S.Fic Gintama [TakasugiXKatsura]
NC-17
Romantic Drama
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ฟิคเรื่องนี้เป็นฟิคที่แต่งมานานมากแล้ว เป็นฟิคกินทามะเรื่องแรกที่คลอดออกมาเพราะทนไม่ไหวกับความสัมพันธ์ของสองคนนี้จริงๆ อารมณ์มันเลยออกมาเป็นฟิคที่สมควรปาหม้อ ถัง กะละมัง ไห มาก ฮะๆ สูดลมหายใจก่อนอ่านจ้ะ
อันนี้ไม่ใช่คำเตือน ไม่ใช่คำแนะนำ แต่เป็นคำสั่ง (เห้ย!) หากไม่รังเกียจ เปิดฟังเพลงนี้คลอไป จะได้อารมณ์และมีอรรถรสยิ่งขึ้นค่ะ อิอิ >..< ปาฏิหาริย์ที่รอคอย Calories Blah Blah
เมื่อหลับตา ยังเห็นตะวันทอแสง
กลางเมืองคาบุกิโจ
ยามกลางวันเช่นนี้
คาบุกิโจยังคงสดใสและคลาคล่ำไปด้วยผู้คนทั้งมนุษย์โลกและชาวสวรรค์
ร่างสูงโปร่งผมยาวสยายดีดำขลับจูงม้าเดินไปตามท้องถนนปิดบังหน้าตาด้วยหมวกสานทรงคล้ายสามเหลี่ยมใบใหญ่เผื่อว่าจะมีชินเซ็นงุมิคนใดหนึ่งครึ้มออกมาตรวจตราบ้านเมืองตอนนี้
จุดประสงค์ที่คาซึระกลับมาในเมืองอย่างแรกก็เพราะห่วงพวกกลุ่มซามูไรขับไล่ต่างแดนและอลิซาเบ็ธที่อาจออกตามหาเขาจนวุ่นวาย
และอีกอย่างก็เพื่อมาพบคนๆหนึ่งและบอกถึงอาการของทากาสึงิให้หมอนั่นรับรู้
ถึงแม้ว่าบอกไปแล้วสิ่งที่ได้กลับมามันจะเป็นความไม่สนใจไยดีก็ตาม
แต่ว่าตอนนี้หมอนั่นจะอยู่ที่บ้านหรือเปล่า...
คาซึระเดินผ่านตรอกซอยที่ตนทะลุปรุโปร่ง
นับว่าตามช่องเล็กๆต่างๆในคาบุกิโจจะเป็นเพื่อนสนิทของเขาแล้วก็ว่าได้
พลางสายตาสอดส่องไปมาซ้ายขวาดูลาดเลาของชินเซ็นงุมิด้วยความไม่ประมาท
แต่ว่า..!
“อุ๊บ!”
มีมือปริศนาโผล่มาจากหลืบเล็กๆแล้วคว้าปิดปากของคาซึระเอาไว้อย่างแน่นหนาพร้อมท่อนแขนแข็งแรงอีกข้างรั้งเอวบางให้เข้าไปในซอกอย่างรวดเร็ว
ด้วยสัญชาติญาณแห่งนักรบทำให้เขาป่ายมือคว้าด้ามดาบอย่างรวดเร็ว
แต่ผู้บุกรุกก็เหมือนนกรู้ มันกดข้อแขนด้านขวาของเขาไว้ด้วยกำลังจนไม่อาจเขยื้อน แล้วคาซึระจะทำอย่างไรได้ตอนนี้
นอกจากดิ้นสุดกำลัง
“ชี่! อย่าดิ้นได้มั้ยวะ”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นเคยดีดังแผ่วที่ริมหู
ทำให้อาการตื่นตระหนกลดฮวบลงไปจนไม่เหลือ ใบหน้าคมสวยสะบัดไปมองข้างหลัง
สิ่งที่เป็นประจักษ์ก็คือผู้ชายรูปร่างสูงเรือนผมหยักศกสีเงิน
ใบหน้ายังคงด้านตายไม่เปลี่ยน แต่คาซึระกลับโล่งใจพึลึกที่ได้มาเจอหน้าหมอนี่อีกครั้ง
“กินโทกิ!?...”
“เรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อยหรือเปล่า?
ซึระ”
หนึ่งซามูไรขับไล่ต่างแดนกับอีกหนึ่งอดีตทรุดกายลงนั่งบนม้านั่งยาวข้างถนน
ม้าที่ยืมมาจากคฤหาสน์ของทากาสึงิยืนอย่างสงบด้วยบังเหียนที่ถืออยู่ในมือบาง บรรยากาศเริ่มไม่แจ่มใสด้วยที่ว่าบนท้องฟ้าชักมีเมฆสีเทาครึ้มบางส่วนบดบังท้องนภาสีฟ้ากระจ่าง
ไอแสงแดดหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
เช่นเดียวกับบรรยากาศระหว่างคนที่ขึ้นชื่อว่าเพื่อนเป็นเพื่อนตายอย่างซากาตะ
กินโทกิ และคาซึระ โคทาโร่ในยามนี้
“แกหายไปไหนมา
ทำอย่างนี้บ่อยๆก็แย่สิว้า
ตอนนี้มีตัวประหลาดสีขาวๆที่ไหนก็ไม่รู้ไปหาฉันทุกวี่ทุกวันแล้วบอกว่าตามหาแกไม่เจอ”
น้ำเสียงฉอเลาะบ่นแสดงความหน่าย
แต่คู่สนทนายังคงนิ่งเงียบฟัง ดวงหน้าสวยคมยังคงเรียบเฉยเย็นชา
ซึ่งแม้ว่าจะเป็นสีหน้าปกติของคาซึระ แต่สำหรับเพื่อนที่คบกันมานานมากแล้วอย่างกินโทกิ
ย่อมรู้สึกได้ว่ามันต่างออกไปจากทุกที
แม้พยายามเงี่ยหูฟังเสียงร่ำร้องที่เผื่อจะหลุดออกมา
แต่กินโทกิก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรจากคาซึระเลย...
เมื่อปากไม่พูด...ซ้ำหัวใจดวงนั้นยังคงเป็นใบ้
ไร้ซึ่งสำเนียงใดๆที่จะแสดงออกมาทางสายตาซึ่งเป็นดั่งหน้าต่างของหัวใจ
‘หมอนั่น’ ขังแกไว้อีกแล้วสินะ...
“หนีไม่พ้นอีกแล้วงั้นหรือ
ซึระ? ฉันเห็นเชือกที่คมดาบเหล็กกล้าใดก็ไม่มีวันตัดขาดพันตัวแกเต็มไปหมด”
กินโทกิยิ้มเย็นเมื่อปรายสายตามองเพื่อนชัดๆตั้งแต่หัวจรดเท้า
ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกด้วยความปลงกับนิสัยของเพื่อน นิสัยเก่าๆแย่ๆที่แก้ไม่หายสักที
“ชอบทำตัวเสียสละ
อุทิศตนเป็นประโยชน์กับคนอื่นทุกทีเลยแกนี่น้า...ถามหน่อยเถอะ ‘เหนื่อย’ บ้างมั้ย?”
เท่านั้นคาซึระก็หลุดหัวเราะ
พร้อมเบือนหน้าไปมองเพื่อนด้วยดวงตาขบขัน ทั้งที่ความจริงตอนนี้มันอยู่ในสถานการณ์หัวเราะไม่ออกด้วยซ้ำ
“ฮึ
ก็เพราะแกดันทิ้งหนังสือของอาจารย์โชโยเล่มนั้นไปน่ะสิ
เลยจำไม่ได้ว่ากฎเหล็กของซามูไรที่สำคัญที่สุดคือ
การเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม
อุทิศร่างกายให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนและมาตุภูมิจนกระทั่งโลหิตหยาดสุดท้ายจะหลั่งไหล...”
ดวงตาคมสวยปรือลงก้มมองมือตัวเองที่จับกันแน่นบนตัก
ดวงหน้าวาดรอยยิ้มบางเบายิ่งทำให้งามละมุนตาชวนมอง
“มันก็ต้องมีบ้างที่จะเหนื่อย...มีบ้างที่ทำไปแล้วไม่ได้ผลตอบแทน
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเกี่ยง หากจิตวิญญาณแกที่เดินตรงตามทางนี้อยู่
แกก็น่าจะรู้ ว่าฉันละทิ้งมันไม่ได้”
ฟังเพื่อนรักหัวแข็งพล่ามกฎแห่งซามูไรฉบับส่วนตัวจบ
มือใหญ่ยกขึ้นเกาหัวตัวเองทำให้ผมยิ่งยุ่งเข้าไปอีก จนดูเหมือนตาลุงขี้เมา
ตบท้ายด้วยหาวอีกหนึ่งหวอดอย่างไม่เกรงใจ
แต่เมื่อใบหน้าไร้ชีวานั้นหันกลับมามองทางเขา
ดวงตาที่จ้องลึกลงมากลับเปี่ยมไปด้วยความจริงจัง... ดวงตาที่ประกายเจิดจ้าของชิโร่ยาฉะ
“ก็เพราะแกไม่เลือกปฏิบัติแกถึงต้องเหนื่อยไง
ไอ้เรื่องอุทิศกายถวายแผ่นดินน่ะฉันพอจะนึกออกรางๆ แต่บอกฉันหน่อยได้มั้ยซึระ...”
“.....”
“......ว่ามีกฎข้อไหนที่บอกว่าจงเสียสละหัวใจให้กับคนที่ไม่รู้จักคุณค่าของมันบ้าง?”
สิ้นประโยคความเงียบก็คืบคลาน
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่สวยเบิกโตสบกับดวงตาอีกคู่ที่แม้จะไร้ชีวาแต่ก็ต้องการเค้นเอาคำตอบ
แล้วถ้าหากไม่ได้รู้สึกไปเอง คาซึระสัมผัสได้ถึงไอความเศร้าบางๆส่งผ่านมา
ร่างกายทั้งร่างนิ่งงัน ภาพในอดีตผุดขึ้นมาหลอนเป็นฉากๆ ภาพที่เขาสามคนยังเป็นเด็ก
ยังเรียนอยู่ด้วยกัน กลีบซากุระสีชมพูหวานปลิวว่อนเข้ามาในห้องเรียน
ทุกสายตาที่จับจ้องไปที่ครูผู้สอนด้วยความตั้งใจ
เว้นเสียก็แต่สายตาของเด็กชายผมหยักศกสีเงิน
แล้วก็ตรงข้ามที่มีสายตาของใครบางคนจ้องมองอย่างไม่กระพริบ
และปัจจุบันนี้
สิ่งที่คนๆนั้นมอง ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
และจะทำลายโลกใบนี้ให้กลายเป็นเศษเถ้าธุลีเฉกเช่นร่างกายของอาจารย์โชโย...
คาซึระเม้มริมฝีปากบางแน่นเพื่อคุมไม่ให้มันสั่นระริก
ดวงหน้างามเสไปมองทางอื่นเมื่อเริ่มรู้สึกว่าภาพที่ดวงตามองเห็นมันชักจะพร่าเลือนเพราะค่อยมีน้ำอุ่นๆเอ่อล้น
หัวใจข้างในหนาวเหน็บยิ่งกว่าสายลมหนาวก่อนที่ฝนจะสาดเท มันคือความอ้างว้าง
สูญสิ้นตัวตน เหมือนกับว่าคาซึระ โคทาโร่นั้นกำลังจะตายไปจากโลกนี้อย่างช้าๆ
‘ซึระ’ คนที่พวกนายเรียกจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว...
“กินโทกิ...ฉันฝากแกดูแลอลิซาเบ็ธไปอีกสักพัก
ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ฉันจะมารับคืน”
“เฮ้ย!ซึระ...”
“ไม่ต้องห่วงน่า...เดี๋ยวฉันเลี้ยงพาเฟ่ต์แกแบบไม่อั้นเป็นการตอบแทนก็ได้”
ร่างโปร่งบางลุกขึ้นเมื่อเห็นสมควรแก่เวลา
เขาพยายามคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นสะอื้น ทั้งๆใบหน้าซึ่งปกปิดด้วยหมวกสานนั้นมีหยาดน้ำตาไหลรินเป็นสายไม่หยุด
กินโทกินี่อาจเป็นครั้งสุดท้าย อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะบอกลาเพื่อนสนิทที่สุดด้วยชื่อซึระ
ก็เป็นได้
“ฉัน...ไปก่อนนะกินโทกิ
ดูแลสุขภาพด้วย อย่าสร้างความลำบากให้พวกหัวหน้ามากนักล่ะ”
เพียงเท่านั้นแล้วก็กระโดดขึ้นคร่อมม้า
แล้วควบออกไปอย่างรวดเร็วหายไปกับความมืดมนของท้องฟ้าเมื่อใกล้ฝนตก
ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมจากเส้นผมยาวสยายโชยมากับสายลม
ทิ้งให้ใครบางคนนั่งมองเพื่อนรักที่จากไปโดยไม่ทันคว้า
สิ่งที่กินโทกิทำได้ตอนนี้ก็มีแต่อวยพรเงียบๆเท่านั้น
โชคดีล่ะ
ซึระ รีบกลับนั่นล่ะดี เพราะฝนใกล้ตกแล้ว...
ว่าแล้วมือใหญ่ก็เผลอวางลงบนที่คาซึระนั่งเมื่อสักครู่
ก็สัมผัสถึงหยดน้ำใสอุ่นๆซึมผ่านนิ้วมือ ใบหน้าหล่อเหลาชะงักนิ่งไปก่อนที่จะกลับสู่ความเรียบเฉยดังเก่า
เขาเงยขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง พลันหยาดน้ำเย็นๆก็ร่วงลงมาหล่นลงบนพื้นดังเปาะแปะ
จากหนึ่งหยดเป็นสองหยด จากสองเป็นสิบ จากนั้นก็เทลงมาจนนับไม่ถ้วน
ครืนนน
ซ่า!
นี่ซึระ...ฝนวันนี้มันแปลกๆนะ
มันเย็นจับขั้วหัวใจทุกเม็ดขนาดนี้...แต่ทำไมเม็ดแรก...
มันถึงอุ่นได้ล่ะ...?
กุบๆๆ
เสียงฝีเท้าม้าชะลอลงกระทบกับก้อนกรวดแทรกเสียงสายฝนเทกระหน่ำที่หน้าคฤหาสน์ศูนย์บัญชาการหลักแห่งกองทัพอสุรา
ร่างกายบอบบางก้าวลงจากหลังม้า
ทุกครั้งที่คลื่นลมพัดเป็นระลอกปะทะร่างกายก็คล้ายกับจะเซล้ม
ยูกาตะสีน้ำเงินเข้าแนบกับผิวเนื้อขาวผ่อง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มไร้ความรู้สึก
ไร้ซึ่งวิญญาณ ปอยผมสีดำขลับที่ปรกข้างเปียกโชกแนบกับเค้าหน้าสวยเกินบุรุษเพศ
เมื่อเขาเดินท่ามกลางหยาดเม็ดฝนที่พรูร่วงราวกับทั้งโลกใบนี้จมอยู่กับความเศร้าและมืดมนไร้ซึ่งแสงของดวงตะวันส่องทอ
ครืนนนนนน
ซ่า!!
ซ่า!!
เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถงติดกับชานระเบียงหน้าคฤหาสน์
ความมืดสลัวในห้องแทบจะมองไม่เห็นอะไร
หากไม่ใช่ว่ามีคนบางคนมายืนหันหลังรอรับในมือถือโคมไฟส่องสว่าง
เป็นคนที่คาซึระคุ้นตาแล้วไม่อยากเห็นมากที่สุด เขายังอยู่ในกิโมโนสีม่วงตัวเดิม
ยังคงนิ่งเยือกเย็นไม่สนใจอะไรเหมือนเดิม แล้วนี่ต้องการให้เขาทำอะไรให้อีก
ต้องทักทายว่า ‘กลับมาแล้วนะ’ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอีกหรือเปล่า?
“กลับ..”
“ไปหากินโทกิมาใช่มั้ย”
คำพูดด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มเย็นชาที่ไม่คาดคิดเอ่ยเรียบๆทำให้คาซึระถึงกับเบิกตาขึ้นด้วยความไม่เชื่อหู
หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำกับบรรยากาศที่มันผิดปกติไปจากเดิม
“นาย...พูดอะไร”
ทากาสึงิหัวเราะในลำคอด้วยอารมณ์ขันหรือเหยียดหยามไม่แน่ใจ
เขาแขวนโคมไฟไว้กับข้างผนังแล้วหันหน้ากลับมาประจันกับเขา
สีหน้าและแววตาเพียงข้างเดียวที่จ้องมองมาทำให้ร่างโปร่งบางถึงกับสะดุ้งเฮือก
ดวงตาสีเขียวเข้มนั้นโชนแสงโรจน์ราวกับสัตว์ป่า ริมฝีปากที่กรีดรอยยิ้มเหยียดส่งกลิ่นอันตรายจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน
“อย่าให้ต้องพูดซ้ำสิ”
เพียงเท่านั้นร่างสูงที่อยู่ห่างออกไปถึงสองวาก็เข้าประชิดตัวเพียงเสี้ยววินาที
ฝ่ามือแกร่งดันไหล่มนติดกระแทกกับฝาผนังอย่างแรงจนคาซึระนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
ซ้ำมือนั้นยังออกแรงบีบแน่นราวกับว่าจะป่นกระดูกของเขาให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ! แต่เจ็บแค่นี้มันต่างกัน...มันเทียบกันไม่ได้เลย
เทียบไม่ได้กับหัวใจที่มันเจ็บเพราะสายตาที่นายมองมา
“คิดจะทำอะไรน่ะ
ทากาสึงิคุ..”
“ฉันถามว่านายไปเจอกินโทกิมาอย่างนั้นเหรอ....
ซึระ”
ดวงตาของคาซึระเบิกโตขึ้นเมื่อจบคำเรียกที่ไม่ได้ยินมานาน
ร่างทั้งร่างชาวาบไม่รู้สึกใดๆคล้ายตัวเขาไร้น้ำหนักไปโดยสิ้นเชิง รอบกายว่างเปล่าราวกับว่าโลกใบนี้สูญสิ้นพื้นปฐพี
มีเพียงอากาศที่ลอยเคว้างคว้าง ดวงตาคู่นั้นสั่นระริกจนไม่สามารถคุมให้มันสู้อีกฝ่ายได้อย่างนิ่งเฉยอีกต่อไปแล้ว
‘ไปเจอกินโทกิมาอย่างนั้นเหรอ.... ซึระ’
‘...........ซึระ’
เพราะมันยังคงก้องกังวานเวียนวน
เมื่อกี้...นายเรียกชื่อฉัน...
นายเรียกฉันว่า
‘ซึระ’ ไม่ใช่ ‘อาจารย์’
ทากาสึงิ....
นายเห็นฉันเป็นตัวอะไรกันแน่!!
“ทากาสึงิ...ฉันเกลียดนาย
เกลียดนายจนเหนื่อยหัวใจแล้ว แล้วก็เกลียดที่ต้องมาเล่นละครตบตาคนป่วยทางจิตที่ไม่มีวันตื่นอย่างนาย
นาย...จะทำให้ฉันเหนื่อยไปอีกมากเท่าไหร่ถึงจะพอใจ
ต้องปั่นหัวฉันเล่นไปถึงเท่าไหร่”
เมื่อสักครู่นี้หัวใจของเขาร่ำร้องออกมาว่ามันเจ็บเจียนตาย
แต่ตอนนี้มันไม่ได้เจ็บเพิ่มขึ้นเลย เพราะมันไม่มีมากขึ้นจากที่เป็นอยู่...เมื่อไรที่ถูกทากาสึงิทำแบบนี้เขาก็ทรมานที่สุดอยู่แล้ว...มันถึงที่สุดแล้ว...
“ปล่อยฉันไปเถอะ...ปล่อยให้ฉันกลับสู่ความอิสระ
หากนายไม่คิดจริงจังกับความรู้สึกที่เป็นปมในใจของนาย
และไม่ไยดีความรู้สึกของฉันแบบนี้ ปล่อยฉัน!!” คาซึระออกแรงผลักคนตรงหน้าที่ยืนกดไหล่เขาอยู่อย่างแน่นหนา
แต่ดูท่าว่าจะไม่เป็นผล เพราะนอกจากจะไม่เขยื้อนเพียงนิดแล้ว
ทากาสึงิยังออกแรงบีบเข้าไปอีกจนกระดูกเขาลั่น ดวงหน้าคมคายยื่นเข้ามาใกล้
ลมหายใจอุ่นๆรินรดเคลียอยู่ที่แก้มเนียน
หากแต่ดวงตาและน้ำเสียงนั้นเยือกย็นน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าระลอกฝนซัดสาดพร้อมกับพายุแรง
“ไม่จริงจังงั้นเหรอ? หึ!
ที่ผ่านมาฉันไม่เคยทำให้แกรู้เลยงั้นสินะ
ถ้าอย่างนั้นฉันจะเอาจริงให้แกดู!!”
พูดจบทากาสึงิก็จัดการเหวี่ยงร่างบางที่เรี่ยวแรงน้อยกว่าเขาหลายเท่าลงกับพื้นเสื่อทาทามิที่แสนหยาบกระด้าง
แล้วโถมตัวคร่อมราวสัตว์ป่ากระหายเหยื่อ เขารู้ว่าร่างกายของคาซึระต้องช้ำระบม
แต่ตอนนี้มันมีอะไรน่าสนใจ
มีอะไรที่น่าสนใจยิ่งกว่าทำให้คนตรงหน้ารู้ว่าเขาไม่เคยล้อเล่นกับความรู้สึกของใครเลยแม้แต่วินาทีเดียว!
ทั้งอาจารย์โชโย
ทั้งแก ก็ไม่มีใครรู้สึกได้ทั้งนั้น
“ถ้าไม่แตะต้องแล้วแกไม่รับรู้
ฉันคงต้องเปลี่ยนวิธีเป็นสลักลงกับร่างกายแกล่ะมั้ง ซึระ “
“ทากาสึงิ
นี่แก อุ๊บ อื้อออออ!!” ริมฝีปากบางถูกปิดก่อนที่จะร้องห้ามอะไรทั้งสิ้น
จุมพิตร้อนแรงและดุดันครอบครองไล้เลียอย่างระห่ำราวกับเอาเหล็กเผาไฟร้อนๆมานาบ
ถึงแม้เขาจะต่อต้านเพียงใด ก็ไม่อาจสู้แรงของคนตรงหน้าได้สักนิด
ลิ้นนั้นยังคงแทรกเข้ามาตักตวงหาความหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักหยุดหย่อน
ทั้งๆที่รู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่คาซึระให้เขาตอนนี้ได้นั้นมีแต่ความขมขื่นและฝืนทนเท่านั้น
แต่เพราะคาซึระเป็นแบบนี้ หัวแข็ง ปากไม่ตรงกับใจอย่างนี้ ต่อให้อีกฝ่ายไม่มีสิ่งที่เขาต้องการ
เขาก็จะช่วงชิงมันมาครอบครองให้ได้!
“ฮึก..หยุด...
หยุดเถอะ...นะ”
ไม่นานนักเสียงร้องครวญขอร้องเจือหอบระทวยรวยรินก็ดังชัดอยู่ที่ริมหู
แต่ทากาสึงิกลับเหยียดยิ้มออกมาอย่างสมปรารถนา
เพราะเสียงที่เขาได้ยินดันมีเสียงสะอื้นที่คาซึระกลั้นเอาไว้อย่างดีเล็ดลอดออกมาด้วย
หยาดน้ำตารินไหลเปื้อนแก้มกับดวงตาที่แดงก่ำนั้นเป็นหลักฐานอย่างดี
เรือนผมสีดำขลับเปียกปอนไปด้วยน้ำฝนแผ่กระจายเต็มผืนเสื่อ ผนวกกับหยดน้ำฝนที่เกาะตามเรือนร่างขาวผ่องยิ่งทำให้คนมองอดใจไว้ไม่อยู่
“ทากาสึงิ
อ๊ะ!” จมูกโด่งคมฝังลงกับซอกคออุ่นระอุ
ริมฝีปากร้อนพรมกดจูบไปทั่วทุกที่ที่เอื้อมไปสัมผัสได้ กลิ่นหอมรัญจวนที่เป็นไอระเหยปะปนกับน้ำฝนทำเอาทากาสึงิแทบคลั่ง
มือสองข้างกระชากกิโมโนเปียกโชกออกเผยให้เห็นร่างกายบอบบางไม่สมกับภาระหน้าที่ซามูไรที่แสนจะภาคภูมิใจ...จะเอาทั้งหมด...จะครอบครองทั้งหมด
ทั้งร่างกายที่หอมหวลนี้ ทั้งหัวใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง
จะดึงดวงอาทิตย์ที่ทอแสงอย่างสูงส่งให้ตกลงมาเปื้อนเปรอะกับความดำมืดและกลิ่นคาวแห่งเลือดและโลกีย์
กลิ่นเส้นผม
น้ำตา เรือนร่างของแกที่ฉันกำลังสัมผัส ฉันจะลบแสงแสบตานั้นออกไปให้หมด
ดวงตะวันแห่งเอโดะที่ผู้คนฝากความหวังจะต้องดับมอดแล้วมาอยู่ในมือของฉันคนนี้
“อ๊า!!! หยุด! หยุด! ไม่เอานะ ฮึกก!!” ร้องออกมา...นั่นแหล่ะ คายความบริสุทธิ์ของนายออกมาให้ฉันเหยียบย่ำซะ
คายแสงน่ารำคาญนั่นให้ฉันย้อมมันเป็นความมืดมิด ดี...อย่างนั้นแหล่ะ ซึระ
กรีดร้องให้มันดังๆ
แกจะได้รู้ว่าเข้ามาติดบ่วงดพันธนาการของฉันแล้ว
ต่อให้เป็นความสว่างเจิดจ้าเพียงใด
ก็ไม่มีวันกลับออกไปจากความมืดแห่งนี้เป็นครั้งที่สอง!
อารมณ์รักร้อนแรงรีดเค้นน้ำตาแห่งความทุกข์ระทมของคาซึระออกมาจนหมด
ร่างกายที่อ่อนเพลียฟุบสลบลงกับพื้นเสื่อ นิ้วมือแกร่งไล้เคลียไปตามเส้นผมนิ่มลื่นที่ชื้นไปทั้งน้ำฝนและหยาดเหงื่อด้วยแววตาที่ไร้หัวใจ
ฉับพลันดวงตาสีเขียวคู่เดิมนั้นก็เบิกขึ้นโชนโรจน์ ฟันระเบียบขบกันดังกรอด
เผลอกำปอยผมอีกฝ่ายแล้วบีบอย่างแรงจนมือสั่น
เห็นอีกแล้ว...ยังเห็นอยู่อีกเมื่อยามหลับตา
แสง....แสงสว่างของดวงตะวันที่ส่องทอ
แม้จะไม่เปล่งประกายเจิดจ้า
แต่ก็อบอุ่นอ่อนโยนเฉกเช่นยามอัสดงที่สาดส่องให้ท้องฟ้ายังคงพ้นจากสีแห่งอนธกาล
ซึระ...ทำไม...
ทำไมแกไม่คู่ควรกับความดำมืดนี้เลยสักนิด....
กลางดึกสงัด
สายฝนหยุดโปรยพรำ ท้องฟ้าเปิดใส...
แต่มีหัวใจใครที่ยังเศร้าหมอง....
คาซึระลุกขึ้นอย่างยากลำบากในห้องพักห้องเดิม
มองไปเห็นเพียงแต่แสงสลัวจากโคมไฟกระดาษสาสีส้มอ่อน
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหม่นเคล้าไปด้วยราคิณไม่สดใสงดงามดังเดิม เขาหยิบดาบที่อยู่ข้างกายแล้วชันกายยืนขึ้นแล้วเดินออกไป
ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบนั้น
คาซึระยังจำสายตาของทากาสึงิที่มองมาทางเขาได้อย่างแม่นยำ
นายกำลังคิดอยู่ใช่มั้ยว่าชีวิตนี้ฉันจะหนีนายพ้นหรือเปล่า
อยากรู้งั้นเหรอทากาสึงิ...ฉันจะลองหนีนายให้ดู!
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกวดมองซ้ายและขวาอย่างรอบคอบสมประสบการณ์
คงเป็นเพราะว่าฝนตก คบเพลิงรอบคฤหาสน์ถึงได้มอดไหม้จนมองแทบไม่เห็น
แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคต่อบุคคลที่มีสายตาดีและเป็นจอมหลบหนีมาแล้วทุกสถานการณ์อย่างคาซึระ
โคทาโร่
ร่างโปร่งบางลอบเข้าไปในคอกม้าหลังหลังโรงงานใหญ่ของกองทัพอสุรา
อาชาลักษณะดีหลายสิบตัวยืนเรียงรายอยู่ในรั้วไม้กั้นแน่นหนา
สายตาคมปราดของนักรบผู้เจนสนามศึกมองเพียงแว้บเดียวก่อนจะเดินเข้าไปหาม้าตัวเดิมที่พาเขาเข้าไปในเมืองคาบุกิโจ
มือบางลูบขนที่คอของมันอย่างทะนุถนอมก่อนที่จะถือบังเหียนแล้วจูงมันออกมาอย่างง่ายดาย
คาซึระเดินออกมาห่างจากคฤหาสน์พอสมควร
ก้าวแต่ละก้าวที่มักจะเบาหวิวเมื่อยามหลบหนียามนี้มันหนักอึ้ง
พันธนาการของหมอนั่นยังคงหลอกหลอนเขาจนความเจ็บแปลบที่มีแล่นไปทั่วร่างกาย
มันยังคงออกฤทธิ์อย่างไม่มีทางอ่อนข้อ
เช่นเดียวกัน...เจ้าของพันธนาการนั้นก็ยังตามเขามาเงียบๆอย่างไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย
ร่างสูงในชุดกิโมโนสีม่วงตัวเดิมยืนขวางทางอยู่ตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
รู้เพียงอย่างเดียวคือในดวงตานั้น...ยังไร้หัวใจเหมือนเดิม...
“นี่แกคิดจะไปไหน”
“หนีไง
ไม่น่าถาม” คาซึระตอบตรง แต่ดวงหน้าสวยสง่ากลับเบือนหลบไปอีกทางอย่างชัดเจน
สะท้อนได้เลยว่า ตอนนี้ความรู้สึกของเขายังเจ็บปวดเกินกว่าที่จะมองหน้าทากาสึงิ
“หลีกไปซะ”
“สารรูปแบบนี้ยังคิดจะหนีอีก
หึๆ ซึระ แกคิดว่าคนอย่างฉันจะยอมปล่อยของๆตัวเองให้หายไปได้งั้นเหรอ....”
“ฉันชื่อคาซึระ
ไม่ใช่ของๆใคร ความจริงที่ฉันมาที่นี่ก็เพียงแค่เพราะมาเยี่ยมนายที่ป่วยทางจิต
ละเมอเพ้อพกเพราะฝันร้ายไม่ดูวัย ถ้าหายสนิทแล้วฉันก็คงต้องกลับสักที”
เสียงนุ่มไร้เยื่อใยสมกับใบหน้าที่นิ่งเฉยทำให้ทากาสึงิถึงกับขมวดคิ้ว เพราะเขาเล่นเบาไปหรือเปล่า
คาซึระถึงยังลุกขึ้นมาคิดจะหนีซ้ำยังมาปากเก่งใส่เขาแบบนี้
“ถ้าอยากไปก็ไป”
เสียงทุ้มต่ำเยือกเย็นเอ่ยอนุญาต
เป็นคำพูดที่คาซึระไม่ทันคาดคิด สายลมเย็นหลังฝนพัดซ้ำเป็นระลอกชวนให้เหน็บหนาว
เห็นได้ชัดว่าทากาสึงิไม่ได้สนใจเขาเหมือนเดิม ไม่ได้เสียดาย ไม่ได้อยากฉุดรั้ง
พันธนาการอะไรนั่นทากาสึงิไม่ได้เป็นคนเอามาสวมให้เขา
เป็นเขาเองต่างหากที่เอาเจ้าพวกนั้นมามัดไว้เอง
มามัดกับตัวด้วยความโง่เขลาว่าถ้าหากยังอยู่ใกล้ๆกันแบบนี้
ทากาสึงิจะคิดหันมามองเขาบ้าง
พอแล้ว
คาซึระ โคทาโร่ นายเหนื่อยมามากแล้ว ถอดมันทิ้งไปซะ แล้วหนีไป
หนีไปให้ไกลที่สุดให้สมกับอิสรภาพ....อย่าได้เหลียวหลังกลับมามองมัน....เป็นครั้งที่สอง
คาซึระเริ่มก้าวเท้าเข้าไปใกล้คนตรงหน้าเรื่อยๆ
ความเจ็บปวดกัดกินหัวใจหนักขึ้นๆจนต้องยกมือขึ้นกดหัวใจข้างซ้ายเอาไว้ กล้ามเนื้อขาเริ่มแข็งและไร้เรี่ยวแรง
ใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งอยากหยุด ใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งไม่อยากหนี แต่สิ่งที่เขาต้องทำแม้ว่าหัวใจจะถูกด้ายพันธนาการต้องบาดเป็นริ้วๆก็ตามก็คือเดินผ่านพ้นคนตรงหน้าไปให้ได้
มันจะมีอยู่เสี้ยววินาทีเดียวที่ต้องทน
เสี้ยววินาทีที่ต้องเดินผ่าน......
หมับ!
ทันใด
อ้อมแขนแกร่งก็รั้งร่างของเขาเข้าสู่อ้อมแขนแล้วกระชับแน่น เป็นเสี้ยววินาทีเดียวจริงๆที่ต้องทน
ทนผลักใสความรู้สึกอบอุ่นและห่วงใยที่คนๆนี้ส่งผ่านมา
ต้องทนอีกแล้ว...ต้องทนไม่รับอ้อมกอดของนายอีกแล้ว แม้ว่าครั้งนี้
มันจะเป็นของฉันก็ตาม....
“ทำอะไร...ปล่อยสิ”
“ไม่ต้องห่วง
ก็แค่กอดอำลาเท่านั้นเอง”
คาซึระนิ่งงัน
ปล่อยให้ทากาสึงิกอดเขาอย่างเนิ่นนานท่ามกลางความเงียบสงัด ไร้เสียงเรไรขับขาน
ไร้เสียงลมพัด
มีเพียงเสียงของหัวใจคนสองคนที่แนบชิดไร้ช่องว่างเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน
ทุกอณูความรู้สึกที่ถ่ายทอดส่งมา
อ้อมกอดอันอ่อนโยนที่ช่วยชโลมจิตใจทำให้คาซึระต้องกลั้นน้ำตา
เขาไม่อาจรับมันเอาไว้ มันเหนื่อยจนเกินทนที่จะต้องมาแบกรับความรู้สึกเอาไว้อีกต่อไปแล้ว
จะต้องทิ้งมันเอาไว้ที่นี่ทั้งหมด หัวใจเจ้าเอ๋ย...เจ้าจงรู้จักเข็ดหลาบเสียบ้าง
แผลที่โดนกระทำมายังไม่หายขาด อย่าริอ่านเอามันมาทำร้ายเจ้าซ้ำสองเลย
“ไปซะ”
ทากาสึงิออกแรงดันร่างโปร่งบางให้ห่างกายก่อนจะหันกลังกลับไม่มองหน้า
มีเพียงประโยคสั้นๆที่เอ่ยทิ้งท้ายแทนคำว่าลา “แล้วอย่าโง่มาติดแผนของฉันอีกล่ะ”
คาซึระขึ้นคร่อมม้าแล้วหันกลับมามองหัวหน้ากลุ่มคิเฮไทอีกครั้งหนึ่ง
แล้วตอบรับเสียงแผ่วเบา พยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้มันสั่นเครือจนอีกฝ่ายจับได้แล้วหันมามองว่าดวงตาของเขานั้นมันชักจะแดงก่ำแล้วมีน้ำอุ่นๆคลอปริ่ม
“ไม่ได้โง่....แต่แกล้งโง่ต่างหากล่ะ”
ทากาสึงิหลุดยิ้ม
รู้สึกเจ็บใจตัวเองที่ว่าพอเป็นคาซึระทีไร
แผนการของเขาจะเต็มไปด้วยช่องโหว่และมีความประมาทเลินเล่อจนอีกฝ่ายต้องมองออกก่อนทุกที
แต่เขาไม่ได้เสียดายที่คาซึระจะจากเขาไปแล้วไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไหร่
ไม่ได้เสียใจแล้วพร้อมที่จะรับฟังเสียงฝีเท้าม้าที่ควบหนีไกลไปเรื่อยๆ
ไปเรื่อยๆจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงอีก...
เพราะหมอนั่นคือแสงสว่างงดงามของดวงตะวัน
แสงสว่างนิรันดร์ที่ไม่สามารถย้อมให้กลายเป็นสีอื่น
เป็นแบบนี้ดีแล้ว...
และอีกอย่างเรื่องฝันร้าย...
มันมีซะที่ไหนกันล่ะ
ก็บอกแล้วไงว่าเมื่อยามหลับตา ยังเห็นตะวันทอแสงทุกครั้งทุกคราไป....
.
.
.
เมื่อหลับตา
ยังเห็นตะวันทอแสง/END
มิยะขอเม้าท์
บอกแล้วว่ามันสมควรปาไห =..= แหะๆ แต่งเอาไว้นานแล้วจริงๆค่ะ ตั้งแต่อ่านกินทามะใหม่ๆเลย คือพออ่านถึงภาคเบนิซากุระเท่านั้นแหล่ะ ไม่ไหวแล้ว!! TTwTT อืออออ ฉากบอกว่าเกลียดท่ามกลางเรือไททานิค(ผิด!) นั่นมันโฮกไป แถามยังไปปลอบใจเขาอีกนะว่ายังคิดว่าเป็นเพื่อนกัน สำหรับคู่นี้นี่เกินบรรยายเลยค่ะ (เราจะข้ามเรื่องที่คุณกินฟิวส์ขาดตอนตาหื่นนิโซดมผมซึระไป)
ซึระนี่เป็นอะไรที่ประทับใจตั้งแต่ต้น ว่าพี่แกเป็นคนที่ช่างรั่วได้ไม่เข้ากับหน้าตาที่ออกจะสวยสง่า ฮ่าๆๆๆ ส่วนทากะนั่นก็แม่มดาร์กได้ใจ แต่ไม่รู้ยังไง ชอบตอนสองคนนี้เจอกัน มันดูมุ้งมิ้งแปลกๆ แบบทากะยังไม่ส่งสายตาอำมหิตให้ซึระเหมือนกับคนอื่น แถมยังเป็นฉากคุยกันดีๆเกือบทุกฉาก // ถ่านไฟเก่ามันคุใช่มั้ยพ่อหล่อ เลวววววว
ส่วนเพลงปาฏิหาริย์ที่รอคอย ตอนแต่งยังไม่ได้ฟังค่ะ แต่พอมาฟังทีหลังรู้สึกว่าเข้าดี เลยเอามาประกอบฟิคซะเลย แหะๆ
ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียนบล็อค เม้นท์ได้เป็นกำลังใจจ้ะ
Miya
เรื่องนี้กลิ่นมาม่าช่างรุนแรงเยี่ยงนัก
ตอบลบเรื่องนี้กลิ่นมาม่าช่างรุนแรงเยี่ยงนัก
ตอบลบ