Project : Happy Birthday P’Kwang
[Waketsu] 12.01.11
S.Au.Fic KHR [8059]
Period Drama
NC-17
คำเตือน ช่วงระยะเวลาที่ดำเนินเรื่องนั้นเป็นการผสมผสานระหว่างยุคสมัยจริงในประวัติศาสตร์ผสมผสานกับจินตนาการของผู้แต่ง
ดังนั้นไม่สามารถใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
-ภาคปฐมบท-
ปฐพีแห่งศักดิ์
ญี่ปุ่น
ยุคคามากุระ
เพลิงสีแดงฉานลุกท่วมที่อยู่อาศัยหลายหลังคาเรือน
บ้างยังโหมเผาผลาญราวกับว่าถ้ายังไม่เป็นจุณจะไม่ยอมดับลง
บ้างเพลิงก็ดับลงแล้วเหลือทิ้งเอาไว้เพียงตอตะโกสีดำให้เจ้าของบ้านกรีดร้องกับความสูญเสีย
น้ำตาของผู้คนนับร้อยนับพันรินรดให้กับแผ่นดินอันเป็นที่ตั้งรกราก
สายลมพัดหวีดหวิวหอบเอากลิ่นอายความโศกเศร้าและกลิ่นธรณีที่หลั่งนองไปด้วยโลหิตของนักรบผู้กล้า
เถ้าธุลีปลิวว่อน ท้องฟ้ายามราตรีที่ควรจะกระจ่างเช่นวันวานบัดนี้กลับมัวหมองเพราะควันไฟบดบัง
ควันไฟสีดำที่ลอยขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ
ราวกับจะบ่งบอกให้สวรรค์รู้ว่ามนุษย์โลกอย่างพวกเขาใช้ชีวิตอย่างดิ้นรน
ดิ้นรนที่จะแสวงหาซึ่งอำนาจ
บารมี ทรัพย์สินเงินทอง แผ่นดินและการเป็นใหญ่เหนือผู้อื่นทั้งหมด
หากมีคู่แข่งก็ต้องเอาศักดิ์ศรีแห่งชีวิตเดิมพัน
ผู้ที่อยู่คือผู้ที่แข็งแกร่งคู่ควรแก่ผืนแผ่นดิน...ส่วนผู้อ่อนแอก็ไม่ต่างอะไรกับเดนที่ไร้ประโยชน์
รกปฐพี
พวกไร้ประโยชน์ต้องถูกกำจัด...ใช่...ต้องถูกกำจัด
แม้ว่าสงครามนี้อีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนเกิดร่วมชาติก็อย่าได้ปรานี...และแม้สงครามนี้จะถูกย้อมไปด้วยเลือดเนื้อของคนที่ยืนอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกัน
ก็จะขอหัวเราะสะใจบนกองซากศพทั้งที่น้ำตาอาบแก้ม...แต่เชื่อว่าความสูญเสียจะแลกมาซึ่งวันที่ดีกว่า...
ไม่มีทางเลือก...ถอยไม่ได้แล้ว
ผู้ที่จะได้ครอบครองแผ่นดินแล้วนำไปถวายแด่องค์โชกุนจะอยู่ที่สองตระกูลนี้เท่านั้น
ตระกูลโกคุเดระ
ขุนนางสมุหนายกแห่งดินแดนบูรพา
และ...
ตระกูลยามาโมโตะ
ขุนนางสมุหกลาโหมแห่งดินแดนประจิม
ร่างสูงโปร่งของบุรุษสองคนยืนหันหน้าเข้าหากัน
พวกเขาไม่ได้อยู่ในชุดนักรบเสมือนกับศพที่กองอยู่เกลื่อนกลาด...คนหนึ่งอยู่ในชุดกิโมโนชั้นดีสีขาวสะอาด
เสื้อคลุมฮะโอริสีดำคลุมไหล่มน ร่างกายที่สูงศักดิ์สง่าผ่าเผยสมกับเป็นขุนนางใหญ่
ดวงหน้างามสง่าผุดผ่องกระจ่างแม้อยู่ท่ามกลางเขม่าควัน รอยสักอันน่าเกรงขามที่ข้างแก้มเป็นรูปเปลวไฟชวนให้ผู้มองสนเท่ห์ในความมีเสน่ห์
เส้นผมสีแดงขยับพลิ้วตามลมโชย ในมือของเขาถือธนูคันงามอย่างมั่นคงไม่สั่นเกร็ง
ด้ามลูกศรทาบกับนิ้วหัวแม่มืออยู่ในท่าพร้อมยิง ดวงตาสีแดงของเขาจ้องไปยังบุคคลตรงหน้าด้วยความเรียบเฉย
......แต่จะมีใครล่วงรู้ว่าจิตใจลึกๆของเขานั้นเก็บซ่อนความเจ็บปวดไว้เพียงใด.....
ขุนนางที่เป็นใหญ่ที่สุดในดินแดนบูรพา...จี
อีกคนหนึ่งที่ยืนนิ่งเป็นเป้าลูกศร
ชายหนุ่มร่างสูง เขาอยู่ในชุดขุนนางแบบไดเมียวพร้อมด้วยหมวกทรงสูงสีดำ
ใบหน้าคมคายนั้นแลดูอ่อนโยนแต่ก็ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน
ริมฝีปากของบุรุษซีดเซียว ในมือของเขาไม่ได้ถืออาวุธอะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
เขาดูอ่อนเพลีย แต่ว่าตอนนี้เขากำลังยิ้ม
กำลังรอรับความตายที่กำลังจะเข้ามาหาเขาในอีกไม่ช้า
ขุนนางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในดินแดนประจิม...อาซาริ
อุเก็ตสึ
“ไม่น่าเชื่อนะ...จี
ว่าตระกูลข้ากับตระกูลของเจ้าจะต้องมาสู้กันเฉกเช่นศัตรูอย่างนี้
ทั้งๆที่ข้ากับเจ้าเราก็เป็นเพื่อนกันแท้ๆ”
“มันเป็นโชคชะตา
ตระกูลข้าขึ้นตรงต่อจักรพรรดิทางตะวันออก
ส่วนเจ้าเป็นขุนนางที่รับใช้โชกุนทางตะวันตก หากดินแดนอาทิตย์อุทัยนี้ต้องหลอมรวมเป็นผืนแผ่นเดียว....ไม่ใช่วันนี้...ก็วันข้างหน้า
เจ้ากับข้าก็ต้องทำศึกกันอยู่ดี
แล้วอีกอย่างเจ้ากับข้าเป็นคู่แข่ง...ไม่ใช่เพื่อนกัน”
น้ำเสียงเย็นชาที่เอื้อนเอ่ยจากกลีบปากบางแม้จะกัดกร่อนหัวใจของผู้ฟังแต่เขาก็รับฟังอย่างนิ่งสงบ
เพราะอุเก็ตสึเข้าใจดี ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
ตระกูลเขากับตระกูลของจีเป็นคู่แข่งกันมาตลอดทั้งในเรื่องการพาณิชย์ กำลังทหาร
หรือเรื่องการทำคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดิน
จงรักภักดีรับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทมาตลอด...คราวนี้ก็เช่นกัน
มันเป็นหน้าที่ที่เขาและจีต้องรับผิดชอบ
หน้าที่ที่ว่าไปแย่งชิงดินแดนของอีกฝ่ายตามคำสั่งนายเหนือหัว
เพื่อเป็นการขยายกำลังการปกครอง
“ฮะๆๆ แบบนี้ก็แย่สิ
ท่าทางเจ้าจะฆ่าข้าจริงๆเสียด้วย ถ้าอย่างนั้นนะจี...” อุเก็ตสึหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เหตุการณ์น่าขันเลยสักนิด...ไม่เหมือนคนที่กำลังจะสูญเสียชีวิตในอีกไม่กี่นาที
“ข้าจะขอฝากฝังเจ้าเอาไว้ ฝากดินแดนประจิมที่เป็นบ้านเกิดของข้า
ถ้าหากเจ้าได้เป็นผู้ดูแลมัน ข้าก็ตายตาหลับ”
คำฝากฝังของอีกฝ่ายทำให้จีขบฝันกรอดด้วยความโมโห
ดวงตาสีแดงสั่นระริก เจ้านั่นตั้งใจจะตายจริงๆ ตายทั้งๆที่ยังไม่ได้สู้อะไร
แล้วรอยยิ้มนั่นมันจะพยายามบอกเขาว่า...กำลังมีความสุข
ความสุขที่จะได้ตายด้วยน้ำมือเขาเอง
บ้าไปแล้ว...เห็นข้าเป็นเพื่อนได้อย่างไร...เจ้าเห็นคนที่หันปลายศรใส่เจ้าเป็นเพื่อนได้อย่างไร!!
“จะมากไปแล้วนะ อาซาริ อุเก็ตสึ!!! เจ้าขี้ขลาดยิ่งนักที่พูดแบบนั้นออกมา
เจ้าจะหันหลังให้กับแผ่นดินของเจ้าเอง...แล้วเจ้ายังดูถูกข้ายิ่งนักที่เจ้าจะไม่สู้กับข้า
ไปเอาดาบเจ้ามาเดี๋ยวนี้!! แล้วมาสู้กับข้า
ถ้าเจ้าชนะเจ้าก็เอาดินแดนข้าไป ถ้าเจ้าแพ้พื้นที่ในดินแดนประจิมก็จะเป็นสินเชลยของดินแดนบูรพาทันที!!!”
“ข้าไม่อยากสู้กับเจ้า” คำอธิบายสั้นๆพร้อมรอยยิ้มละมุนทำให้บุรุษผู้ทรงธนูชะงักงัน
แววตาที่เศร้าสร้อยทอดมองมายังเขาบ่งบอกว่าประโยคเมื่อกี้เป็นความสัตย์จริง
“นะ นี่ เจ้า...”
“ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะดูถูกเจ้าว่าฝีมือของเจ้าไม่สมควรที่จะสู้กับข้า...มันกลับกันโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้ตัวข้าน่ะสู้เจ้าไม่ได้หรอก...ไม่ได้เลยแม้แต่นิด...”
น้ำเสียงของฝ่ายตรงข้ามอ่อนโรยแรง
ใบหน้าที่เคยแจ่มใสร่าเริงบัดนี้ซีดเซียวราวกับไร้โลหิต ริมฝีปากแห้งผากเสียงหายใจหอบเพราะอากาศไม่บริสุทธิ์เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
บางทีอาจจะเป็นเพราะกลุ่มควันที่ทำให้เขาเห็นบุรุษผู้กล้าหาญทรงอิทธิฤทธิ์ด้วยดาบสี่เล่มอ่อนแอเช่นนี้
บางทีอาจจะเป็นความเจ็บปวดแสนน่าอายที่แฝงอยู่ในใจทำให้เขาเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะแย่...
“อาซาริ อุเก็ตสึ
นี่หรือว่าเจ้า...”
“ข้าเหลือเวลาไม่มากนัก...ฟังข้านะจี...เจ้าเป็นเพื่อนที่ข้าไว้ใจยิ่งกว่าใคร...จบศึกครั้งนี้ดินแดนประจิมต้องตกเป็นของบูรพาโดยแท้....ดินแดนอาณาเขตของข้า
ข้าจะยกให้เจ้าดูแล ข้ามีอะไรต้องอาวรณ์ ทรัพย์สิน เงินทอง
ลาภยศบารมีล้วนเป็นของนอกกาย...ข้าเอาติดตัวไปไม่ได้หรอก อีกอย่าง....”
ร่างสูงค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ร่างโปร่งบางเรื่อยๆ
แต่ปลายศรคมยังคงอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง อุเก็ตสึคลี่ยิ้ม
ยิ้มที่อบอุ่นชโลมใจให้ผ่อนคลายจากความกดดันและสิ้นหวัง...ผู้ชายคนนี้ไม่ได้กลัวความตายเลย
เขาไม่กลัวหรอกถ้าหากความตายนี้คนที่อยู่เบื้องหน้าเป็นคนมอบให้
“ถ้าข้าจะตาย...ข้าขอเห็นเจ้าเป็นคนสุดท้าย
ขอตายด้วยธนูของเจ้า.....ข้าขอเจ้าเพียงเท่านี้....เจ้าให้ข้าได้หรือไม่”
“นี่!...เดี๋ยวสิ!”
ฉึก!!
“อุเก็ตสึ!!!!!!”
สายไปเสียแล้ว...
มือของอาซาริ
อุเก็ตสึคว้าที่ลูกธนูเรียวยาวแล้วปักเข้าตรงๆกับหน้าอกด้านซ้าย...ร่างสูงของขุนนางแห่งดินแดนประจิมหยุดนิ่ง
เลือดสีแดงข้นทะลักจากปากแผลเปื้อนมือของเขาเต็มไปหมด
ดวงตาสีน้ำตาลจนเกือบดำนั้นสั่นระริกมองดวงหน้าละมุนของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
ริมฝีปากยังคงแย้มยิ้มจนวินาทีสุดท้าย ก่อนที่เขาจะล้มลง...
“ขะ...ขอบ....ใจ..นะ..จี”
ได้คนแพ้...คนชนะแล้ว...
ขุนนางใหญ่ต้นตระกูลโกคุเดระเพิ่งได้รู้เมื่อไม่กี่วินาทีที่ผ่านมานี้ว่า...เขาเป็นผู้แพ้...แพ้ตั้งแต่เห็นดวงตาสีเข้มอันอ่อนแรงนั้นค่อยๆปรือลงแล้วหลับไปในที่สุด...ความรู้สึกเจ็บปวดมันเอ่อล้นไปทั่วร่างกาย
หมดสิ้นแล้วความทิฐิทะนงมันกลั่นกรองออกมาเป็นหยาดน้ำอุ่นๆไหลรินอาบนวลแก้ม...ที่ผ่านมาเขารู้ว่าเขาปฏิบัติตัวเย็นชากับคนที่ดีต่อเขามากมายเพียงใด...เขารู้ว่าคำพูดแต่ละคำบั่นทอนกำลังใจมากแค่ไหน...เขาอวดเก่งต่อหน้าอีกฝ่ายเพื่อแสดงว่าตนเองเข้มแข็ง
ทั้งๆที่จริงแล้วมันเปราะบางเหลือเกิน...
เป็นโชคดีที่ตอนนี้เจ้าไม่เห็นข้า...ไม่เห็นว่าข้ากำลังร่ำไห้กับร่างอันไร้วิญญาณของเจ้า
หากเจ้าอยากหลับไปจนนิรันดร์...ข้าจะเป็นคนดูแลเจ้าเอง...ให้สมเกียรติที่เจ้าเป็นผู้ชนะ
และคนแพ้อย่างข้าจะยอมรับทุกชะตากรรมที่จะเยือนมาถึง....
.
.
นี่คือปฐมบทของความสัมพันธ์สองตระกูล
สงครามในครั้งนี้เป็นเหมือนเชื้อไฟที่โยนลงกับกองชนวน
ไฟจะลุกลามและโหมแรง...เผาผลาญเชื้อเพลิงไปเรื่อยๆ
จากบรรพบุรุษ...สู่รุ่นหลาน...
สามสิบปีผ่านไป
กุบๆๆๆ
เสียงกีบเท้าของอาชาลักษณะดีสีดำสนิทควบมาด้วยความเร็วสูงก่อนที่ผู้ถือบังเหียนบังคับจะชักให้มันหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าบ้านหลังเล็กๆเก่าๆหลังหนึ่ง
เด็กหนุ่มเรือนผมสีดำ นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้คู่นั้นฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
ร่างสูงรีบกระโดดลงจากหลังม้าแล้วผลุนผลันเข้าไปในบ้าน
“ท่านพ่อ!!! ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง!!?”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มร้อนรนถึงขีดสุด ที่พื้นเสื่อรองด้วยเพียงฟูกแข็งๆผ่านการปะแล้วปะอีกมีร่างกายของชายวัยกลางผู้หนึ่งนอนหายใจโรยรินอยู่
สีหน้าของเขาซีดจนน่าตกใจ ข้างกายมีแก้วดินเผาสีหม่นๆบรรจุยาชงด้วยน้ำร้อน
แต่ทว่าถุงผงยากลับอยู่ในถังขยะเรียบร้อยบ่งบอกว่าเป็นยาแก้วสุดท้าย
บ้านช่องดูโทรมลง ทุกทีเพราะไม่ได้แต่งเติม หรือซ่อมแซม
ชายหนุ่มทรุดตัวคุกเข่าข้างๆชายวัยกลางผู้เป็นบิดา
แล้วค่อยๆประคองมือหยาบกร้านจากการทำงานหนักมากุมเอาไว้
“ข้าอยู่นี่แล้วท่านพ่อ...เหตุใดท่านพ่อจึงดูอิดโรยถึงเพียงนี้
หยูกยาก็มีน้อยนัก...แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ท่านพ่อจะหาย”
“โขลกๆ ค่อก ทา..ทาเคชิ
พ่อไม่เป็นอะไร โขลกๆๆ เจ้าฝึกวิชาเสร็จ..แล้วรึ..เหตุใดจึง..เร็วนัก ค่อกๆๆ”
ชายผู้ถูกรุมเร้าด้วยโรคภัยเอ่ยคำพูดกับบุตรชายอย่างยากลำบาก
เสียงแหบแห้งผนวกกับเสียงไอน่ากลัวทำให้ชายหนุ่มสงสารบิดาของตนไปอีกเท่าทวีคูณ...หวนคิดไปว่าเขาและพ่อควรจะมีชีวิตความเป็นอยู่
ฐานะ ชื่อเสียงและเกียรติยศที่ดีกว่านี้
ใช่...ตระกูลยามาโมโตะของเขาควรจะทรงอิทธิพล
เป็นขุนนางใหญ่ของแผ่นดินทรงอำนาจระบือไกล...มีเงินทองมากมายล้นฟ้า มีบริวารธารกำนัลที่รายล้อมนับร้อยคอยทำงานให้ดังแขนขา...และเพียงแค่อาการเจ็บไข้ออดๆแอดๆของพ่อคงจะรักษาได้ไม่ยาก...
แต่...ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป...เปลี่ยนไปเมื่อสามสิบปีก่อน...
เปลี่ยนแปลงเพราะมีปิศาจร้ายมาช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากตระกูลของเขา
ช่วงชิงแสงสว่าง ชีวิตและอนาคตที่รุ่งเรืองสุขสบาย... แล้วสิ่งที่ทิ้งเอาไว้คือความมืดมิด
ความลำบากยากเข็ญ หาเช้ากินค่ำ ตำข้าวสารกรอกหม้อเลี้ยงชีวิตไปวันๆ
เป็นเพราะพวกมัน! เป็นเพราะพวกมันโดยแท้!!
ตระกูลชั่วร้ายที่กำลังมอบความทรมานและฆ่าเขาให้ตายไปอย่างช้าๆ
ตระกูลโกคุเดระ!!!
“ท่านพ่อ...ข้าไม่มีวันลืม
ว่าใครเป็นคนทำให้พวกเราลำบากถึงเพียงนี้...ถูกช่วงชิงจนไม่มีแผ่นดินจะอยู่อาศัย
ทรัพย์สินของท่านปู่อุเก็ตสึก็หาได้มีตกทอดมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานให้พวกเราเป็นของดูต่างหน้าสักชิ้นไม่!...แล้วยามนี้ท่านพ่อก็ถูกโรคภัยรุมเร้าจนร่างกายอ่อนแอ....
ทั้งหมด....ทั้งหมดเป็นเพราะพวกมัน!”
น้ำเสียงของยามาโมโตะ ทาเคชิ
ผู้สืบสายเลือดตระกูลขุนนางเก่าผู้แพ้สงครามแย่งชิงแผ่นดินระหว่างดินแดนบูรพาและดินแดนประจิมเมื่อสามสิบปีก่อนเกรี้ยวกราดไปด้วยความแค้นเต็มอก
ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้วาวโรจน์ไปด้วยไฟแห่งความอาฆาต...ใช่...เพราะสงครามครั้งนั้น
ตระกูลโกคุเดระและตระกูลของเขาสู้เพื่อช่วงชิงแผ่นดินกัน
แล้วดินแดนประจิมของเขาก็ได้ปราชัยให้กับดินแดนบูรพา...
ความปราชัยที่ไม่ได้สมเกียรติแม้แต่นิด!!
เขาได้ยินคนเล่าต่อกันปากต่อปากว่า
ท่านปู่อุเก็ตสึถูกธนูของจีประมุขแห่งตระกูลโกคุเดระ
ขุนนางสมุหนายกแห่งดินแดนบูรพาปักอยู่กลางอก....แต่มันน่าแปลกประหลาดนัก...
ทั้งๆที่อยู่กลางสมรภูมิ แต่ท่านปู่อุเก็ตสึมิได้จับดาบเลยแม้แต่เล่มเดียว...แบบนี้จะให้เขายอมรับกับความอัปยศที่คนตระกูลนั้นหยิบยื่นให้ได้อย่างไร
จะให้เขาทนอยู่เฉยๆ
ทั้งๆที่มีใครบางคนกำลังยืนอย่างสง่าแบกเกียรติยศไว้บนบ่าเต็มภาคภูมิแต่หาได้ละอายไม่ว่าแผ่นดินที่พวกมันเหยียบย่ำอยู่เป็นสิ่งที่ช่วงชิงมาด้วยวิธีการอันสกปรก!!
“ทะ ทาเคชิ..นะ
นี่เจ้าจะคิดทำการใด อะ.. โขลกๆๆ อย่าได้ไปยุ่งกับ...คน..ตระกูล...นั้น..นะ” เสียงของยามาโมโตะ
สึโยชิผู้เป็นบิดาฟังดูโรยแรง แต่กระนั้นก็ยังห้ามปรามลูกชาย
มืออีกข้างหนึ่งเอื้อมมาจับแขนของลูกชายแน่น ดวงตาของเขาสั่นระริกอย่างแจ่มชัดเพราะกำลังเป็นห่วงความคิดอันฝังแน่นไปด้วยเพลิงความอาฆาตแค้นของเด็กหนุ่ม
“ท่านพ่ออย่าได้ห่วงอันใด
ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าพวกมันในบัดนี้หรอก อย่างปรานีที่สุดพวกมันต้องได้รับความเจ็บปวดทรมานมากกว่าที่พวกเราเป็นอยู่นี่นับพันเท่า!”
ฝ่ามือแกร่งของยามาโมโตะ ทาเคชิบีบแขนผู้เป็นบิดาเบาๆเพื่อยืนยันความหนักแน่นว่าเขาพร้อมที่จะทวงอำนาจบารมีและฐานันดรศักดิ์ที่อันตรธานไปเมื่อสามสิบปีก่อนคืนมา
แม้ว่าเรื่องที่ชายหนุ่มคิดจะไม่ต่างอะไรไปกับการบุกเข้าถ้ำเสือ
มีความเป็นไปได้สูงที่เขาอาจจะถูกตระกูลโกคุเดระปลิดชีวิตโดยไม่ทันได้ย่างกรายไปแตะต้องตัวหมากพระราชาอย่างจี
แต่นับตั้งแต่วินาทีนี้
ไฟแห่งความแค้นที่สุมอกมานานตั้งแต่รู้ความได้โหมกระพือถึงขีดสุด ต่อให้ยมบาลมายืนรออยู่ตรงหน้า
ก็ไม่มีสิทธิ์มาเอาชีวิตของเขาไปไหนทั้งนั้น!
...อยากเห็นเหลือเกิน
ข้าอยากเห็นพวกเจ้านอนแดดิ้น หมดสิ้นทิฐิมานะและศักดิ์ศรี
ข้าอยากเห็นตระกูลเจ้าพินาศด้วยน้ำมือของข้า!
ตระกูลโกคุเดระ!!!
กุบๆๆ
เสียงฝีเท้าอาชาสีดำและสีขาวควบเดินอย่างสง่ากลางถนนก้อนกรวดที่รายรอบข้างทางด้วยประชาชนที่หลีกทางให้
รถม้าลวดลายงดงามสลักทองโดยช่างฝีมือเอกบ่งบอกฐานะของเจ้าของว่าเป็นเจ้าใหญ่นายโต
ทว่าหน้าต่างบานเล็กถูกปิดสนิทด้วยผ้าม่านสีแดง
การสงวนรูปลักษณ์ของผู้โดยสารเช่นนี้ยิ่งประกาศให้ชาวประชารู้ว่าพวกเขาไม่มีบุญวาสนาพอที่จะยลโฉมบารมี
หรือแม้จะพูดคุยกล่าวอ้างถึงนามตระกูลที่สูงศักดิ์ในขณะที่ขบวนยังแล่นผ่านก็ยังเป็นสิ่งต้องห้าม
ไกลออกไปจากขบวนมีร่างสูงยืนพิงต้นไม้อยู่
เห็นได้ชัดว่าตนเองมิได้ชื่นชมยินดีกับเรื่องที่มีคนใหญ่คนโตผู้รับใช้สายเลือดขัตติยาเดินทางผ่านมา
ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ของยามาโมโตะ ทาเคชิเหยียดมองรถม้าของตระกูลขุนนางใหญ่โกคุเดระด้วยแววตาดูหมิ่นดูแคลน
นึกตำหนิชาวบ้านที่ช่างโง่เง่าดักดานนัก
หาได้รู้ไม่ว่าตัวเองก้มหัวเคารพพวกผู้ดีจอมปลอม
แต่ความคิดอันชั่วร้ายนั้นได้หยุดลง
เมื่อมีสาวใหญ่วัยกลางคนสองนางขยับมายืนอยู่ใกล้ๆเขา พร้อมส่งเสียงตื่นเต้นดีใจ
“อุ๊ย ท่านจีเดินทางผ่านหมู่บ้านของเราด้วยหรือ
นับเป็นบุญของเรายิ่งนัก นี่! เจ้ารู้ไหมว่าข้าเคยยลโฉมท่านจีด้วยนะ
แม้วัยจะล่วงเลยราวห้าสิบกว่าแล้ว แต่พักตร์ท่านนี่กระจ่างงาม ท่วงท่าไม่ว่าจะเดิน
จะนั่ง จะทำอะไรแลดูสง่าดุจพญาหงส์สมกับเป็นขุนนางแต่เก่าแต่ก่อนเลยล่ะ”
เพียงเท่านั้นเพื่อนของหล่อนก็ทำตาโตรีบปรี่เข้ามาประชิด
เขย่าแขนคนที่เพิ่งอวดว่าตนได้ชมบารมีประมุขตระกูลโกคุเดระ
“จริงรึ!?
น่าอิจฉาเจ้าจัง ข้าสิผ่านมาสามสิบหนาวยังไม่เคยเห็นท่านจีแบบจะๆตาสักครั้ง เอ้อ
ได้เห็นท่านจีนี่ก็นับเป็นเรื่องยากแล้วนะ แต่จะให้สุดยอดจริงๆละก็
หลานชายคนเดียวของท่านจีนั่นปะไร เท่าที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเคยเห็นหน้าเลยนะ”
คำว่า “หลานชายคนเดียวของท่านจี” ทำให้เด็กหนุ่มที่ฟังอยู่เกือบสะดุดลมหายใจตนเอง
ก่อนที่ดวงตาสีเปลือกไม้จะเหลือบมองหญิงสองนางด้วยความสนใจในเรื่องที่พูดกันอย่างห้ามไม่ได้
ในใจก็ตั้งข้อสงสัยไปด้วยว่าจีมีหลานชายกับเขาด้วยรึ
“จุ๊ๆ อย่าดังไปนะ
เขาว่ากันว่าท่านจีหวงหลานชายของท่านราวกับไข่ในหิน นายน้อยโกคุเดระ
ฮายาโตะหลานของท่านตอนนี้ก็เป็นเด็กหนุ่มรุ่นอายุอานามได้สักสิบห้าปี
ท่านจีกำลังสอนศิลปวิทยายุทธ์ทุกอย่างให้กับนายน้อยในคฤหาสน์เท่านั้น
ก็เลยยังไม่มีใครเคยประสบพบพักตร์ แต่ข้าคาดว่าอีกไม่นานนักหรอก
นายน้อยต้องรับสืบทอดงานอันทรงเกียรติของตระกูลโกคุเดระได้อย่างเต็มภาคภูมิแน่ๆ”
คำพูดทุกประโยคเข้าหูของยามาโมโตะ
ทาเคชิไม่ขาดตกบกพร่องสักคำเดียว ริมฝีปากของเด็กหนุ่มที่เพิ่งได้รับข้อมูลใหม่ดีๆขยับยิ้มเหี้ยมเกรียม
ก่อนที่จะปั้นหน้าเสแสร้งไร้เดียงสาเหมือนเป็นคนต่างถิ่นพลัดหลงเดินตรงไปหาหญิงสาววัยกลางสองคน
“นี่ พี่สาว ข้าถามอะไรหน่อย
ไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนหรือเปล่า?”
“จ๊ะ ว่ามาเลยพ่อหนุ่ม”
ดูเหมือนพวกเธอจะหลงเสน่ห์ของยามาโมโตะ ทาเคชิเข้าเต็มเปา
“ขอโทษนะพี่สาวทั้งสอง
ข้าเป็นคนต่างถิ่น แต่พอจะมีวิชาดาบติดตัวอยู่บ้าง
ตอนนี้ข้ากำลังหาคนจ้างข้าเป็นองครักษ์หรือผู้ดูแลความปลอดภัย
พี่สาวทั้งสองพอจะรู้จักตระกูลใหญ่ๆพอให้ข้าได้มีโอกาสรับใช้พวกเขาบ้างหรือไม่?”
รอยยิ้มหวานเสแสร้งประกอบคำพูดสร้างภาพพจน์ให้ยามาโมโตะ
ทาเคชิเป็นนักรบหนุ่มพเนจรใสซื่อมือสะอาดอย่างที่ปากเจ้าตัวว่าจริงๆ พี่สาวคนแรกที่ต้องมนตร์เสน่ห์เทพบุตรจำแลงทำท่าครุ่นคิดก่อนจะร้องอ้อ
“ก็ตระกูลที่เพิ่งเคลื่อนขบวนรถม้าผ่านไปนั่นอย่างไรเล่าพ่อหนุ่ม
เมื่อวานก่อนข้าเห็นท่านเสนาธิการประจำตระกูลโกคุเดระมาประกาศว่าต้องการองครักษ์ฝีมือดีสำหรับไปดูแลนายน้อยฮายาโตะเป็นพิเศษ”
สิ้นคำ
เหมือนดั่งลาภลอยที่พระเจ้าเห็นดีเห็นงามกับเจตนารมย์ของเขาสนองให้ทันควัน
ชายหนุ่มยิ้มอีกครั้ง
แต่คราวนี้กลับเป็นรอยแย้มยิ้มที่หวานจัดที่แต่กลับมียาพิษเคลือบอยู่กับไมตรีจิตที่ระบายสดใสบนใบหน้านั้น
“ช่วยบอกทางข้าไปคฤหาสน์ตระกูลโกคุเดระได้หรือไม่
ข้าสัญญาเลย ว่าจะรับใช้พวกเขาอย่างดี มิให้ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่วินาทีเดียว...”
คฤหาสน์ริมน้ำ ตระกูลขุนนางใหญ่
โกคุเดระ
สิ่งปลูกสร้างทรงญี่ปุ่นตั้งตระหง่านอย่างสง่างามแก่ผู้พบเห็น
เรือนขนาดยาวทอดตัวกินพื้นที่หลายร้อยตารางวา
หน้าคฤหาสน์ปูด้วยพื้นหญ้าเตียนสีเขียวขจีนุ่มเท้าราวกับพรม
พรรณไม้ดอกมงคลอย่างคิกุโนะฮานะหรือดอกเบญจมาศผลิแย้มกลีบเรียวสะพรั่งเป็นกลุ่มเป็นกอเรียงรายดูโดดเด่นมากกว่าพรรณไม้อื่นๆที่จัดกลุ่มอย่างสวยงามตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินสีน้ำตาลเจือเทา
เหตุที่ปลูกดอกเบญจมาศมากมายถึงขนาดนี้คงจะไม่พ้นเพราะเป็นคนของราชสำนัก ตราจักรพรรดิของญี่ปุ่นเป็นรูปดอกเบญจมาศสิบหกกลีบ
แสดงถึงความงดงามที่พรั่งพรูไปด้วยอำนาจและบารมีประดับดุจกลีบดอกเบญจมาศ
เยื้องไปทางขวาของคฤหาสน์ใกล้ริมรั้ว
ก็จะสะดุดตาด้วยต้นซากุระสูงใหญ่
กิ่งก้านสีน้ำตาลเรียวแหลมแตกสาขาไปทั้งในเขตคฤหาสน์และนอกรั้ว
ดอกไม้ประจำชาติของดินแดนอาทิตย์อุทัยบานแย้มเป็นสีชมพูระเรื่อแลดูสเน่หาเมื่อแสงอาทิตย์ยามสายจับ
และยิ่งดูวิลาศหากเมื่อต้องลมแล้วโอนอ่อนโบกพัดจนกลีบสีชมพูอ่อนนั้นปลิวร่วงไปกระทบกับสระน้ำใสขนาดใหญ่ที่ล้อมกรอบสระด้วยก้อนกรวดสีขาว
ปลาคาร์พลักษณะงามสมบูรณ์นานาสีว่ายแหวกสายน้ำนับหลายสิบตัว
กุบกับ กุบกับ
เสียงฝีเท้าม้าดังเป็นจังหวะ
บ่งบอกว่าเป็นเพียงการเดินมิได้ควบ รถม้างามเคลื่อมมาจอดหน้าคฤหาสน์
เมื่อเห็นเช่นนั้นเหล่าหญิงสาวและชายหนุ่มนับสิบคนในชุดกิโมโนสีเรียบๆสะอาดตาก็กรูเข้าไปที่หน้าประตูรั้วจัดระเบียบแถวอย่างสวยงาม
ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งก้าวเข้าไปประชิดประตูรถม้าแล้วเลื่อนมันออกอย่างสุภาพ
ร่างเพรียวระหงแม้อายุอานามจะไม่ใช่หนุ่มวัยรุ่นแล้วก้าวย่างลงจากรถม้า
เรือนผมสีแดงธรรมชาติประกายเจิดจ้าล้อแสงอาทิตย์
ดวงหน้างามกระจ่างประดับด้วยรอยสักวาดผ่านไปครึ่งซีกแก้มแม้ยามนี้มีริ้วรอยเล็กน้อยตามวัยแต่ก็ยังคงทำให้ผู้พบเห็นชื่นชมในความสง่าผ่าเผย
เขาอยู่ในชุดกิโมโนสีขาวที่ทำจากเนื้อผ้าชั้นเยี่ยมและกางเกงฮาคามะตัวยาวแต่ไม่ได้ตกแต่งลวดลายอะไรมากนัก
ลำคอขาวเนียนและข้อมือมิได้มีเครื่องประดับสูงค่าที่เป็นที่เป็นภัยต่อการเดินทาง
แม้จะอยู่ในอิริยาบถไหนกริยาท่าทางของประมุขตระกูลโกคุเดระก็แสดงถึงความเป็นผู้ดีมีสกุลเต็มเปี่ยม
“ยินดีต้อนรับการกลับมาขอรับ
ท่านจี”
ชายฉกรรจ์ผู้เปิดประตูให้เป็นตัวแทนบริวารที่ยืนเรียงรายอยู่กล่าวทักทายนายเหนือหัว
พรั่งพร้อมด้วยคนอื่นๆที่ก้มโค้งศีรษะให้ทุกคนอย่างเคารพ
“อืม...ฮายาโตะไปอยู่ที่ใดเสียล่ะ”
ขุนนางจีหันไปทางผู้ดูแลส่วนตัวแล้วถามถึงหลานชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของตนเอง
หญิงวัยย่างสี่สิบผู้เป็นคนดูแลโกคุเดระ ฮายาโตะอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังควบตำแหน่งเป็นแม่นมของนายน้อย
เงยหน้ามองผู้ถามแล้วตอบพร้อมรอยยิ้มละไม
“อยู่ที่เรือนเล็กในสวนเจ้าค่ะ
คุณหนูฮายาโตะเธอรอท่านจีกลับมาจะแย่ เห็นพูดให้ข้าฟังว่าท่านจีจะพาเธอไปล่าสัตว์”
“ฮึๆๆ
เจ้าตัวเล็กจำได้ขนาดนั้นเชียว เรื่องเล่นล่ะแม่นไม่เป็นสองรองใคร
แต่พอข้าจับมาเรียนการพาณิชย์อ้างนู่นอ้างนี่บ่ายเบี่ยงไม่เรียนอยู่เรื่อย”
ท่านจีขยับยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงนิสัยของหลานตัวเอง
น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเอ็นดูและอบอุ่นยามเมื่อพูดถึงนายน้อยเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เหล่าบริวารรักนายเหนือหัวคนนี้ท่วมท้นหัวใจ
“บอกฮายาโตะด้วยว่า
ให้มาหาข้าที่เรือนใหญ่ อีกสักชั่วยามหากข้าไม่ติดธุระอะไรข้าจะพาฮายาโตะไปล่าสัตว์ตามสัญญา”
ประมุขแห่งตระกูลโกคุเดระสั่งแม่นมอย่างนุ่มนวล ร่างกายอวบของหล่อนโค้งรับคำแล้วกุลีกุจอเดินเลี่ยงออกไปทันที... แต่หากว่าสัญญาของขุนนางจีที่มีต่อหลานผู้เป็นที่รักคงต้องพับเก็บเอาไว้
เมื่อมีบ่าวอีกคนกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาโค้งคำนับรายงานนายเหนือหัวทั้งที่เสียงพูดยังเจืออาการหอบเหนื่อย
“ทะ ท่านจีขอรับ มีเด็กหนุ่มแปลกหน้ารอท่านอยู่ที่ห้องรับรอง
บอกว่าจะมาขอฝากตัวเป็นองครักษ์ของนายน้อยขอรับ”
ดวงตาคมสีน้ำตาลเปลือกไม้พนิจพิจารณาห้องรับรองที่ตนเองนั่งรออยู่
เป็นห้องกว้างที่ประดับประดาไปด้วยกระถางดอกไม้ลายวาดด้วยพู่กันจากฝีมือทรงสูง
ภาพที่ติดอยู่ที่ฝาผนังก็เป็นภาพวาดโดยจิตรกรมือดีทั้งหมด
อาจเป็นเพราะที่นี่ไม่ใช่ห้องรับรองชั้นเอกจึงไม่มีสิ่งของมีค่าจัดโชว์มากนัก
แต่ถึงกระนั้น ยามาโมโตะ ทาเคชิก็ขอยอมรับว่าเขาเผลอตื่นเต้นในความหรูหรา
กลิ่นอายความเป็นผู้ดีเช่นนี้ที่เขาควรจะคุ้นเคยแต่ทว่ากลับไม่ได้สัมผัสเลยตั้งแต่เกิดมา
นึกสมเพชตัวเองที่หัวใจพาลเต้นกระหน่ำเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงตั้งแต่เดินผ่านธรณีประตูเข้ามาในเขตคฤหาสน์ของตระกูลโกคุเดระ
หึ...ไม่นาน...อีกไม่นานนักหรอก
ผืนแผ่นดินนี้จะต้องกลับคืนสู่เจ้าของที่แท้จริงของมัน!
ฟึ่บ ครืด...
เสียงเปิดประตูพร้อมกับพาร่างใครบางคนเข้ามาในห้องดึงให้ยามาโมโตะหยุดใช้สายตาสำรวจโน่นนี่สักพัก
ตอนนี้ประมุขแห่งตระกูลโกคุเดระที่สูงศักดิ์กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะพับขานั่งลงตามแบบฉบับของชาววังไม่มีผิดเพี้ยน
ดวงตาสีแดงราวอัญมณีโกเมนจับจ้องเขาด้วยความเรียบเฉย
แต่ทว่าในดวงตาคู่นั้นกลับซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้อยู่
ริมฝีปากของเด็กหนุ่มลอบยิ้มเหยียดด้วยความชังก่อนจะก้มโค้งศีรษะจรดผืนเสื่อแสดงความเคารพ
“ข้ามีนามว่ายามาโมโตะ ทาเคชิ
ได้ยินเสียงล่ำลือของผู้คนในเมืองว่า ท่านขุนนางจีต้องการรับคนมีฝีมือทางวิชาดาบมาเป็นองครักษ์ประจำตัวนายน้อยโกคุเดระ
ฮายาโตะ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วเกริ่นนำ
ฝ่ามือใหญ่วางนาบกับหน้าขาเรียบร้อยสมเป็นระเบียบซามูไร
ขุนนางจีไหวตัวเล็กน้อยแล้วขยับยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยประโยคแรกขึ้น....เป็นประโยคแรกที่ทำให้ชายหนุ่มกลัวเกรงในวาจาของพวกชนชั้นสูง
“ผิดคาดนักที่เจ้าเอ่ยนามที่แท้จริงของเจ้าออกมา
ข้านึกว่าเจ้าจะปลอมชื่อสกุลของเจ้าเสียอีก”
“เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้น
วันแรกที่ต้องฝากกายฝากใจกับนายหัวคนใหม่ หากยังไม่มีความจริงใจต่อกัน
ภายภาคหน้าก็ไม่แคล้วว่าจะต้องมีการทรยศหักหลัง”
วาจาคมคายตรงไปตรงมาดูช่างเหมาะเจาะกับใบหน้าหล่อเหลา
แต่ในใจของเขากลับไหวหวั่นแปลบปลาบ
ไม่นึกเลยว่าขุนนางจีจะรู้จักตัวตนของเขาเร็วถึงขนาดนี้
ด้วยเหตุที่ว่าชื่อสกุลของเขากับท่านปู่อุเก็ตสึเป็นคนละชื่อกัน
เพราะว่าหลังจากที่โดนช่วงชิงแผ่นดิน ตระกูลสืบสันดานของอุเก็ตสึก็ต้องเปลี่ยนชื่อสกุลไปเพื่อความอยู่รอด
“เจ้าพูดได้ดี...แต่ดูท่าว่าคงจะสงสัยไม่น้อยเลยว่า
ข้ารู้จักเจ้าได้อย่างไร” ดวงหน้าสง่าของขุนนางจีเชิดขึ้นเล็กน้อย
ดวงตามีอำนาจหรี่ลงต่ำจับไปยังอาวุธแสนหวงแหนของคนตรงหน้าที่วางอยู่ข้างกาย แล้วเอ่ยคำเฉลย
“ถึงเจ้าจะใช้ผ้าพันไว้แน่นถึงเพียงใด
แต่นั่นก็เป็นชิงุเระ คินโทคิไม่ผิดแน่ๆ
ดาบที่มีความยาวพอดีเหมาะกับการสู้รบซึ่งมีเพียงนักตีดาบของสำนักราชวงศ์เท่านั้นที่ตีได้
ลักษณะดาบและกลิ่นอายที่พวยพุ่งออกมาบ่งบอกถึงความมีเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นนักรบชั้นสูง
และชิงุเระ คินโทคิเล่มนี้มีเพียงเล่มเดียวในโลก
นั่นก็คืออยู่ในความครอบครองของอดีตอัครสมุหกลาโหมแห่งดินแดนประจิม...ตระกูลยามาโมโตะ....มีอะไรที่ข้าพูดผิดไปบ้างหรือไม่?”
คำบรรยายเป็นฉากๆ
ทำให้ร่างทั้งร่างของนักดาบหนุ่มชาวาบ
สิ่งที่จีพูดมาล้วนถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่ประโยคเดียว....ถูกแล้ว
ตระกูลของเขามีของตกทอดที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทองใดๆ
นั่นก็คือชิงุเระ คินโทคิ ที่นอนอยู่ข้างกายของเขานี่ และมีอีกประโยคหนึ่งที่ถูก
นั่นก็คือตระกูลยามาโมโตะเป็นแค่ “อดีต” อัครสมุหกลาโหมที่ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนประจิม
แต่คิดหรือ ว่ามาเหยียบถ้ำเสือแล้วเขาจะกลับไปมือเปล่า...ตอนนี้มีแต่ต้องลุยหน้าต่อ
เล่นละครตามน้ำเท่านั้น!
“ขอชื่นชมในความปรีชา
แต่ข้าขอบอกท่านจีเอาไว้เลยว่าที่ข้ามาหาท่าน
ข้ามาด้วยความบริสุทธิ์ใจ...ท่านก็เห็นอยู่ว่าข้ามิได้มีเจตนาปิดบังตัวตนหรือกระทำการเป็นบุคคลต้องสงสัยใดๆทั้งสิ้น”
ยามาโมโตะคลี่ยิ้มบางทั้งที่ในใจแสนจะเหยียดหยัน
แล้วใจกล้าสู้เสือสบตาสีโกเมนนั่นตรงๆ พร้อมเอ่ยประโยคถือดีมิได้เกรงว่าตนจะเป็นผู้อ่อนประสบการณ์กว่า
“ข้าก็เพียงแต่ว่า
ท่านขุนนางจีจะไม่ยึดติดเรื่องบาดหมางของสองตระกูลเราในอดีต คนรุ่นหลานอย่างข้า
มิได้รู้เรื่องอะไร
ดังนั้นจึงขอโอกาสเหมือนกับคนดีมีฝีมือคนอื่นๆให้ข้าได้ปกป้องนายน้อยโกคุเดระ
ฮายาโตะ”
ริมฝีปากของขุนนางจีตวัดยิ้มทันทีที่เด็กหนุ่มกล่าวจบ
นึกชื่นชมในใจเล็กน้อยว่าเจ้าหนุ่มนี่มีใจที่เด็ดเดี่ยวไม่แสดงอาการไหวหวั่นเมื่อถูกจับไต๋ได้....เหมือนกันเหลือเกิน....เหมือนกันทั้งปู่ทั้งหลาน
มิใช่เหมือนเพียงแต่หน้าตาเท่านั้น แต่ยังเหมือนกันกระทั่งอุปนิสัย
คิดอยากจะพูดอะไรก็พูด
อาซาริ อุเก็ตสึ
อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงได้ส่งหลานมาหาข้า...
ไม่ว่ามันจะเป็นความต้องการของเจ้าหรือยามาโมโตะ
ทาเคชิก็ตาม ข้าก็จะยอมรับตามที่พวกเจ้าขออย่างไม่มีข้อกังขาตามที่ข้าได้สัญญากับเจ้าเอาไว้...
“ตกลง...ข้าจะให้เจ้า...”
ครืด ปึง!
“ท่านปู่ ข้ารอท่านปู่นานแล้วนะ
เหตุใดจึงนานนัก!” ไม่ทันที่ขุนนางจีจะเอ่ยคำอนุญาตให้ยามาโมโตะ ทาเคชิเป็นองครักษ์ประจำตัวนายน้อยโกคุเดระ
ฮายาโตะ ประตูก็ถูกกระชากเลื่อนเปิดอย่างแรงราวกับต้องลมพัด พร้อมกับเสียงลั่นวาจาดังบ่งบอกความไม่พอใจ...ร่างที่ปรากฎยืนจังก้าอยู่หน้าประตูเรียกดวงตาของขุนนางจีและนักดาบหนุ่มให้หันไปมองพร้อมกัน
บุคคลผู้มาพร้อมกับกลิ่นอายของสายลมอันหอมหวลบริสุทธิ์ที่รำเพยพัด...บุคคลผู้เป็นดั่งที่รักของตระกูลโกคุเดระและประชาชนนับล้านคนในใต้หล้า...
เด็กหนุ่มอายุแรกรุ่นสิบห้าปี ไม่ว่าจะใช้สายตาจับไปที่ใดผิวพรรณก็ขาวเนียนละเอียดดุจน้ำนม
เรือนผมสีเงินยวงทิ้งตัวพลิ้วระต้นคอขาวระหง
คิ้วโค้งโก่งรับกับดวงตากลมโตสีเขียวมรกตผ่านการเจียระไนงดงามที่ประกายวิบวับตามประสาเด็กได้อย่างเหมาะเจาะ
นวลแก้มขาวใสมีสีชมพูผุดผาดมาแต่งแต้มเพราะมาจากความเหนื่อยที่เจ้าตัวรีบวิ่งมา
ริมฝีปากบางแดงอย่างธรรมชาตินั่นท่าทางว่าจะจัดจ้านไม่ใช่น้อย
ร่างเล็กเพรียวบางของนายน้อยตระกูลโกคุเดระอยู่ในชุดกิโมโนลายประจำตระกูลวาดอย่างงดงามบนเนื้ออาภรณ์
ฮาโอริผืนบางคลุมไหล่มนเรียบร้อยพร้อมกางเกงฮาคามะตัวโคร่งที่ถูกจัดแจงให้ดูทะมัดทะแมงขึ้น
แม้กริยามารยาทจะถอดแบบจากจีผู้เป็นปู่มาได้น้อยนิด
แต่ดวงตาคู่นั้นกับดวงหน้าที่งามสง่าเกินชายเชิดขึ้นสมกับเป็นตระกูลที่ซึมซับอากัปกิริยาของสายเลือดขัตติยามาอย่างช้านาน
ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ของชายหนุ่มหรี่พินิจนายน้อยคนสำคัญ...สมกับที่ชาวบ้านร่ำลือกันว่าเป็นหลานชายหัวแก้วหัวแหวนของขุนนางจีที่ริ้นคงไม่ให้ไต่
ไรคงไม่ให้ตอม ถึงได้ดูบริสุทธิ์ไร้รอยตำหนิหรือราคิณใดๆถึงเพียงนี้
“ฮายาโตะ อย่าเสียมารยาท
ไม่เห็นรึว่าปู่มีแขก” ขุนนางจีออกปากตำหนิร่างบางที่บัดนี้สีหน้านิ่งเรียบเมื่อเห็น
‘แขก’ ของท่านปู่นั่งเรียบร้อยอกผายไหล่ผึ่ง มองปราดเดียวนายน้อยของตระกูลก็รู้ได้ว่าเป็นกริยาของนักรบซามูไร
อีกดวงตาสีมรกตยังกดต่ำเลื่อนมาจับจ้องที่อาวุธหวงแหนของยามาโมโตะ ทาเคชิ และแล้วคิ้วโค้งโก่งสวยก็ขมวดกันเป็นปม
“นักรบชั้นสูง? ท่านปู่มีธุระเรื่องอันใดกับเขาหรือ?...แต่ว่ามันคงจะไม่เกี่ยวอันใดกับหลาน” ดวงตาสีมรกตสวยปรายมอง ยามาโมโตะ
ทาเคชิเพียงผิวเผินราวกับว่าเขาเป็นอากาศธาตุ
ก่อนสาวเท้าเดินตรงเข้ามาแล้วทรุดตัวนั่ง เรียวแขนบางคล้องกับต้นแขนของจีผู้เป็นปู่
รอยยิ้มฉ่ำหวานเจือกริยาออดอ้อนที่มีให้แก่ประมุขแห่งตระกูลคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้นระบายสดใสบนใบหน้าน่ารัก
ซึ่งช่างแตกต่างกับสายตาที่นายน้อยฮายาโตะใช้มองเขาไม่รู้กี่ขุม แต่ถึงกระนั้นก็เป็นมนตราสะกดทำให้ชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ตรงข้ามองล่องลอยอย่างเผลอไผล
“หลานให้เวลาท่านปู่อีกไม่นาน...ท่านปู่ลืมไปแล้วหรือไร
ว่าให้นมไปบอกหลานว่าจะพาหลานไปล่าสัตว์ นี่หลานรอจวนจะรากงอกแล้ว”
“เห็นทีจะไม่ได้ ฮายาโตะ”
ผู้เป็นปู่เอ่ยปฏิเสธเรียบเฉยทว่านิ่มนวล ก่อนจะแกะมือบอบบางที่จับต้นแขนมาถือเอาไว้บนตัก
ดวงตาสีแดงมีอำนาจหันไปสบตากับชายหนุ่มจากตระกูลยามาโมโตะอีกครั้ง
“เขาผู้นี้คือ ยามาโมโตะ ทาเคชิ เป็นนักรบหนุ่มฝีมือดี
เท่าที่ข้าดูเขาเป็นคนสัตย์สุจริต เที่ยงธรรม มือสะอาดและมีจิตใจที่บริสุทธิ์สมกับเป็นนักรบ...ข้าก็เชื่อว่าเขาเข้มแข็งพอที่จะปกป้องเจ้าได้
ฮายาโตะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะให้ยามาโมโตะดูแลความปลอดภัยของเจ้าในทุกๆด้าน...แล้วเจ้าอย่าแสดงกริยาดื้อรั้นให้เป็นที่ลำบากใจแก่เขาเด็ดขาด...เข้าใจหรือไม่?”
ว่า...ว่าอะไรนะ!!!?
คำประกาศิตที่เอื้อนเอ่ยเป็นวาจาสูงส่งไม่มีผู้ใดคัดค้านได้เป็นดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางใจโกคุเดระ
ฮายาโตะ สิ่งที่นายน้อยร่างบางตกใจไม่ใช่ที่ว่าท่านปู่จับใครมาเป็นองครักษ์ให้
แต่กลับเป็นนามของซามูไรหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขา....ยามาโมโตะ ทาเคชิ
นามของคนที่ติดอยู่ในขั้วหัวใจของเขามาตั้งแต่เด็ก
เมื่อได้ยินจะสัมผัสได้ถึงเพลิงแห่งความอาฆาตที่กำลังเผาผลาญใจของอีกฝ่าย
ไม่มีวินาทีใดที่เขาจะลืมเลือน ตระกูลยามาโมโตะเป็นตระกูลขุนนางที่ยิ่งใหญ่
และเป็นคู่กรณีทำศึกแย่งชิงดินแดนกับตระกูลโกคุเดระเมื่อสามสิบปีก่อน!
นัยน์ตาของนายน้อยสั่นระริกเมื่อมองใบหน้าคมคายนั่นตรงๆเป็นครั้งแรก
แม้ใบหน้านั้นจะเรียบเฉยไม่แสดงท่าทีใดๆ แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงความไม่เป็นมิตร
ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนกลายเป็นสีแดงช้ำ...เขาไม่เข้าใจ...ไม่เข้าใจสักนิด
ท่านปู่ไม่มีทางลืมว่าตระกูลยามาโมโตะเป็นเสือร้ายที่หลงเหลือทายาท
แล้วจะกลับมาขยี้ฉีกเนื้อพวกเรากินวันใดก็วันหนึ่ง....แล้วพอวันนั้นมาถึง
เหตุใดท่านปู่จึงชักศึกเข้าบ้านเช่นนี้!!!
ไม่จริง!!! ข้าไม่มีทางเชื่ออย่างเด็ดชาด!!!
“ไม่!! ไม่มีทาง หลานไม่มีวันยอมรับให้คนตระกูลยามาโมโตะมาดูแลหลาน
ท่านปู่คิดการอันใดอยู่หลานไม่เข้าใจ!? หรือท่านปู่ไม่คำนึงถึงเรื่อง...!?”
“ฮายาโตะ หยุด! เจ้าอย่าได้พูดอะไรที่ระคายหูทั้งข้าแล้วก็องครักษ์ของเจ้าอีกแม้แต่คำเดียว”
“ท่านปู่!!?”
ระคาย? นี่หรือเรียกว่าระคาย
เขาพูดความจริงไม่ใช่หรือไรกัน!? ณ
เวลานี้นายน้อยไม่สามารถออกปากเถียงปู่ของเขาได้เหมือนทุกที
จึงได้แต่คัดค้านหัวชนฝาในใจทั้งที่ปากอ้าพะงาบๆอ้ำอึ้ง ในหัวชักจะจับต้นชนปลายไม่ถูก
มองสลับไปมาระหว่างปู่ตนเองและองครักษ์หน้าใหม่ที่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่คิดว่าหมอนี่บริสุทธิ์ใจ
ท่าทางของนายน้อยฮายาโตะผู้สูงศักดิ์ทำให้ยามาโมโตะอดอมยิ้มไม่ได้
นึกชมอยู่ในใจว่าอย่างน้อยๆคุณหนูผู้ดีตีนแดงคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้อะไรเลย...ได้รู้ชื่อเขาแล้วโวยวายนับว่าเหนือความคาดหมายอย่างเหลือเชื่อ
หรือดีไม่ดีทายาทสืบสกุล โกคุเดระคนงามคนนี้อาจจะแบกรับเรื่องเมื่อสามสิบปีก่อนไม่น้อยไปกว่าเขาก็เป็นได้
ฮึ...น่าสนุก
“ข้าเข้าใจดีขอรับว่านายน้อยห่วงเรื่อนอันใด...ข้าขอเรียนให้นายน้อยปล่อยวาง
แล้วไว้ใจให้ข้าปกป้องนายน้อยด้วยชีวิตของข้า....มิทราบว่าจะเป็นการขอร้องจนเกินสิทธิ์หรือไม่ขอรับ?”
คำขออนุญาตที่นายน้อยโกคุเดระได้ฟังแล้วเบือนหน้าหนีด้วยความแขยงชิงชัง
ปกป้องด้วยชีวิตหรือ?
น่าขำสิ้นดี
เจ้าคนตรงหน้าที่กำลังเล่นละครจำอวดนี่อยู่ต้องการมาพรากชีวิตของตระกูลโกคุเดระไปจนหมดจนสิ้นเพื่อแก้แค้นให้บรรพบุรุษต่างหาก
สุดท้ายสายเลือดของโกคุเดระก็จะพินาศสิ้นด้วยน้ำมือของขุนนางเก่าทีอาจหาญมาทวงบัลลังก์...
ยามาโมโตะ ทาเคชิ!!
ไม่...ข้าจะไม่ให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นได้แน่...แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ
เหตุใดท่านปู่จะไม่ล่วงรู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของยามาโมโตะ
ทาเคชิ...หรือว่ามีแผนอันใดอยู่ในใจกัน
ร่างเพรียวระหงของนายน้อยลุกขึ้นยืนอย่างเงียบงันโดยไม่คิดจะเอ่ยคำตอบใดๆ
สีหน้านิ่งเรียบแต่สะกดอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้ในใจที่คุกรุ่น สับสน
เรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ไม่ได้ และไม่เข้าใจว่าผู้ถืออำนาจสูงสุดของตระกูลโกคุเดระ
คิดอะไรอยู่กันแน่...ตอนนี้คงต้องเตรียมตัวกันเอาไว้ดีกว่าแก้...เพราะแก้ไม่ทันแล้ว
ไม่ทันตั้งแต่ทายาทศัตรูคนสำคัญก้าวผ่านประตูเข้ามาที่อาณาเขตคฤหาสน์เรา!
“เรื่องนี้...หลานให้ท่านปู่ตัดสินใจ
แล้วตัวหลานจะยอมรับทุกๆอย่าง ไม่มีข้อกังขา”
จ๋อม!
หงุดหงิด! หงุดหงิดที่สุด
หมอนั่นมันสลักสำคัญมาจากที่ใดท่านปู่จึงยอมลบล้างความเกลียดชังในอดีตแล้วปล่อยให้มันมาเดินสลอนอยู่ในคฤหาสน์
จ๋อม!
เจ้ามันคนร้อยเล่ห์พันมารยา
ยามาโมโตะ ทาเคชิ ขอท่านปู่มาเป็นองครักษ์ข้าหน้าซื่อๆ มิได้ละอายเลยสักนิดว่าตัวข้าผู้นี้ไม่ยอมรับเจ้าเพียงไหน!
ข้าเกลียดเจ้า ได้ยินไหมว่า ข้า!เกลียด!เจ้า!
มือเรียวบางคว้าก้อนหินก้อนโตขึ้นเรื่อยๆตามระดับอารมณ์ที่ร้อนขึ้นๆพร้อมปะทุออกมาทุกเมื่อ
ดวงตาสีมรกตน้ำงามมองทอดไปในสระน้ำใสข้างคฤหาสน์ เหล่าปลาคาร์พสีสดที่กำลังโบกครีบหางว่ายเวียนวนอยู่ไม่ได้ทำให้ใจของนายน้อยแห่งตระกูลโกคุเดระเย็นได้แม้แต่นิด
มือข้างที่ถือก้อนหินหยาบระคายบีบแน่นราวกับจะถ่ายเททุกอณูความรู้สึก
ก่อนจะเริ่มเอี้ยวตัวยกมันขึ้นเหนือศีรษะ
พร้อมที่จะขว้างมันออกไปให้ห่างจากชีวิตมากที่สุด...ห่างมากที่สุด...จนไม่อาจเจอกันอีกในชาติภพนี้!
ตูม!!
เสียงก้อนหินก้อนใหญ่ตีกระทบผิวสระจนน้ำกระจายเป็นฝอยคลื่น
มันดำดิ่งลงสู่ก้นสระเบื้องล่างและห่างไกลจากตัวโกคุเดระ ฮายาโตะตามปรารถนา
เสียเพียงแต่ว่าพอขว้างเสร็จแรงทรงตัวของนายน้อยร่างบางได้เสียไปชั่วขณะ เขาโงนเงนอยู่ตรงริมสระอย่างน่าหวาดเสียว
สีหน้าขาวซีดตื่นตระหนกอยู่ใกล้ชิดกับผิวน้ำมากกว่าปกติ
มือไม้ไขว่คว้าหาที่จับยึดแม้สิ่งที่คว้าได้จะมีเพียงอากาศก็ตาม
“เฮ้ยๆ!!” ดวงตาสีมรกตหลับปี๋ ชั่ววินาทีที่จมูกได้กลิ่นดินหญ้าและน้ำ
เขาแน่ใจแล้วว่าวันนี้ต้องตกลงไปในสระอย่างแน่แท้ หวนคิดเสียดายกิโมโนประจำตระกูล
ตัวนี้เพิ่งตัดใหม่ไม่กี่วันนี่เอง
อ๊ากกกกก ตกแน่ๆๆๆ!!
หมับ!
หือ?
ไม่เปียก...ไม่ได้รู้สึกสัมผัสที่เย็นและเปียกชุ่มของน้ำ
แต่มีเพียงความแข็งแรงของอะไรบางอย่างมารั้งเอวของเขาไว้มิให้พลัดถลาลงไปในสระ
หลังของนายน้อยฮายาโตะชนปะทะกับแผ่นอกแกร่งของใครบางคน ส่วนแขนอีกข้างก็ถูกมือที่ใหญ่กว่ารวบจนมิด
ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดตรงขมับช่วยบรรเทาอาการตกใจ
แต่ฉับพลันที่เจ้าของอ้อมแขนเอ่ยเสียงทุ้มแผ่ว ก็เป็นดั่งเสียงเตือนสตินายน้อยคนสำคัญว่าบัดนี้ตนเองติดหนี้คู่กรณีที่ร้ายที่สุดเข้าให้แล้ว
“นายน้อย...ถ้าตกลงไปถึงตายเชียวนะขอรับ”
ประโยคนั้นสัมผัสได้ถึงความเย็นกระด้างที่ไม่ได้เรียกว่าเป็นคำปลอบโยน ทำให้คนที่กำลังขวัญหายสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนอีกฝ่ายอย่างแรง
ดวงหน้างามร้อนวูบไม่ใช่เพราะเกิดจากความเขินอายแต่เป็นความโกรธ
นัยน์ตาสีมรกตโชนแสงโรจน์ถลึงมองผู้มีพระคุณอย่างเคืองจัด
“ถ้ารู้ว่าข้าจะตายแล้วจะมาช่วยทำไม
สายเลือดตระกูลโกคุเดระได้มีอันเป็นไปมันเป็นความประสงค์ของเจ้าอยู่แล้วมิใช่รึ”
ยามาโมโตะขยับยิ้มบางรับคำเสียดสี
นัยน์ตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ประกายแววตาที่นายน้อยแห่งโกคุเดระอ่านไม่ออก ภายนอกเจืออาการขบขันไม่ถือสาเอาความ
แต่ภายในเก็บซ่อนอะไรเอาไว้อยู่ก็ไม่อาจรู้
“นายน้อยเข้าใจผิดแล้วขอรับ
ความประสงค์และเจตนารมย์ของข้าคือปกป้องท่านให้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง
ท่านจีได้อนุมัติหน้าที่ข้าเรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือ
การเป็นองครักษ์อารักขานายน้อยอย่างใกล้ชิด”
“โกหกบ่อยๆ ไม่ใช่วิสัยของซามูไร
ยามาโมโตะ ทาเคชิ” ดวงตาสีมรกตนั้นประกายอำนาจยามใช้จ้องบุรุษตรงหน้า
น้ำเสียงแข็งกร้าวของนายน้อยผู้สูงศักดิ์เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “บอกข้ามาได้แล้ว
ว่าเจ้าต้องการอะไรกันแน่!?”
“ข้ามิได้ต้องการอะไรขอรับ นายน้อย
สิ่งที่ข้าทำล้วนเกิดจากความบริสุทธิ์ใจ”
“บริสุทธิ์ใจรึ?”
เรียวปากบางของโกคุเดระฮายาโตะแค่นยิ้มเหยียด
เสียงหัวเราะเยาะหยันดังก้องจากภายในลำคอ
นึกประณามชายหนุ่มที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาหนักหนา
นับตั้งแต่เกิดมาจวบจนสิบห้าปีหาได้เจอคนที่ไม่กระดากอายต่อคำเท็จของตัวเองเฉกเช่นยามาโมโตะ
ทาเคชิมาก่อน
อีกดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้นั้นยังจ้องเขาตอบด้วยแววตาอวดดีอย่างที่ไม่สมควรจะทำหากยืนอยู่ต่อหน้าทายาทตระกูลขุนนางผู้ใกล้ชิดสายเลือดขัตติยา
ดวงเนตรสีมรกตหรี่มอง ก่อนจะเอื้อนเอ่ยคำจุดชนวน...ชนวนของเพลิงใหญ่ที่ลุกลามสองตระกูลจากอดีตจนถึงปัจจุบันก็หาได้มอดดับไปไม่
“อย่ากล่าวว่าเจ้าบริสุทธิ์ใจ
หากแท้จริงแล้วเป้าหมายของเจ้าคือการล้างแค้นให้กับบรรพบุรุษของเจ้าที่แพ้กับท่านปู่ของข้าเมื่อสงครามชิงดินแดนสามสิบปีก่อน!!”
สิ้นคำดั่งฟ้าดินสดับรับฟัง
ลมประหลาดพัดกรรโชกแรง เสียงอื้ออึงหวีดหวิวฟังดังคล้ายเสียงแห่งความโศกา
สูญเสียของวินาศกรรมสงครามภายในประเทศเมื่อสามสิบปีที่แล้ว
บัดนี้ดวงตาของสองทายาทขุนนางแดนบูรพาและประจิมโชนแสงโรจน์
หมดสิ้นแล้วนักรบหนุ่มที่เยือกเย็น ความอดทนของเขาที่มันสั่นคลอนตั้งแต่แรก
ได้แตกเป็นเสี่ยงๆเมื่อได้ยินคำประณามว่าตระกูลของเขาปราชัย เลือดในกายเดือดพล่าน
กรามขบกันแน่นด้วยอารมณ์ที่แค้นจัดกำลังปะทุ
จิตสังหารรุนแรงพวยพุ่งอย่างที่ทำให้ศัตรูตัวสั่นงันงกยอมทิ้งอาวุธแล้วร้องอ้อนวอนขอชีวิต...แต่ไม่ใช่กับโกคุเดระ
ฮายาโตะ เพราะความหงุดหงิดหัวเสียก็กำลังถาโถมเข้าใส่เขาเช่นเดียวกัน
“เพราะอย่างนี้เจ้าถึงได้เข้ามาตีสนิทกับปู่ข้า
ถือโอกาสขอมาเป็นองครักษ์ประจำตัวข้า...หึ! นี่เจ้าเห็นว่าคนตระกูลโกคุเดระโง่เง่าถึงขั้นยอมเป็นลูกไก่ในกำมือเจ้าหรืออย่างไร”
ฟังมาถึงตรงนี้ยามาโมโตะได้กรีดยิ้มเหี้ยมเป็นครั้งแรก
ร่างสูงปราดเข้าประชิดร่างบางของนายน้อยเพียงเสี้ยววินาทีที่ไม่ทันหายใจออก
เขาใช้มือเพียงข้างเดียวรวบข้อมือบางทั้งสองแล้วกระชากอย่างแรงจนร่างทั้งร่างของโกคุเดระถลาเข้าไปซบอกกว้าง
ชั่ววินาทีที่เขาไม่ทันจะหลบหลีกหรือขืนตัว...ชั่ววินาทีที่ลมหายใจร้อนๆเป่ารดอยู่ตรงริมหูผิดกับคำพูดอันแสนเยือกเย็น
“ตีสนิทกับปู่ของเจ้ารึ? เจ้าไม่ได้โง่เง่าอะไรนักหรอก
เพียงแต่คิดตื้นไปหน่อยเท่านั้น...ทำไมถึงไม่คิดบ้างล่ะว่า
ข้าตั้งใจมาตีสนิทเจ้าต่างหาก”
คำเอ่ยแก้ที่แสนจะปั่นประสาททำให้ดวงหน้างามต้องสะบัดขึ้นไปมองเตรียมจะด่าให้สาแก่ใจ
แต่ด้วยระยะความใกล้ชิด ปลายจมูกของทั้งสองแทบจะติดกัน
อีกทั้งดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ทั้งทรงพลังและเสน่ห์ที่จ้องลงมาทำให้หัวสมองของนายน้อยกลวงไปชั่วขณะ
รอยยิ้มแพรวพรายนั้นทำให้ใจเต้นตึกตักจนเจ้าของอยากจะสั่งให้มันหยุดเต้นไปเสียด้วยความกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยิน
....ไม่! ไม่มีทาง
คนอย่างโกคุเดระ ฮายาโตะ ไม่มีทางมาแพ้อำนาจทางจิตวิทยาใครง่ายๆ
แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดร่างกายเขาจึงเริ่มสั่น...ร่างกายยังไม่เท่าไหร่
เพราะบางทีอาจเกิดจากความโกรธ...
แต่หัวใจ...เหตุใดจึงสั่นสะท้าน...
“ปล่อยข้า!”
โกคุเดระสะบัดแขนอย่างแรงให้หลุดจากพันธนาการที่แข็งยิ่งกว่าโซ่เหล็ก ดวงตาสีมรกตหลบวูบไม่กล้าสบคู่สนทนาอีกต่อไป
แม้แต่การเปล่งเสียงพูดยังเหมือนเด็กหัดพูด
“ขะ ข้าไม่สนใจ ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่
แต่รู้เอาไว้อย่างเดียวว่า ข้าจะปกป้องท่านปู่และตระกูลโกคุเดระมิให้ผู้ใดมากระทำย่ำยีเกียรติศักดิ์ศรีแม้แต่ปลายนิ้ว!”
ร่างเล็กหมุนตัววิ่งกลับเข้าคฤหาสน์ทันทีที่กล่าวจบ
ปล่อยให้นักดาบหนุ่มร่างสูงยืนอยู่ที่เดิมตรงนั้น
ใบหน้าคมคายขยับรอยยิ้มฉายแววสนุกสนานเมื่อเสียงแห่งความตั้งใจแม้มันจะสั่นคลอนยังคงลอยล่องในโสตประสาท
“ข้าจะปกป้องท่านปู่และตระกูลโกคุเดระมิให้ผู้ใดมากระทำย่ำยีเกียรติศักดิ์ศรีแม้แต่ปลายนิ้ว!”
ปกป้องจีและตระกูลโกคุเดระรึ...ช่างกล้าหาญเสียจริงนายน้อย
คำนึงว่าผู้อื่นสำคัญกว่าตัวเองอย่างนี้สิยิ่งค่อยสมควรจะเป็นตัวเอกในบทแก้โศกนาฏกรรมเมื่อสามสิบปีก่อนของข้า
เพราะเจ้าเห็นแก่คนอื่น...แต่ตัวเจ้าเองเล่า...จะปกป้องไม่ให้ข้าย่ำยีได้หรือไม่นะ...
ด้วยเหตุที่เกิดในวันนั้น
นายน้อยโกคุเดระได้ประจักษ์ในแผนการของยามาโมโตะจนหมดจนสิ้น
เขาก็ได้ตั้งปณิธานเอาไว้แล้วว่าจะปกป้องตระกูลโกคุเดระอันทรงเกียรตินี้เอาไว้ให้ได้
ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ เขาก็ไม่ปักใจเชื่อว่ายามาโมโตะจะยอมละมือจากปู่ของเขาและมาเล่นงานเขาแทน
เพราะองครักษ์ผู้พิทักษ์ตัวเขานั้นมีมากยิ่งกว่าท่านปู่เสียอีก และแม้ผู้คุ้มกันของท่ายปู่จะยอดฝีมือเพียงใด
คงจะไม่ครณาฝีมือระดับผู้สืบทอดชิงุเระ คินโทคิเป็นแน่เท้
ชีวิตของท่านปู่สำคัญเป็นอันดับแรก...เพราะท่านปู่คือเสาหลักของตระกูล
เป็นที่ปรึกษาที่สำคัญที่สุดขององค์จักรพรรดิส่วนตัวเขานั้นเป็นตายร้ายดีเช่นไรก็มิได้สำคัญ
คิดได้ดังนี้นายน้อยแห่งตระกูลโกคุเดระจึงย้ายห้องนอนของตนมาอยู่ห้องข้างๆของขุนนางจีอย่างเงียบๆ
ที่รู้เรื่องก็มีเพียงแม่นมและสาวใช้เพียงสองสามคนเท่านั้น แน่นอนว่าความลับเรื่องการหยั่งเชิงดูความเคลื่อนไหวของยามาโมโตะนั้นจะให้จีรู้ไม่ได้โดยเด็ดขาด
เพราะเขาต้องโดนกล่าวหาว่าปรักปรำใส่ความองครักษ์ประจำตัว
ซึ่งจีต้องถือหางข้างอริอย่างไม่มีทางสงสัย ต่อให้เป็นสิบคืน สิบเดือน สิบปี เขาก็จะรอดูทุกฝีก้าว
จะวัดกันก็ย่อมได้ว่าระหว่างโกคุเดระ ฮายาโตะ กับยามาโมโตะ ทาเคชิ
ผู้ใดมีความอดทนสูงกว่ากัน
ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าของใครบางคนกระทบผืนเสื่อทางด้านนอกห้องเรียกดวงตาสีมรกตให้หันไปเหลือบมอง
มือบางคว้ามีดสั้นเข้ามาถือแน่น แล้วจึงค่อยเดินเงียบๆไปสอดส่องอยู่ตรงประตู
แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้ามีเพียงความมืดของราตรี
ไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติไปเกินกว่าสายตาของนายน้อยโกคุเดระจะสังเกตได้
อะไรกันนะ? เมื่อกี้เป็นเสียงคนเดินไม่ผิดแน่
มือขาวกระจ่างท่ามกลางความมืดมิดเลื่อนประตูออกเบาแล้วหันมองซ้ายมองขวาให้ถนัดตา
คืนนี้ลมหนาวยะเยือกโชยพัดแรง
ท้องนภาที่เป็นสีดำยิ่งมืดสนิทเพราะเมฆฝนไปบดบังแสงของดวงดาวและจันทรา
นิ้วเรียวเกี่ยวปอยผมที่ลมพัดมาปิดหน้าตาให้ไปทัดหู
ก่อนจะมองดูอีกครั้ง...แต่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรผิดสังเกต
นายน้อยร่างบางจึงหมุนตัวเตรียมหันหลังกลับ แต่ไม่ทันที่จะก้าวผ่านประตูนั้น!
หมับ!!
“อุ๊บ!! อื้อออ” มีมือแกร่งปริศนาตรงเข้ามาตะครุบปากของเขาเอาไว้
ส่วนมืออีกข้างกำแน่นที่ข้อแขนบางเพื่อพันธนาการมิให้มีดสั้นตรงเข้ามาทำร้ายผู้อาจหาญได้
กำลังที่มีมากกว่าหลายเท่าบีบรัดร่างกายจนรู้สึกเจ็บไปทั่วสรรพางค์
ทั้งยังถูกฉุดกระชากลากถูให้เข้ามาในห้อง
ไม่มีทางรอด...ยิ่งดิ้น ยิ่งต่อต้าน
ยิ่งสะบัด ก็ยิ่งเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น สัมผัสแบบนี้ที่ไม่ใช่สัมผัสคนแปลกหน้า
เพราะร่างกายเขาเหมือนรับรู้ได้ว่าเคยรองรับสัมผัสแบบนี้มาก่อน
ทันทีที่คนแปลกหน้าผู้อหังการปิดประตูห้อง
ลมอันแสนหนาวเย็นที่พัดกระหน่ำก็หยุดชะงัก มือใหญ่ปล่อยร่างของนายน้อยให้เป็นอิสระ
และผลที่ตามมาก็อันตรายจนแทบหยุดหายใจเมื่อมีดสีเงินวาววับเล่มเรียวตวัดชี้หน้าของเขาทันที
ดวงตาสีเขียวมรกตฉายแววโกรธเคืองในที่สลัว
แต่ริมฝีปากบางกลับแค่นยิ้มเหยียดในชัยชนะเมื่อใบหน้าของเจ้าคนบังอาจสะท้อนชัดเต็มสองตา
“แล้วเจ้าก็มาจนได้ ยามาโมโตะ
ทาเคชิ ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ขุดกับดักมานานวันเพื่อรอพยัคฆ์อย่างเจ้ามาติดบ่วง”
ฟังคำเปรียบเทียบแล้วยามาโมโตะก็แย้มรอยยิ้ม
นัยน์ตาสีเปลือกไม้ตวัดมองบุคคลตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเป็นทำนองว่า นี่น่ะหรือ
นายพรานจะมาจับพยัคฆ์
“นายน้อยขอรับ
ไม่มีนายพรานคนใดมานั่งรอนอนรอเหยื่ออย่างนี้หรอกนะ เพราะก่อนที่พยัคฆ์จะติดบ่วง
ก็ต้องเห็นนายพรานก่อน
แล้วนายพรานนั่นล่ะที่จะโดนพยัคฆ์ขย้ำ.....หากจะเปรียบให้ถูกต้อง
นายน้อยคงจะเป็นกวาง เหยื่อที่แสนโอชารสล่อให้พยัคฆ์อย่างข้าออกมาล่ากระมังนะ”
“ข้าจะเป็นกวางหรือนายพรานไม่ใช่เรื่องสำคัญ...ประเด็นมันก็อยู่ที่ตัวเจ้าที่ลอบจะเข้าสังหารปู่ข้าในยามราตรีนี้ต่างหาก
ฮึ!
ท่านปู่นอนอยู่ห้องถัดไปนี่ หากไม่ใช่จะมาฆ่าท่านปู่
เจ้าก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องขึ้นมาในเรือนใหญ่!”
นายน้อยแห่งตระกูลโกคุเดระกล่าวโทษผู้บุกรุกอย่างไม่รอช้า
ซึ่งก็ไม่ทำให้ผู้บุกรุกเดือดร้อน กลับตวัดยิ้มมุมปาก ดวงตาฉายแววเหยียดหยัน
“ข้ามิใช่คนตระกูลโกคุเดระ
ที่ถนัดเรื่องลอบกัด ไม่กล้าประจันหน้าตัวต่อตัว”
“บังอาจ!”
น้ำเสียงของนายน้อยโกคุเดระตวาดทันทีที่ไม่ทันจบประโยคอันแสนหยาบคายหู มือที่ถือมีดชี้หน้าบุรุษผู้อุกอาจเริ่มสั่นระริกด้วยอารมณ์โทสะ
“เจ้าเอาเรื่องอะไรมาพูดว่าคนตระกูลโกคุเดระเป็นคนขี้ขลาด ถนัดเรื่องลอบกัด!?”
“หึ! จีสอนเจ้ามาดีจริงๆ
คงจะให้ท่องทุกวันล่ะสิท่าว่าตระกูลโกคุเดระเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงมีเกียรติประวัติที่ขาวสะอาด
เกียรติยศสูงส่ง แต่ได้หารู้ไม่เลยว่าภายใต้ความงดงามของประวัติศาสตร์นั้นได้มีความกระด้างซ่อนอยู่!” น้ำเสียงของนักรบหนุ่มบัดนี้เย็นเยียบ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววเกรี้ยวกราดอย่างน่ากลัว
ร่างสูงค่อยย่างสุมเข้าใกล้โกคุเดระเรื่อยๆ ทั้งๆที่ในมือถือมีด แต่ฝ่ายที่ต้องถอยหลังกลับเป็นคนถือมีดเสียเอง
“เมื่อสงครามเมื่อสามสิบปีก่อน
วันที่ปู่ของเจ้าได้ประหัดประหารปู่ของข้าเพื่อแย่งชิงดินแดน
ปู่ของเจ้าได้ใช้วิธีที่ไม่ควรจะเรียกว่าเป็นวิธีการที่สมศักดิ์ศรี
ทั้งๆที่อยู่ในสมรภูมิรบ มีทหารตายเกลื่อนกลาด แต่ปู่ของข้ากลับยืนตัวเปล่า
ไม่มีดาบคู่กายของท่านอยู่ในมือ... ขุนนางจี อัครสมุหนายกแห่งดินแดนบูรพา...ฮะฮะ
พวกเจ้าใช้วิธีการสกปรกอันใดรึที่ทำให้ปู่ของข้าต้องสิ้นชีวิตเปล่าดายโดยไม่ได้สู้อย่างนั้น!!!”
ทุกประโยค...ทุกถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจตรงเข้าถาโถมใส่ทายาทตระกูลโกคุเดระ
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันจนไร้สีเลือด ตอนนี้อารมณ์ของเขาไม่คงที่อีกต่อไป
เมื่อคนตรงหน้าร้อนมาเขาก็พร้อมจะร้อนกลับ
คำหยามเกียรติที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครมาหยามตระกูลเขาถึงเพียงนี้ ทนไม่ได้
มันยากเย็นขนาดไหนที่ท่านปู่เพียรพยายามกระทำความดีเพื่อแผ่นดินมา นานเพียงใดที่ผืนดินแดนอาทิตย์อุทัยนี้สงบสุขเพราะท่านปู่
ข้าไม่มีทางให้ถูกเหยียบย่ำเพราะคำพูดพล่อยๆของไอ้เด็กเมื่อวานซืนที่ไม่รู้แล้วทำเป็นสู่รู้!!
“หึ! ข้านึกว่าที่เจ้าแค้นตระกูลข้าหนักหนาจะมีเค้ามูลความจริงมากกว่านี้เสียอีก
ที่แท้ก็หูเบาฟังความข้างเดียวแล้วเอาไปตัดสินใจเป็นตุเป็นตะ อาซาริ
อุเก็ตสึปู่ของเจ้ามีเหตุผลบางประการที่ต้องยอมละทิ้งแผ่นดิน
และต้องตายด้วยลูกธนูของปู่ข้า หาใช่เพราะวิธีการอันสกปรกที่เจ้ากล่าวหามาไม่!”
ใบหน้าสวยสง่าเชิดขึ้น
ไม่มีความกลัวเข้าจับจิตใจว่าจะถูกบั่นคอด้วยชิงุเระ คินโทคิของชายหนุ่ม ณ วินาทีนี้
ความถูกต้องและความยุติธรรมต่อตระกูลโกคุเดระสำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่า
“ที่เจ้าว่าตระกูลของข้าขี้ขลาด
คงต้องเปลี่ยนคำพูดเสียแล้วกระมัง...หึ! นี่หรือ คนตระกูลอาซาริ
อัครสมุหกลาโหมแห่งดินแดนประจิมที่แสนจะกล้าหาญ”
“โกคุเดระ
ฮายาโตะ!!!”
ผลั่ก!
“โอ๊ย!! เฮ้ย!”
ชั่ววินาทีที่ความเดือดดาลกลืนกินจิตใจของนักรบหนุ่มที่เยือกเย็น
เขาคว้าต้นแขนของคนตรงหน้าแล้วเหวี่ยงลงกับพื้นเสื่อแข็งก่อนจะโถมตัวลงคร่อมราวกับสัตว์ป่ากระหายเหยื่อ
ดวงตาคู่นั้นมองนายน้อยตระกูลโกคุเดระด้วยความเคียดแค้นชิงชัง มือแกร่งกดข้อมือของอีกฝ่ายฝังกับพื้นอย่างแน่นหนา
ใบหน้าของโกคุเดระ ฮายาโตะตอนนี้แม้จะซีดเผือดด้วยความตกใจผสมความกลัว
แต่ก็ไม่อ้อนวอนหรือร้องขอให้อีกฝ่ายปล่อยแต่อย่างใด เสียงร้องที่โดนเหวี่ยงทันทีทันใดเมื่อสักครู่นี้
จะเป็นเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดคำสุดท้ายที่หมอนี่จะได้ยินจากปากของเขา!
“ตระกูลข้าเป็นตระกูลนักรบ....สืบทอดจิตวิญญาณอันทรงเกียรติและพลังของชิงุเระ
คินโทคิ ไม่มีทางละทิ้งแผ่นดิน หันหลังให้กับการต่อสู้ ปู่เจ้ามันร้อยเล่ห์พันมารยา
ออกอุบายลวงปู่ของข้าให้ยกแผ่นดินให้!!”
“หุบปาก! เจ้าอย่าเอ่ยคำดูถูกปู่ของข้าอีกแม้แต่คำเดียว
ไม่อย่างนั้นข้าจะเอามีดนี่กรีดปากเจ้าให้เป็นริ้วๆ!”
คำขู่ที่แสนน่ากลัวทำให้อีกฝ่ายขยับยิ้มเหี้ยม
นัยน์ตาคมกริบแพรวพรายกดจ้องคนเบื้องหน้า มือแกร่งบีบรัดแขนของอีกฝ่ายแรงยิ่งขึ้น
ก่อนจะเอ่ยคำพูดตอบรับกร้าว
“ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกันไหม
ว่าระหว่างมีดของเจ้ากับปากของข้าอะไรมันจะคมกว่ากัน!!”
“อุ๊บ อื้อออ!!”
สิ้นคมใบหน้าคมคายก็โน้มใกล้แล้วประกบกับริมฝีปากสีอ่อน
ใช้ความรุนแรงบดขยี้ให้ความร้อนรุ่มดุจโลหะเผาไฟได้ซึมซาบเข้ากลีบปากของอีกฝ่าย เขารวบข้อแขนบางแล้วพันธนาการไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
ส่วนอีกมือบีบอย่างแรงเข้าที่เชิงกรามของอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้หนีไปไหน
บัดนี้ไฟแห่งความโกรธแค้นที่สั่งสมมานานของทายาทหนุ่มยามาโมโตะถูกผลักดันให้อีกฝ่ายรับรู้ผ่านจุมพิต
ยิ่งดิ้น ยิ่งสะบัดหน้าหนี เขาก็ยิ่งกดริมฝีปากให้แนบชิดบดเบียด
ลิ้นร้อนๆแทรกเข้าไปตักตวงหาความหอมหวานอย่างอุกอาจและดุดัน ความเร่าร้อน
ความเจ็บปวดกำลังแผดเผานายน้อยแห่งโกคุเดระให้ละลายอย่างช้าๆ
ผ่านไปเนิ่นนานของความทรมาน กลิ่นคาวเลือดกรุ่นติดอยู่ปลายจมูกยามาโมโตะเสียงหอบหายใจแผ่วเบาระทวยดังอยู่ริมหูเขา
ร่างกายที่ตอนแรกบิดเกร็งตอนนี้กลับโอนอ่อนราวกับตุ๊กตาผ้าที่ไร้ชีวิต
มีดสั้นหลุดจากมือของนายน้อยแห่งโกคุเดระอย่างง่ายดาย
แต่สัมผัสที่ทำให้นักรบหนุ่มกรีดริมฝีปากยิ้มอย่างพึงพอใจที่สุดก็คือสัมผัสถึงน้ำอุ่นๆที่ซึมโดนแก้มเขา
ความพึงพอใจจนที่ทำให้เจ้าตัวถอนริมฝีปากออกแล้วมองหน้าอีกฝ่ายด้วยตัวเอง
โกคุเดระ ฮายาโตะ
ทายาทผู้สูงศักดิ์ของตระกูลโกคุเดระที่เขาเกลียดแสนเกลียดกำลังร้องไห้
กลีบปากบางแดงช้ำห้อเลือดจากฝีมือของเขา
แม้จะไม่มีแรงแผลงฤทธิ์เหมือนอย่างตอนแรกแล้ว แต่ดวงตาสีมรกตที่ฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำใสๆคู่นั้นยังคงมองเขาด้วยสายตาที่รังเกียจเดียดฉันท์อย่างแจ่มชัด
มือบางกำแน่นจนเล็บจิกเนื้อฝ่ามือ แม้จะไร้กำลังและอ่อนแอ
แต่ยังคงหยิ่งในเกียรติศักดิ์ศรี ไม่ร้องแสดงความเจ็บปวดซักแอะ
“ช่างอดทนจังเลยนะขอรับนายน้อย
หากเจ็บก็บอกข้ามา ข้าจะได้เบามือกว่านี้” ยามาโมโตะแสร้งถาม
นิ้วแกร่งไล้เคลียไปตามแก้มนวลใสเพื่อปาดน้ำตา
แต่โกคุเดระกลับสะบัดหน้าหนีอย่างรังเกียจ
ราวกับไม่อยากให้เขาแตะต้องร่างกายไปมากกว่านี้ ขนาดสถานการณ์กำลังเป็นรอง
แต่กริยายังคงแข็งกร้าว อวดดีไม่มีเปลี่ยน
“เจ้ามัน...ปิศาจ”
รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้าหล่อคมของยามาโมโตะราวรับคำชมเชย
เขาเอื้อมไปกระตุกดึงโอบิผืนยาวที่พันรอบเอวบางออก ร่างทั้งร่างของโกคุเดระกระตุกเฮือก
และยิ่งตกใจไปอีกเท่าทวีคูณเมื่อมือทั้งสองของตนถูกมัดอย่างแน่นหนาด้วยโอบิของตนเอง
สายตาของยามาโมโตะจับจ้องไปทั่วเรือนร่างขาวผ่อง อาภรณ์หลุดลุ่ยเคลียไปตามสัดส่วนบอบบางที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นรูปร่างของเด็กหนุ่มวัยใกล้เคียงกัน
มือหยาบกระด้างไล้ไปตามต้นขาขาวเนียน
แต่สัมผัสจากฝ่ามือนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ปรารถนาจะทำลายมันให้แหลกคามือ
หาใช่จากความใคร่ที่ปรารถนาจะทะนุถนอม
หึ! ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเจ้าบริสุทธิ์นัก
ข้าจะเป็นผู้ทำให้มันแปดเปื้อนเอง...ถ้าเจ้ายังไม่รู้สึกทรมาน
ข้าก็จะทำให้เจ้ารู้สึกเอง!
“นี่จะทำ...อะไร”
ความกลัวแล่นเข้าจับจิต เป็นเพราะดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ที่มองมายังเขาฉายแววชั่วร้ายยิ่งกว่าปิศาจ
ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มแผ่วจะเอ่ยคำพูดสุดท้าย ...
.........คำพูดประโยคสุดท้ายที่โกคุเดระ
ฮายาโตะจะต้องแบกรับ
“หากจะโทษ
ก็จงโทษที่เจ้าเกิดมาเป็นสายเลือดของจีเถอะ หึหึหึ”
“...”
“อ๊ะ...อ๊า!!!!”
คืนนี้...สายฝนเทกระหน่ำสาดผืนปฐพีชะล้างทุกสรรพสิ่ง
พร้อมเสียงกรีดร้องอื้ออึงของวายุที่โหมแรง ต้นไม้ใหญ่ไหวเอนลู่ไม่อาจต้านทานพลังรุนแรงแห่งธรรมชาติ
หยาดเม็ดฝนเป็นพันล้านแสนล้านเม็ดอาจเทียบไม่ได้กับหยาดน้ำตาของเด็กหนุ่มผู้รองรับบทลงโทษแห่งสงครามที่สั่งสมมานานถึงสามทศวรรษ
หมดสิ้นแล้วเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของเขา
มันถูกพรากเอาคืนจากผู้ชนะสงครามที่แท้จริง
...ต่อให้สูงส่งเพียงไร
หากแต่ยังไร้ความเข้มแข็งก็ต้องถูกเหยียบย่ำ เช่นดอกเบญจมาศกองาม
ถึงจะเป็นบุปผาสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิราช แต่ก็ยังเป็นเพียงดอกไม้
พอเผชิญกับสายฝนที่บ้าคลั่ง วายุพัดแรง ก็ต้องหักล้ม กลีบดอกที่เคยบานสง่าก็ปลิวหายไปกับสายลมตามยถากรรม...
.
.
.
.
.
.
TBC...
มิยะขอเม้าท์
ฟิคเก่าเล่าใหม่? อุ้ย เปล่านะ =w= นี่เป็นภาคแรกของของขวัญอิเนียนที่จะลงในวันที่ 24 เมษานี้ต่างหากเงอะ // หลบหน้าหลบตาสุดชีวิต เป็นของขวัญที่มอบให้พี่กวางเมื่อสามปีที่แล้วค่ะ เป็นฟิคที่ใช้เวลาแต่งนานมากเมื่อเทียบเป็นหน้ากระดาษ จำได้ว่าหลายเดือนอยู่ทีเดียว และเป็นฟิคพีเรียดเรื่องแรกด้วย เหตุก็คือเจ้าของวันเกิดนี้ชอบพีเรียดมากๆ คือตอนเขียนนี่แอบเกร็งพอสมควรเลยค่ะ อ่านแล้วอ่านอีก แก้แล้วแก้อีก กลัวไม่ได้มู้ด เป็นฟิคเรื่องหนึ่งที่ไอ้มิยะเสียดายคอมเม้นท์มากๆ ขอบคุณพี่กวางที่เอาฟิคเก๊าไปลงโกดังด้วย ตอนนั้นเป็นวนิพกพเนจรของจริงเลยค่ะ T_T
ความจริงมันเป็นช็อตฟิคลงหนึ่งตอนจบ แต่ขออนุญาตหั่นเป็นสองตอนนะก๊ะ จะได้ไม่ลายตากัน อิอิ
จิ้มตอนต่อไปเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น