Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 20 ตื่นจากนิทรา
“มาสิสึนะโยชิคุง...เรามาปิดเกมกันซักที”
ทันทีที่ชายอาวุโสเอ่ยท้า นภาแห่งวองโกเล่รู้สึกถึงอุณหภูมิที่ต่ำลงของห้อง
อาจมิใช่เพราะเครื่องปรับอากาศ แต่เป็นอุณหถูมิในร่างกายของเขาเอง
ถึงปากจะบอกว่าเขาไม่มีทางเลือก แต่ในใจจริงๆแล้ว
สึนะโยชิไม่ปฏิเสธว่าเขาไม่กล้าที่จะเข้าโจมตีก่อน
หากมีทางเลือกว่าไม่ต้องต่อสู้ได้...เขาก็จะเลือก
จะมีใครหาว่าเขาโง่มั้ย?...หากเขาคิดอยากจะเจรจากับคนๆนี้อีกครั้ง
ผู้พิทักษ์ที่เหลือ อรุณ อัสนี เมฆา
และสายหมอกได้เข้ามาอยู่ในห้องของด่านสุดท้ายเรียบร้อยพร้อมเพรียง
โดยที่สายตาทุกคู่ไม่เว้นที่จะมองพิรุณและนักฆ่าอันดับหนึ่งที่เพิ่งมาถึงอย่างงงๆ
แต่ก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไร โดยเฉพาะอัสนี
เขายืนอยู่ห่างจากพิรุณที่ยืนกุมปากแผลเลือดท่วมมากกว่าคนอื่นอย่างชัดเจน
“หึ โดนแย่งซีนซะแล้วล่ะครับ ฮิบาริคุง
มีคนมาก่อนหน้าเราตั้งสองคนแน่ะ”
สายหมอกเอ่ยกลั้วหัวเราะออกมาอย่างเสียดายไม่ได้เข้ากับบรรยากาศ
พลางสายตาเหยียดมองพิรุณอย่างสมเพชหรือสงสารไม่แน่ใจ
ไม่คิดว่าจะเจอในสภาพแบบนี้...ดูๆแล้วไม่เห็นจะเหมือนกับตอนออกจากวองโกเล่สักนิดเดียว
โดนเล่นหนักล่ะสิท่า...
แต่แค่นี้ไม่สมควรสักเท่าไหร่เลย
กับสิ่งที่หมอนั่นทำไปตอนแรกน่ะนะ...
“ซาวาดะ ไหวแน่เหรอ หน้านายซีดๆนะ”
อรุณก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าวเมื่อเห็นใบหน้าของนภาแห่งวองโกเล่
ตามวิสัยของคนมีพลังรักษาถึงจะไม่มีบาดแผลอะไรมาก
แต่ก็ดูท่าจะเสียพลังไปเยอะกว่าจะมาถึงที่นี่
“ให้ฉันช่วยสักหน่อยมั้ย?” เห็นสภาพของพิรุณแล้วก็อดห่วงไม่ได้
ขนาดหมอนี่เก่งทั้งสัญชาตญาณและการฝึกฝนยังอาการแย่ขนาดนี้
นภาแห่งวองโกเล่ส่ายหัวเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรแต่ดูเหมือนว่าเมฆาผู้ที่กำลังสนุกในเกมจะอยากโค่นตัวหัวหน้าเต็มแก่ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอย่างเดิม
เขายืนกอดอกพิงผนังอยู่ทางด้านหลังเงียบเตรียมรอดูมวยชั้นเอกจะดีกว่า...
วางใจเถอะ
เขามีสำนึกมากพอที่จะไม่เข้าไปรบกวนการต่อสู้ของคนอื่น
พยัคฆ์ร้ายยามหิวโหยก็จะขอแก่งแย่งเพื่อให้ได้เหยื่อมาครอบครอง
แต่บัดนี้แม้จะหิวเพียงใด...ขอเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีไม่แย่งเนื้อของราชสีห์ที่น่าเกรงขาม...
ถ้าเขาลงมือเอง
เขาก็จะไม่ได้เห็นฝีมือก้าวหน้าของใครบางคนที่ตัวเองจับตามานาน
“คุณซาซางาวะครับ วองโกเล่จะไหวหรอ
ให้พวกเราช่วยเขาเถอะครับ” อัสนีหนุ่มกระตุกแขนเสื้อรุ่นพี่ยิกๆ แต่ก็ไม่มีใครสักคนขยับ
จนนักฆ่าอันดับหนึ่งตวัดสายตามองคนใจร้อนก่อนจะอธิบายเรียบๆ
“พวกแกทุกคนมีจุดยืน
สึนะมันก็มีจุดยืนของมัน ตอนนี้พวกแกกำลังยืนอยู่บนจุดยืนที่ถูกต้อง
อย่าถลำหน้าเข้าไปรบกวนจุดยืนของบอสพวกแกเด็ดขาด!”
อัสนียอมรับว่าไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ฝืนพยักหน้า เขาทอดดวงตามองผู้นำอีกครั้ง
ซึ่งไม่รู้ว่า ณ จุดยืนตรงนั้นนภาจะแบกรับความหวังและแรงกดดันเพียงใด
“เราควรจะเริ่มกันได้แล้วนะสึนะโยชิคุง
อยากได้สายลมของเธอคืนไม่ใช่หรือไง” ชายอาวุโสยิ้มเรียบถาม
ยิ่งกดดันนภาอีกเป็นเท่าทวีคูณ สึนะโยชิหันไปกวาดตามองผูพิทักษ์ทุกคนที่อยู่ทางด้านหลัง
ไม่ว่าตอนนี้ดวงตาทั้งห้าคู่จะมองเขาอย่างไร จะมองเหยียดๆ เรียบเฉย หรือว่ากังวล
แต่เขาเข้าใจความหมายอย่างชัดเจน
ไม่ใช่หรอก...ไม่ใช่
“ไม่ใช่สายลมของผมหรอกครับ...แต่เป็น...”
“...”
“สายลมของทุกคนต่างหาก!” สิ้นสุดคำประกาศิต นภาแห่งวองโกเล่ก็พุ่งทะยานโจมตีอย่างรวดเร็ว
แสงไฟสีส้มสดใสจากถุงมือวาดเป็นทางยาวตามการเคลื่อนที่
นภาเข้าประชิดตัวคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายแต่หมัดยังไม่ทันจะกระแทกกับเนื้อหนังของอีกฝ่าย
กระบองเหล็กเส้นผ่านศูนย์กลางราวนิ้วครึ่ง ยาวกว่าสองเมตรถูกยกขึ้นมารับได้ทันที
เปรี้ยงงงงง!!!!
เสียงไฟธาตุนภาปะทะกันระเบิดอย่างรุนแรง
แสงสีส้มวาดออกจากศูนย์กลางการปะทะออกเป็นวงกว้าง
ควันเขม่าถูกลมพัดแรงจนผู้เป็นสักขีพยานข้างสนามต้องหลบกันเป็นพัลวัน
กระจกสีใสรอบห้องถูกแรงระเบิดอัดจนแตกระเอียดไม่มีชิ้นดีปลิวออกไปข้างนอกคฤหาสน์
นภาแห่งวองโกเล่กระโดดออกมายืนอยู่บนพื้นได้อีกครั้ง
ก่อนจะมองคู่ต่อสู้อย่างทึ่งเล็กน้อย
เขายอมรับว่าประมาทกำลังของชายอาวุโสตรงหน้าต่ำเกินไป
ดูๆแล้วไม่น่าจะเป็นกำลังของคนแก่ที่กำลังป่วยแล้วจะสละบัลลังก์บอสเลย
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า
ถ้าเขาสู้เต็มที่แล้วจะเอาชนะได้หรือเปล่า!?
“บุกเข้ามาอีกสิ เธอเป็นแขก
ฉันในฐานะเจ้าบ้านต้องให้เกียรติเธออยู่แล้ว” ชายอาวุโสขยับเท้าก้าวออกมา
สึนะโยชิมองอย่างเรียบเฉย ก่อนจะรวบรวมความตั้งใจพุ่งเข้าหาอีกครั้ง
คราวนี้ทั้งคู่ประมือกันกลางอากาศอย่างยาวนาน ไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำให้แก่กัน
เสียงพลังของไฟระเบิดดังเป็นระยะๆ ควันเขม่าขุ่นหนาจนแทบมองไม่เห็นการต่อสู้
ยิ่งทำให้หัวใจของคนที่ดูอยู่เต้นระทึกเพ่งมองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ภายในกลุ่มควัน
นภาแห่งวองโกเล่หาโอกาสโจมตีอยู่ทุกจุด แต่ว่าไม่มีจุดอ่อนอะไรเลย
กระบองยาวพร้อมที่จะปกป้องเจ้าของทุกเมื่อ นับว่าเป็นคนที่เป็นฝ่ายรับการโจมตีได้อย่างเยี่ยมยอด
นภาเปลี่ยนแผนใหม่
แสร้งหยุดการโจมตีแล้วคิดจะเป็นฝ่ายรับเองบ้าง เขาถอยตัวห่างออก
เหมือนกับพระเจ้าเข้าข้างให้มันเป็นไปตามแผน ชายอาวุโสรุกทันทีที่มีโอกาส
กระบองถูกรวบรวมพลังเอาไว้แล้วจะฟาดลงมา!!
นภายิ้มออกมาเป็นครั้งแรก มือข้างซ้ายคว้าหมับไปที่กระบอง
แล้วมือข้างขวาเตรียมที่จะโจมตีแต่แล้ว...
แกร๊ก...
เสียงโลหะแยกออกจากกันเป็นสองส่วน
มีดคมวาววับที่ซ่อนอยู่ภายในฝักถูกเรียกออกมากินเลือดดับกระหาย
คนที่โดนมาแล้วอย่างพิรุณรู้ดี ทันทีที่เห็นแสงวาวๆลอดออกมาจากกระบอกที่แยกออก
เขาก็ร้องเตือนลั่น
“สึนะ...ระวัง!!!”
ฉัวะ!!!
“อ๊ากกกกก!!!” ไม่ทันซะแล้ว
มีดคมกริบบาดเข้าที่ฝ่ามือเป็นแผลยาวจนนภาต้องปล่อยออก
แล้วมีดอีกข้างหนึ่งก็วาดกลางอากาศฟันเข้าที่หัวไหล
โลหิตสีแดงสดไหลทะลักเปื้อนชุดสูทเป็นวงกว้างอย่างน่ากลัว
นภากุมบาดแผลแล้วพาตัวเองร่อนลงสู่พื้นท่ามกลางความตกใจไม่น้อยของเหล่าผู้พิทักษ์
“ซะ ซาวาดะ!”
ผู้พิทักษ์อรุณเป็นคนแรกที่จะรีบรุดก้าวเข้าไปหาคนเจ็บ
แต่ก็ถูกนักฆ่าอันดับหนึ่งรั้งเอาไว้ เจ้าตัวส่งสายตาห้ามอย่างเด็ดขาด
“อย่าเข้าไปใกล้ เรียวเฮ”
“ตะ แต่ว่า!”
อัสนีช่วยร้องประท้วงอีกแรง แต่ก็โดนดวงตาดุๆสีรัตติกาลส่งกลับมาทำให้หุบปากสนิท
เขารู้อยู่หรอกว่าในใจจริงๆของนักฆ่าอันดับหนึ่งก็ไม่ได้ต่างออกไปจากใครทั้งหมด
แต่เพียงตอนนี้ พวกเขาทำได้แค่ยืนมองเท่านั้น
ทำได้เพียงเท่านั้น
“อย่า...อย่าห่วงไปเลย”
เสียงหอบหายใจของนภาดังขึ้น ทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตาสีส้มสะกดความเจ็บปวดเอาไว้ภายใน
แล้วฝืนยิ้มออกมา
“เราต้องชนะแน่ เชื่อฉันสิ!” ทุกคนนิ่งงันไม่ตอบรับคำพูด มีเพียงรอยยิ้มของนักฆ่าอันดับหนึ่งเท่านั้น
นภาหันหน้าเข้าสู่สนามรบ พบว่าคู่ต่อสู้ของเขาก็ร่อนลงสู่พื้นดินแล้วเหมือนกัน
แต่ต่างกับเขาหน่อยที่ว่า ร่างกายของคนๆนั้นยังดูดีกว่าเขาอยู่มากโข
แถมพละกำลังยังพร้อมอยู่อย่างน่าอัศจรรย์
นี่หรือ...พ่อของโกคุเดระคุง?
“ตั้งใจสู้หน่อย สึนะโยชิคุง
ไม่ต้องห่วงอย่างอื่น ฉันไม่อยากสู้กับเธอที่ออกกำลังไม่เต็มที่”
คนที่หาว่าสู้ไม่เต็มที่กัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างคิดหนัก
ไม่คิดมากคงไม่ได้ เขาไม่ได้มาที่นี่เพราะมาถล่มรังฟิลบาโลเน่
แต่มาเพราะมารับคนของเขาคืนต่างหาก แต่คนที่ว่านั่นไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน
ไม่ให้ห่วงคงไม่ได้ เหมือนกับชายอาวุโสรู้ความคิดของนภาดี
เขากรีดรอยยิ้มเย็นแล้วเอ่ยเรียบๆแต่มันทะลุเข้าไปถึงขั้วหัวใจ
“ห่วงฮายาโตะไป ก็ไม่ได้อะไรดีขึ้นมา”
หมายความว่ายังไง!?
เหล่าวองโกเล่ได้รับรู้ถึงความเย็นลงของอุณหภูมิร่างกาย
ทั้งหมดหันหน้าเข้าสบตากันทันที
โดยเฉพาะดวงตาสีมรกตของอัสนีหนุ่มที่สั่นระริกจนคุมมันไม่อยู่
“ไม่ต้องห่วงหรอกสึนะโยชิคุง
ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ฉันดูแลฮายาโตะให้อย่างดีอยู่แล้ว
แต่...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจาการตัดสินใจของเด็กคนนั้นเอง...
เธอจะรับได้หรือเปล่า”
น้ำเสียงทรงอำนาจซึมลึกเข้าไปในจิตใจของคนฟังทุกคน
เหมือนกับคำพูดนี้กล่าวกับวองโกเล่ทุกคนที่ยืนอยู่ที่นี่
แต่มีเพียงเสี้ยววินาทีที่หางตาของชายอาวุโสตวัดมองผู้พิทักษ์แห่งพิรุณที่บาดเจ็บอยู่
นั่นสิ...เธอจะรับได้หรือเปล่า?
จะรับในสิ่งที่ทำลงไปได้มั้ย? ความจริงยอมรับยากเสมอ...
แต่อย่างไรก็ตาม ความจริงคือความจริง
ทุกสิ่งทุกอย่างหากมันจะเกิดก็ต้องเกิดอย่างไม่มีวันแก้ไข ถึงเวลานั้นมีอยู่ทางเดียวคือก้มหน้ารับมัน
เผชิญหน้ากับมันอย่างไม่เกรงกลัว...
โดยเฉพาะความจริงที่เป็นผลการกระทำ…ต้องยอมรับให้ได้
“คุณกำลังจะบอกว่า
เกิดเรื่องไม่ดีกับโกคุเดระคุง” นภาถามเสียงเข้มเรียกให้ชายอาวุโสหันกลับมาหา
เขายิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะส่ายหน้า
“จะพูดอย่างนั้นมันก็ไม่ถูก
ฮายาโตะย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
คนที่อยู่รอบๆตัวเขาอย่างฉันก็มีหน้าที่แค่สนองเท่านั้น”
ณ นาทีนี้ในหัวของนภาพลันขาวโพลน
ไม่ต้องพึ่งลางสังหรณ์อะไรก็ตามก็สามารถบอกได้ว่าสถาณการณ์กำลังแย่
ความสับสนกำลังเข้าครอบงำ มิใช่เพียงนภาคนเดียว เหล่าวองโกเล่ที่ได้รับฟังก็ไม่ต่างกัน
พวกเขาไม่ไว้ใจว่าตอนนี้วายุจะปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง รู้สึกกลัว
กลัวอย่างที่ไม่เคยกลัวมาก่อน
ไฟสีส้มบริสุทธิ์สดใสลุกโหมขึ้นอีกครั้งหนึ่งด้วยอารมณ์
คิ้วเรียวของนภาแห่งวองโกเล่ขมวดเข้าหากัน เขาไม่เข้าใจเท่าไหร่นักว่าที่ ‘ดูแลให้อย่างดี’ ในความหมายของคนตรงหน้านี่หมายความว่าไง
เขานึกภาพไม่ออก...ไม่รู้ว่าวินาทีนั้นตัวเองจะสามารถยืนได้อย่างตอนนี้มั้ย...
หากวายุ...ไม่ใช่วายุคนเดิม
“ถึงตอนนั้นถ้าแกไม่ไหวแกค่อยล้มไม่ดีกว่าหรือไง” น้ำเสียงต่ำทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหลัง ซึ่งไม่ต้องหันไปมองเขาก็รู้
นักฆ่าอันดับหนึ่งเหยียดรอยยิ้มก่อนจะเทศน์ต่อย่างไม่เกรงใจ
“แกยังไม่ทันเห็นหมอนั่นเลยทำไมต้องด่วนกลัว
อย่าลืม ว่าหมอนั่นน่ะเป็นมือขวาของแก
มือขวาจะไม่มีวันเป็นอะไรหากไม่ใช่บอสสั่งให้เป็น หมอนั่นจะอยู่หากแกไม่สั่งให้ตาย”
ฉันสั่งไม่ได้หรอก...
นภาเถียงขึ้นในใจ แต่ก็ไม่ได้ปริปาก ฉันเป็นนภามีหน้าที่เพียงปกป้องผู้พิทักษ์
คอยโอบอุ้มทุกสภาพลมฟ้าอากาศเอาไว้ แต่ว่า
ก็ไม่ได้มีสิทธิ์พอที่จะสั่งลมให้พัดไปในทิศทางที่ใจต้องการได้
ที่ผ่านมา
วายุลูกนั้นได้พัดตามใจของเขาเอง ไม่ใช่เพราะคำสั่งบังคับอะไรจากผู้เป็นบอส ที่ผ่านมาตลอดก็เพราะความตั้งใจของวายุเอง
นภาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวอะไรทั้งสิ้น!!!
อย่างนั้นใช่มั้ย...โกคุเดระคุง?
“จะใช่อย่างนั้นแน่หรือ?
อัลโกบาเลโน่รีบอร์น”
ชายอาวุโสเอ่ยถามพลางทอดสายตามองทะลุมายังด้านหลังที่นักฆ่าอันดับหนึ่งยืนอยู่
ในใจนึกชื่นชมอยู่เล็กน้อยที่สามารถสอนลูกศิษย์จากสามัญชนให้กลายเป็นบอสมาเฟีย
อัลโกบาเลโน่ในชุดสูทตวัดยิ้มก่อนจะตอบอย่างชัดเจน
“คนอื่นฉันไม่รู้....แต่ถ้าเป็นโกคุเดระล่ะก็ฉันรู้....อย่าคิดว่าฉันสอนแต่สึนะคนเดียวสิ”
ชายอาวุโสพยักหน้ายิ้มรับรู้ก่อนจะเบือนสายตามามองคู่ต่อสู้ต่างวัยของเขาอีกครั้ง
“เรื่องทุกอย่างเอาไว้ถามจากปากเด็กคนนั้นเอง...แต่ต้องหลังจากผ่านฉันไปก่อนล่ะนะ
สึนะโยชิคุง” ไม่ทันขาดคำชายอาวุโสก็ทะยานเข้าประชิดตัวนภาแห่งวองโกเล่อีกครั้งหนึ่งด้วยความเร็วที่รอบก่อนเทียบไม่ติด
มือทั้งสองข้างของนภายันอาวุธเอาไว้จนสั่น ขาที่ยันพื้นเอาไว้เริ่มถอยครูดจากแรงดันเบื้องหน้าที่เริ่มจะรับไม่ไหว
หนัก...หนักเหลือเกิน
แรงเยอะอะไรขนาดนี้นะ!!!
จะสู้ไม่ไหวหรอ...ฉันจะไม่สามารถเอาชนะได้งั้นหรอ...
ดวงตาของนภาเริ่มพร่ามัวจากเหงื่อที่ไหลย้อยเต็มหน้า
สัมผัสถึงความหนักหน่วงของแขนที่ได้รับ สัมผัสถึงความระคายเคืองของดวงตา
สัมผัสถึงความอ่อนล้าของร่างกาย ทุกๆอย่างกำลังจะให้เขายอมรับว่า...
ไม่ไหว...
สายตาทุกคู่เฝ้าจับจ้องนภาด้วยความเป็นห่วง
ภาวนาว่าจะมีดวงไฟสีส้มบริสุทธิ์แห่งความหวังลุกโหมขึ้น
พวกเขาไม่อยากให้การมาที่นี่ต้องเสียเปล่า ไม่ว่ารางวัลของการต่อสู้จะเป็นสิ่งไม่น่าประทับใจ
แต่สุดท้ายก็ยังตัดสินใจไม่ได้จนกว่าจะได้รับมันมา...
ต้องยอมรับความเป็นจริง...
ฉับพลันร่างกายของนภาก็รู้สึกถึงความเบาประดุจปุยนุ่น
พลังไม่รู้มาจากไหนเอ่อล้นผ่านร่างกายรวบรวมไปอยู่ที่ฝ่ามือ
สมาธิจมดิ่งตามพลังของมัน
เลือดในกายไหลเวียน ไหลไปทั่วทุกสรรพางค์
สายเลือดของวองโกเล่...กำลังจะฟื้น!!!
เปรี๊ยะ....เปรี๊ยะ
อาวุธที่นภายันอยู่ค่อยๆกลายเป็นของแข็งสีใสไปทีละน้อยๆ
จนในที่สุดน้ำแข็งของวองโกเล่ก็ได้กลืนกินอาวุธจนหมดสิ้นอย่างน่าอัศจรรย์
ชายอาวุโสตะลึงถึงกับปล่อยอาวุธลงพื้น นัยน์ตาเบิกกว้าง
โพละ!
เสียงแตกของมันไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็ง
แต่ทว่าเศษน้ำแข็งเล็กๆน้อยๆนั้นยังคงรูปร่างราวกับแก้วแวววาว
ไม่มีท่าทีว่าจะละลาย ไม่ผิดแน่
นี่คือน้ำแข็งของวองโกเล่ที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น...
เดือดทะลุจุดศูนย์!
ไม่ทันได้ตกใจอะไรนานนัก
มือข้างขวาของนภาแห่งวองโกเล่กำแน่นแล้วซัดเข้าใส่ชายอาวุโสจนกระเด็นไปกระแทกกับเสาต้นใหญ่แล้วหล่นลงพื้น
แม้จะไม่มีบาดแผลภายนอกมากนัก แต่เขาก็น่าจะช้ำใจนขยับตัวไม่ได้
บอสแห่งวองโกเล่ถอนหายใจก่อนจะขยับเท้าสองถึงสามก้าว
ถุงมือข้างหนึ่งถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น X-Glove ธรรมดา
แต่อีกข้างก็ยังคือ X-Glove vertion Vongola ring ไฟธาตุนภาสีส้ม
พลังไฟอ่อนถูกปล่อยออกไปข้างหลังเพื่อค้ำจุนร่างกาย ส่วนอีกข้าง...
“Operation X”
“Roger boss”
คอนเทคเลนส์มีสเกลขีดจำกัดทั้งสองข้างเพื่อบ่งบอกปริมาณไฟทั้งซ้ายขวา
ทุกๆเข็มที่ชี้สเกลให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจะย้ำนภาแห่งวองโกเล่ทุกวินาที...
เขาไม่มีเวลามาเปลี่ยนใจ
หากดวงไฟลูกนี้ถูกปล่อยออกไป ไม่รับประกันความปลอดภัยของชายอาวุโสเบื้องหน้า
นี่เขากำลังจะทำร้ายพ่อบังเกิดเกล้าของมือขวาที่เคารพเขายิ่งชีวิต
“กล้าหาญเหลือเกิน
วองโกเล่รุ่นที่สิบ สมกับเป็นคนที่ฮายาโตะยอมฝากชีวิตเอาไว้”
น้ำเสียงชื่นชมและอบอุ่นนั่น
เขายังจำได้...ไม่มีวันลืม
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
แต่แค่อยากจะเห็นหน้าของวองโกเล่รุ่นที่สิบกับตาก็แค่นั้น เจ้าฮายาโตะนี่โชคดีนะ
ที่ได้อยู่กับคนวิเศษแบบเธอ”
การได้สัมผัสมือที่อบอุ่นและใจดี
ณ ตอนนั้น นภาแห่งวองโกเล่ไร้ข้อกังขาในตัวของชายอาวุโสคนนี้
จนถึงตอนที่ทราบว่ามือขวาของเขาหายตัวไป
เขาได้ยืนยันกับตัวเองว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่เชื่อเด็ดขาด...
ตอนนี้...ก็เช่นกัน...
กำลังไฟในมือของนภาค่อยๆอ่อนลง
อ่อนลงจนดับมอดพร้อมๆกับไฮเปอร์โหมดที่หลุดออกจากร่าง มือทั้งสองข้างถูกปล่อยลงข้างตัว
กลายเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีผมชี้ฟูแววตาสีน้ำตาลแบบเดิมที่ชายอาวุโสเคยเห็นครั้งแรก
ดวงตาที่อ่อนโยนไม่เหมาะกับการเป็นบอสมาเฟียแห่งวองโกเล่
ความใจอ่อนอย่างแก้ไม่ได้ไม่ใชวิสัยของคนที่เดินเส้นทางนี้
“คุณลุงน่ะ...”
“...”
“ตั้งใจจะลักพาตัวโกคุเดระคุงตั้งแต่ตอนแรกจริงๆหรอครับ”
แต่ทว่ามีพลังบางอย่างที่ยากเกินจะสัมผัส...
ลูกโชคดีจริงๆด้วย...ฮายาโตะ
ชั้นห้า
ห้องพักพิเศษ
“อืม...”
ใบหน้าหวานมุ่นหัวคิ้วเมื่อแสงสว่างที่เล็ดลอดจากผ้าม่านเข้าสู่นัยน์ตา
อัญมณีสีมรกตที่มันหลับไหลภายใต้เปลือกตาบางค่อยๆลืมขึ้น
อย่างแรกที่เห็นคือเพดานสีขาวสะอาด ผ้าม่านสีครีมไหวน้อยๆตามลม
ห้องกว้างราวกับห้องนอนของผู้ดีมีสกุล
ร่างโปร่งบางชันตัวลุกขึ้นช้าๆแล้วกวาดตามองรอบๆตัวเอง
ที่นี่...ที่ไหน
ไม่มีสิ่งที่ร่างบางจะจำได้แม้แต่ชิ้นเดียว
เขาอยู่ที่ไหน แล้วทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ ทุกอย่างล้วนแปลกตา
“อึก..”
มือบางยกขึ้นกุมหัวตัวเองที่มันเริ่มปวด ปวดหนึบๆเหมือนกับคนที่สลบมานาน
แต่ทว่าตอนนี้เขาจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว
“ให้ตายสิ...นึกว่าจะหลับนานกว่านี้ซะอีก...ฮายาโตะ”
เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นจากมุมมืดเรียกใบหน้าหวานให้หันไปมอง
ทันใดก็ปรากร่างของผู้ชายชุดกาวน์สีขาว หนวดเคราปะหล่อมปะแหล่มและทรงผมชี้ๆออกข้าง
ร่างโปร่งบางเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย ในหัวสมองไม่หลงเหลืออะไร
ดังนั้นคงไม่แปลกใจหากว่าเขาจะถามว่า...
“นายเป็นใคร”
หมอแห่งโลกมืดชะงักนิดหน่อยก่อนจะถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ข้างเตียง
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าต้องฟื้นมาแล้วเป็นแบบนี้แต่ก็อดจั๊กจี้ไม่ได้ที่จะถูกลูกศิษย์ถามว่าเป็นใคร...
คิดว่าพวกวองโกเล่คงจะไม่ต่างกัน...เผลอๆหนักกว่านี้แน่ๆ
“ฉันชื่อชามาล
แกตอนเด็กเรียกฉันว่าดร.ชามาล แต่ตอนนี้เรียกชามาลเฉยๆ”
“ฉันเคยรู้จักนาย?” คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันอย่างสงสัย
พยายามนึกทบทวนแต่ก็นึกไม่ออกว่าไปรู้จักคนหน้าตาแบบนี้ตั้งแต่ชาติภพใด
อย่างว่าตอนนี้ร่างโปร่งบางไม่ต่างอะไรกับกระดาษสีขาวที่รอคอยคนมาเติมเรื่องราวให้ใหม่
มันก็อยู่ที่ว่าคนแต่งเติมจะเติมเรื่องราวของชีวิตให้ใหม่
หรือว่าจะเขียนเรื่องเก่าขึ้นมาอีกครั้ง...
แต่ทุกอย่างมันอยู่ที่กระดาษเป็นผู้เลือก...
หมอแห่งโลกมืดมองลูกศิษย์ก่อนจะเอนตัวกับเก้าอี้ด้วยท่าทีสบายๆ
แล้วยักไหลอย่างไม่ยี่หระ
“เอาเถอะ
เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันรู้จักแก แล้วแกก็รู้จักฉัน แค่นั้น โอเคมั้ย”
ร่างโปร่งบางไม่ตอบ
ยังคงมองไปรอบๆแล้วเอ่ยปากถามอีก
“ที่นี่คือที่ไหน”
“บ้านของแก
แล้วแกก็คือนายน้อยของที่นี่ นายน้อยของฟิลบาโลเน่...” มันเป็นคำตอบที่หมอแห่งโลกมืดกลืนคำว่า
‘เคย’ เอาไว้ ไม่สามารถพูดออกไปได้
ร่างโปร่งบางมองนิ่งๆไม่ได้มีท่าทางตื่นเต้นหรือดีใจ
คำตอบที่ได้รับมาไม่รู้ทำไมมันรู้สึกว่าไม่ใช่อย่างน่าประหลาด
ร่างโปร่งบางรู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์คิดอะไรแบบนั้น
แต่ความรู้สึกที่ว่ามันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ เขาไม่ได้มีความรู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น
เส้นใยบางๆที่ชื่อว่าผูกพัน
แต่มีเส้นใยที่หนากว่ามาบดบัง
ครืน...
แผ่นดินเกิดการสั่นสะเทือนจนร่างโปร่งบางต้องหาที่ยึดเกาะ
มันสั่นอยู่พักใหญ่ เสียงเอ็ดตะโรดังแว่วๆอยู่ด้านนอก
ดูท่าว่าน่าจะมีแต่ที่เขาอยู่ที่เดียวที่สงบ
“ข้างนอกมีอะไร...ชามาล”
ร่างโปร่งบางเรียกชื่อคนที่เพิ่งรู้จักเป็นครั้งแรก หมอแห่งโลกมืดสบตากับลูกศิษย์อย่างชั่งใจก่อนจะตอบ
เขาไม่ได้มีนิสัยชอบปิดบัง ครูที่สอนลูกศิษย์ผิดๆจรรยาบรรณจะค้ำคออย่างน่ารำคาญ
“คนรู้จักของแก...กำลังสู้กันอยู่
คนหนึ่งเป็นพ่อของแก แต่อีกกลุ่มหนึ่งคือบอสและเหล่าผู้พิทักษ์ของวองโกเล่”
วองโกเล่…?
ทำไมกัน...ความรู้สึกอะไร
ความรู้สึกคุ้นเคย ผูกพัน เหมือนกับว่าเคยรู้จัก แต่จำไม่ได้ นึกไม่ออกเลย
มือบางๆที่เย็นชืดไปด้วยเหงื่อกระตุกแขนเสื้อหมอแห่งโลกมืดเบาๆ
ก่อนจะเอ่ยคำขอเป็นครั้งแรกที่ฟื้นขึ้นมา
แต่มันเป็นคำขอที่บรรจุไปด้วยความหนักแน่น จริงจัง
“พาฉันไปพบวองโกเล่กับพ่อหน่อย
ฉันอยากเจอพวกเขา...”
นั่นสินะ...
ตอนนี้เขาก็เหมือนกับกระดาษขาว
รอคนเอาเรื่องราวมาแต่งแต้ม
หน้าสุดท้ายของปลายกระดาษจะจบแบบสุขนาฏกรรม
หรือโศกนาฏกรรม
เขาจะเป็นคนเลือกเอง...
TBC…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น