยักศกสีเงิน แล้วก็ตรงข้ามที่มีสายตาของใครบางคนจ้องมองอย่างไม่กระพริบ


และปัจจุบันนี้ สิ่งที่คนๆนั้นมอง ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง


และจะทำลายโลกใบนี้ให้กลายเป็นเศษเถ้าธุลีเฉกเช่นร่างกายของอาจารย์โชโย...


คาซึระเม้มริมฝีปากบางแน่นเพื่อคุมไม่ให้มันสั่นระริก ดวงหน้างามเสไปมองทางอื่นเมื่อเริ่มรู้สึกว่าภาพที่ดวงตามองเห็นมันชักจะพร่าเลือนเพราะค่อยมีน้ำอุ่นๆเอ่อล้น หัวใจข้างในหนาวเหน็บยิ่งกว่าสายลมหนาวก่อนที่ฝนจะสาดเท มันคือความอ้างว้าง สูญสิ้นตัวตน เหมือนกับว่าคาซึระ โคทาโร่นั้นกำลังจะตายไปจากโลกนี้อย่างช้าๆ


ซึระคนที่พวกนายเรียกจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว...


“กินโทกิ...ฉันฝากแกดูแลอลิซาเบ็ธไปอีกสักพัก ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ฉันจะมารับคืน”


“เฮ้ย!ซึระ...”


“ไม่ต้องห่วงน่า...เดี๋ยวฉันเลี้ยงพาเฟ่ต์แกแบบไม่อั้นเป็นการตอบแทนก็ได้”


ร่างโปร่งบางลุกขึ้นเมื่อเห็นสมควรแก่เวลา เขาพยายามคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นสะอื้น ทั้งๆใบหน้าซึ่งปกปิดด้วยหมวกสานนั้นมีหยาดน้ำตาไหลรินเป็นสายไม่หยุด กินโทกินี่อาจเป็นครั้งสุดท้าย อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะบอกลาเพื่อนสนิทที่สุดด้วยชื่อซึระ ก็เป็นได้


“ฉัน...ไปก่อนนะกินโทกิ ดูแลสุขภาพด้วย อย่าสร้างความลำบากให้พวกหัวหน้ามากนักล่ะ”


เพียงเท่านั้นแล้วก็กระโดดขึ้นคร่อมม้า แล้วควบออกไปอย่างรวดเร็วหายไปกับความมืดมนของท้องฟ้าเมื่อใกล้ฝนตก ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมจากเส้นผมยาวสยายโชยมากับสายลม ทิ้งให้ใครบางคนนั่งมองเพื่อนรักที่จากไปโดยไม่ทันคว้า สิ่งที่กินโทกิทำได้ตอนนี้ก็มีแต่อวยพรเงียบๆเท่านั้น


โชคดีล่ะ ซึระ รีบกลับนั่นล่ะดี เพราะฝนใกล้ตกแล้ว...


ว่าแล้วมือใหญ่ก็เผลอวางลงบนที่คาซึระนั่งเมื่อสักครู่ ก็สัมผัสถึงหยดน้ำใสอุ่นๆซึมผ่านนิ้วมือ ใบหน้าหล่อเหลาชะงักนิ่งไปก่อนที่จะกลับสู่ความเรียบเฉยดังเก่า เขาเงยขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง พลันหยาดน้ำเย็นๆก็ร่วงลงมาหล่นลงบนพื้นดังเปาะแปะ จากหนึ่งหยดเป็นสองหยด จากสองเป็นสิบ จากนั้นก็เทลงมาจนนับไม่ถ้วน

ครืนนน ซ่า!


นี่ซึระ...ฝนวันนี้มันแปลกๆนะ มันเย็นจับขั้วหัวใจทุกเม็ดขนาดนี้...แต่ทำไมเม็ดแรก...


มันถึงอุ่นได้ล่ะ...?





กุบๆๆ


เสียงฝีเท้าม้าชะลอลงกระทบกับก้อนกรวดแทรกเสียงสายฝนเทกระหน่ำที่หน้าคฤหาสน์ศูนย์บัญชาการหลักแห่งกองทัพอสุรา ร่างกายบอบบางก้าวลงจากหลังม้า ทุกครั้งที่คลื่นลมพัดเป็นระลอกปะทะร่างกายก็คล้ายกับจะเซล้ม ยูกาตะสีน้ำเงินเข้าแนบกับผิวเนื้อขาวผ่อง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มไร้ความรู้สึก ไร้ซึ่งวิญญาณ ปอยผมสีดำขลับที่ปรกข้างเปียกโชกแนบกับเค้าหน้าสวยเกินบุรุษเพศ เมื่อเขาเดินท่ามกลางหยาดเม็ดฝนที่พรูร่วงราวกับทั้งโลกใบนี้จมอยู่กับความเศร้าและมืดมนไร้ซึ่งแสงของดวงตะวันส่องทอ


ครืนนนนนน ซ่า!! ซ่า!!


เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถงติดกับชานระเบียงหน้าคฤหาสน์ ความมืดสลัวในห้องแทบจะมองไม่เห็นอะไร หากไม่ใช่ว่ามีคนบางคนมายืนหันหลังรอรับในมือถือโคมไฟส่องสว่าง เป็นคนที่คาซึระคุ้นตาแล้วไม่อยากเห็นมากที่สุด เขายังอยู่ในกิโมโนสีม่วงตัวเดิม ยังคงนิ่งเยือกเย็นไม่สนใจอะไรเหมือนเดิม แล้วนี่ต้องการให้เขาทำอะไรให้อีก ต้องทักทายว่า กลับมาแล้วนะ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอีกหรือเปล่า?


“กลับ..”


“ไปหากินโทกิมาใช่มั้ย” คำพูดด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มเย็นชาที่ไม่คาดคิดเอ่ยเรียบๆทำให้คาซึระถึงกับเบิกตาขึ้นด้วยความไม่เชื่อหู หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำกับบรรยากาศที่มันผิดปกติไปจากเดิม


“นาย...พูดอะไร”


ทากาสึงิหัวเราะในลำคอด้วยอารมณ์ขันหรือเหยียดหยามไม่แน่ใจ เขาแขวนโคมไฟไว้กับข้างผนังแล้วหันหน้ากลับมาประจันกับเขา สีหน้าและแววตาเพียงข้างเดียวที่จ้องมองมาทำให้ร่างโปร่งบางถึงกับสะดุ้งเฮือก ดวงตาสีเขียวเข้มนั้นโชนแสงโรจน์ราวกับสัตว์ป่า ริมฝีปากที่กรีดรอยยิ้มเหยียดส่งกลิ่นอันตรายจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน


“อย่าให้ต้องพูดซ้ำสิ” เพียงเท่านั้นร่างสูงที่อยู่ห่างออกไปถึงสองวาก็เข้าประชิดตัวเพียงเสี้ยววินาที ฝ่ามือแกร่งดันไหล่มนติดกระแทกกับฝาผนังอย่างแรงจนคาซึระนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด ซ้ำมือนั้นยังออกแรงบีบแน่นราวกับว่าจะป่นกระดูกของเขาให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ! แต่เจ็บแค่นี้มันต่างกัน...มันเทียบกันไม่ได้เลย เทียบไม่ได้กับหัวใจที่มันเจ็บเพราะสายตาที่นายมองมา


“คิดจะทำอะไรน่ะ ทากาสึงิคุ..”


“ฉันถามว่านายไปเจอกินโทกิมาอย่างนั้นเหรอ.... ซึระ”


ดวงตาของคาซึระเบิกโตขึ้นเมื่อจบคำเรียกที่ไม่ได้ยินมานาน ร่างทั้งร่างชาวาบไม่รู้สึกใดๆคล้ายตัวเขาไร้น้ำหนักไปโดยสิ้นเชิง รอบกายว่างเปล่าราวกับว่าโลกใบนี้สูญสิ้นพื้นปฐพี มีเพียงอากาศที่ลอยเคว้างคว้าง ดวงตาคู่นั้นสั่นระริกจนไม่สามารถคุมให้มันสู้อีกฝ่ายได้อย่างนิ่งเฉยอีกต่อไปแล้ว  


ไปเจอกินโทกิมาอย่างนั้นเหรอ.... ซึระ


...........ซึระ


เพราะมันยังคงก้องกังวานเวียนวน


เมื่อกี้...นายเรียกชื่อฉัน...


นายเรียกฉันว่า ซึระไม่ใช่ อาจารย์


ทากาสึงิ....



นายเห็นฉันเป็นตัวอะไรกันแน่!!


“ทากาสึงิ...ฉันเกลียดนาย เกลียดนายจนเหนื่อยหัวใจแล้ว แล้วก็เกลียดที่ต้องมาเล่นละครตบตาคนป่วยทางจิตที่ไม่มีวันตื่นอย่างนาย นาย...จะทำให้ฉันเหนื่อยไปอีกมากเท่าไหร่ถึงจะพอใจ ต้องปั่นหัวฉันเล่นไปถึงเท่าไหร่”


เมื่อสักครู่นี้หัวใจของเขาร่ำร้องออกมาว่ามันเจ็บเจียนตาย แต่ตอนนี้มันไม่ได้เจ็บเพิ่มขึ้นเลย เพราะมันไม่มีมากขึ้นจากที่เป็นอยู่...เมื่อไรที่ถูกทากาสึงิทำแบบนี้เขาก็ทรมานที่สุดอยู่แล้ว...มันถึงที่สุดแล้ว...


“ปล่อยฉันไปเถอะ...ปล่อยให้ฉันกลับสู่ความอิสระ หากนายไม่คิดจริงจังกับความรู้สึกที่เป็นปมในใจของนาย และไม่ไยดีความรู้สึกของฉันแบบนี้ ปล่อยฉัน!!” คาซึระออกแรงผลักคนตรงหน้าที่ยืนกดไหล่เขาอยู่อย่างแน่นหนา แต่ดูท่าว่าจะไม่เป็นผล เพราะนอกจากจะไม่เขยื้อนเพียงนิดแล้ว ทากาสึงิยังออกแรงบีบเข้าไปอีกจนกระดูกเขาลั่น ดวงหน้าคมคายยื่นเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นๆรินรดเคลียอยู่ที่แก้มเนียน หากแต่ดวงตาและน้ำเสียงนั้นเยือกย็นน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าระลอกฝนซัดสาดพร้อมกับพายุแรง


“ไม่จริงจังงั้นเหรอ? หึ! ที่ผ่านมาฉันไม่เคยทำให้แกรู้เลยงั้นสินะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะเอาจริงให้แกดู!!” พูดจบทากาสึงิก็จัดการเหวี่ยงร่างบางที่เรี่ยวแรงน้อยกว่าเขาหลายเท่าลงกับพื้นเสื่อทาทามิที่แสนหยาบกระด้าง แล้วโถมตัวคร่อมราวสัตว์ป่ากระหายเหยื่อ เขารู้ว่าร่างกายของคาซึระต้องช้ำระบม แต่ตอนนี้มันมีอะไรน่าสนใจ มีอะไรที่น่าสนใจยิ่งกว่าทำให้คนตรงหน้ารู้ว่าเขาไม่เคยล้อเล่นกับความรู้สึกของใครเลยแม้แต่วินาทีเดียว!
                                                                                                                          

ทั้งอาจารย์โชโย ทั้งแก ก็ไม่มีใครรู้สึกได้ทั้งนั้น


“ถ้าไม่แตะต้องแล้วแกไม่รับรู้ ฉันคงต้องเปลี่ยนวิธีเป็นสลักลงกับร่างกายแกล่ะมั้ง ซึระ “


“ทากาสึงิ นี่แก อุ๊บ อื้อออออ!!” ริมฝีปากบางถูกปิดก่อนที่จะร้องห้ามอะไรทั้งสิ้น จุมพิตร้อนแรงและดุดันครอบครองไล้เลียอย่างระห่ำราวกับเอาเหล็กเผาไฟร้อนๆมานาบ ถึงแม้เขาจะต่อต้านเพียงใด ก็ไม่อาจสู้แรงของคนตรงหน้าได้สักนิด ลิ้นนั้นยังคงแทรกเข้ามาตักตวงหาความหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักหยุดหย่อน ทั้งๆที่รู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่คาซึระให้เขาตอนนี้ได้นั้นมีแต่ความขมขื่นและฝืนทนเท่านั้น แต่เพราะคาซึระเป็นแบบนี้ หัวแข็ง ปากไม่ตรงกับใจอย่างนี้ ต่อให้อีกฝ่ายไม่มีสิ่งที่เขาต้องการ เขาก็จะช่วงชิงมันมาครอบครองให้ได้!


“ฮึก..หยุด... หยุดเถอะ...นะ”


ไม่นานนักเสียงร้องครวญขอร้องเจือหอบระทวยรวยรินก็ดังชัดอยู่ที่ริมหู แต่ทากาสึงิกลับเหยียดยิ้มออกมาอย่างสมปรารถนา เพราะเสียงที่เขาได้ยินดันมีเสียงสะอื้นที่คาซึระกลั้นเอาไว้อย่างดีเล็ดลอดออกมาด้วย หยาดน้ำตารินไหลเปื้อนแก้มกับดวงตาที่แดงก่ำนั้นเป็นหลักฐานอย่างดี เรือนผมสีดำขลับเปียกปอนไปด้วยน้ำฝนแผ่กระจายเต็มผืนเสื่อ ผนวกกับหยดน้ำฝนที่เกาะตามเรือนร่างขาวผ่องยิ่งทำให้คนมองอดใจไว้ไม่อยู่


“ทากาสึงิ อ๊ะ!” จมูกโด่งคมฝังลงกับซอกคออุ่นระอุ ริมฝีปากร้อนพรมกดจูบไปทั่วทุกที่ที่เอื้อมไปสัมผัสได้ กลิ่นหอมรัญจวนที่เป็นไอระเหยปะปนกับน้ำฝนทำเอาทากาสึงิแทบคลั่ง มือสองข้างกระชากกิโมโนเปียกโชกออกเผยให้เห็นร่างกายบอบบางไม่สมกับภาระหน้าที่ซามูไรที่แสนจะภาคภูมิใจ...จะเอาทั้งหมด...จะครอบครองทั้งหมด ทั้งร่างกายที่หอมหวลนี้ ทั้งหัวใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง จะดึงดวงอาทิตย์ที่ทอแสงอย่างสูงส่งให้ตกลงมาเปื้อนเปรอะกับความดำมืดและกลิ่นคาวแห่งเลือดและโลกีย์


กลิ่นเส้นผม น้ำตา เรือนร่างของแกที่ฉันกำลังสัมผัส ฉันจะลบแสงแสบตานั้นออกไปให้หมด


ดวงตะวันแห่งเอโดะที่ผู้คนฝากความหวังจะต้องดับมอดแล้วมาอยู่ในมือของฉันคนนี้


“อ๊า!!! หยุด! หยุด! ไม่เอานะ ฮึกก!!” ร้องออกมา...นั่นแหล่ะ คายความบริสุทธิ์ของนายออกมาให้ฉันเหยียบย่ำซะ คายแสงน่ารำคาญนั่นให้ฉันย้อมมันเป็นความมืดมิด ดี...อย่างนั้นแหล่ะ ซึระ กรีดร้องให้มันดังๆ แกจะได้รู้ว่าเข้ามาติดบ่วงดพันธนาการของฉันแล้ว ต่อให้เป็นความสว่างเจิดจ้าเพียงใด ก็ไม่มีวันกลับออกไปจากความมืดแห่งนี้เป็นครั้งที่สอง!


อารมณ์รักร้อนแรงรีดเค้นน้ำตาแห่งความทุกข์ระทมของคาซึระออกมาจนหมด ร่างกายที่อ่อนเพลียฟุบสลบลงกับพื้นเสื่อ นิ้วมือแกร่งไล้เคลียไปตามเส้นผมนิ่มลื่นที่ชื้นไปทั้งน้ำฝนและหยาดเหงื่อด้วยแววตาที่ไร้หัวใจ ฉับพลันดวงตาสีเขียวคู่เดิมนั้นก็เบิกขึ้นโชนโรจน์ ฟันระเบียบขบกันดังกรอด เผลอกำปอยผมอีกฝ่ายแล้วบีบอย่างแรงจนมือสั่น


เห็นอีกแล้ว...ยังเห็นอยู่อีกเมื่อยามหลับตา


แสง....แสงสว่างของดวงตะวันที่ส่องทอ แม้จะไม่เปล่งประกายเจิดจ้า แต่ก็อบอุ่นอ่อนโยนเฉกเช่นยามอัสดงที่สาดส่องให้ท้องฟ้ายังคงพ้นจากสีแห่งอนธกาล


ซึระ...ทำไม...




ทำไมแกไม่คู่ควรกับความดำมืดนี้เลยสักนิด....








กลางดึกสงัด สายฝนหยุดโปรยพรำ ท้องฟ้าเปิดใส...


แต่มีหัวใจใครที่ยังเศร้าหมอง....



คาซึระลุกขึ้นอย่างยากลำบากในห้องพักห้องเดิม มองไปเห็นเพียงแต่แสงสลัวจากโคมไฟกระดาษสาสีส้มอ่อน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหม่นเคล้าไปด้วยราคิณไม่สดใสงดงามดังเดิม เขาหยิบดาบที่อยู่ข้างกายแล้วชันกายยืนขึ้นแล้วเดินออกไป ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบนั้น คาซึระยังจำสายตาของทากาสึงิที่มองมาทางเขาได้อย่างแม่นยำ นายกำลังคิดอยู่ใช่มั้ยว่าชีวิตนี้ฉันจะหนีนายพ้นหรือเปล่า


อยากรู้งั้นเหรอทากาสึงิ...ฉันจะลองหนีนายให้ดู!


ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกวดมองซ้ายและขวาอย่างรอบคอบสมประสบการณ์ คงเป็นเพราะว่าฝนตก คบเพลิงรอบคฤหาสน์ถึงได้มอดไหม้จนมองแทบไม่เห็น แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคต่อบุคคลที่มีสายตาดีและเป็นจอมหลบหนีมาแล้วทุกสถานการณ์อย่างคาซึระ โคทาโร่


ร่างโปร่งบางลอบเข้าไปในคอกม้าหลังหลังโรงงานใหญ่ของกองทัพอสุรา อาชาลักษณะดีหลายสิบตัวยืนเรียงรายอยู่ในรั้วไม้กั้นแน่นหนา สายตาคมปราดของนักรบผู้เจนสนามศึกมองเพียงแว้บเดียวก่อนจะเดินเข้าไปหาม้าตัวเดิมที่พาเขาเข้าไปในเมืองคาบุกิโจ มือบางลูบขนที่คอของมันอย่างทะนุถนอมก่อนที่จะถือบังเหียนแล้วจูงมันออกมาอย่างง่ายดาย


คาซึระเดินออกมาห่างจากคฤหาสน์พอสมควร ก้าวแต่ละก้าวที่มักจะเบาหวิวเมื่อยามหลบหนียามนี้มันหนักอึ้ง พันธนาการของหมอนั่นยังคงหลอกหลอนเขาจนความเจ็บแปลบที่มีแล่นไปทั่วร่างกาย มันยังคงออกฤทธิ์อย่างไม่มีทางอ่อนข้อ เช่นเดียวกัน...เจ้าของพันธนาการนั้นก็ยังตามเขามาเงียบๆอย่างไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย ร่างสูงในชุดกิโมโนสีม่วงตัวเดิมยืนขวางทางอยู่ตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้


รู้เพียงอย่างเดียวคือในดวงตานั้น...ยังไร้หัวใจเหมือนเดิม...


“นี่แกคิดจะไปไหน”


“หนีไง ไม่น่าถาม” คาซึระตอบตรง แต่ดวงหน้าสวยสง่ากลับเบือนหลบไปอีกทางอย่างชัดเจน สะท้อนได้เลยว่า ตอนนี้ความรู้สึกของเขายังเจ็บปวดเกินกว่าที่จะมองหน้าทากาสึงิ “หลีกไปซะ”


“สารรูปแบบนี้ยังคิดจะหนีอีก หึๆ ซึระ แกคิดว่าคนอย่างฉันจะยอมปล่อยของๆตัวเองให้หายไปได้งั้นเหรอ....”


“ฉันชื่อคาซึระ ไม่ใช่ของๆใคร ความจริงที่ฉันมาที่นี่ก็เพียงแค่เพราะมาเยี่ยมนายที่ป่วยทางจิต ละเมอเพ้อพกเพราะฝันร้ายไม่ดูวัย ถ้าหายสนิทแล้วฉันก็คงต้องกลับสักที” เสียงนุ่มไร้เยื่อใยสมกับใบหน้าที่นิ่งเฉยทำให้ทากาสึงิถึงกับขมวดคิ้ว เพราะเขาเล่นเบาไปหรือเปล่า คาซึระถึงยังลุกขึ้นมาคิดจะหนีซ้ำยังมาปากเก่งใส่เขาแบบนี้



“ถ้าอยากไปก็ไป”


เสียงทุ้มต่ำเยือกเย็นเอ่ยอนุญาต เป็นคำพูดที่คาซึระไม่ทันคาดคิด สายลมเย็นหลังฝนพัดซ้ำเป็นระลอกชวนให้เหน็บหนาว เห็นได้ชัดว่าทากาสึงิไม่ได้สนใจเขาเหมือนเดิม ไม่ได้เสียดาย ไม่ได้อยากฉุดรั้ง พันธนาการอะไรนั่นทากาสึงิไม่ได้เป็นคนเอามาสวมให้เขา เป็นเขาเองต่างหากที่เอาเจ้าพวกนั้นมามัดไว้เอง มามัดกับตัวด้วยความโง่เขลาว่าถ้าหากยังอยู่ใกล้ๆกันแบบนี้ ทากาสึงิจะคิดหันมามองเขาบ้าง


พอแล้ว คาซึระ โคทาโร่ นายเหนื่อยมามากแล้ว ถอดมันทิ้งไปซะ แล้วหนีไป หนีไปให้ไกลที่สุดให้สมกับอิสรภาพ....อย่าได้เหลียวหลังกลับมามองมัน....เป็นครั้งที่สอง


คาซึระเริ่มก้าวเท้าเข้าไปใกล้คนตรงหน้าเรื่อยๆ ความเจ็บปวดกัดกินหัวใจหนักขึ้นๆจนต้องยกมือขึ้นกดหัวใจข้างซ้ายเอาไว้ กล้ามเนื้อขาเริ่มแข็งและไร้เรี่ยวแรง ใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งอยากหยุด ใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งไม่อยากหนี แต่สิ่งที่เขาต้องทำแม้ว่าหัวใจจะถูกด้ายพันธนาการต้องบาดเป็นริ้วๆก็ตามก็คือเดินผ่านพ้นคนตรงหน้าไปให้ได้ มันจะมีอยู่เสี้ยววินาทีเดียวที่ต้องทน


เสี้ยววินาทีที่ต้องเดินผ่าน......


หมับ!


ทันใด อ้อมแขนแกร่งก็รั้งร่างของเขาเข้าสู่อ้อมแขนแล้วกระชับแน่น เป็นเสี้ยววินาทีเดียวจริงๆที่ต้องทน ทนผลักใสความรู้สึกอบอุ่นและห่วงใยที่คนๆนี้ส่งผ่านมา ต้องทนอีกแล้ว...ต้องทนไม่รับอ้อมกอดของนายอีกแล้ว แม้ว่าครั้งนี้ มันจะเป็นของฉันก็ตาม....


“ทำอะไร...ปล่อยสิ”


“ไม่ต้องห่วง ก็แค่กอดอำลาเท่านั้นเอง”


คาซึระนิ่งงัน ปล่อยให้ทากาสึงิกอดเขาอย่างเนิ่นนานท่ามกลางความเงียบสงัด ไร้เสียงเรไรขับขาน ไร้เสียงลมพัด มีเพียงเสียงของหัวใจคนสองคนที่แนบชิดไร้ช่องว่างเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ทุกอณูความรู้สึกที่ถ่ายทอดส่งมา อ้อมกอดอันอ่อนโยนที่ช่วยชโลมจิตใจทำให้คาซึระต้องกลั้นน้ำตา เขาไม่อาจรับมันเอาไว้ มันเหนื่อยจนเกินทนที่จะต้องมาแบกรับความรู้สึกเอาไว้อีกต่อไปแล้ว จะต้องทิ้งมันเอาไว้ที่นี่ทั้งหมด หัวใจเจ้าเอ๋ย...เจ้าจงรู้จักเข็ดหลาบเสียบ้าง แผลที่โดนกระทำมายังไม่หายขาด อย่าริอ่านเอามันมาทำร้ายเจ้าซ้ำสองเลย


“ไปซะ” ทากาสึงิออกแรงดันร่างโปร่งบางให้ห่างกายก่อนจะหันกลังกลับไม่มองหน้า มีเพียงประโยคสั้นๆที่เอ่ยทิ้งท้ายแทนคำว่าลา “แล้วอย่าโง่มาติดแผนของฉันอีกล่ะ”


คาซึระขึ้นคร่อมม้าแล้วหันกลับมามองหัวหน้ากลุ่มคิเฮไทอีกครั้งหนึ่ง แล้วตอบรับเสียงแผ่วเบา พยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้มันสั่นเครือจนอีกฝ่ายจับได้แล้วหันมามองว่าดวงตาของเขานั้นมันชักจะแดงก่ำแล้วมีน้ำอุ่นๆคลอปริ่ม


“ไม่ได้โง่....แต่แกล้งโง่ต่างหากล่ะ”


ทากาสึงิหลุดยิ้ม รู้สึกเจ็บใจตัวเองที่ว่าพอเป็นคาซึระทีไร แผนการของเขาจะเต็มไปด้วยช่องโหว่และมีความประมาทเลินเล่อจนอีกฝ่ายต้องมองออกก่อนทุกที แต่เขาไม่ได้เสียดายที่คาซึระจะจากเขาไปแล้วไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไหร่ ไม่ได้เสียใจแล้วพร้อมที่จะรับฟังเสียงฝีเท้าม้าที่ควบหนีไกลไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงอีก...


เพราะหมอนั่นคือแสงสว่างงดงามของดวงตะวัน แสงสว่างนิรันดร์ที่ไม่สามารถย้อมให้กลายเป็นสีอื่น


เป็นแบบนี้ดีแล้ว...


และอีกอย่างเรื่องฝันร้าย...



มันมีซะที่ไหนกันล่ะ ก็บอกแล้วไงว่าเมื่อยามหลับตา ยังเห็นตะวันทอแสงทุกครั้งทุกคราไป....


.


.


.


เมื่อหลับตา ยังเห็นตะวันทอแสง/END


มิยะขอเม้าท์

บอกแล้วว่ามันสมควรปาไห =..= แหะๆ แต่งเอาไว้นานแล้วจริงๆค่ะ ตั้งแต่อ่านกินทามะใหม่ๆเลย คือพออ่านถึงภาคเบนิซากุระเท่านั้นแหล่ะ ไม่ไหวแล้ว!! TTwTT อืออออ ฉากบอกว่าเกลียดท่ามกลางเรือไททานิค(ผิด!) นั่นมันโฮกไป แถามยังไปปลอบใจเขาอีกนะว่ายังคิดว่าเป็นเพื่อนกัน สำหรับคู่นี้นี่เกินบรรยายเลยค่ะ (เราจะข้ามเรื่องที่คุณกินฟิวส์ขาดตอนตาหื่นนิโซดมผมซึระไป)

ซึระนี่เป็นอะไรที่ประทับใจตั้งแต่ต้น ว่าพี่แกเป็นคนที่ช่างรั่วได้ไม่เข้ากับหน้าตาที่ออกจะสวยสง่า ฮ่าๆๆๆ ส่วนทากะนั่นก็แม่มดาร์กได้ใจ แต่ไม่รู้ยังไง ชอบตอนสองคนนี้เจอกัน มันดูมุ้งมิ้งแปลกๆ แบบทากะยังไม่ส่งสายตาอำมหิตให้ซึระเหมือนกับคนอื่น แถมยังเป็นฉากคุยกันดีๆเกือบทุกฉาก // ถ่านไฟเก่ามันคุใช่มั้ยพ่อหล่อ เลวววววว

ส่วนเพลงปาฏิหาริย์ที่รอคอย ตอนแต่งยังไม่ได้ฟังค่ะ แต่พอมาฟังทีหลังรู้สึกว่าเข้าดี เลยเอามาประกอบฟิคซะเลย แหะๆ

ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียนบล็อค เม้นท์ได้เป็นกำลังใจจ้ะ

Miya

2 ความคิดเห็น:

  1. เรื่องนี้กลิ่นมาม่าช่างรุนแรงเยี่ยงนัก

    ตอบลบ
  2. เรื่องนี้กลิ่นมาม่าช่างรุนแรงเยี่ยงนัก

    ตอบลบ