Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 26 พิธีสารภาพบาป
“รุ่นที่สิบครับ เอาหมอนี่ออกไปที
ผมไม่อยากเห็นหน้ามัน!” น้ำเสียงของคนป่วยแม้จะแผ่วเบา
จะก็เต็มไปด้วยความหนักแน่นและเยือกเย็น เหมือนมีดคมกรีดลึกสร้างความเจ็บปวดให้คนฟัง
แผลที่หน้าอกแม้บรรเทาไปแล้วก็พลันปวดตุบๆ มันเป็นดั่งคำพิพากษา
เพียงแต่ว่าโจทก์ทำหน้าที่เป็นศาลในตัว
คำตัดสินที่เอื้อนเอ่ยจะว่ามันไม่ยุติธรรมก็คงไม่ได้...
เพราะมันเป็นสิ่งที่ตัดสินออกมาจากใจ...
นับว่าผู้พิพากษาคนนี้ปรานีเขาขนาดไหนแล้ว...
“โกคุเดระคุง...” นภาปรามเขา
เมื่อได้ฟังคำตอบที่ไม่ตรงคำถาม แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่นั้น
เพราะถึงจะเป็นนภาแต่คงจะไปบังคับทิศทางของลมคงไม่ได้
แต่อย่างน้อยเขาก็ได้รับรู้อย่างหนึ่ง
โกคุเดระคุงยังไม่ลืมยามาโมโตะ
ต้องขอบคุณหรือกล่าวโทษพระเจ้าดี
เมื่อทั้งคู่ยังคงเจ็บขนาดนี้...
“ไม่เป็นไรหรอก สึนะ”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มของพิรุณเอ่ยขึ้นอย่างเรียบง่าย
แต่พยายามสะกดความเสียใจกับลมหายใจที่ผ่อนออก
ดวงตาสีเปลือกไม้มองร่างโปร่งบางที่หันหน้าไปอีกทางเพราะไม่อยากเห็นหน้าเขา
ยิ่งมอง...ก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งจ้อง...ก็ยิ่งทรมาน
“โกคุเดระ...ตอนที่นายยังไม่ฟื้น
ฉันได้พูดกับนายเอาไว้บ้าง แต่มันยังไม่หมดหรอกนะ แต่ไม่เป็นไรถ้านายยังไม่พร้อม
รอให้นายแข็งแรงกว่านี้หน่อย เราค่อยคุยกัน...รักษาสุขภาพนะ”
คำเอ่ยที่เต็มไปด้วยความห่วงใยมันเป็นเหมือนน้ำอุ่นๆที่ชโลมจิตใจแล้วไปกระตุ้นดวงตาให้ร้อนผ่าว
แต่เพราะคนทิฐิสูงยังคงซ่อนมันไว้สุดความสามารถ เลยไม่มีใครสังเกตเห็น...ไม่เห็นความเป็นจริงของหัวใจที่แสนจะบอบช้ำและอ่อนแอ
โหยหาอ้อมกอดอันอบอุ่น
อรุณอาสาไปส่งพิรุณที่ห้อง
พร้อมๆกับทีมแพทย์ที่ต้องออกไปก่อนเพื่อให้เจ้านายเขาคุยกัน พอประตูปิดลงแล้ว
วายุก็หันกลับมามองนภาอีกครั้ง รอยยิ้มสดใสระบายบนใบหน้าต่างกับท่าทีเมื่อกี้ราวฟ้ากับเหว
ทำให้คนที่เหลือในห้องเริ่มอ่อนใจกับเจ้าคนฟอร์มมาก
“งานเป็นยังไงบ้างครับรุ่นที่สิบ
ผมไม่อยู่เหนื่อยหรือเปล่า ไอ้พวกนี้มันทำให้รุ่นที่สิบลำบากใจมั้ยครับ”
งานที่ถูกยกมาอ้างทำให้นภาถอนหายใจ
เปลี่ยนเรื่องได้เร็วไม่สนคนอารมณ์ยังค้างยังสมกับเป็นมือขวาคนเดิม
แถมเนตรสีมรกตปรายมอง ‘ไอ้พวกนี้’เป็นเชิงประกอบ
“ไม่ต้องห่วงหรอก
ตอนนี้นายแค่ต้องพักผ่อนให้มากๆ งานน่ะรอให้แข็งแรงดีแล้วค่อยกลับไปทำ”
“หา! เอาจริงเหรอครับ!” ไม่ใช่เสียงของวายุ แต่เป็นเสียงของสายหมอกที่ยืนอยู่มุมห้อง
ดวงตาสองสีเบิกกว้าง น้ำเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ในใจคิด ตายแน่
เขาตายแน่ๆ ตายจมกองงานแน่ๆ ชาตินี้ไม่ต้องไปผุดไปเกิดกันแล้ว
คิดว่าพอมือขวาตัวจริงฟื้น มันก็ถึงเวลาที่ตัวสำรองจะหายต๋อมไม่ใช่เหรอ...
ใช่...มีแต่เรื่องนี้เท่านั้นแหล่ะที่โรคุโด
มุคุโร่จะยอมเป็นเพียงตัวสำรอง
“เอาน่า มุคุโร่
นายก็รู้ว่าสภาพโกคุเดระคุงตอนนี้ทำงานไม่ได้
ถึงทำได้ฉันก็ไม่ให้ทำ”
สิ้นเสียงประกาศิตจากผู้มีอำนาจสูงส่งมันช่างกระตุกต่อมน้ำตาคนมีงานท่วมหัวดีแท้
คนที่ต้องกลับไปทำงานได้แต่เบ้ปากแล้วถอนหายใจ
“เอาเป็นว่าผมกลับตึกก่อนก็แล้วกันนะครับ
พรุ่งนี้เป็นวันสิ้นเดือน เหลือเอกสารอีกตั้งครึ่งยังไม่ได้เคลียร์”
คนตัวสูงในเสื้อโค้ทไม่เหมือนใครบ่นหงุมหงิม ก่อนจะเดินออกจากห้อง
มือขวาคนใหม่ก็หันมาแล้วกรีดรอยยิ้มสวยงามมองดูเป็นมิตรหาใดเปรียบ
ถ้าไม่ติดว่าเส้นเลือดตรงขมับดีดตัวกันปึดปั้ด
เห็นแล้วหนาวยะเยือกขุมขนก็พากันลุกซู่
“หายไวๆนะครับ
วองโกเล่ต้องการคุณ...อย่างมาก!”
คำว่าอย่างมากถูกเน้นหนักก่อนเจ้าตัวจะเดินเชิดออกไป เมฆาที่ยืนพิงผนังอยู่เงียบๆ
ถ้าให้คิดตามหลักส่วนรวมแล้วเกิดห่วงงานขึ้นมาเล็กๆน้อยๆ ไม่ใช่เกิดห่วงระบบของวองโกเล่
แต่ถ้ามันทำงานมั่วแล้วไปขัดผลประโยชน์ของเขาล่ะก็แย่
แต่ถ้าคิดตามหลักส่วนตัวบอกได้คำเดียวว่า...สมน้ำหน้า!
ดวงตาคมสีดำขลับเหลือบมองผู้ป่วยก่อนจะเอ่ยเรียบๆ
“ผู้พิทักษ์มีสิทธิ์นอนโรงพยาบาลได้ไม่เกินสามวัน
แต่นายเกินมาตั้งเท่าตัว ถนัดนักใช่มั้ยเรื่องทำผิดกฎระเบียบน่ะ โกคุเดระ ฮายาโตะ”
เฮ้ย!?
วายุร้องท้วงในใจ แต่ก็ไม่กล้าขยับปาก
เหงื่อไหลซึมเต็มแผ่นหลัง เพราะเขารู้ว่าต่อให้เป็นคนใกล้ตาย ฮิบาริก็ไม่ไว้ชีวิต
ยิ่งที่นี่เป็นโรงพยาบาลได้ลิ้มรสทอนฟาสักผลัวะสองผลัวะก็เอาส่งหมอได้ไม่ยาก
“แต่แปะเอาไว้ก่อน รอให้หายได้อารมณ์กว่ามาก”
แล้วคุณท่านก็อ้าปากหาวหวอดๆเดินเปิดประตูออกไปอีกคน...วายุที่มีโทษปูนแดงหมายหัวเอาไว้ถอนหายใจ
เขาเปล่านึกกลัว แต่เพราะตอนนี้ร่างกายเขามันย่ำแย่ แรงจะเดินยังไม่มี
ไดนาไมต์ถูกถอดเก็บเรียบ แล้วจะเอาอะไรไปสู้กับมัน มีแต่เดี้ยงกับเดี้ยงล้านเปอร์เซ็นต์
“แรมโบ้...ฉันมีเรื่องต้องคุยกับโกคุเดระคุง
นายออกไปก่อนได้หรือเปล่า” นภาหันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่นั่งจ๋องอยู่อีกฟากของเตียง
ซึ่งทำหน้ามุ่ยทันตา คิ้วน้อยๆขมวดเข้าหากันทันทีไม่เข้าใจที่โดนไล่
สึนะโยชิขยับยิ้มบางก่อนจะเอ่ยเรียบๆ
“เรื่องงาน”
“อ่า...เข้าใจแล้วครับ ตามสบาย” เด็กหนุ่มอัสนีรีบลุกพรึ่บแล้วเปิดประตูออกไปอย่างไม่มีอิดออดทันทีที่ได้ยินคำว่างาน
สุดท้ายในห้องก็เหลือเพียงนภาแห่งวองโกเล่และมือขวา
“เอ่อ...มีอะไรบกพร่องหรือเปล่าครับรุ่นที่สิบ
สะสางงานไม่เสร็จหรือเปล่าครับ เป็นเพราะผมหรือเปล่า?” ร่างโปร่งบางละล่ำละลักถาม หน้าซีดเผือด
เป็นอีกคนที่หลงเชื่อนภาไปเรียบร้อยว่าจะคุยเรื่องงาน
สึนะโยชิผ่อนลมหายใจก่อนจะตอบ
“ไม่มีอะไรบกพร่อง
ไม่ใช่เรื่องงาน...แต่เป็นเรื่องของนายกับยามาโมโตะ” คำกล่าวที่ทำให้วายุชะงักงัน
ความเงียบค่อยๆคืบคลาน เมื่อมือขวาไม่กล้าสบตาบอสตัวเอง
ทำได้แต่เพียงนั่งก้มหน้ามองมือที่ประสานไว้บนหน้าตัก
รอยยิ้มแค่นวาดบนใบหน้าอีกครั้ง พร้อมกับน้ำเสียงที่พยายามคุมไม่ให้มันสั่นพร่า
“ทำไมเหรอครับ?
เจ้าหมอนั่นมันดูแลรุ่นที่สิบไม่ดี
แต่ผมก็รู้ว่าคนโหลยโท่ยอย่างมันไม่มีทางทำตามสัญญา” ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บ
สัญญาบ้าบออะไรกัน มันเป็นเวลาที่เขาควรเลิกงมงายกับไอ้สิ่งที่ไม่มีมูลนั่นได้แล้ว
โดยเฉพาะกับคนที่พูดสัญญาส่งๆ แต่ไม่ทำตามอย่างยามาโมโตะ ทาเคชิ
“ไม่ใช่นะ บอกแล้วไงว่าไม่เกี่ยวกับฉัน”
นภารีบค้าน “นายจำยามาโมโตะได้ แต่ไม่อยากเห็นหน้า นายโกรธเขามากเลยเหรอ โกคุเดระคุง”
โกรธเหรอ?
ไม่ใช่สิ ไม่ใช่โกรธ
ถ้าโกรธทำไมเขาต้องเจ็บตรงนี้ด้วยล่ะ เจ็บที่หน้าอกด้านซ้าย
รู้สึกทรมานจนถึงขั้นไม่อยากเห็นหน้า แค่หายใจร่วมห้องยังรู้สึกขยะแขยง
เขารู้สึกแย่กับหมอนั่นยิ่งกว่าตอนแรกที่เจอกันเสียอีก
“ผมเกลียดมัน”
คำตอบง่ายๆที่เอื้อนเอ่ยจากริมฝีปากสีอ่อน
เสียงขบฟันดังกรอดบ่งถึงอารมณ์ที่มันเริ่มจะคุมไม่อยู่ ในเมื่อไม่ใช่อารมณ์โกรธ
โกคุเดระไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบายความรู้สึกแบบนี้ นอกจากคำว่า ‘เกลียด’ ความเกลียดชังที่มันเจ็บปวดไปพร้อมกัน แต่ที่ให้อภัยไม่ได้คือ
อีกเสียงของหัวใจที่มันบอกว่า... ขี้ขลาด... อ่อนแอ... เสียใจ
“คนที่ทำให้โกคุเดระคุงกลับมาจำทุกคนได้คือยามาโมโตะ”
นภาแห่งวองโกเล่เอ่ยเสียงเรียบ เรียกดวงตาสีมรกตให้เบิกโพลง
แต่ก็ต้องพยายามปรับสีหน้าให้เฉยชาที่สุด “ยามาโมโตะน่ะ
ใช้เลือดจากหัวใจของตัวเองเป็นส่วนผสมในการปรุงยารักษานาย
ฉันกับคนอื่นๆส่งนายสองคนเข้าห้องไอซียูพร้อมๆกัน ยามาโมโตะผนังหัวใจฉีกขาด
ต้องผ่าตัดด่วน ส่วนนายอาการทางสมองก็น่าเป็นห่วง
แล้ววันที่ห้าหลังจากการผ่าตัดเขาก็ฟื้นแล้วขอให้ฉันพามาหานายทันที...”
ความเงียบเข้าครอบงำห้องที่มีคนสองคนนั่งอยู่
หัวใจของร่างโปร่งบางเต้นโครมๆเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากบอส จะบอกไม่เชื่อก็คงไม่ได้
วายุดำดิ่งเข้าสู่ห้วงคิดของตัวเอง...ยามาโมโตะเกือบตายเพราะเขา
ภาพรางๆของชายหนุ่มร่างสูงดันมีดเข้าเสียบอกตัวเอง...ภาพตอนที่เลือดของพิรุณถูกฉีดผสมกับตัวยาเข้าไปในร่างกายของเขาโดยไทรเด้นท์
มอสกิโต้...
ภาพที่หมอนั่นตกลงเสี่ยงชีวิตโดยไม่คิดเลยสักนิด...
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นความจริง...หึ...
“สมควรกับคนอย่างมัน
เจ้าคนที่มันไม่เห็นว่าความไว้วางใจของคนอื่นมีค่า คนที่ไม่รักษาสัญญา
ผมขอให้เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นบทลงโทษสำหรับความสับปลับของมัน
และเป็นบทลงโทษของคนที่หลงผิดอย่างผมที่เผลอไปไว้ใจ”
น้ำเสียงของสายลมขุ่นแค้น
นัยน์เนตรทอแสงกร้าวด้วยความเจ็บใจ ทำให้คนฟังอยู่อดห่วงไม่ได้
เมื่อเขาพอจะรู้อนาคตข้างหน้าว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้อาจถึงคราวที่ต้องขาดสะบั้น
“โกคุเดระคุง แต่ยามาโมโตะเขาสำนึกผิดแล้วนะ
นายไม่คิดจะยกโทษให้เขาหน่อยหรอ”
“ยกโทษ...ก็เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า
สักวันหนึ่งมันก็ต้องย้อนกลับมาทำร้ายเราครับ
ผมไม่เคยมีความรู้สึกดีๆให้หมอนั่นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อาจมีความทรงจำดีๆ
ความไว้วางใจเล็กๆน้อยๆ แต่ถึงตรงนี้มันไม่เหลือแม้แต่นิดเลย...”
เขากำลังพูดความจริงอยู่หรือเปล่า? ทำไมมันถึงรู้สึกเจ็บขนาดนี้
ไม่เคยมีความรู้สึกดีๆสาบานได้หรือไม่ว่าพูดออกมาอย่างเต็มปาก คนอื่นไม่รู้
ใครอาจจับไม่ได้ แต่ก็มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ
เมื่อเห็นนภาทำหน้าไม่เชื่อ มือขวาปากแข็งก็รีบพูดต่อ
“ความจริงผมจะทำเป็นจำมันไม่ได้ด้วยซ้ำ
ยาของชามาลนี่ก็ดีเกินไปนะครับ
น่าจะมีผลข้างเคียงอย่างจำคนที่สละเลือดปรุงยาไม่ได้ตลอดชีวิตก็คงจะดี”
“แน่ใจหรอว่านายต้องการอย่างนั้น”
คำขัดสวนขึ้นทันที กับแววตาสีน้ำตาลที่แปรเปลี่ยนเป็นเชิงดุอย่างหาได้ยาก “แค่หน้าของยามาโมโตะนายยังไม่อยากจะมอง
นั่นหมายความว่าสภาพจิตใจของนายไม่พร้อมจะลืมเขาหรอก เพราะว่ายังเจ็บที่เห็นหน้า
ความอาลัยยังมีอยู่
นายจะทนได้หรือที่ต่อไปต้องเห็นหน้าเขาเป็นปกติแต่ไม่มีสิทธิ์แสดงอารมณ์ใดๆ”
วายุเงียบลง
เขาไม่รู้จะหาอะไรเถียงนภาแห่งวองโกเล่ ผู้ที่มองทะลุจิตใจเขาได้อย่างกับมองแก้วใส
คำพูดของผู้เป็นบอสยังก้องไปมาในห้วงความคิด ที่นภาพูดแบบนี้คงไม่ใช่เพราะโดนพิรุณเป่าหู
แต่มันคือความจริงทุกอย่าง บางทีที่เขาทำอยู่มันอาจจะเป็นสิ่งโง่เขลา
แต่เป็นสิ่งเดียวที่มนุษย์ไม่สามารถหลุดพ้นได้สักที
...ความทะนงศักดิ์...
“แล้วนายจะทำแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน...โกคุเดระคุง”
“...”
เป็นคำถามแรกของนภาแห่งวองโกเล่ที่เขาไม่สามารถตอบได้นอกจากเบือนหน้าหนีแล้วเงียบ
ร่างโปร่งบางถอนหายใจเบาปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนเพลีย
เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับวันต่อไป ต่อสู้บนสมรภูมิที่ยากเกินบรรยายที่เรียกว่า “หัวใจตัวเอง” สุดท้ายแล้ว ใครจะเป็นผู้ชนะ
เขา หรือ ยามาโมโตะ ทาเคชิ...
เช้าวันต่อมา
โกคุเดระ
ฮายาโตะยังคงต้องใช้ชีวิตอยู่บนเตียง เพียงแต่เปลี่ยนจากท่านอนมาเป็นชันตัวนั่งอ่านหนังสือ
โดยมีเลขาส่วนตัวของเขาคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ นภาแห่งวองโกเล่เพิ่งกลับไปตอนหกโมงเช้า
ส่วนพวกที่เหลือมือขวาแห่งวองโกเล่ก็สวมหน้าที่อย่างเก่าคือไล่ให้กลับไปทำงาน
รวมถึงเจ้าเด็กอัสนีก็ด้วยที่มันน้ำตาร่วงเผาะๆขอความเห็นใจจากเขาเพราะไม่อยากกลับไปปั่นงานแม้มันจะเอาเรื่องอยากอยู่ดูแลเขามาอ้าง
แต่วายุก็ต่อรองว่าให้กลับไปก่อนตอนเย็นค่อยมาใหม่ก็ได้
ริมฝีปากเรียวขยับยิ้มบางๆเมื่อเหลือบไปมองของเยี่ยมมากมายที่ล้นโต๊ะ
ตั้งแต่พวกลูกกระจ๊อกที่ตึกของเขาจนถึงจากวาเรียซึ่งไม่อยากบอกว่าตอนเห็นตอนแรกเขาตกใจจนเกือบตกเตียง
วองโกเล่...วองโกเล่
แก๊งค์มาเฟียที่น่าเกรงขามไปด้วยบารมี ยิ่งใหญ่ไปด้วยเกียรติยศ
แต่กลับสัมผัสความอบอุ่นได้เหมือนครอบครัว...
คงต้องขอบคุณพรหมลิขิตซะแล้วที่ทำให้คนอย่างเขาได้รับรู้สิ่งเหล่านี้...
“ตอนที่ฉันไม่อยู่ มีปัญหาหรือเปล่า”
วายุหันไปถามเลขาตนเองอย่างจริงจัง
ถึงรุ่นที่สิบจะบอกว่าเรียบร้อยดีแต่เขากลัวว่าจริงๆอาจไม่ใช่เรียบร้อยอย่างที่คิด
อาจมีพวกหมาลอบกัดตีหลังบ้านตอนที่ผู้พิทักษ์แห่ไปช่วยเขากันที่ฟิลบาโลเน่
“อืม...ปกติครับ
เพราะว่าเรื่องที่ท่านโกคุเดระถูกลักพาตัวไปถือเป็นความลับสุดยอด
ไม่มีใครรู้นอกเสียจากวองโกเล่ ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับสมาชิกปลายแถวยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
ตอนที่ทุกท่านไปช่วยท่านโกคุเดระพวกแฟมิลี่ศัตรูคาดว่าคงจะเป็นการเก็บตัวฝึกฝนเลยไม่มีใครกล้าเข้ามาเล่นงาน”
เขาพยักหน้าเนิบๆฟังเลขาของเขารายงาน
ก่อนจะหันไปถามต่อ
“ฉันจะออกโรงพยาบาลได้อีกกี่วัน”
“สองวันครับ ถึงอาการสมองจะไม่มีปัญหาแล้ว
แต่ร่างกายท่านยังไม่พร้อมที่จะกลับไปตอนนี้” น้ำเสียงเน้นๆ
คำว่าตอนนี้ทำให้วายุเบะปาก เขาต้องทนเซ็งนอนอยู่ที่นี่อีกสองวัน
โดนฮิบาริป้ายโทษเพิ่มไปอีกสองวัน กลับไปสงสัยต้องระแวงกับทอนฟาจะมาปะทะเป็นพิเศษ
...แย่...
แย่ยิ่งกว่าคือเขาเพิ่งรู้ว่าเจ้าคนต้นเหตุที่เขายังรังเกียจเดียดฉันท์นอนพักฟื้นอยู่ห้องติดกัน
แถมยังมาเดินวนเวียนแถวๆหน้าห้องเขาเกือบสี่ชั่วโมงเหมือนเวลากินยา(อันนี้ข้อมูลจากเลขา)
แต่ที่มันยังหน้าหนาหน้าทนเปิดประตูเข้ามาหวังคุยกับเขาจนเขาต้องแกล้งหลับให้มันกลับไปนั่นแหล่ะ...แย่ที่สุด!!
กริ๊งงงงงงงงงงงงงง...
เสียงโทรศัพท์ไร้สายในห้องดัง
เรียกความสนใจของทั้งสองคนในห้องให้หันไปหาพร้อมกัน
สุดท้ายเลขาตึกวายุก็ผงกหัวน้อยๆเป็นเชิงว่าเขารับเอง
“สวัสดีครับ ผมเลขาประจำตัวท่านโกคุเดระรับสาย...”
“เอ่อครับ...” เลขาเบิกตาขึ้นเล็กน้อยแล้วชำเลืองมองเจ้านายของตัวเอง
แต่คนถูกมองกลับไม่รู้สึกเพราะอ่านหนังสืออยู่ “ได้ครับ...กรุณารอสักครู่...”
เขายกโทรศัพท์ออกจากหูแล้วยื่นให้วายุแห่งวองโกเล่
“มีคนจะคุยกับท่านโกคุเดระครับ”
“ใคร?”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน คนบ้าที่ไหนที่โทรเข้าเบอร์ห้องของโรงพยาบาล
ถ้าจะโทรก็ต้องโทรเข้ามือถือเขา ไม่ก็มือถือเลขาสิ...คนพิลึก!
“เอ่อคือ...”
“เอ้อๆ ช่างเหอะๆ อาจจะเป็นมุคุโร่
หมอนั่นมันทำงานแทนฉันอยู่คงจะโทรมาถามเรื่องเอกสารล่ะสิท่า”
ไม่ทันที่จะได้บอกว่าเป็นใคร ก็สันนิษฐานเองเสร็จสรรพ
พลางมือเรียวก็เอื้อมมาคว้าโทรศัพท์ไปกรอกเสียงทันที
“ไง”
[โกคุเดระ...] ทันทีที่ปลายสายตอบกลับมา
พลันหัวใจของร่างโปร่งบางก็เต้นกระหน่ำ มือไม้เย็นชืด เนตรสีมรกตเบิกกว้างออก
เขาแทบจะทำโทรศัพท์หลุดจากมือด้วยซ้ำ สายตาตวัดมองคาดโทษเลขาตัวดีที่ไหว้ขอโทษปลกๆ
ก็คนที่อยากคุยกับเขาที่ว่ามันดันเป็นคนที่อยู่ห่างกันเพียงห้องเดียวนี่!
[โกคุเดระ นายได้ยินใช่มั้ย ขอโทษนะก็นายบอกเองว่าไม่อยากเห็นหน้าฉัน
แต่ฉันมีเรื่องต้องคุยกับนาย ใช้วิธีนี้โอเคหรือเปล่า?] น้ำเสียงนุ่มทุ้มฉายแววกลั้วหัวเราะ
แต่มันทำให้วายุรู้สึกหงุดหงิด และแน่นอนว่าเขาไม่มีทางจะส่งเสียงใดๆกลับไป
ถ้าจะตัดสาย มันก็ต้องโทรมาอีกจนสายแทบไหม้ เขารู้นิสัยโทรจิกของหมอนี่ดี
ร้อยสายมันก็โทรได้
[เอาเป็นว่านายได้ยิน
จะว่าไปดีใจแฮะที่นายรับ อย่างน้อยก็ไม่ต้องโทรหลายรอบ
และฉันรู้ว่าการคุยโทรศัพท์ครั้งนี้คงจะมีแต่ฉันที่บ้าพล่ามน้ำลายแตกฟองอยู่คนเดียว
แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ฉันต้องการอยู่แล้ว ขอเพียงนายนั่งฟัง
ไม่ตัดสายฉันทิ้งก็พอ...]
การคาดเดาที่ถูกต้องเป๊ะๆทำเอาคนฟังเริ่มเดือดกำโทรศัพท์จนสั่น
แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบอย่างที่อีกฝ่ายว่าจริงๆ
[เราห่างกันเพียงแค่ห้อง
เราหันหน้าเข้าหากัน ลองจินตนาการนะโกคุเดระ ว่าที่นี่เป็นโบสถ์แห่งหนึ่ง
โบสถ์ที่เงียบสงบ
มีเพียงฉันที่กำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้ารูปปั้นของพระเยซูคริสต์ที่สมมติให้เป็นนาย...คนที่จะได้ยินคำพูดฉันมีแต่นายเท่านั้น
แม้ว่านายจะไม่ได้พูดอะไรออกมาก็ตาม...เป็นพิธีที่รู้กันเพียงสองระหว่างบุตรกับพระผู้เป็นเจ้าที่เรียกว่า...พิธีสารภาพบาป]
สารภาพบาป?
คำเดียวที่ทำให้ลมหายใจติดขัด
แม้จะเป็นวิธีที่แปลกประหลาด การเปรียบเทียบที่น่าขัน
แต่หากมองดูดีๆแล้วมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
พระเยซูคริสต์รับฟังบาปของมวลมนุษย์แต่ไม่สามารถเอื้อนเอ่ยวาจา
พระผู้ที่รับบาปของมนุษย์ โอบอุ้มไว้ในอ้อมแขนอย่างง่ายดาย แต่เขาสิ
จะรับฟังบาปครั้งนี้ได้หรือเปล่า...
[เริ่มแรก
ตอนที่นายถูกลักพาตัวไปฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฉันยังอยู่ที่อิตาลีเหนือ
สึนะให้แรมโบ้ปิดเรื่องของนายเอาไว้ไม่ให้ฉันรู้ด้วยเหตุผลที่ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจ
วองโกเล่ดำเนินการหานายอย่างเร่งด่วน โดยที่ปราศจากฉัน
แรมโบ้...เด็กคนนั้นปิดบังไว้อย่างดีเลยแหล่ะ
ถ้าวันหนึ่งฉันไม่เกิดระแวงแล้วแอบติดเครื่องดักฟังเอาไว้ฉันก็คงไม่รู้ ฉันยอมรับ
ฉันโกรธแรมโบ้มาก จนเกือบเผลอลงดาบทำร้าย
ที่นายบอกว่าให้ฉันดูแลเด็กคนนั้นดีๆ...ฉันผิดสัญญาแล้วล่ะ]
บาปข้อแรกถูกสารภาพออกมาอย่างหมดสิ้น
มือบางอีกข้างของวายุที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์กำผ้าห่มแน่น
ดวงตาสั่นระริกพยายามจะทบทวนว่าสิ่งที่ได้ยินเมื่อกี้เป็นเพียงแค่ว่าเขาหูฝาด
หมอนั่นบอกว่ามันเกือบลงมือทำร้ายแรมโบ้! มันกล้าใช้ดาบขู่เด็ก! วายุส่ายหน้าช้าๆ เชื่อแล้วบ้างว่าความโกรธเปลี่ยนใจคน
เปลี่ยนคนอย่างพิรุณที่เคยสงบเยือกเย็นให้กลายเป็นปิศาจร้ายที่น่ากลัว
[ฉันรีบกลับมาที่หอบัญชาการวองโกเล่
วันนั้นเป็นวันสุดท้ายพอดีเพราะสึนะได้ที่อยู่ของฟิลบาโลเน่แล้วเรียกผู้พิทักษ์ไปบุก
ฉันชิงแผนที่ของฟิลบาโลเน่มาจากสึนะ แน่นอนว่าคนอย่างสึนะไม่มีทางส่งให้
แต่ว่ามุคุโร่เป็นคนบอกให้ปล่อย ฉันถึงได้ที่อยู่ของนายมา
โดยปล่อยทิ้งสึนะไว้ข้างหลังอย่างไม่ไยดี...] น้ำเสียงของพิรุณเศร้าลง
วายุได้ยินเสียงลมหายใจที่สูดเข้าปอดเพื่อบรรเทาความกดดัน ก่อนจะเอ่ยต่อ
[ที่นายบอกว่าสักวันหนึ่งไม่มีใครอยู่
แม้แต่นายก็ตามที ให้ฉันเป็นคนอยู่เคียงข้างวองโกเล่รุ่นที่สิบ...ขอโทษด้วย
ฉันผิดสัญญา]
จมูกรั้นเริ่มแดง ดวงตาร้อนผ่าว
ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู้หัวใจราวกับพิษงู เขาโบกมือให้เลขาออกไปก่อน
ก่อนจะชันเข่าให้ชิดอก คำสารภาพที่ทำให้เขาหนาวเหน็บ แต่ไม่เอ่ยคำพูด
ไม่ให้เล็ดลอดแม้แต่เสียงกลืนน้ำลาย
คำสัญญานี้ที่เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงได้กล้าฝากฝัง อาจเป็นแค่หัวใจที่มันสับสน
อาจจะเป็นการพูดเลยตามสถานการณ์
หรือจะเป็นเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจ...เขาไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ
รู้ตัวอีกทีก็พูดออกไปแล้ว...
[คืนนั้นฝนตกหนัก...ฉันฆ่าฟิลบาโลเน่เพื่อเปิดทางสู่ห้องนายไปหลายราย
แต่คำแรกที่นายพูดกับฉันคือ ไม่รู้จัก ตอนนั้นฉันโกรธ
แต่ตอนนี้อาจจะเป็นเรื่องจริง นายไม่รู้จักยามาโมโตะ ทาเคชิที่เป็นคนโกหก
ไม่รักษาคำพูด
อีกทั้งร่างกายนายที่มันแย่ยิ่งทำให้ฉันโมโห...คืนนั้นเป็นคืนบาปของฉัน
คืนวันที่ฉันทำร้ายนาย...ทั้งร่างกาย...และจิตใจ
ถ้านายนับดีๆวันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งเดือนของวันบาปที่แสนจะโหดร้ายวันนั้น
มันไม่น่าจะจำ...แต่ฉันต้องจำเพื่อตอกย้ำตัวเองว่าในหนึ่งชีวิต...
เคยทำร้ายสายลมแห่งวองโกเล่...]
เผาะ
ทันทีที่สิ้นคำสารภาพ
น้ำสีใสๆอุ่นๆก็ร่วงออกจากดวงเนตรทั้งๆที่อยากจะให้มันไหลกลับ
เขาเอาหลังผิงกับหัวเตียงปรือนัยน์ตาลงปล่อยให้ความอัดอั้นที่มันสิ้นสุดลงไหลรินอาบแก้ม
แต่เขาไม่มีทางสะอื้นให้คนปลายสายได้ยินเด็ดขาด โทรศัพท์ยังคงแนบหูจนร้อน
อ่อนแอ...อ่อนแอเหลือเกิน บาปที่พรั่งพรูจากปากของคนที่ไม่เห็นหน้า
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแสดงสีหน้าอย่างไร
จะเรียบเฉย...ยิ้มเยาะ....หรือว่ากำลังกลั้นน้ำตาเหมือนอย่างเขา
[...ไม่นานสึนะก็มาถึง
เขาขอให้ฉันช่วยนายด้วยกัน ฉันจึงได้สัญญากับตัวเองว่าคนที่จะช่วยนายคือฉันเท่านั้น
ฉันได้สู้กับพ่อของนาย แต่ก็แพ้หมดท่า สุดท้ายสึนะจึงมาปิดเกม เราจึงได้นายคืน
แต่ผลก็คือนายจำพวกเราไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว
แต่สุดท้ายฉันก็ดีใจนะที่ฉันได้ทำตามสัญญาหนึ่งข้อ...คือคนที่จะช่วยนายต้องเป็นฉัน]
ใช่...ทำได้หนึ่งข้อ
และอีกข้อที่มันมาพร่ำอยู่ข้างๆหูเขา
ถึงตอนนั้นจะยังไม่ได้สติแต่คิดหรือว่าจะไม่ได้ยิน
เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป...
จะทำได้จริงๆหรือเปล่า...
[บาปที่ลูกสารภาพมีเพียงเท่านี้
ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดพิจารณาอภัยโทษ]
พิธีสารภาพบาปสิ้นสุด...
ปิ๊บ
วายุตัดสายลงแล้ววางโทรศัพท์ไว้ข้างตัว
เขาไม่มีแรงแม้แต่จะเอามันไปไว้ที่แป้นอย่างเก่า เหนื่อย...เหนื่อยมาก
เหนื่อยเหลือเกิน บาปหนักหนาสาหัสที่เขาไม่เคยรับรู้
มีเพียงแต่ตัดสินใจลืมทุกอย่างเพื่อหันหลังหนีให้กับมัน ไม่รู้ว่ามีกี่คนต้องทรมาน
ไม่รู้ว่ากี่คนต้องเดือดร้อน...รวมถึงตัวเขาเอง...
เจ็บปวดจริงๆ...
บางทีการต่อสู้บนสมรภูมิแห่งนี้อาจจะถึงคราวต้องรู้ผล
สมรภูมิที่วัดความแข็งแกร่งของหัวใจใครจะพ่ายก่อนกัน...ระหว่าง
คนที่มีบาปเต็มหัวใจอย่างพิรุณ...กับคนรับฟังบาปอย่างวายุ
TBC…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น