หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2557

Fic KHR [8059] My wind...our wind : Chapter6



Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama  Action
NC-17

คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ



Chapter 6 ความทรงจำที่หวนคืน



“พ่อ!” เสียงของวายุกังวานไปทั่วห้องที่ไม่คุ้นตาจะว่าให้ถูกคือจำไม่ได้แล้ว เพราะไม่อยากจะจำซะมากกว่า ในห้องถูกเอาม่านลงให้มืดพอสมควร หน้าประตูมีชายฉกรรจ์ยืนขวางอยู่สองคน กระจกล็อคอย่างแน่หนา แม้แต่ยุงก็เข้าไม่ได้ซักตัว ความเย็นเยียบของแอร์ต่ำองศาจับแข็งไปทั่วร่างกาย


เรา...มาอยู่ที่นี่ได้ไง


“ไม่เจอกันนานนะ ฮายาโตะ” ชายอาวุโสก้าวเข้าไปหาลูกชายเรื่อยๆ ผิดกับร่างโปร่งบางที่ค่อยๆถอยกรูดจนจะไปสุดมุมห้อง ทั้งๆที่นี่ก็พ่อแท้ๆ แต่ทำไมก็ไม่รู้ความรู้สึกของร่างโปร่งบางมันอึดอัด จนหายใจไม่ออก


“ทำไมถึงพาผมมาที่นี่...”


“พูดอะไรอย่างนั้น” ชายอาวุโสวาดรอยยิ้มละไมให้ลูกชาย “นี่บ้านแกนะ”


ร่างโปร่งบางแทบเดือดกับคำตอบที่พูดออกมาโดยไม่ลังเล ในใจเถียงแบบหัวชนฝา


บ้าน...บ้านหรอ


บ้านที่ไม่เคยให้ความอบอุ่น...


บ้านที่ไม่เคยให้ความทรงจำดีๆ...


อย่างนี้มันเรียกว่าบ้านได้หรอ!


น่าสมเพชสิ้นดี!


“ไม่จริง! ที่นี่ไม่ใช่บ้านผม ผมไม่เคยคิดว่าที่นี่เป็นบ้าน ผมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับบ้านหลังนี้อีกแล้ว ทั้งทุกคน แล้วก็พ่อด้วย!” ร่างโปร่งบางตะคอกออกมาอย่างสุดกลั้น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนเลือดซิบ ดวงตาสีมรกตพยายามควบคุมมันไม่ให้สั่นไปตามอารมณ์ ชายอาวุโสถอนหายใจ ก่อนจะมองหน้าลูกชายอย่างระอา


“อย่าพูดอย่างนั้นนะฮายาโตะ ทุกคนที่นี่แทบบ้าเมื่อแกหายไป รู้มั้ยว่าพ่อลำบากแค่ไหนกว่าจะรู้ที่อยู่ของแก”


“ผมไม่รู้...”ร่างโปร่งบางส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเมินหน้าไปอีกทาง ดวงตาสีมรกตล้ำค่าดวงนี้กำลังจะคุมความอ่อนแอเอาไว้ไม่อยู่


ไม่ได้...ฉันไม่ใช่เด็กที่พ่อเคยเห็นอีกต่อไป...ฉันไม่มีทางอ่อนแอให้พ่อได้เห็น...ไม่มีทาง


ฮายาโตะ...


พ่อไม่ต้องตามหาผมหรอก ผมไม่ได้ลำบากถึงขั้นต้องบากหน้ากลับมาหา ตอนนี้ผมมีงานมีการทำ แต่ทำไมพ่อต้องทำลายมันกับน้ำมือของพ่อด้วย  พ่อจะทำร้ายผมไปอีกเท่าไหร่กัน!”


พ่อไม่ได้ทำร้ายแก!” ชายอาวุโสเริ่มเสียงแข็ง แต่แกต่างหากที่ทำร้ายตัวเอง ทุกคนที่นี่ไม่มีใครทำร้ายแกหรอกนะ มีแต่แกเองทั้งนั้น เล่นวิ่งหนีออกจากปราสาท แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แกคิดถึงจิตใจของคนเป็นพ่อบ้างมั้ย...”น้ำเสียงของชายอาวุโสเริ่มสั่นเครือจนแทบจะคุมไม่อยู่ ดวงตาของผู้มีอำนาจบัดนี้เต็มไปด้วยดวงตาของคนที่เก็บกักความเศร้าเสียใจมานาน


นาน...จนแทบจะด้านชา...


ไม่ได้ทำร้าย... ใช่สิ...พ่อไม่ได้ทำร้ายผมตรงๆหรอก


“พ่อไม่ได้ทำร้ายผม...แต่พ่อทำร้ายแม่ใช่มั้ยล่ะ!!!” ร่างโปร่งบางโต้เหตุผลที่ตนหนีออกจากคฤหาสน์ออกไปทันทีทำให้ผู้เป็นพ่อถึงกับผงะ มือหนาๆจะเอื้อมไปจับที่ไหล่ของลูกชายแต่ร่างโปร่งบางก็เบี่ยงตัวออกราวกับรังเกียจมากมาย


“ฮายาโตะ... คือ แกกำลังเข้าใจผิดนะ”


“ไม่! ผมคิดว่าตอนนั้นผมโตพอที่จะรู้เรื่องที่พวกแม่บ้านคุยกัน ผมไม่ใช่น้องแท้ๆของอาเจ๊ แล้วอีกอย่างที่ผมได้รู้วันนั้นความจริงที่โหดร้ายต่ำช้าที่พ่อพยายามปิด... ว่าพ่อเป็นคนฆ่าแม่!”สิ่งที่อัดอั้นมามากกว่าสิบปีถูกปลดปล่อยออกมาหมดสิ้น พร้อมๆกับความอ่อนแอที่กลั่นเป็นน้ำอุ่นใสไหลล้นเอ่อมาจากดวงตาสีมรกต



ไหลริน...ไหลให้กับโลกความจริงที่แสนสกปรก



ไม่ไหว...ไม่ไหวอีกแล้ว


“ฮึก..พ่อเป็นคนฆ่าแม่...วันนั้นเป็นวันเกิดของผม แม่กำลังจะเอาของขวัญมาให้ มันเป็นโอกาสที่หายากในรอบปีที่ผมจะได้เจอแม่แค่ปีละสามครั้ง แต่ครั้งนั้นกลับเป็นวันที่แม่รถคว่ำตกเหว...ฮึก..แม่เสียชีวิตคาที่...ไม่มีรอยขีดข่วนกับถนนแม้แต่เส้นขนแมว แล้วอย่างนี้พ่อคิดจะปิดปังผมอีกรึไง...ว่าพ่อไม่ทำอะไรแม่!!” ร่างโปร่งบางพร่ำออกมาปนด้วยน้ำเสียงสะอื้น ใบหน้าขาวใสเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาอย่างไม่ขาดสาย


ไม่ใช่หรอกนะ...


ฉันไม่ได้อ่อนแอ...ไม่ใช่ความอ่อนแออะไรทั้งนั้น...


แค่เพียงน้ำตาที่หลั่งให้กับความเจ็บปวด...ความขื่นขม...ความอัดอั้น...ความกดดันของความทรงจำ...


แค่นั้นเอง...


“ฮายาโตะ แต่ที่พ่อทำไปก็เพื่อแกนะ” ชายอาวุโสเอ่ยเบาๆสารภาพกับลูกชาย แต่คำสารภาพนั้นกลับเป็นมีดกรีดเข้าไปในหัวใจของร่างโปร่งบางให้เจ็บเข้าไปอีก



เจ็บ...



“เพื่อผมหรอ?” น้ำเสียงสะอื้นขึ้นจมูกอย่างดูแคลน “พ่อทำเพื่อตัวเองมากกว่ามั้ง สำหรับพ่อ แม่ก็เหมือนกับสิ่งโสมมที่มีไปก็มีแต่จะเป็นมลทินให้กับแฟมิลี่ พ่อก็เคยคิดด้วยซ้ำไปไม่ใช่เหรอครับ ว่าถ้าแม่ตายๆไปซะได้ก็ดี”


“ฮายาโตะ!!!”ชายอาวุโสตะคอกลั่น แต่ไม่สะเทือนกับจิตใจที่ฉาบไปด้วยปมแผลที่ฝังลึกและชโลมด้วยหยาดน้ำตาของร่างโปร่งบางแม้แต่น้อย ปมด้อยของจิตใจยังคงพรั่งพรูออกมาอย่างสุดกลั้น


“หรือผมพูดไม่ถูก จะว่าไปไม่ใช่แต่แม่หรอก ผมก็ด้วยใช่มั้ยล่ะ...สิ่งโสมมสำหรับพ..”


เพียะ!


ไม่ทันจบประโยคที่แสนแดกดัน ฝ่ามือหนาตวัดฟาดกับใบหน้าของร่างโปร่งบางจนหัน ความชาแล่นจนแก้มอัมพาตไปถึงครึ่ง ร่างโปร่งบางหันหน้ากลับมาช้าๆ ดวงตาสีมรกตไม่มีแววว่าจะเกรงกลัว มุมปากบางมีคราบเลือดกลบอยู่เล็กน้อย


“อย่ามาพูดแบบนี้ให้พ่อฟังอีก! ไม่ว่ายังไงแกก็คือลูก พ่อไม่เคยคิดว่าแกเป็นสิ่งไร้ค่านะ”


“แล้วแม่ล่ะครับ...สำหรับพ่อ แม่คืออะไรกันแน่”


ผู้หญิงที่เป็นสิ่งต้องห้ามของสังคมมาเฟีย...


ผู้หญิงที่ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้หญิงของบุรุษผู้สูงส่ง...


ผู้หญิงที่ต้องคอยหลบซ่อนๆ จนหมดอนาคต...


ผู้หญิงที่ต้องมาตายโดยไม่รู้เรื่องอะไรด้วย...


เธอคนนั้นคือแม่...แม่แท้ๆของฉัน...


“ฮึก..ฮึก สำหรับพ่อ...ผู้หญิงคนนั้นมีความหมายบ้างมั้ยครับ” ดวงตาสีมรกตที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำใสๆไหลรินยังคงจ้องผู้เป็นพ่ออย่างเด็ดเดี่ยว น้ำตาไม่ได้ทำให้ดวงตาคู่นี้ดูอ่อนแอ แต่มันกลับทำให้รู้ว่า ร่างโปร่งบางต้องทนกับเรื่องพวกนี้มานานแค่ไหน


จนมันเป็นปมด้อย ปมที่ยังไงก็คลายไม่ออก ทุกครั้งที่นึกถึง มันก็ยิ่งรัดแน่นเข้าไปทุกๆที


“มันไม่ใช่เรื่องที่พ่อจะตอบแก ขอแค่ตอนนี้แกอยู่ที่นี่ไปซักพัก แล้วอย่าหวังว่าจะหนีไปง่ายๆเหมือนเมื่อสิบปีก่อน
ชายอาวุโสตัดบทก่อนจะฉายมอนิเตอร์ให้ลูกชายเห็น...แผนผัง...แผนผังอะไรซักอย่างที่คุ้นตาตามจุดต่างๆส่วนใหญ่มีเครื่องหมายกากบาทสีแดงเต็มไปหมด


“น่าจะจำได้นะ นี่คือแผนผังของหอบัญชาการวองโกเล่แฟมิลี่ กากบาทสีแดงๆพวกนี้คือระเบิดที่พ่อให้คนไปวางไว้ล่วงหน้า”คำตอบของผู้เป็นพ่อทำให้ร่างโปร่งบางแทบช็อค ใช่...มันคือหอบัญชาการวองโกเล่จริงๆ และกากบาทที่มีมากกว่ายี่สิบจุดนั้นก็คือระเบิดที่ถูกวางเอาไว้ ดูยังไงๆถ้ามันเกิดระเบิดขึ้นมาต่อให้มดสักตัวคงไม่มีทางรอด


“พ่อ...คิดจะทำอะไรกับที่นั่น...” น้ำเสียงของลูกชายเบาหวิวเหมือนกับไร้วิญญาณ ดวงตากลอกดูแผนผังไปมาหลายรอบ แต่ก็ไร้ความหวัง ไม่มีจุดใดที่จะพ้นรัศมีของระเบิดเลย


“พ่อจะไม่ทำอะไรกับที่นั่นหากว่าแกทำตัวดีๆ แต่เมื่อไหร่ที่พ่อรู้ว่าแกคิดจะหนีอีกเป็นครั้งที่สอง พ่อจะกดรีโมตระเบิดหอบัญชาการวองโกเล่ทันที”


“ไม่ได้นะ!!!!”ร่างโปร่งบางตวาดก้อง ความจงรักภักดีพุ่งขึ้นถึงขีดสูงสุด น้ำเสียงน่ากลัวถูกตะเบ็งออกมาไม่ลังเล “พ่อไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายรุ่นที่สิบ ไม่มีสิทธิ์เด็ดขาด!


“เลือดของมือขวาช่างเข้มข้นจริงๆนะฮายาโตะ นอกจากหอบัญชาการของวองโกเล่แล้ว ยังมีที่นี่...”ชายอาวุโสชี้รีโมตไปที่มอนิเตอร์ ฉับพลันรูปร่างของแผนผังก็เปลี่ยนไปทันที กลายเป็นผังของอีกสถานที่หนึ่ง แต่คราวนี้กลับไม่คุ้นตาร่างโปร่งบางแม้แต่น้อย


ที่ไหนน่ะ...


“นี่คือสถานที่ที่อยู่ในการดูแลของวองโกเล่แฟมิลี่ ถ้าพ่อจำไม่ผิด เมื่อหลายวันก่อนวองโกเล่รุ่นที่สิบก็เพิ่งส่งคนไปดูแลนี่นา”


“สถานที่...ของวองโกเล่...งั้นหรอ” วองโกเล่มีพื้นที่ในการครอบครองกว้างมาก อย่างนี้จะรู้ได้ไงว่าที่ไหน...


“อืม รู้สึกว่าคนควบคุมจะเป็นผู้พิทักษ์แห่งพิรุณ...ยามาโมโตะ ทาเคชิ ใช่มั้ย”


คำใบ้เพิ่มของผู้เป็นพ่อทำให้หัวใจของร่างโปร่งบางแทบหลุดไปอยู่ที่ตาตุ่ม


“พ่อ! พ่อจะทำอะไรกับหมอนั่น!!” วายุยิ่งทวีความเกรี้ยวกราดอย่างไร้สาเหตุเมื่อสถานที่นั้นคืออิตาลีเหนือ สถานที่ผู้พิทักษ์แห่งพิรุณของวองโกเล่กำลังประจำอยู่ ไม่จริงเลย ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมเรื่องนี้ต้องมาเกี่ยวข้องกับคนอื่นด้วย


โดยเฉพาะกับหมอนี่...ทำไม!!


“หมอนั่นไม่เกี่ยวอะไรด้วย! มันไม่เกี่ยวกับเรื่องของพ่อกับผมเลย ทั้งรุ่นที่สิบแล้วก็ยามาโมโตะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรทั้งนั้น!


“เกี่ยวสิ...คนพวกนี้คือปัจจัยสำคัญที่เป็นคนดึงแกอยู่ที่วองโกเล่ ถ้าไม่มีคนพวกนี้ซะ แกก็คงจะยอมกลับบ้านตั้งแต่ตอนแรกๆ”


“ถึงอย่างนั้นพ่อก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายพวกเขา”


“แกเองก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามพ่อ อย่าลืมนะว่าตอนนี้แกไม่ได้อยู่อย่างอิสระ แกไม่มีสิทธิ์มาออกความเห็นว่าอะไรควร อะไรไม่ควร” ศึกสายเลือดทางวาจาโต้กันอย่างดุเดือด สายตาต่อสายตา ปากต่อปาก ฟันต่อฟัน


“พะ พ่อ” ร่างโปร่งบางค่อยๆคุกเข่าลง ทิฐิมานะที่เคยมีอยู่พังทลายจนสิ้น น้ำตาอุ่นๆไหลอาบแก้มอีกครั้ง มือบางเอื้อมไปจับที่ขากางเกงของผู้เป็นพ่อ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยใช้มาก่อน


“ฮึก..พ่อครับ... ถือว่าเป็นคำขอร้องของลูกชายคนหนึ่งของพ่อ... อย่าทำร้ายรุ่นที่สิบเลย..ฮึก.. ที่ผ่านมาผมพร้อมที่จะไถ่โทษทุกอย่าง แต่ผมขออย่างเดียว อย่าระเบิดหอบัญชาการและศูนย์วองโกเล่อิตาลีเหนือ...ได้มั้ยครับ..”


ชายอาวุโสมองลูกชายที่นั่งคุกเข่าที่แทบเท้าด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ไม่มีคำตอบรับใดๆที่ออกมาจากปากเว้นซะแต่กวักมือเรียกลูกน้องสองคนที่อยู่ตรงประตูให้มาหา


“พานายน้อยไปพักผ่อนซะ เดี๋ยวมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกมาก แต่แค่นี้...ก็เหนื่อยมากแล้ว” สิ้นสุดคำสั่งชายฉกรรจ์ทั้งสองก็หิ้วปีกของร่างโปร่งบางขึ้น แต่พอยืนได้ก็ถูกสะบัดอย่างไม่ไยดี


“อย่ามาแตะตัวฉัน!” ดวงตาสีมรกตที่แดงก่ำเหลือบมองชายอาวุโส “ผมถือว่าผมขอร้องพ่อไปแล้ว...แต่ในเมื่อพ่อบอกว่าผมไม่มีสิทธิ์ที่จะเสนอความคิดเห็น...ผมก็จะไม่ทำ”


“...”


“แต่ว่าพ่ออย่าลืมว่าผมคนนี้เป็นผู้พิทักษ์วายุและเป็นมือขวาของวองโกเล่รุ่นที่สิบ! ผมยังมีหน้าที่ของผมอยู่....นั่นก็คือการปกป้องรุ่นที่สิบให้รอดพ้นจากอันตราย ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม!!!


“...”


“หวังว่าจะเข้าใจ...นะครับ”


“...”


“พานายน้อยไปพักผ่อน...เดี๋ยวนี้” ไม่มีเสียงรับปากใดๆ ร่างโปร่งบางมองผู้เป็นพ่ออย่างไม่ยี่หระ ถึงแม้จะทำเหมือนหูทวนลม แต่เขาก็คิดว่าพ่อคงได้ยินแน่ๆ แต่จะเข้าใจหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ร่างโปร่งบางหันหลังกลับออกทางประตูที่ชายสองคนเปิดรอไว้ให้


“ห้องของนายน้อยอยู่ชั้นบนครับ...” หึ ทำเหมือนฉันเป็นแค่ผู้อาศัยเลยนะ...แต่ก็ไม่ผิด...เพราะมันก็สมควรจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่รึไง


ยังไง...ก็ไม่ใช่บ้านฉันนี่


“เออ ขอบใจ” ร่างโปร่งบางกล่าวห้วนก่อนจะเดินฉิวขึ้นบันไดหรูอย่างคล่องแคล่ว เพราะถ้าในหลืบความทรงจำบอกไม่ผิดเขาก็เคยนอนชั้นนี้มาก่อน ร่างโปร่งบางเดินผ่านห้องที่เรียงรายเป็นตับไม่แพ้คฤหาสน์วองโกเล่ จนกระทั่งผ่านห้องๆหนึ่งห้องที่ค่อนข้างใหญ่กว่าห้องอื่นๆ ประตูไม้แกะสลักสวยงามรับกับม่านสีเงินหรูหราที่ปิดหน้าต่างทุกบานอย่างมิดชิด แม้จะไม่เห็นภายในห้องแต่ร่างโปร่งบางก็รู้ดีว่าคือห้องอะไร



ห้องแห่งความทรงจำที่ดีเพียงอย่างเดียวของคฤหาสน์หลังนี้...



คงจะถูกปิดตายมานานแล้วล่ะมั้ง...


มือบางเอื้อมไปจับลูกบิดแล้วบิดมันเบาๆ แต่ก็น่าแปลกประหลาดใจที่ประตูนั้นไม่ได้ล็อค ภายในห้องโล่งว่างปรากฎเพียงแต่เปียโนหรูสีดำสนิทหลังใหญ่กับตู้โน้ตเพลงวางเรียงกันจนเต็ม


ยังเหมือนเดิม...ไม่เปลี่ยนแปลง...


ร่างโปร่งบางก้าวเท้าไปหยุดที่หน้าเปียโน แต่เปียโนหลังนี้ก็สะอาดกว่าที่คิด ไม่มีฝุ่นจับแม้แต่น้อยขัดกับที่คิดว่าคงถูกปล่อยให้ร้างเอาไว้นิ้วเรียวยาวลูบไปตามคีย์ของมันดวงตาสีมรกตไม่แสดงอารมณ์ใดๆเหมือนตกอยู่ในมนต์สะกด นิ้วชี้ยาวกดที่คีย์ๆหนึ่ง


ตริ๊ง


หึ เสียงโน้ตซอลสูงก็ยังเพี้ยนอยู่เหมือนเดิม


นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นแก


วันนี้ฉันจะไม่แตะต้องแกหรอกนะ...เพราะแกอาจจะเห็นฉันเป็นคนแปลกหน้า...


แต่ยังไง...ก็เอาเป็นว่า...



ดีใจที่ได้พบแก...อีกครั้ง







ตึกวายุ...วองโกเล่แฟมิลี


ก๊อกๆ ๆ


“ท่านโกคุเดระครับ ผมเอายารอบดึกมาส่งครับ” เลขาประจำตึกรัวข้อหลังนิ้วกระแทกกับประตูหลายครั้งในมืออีกข้างถือถ้วยเล็กๆใส่ยา แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ ความเงียบ ไม่มีเสียงตอบรับจากหัวหน้าของตนเลย


“ท่านโกคุเดระครับ...”


“ขอเสียมารยาทนะครับ” ชายหนุ่มค่อยๆบิดประตูแล้วถือวิสาสะเข้าไปข้างใน แต่ภาพที่เห็นทำเอาช็อคซะจนถ้วยยาหล่นจากมือลงไปกลิ้งกับพื้น


ภายในห้องไม่มีแม้แต่เงาของผู้พิทักษ์วายุ ไฟยังเปิดเอาไว้อย่างเดิม มีเพียงแต่โทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ เลขาหนุ่มลนลานเป็นอย่างมากเปิดประตูห้องโน้นห้องนี้พร้อมเรียกชื่อผู้เป็นนายไปด้วย


“ท่านโกคุเดระครับ ท่านโกคุเดระอยู่ไหนน่ะครับ!!! ได้ยินแล้วตอบผมด้วยครับ!!


“ท่านโกคุเดระ!! ท่านโกคุเดระ!!” ไร้ผล ทั่วทั้งชั้นไม่เจอผู้พิทักษ์วายุเลย คิดว่าถ้าจะออกไปข้างนอกคงจะเป็นไปไม่ได้เพราะประตูทุกที่มียามเฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา ทั้งกล้องวงจรปิดที่ติดถี่ยิบซะยิ่งกว่าสายไฟเขาก็เป็นคนนั่งดูไม่คลาดสายตา


ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้พิทักษ์วายุจะออกไปทางใด...


หายไปไหนกันแน่นะ...


เลขาหนุ่มคว้าโทรศัพท์ก่อนจะกดหมายเลขของหอบัญชาการโดยไม่ลังเล เสียงโทรศัพท์ดังตรู๊ดไม่กี่ครั้งก็มีคนรับสาย


“สวัสดีครับ หอบัญชาการ...”


“รุ่นที่สิบครับ!! ผมเลขาประจำตึกวายุครับ ตอนนี้ท่านโกคุเดระอยู่ที่หอบัญชาการรึเปล่าครับ!


“หือ” น้ำเสียงปลายสายของนภาแห่งวองโกเล่บ่งบอกถึงความงุนงงเต็มที่ “ไม่นะ... โกคุเดระคุงยังนอนอยู่ที่ตึกไม่ใช่หรอ”


บรรลัย!!! เลขาประจำตึกกลืนน้ำลาย มือไม้อ่อนจนจะถือโทรศัพท์ไม่อยู่ ก่อนจะกรอกเสียงลงไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


“ผะ ผม ขะ ขอโทษครับ ...ระ รุ่นที่สิบ”


“หา!!! ทำไมถึงทำเสียงแบบนั้น กะ..โกคุเดระคุงเป็นอะไรไปงั้นหรอ!” น้ำเสียงของนภาแห่งวองโกเล่เริ่มใจคอไม่ดีขึ้นมาจริงๆบวกกับสุดยอดลางสังหรณ์ที่แล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอจนหายใจไม่ออก


ต้องเกิดอะไรไม่ดีขึ้นแน่ๆ


ไม่ดีมากๆ....ถึงขั้นวิกฤติ



“รุ่นที่สิบครับ...ท่านโกคุเดระหายตัวไปครับ!!!




TBC…

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น