หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

Fic KHR [8059] My wind...our wind : Chapter25



Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama  Action
NC-17

คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ



Chapter 25 สิ่งมีชีวิตเย่อหยิ่งที่สุดที่เรียกว่า...หัวใจ



เข้าสู่วันที่หก


“อาการทรงตัวครับ แต่ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว ชีพจรของท่านโกคุเดระเต้นดีขึ้น ความดันก็เป็นปกติดีครับ” แพทย์วางข้อมือของวายุลงหลังจากตรวจเสร็จแล้วจดลงไปในชาร์ท นภาแห่งวองโกเล่และอัสนีถอนหายใจยาว พวกเขาไม่ได้รู้สึกยินดีในอาการที่ดีขึ้นของสายลมเพราะเหลือเวลาอีกวันเดียวก็จะครบอาทิตย์ แต่ไม่มีท่าทีว่าสายลมจะฟื้นขึ้นมาเลย


“ไม่มีเปอร์เซ็นต์ว่าเขาจะฟื้นบ้างเหรอครับ นี่ก็วันที่หกแล้ว” นภาแห่งวองโกเล่ถามอย่างร้อนรน แต่ยังคงคุมความเรียบเฉยเพื่อไม่สร้างความลำบากใจให้กับหมอ แต่ความเป็นจริงเขาใจร้อนยิ่งกว่าใคร


“ตอนนี้ท่านโกคุเดระมีอาการเหมือนคนปกติทุกอย่างครับ เพียงแต่ว่ายังไม่สามารถลืมตาฟื้นขึ้นมาได้ ตอนนี้ให้กำลังใจเขามากๆเถอะครับ เพราะผมเชื่อว่าอย่างไรก็ตามท่านโกคุเดระไม่มีทางกลายเป็นเจ้าชายนิทรา


แต่ว่าเหลือเวลาไม่ถึงวันเองนะครับ ผู้พิทักษ์อัสนีค้านเสียงเศร้า ขณะที่นภาหันกลับไปมองเป็นเชิงเห็นด้วย


เวลาไม่ถึงวันอะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ ต่อให้ยังไม่ถึงวินาทีสุดท้าย ก็อย่าเพิ่งหมดหวัง


สองผู้บริหารแห่งวองโกเล่ยิ้มบางๆรับคำ ก่อนที่คุณหมอจะโค้งคำนับแล้วเดินออกไป ลับหลังคุณหมอแล้ว ทั้งคู่ก็หันกลับมามองคนไร้สติบนเตียงอย่างพร้อมเพรียง ผู้พิทักษ์อัสนีทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน ตอนนี้สภาพจิตใจเขากำลังเข้าขั้นแย่ เขาเฝ้าคนๆนี้มาก็จะอาทิตย์แล้ว แต่สิ่งตอบแทนคือการที่วายุไม่ฟื้นขึ้นมา...งั้นหรอ


“แรมโบ้...”


“วองโกเล่ครับ ถ้าหากคุณโกคุเดระไม่ฟื้นเราจะทำยังไงหรอครับ” คำถามเรียบๆเอ่ยขึ้นตามประสาเด็กที่ยังไร้เดียงสา แต่การหาคำตอบมันช่างยากเหลือเกิน แม้แต่นภาเขาก็ยังไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ นั่นสิ...ถ้าไม่ฟื้นจะทำยังไง...พวกเขาทุกคนจะต้องทำยังไง


“เราจะต้องทำยังไง กลับไปทำงานที่หอใหญ่ตามเดิม...แต่จะไม่มีเสียงทวงงานโหวกเหวก ไม่มีคนที่เดินถือเอกสารร่อนไปร่อนมา ไม่มีคนมาบ่น...ไม่มี...”


“แรมโบ้ พอเถอะ พอได้แล้ว” นภาแห่งวองโกเล่เอื้อมมือไปวางบนไหล่อัสนีเพื่อให้เด็กคิดมากหยุดพูด“นายกำลังพูดเหมือนโกคุเดระคุงจะไม่ฟื้นมาอีกอย่างนั้น ไม่เอานะ อย่าพูดอะไรแบบนี้สิ”


นภาดุเบาๆ แต่ในใจของเขากลับหวาดหวั่นไม่ต่างกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เกือบอาทิตย์นี้ทุกคนทำดีอย่างที่สุดแล้ว และเขาเชื่อว่าวายุก็ต้องพยายามเต็มที่ อะไรจะเกิดขึ้น จะดีหรือเลวร้ายมันเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่ต้องทำใจยอมรับมัน เพียงแต่ถ้าหากว่าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาจริงๆ เขาจะต้องใช้เวลาเพียงใดที่จะกลับเข้าสู่ความเป็นปกติเช่นทุกวัน


เพียงหนึ่งวัน...                                                      


หนึ่งเดือน...


หนึ่งปี...


หรือหนึ่งชั่วชีวิต...


ต้องใช้เวลานานขนาดไหนกัน?


“เอาเป็นว่า ถ้านาฬิกายังไม่ชี้เลขสิบสองของคืนนี้ นายสัญญากับฉันนะว่าจะไม่ท้อแท้ จะไม่คิดอะไรแบบนี้ และให้กำลังใจโกคุเดระคุงมากๆ วันนี้ฉันจะอยู่กับนายทั้งวัน โอเคมั้ย” นภาแห่งวองโกเล่ยิ้ม เปรียบเสมือนว่าเป็นท้องนภาสีฟ้าใสที่กว้างใหญ่ มองเมื่อไหร่ก็งดงามและมีพลัง เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆ สัญญา ไม่เป็นอะไรหรอก อีกไม่กี่ชั่วโมงเขาเฝ้าได้อยู่แล้ว...


ไม่สิ...ต่อให้ตลอดชีวิตก็เฝ้าได้


“เดี๋ยวคุณพี่กับมุคุโร่จะมา วันนี้เราทุกคนจะมาให้กำลังใจโกคุเดระคุงด้วยกันนะ”


“รวมคุณยามาโมโตะด้วยเหรอครับ” อัสนีรำพึงเบาๆ ทำให้นภาชะงักไป ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตมองเด็กหนุ่มผมสีดำอย่างเศร้าสร้อย ความรู้สึกผิดมันเอ่อล้นเต็มจิตใจอีกครั้ง เขารู้ว่าอัสนีอาจจะไม่รู้สึกเกร็งพิรุณเท่าไหร่แล้ว แต่ทว่าเขาไม่รู้ว่าพิรุณทำอะไรกับเด็กคนนี้เอาไว้บ้าง เขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เส้นความสัมพันธ์ของสองผู้พิทักษ์ต้องขาดสะบั้นลงหรือเปล่า


“ยามาโมโตะ...ยังไม่ได้พูดอะไรกับนายเลยหรอ”


“ไม่เห็นจำเป็นเลยครับ”เขาเอ่ยเบาๆ น่าแปลกใจใบหน้าของเด็กหนุ่มไม่ใช่บึ้งตึงแต่เป็นเปื้อนยิ้ม “ถึงเขาไม่พูดอะไรผมก็ไม่ใส่ใจ เพราะเงื่อนไขของผมกับเขาคือคุณโกคุเดระต้องกลับมาเป็นอย่างเดิมผมถึงจะอภัยให้ ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็ค่อยเคลียร์กันใหม่”


อัสนีย่นจมูกน้อยๆ แล้วเอามือเท้าคางอย่างสบายใจ ราวกับว่าเงื่อนไขนั้นเป็นเรื่องไม่หนักหนากับเขา แต่นภารู้ว่าไม่ใช่อย่างที่พูดสักเท่าไหร่ ความจริงเงื่อนไขมันน่ากลัว กลัวจนเด็กคนนี้เกินกลัวแล้วมากกว่า


“แล้วนายคิดว่า นายจะให้อภัยยามาโมโตะหรือเปล่าล่ะ”คำถามนั้นเรียกดวงเนตรสีมรกตสดใสแลดูคุ้นเคยไม่ต่างจากดวงตาดวงนั้น...ดวงตาของมือขวาที่มองเขาเป็นประจำเขายังคงจำได้ไม่ลืมเลือน มรกตน้ำงามวาววับสว่างไสวไม่ต่างจากอัสนีบาตที่ผ่าลงยังผืนปฐพี เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มหวานก่อนจะตอบอย่างมั่นใจ


“แน่นอน...ผมให้อภัยเขาได้แน่ครับ”


ให้มันได้อย่างนี้สิ


นภาแห่งวองโกเล่แย้มรอยยิ้ม ที่ผ่านมาคนอย่างเขาไม่เคยยอมรับสิ่งเหนือธรรมชาติที่ถูกยัดเยียดโดยวองโกเล่ ทั้งลางสังหรณ์สุดยอดอะไรนั่นรวมถึงชะตากรรมต่างๆของผู้พิทักษ์ที่พระพรหมขีดเส้นทางให้เดินเคียงข้างกันเสมออย่างสวยหรู อำนาจบาตรใหญ่อิทธิพลความน่าเกรงขาม หรือเป็นสมบัติมหาศาลล้นฟ้า ทุกอย่างไม่ใช่สิ่งที่ซาวาดะ สึนะโยชิยึดติด


แต่มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น...ที่เขาไม่เชื่อคงจะไม่ได้...


ความไว้เนื้อเชื่อใจกันของผู้พิทักษ์...







เที่ยงวัน หน้าโรงพยาบาลวองโกเล่แฟมิลี่


“ระ โรคุโด”


“ครับ?


“นาย...ใช่นายแน่นะ ตัวจริง หรือภาพหลอนฟะ!


“อ่า...ตัวจริงสิครับ ไม่ใช่ผมแล้วจะเป็นใครล่ะครับ”


ผู้พิทักษ์อรุณอ้าปากค้าง ตาถลน ตอนนี้ก็กลางวันแสกๆเขาคงไม่ได้สายตาฝ้าฟางเพราะว่าเขายังไม่ถือว่าแก่เท่าไหร่ แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือผู้พิทักษ์ผมสีน้ำเงินไพลินยาว เสื้อโค้ทยาวสีดำคลุมทับเสื้อเชิ้ตขาวแทนสูท รองเท้าบูทยาวจนครอบกางเกงสแล็คสีดำเข็มขัดเส้นใหญ่บอกรสนิยมของแฟชั่น ในมือเจ้าตัวถือช่อดอกกุหลาบสีเหลืองสองช่อที่เพิ่งเอาออกมาจากเบาะหลังปอร์เช่รุ่นล่าสุดสีบรอนซ์เงินประจำตำแหน่ง


โรคุโด มุคุโร่ ผู้พิทักษ์สายหมอกแห่งวองโกเล่ ตัวจริงเสียงจริง!


“ทำไมต้องทำหน้าตกใจด้วยล่ะครับ” สายหมอกเอ่ยถามกลั้วหัวเราะในขณะที่เดินเข้าไปในโรงพยาบาลกับอรุณ คนถูกถามหันกลับมาเป็นเชิงถามว่า ต้องตอบด้วยเหรอ


“ก็แกไม่เคยมา ตั้งแต่ไอ้สองคนนั่นเข้าโรงพยาบาลแกก็อยู่แต่ในหอ โผล่มาเอาป่านนี้ใครก็ตกใจเฟ้ย”


“คึหึหึหึ ก็ผมไม่ค่อยอยากออกมาเจอคนเยอะๆนี่ครับ อีกอย่างงานของโกคุเดระคุงก็ยังกองเป็นพะเนิน เยอะใช่เล่นเลย แต่นี่เพราะได้ข่าวว่ายามาโมโตะคุงฟื้นแล้วนะครับถึงมา”


สายหมอกอธิบาย แต่อรุณก็เห็นด้วย ไม่แปลกที่จะไม่เห็นคนๆนี้มาโรงพยาบาล ด้วยนิสัยส่วนตัวและงานมือขวาชั่วคราวที่ถูกมอบหมายให้เกี่ยงกันแทบตาย อรุณเป็นคนแรกที่ปฏิเสธเลยล่ะ ให้ไปนั่งเซ็นเอกสารเป็นพันฉบับของมือขวาเขาไม่เอาด้วยหรอก สุดท้ายก็ตกเป็นงานของคนที่เมื่อก่อนไม่เคยแตะงานอย่างโรคุโด มุคุโร่


นี่แหล่ะ...ถึงอยากให้มือขวาตัวจริงฟื้นขึ้นมาเร็วๆ


“จะว่าไป...วันนี้...เป็นวันสุดท้ายสินะครับ” สายหมอกเปรยขึ้นในขณะที่อยู่หน้าห้อง หน้ากากที่มีพันหน้าของจอมหลอกลวงบัดนี้เหลือเพียงใบหน้าเรียบเฉย ทำให้มือของนักมวยที่กำลังจะเคาะประตูหยุดกึก ช่องท้องโหวงเหวงขึ้นมากะทันหัน น้ำลายฝืดคอจนกลืนไม่ลง


วันสุดท้ายหรอ?...ช่างเป็นคำที่โหดร้ายอะไรขนาดนี้กันนะ


“อืม” เขาถอนหายใจ “วันนี้เป็นวันสุดท้ายของโชคชะตาโกคุเดระ”


“ซาวาดะ! แรมโบ้! ฉันมาแล้ว พาใครมาด้วยล่ะเออ” อรุณปั้นหน้ายิ้มแย้มแล้วส่งเสียงทักเข้าไปก่อนตัว นภาแห่งวองโกเล่และอัสนีที่นั่งอยู่ก่อนยิ้มน้อยๆเป็นเชิงทักทาย ก่อนจะอึ้งไปเมื่อเห็นอีกคนเดินตามหลังเข้ามา นภาว่าเขามีสติแล้วนะแต่ก็ยังไม่อาจห้ามให้ตัวเองถลึงตาขึ้นเล็กน้อย แต่ผู้พิทักษ์อัสนีสิแข็งเป็นหินไปแล้ว


“แปลกมากหรอครับที่ผมมาเนี่ย” น้ำเสียงฉอเลาะดังนิ่มๆ เรียกให้สึนะโยชิและแรมโบ้กลับสู่สภาพปกติ คนที่เผลอทำตัวไร้มารยาทรีบส่ายหน้าพรืดแล้วรับดอกกุหลาบมาวางบนโต๊ะ


“ปละ เปล่า เปล่าเลย แค่แปลกใจนิดหน่อย คิดว่านายคงจะไม่มาน่ะ” จะว่าไปเขาไม่ได้ถามเรื่องงานเลยว่าเสร็จหรือไม่เสร็จเพราะนภาก็รู้อยู่แล้วว่างานไม่เสร็จสายหมอกก็ร่อนไปไหนมาไหนได้ แต่ไม่คิดว่าวันนี้จะร่อนมาถึงโรงพยาบาล


“เก็บความตกใจไว้ตอนเย็นดีกว่าครับ คนใจแข็งแต่เปลือกนอกยิ่งกว่าผมเป็นสิบเท่าก็จะมา” คำว่าคนใจแข็งแต่เปลือกนอกทำให้สมองของทุกคนตีเป็นคนเดียวกัน ตอนนี้แหล่ะที่นภาสติจะถูกกระชากหลุดอย่างสมบูรณ์


“จริงเหรอ!! คุณฮิบาริจะมาจริงๆหรอ”


“คึหึหึหึ ดีใจงั้นหรอครับ แต่ก็ไม่แปลกอะไรหรอกครับก็ในเมื่อวันนี้ทุกคนจะมาต้อนรับการกลับมาของสายลม ใครพลาดมีหวังโดนคว่ำบาตร” สายหมอกยิ้มหวานตอบ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าคนมีวาจาเป็นศิลปศาสตร์อย่างโรคุโด มุคุโร่ไปทำอีท่าไหนถึงดึงเมฆาคนนั้นมาโรงพยาบาลได้ รู้แต่เพียงว่าตอนนี้หัวใจมันเต้นตึกตักด้วยความประทับใจและซาบซึ้ง วันนี้ทุกคนจะมาที่นี่ มารวมกันอยู่ห้องนี้เพื่อเป็นกำลังใจและรอการกลับมาของวายุ


ใช่...รอการกลับมา...


รอว่าดวงตาสีมรกตนั้นจะสะท้อนภาพพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง...


สะท้อนด้วยแววตาของสายลม...คนเดิม


“เอ่อ แล้วคุณพี่กับมุคุโร่จะอยู่ที่นี่จนเย็นเลยหรือเปล่าครับ”


“แน่นอนซาวาดะ อย่าว่าแต่อยู่จนเย็นเลย ต่อให้ถึงวินาทีสุดท้ายของโกคุเดระฉันก็ยินดีอยู่ เนอะ”


สีหน้ามุ่งมั่นของคนๆนี้ยังคงสมเป็นดวงตะวันที่ฉายแสงสีทองเปล่งประกายบนท้องฟ้า แต่ในวันนี้เขาจะไม่ลับของฟ้าแม้จะถึงเวลาเย็น จะอยู่เป็นคบเพลิงแห่งความหวังไม่มีวันดับมอดจนถึงเที่ยงคืน


คนที่โดนโบ้ยให้ขำออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบ “คึหึหึหึ ครับ งานที่ผมรับผิดชอบอยู่สู้ให้เจ้าของคนเดิมเขามาทำดีกว่า วองโกเล่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบกล้ำกรายงานคนอื่นเท่าไหร่ มันน่าเกลียดน่ะครับ”


ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม ต่างคนต่างความรู้สึก ต่างนิสัย แต่ทุกคนก็มีเป้าหมายเดียวกัน นภาเผยยิ้มออกมาอย่างยินดี ตลอดเวลาที่เขาเป็นบอสมาเฟีย วองโกเล่รุ่นที่สิบ ภาพที่เขาเห็นประจำทุกวันคือชายหนุ่มผมสีเงินเจ้าอารมณ์ทะเลาะกับผู้พิทักษ์คนอื่นเสมอ น้ำเสียงแข็งที่ตวาดฟังเผินๆเหมือนเกลียดและไม่ไว้ใจมนุษย์ทุกคนบนโลก แต่ในเมื่อเขาเป็นนภาที่โอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ทำไมเขาจะไม่รู้...ทำไมเขาจะไม่เห็น


ว่าวายุที่โหมกระหน่ำลูกนั้นแท้จริงแล้วอ่อนโยนขนาดไหน ความอ่อนโยนที่สั่งสม ความเห็นแก่ผู้อื่นที่มันค่อยเพิ่มพูนขึ้นจนกลายเป็นสายลมแห่งวองโกเล่ที่มีความสำคัญต่อทุกคน


ยิ่งสำคัญมาก...ก็ยิ่งหวงแหน


บางครั้งเจ้าตัวอาจจะไม่รู้ก็ได้...


ว่าตอนนี้ทุกคนจะไม่สามารถอยู่ได้...ถ้าไม่มีเขา


“ยามาโมโตะคุง รายนั้นเป็นยังไงบ้างครับ โอเครึเปล่านั่น?”สายหมอกหันไปกระซิบถามอรุณข้างๆ ที่เพิ่งจะเปิดประตูเข้ามา ฟังความโดนนัยแล้วดูท่าจะตอบยากเอาการอยู่ แต่เจ้าตัวยังยักคิ้วหลิ่วตาส่อความหมายเต็มที่


แต่คงไม่ใช่กับคนที่เข้าใจอะไรง่ายอย่างซาซางาวะ เรียวเฮ


“หลับอยู่ แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ตอนเย็นคิดว่ายังไงมันก็คงจะตื่นได้”


“อ้อ งั้นเหรอครับ” คนถามแย้มรอยยิ้มเย็น รู้สึกขอบคุณกับคำตอบที่ได้มาของการตีความอย่างดีเยี่ยมอยากบอกว่าตรงคำถามแต่ไม่ตรงประเด็น เอาไปห้าสิบคะแนน...


“โกคุเดระคุง...” สายหมอกย่างกรายเข้าไปข้างเตียง เขามองร่างโปร่งบางที่ยังหลับตาพริ้มเหมือนกับรอรับฟัง สิ่งที่สายหมอกจะพูดต่อไปนี้สำหรับเขาถือว่ายาก เพราะมันไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่งอย่างที่ถนัด อาจไม่สวยหรู แต่เป็นคำพูดที่ออกมาจากจิตใจลึกๆ


“คุณเป็นมือขวาแห่งวองโกเล่ เป็นวายุที่รุนแรงพัดโจมตีไม่หยุดหย่อน แต่ดูเหมือนพวกเรายังไม่เคยบอกคุณล่ะมั้งครับว่าเราไม่ได้มองคุณเป็นแบบนั้น... สำหรับพวกเราแล้วคุณเป็นสายลมเบาบาง เปราะแตกง่าย อยู่ไม่กับที่ คอยจะพัดหายไปอยู่เรื่อย แต่ว่าถ้าไม่มีคุณพวกเราก็ลำบากนะครับ มือขวาอย่างคุณน่ะยอมรับตรงๆว่าทั้งหกภพผมไม่เคยเจอ...รีบๆฟื้นมานะครับ งานรอคุณอยู่บนโต๊ะเป็นตั้งเลย”


อัสนีขำคิกขึ้นมาเมื่อสายหมอกพล่ามจบ ตอนแรกน้ำตาเขาจะไหลเพราะความซึ้งแหล่ะนะแต่ประโยคสุดท้ายนี่ดูท่าว่าจะเป็นความแค้นส่วนตัวของคนที่ทำงานแทนวายุอยู่มากกว่า ยังอุตส่าห์ขุดมาพูดได้


ดอกกุหลาบสีเหลืองช่อใหญ่ผูกริบบิ้นอย่างดีถูกวางอยู่บนโต๊ะที่ตอนนี้เต็มไปด้วยของเยี่ยม สีเหลืองสดใสที่จะช่วยให้คนป่วยอาการดีขึ้นตามภาษาดอกไม้ แต่หลักจริงๆแล้วคงจะเป็นกำลังใจของผู้ให้ที่ใส่มาเต็มช่อนั่นมากกว่า


นี่ล่ะนะ...น้ำใจจริงๆที่มีต่อกันของเหล่าผู้พิทักษ์








20.00 น.


หน้าโรงพบาบาลขนาดใหญ่ที่มีไฟเปิดจนสว่างไสว เหล่าแพทย์และพยาบาลในชุดฟอร์มสีขาวสะอาดยังคงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเป็นปกติ เสียงจ้อกแจ้กจอแจของคนไข้และหมอดังไปทั่วบริเวณ แต่ทว่าก็ต้องเงียบเสียงลง เมื่อมีรถคันหนึ่งที่เคลื่อนนิ่งๆเข้ามาในโรงพยาบาล เบนซ์สีดำสง่า กระจกถูกติดด้วยฟิล์มทึบไม่ให้แสงลอดผ่าน ตราวองโกเล่แฟมิลี่สีทองพิมพ์ติดข้างรถไม่ว่าใครที่ไหนก็รู้จักเมื่อรถที่มีตรานี้คือรถของใคร


รถประจำตำแหน่งผู้พิทักษ์วองโกเล่แฟมิลี่รุ่นที่สิบ


และเบนซ์สีดำขลับคันนี้ยังคงใหม่เอี่ยม เป็นเพราะเจ้าของหวงแหนเฝ้าดูแลอย่างดี หรือเป็นเพราะไม่เคยแตะรถเลยกันแน่ ทันทีที่ยานพาหนะหรูจอดเทียบท่า เหล่าคนต้อนรับพากันก้มหัว คนขับรถทำหน้าที่อย่างดีเอารถไปเก็บ ใบหน้าคมคายยังคงเรียบเฉย ดวงตาสีรัตติกาลมองตึกโรงพยาบาลที่สูงตะหง่านเผินๆเหมือนไม่ค่อยสนใจ ออกจะเบื่อๆด้วยซ้ำไป แต่นั่นก็ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมามองแขกผู้มีเกียรติคนนี้


ฮิบาริ เคียวยะ ผู้พิทักษ์ที่เก่งกาจที่สุดของวองโกเล่ยืนอยู่หน้าโรงพยาบาล!


ห้อง 2403 ครับคุณเคียว


คนเยอะหรือเปล่า น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถาม ทำให้ลูกน้องคนสนิทนิ่งไปสักพัก เขาไม่รู้จะตอบแบบถูกต้องหรือถูกใจดี ถ้าหากบอกว่าคนเยอะ มีหวังต้องรีบเตรียมรถกลับฐานทัพทันทีเป็นแน่


น่าจะเยอะครับ เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้าย แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะพูดโกหกกับหัวหน้าตัวเอง


เมฆานิ่งเฉยไม่พูดอะไรนอกจากเดินสาวเท้าเข้าไปในโรงพยาบาล เขาไม่ได้เกิดใจอ่อนคิดอยากมารวมกลุ่มเท่าไหร่นัก ในความคิดเขาแล้ว สิ่งมีชีวิตอยู่รวมกันมากกว่าสองตัวเมื่อไหร่เป็นปรปักษ์ทางอารมณ์ของเขา แต่พอได้ยินว่าเป็นวันสุดท้ายเข้าไปหน่อยคงไม่เสียหาย อย่างน้อยอาจจะได้ทำหน้าที่ทูตส่งวิญญาณในงานสวดศพ


หรือ...เป็นประตูเงินประตูทองในงานรับขวัญก็แล้วแต่พระเจ้าเห็นควร...


ก๊อกๆ


คุซาคาเบะเคาะข้อหลังนิ้วกับประตูที่สลักเลขสีทอง 2403 ไม่นานเกินรอก็มีคนมาเปิดประตู เป็นเด็กหนุ่มผมสีดำดวงตาสีเขียวในเสื้อเชิ้ตลายวัว ถึงจะรู้มาก่อนแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถกลั้นความตกใจได้ เขาครางชื่อแขกผู้มาเยือนเบาๆ ย้ำ...ว่าเบาๆ อย่างน้อยเขาก็ไม่กล้าทำตัวไร้มารยาทต่อหน้าฮิบาริ เคียวยะ


เชิญครับ เด็กหนุ่มเปิดประตูกว้างออกเผยให้เห็นห้องข้างใน ไฟสีส้มอบอุ่นเปิดสว่างทั่วห้อง กลุ่มคนนั่งอยู่บนโซฟาบ้าง เก้าอี้ข้างเตียงบ้าง แต่ทุกคนก็ดูตกใจเมื่อเห็นเขา แต่ถึงกระนั้นคนอย่างเมฆาไม่คิดจะสนใจใดๆ


ยกเว้นคนบางคนที่มันไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกนี้


นึกว่าจะไม่มาซะแล้วนะครับ แต่เอาเถอะมาสายก็ยังดีกว่าไม่มา คนมาสายตวัดสายตามองขวับ เป็นเพราะเขาคิดว่าหมอนี่คงจะมาตอนช่วงเช้าแล้วกลับไปจมกับกองงานตอนบ่าย ไม่นึกว่าจะนั่งติดโรงพยาบาลจนถึงขนาดนี้ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่เจอกัน เขาควรจะโมโหอะไรดีระหว่างความโชคร้ายของตัวเอง กับความไร้ความรับผิดชอบของคนตรงหน้า


เอาน่าๆ ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอที่อยู่ครบกันน่ะ เดี๋ยวฉันจะไปพายามาโมโตะมาก็แล้วกันอรุณแห่งวองโกเล่ยิ้มแห้งปรามสอง ซาตานที่เริ่มประกาศสงครามเย็นกันย่อมๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง คำว่ายามาโมโตะนั้นดูจะดึงความสนใจของผู้มาใหม่ได้เล็กน้อย มุมปากกระตุกยิ้มเย็น


สภาพร่างกายเรียกว่าแย่...แต่สภาพจิตใจคงแย่กว่า ตกนรกตอนตายแล้วย่อมทรมานน้อยกว่าตกนรกทั้งเป็น...


อรุณเปิดประตูเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับพิรุณซึ่งตอนนี้อยู่ในเสื้อเชิ้ตหลวมๆสบายๆสีขาวสะอาด เนื่องจากไม่มีแผลบริเวณอื่นนอกจากหน้าอกจึงเหมือนคนๆนี้ไม่ใช่คนป่วยหากดวงหน้าคมคายไม่ฟ้องว่าเศร้าหมองเหลือประมาณ ข้างหลังพวกเขาคือทีมแพทย์ชุดหนึ่งที่เตรียมพร้อมเฝ้าดูอาการ


ห้องพิเศษใหญ่ตอนนี้ชักดูแคบไปเสียแล้ว นภาแห่งวองโกเล่นั่งเลือกนั่งเก้าอี้ที่ใกล้เตียงวายุ บนโซฟามีผู้พิทักษ์อรุณและสายหมอกนั่งอยู่ เมฆาผู้เงียบสงบยืนกอดอกพิงฝาผนัง อีกข้างของเตียงมีอัสนีหนุ่มนั่งแววตานั้นนิ่งสงบ รอบๆรายล้อมไปด้วยแพทย์ในกาวน์สีขาวกับเครื่องมือครบถ้วน และสุดท้าย...


ร่างสูงของพิรุณยืนอยู่ปลายเตียง


หากสายลมฟื้นขึ้นมาเขาก็คงจะเห็นพิรุณก่อนใคร



21.00 น.


ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนไร้สติยังคงหลับตาพริ้มโดยมีคุณหมอคอยตรวจชีพจรและความดันรายงานเหล่าผู้บริหารเป็นระยะๆ อารมณ์ที่เป็นผู้ใหญ่ของนภาและผู้พิทักษ์ยังคงไม่คลายจากความนิ่งสงบ มีเพียงเสียงเครื่องวัดคลื่นหัวใจที่ยังดังเป็นจังหวะ กับเสียงพูดคุยเบาๆแก้เซ็ง เข็มของนาฬิกาเรือนหรูที่แขวนบนฝาผนังยังเดินต่อไปเรื่อยๆ โดยมีดวงตานับสิบคู่คอยเฝ้าจ้องมัน


ทุกนาทีมีค่า...ทุกเวลาที่ทิ้งไปจะไม่สูญเปล่า พวกเขารู้ว่าคนที่นอนอยู่กำลังพยายามอยู่


แต่มีคนๆหนึ่งที่แทบจะนับเสียงจังหวะหัวใจของตัวเองแทนเข็มวินาที


อีกสามชั่วโมง...



22.00 น.


ความเงียบโรยตัวช้าๆภายในห้อง เสียงพูดคุยหายไปเกือบหมด มีเพียงเสียงซดกาแฟและกินของว่างที่ทางโรงพยาบาลจัดเสิร์ฟ สีหน้าของแต่ละคนเริ่มเข้าข่ายกังวล มือไม้เริ่มเย็นชืดทั้งๆที่เครื่องปรับอากาศไม่ได้เปิดแรงอะไรมากนัก หัวใจของวายุยังคงคุมจังหวะ กราฟไม่สูงขึ้นหรือราบลง


แต่กลับเป็นหัวใจของเหล่าคนเฝ้ามากกว่า...ที่มันพาลจะเบาลงๆ



23.00 น.


เวลาที่เด็กควรนอน เวลาที่เด็กควรง่วง แต่อัสนีกลับตาตื่นทั้งๆที่ไม่แตะกาแฟ ผู้พิทักษ์ทุกคนรวมทั้งหมอเริ่มรู้สึกความเย็นเยียบภายในร่างกาย เย็นจนหนาว หัวใจเต้นกระหน่ำจนได้ยินเสียง อีกเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น หนึ่งชั่วโมงต่อจากนี้ ไม่มีเวลาให้พอทำใจ ไม่มีเวลาพอที่จะพูดหรือแม้แต่เดินอยู่ภายในห้อง ทุกอิริยาบถหยุดสนิท ทั้งห้องมีแต่ความเงียบงัน


วะ วองโกเล่... เด็กหนุ่มเรียกนภาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มือทั้งสองข้างกุมมือซีดของวายุไว้แน่น สึนะโยชิไม่เอ่ยวาจาใดๆได้ นอกจากเอื้อมมือมาตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ



00.00 น.



เข็มสั้นกับเข็มยาวชี้ทับกันที่เลขสิบสอง...



เสียงแต๊งๆของนาฬิกาเตือนบ่งบอกความครบชั่วโมง...



เที่ยงคืนแล้ว...



เที่ยงคืนแล้วจริงๆ...


ฮึก คุณโกคุเดระ!” เด็กหนุ่มผู้มีสติไม่สมประดีปล่อยโฮลั่น น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างกั้นไม่อยู่ ซบหน้าลงกับมือวายุ น้ำเสียงสะอึกสะอื้นดังสะท้อนก้องไปมาในห้องที่ปิดตาย ในขณะที่ผู้พิทักษ์ทุกคนนิ่งอึ้ง อยากร้องไห้ อยากคร่ำครวญแต่มันกลับไม่ออก ทำได้แต่ฟังเสียงนาฬิกาอยู่แบบนี้


แม้แต่คนอารมณ์สงบอย่างฮิบาริ เคียวยะยังปรือนัยน์ตาลงกับความสิ้นหวัง


ความเสียใจกับความตกใจกำลังผสมปนเป


หมดเวลาแล้วหรอ...


ไม่ฟื้น...คนตรงหน้าไม่ฟื้นขึ้นมา...ไม่แม้แต่เปลือกตาจะสั่นไหว...


พวกเขา...เสียวายุไปแล้วจริงๆใช่มั้ย


โกคุเดระ... น้ำเสียงของพิรุณแห้งผาก เบาหวิวคล้ายคนสิ้นลม เขามองภาพข้างหน้านิ่ง ไม่กระพริบตามีเพียงแต่น้ำใสๆอุ่นๆที่มันไหลรินออกมาแบบไม่บอกไม่กล่าว กล้ามเนื้อเหมือนเป็นอัมพาต เขาเหมือนหุ่นที่ยืนนิ่งราวไร้ชีวิต
จากกันไปแล้ว...


นายจากฉันไปอีกแล้ว...นายทิ้งฉันอีกแล้ว ทิ้งแบบไม่หวนกลับ


ฉันจะไม่มีนายอยู่ข้าง...ไม่มีแม้แต่เงา


คุณโกคุเดระ ฮึก ฟื้นขึ้นมาสิครับ ฮือออออ หมดเวลาแล้วนะครับ ฟื้นขึ้นมาเถอะ ฮึกๆ ผมขอร้อง ฮึก ฮือๆๆ มือของวายุเปียกไปด้วยน้ำตาที่ไหลพรากบนแก้มของเด็กหนุ่ม อัสนีไม่มีพี่ชาย มีก็แต่คนๆนี้ที่ความจริงเมื่อก่อนไม่คิดว่าเป็นพี่ชายด้วยซ้ำ คอยกัดกัน แกล้งกันอยู่ทุกวัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็รู้ว่าคนๆนี้คอยดูแลเขา คอยเตือนเขา คอยช่วยเขา สายลมถือเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดไม่สามารถหาได้อีกจากที่ไหน


สายลมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่วองโกเล่มีเพียงหนึ่งเดียว!


แต่ตอนนี้จะไม่มี...ไม่มีอีกต่อไป หัวใจที่เย่อหยิ่งดวงนั้นไม่สนความรู้สึกของคนสูญเสียเลยแม้แต่นิด


ใจร้าย...ใจร้ายที่สุด...




กึก


อัสนีนิ่งงันเมื่อมีสัมผัสขยับเล็กที่ข้างแก้ม แม้จะมีน้ำตาทำให้การมองเห็นพร่ามัว จิตใจหาความสงบไม่ได้แต่เขาก็เชื่อตาของตัวเองว่าเมื่อกี้นี้นิ้วของวายุขยับ!


และแน่ใจยิ่งขึ้นเมื่อเปลือกตานั้นเริ่มสั่นระริก คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันแสดงทางสีหน้าอย่างมีปาฏิหาริย์!


“คุณโกคุเดระ!” น้ำเสียงนั่นร้องออกมาอย่างดีใจพร้อมความหวัง มือน้อยๆปาดน้ำตา นภาแห่งวองโกเล่ สายหมอกและอรุณรีบถลาเข้ามาชิดขอบเตียง  แม้คนที่ยืนอยู่ไกลออกไปยังขยับยิ้มบางๆนับเป็นภาพที่เห็นได้ยาก


“โกคุเดระคุง โกคุเดระคุง” นภาพร่ำเรียก ดวงตาสีน้ำตาลเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาจับจ้องผู้เป็นมือขวาของตัวเอง เขาภาวนาว่าจะมีปาฏิหาริย์กับสายลมตอนวินาทีสุดท้ายอย่างละครหรือนวนิยายทั่วไป ให้มันมาเกิดขึ้นในชีวิตจริงคงจะไม่ใช่เรื่องที่เหนือธรรมชาติเท่าใดนัก


ดวงตาสีมรกตค่อยๆปรือขึ้นทีละนิด เขากระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับจักษุประสาทให้รับกับแสง ทันทีที่ดวงตารับภาพอย่างถนัด ความมัวๆมืดๆยังมีบ้างแม้ห้องจะเปิดไฟสว่าง แต่ภาพแรกที่เขาเห็นไม่ใช่ใครที่ไหน ภาพแรกที่เขาเห็นทำให้อัญมณีมรกตน้ำงามถึงกับสั่นระริก


ชายหนุ่มรูปร่างสูง ผมสีดำสนิท ดวงตาสีน้ำตาลเข้มอย่างเปลือกไม้มองมาทางเขาอย่างยินดี รอยยิ้มอ่อนโยนฉาบอยู่บนใบหน้า แต่ภาพยังคงมัวราวกับเป็นภาพในความฝัน


“โกคุเดระคุง” เสียงๆหนึ่งที่ทำให้เขาละสายตาไปหา ชายหนุ่มในสูทดำ ผมชีฟูตั้งสีน้ำตาลสีเดียวกับนัยน์ตาโตที่มีน้ำใสๆคลอ เขาแย้มยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย...จะว่าไปไม่ได้เรียกคนๆนี้มานานเท่าไหร่แล้ว


“รุ่นที่สิบ...”


“คุณโกคุเดระจำได้แล้ว! เขาจำพวกเราได้แล้วครับวองโกเล่!” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง น้ำเสียงบอกความตื่นเต้น น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว ทิ้งไว้แต่เพียงดวงตาบวมแดงให้วายุที่เพิ่งฟื้นแกล้งเหน็บเล่น


“ก็ต้องจำได้สิเฟ้ย! แล้วนี่แกร้องไห้ทำไม เดี๋ยวก็มีคนหาว่าฉันตายแล้วหรอก”


“ไม่ตายก็เหมือนตายแหล่ะครับ คุณหลับไปตั้งหกวัน ถ้าคุณไม่ตื่นคุณต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทรานะ”


เจ้าชายนิทรา?


วายุทวนในใจ ร่างกายพลันสั่นเทิ้มขนลุกซู่เชิงขยะแขยง ให้มือขวาอย่างเขาน่ะเหรอไปเป็นเจ้าชายนิทรา กะอีแค่เคยเป็นหวัดนอนพักวันเดียวยังทนไม่ได้ แล้วนอนตลอดชีวิตไม่บ้าตายเลยรึไง


“เฮ้ย ไอ้หัวปลาหมึก แกจำได้แล้วแน่นะ จำฉันได้หรือเปล่า” อรุณกระโดดเข้ามาร่วมวงชี้เข้าหาตัวเองยิกๆ ไม่ใช่มันคนเดียว สายหมอกยังอุตส่าห์ร่วมด้วย ตาสองคู่สามสีจ้องเขาอย่างลุ้นจัดแทบถลามานอนบนเตียงอยู่แล้ว


“ไอ้หัวสนามหญ้า...ส่วนแก มุคุโร่ ต่อให้อยากลืมก็ลืมไม่ลงหรอกเฟ้ย”


“อา...ชื่นใจสุดหูรูดเลยว่ะ” คนที่ถูกลืมไม่ลงถอนหายใจพรืดแล้วยิ้มแฉ่ง อีกคนก็หัวเราะเสียงประหลาดๆ สายลมก็พาลยิ้มออกด้วย เขาไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมทุกคนเอาแต่ถามว่าจำได้หรือเปล่า เพราะเขารู้ว่าเมื่อเดือนก่อนเขาได้ตัดสินใจทำอะไร มีความทรงจำสุดท้ายเพียงแค่ตอนที่ชามาลปล่อยไทรเด้นท์ มอสกิโต้กัดแขนเขา หลังจากนั้นหัวมันก็พลันขาวโพลน และคนต้นเหตุก็ยืนไม่ไกล...


“โกคุเดระคุง นายจำยามาโมโตะได้มั้ย” นภาแห่งวองโกเล่ถามราวกับไปนั่งในใจเขา สิ้นสุดเสียงของนภาห้องเข้าสู่ความเงียบกริบ ดวงตาสีมรกตของร่างโปร่งบางทอดมองบุรุษที่ยืนเงียบทางปลายเตียงอีกครั้ง เป็นดวงตาที่ยากเกินจะอ่าน จะว่าอ่อนโยนก็คงจะเป็นเพราะความเพลียแรง


ผอมลงไปมาก...มันไม่ได้กินอะไรหรือยังไงนะ


ความเจ็บปวด...ความโกรธ...ความน้อยเนื้อต่ำใจ


สิ่งเหล่านี้มิเคยได้กัดกินหัวใจของวายุแห่งวองโกเล่ที่แข็งแกร่ง แต่ ณ วินาทีนี้มันกับประทุษขึ้นมา เพียงแค่สบตา เพียงแค่เห็นรอยยิ้มนั่น เขาก็เพิ่งรู้ว่าบางทีการตื่นมาอาจจะไม่ใช่ทางที่ดี...


ทิฐิอันสูงส่ง...ดวงใจที่แสนจะเย่อหยิ่ง เป็นสิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใดของวายุ ยิ่งความทรงจำถ่ายเททุกคำพูดทุกการกระทำที่หมอนี่เคยย่ำยีเขาแล้ว ร่างกายก็ร้อนผ่าวขึ้นทุกเมื่อ เนตรสีมรกตแข็งกร้าวโชนแสงโรจน์


ดังนั้นไม่ผิดใช่มั้ย...เขาไม่ผิดใช่มั้ย...



“รุ่นที่สิบครับ เอาหมอนี่ออกไปที ผมไม่อยากเห็นหน้ามัน!





TBC…

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น