หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557

S.Au.Fic KHR [8059] Nightingale ยามท่วงทำนองของใจขับขาน:SOLO



Project  Happy birthday P’Kwang [WAKETSU] 12.01.12
[S.Au.Fiction] KHR 8059
Romantic
PG
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ



Nightingale ยามท่วงทำนองของใจขับขาน : Solo




ออสเตรีย 1789


            เสียงอ่อนหวานเนิบเอื่อยดังกังวานอยู่ในห้องสีฟ้าอ่อน เนื้อเสียงฟังแล้วอบอุ่นซาบซ่านจับหัวใจและกรุ่นกลิ่นไอไปด้วยความรัก มันดังมาจากเปียโนหลังใหญ่ที่ทั้งหลังมีเพียงสีขาวบริสุทธิ์พร้อมกับหญิงสาวร่างบางผมหยักศกทิ้งตัวยาวถึงกลางหลังเป็นผู้บรรเลง เธอใส่ชุดกระโปรงลูกไม้สีเทาดูสวยสง่าเรียบร้อยสมกับดวงหน้างามอ่อนเยาว์ แต่ถึงแม้ว่านิ้วเรียวจะไล่พลิ้วไปตามคีย์ ทว่าดวงตาของเธอกลับไม่มองตัวโน้ต แต่มองไปที่เปลของทารกน้อยเพิ่งกำเนิดที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ


           เรียวปากบางขยับยิ้มหวาน......ลูกแม่ หนูได้ยินเสียงเพลงหรือเปล่า รู้สึกได้มั้ย ว่าแม่รักหนูเพียงใด


“ฉันว่าลูกสัมผัสได้ถึงความรักที่เธอใส่เข้าไปในบทเพลงนะ” เสียงทุ้มอบอุ่นของชายผู้หนึ่งดังขึ้นข้างหลังหญิงสาว เธอหยุดมือแล้วลุกขึ้นยืนหันไปย่อกายคำนับด้วยความนอบน้อมสง่างาม


“หม่อมฉันก็หวังเช่นนั้นเพคะเจ้าพี่” เธอเดินไปที่ข้างเปล นิ้วมือเรียวลูบไปบนใบหน้าของเด็กน้อย “เพราะครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่หม่อมฉันจะได้เล่นเปียโนให้ลูกฟัง....ครั้งสุดท้ายจริงๆเพคะ”


เพียงเท่านั้นชายวัยกลางคนใบหน้าก็สลดลง ความสงสารในตัวภรรยาเผยชัดในดวงตาจนคุมไม่อยู่ไม่ให้มันสั่นระริก เขาโอบกอดไหล่บางของหญิงสาวเอาไว้ ริมฝีปากเม้มแน่นจนไร้สีเลือดเพื่อข่มความรู้สึกไม่ให้ร่ำไห้ออกมา


“ยกโทษให้ฉันนะ น้องหญิง ถ้าฉันไม่อ่อนแอ...มันคงไม่เป็นแบบนี้” หญิงสาวยิ้มรับคำอย่างเข้าใจ มือบางของเธอเอื้อมไปจับมือของคู่ชีวิตที่จับแน่นบนบ่า ลูบเบาๆอย่างให้กำลังใจ เพราะคนที่อยู่ข้างๆเธอนั้นไม่ใช่คนอ่อนแอเลยสักนิด เพราะเข้มแข็งเขาถึงได้ตัดสินใจ เพราะไม่ไหวหวั่นและอาลัยจึงนำมาเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง นี่คือหน้าที่ หน้าที่ครั้งสุดท้ายของเธอแห่งการเป็นราชินีแห่งออสเตรียตามคำบัญชาของพระสวามี


“เจ้าพี่อย่าได้โทษตัวเอง หม่อมฉันถวายตัวเป็นข้าบาทของเจ้าพี่ และรับใช้ออสเตรียอย่างที่สุดกำลังของหม่อมฉันจะทำได้...หากการไปของหม่อมฉันครั้งนี้ จะนำมาซึ่งความผาสุกของพวกเรา หม่อมฉันก็ยินดีเพคะ”


“...น้องหญิง”


“แต่หม่อมฉันขอเพียงอย่างเดียว” ดวงตาของเธอมองพระสวามีอย่างขอร้อง ทูลขอสิ่งเดียวที่ห่วงหาที่สุดในชีวิต เสียงของเธอแผ่วเบาลงจนแทบกลายเป็นเสียงกระซิบ “ลูกของเราต้องปลอดภัยนะเพคะ”


ดวงตาของชายวัยกลางทอดมองลูกชายตัวน้อยในเปลอย่างอาลัย เลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของแผ่นดินออสเตรียนั้นช่างมีโชคชะตาที่โหดร้าย แต่ไม่ว่าจะฝืนพรหมลิขิตของพระผู้เป็นเจ้า คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็พร้อมที่จะเสี่ยงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับอนาคตต่อจากนี้


“ได้ ฉันรับรองว่าลูกจะต้องปลอดภัย และเมื่อเขาโตขึ้น เขาจะต้องเล่นเปียโนได้เก่งเหมือนกับเธอ...”


“....น้องหญิง ถ้าพระเจ้าไม่ทรงโปรดพวกเรา ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เจอลูก มันก็คงเป็นครั้งสุดท้ายของฉันเหมือนกัน”







รุ่งขึ้น

แสงของดวงอาทิตย์เรืองตามขอบของปุยเมฆงดงาม ท้องฟ้าที่ยิ้มรับออสเตรียในวันนี้สดใสกว่าวันใด หากแต่ว่าทั่วทั้งแผ่นดินของออสเตรียในยามนี้กลับเงียบเหงา ไร้ซึ่งสรรพเสียงแห่งคีตะและบทเพลงร้องเสนาะหู ไม่มีเสียงหัวเราะของชาวเมือง เมื่อมีขบวนรถม้ายาวเหยียดของผู้หนึ่งผู้ใดเหยียบย่ำเข้ามาในถนนกลางนครเวียนนา ธงทิวโบกพัดแสดงซึ่งความมีอำนาจและชัยชนะ ความเหยียดหยามหมิ่นเกียรติเข้าครอบคลุมหัวใจของประชาชนเมื่อดวงตาของพาเหรดแขกผู้ไม่ได้รับเชิญเหยียดมองพวกเขาเบื้องล่างประเมินค่าเพียงเชลยศึกกลุ่มหนึ่ง


แต่ศึกมันจบ เสร็จสิ้นไปแล้ว เมื่อพระจักรพรรดิแห่งออสเตรียตัดสินใจเจรจาแลกเปลี่ยน


การแลกเปลี่ยนผู้ที่เป็นดั่งดวงใจของชาวประชากับความสงบสุขและอิสรภาพ


รถม้าแล่นเข้าสู่เขตพระราชวังโดยไร้ซึ่งการตรวจตรา ทหารกล้าผู้องอาจพิทักษ์ราชวงศ์แห่งออสเตรียต้องเรียนรู้กับการก้มศีรษะให้กับไพรัชศัตรูเป็นครั้งแรก ขบวนพาเหรดผู้พรากเกียรติยศของพวกเขาเดินดาหน้าเข้าไปจอดถึงหน้าท้องพระโรงใหญ่อย่างไม่มีการกริ่งเกรงน้ำใจ และชายผู้หนึ่งผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้าทองก็ก้าวลงเหยียบท้องพระโรงพระราชวังเชินบรุนน์อย่างภาคภูมิ


ไร้คำเชื้อเชิญ ไร้พิธีต้อนรับ ไม่มีแม้แต่คำป่าวประกาศ


ดวงตาฉายแววขำขันของผู้มีชัยเหนือสงครามจากฝรั่งเศสกวาดมองเชลยมีศักดิ์ในท้องพระโรง ก่อนจะหยุดที่ใบหน้าขององค์จักรพรรดิแห่งออสเตรีย ริมฝีปากเขากระตุกยิ้ม


“บ้านเมืองของฝ่าบาท ต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติได้เงียบเชียบแบบนี้หรือกระหม่อม แหม...ทำเอาหม่อมฉันรู้สึกวังเวงเลย”


“ออสเตรียของเราเป็นเมืองแห่งคีตกวี แต่ก็รู้กาลเทศะ ว่ายามใดสุข ยามใดทุกข์” เสียงขององค์จักรพรรดิแย้งขรึม


“ฮ่าๆๆๆ ออสเตรียหนอออสเตรีย ช่างแล้งน้ำใจ....แต่ก็เอาเถิด เพียงแค่ฝ่าบาทเจรจาแลกเปลี่ยนกับหม่อมฉัน เพียงเท่านี้ก็นับว่ามีน้ำพระทัยกว้างขวางปานมหาสมุทร หึ หึ” ดวงตาของผู้นำฝรั่งเศสลุกโพลง รอยยิ้มแสยะน่ากลัวยังคงครอบคลุมหัวใจของผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ เป็นนาทีที่ทหารเสมือนไร้อาวุธ ขุนนางหรือเสนาธิการคนใดไร้ปากเสียง มองผู้อาจหาญจากต่างแดนย่างก้าวเข้าไปหาหญิงสาวโฉมสะคราญข้างๆองค์จักรพรรดิด้วยความจนใจ


มือสากหยาบกระด้างเชยคางมนขึ้นมอง ดวงหน้าสวยหวานล้ำเกินสตรีใดที่เคยประสบทำให้เขาถึงกับพยักหน้าช้าๆอย่างพึงพอใจ


“งดงามสมคำร่ำลือ.... แต่พระนางจะเจิดจรัสกว่านี้แน่ ตอนไปอยู่ฝรั่งเศสกับเรา ฮ่าๆๆๆๆๆ” องค์ราชินีแห่งออสเตรียเบือนหน้าหนีด้วยความอัปยศ ร่างระหงถอยห่างบ่งบอกกริยาถือองค์อย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็ยิ่งเป็นเสน่ห์ให้ผู้นำแห่งฝรั่งเศสหลงใหลในตัวนางจนหัวปักหัวปำ มิได้สนใจเลยว่าพระสวามีของนางจะยืนอยู่ข้างๆ


“อ้าวๆ พระองค์ลืมอะไรไปหรือเปล่า แล้วลูกชายของหม่อมฉันล่ะ” เมื่อได้คืบ ก็จะเอาศอกตามสัญญา เหล่าสนม นางกำนัล ตลอดจนข้าราชบริพารลอบมองตากันอย่างกังวล คนที่ยังนิ่งและควบคุมอารมณ์อยู่ได้ เห็นทีจะมีเพียงองค์จักรพรรดิและพระราชีนีเท่านั้น ทั้งที่ความจริงแล้วจะเป็นสองผู้ที่หัวใจแหลกสลายที่สุด


ลูกรัก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อกับแม่จะส่งลูกให้รอดพ้นเงื้อมมือศัตรูในวันนี้ให้ได้...ไม่ว่าต้องใช้วิธีใดก็ตาม


“หม่อมฉันและพระราชินีมีบุญวาสนาน้อย พระผู้เป็นเจ้ารับลูกเราไปตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก...”


“หืมม?” ใบหน้าของผู้นำแห่งฝรั่งเศสเริ่มบิดเบี้ยว เดินเข้ามาประชิดองค์จักรพรรดิแล้วกระซิบเสียงเข้ม “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาขำขันนะฝ่าบาท เจ้าชายรัชทายาทอยู่ที่ใด”


“หม่อมฉันบอกไปแล้ว ตอนนี้เราไม่มีลูก ฝ่าบาทอย่าทรงรีดเลือดกับปูเลย”


“โกหกทั้งเพ!!!สุรเสียงโกรธเกรี้ยวตะคอกลั่นท้องพระโรงจนเหล่านางกำนัลสะดุ้งหวีดร้อง ฟันของเขาขบกันจนดังกรอด กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุกสั่นระริกด้วยอารมณ์โทสะถึงขีดสุด ยกมือขึ้นชี้หน้าพระจักรพรรดิ “อย่าเล่นตุกติกกับหม่อมฉันนะ ตามสัญญา ฝ่าบาทต้องส่งพระราชินีพร้อมเจ้าชายรัชทายาทตามหม่อมฉันไปอยู่ฝรั่งเศสในฐานะเชลย ที่บอกว่าไม่มีลูกน่ะ หมายความว่าเช่นไร!!


“จะให้หม่อมฉันพูดอีกเท่าไร ต่อให้ฝ่าบาทเค้นถามจนหมดจนสิ้น เราก็หารัชทายาทให้ไม่ได้”


“ไม่จริง!! ฝ่าบาทมีลูก เพียงแต่ตอนนี้ซ่อนเอาไว้ที่ไหนสักที่ให้พ้นมือหม่อมฉันใช่หรือไม่ ทหาร!!.....”


“หยุดเถอะเพคะ พอได้แล้ว....” พลันน้ำเสียงอ่อนหวานรื่นหูเอ่ยห้ามพร้อมกับมือบางที่เอื้อมไปยึดข้อแขนของผู้นำฝรั่งเศสที่กำลังจะใช้กำลังทหารค้นหาทุกซ่อนทุกมุมของเชินบรุนน์ สายตาเว้าวอนที่ไม่คิดว่าจะต้องใช้กับศัตรูถึงคราวต้องแสดงออกมา


“หม่อมฉันแท้งจริงๆเพคะ ได้โปรด อย่าทรงมีข้อกังขาในออสเตรียเลย ตอนนี้ความปลอดภัยในบ้านเมืองของเราอยู่ในมือของฝ่าบาทนะเพคะ เรื่องเสี่ยงแบบนั้น พวกเราไม่กล้าทำ...” เมื่อเห็นสายตาที่เคลือบแคลงที่มองมา องค์ราชินีจึงต้องเอาเหตุผลเข้าลูบ “เรามีรัชทายาทกี่คน เราจะถวายให้เพคะ แต่ยามนี้ไม่มี หม่อมฉันขอเป็นตัวประกันแทนบุตรของหม่อมฉัน ขอทรงกรุณาอย่ารุกรานออสเตรียไปมากกว่านี้ หม่อมฉันขอร้อง...”


ผู้บันดาลโทสะนิ่งงันเช่นเดียวกับเหล่าข้าราชบริพารที่เงียบกริบ จับจ้องใบหน้าของหญิงสาวผู้ช่างมีน้ำใจงดงามและเสียสละจนน่าสรรเสริญ ใครจะล่วงรู้ว่าคำพูดไม่กี่ประโยคจะก่อให้เกิดวีรสตรีให้แก่ออสเตรีย เมื่อใบหน้าของผู้นำแห่งฝรั่งเศสเริ่มแสดงอารมณ์อ่อนลง พลางโบกมือหยุดเหล่าทหารให้ยืนอยู่กับที่


“ที่พระนางเอ่ยมา พระนางแน่ใจรึ”


“แน่ใจเพคะ หม่อมฉันจะไปพำนักที่ฝรั่งเศสตามสัญญาของพระองค์กับเจ้าพี่ ตราบชั่วชีวิตของหม่อมฉัน พระองค์ก็ห้ามส่งกองทัพมารุกรานออสเตรีย และออสเตรียไม่ใช่เมืองประเทศราชของฝรั่งเศส ให้มีการปกครองในระบอบตามราชวงศ์เดิมสืบต่อกันมา”


คำประกาศที่หนักแน่นไร้ความลังเล ซึมซาบไปถึงหัวใจของคนฝั่งให้คล้อยตามได้ชะงัก ดวงตาสองคู่สบประสานกันฝ่ายหนึ่งมีความเคลือบแคลงไม่แน่ใจ แต่อีกฝ่ายกลับแน่วแน่มั่นคงเสมือนไม่ใช่แววตาของอิสตรีผู้เรียบร้อยอ่อนหวาน ทั่วทั้งท้องพระโรงมีเพียงความเงียบงัน กระทั่งในที่สุดชายวัยกลางแห่งฝรั่งเศสก็ยิ้มรับคำ


“ทุกอย่างจะเป็นไปตามคำของพระนาง ขอเชิญขึ้นรถม้า” องค์ราชินีย่อกายลงคำนับก่อนจะหันไปหาพระสวามี องค์จักรพรรดิดึงพระราชินีมากอดแน่น เสียงสะอึกสะอื้นรอบข้างยิ่งทำให้ทั้งสองพระองค์รู้ว่านับแต่นี้ไป ออสเตรียจะไร้ซึ่งพระราชีนี คีตกรหญิงผู้เป็นต้นแบบของการขับกล่อมให้บ้านเมืองนี้เป็นเมืองแห่งเสียงเพลง


“หม่อมฉันขอทูลลา” เสียงอ่อนหวานพร่าสั่น  กระซิบอย่างแผ่วเบาที่ข้างหู “ฝากลูกด้วยนะเพคะ”


ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ดั่งราชาหรือคนธรรมดาสามัญชน นี่คือผู้ชายที่กำลังสูญเสียภรรยาคู่ชีวิต


ทันทีที่ผละออกจากกัน องค์จักรพรรดิก็เหมือนหัวใจของตัวเองนั้นหลุดลอย พระองค์ทำได้เพียงทอดพระเนตรราชินีผู้เป็นที่รักค่อยๆเดินไกลออกไปจนกระทั่งก้าวเท้าขึ้นรถม้า จากนั้นจึงควบออกจนหายไปลับตา เหล่านางสนมนางกำนัลกลั้นน้ำตาไม่อยู่อีกต่อไป บางคนถึงกับเข่าทรุดอ่อนทิ้งตัวลงกับพื้นหินอ่อน ไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขานั้นมีบุญน้อยหรือบุญมาก ไม่อาจรู้ได้ว่านี่คือของขวัญของพระเจ้าหรือการกลั่นแกล้งจากปิศาจ


..... จะมีสักกี่ประเทศที่โชคร้ายถึงขั้นสูญเสียแม่ของแผ่นดินในกิจสงคราม


แต่จะมีสักกี่ประเทศ ที่โชคดีมีสมเด็จพระราชีนีที่ทรงกล้าหาญเด็ดเดี่ยว สละได้แม้กระทั่งอิสรภาพของตนเองเพื่อบ้านเมืองและครอบครัว


การเสียสละครั้งนี้ จะไม่มีสูญเปล่า


“ท่านอาซาริ” สุรเสียงขององค์จักรพรรดิตรัสเรียกผู้บัญชาการทหารสูงสุด “ไปประตูท้ายวังกับเราสักประเดี๋ยว ท่านจีคงรอนานแล้ว”




ประตูท้ายวัง

            ร่างสูงโปร่งของบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างม้าสีขาวรูปร่างกำยำ เขาสวมอาภรณ์ตัวยาวคลุมมิดชิดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มีเพียงปอยผมสีแดงยาวระต้นคอที่โผล่พ้นผ้าคลุมมาบ้าง ดวงหน้าที่จัดว่าคมขำมีร่องรอยของความกังวล เมื่อในอ้อมแขนของเขายามนี้มีทารกผู้ซึ่งเป็นอนาคตของออสเตรีย เจ้าชายรัชทายาทวัยไม่ถึงอาทิตย์ผู้ซึ่งแลกชีวิตมาด้วยความรักของพระราชินี...ทูลกระหม่อมองค์น้อยที่ฝรั่งเศสเชื่อว่าไม่มีชีวิตอยู่แล้วบนโลกใบนี้


บุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์แห่งกษัตริย์และองครักษ์ประจำพระองค์ที่คุ้นหน้าดีกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา ท่าทีรีบร้อนของทั้งสองคนทำให้ จี ที่ปรึกษาคนสนิทของราชสำนักรู้ดีว่า ตนนั้นมีเวลาไม่มากแล้ว


“พวกฝรั่งเศส ไปกันหมดแล้วหรือกระหม่อม”


“ใช่ แล้วก็ถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องไปเหมือนกัน” องค์จักรพรรดิถอนหายใจ ทอดมองลูกชายเพียงคนเดียวในอ้อมแขนของคนสนิทด้วยแววตาเศร้าสร้อย “ไปให้ไกล ท่านจี พาเขาหนีไปให้ไกล ต่อจากนี้ ท่านคือพ่อของเขา”


“ฝ่าบาท...หม่อมฉันมิบังอาจ”


“ท่านจี ท่านเป็นคนที่เราไว้ใจมากกว่าใคร ตอนนี้ประชาชนทั่วแผ่นดินออสเตรียและฝรั่งเศสได้จดจำแล้วว่า เจ้าชายรัชทายาท ได้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ประสูติ...แต่เขาจะมีชีวิตใหม่...ที่ไม่ใช่เจ้าชายรัชทายาท เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเอง....”


น้ำเสียงพร่าสั่นขององค์จักรพรรดิที่ไม่เคยให้ผู้ใดได้ยิน กับหยาดน้ำตาที่คลออยู่ในดวงเนตรทรงอำนาจนั้นเกิดจากการกักเก็บอารมณ์อาลัยอาวรณ์อย่างแสนสาหัส พ่อแม่ลูกที่ต้องอยู่กันคนละที่ซ้ำระยะทางยังไกลแสนไกลฟังดูโหดร้าย จนหัวใจนั้นแหลกสลายไม่มีทางเยียวยา แต่การเข้มแข็งในวันนี้จะนำมาซึ่งความผาสุกในวันหน้า
องค์จักรพรรดิสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วตัดบท


“ไปเถิด ท่านจี ฝากดูแลลูกชายฉันด้วย เราจะรอฟังข่าวจากท่านทุกเมื่อ...ให้เราได้รู้ว่าอยู่สุขสบายหรือวันใดที่ทุกข์ทนก็ขอให้มั่นคงเอาไว้ ให้เราได้รู้ความเป็นไปว่าเขาเติบโตเป็นเด็กที่แข็งแกร่ง และเล่นเปียโนได้เก่งเหมือนกับเสด็จแม่ของเขา” ในพระหัตถ์ของพระจักรพรรดิยื่นม้วนกระดาษบางๆให้กับจี


“นั่นคือเนื้อเพลงที่เรียงร้อยจากความรักในหัวใจของผู้เป็นพ่อแม่ เป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่เราสามารถให้ได้”


“หม่อมฉันรับด้วยเกล้า” จีรับมาไว้แนบอก เขาค้อมตัวให้นายเหนือหัวก่อนจะก้าวขาขึ้นหลังอาชา ความรู้สึกกดดันหนักอึ้งถาโถมเข้าหาจิตใจจนมองไม่เห็นปลายทางข้างหน้าเลยแม้แต่น้อย มันหนักหนาเกินกว่าที่สถานภาพจะกลายเป็นพ่อของคนๆหนึ่ง และไม่รู้ว่าเมื่อใดที่องค์ชายจะได้กลับคืนสู่บ้านและอ้อมกอดของบิดาบังเกิดเกล้า


“นายไม่ต้องห่วงหรอก....จี” น้ำเสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนของบุรุษที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิเอ่ยขึ้น จีเพิ่งสังเกตว่าหมอนี่ไม่ได้มาเพียงคนเดียว ยังจูงมือเด็กผู้ชายวัยสองสามขวบผมสีดำสนิท ท่าทางฉลาดเฉลียวเกินวัยมาด้วย


“องค์ชายต้องได้กลับคืนสู่ฐานันดรเดิมอย่างสง่างามแน่นอน...ใช่มั้ย ทาเคชิ” ดวงหน้าอ่อนโยนดูไม่สมกับตำแหน่งนายพลแห่งกองทัพหลวงหันไปพยักเพยิดกับเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเรียกรอยยิ้มบางๆของจีทันใด จีค้อมหัวให้องค์จักรพรรดิเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะสะบัดบังเหียนให้ม้าห้อออกไปอย่างรวดเร็ว จุดหมายปลายทางคือหมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์และสงบทางทิศตะวันออก


แต่ต่อให้ไปไกลเท่าใด ก็ไม่มีอะไรต้องหวั่น


ต่อให้ผ่านไปนานสักกี่ปี ก็ไม่มีวันลืมเลือน


เพชรที่ปะปนอยู่กับเม็ดพลอย ก็ยังคือเพชร เสียงใดที่เสนาะโสตจับหัวใจเพียงนั้น ต่อให้เร้นลับอยู่ในหุบเขาหรือลำเนาไพร สายธารที่หลั่งไหลหรือยอดไม้สูงเสียดฟ้าก็ยังสดับรับฟังได้แล้วรับรู้ถึงความไพเราะ


เป็นเพราะเสียงของเพลงๆนั้นดุจดั่งลำนำเพลงของคีตกรเอกแห่งเหล่าปักษา






Nightingale
ยามท่วงทำนองของใจขับขาน
         


ออสเตรีย 1805


ประเทศเล็กๆในยุโรปกลางซึ่งที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยศิลปวัฒนธรรม ประเทศที่ได้ชื่อว่าคือบานประตูผู้เปิดสู่ยุโรปตะวันตกและตะวันออก และ ณ นครหลวงเวียนนาที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำดานูบที่เลี้ยงทุกชีวิตดั่งเส้นเลือดสายใหญ่คือศูนย์กลางแห่งความเจริญทั้งอารยธรรมวัตถุและศิลปะทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามวิจิตรด้วยโครงสร้างของหินอ่อน ปูนปั้น อิฐศิลาหรือกระจกแก้ว ภาพวาดสีน้ำมันในโบสถ์หรือพิพิธภัณฑ์ที่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความศรัทธาในศาสนาทุกยุคทุกสมัย แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น ประเทศออสเตรียคือดินแดนในฝันของเหล่าคีตกวีผู้ใช้เสียงเพลงเล่าเรื่องราวของชีวิต...


ด้วยความที่องค์จักรพรรดินั้นหลงใหลในเสียงเพลงบรรเลงและโปรดการแสดงดนตรีส่งผลให้เหล่าพลเมืองหลงรักในท่วงทำนองคลาสสิคไปโดยปริยาย การมีนักดนตรีมือดีเอาไว้ในบ้านนับว่าเป็นสมบัติชิ้นสำคัญมากกว่าเพชรพลอยใดๆ ถนนในกรุงยังคงมีนักดนตรีเร่ร่อนให้ชาวบ้านได้มีความสนุกสนานครึกครื้น ในคฤหาสน์ขุนนางมีผู้ประพันธ์เพลงเอาไว้ประกวดประชันต่อหน้าพระพักตร์...จวบจนไปถึงในรั้วของพระราชวัง นักเปียโนผู้มีพรสวรรค์จะถูกขัดเกลาฝีมือและเลี้ยงดูอย่างดีโดยคนของกษัตริย์


ทุกคนมีจิตประดิพัทธ์ในตัวโน้ต จะยากดีมีจนเช่น ขอทาน ช่างก่อสร้าง แม่ค้า พ่อบ้านแม่เรือน นักเขียน ครูอาจารย์ หรือไปจวบจนกระทั่งอาชีพที่ห่างไกลความสุนทรีอย่างทหารตำรวจรักษาพระองค์...


“ทาเคชิ...นั่นลูกจะไปไหน”


บุรุษวัยสามสิบปลายเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่ลุกเดินไปหยิบหมวก เด็กหนุ่มร่างสูงสง่าดูดี เรือนผมสีดำสนิทเข้ากับคิ้วเข้มและดวงตาคมสีน้ำตาลเปลือกไม้ จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากที่มักจะยิ้มน้อยๆยามอยู่ในอารมณ์ที่ผ่อนคลาย หากแต่ขึงตึงเรียบยามอยู่ต่อหน้ากองทัพ รูปหน้าคมคายหล่อเหลายิ่งดูมีราศีจับเข้าไปอีกเมื่อเจ้าตัวอยู่ในชุดเครื่องแบบของผู้กอง ผู้นำกองทัพของทหารในราชสำนักรุ่นใหม่ไฟแรง และมีฝีมือในการรบที่เยี่ยมยอดจนใครๆก็พูดว่า หากเขาเกิดเร็วกว่านี้ บางทีออสเตรียอาจไม่ต้องพ่ายศึกฝรั่งเศส


“ไปโบสถ์...ศึกชายแดนคราวก่อนผมเผลอตัวไปหน่อย” คนเป็นลูกชายยักไหล่ ปากก็ว่าเหตุผลที่ฟังไม่ค่อยเข้ากับใบหน้าที่ยังยิ้มพราย “วิญญาณข้าศึกเป็นร้อยคงกำลังสาปแช่งผมอยู่...ไม่ไหวๆ ออกศึกทีไรก็ได้บาปติดมาเป็นพะเรอเกวียน”


ทันทีที่ได้ฟังคนเป็นพ่อ หรืออีกหนึ่งหน้าที่คือนายพลแห่งกองทัพทหารออสเตรีย องครักษ์ประจำพระองค์ก็หัวเราะร่วน รู้สึกเอ็นดูแกมหมั่นไส้เจ้าลูกชายยอดนักบุญหนักหนา


“แล้วยังไง? ไปขอสารภาพต่อพระผู้เป็นเจ้า มันทำให้ลูกเลิกเป็นผู้กองได้หรือไง วิธีการของลูก...พ่อว่ามันเหนื่อยเปล่า”


“ผมก็ไม่ได้คิดจะเลิกเป็นผู้กองนี่พ่อ...เพียงแค่วันนี้มีการแสดงดนตรีในโบสถ์แห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปโน่น สายบอกมาว่าไพเราะจับใจ” พอได้รู้ถึงเหตุผลที่แท้จริง อาซาริ อุเก็ตสึก็ยิ้มออกมา หวนนึกถึงหน้าที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างนอกจากปราบปรามข้าศึกที่มอบหมายเอาไว้ให้ยามาโมโตะ ทาเคชิ ในวันที่รับยศผู้กอง


“ได้เบาะแสอะไรบ้างหรือยังล่ะ”


“ยังเลยครับ” ยามาโมโตะยิ้มแห้ง ก่อนถอนหายใจพรืดใหญ่บ่งบอกความหนักใจ “เด็กผู้ชายอายุราวๆสิบหกปี จะต้องเป็นนักเปียโนที่มีพรสวรรค์และที่สำคัญคือไม่มีหลักฐานยืนยันครอบครัวที่แน่นอน นั่นคือคุณสมบัติของคนที่ผมต้องตามหา....ตอนแรกว่าง่าย ไปๆมาๆชักยากนะพ่อ...ไอ้เด็กนิรนามคนนี้เนี่ย”


“ทาเคชิ...”คนเป็นพ่อชักเสียงเข้มแต่ยังคงคุมให้อยู่ในความเบาพอจะได้ยินเพียงสองคน “พูดให้มันดีๆหน่อย ไอ้เด็กนิรนามของลูกน่ะ เจ้าชายรัชทายาทนะ หน้าที่อันทรงเกียรตินี้คือการพลิกชะตาของแผ่นดินออสเตรีย อย่าทำเป็นเล่นไป”


“โธ่พ่อ ผมไม่ได้เล่นสักหน่อย การนำตัวเจ้าชายกลับคืนสู่ฐานันดรเดิมแลกกับตำแหน่งผู้พันเป็นหน้าที่ผมอยู่แล้ว...แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ พ่อไปทูลองค์จักรพรรดิหน่อยก็ดีว่าให้มีรัชทายาทองค์สำรองเอาไว้บ้าง...เผื่อบัลลังก์ออสเตรียจะเป็นหมัน”


“หึ ถ้าบัลลังก์ออสเตรียเป็นหมันจริง มีสองคนที่หัวจะหลุดจากบ่า นั่นก็คือลูกกับพ่อ” คำขู่น่ากลัวทำเอาคนที่หวังดีต่อบัลลังก์รีบยิ้มกริ่มกลบเกลื่อนอาการใจหายวาบ แล้วเริ่มว่าไพล่ไปโน่นไปนี่


“พ่อ...ก็แล้วถ้าหลักฐานชี้ตัวเจ้าชายนี่มันเกิดเก๊ขึ้นมาล่ะ...ท่านอาจไม่ได้ทรงเปียโนก็ได้ใครจะไปรู้”
อาซาริยิ้มรับข้อสงสัยของลูกชาย แล้วตอบชัดด้วยความมั่นใจ


“คนที่อยู่กับเจ้าชายคือท่านจีที่ปรึกษาคนสนิท คำสั่งขององค์จักรพรรดิคือสิทธิ์ขาด เมื่อพระองค์ตรัสว่าเจ้าชายต้องทรงเปียโนได้เก่งเหมือนพระมารดา ท่านจีต้องรับผิดชอบคำสั่งด้วยชีวิต ซึ่งพ่อมั่นใจว่าจีทำได้”


ยามาโมโตะเลือกที่จะไม่ต่อความท่านนายพลแห่งกองทัพ เจ้าตัวยิ้มเจื่อนๆก่อนจะค้อมหัวแล้วเดินออกจากคฤหาสน์ไป แต่พอพ้นรัศมีของพ่อเท่านั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ก็กลอกขึ้นฟ้าอย่างหน่ายๆ ชักอยากถอดยศผู้กองแล้วอัปเปหิตัวเองออกไปเป็นเพียงพลทหารราบ ก็งานงมเพชรท่ามกลางพลอย ฟื้นฝอยตะเข็บตามรอยเรื่องในอดีตแบบนี้ ความสำเร็จมันชักจะน้อยลงๆไปทุกที

เจ้าชายรัชทายาทเจ้าปัญหา ท่านไปอยู่ที่ไหนกันนะ ท่านรู้มั้ยว่าทำให้ใครบางคนต้องปวดหัวยิ่งกว่าศึกเข้าประชิดเมืองเสียอีก!!



บางครั้งบางที ยามาโมโตะ ทาเคชิก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองโปรดปรานดนตรีอย่างที่ชาวบ้านเขาเป็นกันหรือเปล่า
บางครั้งบางที ที่ช่วงนี้ได้ข่าวการแสดงดนตรีที่ใดต้องถ่อไปชมให้ได้คงเพราะหน้าที่ต้องตามหาเจ้าชายนักเปียโนนั่น
เพราะฉะนั้นโสตประสาทของเขาจึงผ่านการฟังดนตรีคลาสสิคมาแล้วนับร้อยนับพันเพลง พอจะบอกได้ว่าใครบรรเลงเพราะ ใครมือใหม่หัดอ่านโน้ต หรือแม้กระทั่งฝีมือกลางๆตลาดๆทั่วไป แต่ ณ เวลานี้มาตรฐานที่หูของเขารับรู้เสียงเพลงก็ต้องพังครืนลง ไม่รู้จะหาระดับชั้นใดให้คู่ควรกับเสียงที่ได้ยิน


ดั่งก้าวข้ามโลกมนุษย์ แล้วขึ้นมาเสวยสุขบนชั้นฟ้า...


ทันทีที่รองเท้าหนังเหยียบกระทบกับพื้นหินอ่อนขัดเป็นมันของโบสถ์ ก็ได้ยินเสียงเปียโนที่บรรเลงอ้อยอิ่งอ่อนหวาน เสียงนั้นมีมนตร์สะกดให้ผู้ที่มาชมแน่นโบสถ์หลับตาพริ้มอย่างซึมซับอรรถรส เสียงนั้นใสราวกับแก้วบางต้องโลหะสีเงิน พลิ้วไหวเสียยิ่งกว่าสายลม หากพูดถึงความไพเราะแล้วอาจบอกได้ว่าคือเสียงของไนติงเกล ปักษาที่ขับขานกล่อมผืนป่าด้วยท่วงทำนองเพลงจากสรวงสวรรค์


ยามถึงห้องหวานก็หยาดเยิ้มรื่นหูยิ่งกว่าเพลงโรแมนติกเพลงใด ยามถึงห้องบรรยายความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าก็ฟังเยียบเย็น ศักดิ์สิทธิ์ดั่งสายน้ำทิพย์เย็นๆที่ร่วงพรูลงมาจากฟากฟ้า ยามาโมโตะหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถก้าวเดินไปที่ใดแม้แต่ก้าวเดียว หัวใจพลันอิ่มเอิบและเต้นเป็นจังหวะเดียวกับทำนองของเสียงเพลง


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ทันทีที่โน้ตตัวสุดท้ายถูกบรรเลงบนคีย์เปียโนความเงียบสงัดก็เข้าโรยตัวในโบสถ์เพียงชั่วอึดใจ จวบจนกระทั่งนักเปียโนผู้มีฝีมือหาใครเปรียบคนนั้นลุกขึ้นแล้วค้อมตัวอย่างสง่างามบนพื้นยกระดับ แขกเหรื่อทุกคนพร้อมใจกันลุกขึ้นปรบมือเกรียวกราวจนดังอื้ออึงไม่แพ้การแสดงใหญ่โรงมหรสพของนครหลวง....ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะ ว่านี่แค่การแสดงเล็กๆในโบสถ์ของหมู่บ้านธรรมดาแห่งหนึ่ง


แต่ถึงกระนั้นจุดที่ยามาโมโตะยืนอยู่คือประตูทางเข้า ส่วนจุดที่นักเปียโนยืนอยู่คือด้านในสุดของโบสถ์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สายตาเขาสามารถมองเห็นได้ก็คือ เด็กผู้ชายอายุอานามสักสิบห้าสิบหกปี เรือนผมสีเงิน รูปร่างออกจะผอมบางผิวพรรณขาวในชุดแขนยาวสีครีม


หืม?...เด็กผู้ชายอายุแรกรุ่น


ฝีมือทางเปียโนนั้น มากเสียยิ่งกว่าคำว่ามีพรสวรรค์ แบบนี้เรียกว่าพระเจ้าสรรค์สร้างก็ยังไม่ผิด


ให้ตายสิ กฎสามข้อของว่าที่เจ้าชายรัชทายาท เจ้าเด็กคนที่ยืนอยู่นั่นชวดไปแล้วซะสองเนี่ยนะ!


แล้วความคิดก็หยุดชะงักเมื่อกลุ่มคนชักจะทยอยออกประตู เพื่อไม่ให้เป็นการขวางทางคนอื่นเขาและตัวเองก็ยังไม่คิดจะออก ยามาโมโตะจึงเลี่ยงเดินหนีมาอยู่ข้างหน้าเรื่อยๆ และพอหันไปมองทางข้างหน้าอีกครั้งก็เห็นว่ามีชายหญิงสูงอายุแต่งตัวดูมั่งคั่งภูมิฐานคู่หนึ่งเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มซึ่งตอนนี้เขาไม่ได้ยืนอยู่คนเดียวแล้ว กลับมีบาทหลวงยืนอยู่ด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ นิสัยของเหล่าผู้ดีมีสตางค์ที่ชอบสะสมนักดนตรีมีฝีมือออกลาย และแน่นอนว่าเด็กคนนั้นต้องตาต้องใจสองเศรษฐีอย่างจัง


“นะครับ... บราเธอร์ ผมกับภรรยาสัญญาว่าจะดูแลเขาอย่างดี จะให้รับเป็นลูกบุญธรรมเลยก็ยังได้” ข้อเสนอที่ไม่ว่าจะดูเข้าท่าสักเท่าไหร่ยังไม่เปลี่ยนแปลงสีหน้าบาทหลวงไปจากความสุภาพเรียบเฉย


“พ่อเข้าใจถึงความปรารถนาดีของลูกนะ แต่ว่าเขายังเด็ก ให้เวลาเขาอีกสักหน่อย และดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะยังไม่อยากไปเล่นเปียโนที่ไหน นอกเสียจากในโบสถ์แห่งนี้”


“แต่ว่า เขามีฝีมือ หากได้รับการขัดเกลาคงจะเป็นคีตกวีมือหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย”


“ลูกรัก...” น้ำเสียงของท่านบาทหลวงเริ่มเข้มและมีพลัง “พ่อยังยืนยันคำเดิมว่ายังไม่ให้เขาไปที่ไหน พ่อเสียใจ แต่ก็อยากจะให้เข้าใจด้วย”


เพียงเท่านั้นสองสามีภรรยาก็ต้องก้มหน้ารับคำโดยไม่เถียงอะไรอีก ดูจากสีหน้าแล้วคงจะเสียดายและผิดหวังเป็นที่สุด เหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวลยามาโมโตะ ทาเคชิก็เป็นสักขีพยานกับเขาด้วย เริ่มรู้ซึ้งแล้วว่าท่านบาทหลวงมีมาดคนนั้นคงจะเป็นผู้ปกครองของเด็กหนุ่มนักเปียโนและท่าทางจะทั้งรักทั้งหวงมากเสียด้วย แม้แต่ผู้ดีติดยศขุนนางท่านยังปฏิเสธได้อย่างหน้าตาเฉย...แล้วกับผู้กองหนุ่มรุ่นลูกอย่างเขาท่านไม่ไล่ตะเพิดตั้งแต่เห็นหน้าเลยรึ


แต่ว่าสำนวนแพ้ตั้งแต่ยังไม่ออกมุ้ง ไม่เคยอยู่ในสาระบบของยามาโมโตะ ทาเคชิสักที


ร่างสูงก้าวเท้าฉับเดินเข้าไปหาทั้งสองจนไปหยุดยืนอยู่ข้างๆห่างกันไม่กี่ก้าว ยิ่งใกล้ รูปลักษณ์ก็ยิ่งเห็นชัด เริ่มจากบาทหลวงร่างสูงโปร่ง เรือนผมของเขานั้นมีสีแดงสว่างเคลียกรอบหน้าจนกระทั่งไปสิ้นสุดที่ต้นคอ ดวงหน้าคมขำนั้นบ่งบอกอายุว่าสักประมาณพ่อของเขาได้ แต่ว่าแลดูเนียนละเอียดหมดจด ดวงตาคมสีแดงจางสวยลึกซึ้งกำลังจับจ้องเขาเหมือนไม่ใช่สายตาของชาวบ้านธรรมดา แต่มันกลับให้ความรู้สึกกริ่งเกรงใจเหมือนเขากำลังมองตาผู้ใหญ่สูงศักดิ์คนหนึ่ง เป็นความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด


ส่วนเด็กหนุ่ม...


ตัวเล็ก


หมอนี่ตัวเล็กจริงๆ ส่วนสูงเพียงไหล่ของเขาเท่านั้น ตัวเล็กจนน่ารักน่าถนอม ซ้ำรูปร่างยามพิศมองใกล้ๆเรียกได้ว่าบอบบางราวกับตุ๊กตาแก้ว ช่วงไหล่มนลาดราวกับเด็กผู้หญิง เขามีเรือนผมสีเงินยวงเรียงตัวสลวยยาวระต้นคอเช่นเดียวกับท่านบาทหลวง ผิวพรรณขาวผ่องเนียนละเอียดอ่อนตั้งแต่ผิวหน้าจวบจนกระทั่งลำคอเล็กระหง ดวงตาสีมรกตงามฉายแววเต็มไปด้วยความมั่นใจรับกันอย่างดีกับคิ้วโก่งโค้ง จมูกเล็กโด่งรั้น ริมฝีปากบางสีเรื่อเม้มสนิท เรียวแขนบางกำลังกอดไขว้กันต่ำๆอย่างมีมาด โดยรวมแล้วทั้งรูปลักษณ์หน้าตารวมทั้งกริยาท่าทางของคนเบื้องหน้าสะกดให้ยามาโมโตะมองอยู่อย่างนั้น มองอย่างไม่กะพริบตา ซ้ำยังเหมือนกับว่าถูกดึงดูดเข้าไปเรื่อยๆ


พระผู้เป็นเจ้าจะโปรดเด็กคนนี้เกินไปหน่อยแล้วมั้ง...นอกจากฝีมือทางดนตรีที่พระองค์จะประทานให้แล้ว คงใช้เทพผู้ชำนาญงานศิลป์ที่สุดในสวรรค์บรรจงวาดดวงหน้าเขาขึ้นมาอีก


“ลูกมีอะไรให้พ่อช่วยหรือเปล่า” เสียงนุ่มทุ้มของท่านบาทหลวงที่อยู่ข้างๆทำให้คนที่แทบสติหลุดสะดุ้งเล็กน้อย ยามาโมโตะสูดลมหายใจแล้วผ่อนออกเบาๆ ก่อนจะเริ่มแนะนำตัว


“ผมชื่อยามาโมโตะ ทาเคชิ เป็นผู้กองแห่งกองทัพหลวงออสเตรียสังกัดพระราชวังโดยตรง เครื่องแบบของผมคงทำให้บราเธอร์เชื่อได้”


“แล้ว?” บาทหลวงยังคงไม่คลายจากสายตาหรี่เล็ก


“ที่ผมมาพบบราเธอร์ก็เพื่อจะมาขออะไรบางอย่าง แม้จะทำให้บราเธอร์ต้องรำคาญใจ แต่จุดประสงค์ของผมก็ไม่ต่างอะไรจากสองเศรษฐีเมื่อสักครู่” พูดมาถึงตรงนี้ผู้กองหนุ่มเริ่มขยับยิ้มออกมา “...แต่ก็เพียงว่าผมมีเหตุผลที่ดีกว่า”


“เหตุผลเหรอ? จะเป็นอะไรมั้ยถ้าลูกจะบอกให้พ่อทราบ”


“ความลับของทางราชการครับ บราเธอร์...ผมเสียใจที่ผมบอกไม่ได้”


ท่าทีเล่นแง่ของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำเอาบาทหลวงจีหรือในอดีตที่ปรึกษาส่วนพระองค์ต้องเงียบไปสักพักเพื่อประเมิน สายตาของผู้ที่เติบโตและทำงานในรั้วในวังของเขาช่ำชองพอที่จะบอกว่าเครื่องแบบของเด็กหนุ่มนั้นจริงหรือปลอม และแน่นอนว่าเขาต้องตรวจตรากับทุกคนที่เข้ามาเพื่อขอนักเปียโนหนุ่มน้อย ไม่ว่าจะเป็นผู้ดีมีสกุลขนาดไหนเขาก็ไม่เคยให้ผ่าน เพราะคนที่อยู่ข้างๆนี้ไม่ใช่เด็กทั่วไปที่อยากจะฝากฝังให้ใครก็ทำได้


....แต่กับเจ้าหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ความประกายว่าต้องการรับตัวคนในปกครองของเขาไปให้ได้ฉายชัดในแววตา แล้วไหนจะเหตุผลที่ไม่อาจพูดได้นั่นอีก


ถึงเวลาแล้วหรือนี่...อาซาริ อุเก็ตสึ


“เอาเป็นว่าผมต้องการตัวเด็กคนนี้ ส่วนเหตุผลก็อย่างที่ผมบอกไปว่าให้รู้ไม่ได้จริงๆ ก็แล้วแต่บราเธอร์จะตัดสินใจ”
ความเงียบน่ากลัวเข้าปกคลุมโบสถ์อีกครั้งเมื่อผู้กองหนุ่มสบตากับท่านบาทหลวงราวต่างฝ่ายต่างกำลังหยั่งลึกให้รู้เจตนารมณ์ของทั้งคู่ ใช่ และสงครามจิตวิทยาย่อมๆยามาโมโตะ ทาเคชิกำลังจะเป็นฝ่ายได้ชัยเมื่อเห็นท่านบาทหลวงแววตาอ่อนลงและเตรียมขยับปากพูด ใช่...เขากำลังจะได้ชัยหากไม่ติดว่าใครสักคนพูดแทรกขึ้นมาก่อน


“เหตุผลบางอย่างนั่นก็คือ นายอาจจะเอาฉันไปขายซ่อง หรือจับไปตัดแขนตัดขาเป็นขอทาน”


หือม์?


น้ำเสียงเอาเรื่องดังมาจากเด็กหนุ่มร่างบางที่ดวงตาเริ่มวาววับ คิ้วโก่งนั่นผูกเป็นโบแสดงความไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง ความคิดที่ไม่รู้เจ้าตัวคิดได้ไงเรียกใบหน้าอึ้งๆของยามาโมโตะให้หันไปมอง แต่พอสบกับสายตาซีเรียสนั้นแล้วมันชวนให้ขำยิ่งกว่าทำให้กลัว


นี่แหละนะที่เรียกว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ ข้างนอกดูดีน่ารักอย่างไร แต่ข้างในคงดื้อน่าดู


“ก็หรือไม่จริง?” เจ้าคนที่คิดว่าตัวเองจะถูกเอาไปขายยังพูดต่อ “อย่าคิดว่าชุดทหารเก๊เกรดเอนี่จะตบตาพ่อฉันได้ บอกเอาไว้ก่อนว่ามามุขเดียวกับนาย พ่อกับฉันรับมือมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว รีบๆกลับไปเถอะไป”


“ฮายาโตะ!” น้ำเสียงเข้มจัดเอ่ยชื่อลูกเลี้ยงของตัวเอง จนดวงหน้าเล็กนั้นสะบัดหน้าไปมองอึ้งๆอย่างตกใจ ท่าทีสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูกทำให้ยามาโมโตะถึงกับกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ต้องรีบตีหน้าให้กลับคืนสู่ธรรมดาให้เร็วที่สุดเมื่อบาทหลวงหันมาหาเขาอีกครั้ง


“เรื่องนี้ นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิตของฮายาโตะ พรุ่งนี้ถ้าลูกยังไม่เปลี่ยนใจก็มาที่โบสถ์นี้อีกครั้ง แล้วฮายาโตะจะไปกับลูกอย่างแน่นอน”


“พ่อ!


น้ำเสียงคัดค้านของคนเป็นลูกดูว่าจะไม่ถูกสนใจเลย ยามาโมโตะยิ้มละไมอีกครั้งหนึ่งก่อนจะกล่าวลาและเดินจากไป และแน่นอนว่ามีเสียงประท้วงไม่พอใจไล่หลังมาตลอดทาง


แม้ว่ายามาโมโตะไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นเจ้าชายรัชทายาทจริงหรือไม่ แต่รอยยิ้มที่มันหุบไม่ลงนี่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าได้มาจากคนๆนั้นล้วนๆ เสียงเพลงที่เพราะจับหัวใจ เพียงแค่หลับตาก็ชวนให้ล่องลอย ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งได้ฟัง คนที่มอบความสุขให้กับชาวบ้านโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน เพียงแค่เห็นหน้าและรอยยิ้มก็ทำให้โลกนี้สว่างไสว ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็น


และบางครั้งบางที เขาควรจะกลับไปแล้วมอบรางวัลให้กับสายสืบหูตาไวเป็นสับปะรดของเขาที่อุตส่าห์ยุแยงให้เขามาที่โบสถ์นี่ให้ได้ ชนิดว่างามอย่างที่สุดเท่าที่จะงามได้







            ตกกลางคืน แสงจันทร์นวลสาดส่องผ่านกระจกแก้วสีของโบสถ์เข้ามาข้างใน แสงจับต้องเปียโนหลังงามที่ไม่ว่าจะผ่านมานานกี่ปีในสายตาของโกคุเดระก็คือของล้ำค่าเสมอ มือเรียวเล็กลูบเบาๆกับพื้นไม้ลงเงาเรียบ ในหัวยังคงคิดอยู่เพียงเรื่องเดียวคือเรื่องที่พ่อดันยกเขาให้ไอ้ผู้กองบ้านั่น ทั้งๆที่เมื่อก่อนมีใครมาพ่อก็ไม่เห็นจะสนใจ
เจ็บใจเหรอ? ไม่ใช่หรอก แค่น้อยใจมากกว่า น้อยใจจนอยากจะร้องไห้ โดนคนในครอบครัวที่มีอยู่เพียงคนเดียวไสส่งแบบนี้ เป็นใครบ้างจะไม่รู้สึกแย่


“ฮายาโตะ” เสียงนุ่มทุ้มของบุรุษที่ร่างบางคุ้นเคยดังขึ้นข้างหลัง แต่คนถูกเรียกก็ไม่สนใจจะหันไปมอง


“พ่อไม่รักฉันแล้ว” คนเป็นลูกตัดพ้อ เป็นเหตุผลเดียวที่พอจะคิดได้จริงๆ บาทหลวงจีถอนหายใจพรืดใหญ่ให้กับความคิดงี่เง่าของลูกชายตัวเองแล้วลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ


“พ่อเคยบอกลูกหรือไง ว่าพ่อไม่รักลูกแล้ว”


“ก็ถ้าพ่อยังรักฉันอยู่ พ่อคงไม่อยากให้ฉันไป คนที่เค้ารักกัน เค้าต้องอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอพ่อ ถ้าไม่รัก ไม่ห่วง ก็คงไม่อยากเห็นหน้าแล้วเสือกไสให้พ้นๆ” โกคุเดระอธิบาย ยิ่งพูดว่าไม่รัก ไม่ห่วง ขอบตาก็ชักจะร้อนผ่าว น้ำเสียงที่เคยอวดเก่งแปรเปลี่ยนเป็นสั่นเครือ ตั้งแต่เกิดมาและจำความได้ เขาไม่เคยคิดจะอยู่ให้ห่างจากพ่อเลย แม้จะรู้ว่าไม่ใช่พ่อจริงๆเขาก็ไม่สน และไม่เคยคิดอยากจะไปไหน


แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า โกคุเดระจะไม่ได้อยากพบกับพ่อแม่บังเกิดเกล้าที่พ่อจีบอกว่ายังมีชีวิตอยู่ พ่อแม่บังเกิดเกล้าที่มีสมบัติแปลกประหลาดเพียงชิ้นเดียวนั่นก็คือโน้ตดนตรีที่ตอนนี้วางอยู่กับขาตั้งตรงหน้า


“ฮายาโตะ คนที่เค้ารักกันไม่ได้อยู่ด้วยกันก็มีเยอะไป ฟังนะ...มันมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ต้องแยกกัน และคนที่อยู่ด้วยกันตลอดอาจมอบความรักให้ไม่เทียบเท่าคนที่อยู่ห่างไกลก็ได้”


จีแย้มรอยยิ้มบางอย่างอ่อนโยน  ยิ่งมองดวงหน้าของลูกเลี้ยงมีศักดิ์ ก็ชวนให้คิดถึงองค์พระจักรพรรดิและราชีนี สองผู้ที่ส่งความรักมาถึงเด็กคนนี้ตลอด แต่ทว่าไม่เคยรับรู้เลย ไม่เคยรับรู้ว่ามีคนรักมากมายเพียงใด ไม่รู้แม้กระทั่งตนเองคือใคร


“เพลงนี้...” สายตาของจีเบือนไปมองโน้ตเพลงเบื้องหน้า “เป็นเพลงพิเศษ แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลา แต่ลูกต้องเล่นมันให้ได้”


โกคุเดระยิ้มเฝื่อนทอดสายตามองโน้ตเพลงที่ไม่มีแม้กระทั่งชื่อ เพลงที่อ่านแล้วช่างอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนยากเกินจะสัมผัส ทั้งนุ่มนวล ผะแผ่วแว่วหวาน และลึกซึ้ง อ่านได้หากแต่ยังไม่เข้าใจ เพราะอย่างนั้นแม้ว่าโกคุเดระจะเล่นเปียโนเก่งเช่นไร แต่ก็ยังคงเล่นเพลงนี้ไม่ได้


“คนที่เขียนเพลงนี้เป็นคนยังไงกันนะพ่อ เหมือนกับว่ามีความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ให้กับใครอย่างนั้นล่ะ” รอยยิ้มจางวาดลงบนใบหน้างามละมุน ยิ่งทำให้จีรู้สึกสงสารชะตาชีวิตของเจ้าชายรัชทายาทไปเป็นเท่าทวีคูณ อยากจะตอบออกไปเหลือเกินว่า เป็นความรักที่บริสุทธิ์และยิ่งใหญ่จริงๆ แต่เขาก็ทำได้เพียงภาวนาให้ฮายาโตะรับรู้ได้ในเร็ววันเท่านั้น


“พ่อคิดดีแล้ว การไปของลูกครั้งนี้ อาจทำให้ลูกได้พบกับพ่อแม่จริงๆ”


“เขาต้องการฉันเหรอพ่อ พวกเขารักฉันได้เท่าพ่อหรือเปล่า” คำถามที่ไม่แน่ใจทำให้จีหัวเราะ ฝ่ามืออุ่นวางลงบนศีรษะของลูกชายแล้วโคลงมันเบาๆ ก่อนจะดึงร่างบางเข้าสู่อ้อมกอด อ้อมแขนที่แทนความรักความอบอุ่นและที่พึ่งพิงในฐานะของบิดาเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมคำตอบที่ชัดเจนกระซิบที่ข้างหู


“พวกเขารักลูกมากกว่าที่พ่อรักเป็นร้อยเป็นล้านเท่า”


“............”


“แต่พ่อ ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยรักใคร เพราะงั้นฉันก็รักพ่อมากกว่าคนอื่นเป็นร้อยเป็นล้านเท่านะ”


.

.

.
TBC...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น