หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

S.Au.Fic Gintama [Takasugi X Katsura X Gintoki] สองฝั่งหัวใจ:องก์ที่หนึ่ง



Project: Happy birthday Takasugi kun!
S.Au.Fic Gintama Takasugi X Katsura X Gintoki
Serious drama action
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ รวมทั้งฉากและช่วงเวลาที่ปรากฎในฟิคเรื่องนี้ เป็นการผสมผสานปรับประยุกต์จากช่วงเวลาในประวัติศาสตร์จริงและจินตนาการของผู้เขียน ดังนั้นไม่สามารถใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ

คำเตือนข้อสุดท้าย เนื่องจากเป็น Au คาร์แร็กเตอร์อาจหลุดบ้างน่อ




สองฝั่งหัวใจ
         


องก์ที่หนึ่ง



เสียงใบไม้ที่ไหวต้องลมในวสันตฤดูนั้นไพเราะราวเสียงดนตรี



            ต้นซากุระสูงใหญ่เรียงรายหลายสิบต้น กลีบดอกซากุระสีชมพูหวานปลิวสะพัดกลิ้งเลียบไปตามพื้นหินสีเทาหม่น ตามระลอกลมโชย แลดูอ่อนโยนละมุนละไม ราวกับจะโอบกอดหัวใจของผู้เห็นเอาไว้ด้วยกลีบที่นิ่มนวล



            ธารน้ำใสเย็นดุจน้ำค้างไหลรินเป็นสายแคบๆ ชะก้อนกรวดสีขาวให้กระทบกันเป็นเสียงใสน่าฟัง



            หากเป็นไปได้ อยากจะซึมซับบรรยากาศที่สงบสุขแบบนี้เอาไว้ในหัวใจชั่วนิจนิรันดร์
           


.......ก่อนที่มันจะเหลือเพียงเล็กน้อยของเศษเสี้ยวความทรงจำ...



            ภายในรั้วกำแพงที่ทำจากหินทรายสีเบจสูงตระหง่าน คือพระราชวังของเหล่าเชื้อพระวงศ์แห่งดินแดนอาทิตย์อุทัยผู้สูงศักดิ์ ตำหนักหลายสิบตำหนักตั้งเรียงรายท่ามกลางการจัดแต่งสวนหย่อมขนาดกว้างขวางที่งดงามหาฝีมือใดมาเปรียบเทียบ ทั้งต้นดอกซากุระหลายสิบตั้นที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมรั้ว สีชมพูอ่อนๆของกลีบดอกตัดกับสีน้ำตาลเข้มของเปลือกไม้ยิ่งทำให้บุปผาซึ่งเป็นดั่งเอกลักษณ์ของชาตินี้ตราตรึงทุกหัวใจที่ได้มาเยือน สะพานไม้ถูกสร้างเป็นจุดๆข้ามธารน้ำใสเล็กๆ หากแต่รินไหลต่อเนื่องเวียนบรรจบโดยรอบพระราชวัง เบื้องล่างมีก้อนกรวดสีขาวมักสะท้อนแสง


อาทิตย์ที่ส่องกระทบราวหยาดมณีกลางน้ำ หินประดับแกะสลักเป็นรูปร่างของสัตว์ในเทพนิยายพร้อมทั้งตะเกียงดวงน้อยที่แขวนเอาไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มเงายิ่งเสริมให้พระราชวังแห่งนี้พรั่งพรูไปด้วยความพิลาสทั้งรูปลักษณ์ และอำนาจบารมีด้วยกองกำลังที่แข็งแกร่ง ผู้นำตั้งตนอยู่ในทศพิธราชธรรม


เป็นช่วงเวลาที่ทั้งเจริญรุ่งเรืองและสงบสุขซึ่งหาได้ยากนัก ญี่ปุ่นยุคมุโระมาจิ...


          ริมกำแพงวังทางด้านตะวันออก มีตำหนักๆหนึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบกว่าตำหนักใด หากแต่ทุกบ่ายจะได้ยินน้ำเสียงเด็กชายสองคนดังเจื้อยแจ้วเป็นจังหวะบทกลอน  เป็ยเสียงของนายเหนือหัวองค์น้อยๆที่เป็นดั่งดวงใจของประชาชนนับล้านคนในใต้หล้า


            ซากาตะ กินโทกิ....ทากาสึงิ ชินสุเกะ


            เด็กชายวัยแปดขวบในชุดกิโมโนเนื้อผ้าอย่างดีตามฉบับชาววังกำลังนั่งอ่านออกเสียงกลอนโบราณไฮกุอย่างหน่ายๆ หนึ่งในนั้นคือผู้มีเรือนผมสีเงินหยักศกชี้ฟูไม่เป็นระเบียบ สีหน้าเรียบเฉยจนอาจกล่าวได้ว่าด้านตายไม่สมวัย ดวงตาสีแดงไม่เคยฉายอารมณ์ใดๆออกมาเมื่ออยู่ในยามปกติ ส่วนอีกคน เด็กชายผมสีดำสนิท ดวงตาสีเขียวคู่นั้นมักเฉยเมยเย็นชาไม่สมกับอายุเช่นกัน หากแต่มีกลิ่นอายความทะเยอทะยานและสัญชาตญาณแห่งนักรบเต็มเปี่ยมฉายชัด


ไม่ว่าองค์ใดก็สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีแห่งตำแหน่งเจ้าชายรัชทายาท แม้นโตไปจะเป็นบุรุษที่มีความกล้าหาญ ปกครองบ้านเมืองและดำรงไว้ซึ่งบารมีล้นฟ้าล้นแผ่นดิน


หากแต่สถานะของทั้งสองนั้นต่างกัน ซากาตะ กินโทกิ คือองค์ชายที่เกิดจากพระมเหสี ส่วนทากาสึงิ ชินสุเกะ คือราชบุตรในพระสนมเอก...


...ซากุระร่วงโรย  แม้เหลือเพียงกลีบยังคงคอย หทัยมิไร้หวัง.... ซึร้า! ข้าอ่านจบแล้วนะ ให้ข้าไปพักสักทีได้ไหม นั่งพับขาอ่านกลอนไฮกุนี่มาตั้งสองชั่วโมง ข้าเมื่อยเป็นนะ!”


กินโทกิร้องบอกเด็กชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน คนถูกเรียกนั้นมีเรือนผมสีดำยาวสยายถูกมัดรวบสูงเผยให้เห็นต้นคอขาวเนียน ดวงหน้าเล็กนั้นมีเค้ารูปออกไปทางความสวยดุจสตรีมากกว่าความเข้มเช่นบุรุษ นัยน์ตาสีน้ำตาลคมละจากหนังสือบนโต๊ะแล้วช้อนขึ้นมองเจ้าชายรัชทายาทอันดับหนึ่งที่ไร้ซึ่งความอดทนสิ้นดี


“อย่าบ่นน่ะ กินโทกิ! นี่เพิ่งจะจบบทที่สาม เจ้ายังต้องอ่านกลอนอีกตั้งห้าบท  อ่านให้เสร็จไปทีๆเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน ตราบใดที่เจ้ายังไม่รู้ซึ้งถึงบทกลอนไฮกุ อย่าหวังว่าจะได้ไปเตร็ดเตร่เลย!


“โหย! ซึระ” เจ้าตัวดีรีบปรี่เข้ามากอดแขนบาง เล่นเอาคนโดนจู่โจมเอี้ยวตัวหลบแทบไม่ทัน “ขอข้าไปเดินเล่นหน่อยเถอะ ข้าสัญญานะ ว่าถ้ากลับมาข้าจะตั้งใจอ่านกลอนจนจบแปดบทเลย ตอนนี้ข้าไม่ไหวแล้ว นะๆ ซึระใจดี น้า


“ไม่เอาๆ! ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก เดี๋ยวก็จะหนีกลับตำหนักใช่ไหมล่ะ!?


แล้วก็ลงเอยด้วยการเถียงกันไปมา



เอาอีกแล้ว...


ภาพเด็กชายสองคนหยอกล้อกันตรงหน้า คนหนึ่งอ้อนแทบเป็นแทบตาย ส่วนอีกคนก็ซ่อนความใจอ่อนไว้นั้นนับว่าเป็นภาพชินตาเป็นประจำทุกวันที่ทากาสึงิ ชินสุเกะสังเกต ไม่ใช่ว่าเขาเป็นพวกชอบสนใจเรื่องชาวบ้าน แต่เขาก็แค่ชอบมองคนบางคนเป็นพิเศษก็เท่านั้น...



คาซึระ โคทาโร่...



เด็กชายร่างบางผมยาวสวยสีดำสนิท น้องชายคนเดียวของอาจารย์โชโย อาจารย์ของพวกเขา คาซึระมีหน้าที่เป็นเหมือนผู้ช่วยสอนและผู้ดูแลเจ้าชายรัชทายาทสองพระองค์ในวังหลวงแห่งนี้ อาจเป็นเพราะความสามารถทางด้านวิชาการที่สูงกว่าเด็กทั่วไป และดวงหน้างามที่มักฉายแววความเคร่งเครียดจริงจังและรอบคอบในทุกเรื่องที่เป็นดั่งเสน่ห์ให้รู้สึกหลงใหลและน่านับถือก็เป็นได้ ที่ทำให้ทุกอิริยาบถงามสง่าเรียบร้อย ไม่ว่าจับตา ณ เวลาใด ก็ชวนมองอย่างไม่รู้เบื่อ


แน่นอน เพราะเขารู้สึกแบบนี้ ย่อมรู้อีกคนว่ามันก็ไม่ต่างกัน...ไม่สงสัย ว่าทำไมน้องชายหัวเงินต่างแม่คนนั้นถึงได้ชอบออดอ้อนคาซึระนัก


“หุบปากไปเลย แล้วรีบไปอ่านกลอนต่อได้แล้ว ไม่เห็นเหรอว่าทากาสึงิเขารอเจ้าอยู่น่ะ”


“ไม่เอาน่า โคทาโร่ ไยเจ้าพูดจาไม่สุภาพกับองค์ชายอย่างนั้น”


เสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนของชายคนหนึ่งดังขึ้นข้างหลังตรงบันไดเตี้ยๆหน้าตำหนักเรียน บุรุษร่างสูงระหงท่วงท่างามสง่าสมกับเป็นอาจารย์ผู้ใหญ่ เรือนผมยาวสยายสีเทาอ่อนปลิวไหวน้อยๆยามเมื่อเขาก้าวเดิน บนใบหน้าอ่อนโยนมักมีรอยยิ้มละมุนประดับไว้อยู่เสมอ เขาผู้นี้คืออาจารย์โชโย ราชครูมือหนึ่งแห่งสำนักที่เชี่ยวชาญทุกสรรพศาสตร์ในผืนแผ่นดินไม่อาจหาใครมาทาบรัศมี เพราะมีคนมีฝีมือเช่นนี้เป็นพี่ชาย คาซึระ โคทาโร่เลยกลายเป็นเด็กชาญฉลาดรอบรู้และเก่งกาจเกินวัย


“แต่ว่าท่านพี่...”


“ให้องค์ชายท่านพักหน่อยจะเป็นไรไป” อาจารย์โชโยดักคอพร้อมหันมายิ้มให้ลูกศิษย์ตัวแสบ ซึ่งพยักหน้าหงึกหงักเห็นดีเห็นงามด้วยอยู่แล้ว แต่อาจารย์ก็คืออาจารย์จะปล่อยทั้งทีก็ต้องมีข้อเงื่อนไข


“แต่พระองค์ต้องสัญญากับหม่อมฉันนะกระหม่อม ว่าจะไปพักเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ถ้าหากยังไม่กลับมาล่ะก็ เจ้าโคทาโร่คงจะต้องโดนตีสักสิบที”


พอฟังเงื่อนไขข้อสุดท้ายจบ เจ้าของชื่อที่โดนปูนหมายหัวเอาไว้ก็ตาลุกโพลง หันขวับจนผมสะบัดไปโอดครวญใส่พี่ชาย


“ทะ ท่านพี่! ทำไมถึงเป็นข้าที่โดนล่ะ”


“อ้าว ก็เจ้าเป็นคนดูแลองค์ชายทั้งสองนี่ องค์ชายไม่ประพฤติตัวอยู่ในกรอบก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของเจ้า พี่พูดผิดหรือ?....เอ้า! รีบๆไป เดี๋ยวก็หมดเวลาก่อนหรอก”


เมื่อเถียงพี่ชายไม่ได้ บวกกับกินโทกิที่ออกแรงฉุดกระชากข้อมือเขาพร้อมที่จะไปเดินเล่นเต็มแก่แล้ว ทำให้คาซึระต้องลุกขึ้นแล้วถลาไปตามแรงดึงอย่างเสียไม่ได้ แต่ก่อนที่จะลงจากตำหนักนั้น ร่างเล็กหยุดยืน มือบางได้ยื่นไปตรงหน้าเจ้าชายอีกองค์ที่นั่งอยู่


ดวงตาคู่นั้นทอประกายสดใสอบอุ่น หากจะเปรียบเทียบท้องฟ้าฉาบไอแดดจางๆในยามบ่ายตอนนี้อาจไม่แจ่มใสเท่า น้ำเสียงอ่อนโยนและจริงใจนั้น เสียงสายน้ำรินก็อาจไม่เพราะเท่า...



“ไปด้วยกันสิ ทากาสึงิ”


และมือนิ่มๆคู่นี้ ก็ไม่อาจเอาสายลมบางเบานุ่มนวลที่พัดมาจากทางใดมาเทียบเทียม....


คาซึระ เพราะอย่างนี้...ข้าถึงได้ชอบมองเจ้า...








เสียงนกร้องพร้อมโผบินจากกิ่งนี้สู่กิ่งนั้น สายลมยามบ่ายแก่ๆพัดโชยทำให้แสงแดดไม่ร้อนจนแสบผิว กอดอกเบญจมาศสิบหกกลีบเบ่งบานอย่างสง่างามในกระถางดินเผาเขียนลายตั้งเป็นแถวๆโดยรอบตำหนัก เด็กชายสามคนย่อกายลงนั่งข้างลำธารเล็กๆแล้วหย่อนเท้าลงไปในสายน้ำเย็น ความนุ่มนวลอ่อนโยนของกระแสธาตุน้ำที่ไหลผ่านช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าและช่วยให้จิตใจสงบได้ไม่น้อย


“ดูแลเจ้าชายยศสูงสุดในราชสำนักนี่เหนื่อยเอาเรื่องเลย...ข้าชักอยากเห็นพวกเจ้าโตแล้วครองราชย์เป็นการเป็นงานซะแล้วสิ” เสียงบ่นของผู้ดูแลตัวเล็กที่นั่งอยู่ตรงกลางทำให้เจ้าชายทั้งสองที่ว่าหันมามองพร้อมกัน แต่ละคนนิ่งเงียบเหมือนกำลังตีความหมาย แต่คนที่แสดงออกได้เร็วกว่ากลับเป็นฝ่ายพูด


และเป็นความคิดเดียวกันที่เจ้าชายอีกองค์คิดอยู่


“หมายความว่า ถ้าพวกข้าโตแล้วเจ้าจะหนีไปอย่างนั้นแหล่ะ...งั้น ข้าไม่โตได้มั้ย?


คาซึระเลิกคิ้วแล้วยิ้มออกมาอย่างขันๆ “จะบ้าเหรอ เจ้าไม่ได้มีชีวิตเป็นอมตะนะถึงจะได้เด็กตลอดไม่โต ไม่แก่ แล้วไม่ตายน่ะ... มันก็ต้องอยู่ที่ท่านโชกุนว่าจะกรุณาให้ข้ากับท่านพี่ดูแลพวกเจ้าต่อไปหรือไม่ ในอนาคตเชื้อพระวงศ์เด็กๆในราชสำนักก็ต้องมาแทนพวกเจ้าสองคน ถึงตอนนั้นข้าก็อยากเป็นราชครูเหมือนท่านพี่ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้....ถ้าเป็นได้น่ะนะ ฮะๆ”


“แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ” เสียงเรียบๆที่เงียบมาเนิ่นนานขององค์ชายชินสุเกะดังขึ้น เรียกให้คาซึระและกินโทกิหันไปมองอย่างสงสัยในคำถาม


“เจ้าหมายความว่าไง?


เขาแค่นรอยยิ้มมุมปากเล็กๆ ดวงตาสีเขียวเข้มจ้องใบหน้าของคาซึระนิ่ง


“หมายความว่าถ้าในอนาคตเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ข้าต้องอยู่อีกทาง แล้วกินโทกิต้องอยู่อีกทาง ถึงตอนนั้นเจ้าจะเลือกดูแลใคร? และแน่นอนว่าเจ้าเลือกได้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น”


คาซึระนิ่งอึ้ง มองหน้าจริงจังของเจ้าชายอันดับสองด้วยความฉงนปนแปลกใจ แต่นัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้มีแววบ่งบอกความล้อเล่นอยู่เลย ความเงียบที่ทิ้งช่วงตัวยาวนานทำให้กินโทกิต้องนิ่งฟังไปด้วย กลับกลายเป็นว่าเจ้าชายสององค์กำลังรอคำตอบหลุดออกจากปากสหายที่เปรียบเหมือนอาจารย์คนนี้


คาซึระยิ้มออกมาบางๆให้เพื่อนสองคนแล้วทอดสายตาไปไกลไร้จุดหมายแน่นอน ราวกับว่าดวงตาที่มองไปนั้นกำลังจะหาคำตอบจากอนาคต และเพราะอย่างไรก็ยังเป็นผู้เยาว์วัยดวงหน้าไร้เดียงสานั้นฉายแววสับสนในความคิดเห็นได้ชัด


“ไม่รู้สิ...ถึงตอนนั้นข้าค่อยเลือกได้หรือเปล่า”


เจ้าของคำถามไม่ต่อความ เขาเองก็เงียบเช่นเดียวกัน มองกลีบดอกซากุระฤดูใบไม้ผลิที่ปลิวล่องลอยมาจุ่มกับธารน้ำ แล้วมองมันไหลไปตามยถากรรม เขาเองก็ถามไปอย่างนั้น ใช่ว่าจะรู้อนาคต และไม่ได้คิดเอาไว้หรอกว่าให้คาซึระตอบแบบไหนเขาถึงจะถูกใจ แต่มีอยู่เพียงสิ่งหนึ่งที่เขาอยากให้เป็น...


อยากให้ซึระรีบๆเลือก...



ก่อนที่โชคชะตาจะเป็นผู้เลือก...













7 ปีผ่านไป...


บางที...โชคชะตา อาจเร็วกว่าการตัดสินใจของใคร


โชคชะตาของผู้ที่จะเป็นใหญ่ เรืองอำนาจบารมีและยศถาบรรดาศักดิ์ ยิ่งผู้ที่มีความทะเยอทะยานและมีฝีมือฉกาจนั้น ย่อมมาถึงเร็วเป็นเท่าทวีคูณ


จะเป็นนักปกครองที่ยิ่งใหญ่เกียรติและอุดมการณ์เช่นพระจักรพรรดิ  ฤๅจะเป็นอสูรสงครามใช้คมอาวุธและอิทธิพลควบคุมทุกสิ่งในใต้หล้า


ทากาสึงิ ชินสุเกะ ราชบุตรองค์โตขององค์โชกุนได้เลือกอย่างที่สอง...




เพลิงสีแดงฉานลุกท่วมทั่วทั้งผืนดินในเขตรโหฐานแห่งพระราชวัง เผาพินาศย่อยยับสิ้นทุกสิ่งปลูกสร้างให้เหลือเพียงตอตะโก ผืนหญ้าที่เขียวขจี ดอกไม้ที่เคยส่องกลิ่นหอมอบอวลบัดนี้ได้กลิ่นเพียงเขม่าและเถ้าธุลีของซากพรรณไม้ที่ลุกไหม้บนผืนดิน น้ำในลำธารเหือดแห้ง มองไปในหนทางใดก็หมองมัวเช่นควันไฟลอยคลุ้ง เหล่าสนม นางกำนัล ตลอดจนทแกล้วทหารรักษาการณ์นอนตายเกลื่อนพื้นจมกองโลหิตที่ทาจนชุ่มแผ่นดิน เสียงกรีดร้องอื้ออึงน่ากลัวดังไปทั่วทั้งบริเวณ คนที่ยังคงรักษาชีวิตรอดได้เพียงแต่วิ่งหนีกลุ่มคนๆหนึ่งแล้วร้องขอชีวิตไม่เป็นภาษา


จลาจลกลางราชสำนัก รั้วนั้นคือกรง ไม่มีใครที่จะสามารถเข้ามาช่วย และไม่มีผู้ใดที่จะหนีฝันร้ายคราวนี้พ้น  หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสงบและสวยงามเฉกเช่นวันวาน สวรรค์บนดินกลับกลายจะเปลี่ยนเป็นนรกโลกันตร์!
นรกที่ถูกสรรค์สร้างโดยเด็กหนุ่มวัยเพียงสิบห้าปี หากแต่จิตใจมักใหญ่ใฝ่สูงเยี่ยงเจ้าแห่งปิศาจ


ทากาสึงิ ชินสุเกะ!


ชื่อของคนๆนี้ก้องเวียนอยู่ในหัวของซากาตะ กินโทกิ และคาซึระ โคทาโร่ สองผู้รอดชีวิตที่ทรุดกายเหนื่อยหอบพิงกับประตูนอกท้องพระโรง เด็กหนุ่มสองคนมองภาพของพระราชวังในยามนี้แล้วแทบอยากเป็นบ้า ลำพังพวกเขาสองคนตอนนี้มิอาจสู้กับกองทัพทหารอสุรากองกำลังในอาณัติของทากาสึงิได้ หัวใจเหมือนถูกย่ำยีและกระทืบซ้ำด้วยคนใกล้ตัวที่ไม่เคยคาดคิด ความเจ็บแค้นอย่างที่ในชีวิตไม่เคยได้รู้สึกมาก่อนถาโถมเข้าใส่หัวใจอย่างสากรรจ์ เมื่อทำได้เพียงแค่มอง


มองเพื่อนที่โดนความมืดมิดครอบงำกำลังจะโค่นบัลลังก์ของโชกุนองค์ปัจจุบันได้อย่างสมบูรณ์!!


กบฏแผ่นดินยืนอยู่กลางท้องพระโรงกว้างราวกับจะกำลังก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ราชาหากเมื่อใดที่ชายแก่ๆในอาภรณ์แห่งกษัตริย์ตรงหน้าได้สิ้นชีพลง ในมือถือดาบคมกริบยกขึ้นจ่อหน้าอกองค์โชกุนหรือผู้เป็นราชบิดาอย่างไม่ละอายต่อบาป ใบหน้าคมคายหล่อเหลาแสยะยิ้มเหี้ยม ดวงตาสีเขียวเข้มคู่นั้นได้ลืมไปจนหมดจนสิ้นแล้วว่าเมื่อก่อนเคยมีแววตาไร้เดียงสาและตั้งใจในแบบของเด็กฉายอยู่ ตอนนี้เขาก็แค่อสูรกระหายอำนาจ


และอย่างแรกคืออำนาจแห่งกษัตริย์ที่จะกระชากมาจากผู้เป็นพ่อ!


“ชินสุเกะ...ไอ้ลูกทรพี!!!” น้ำเสียงแหบห้าวขององค์โชกุนตวาดลั่นจนพระวรกายสั่นคลอน “บังอาจก่อกบฏโค่นล้มบัลลังก์ของพ่อบังเกิดเกล้า เจ้าทำได้ยังไง!! เจ้าทำกับราชวงศ์ของตัวเองแบบนี้ได้ยังไง!!!!


ทากาสึงิขยับยิ้มเย็น มองคนข้างหน้าที่เป็นถึงพ่อของตนด้วยความเย็นชา ก่อนจะเอ่ยเหตุผลออกมาอย่างไม่ไยดี


“ความจริงท่านพ่อควรจะขอบใจหม่อมฉันและปูนบำเน็จรางวัลให้อย่างงามเสียมากกว่านะกระหม่อม....ท่านพ่อไม่ยินดีหรอกหรือ ที่จะได้หม่อมฉันมาปกครองบ้านเมืองต่อจากท่านพ่อ ดูอย่างเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ได้ ไม่ทันข้ามราตรี ราชวังก็พินาศด้วยมือของหม่อมฉันกับพวกแล้ว ต่อไปในภายภาคหน้า แผ่นดินทั้งหมดจะมาอยู่ในกำมือก็คงไม่ใช่เรื่องยากมิใช่หรือกระหม่อม?


“แต่เจ้าหาใช่คนที่จะมีสิทธิ์ขึ้นครองราชย์ต่อจากข้าไม่! ตามธรรมเนียมแต่โบราณ บุคคลที่มีอำนาจต่อจากกษัตริย์องค์ก่อนคือราชบุตรที่เกิดแต่มเหสี...กินโทกิเท่านั้นที่จะได้ขึ้นครองราชย์!


สิ้นคำ ดั่งเป็นคำพูดปลุกใจของคนที่หลบอยู่หลังประตู เด็กหนุ่มผมสีเงินหม่นเพราะเปื้อนคราบเขม่าขบฟันกรอด มือกำแน่นจนสั่นระริก เขาแทบจะอยากจับดาบแล้วออกไปฟันพี่ชายสามหาวคนนั้นให้ตายใจแทบขาด หากไม่ติดอยู่อย่างหนึ่งว่า มีมือบางของคนข้างๆจับมือของเขาเอาไว้อยู่ คนที่เป็นดั่งคำเตือนเสมอว่า เขาจะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงไม่ได้


ใบหน้าของทากาสึงินิ่งเมื่อได้ยินชื่อ เพราะมีชื่อของใครอีกคนผุดเข้ามาในหัวคู่กัน มือข้างที่ถือดาบกระชับแน่นขึ้น ดวงตาคมกริบวาวโรจน์เมื่อจู่ๆก็รู้สึกว่าอารมณ์ของตนเปลี่ยนไปกะทันหัน จากที่ฮึกเหิมอยู่ดีๆกลายเป็นไม่สบอารมณ์


“ท่านพ่ออย่าได้ห่วงเลย...ประเดี๋ยวลูกชายสุดที่รักของท่านพ่อก็จะตามท่านไปแล้ว ไปส่งมอบบัลลังก์ตามธรรมเนียมกันในโลกหน้าเถิด ส่วนที่นี่ขอหม่อมฉันก็แล้วกัน...”


นัยน์ตาสีเขียวลุกโพลง ดาบเล่มเรียวยกตวัดขึ้นพร้อมกับคำพูดสุดท้ายก่อนที่จะลงมือปิตุฆาต


“ลาก่อนท่านพ่อ...”


“หยุดนะ องค์ชาย!



ฉัวะ!



วินาทีเดียวที่ดาบสังหารวาดลงมา


วินาทีเดียวที่กินโทกิและคาซึระเห็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น


และเป็นวินาทีเดียวที่มีร่างสูงระหงของใครบางคนที่พวกเขาคุ้นเคยวิ่งเข้ามาขวางวิถีแห่งดาบเพื่อปกป้องโชกุน


เลือดสีแดงข้นขลั่กสาดกระเซ็นเปื้อนท้องพระโรง พร้อมๆกับร่างของผู้ที่สังเวยต่อดาบของอสูรสงครามทรุดฮวบลงแน่นิ่ง เรือนผมสีเทาอ่อนยาวสยายจุ่มโลหิตที่นองพื้น ภาพเบื้องหน้าทำให้ร่างทั้งร่างของผู้แอบมองเหตุการณ์ชาวาบ โดยเฉพาะคาซึระ เขาได้ลืมไปแล้วว่าสิ่งที่เรียกว่าลมหายใจ...มันคืออะไร



ท่านพี่โชโยของเขาถูกฟัน...


นอนอยู่ตรงนั้น...


คนที่นอนจมกองเลือดอยู่ตรงนั้นคือท่านพี่ของเขาจริงๆ


ท่านพี่...ท่านพี่..........ท่านพี่ เสียงพร่ำเรียกแผ่วเบาจากน้องชายที่หัวใจแหลกสลาย หยาดน้ำตาหลั่งรินอาบแก้มทั้งๆที่ดวงตานั้นยังเบิกโพลง มันไหลรินเหมือนจะไม่มีวันหยุด ท่านพี่...ท่านพี่โชโย ตอกย้ำไปมาราวกับกำลังตอกย้ำความจริงที่ดวงตาสองข้างเห็น กลิ่นคาวเลือดที่โชยมาถึงหน้าประตูที่เขายืนอยู่มันทำให้สติของเขาขาดสะบั้น!


ท่านพี่!!!!! ”


ซึระ!”


เสียงร้องของคนที่ขาดใจเรียกสติของกินโทกิให้กลับมา เช่นเดียวกับที่ทากาสึงิละสายตาจากร่างอาจารย์โชโยแล้วมองมาที่ประตูเช่นเดียวกัน ไม่ต้องใช้เวลาคิด กินโทกิรีบคว้ามือของคาซึระซึ่งตอนนี้คือคนที่เปราะบางราวกับแก้วลนไฟแล้ววิ่งไปอย่างไม่มีวันเหลียวหลัง ดาบในมือกวัดแกว่งไร้ทิศทาง หากเจอพรรคพวกของทากาสึงิเข้ามาขวาง ตอนนี้ใครจะตราหน้าว่าราชบุตรผู้เป็นรัชทายาทอันดับหนึ่งกำลังทำการขี้ขลาดละทิ้งแผ่นดินให้กบฏเขาก็ไม่ได้สนใจ ตอนนี้เขาต้องมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น!!


เพราะเจ้าของมือที่เขากุมอยู่นี้...ไม่เหลือใครอีกแล้ว


“เฮ้ย!! เจ้าชายกินโทกิยังไม่ตาย!!!


“เจ้าชายกับคาซึระ หนีไปทางนั้น รีบจับสิโว้ย!!


เสียงชายฉกรรจ์ในชุดเกราะคนหนึ่งร้องโหวกเหวกแล้วเรียกทั้งทหารกลุ่มให้วิ่งตามพวกเขา สำหรับกินโทกิเรื่องแบบนี้ไม่เป็นปัญหาตราบใดที่เขายังมีดาบอยู่ในมือ....ห่วงก็แต่คาซึระ หัวใจของหมอนี่ล้มครืนลงไปแล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่ขอ ขอให้ยังมีแรงที่จะหนีก็เท่านั้น


กินโทกิลากคาซึระมาที่คอกม้าหลังตำหนักหลวง แล้วจัดการลากม้าตัวหนึ่งออกมาจากคอกก่อนจะพากันกระโดดขึ้นด้วยความทุลักทุเล เขายังคงไม่ยอมปล่อยมือคนข้างหลังง่ายๆ แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีเวลาพูดอะไร แต่ความอบอุ่นที่เขาส่งไป คำปลอบใจที่ไร้เสียงผ่านการสัมผัสกระชับมั่น จะพอถ่วงเวลาให้คาซึระสงบอารมณ์จนกว่าจะหาที่ปลอดภัยได้


ฮี้ย์!!”


กุบๆๆๆๆๆๆๆ


กินโทกิกระทืบม้าให้ห้อตะบึงไปอย่างรวดเร็ว อาชาฝีเท้าดีข้ามกระโดดต้นไม้ลุกไฟอย่างคล่องแคล่ว พาหลบหลีกจากกลุ่มศัตรูได้ฉับไว เขาต้องหนี หนีไปให้ไกล พาตัวเองและคาซึระหนีไปให้พ้นจากมือมัจจุราช ขอแค่เป็นเขาก็ยังดี ที่เป็นคนเชื้อสายพระวงศ์ที่รอดชีวิต ขอแค่เป็นเขาก็ยังดี ที่เป็นคนปกป้องคาซึระ


เหลือแค่เขาคนเดียวก็ยังดี....


พอฝีเท้าม้าพ้นจากประตูวัง ภายนอกโกลาหลไม่แพ้ภายใน เพลิงลุกไหม้บ้านเจาะจงเรือนของข้าราชการที่ขึ้นตรงต่อราชสำนักเก่า ชาวบ้านวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น บางครอบครัวก็ยอมก้มหัวกราบลงกับพื้นให้กับกลุ่มปฏิวัติใจทมิฬ วิงวอนขอที่ดินและบ้านให้ลูกหลานมีที่ซุกหัวนอนต่อไป กินโทกิมองภาพเบื้องหน้าจากบนหลังม้าด้วยความอดสู บวกกับความชื้นบนหลังจากน้ำตาของใครบางคนยิ่งทำให้เขาเจ็บแค้นการกระทำของทากาสึงิ ถ้าตราบใดที่เขายังมีลมหายใจ สิ่งที่เขาและคาซึระเสียไปในครั้งนี้ จะต้องถูกเอาคืนเป็นพันเป็นหมื่นเท่า!


ขอให้บัลลังก์ที่มันแย่งชิงมาโดยเข่นฆ่าผู้มีพระคุณจงร้อนจนลุกเป็นไฟ!


ดวงตาสีแดงของเจ้าชายรัชทายาทโชนแสงโรจน์เมื่อหันกลับไปมองพระราชวังอีกครั้งหนึ่ง น่าแปลกที่ว่าไม่มีทหารของกองทัพอสุราตามมาเลย จะเป็นโอกาสที่พระเจ้ามอบให้ หรือเป็นหลุมพลางของปิศาจตนนั้นก็ตามแต่ กินโทกิก็รีบควบม้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือทันที


การเดินทางร่วมยี่สิบนาทีอย่างไร้จุดหมายไปตายเอาดาบหน้าคือทางรอด บางทีสวรรค์อาจโปรดพวกเขาสองคนอยู่บ้าง ที่เห็นไกลลิบๆตรงหน้านั้นคือวัดร้าง ประเมินจากสายตาระยะไกลแล้ว เป็นวัดที่ใหญ่มากเลยทีเดียว กินโทกิสะบัดบังเหียนเร่งม้าให้ควบเร็วขึ้น พร้อมกับบีบมือของคาซึระเบาๆเพื่อบอกข่าวดี


ซึระ ข้าเห็นที่พักแล้ว เจ้าอดทนหน่อยนะ...


กุบ กุบ


ม้าร่างกำยำลดฝีเท้าลงเมื่อถึงหน้าวัด ร่างสูงลงจากหลังม้าพร้อมๆกับพยุงอีกคนลงมาด้วย แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ ดวงหน้างามของคาซึระนั้นไม่มีหยาดน้ำตาเปรอะเปื้อนอีกแล้ว เหลือไว้เพียงดวงตาแดงก่ำเท่านั้น กินโทกิไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้คนตรงหน้าฝืนทนมากถึงขนาดนี้ ความเข้มแข็งที่ได้รับสืบทอดมาจากอาจารย์โชโยผู้เป็นพี่ชาย หรือเป็นเพราะติดสัญชาตญาณของผู้ดูแลที่จะทำตัวอ่อนแอให้คนเห็นนานๆไม่ได้เด็ดขาด


ถึงแม้ว่าจะเป็นการเก็บกลั้นความรู้สึกอย่างแสนสาหัส...แต่ก็ต้องทำ ถึงแม้จะเสียใจจนอยากกรีดร้องออกมาเพียงใด แต่ก็ต้องสำรวมอาการให้อยู่ภายใต้ความนิ่งสงบ


ซึระ....ทั้งๆที่เจ้า...เสียคนสำคัญไปแล้วแท้ๆ


กินโทกิ...ฟังข้านะ ร่างบางสูดลมหายใจ พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นทั้งๆที่มันทำได้ยากยิ่ง ไม่ต้องห่วงข้า...ข้าไม่เป็นอะไร สิ่งที่เจ้าต้องมีตอนนี้คือความเข้มแข็ง หากเจ้าเข้มแข็งแล้วสิ่งที่เจ้าเสียไปมันต้องกลับมาหาเจ้าในอนาคต


ตราบใดที่ยังมีข้า ข้าจะช่วยเจ้าเอง...ข้า..สัญญา


ซึระ....


น้ำเสียงของคาซึระสั่นเครือ หัวใจดวงนั้นช่างเด็ดเดี่ยวที่จะตัดความอาลัย น้ำตาที่กลั้นไม่ให้มันรินไหลอีกคราพร้อมๆกับสติที่มันเคยล้มครืนกลับประกอบขึ้นมาได้ใหม่ ถึงแม้ว่ามันจะสั่นคลอน แต่ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นฉายแววจริงจังและมั่นใจว่ามันจะตั้งตรงได้อย่างสง่างาม  กินโทกิเห็นแล้ว และรู้มาโดยตลอดว่าหัวใจของคาซึระเข้มแข็งและงดงามไม่แพ้อาจารย์โชโยผู้เป็นพี่ชาย


เพียงเท่านี้ กินโทกิก็รู้แล้วว่าต่อไปเขาจะต้องทำอะไร...


ปกป้องเกียรติ ปกป้องสายเลือดของตัวเอง ที่วันนี้โดนเหยียบย่ำอย่างน่าละอาย


และยิ่งกว่านั้น...



คนที่อยู่ตรงหน้านี้ ทั้งร่างกายและหัวใจ เขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้าย ซ้ำสอง



จะปกป้องด้วยชีวิต...




นี่คือปฐมบท แห่งสงครามย่อมๆ ระหว่างสองสายเลือดขัตติยา และอีกหนึ่งจิตวิญญาณบริสุทธิ์


ที่โชคชะตาเป็นผู้เลือกฝั่ง...



.


.


.
TBC...

6 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ21 เมษายน 2558 เวลา 16:46

    น่าติดตามมากครับ

    ตอบลบ
  2. อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนได้กลิ่น 3p -3-

    ตอบลบ
  3. นี่มัน...3p!!!//โดนตรบกระเด็น

    ตอบลบ
  4. นี่มัน...3p!!!//โดนตรบกระเด็น

    ตอบลบ
  5. ชอบภาษามากค่ะ สวยมากๆฟๆ สนุกก คาซึระสวยมากชอบ55555555

    ตอบลบ
  6. ชอบ เอาอีกนะเอาอีก

    ตอบลบ