Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 5 สูญเสีย
กริ๊งงงงงงงงงงงง......กริ๊งงงงงงงงงงงง......
“อืม...”
กริ๊งงงงงงงงงงงง......กริ๊งงงงงงงงงงงง.......
“... หนวกหูน่า”
กริ๊งงงงง
“บอกว่าหนวกหูไงล่ะฟะ อยากพังนักเรอะ!!!!” ฝ่ามือบางคว้าหมับไปที่ต้นตอของเสียงบาดแก้วหูดังสนั่นตั้งแต่เช้า
ผมสีเงินยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ดวงตาปรือจัดแทบไม่อยากจะเปิดรับกับวันใหม่
และที่สำคัญเหนืออื่นใด
ตอนนี้ตัวเลขที่หน้าปัดนาฬิกาไม่ได้บ่งบอกว่ามันเป็นเวลาเช้าเหมือนที่ตื่นทุกวัน
“เจ็ดโมงห้าสิบ...”
อืม...ต้องไปตลาดอาวุธไปเช็คยอดสินค้าให้รุ่นที่สิบตอนแปดโมงสิบ
เหลืออีกยี่สิบนาที
ยี่สิบนาที
ยี่สิบ...
“หา!!!!!! จะ
จะ เจ็ดโมงห้าสิบ เหลืออีกยี่สิบนาที บรรลัยแล้วฉัน!!!!!!!”เหมือนกับเอาน้ำเย็นมาราด
ร่างโปร่งบางรีบกระวีกระวาดลุกจากเตียง แต่ทันทีที่ยืน
ดวงตาสีเขียวมรกตก็เห็นโลกหมุนซะเหมือนในแดนเนรมิต
หัวเหมือนจะมีอะไรมากดทับจนปวดแทบแตกเป็นเสี่ยง ๆ
แถมพอแตะหน้าผากตัวเองดูก็ร้อนกว่าปกติ กระบอกตาปวดจนลูกตาจะแตก
ชัดเลย...
ฉันเป็นไข้ ดูเหมือนจะหนักด้วย
แต่เหลืออีกยี่สิบนาทีฉันต้องไปทำงาน
ไม่ใช่ฉันแล้วไอ้บ้าที่ไหนจะเสล่อมาทำ
จะเป็นจะตายก็ช่างสิ
คิดว่ามือขวาชนะหวัดไม่ได้เรอะ
แค่นี้จิ๊บจ๊อยเฟ้ย!
สองนาทีผ่านไป
ร่างโปร่งบางมาอยู่ในชุดสูทสีดำหน้ากระจกถึงจะอาบน้ำแล้ว(?) แต่หัวเจ้ากรรมก็ยังไม่บรรเทาความปวดไปเลย
พอมาส่องกระจกก็ยิ่งทำให้รู้ว่าร่างกายของตัวเองแย่ยิ่งกว่าผีตายซาก
ผิวขาวซีดเหมือนขาดเลือดมาแรมปีแต่ก็มีสีแดงเรื่อๆจากพิษไข้เจือไปทั่วใบหน้า
ซอมบี้ชัดๆ...
มือขาวๆรูดไทผูกคอขึ้นเป็นอันเสร็จสิ้นก่อนจะเดินไปกอบเอกสารที่นั่งทำเมื่อคืนแต่ยังไม่เสร็จขึ้นมาแล้วไปบิดลูกบิดประตู
แกร๊ก แอ๊ดดดดด....
ทันทีที่ประตูเปิดออกก็มีคนตัวเล็กๆผมสีน้ำตาลฟูในชุดสูทยืนรออยู่แล้ว
ในอ้อมแขนมีเสื้อนอกของร่างโปร่งบางพาดอยู่
ทำเอาร่างโปร่งบางผงะจนเกือบล้มหงายหลัง
“อรุณสวัสดิ์ โกคุเดระคุง”
“อ่ะ! ระ
รุ่นที่สิบ อรุณสวัสดิ์ครับ” มือขวาโค้งตัวงามๆให้ผู้เป็นบอสหนึ่งที
แต่ในใจก็คิดอีกแบบหนึ่ง ตึกวายุไกลจากหอบัญชาการจะตาย แล้วทำไมรุ่นที่สิบถึงต้องถ่อมาถึงที่นี่ด้วยเนี่ย
ถ้าไม่ใช่...
ผมตื่นสายใช่มั้ยครับรุ่นที่สิบ!!!
“เอ่อ ผมกำลังจะไปหอบัญชาการพอดี
รุ่นที่สิบไม่เห็นต้องลำบากมาถึงนี่เลยนะครับ” พูดไปก็เบือนหน้าหนีไปด้วย
นอกจากเรื่องที่ตื่นสายแล้ว จะไม่ให้นภาแห่งวองโกเล่รู้เด็ดขาดว่าตอนนี้เขาเป็นไข้
“ไม่เป็นไรหรอกฉันเอาเสื้อนอกมาคืนโกคุเดระคุง
แล้วก็มาเอางานด้วย เพราะมันหายไปจากโต๊ะฉัน ก็เลยคิดว่าน่าจะอยู่ที่นาย”
“อ่ะ อ่อ หรอครับ” สมกับเป็นรุ่นที่สิบ เดาออกหมดเลย
“เป็นอะไรหรือเปล่า
หน้านายแดงๆแปลกๆชอบกล”นภาแห่งวองโกเล่เริ่มสังเกตเห็นสีแดงจางๆบนใบหน้าของมือขวาที่เจ้าตัวพยายามซ่อนเต็มที่
แถมจะยังฐานรองดวงตาสีมรกตมีสีคล้ำ ๆ อีก
“ไม่สบายหรอ โกคุเดระคุง”
“อ่า ไม่ใช่นะครับ ไม่ใช่” มือขวารีบโบกมือเป็นระวิง ก่อนจะฉีกยิ้มสดใสให้กับนภาแห่งวองโกเล่
“ผมสบายดีครับ
วันนี้ก็แค่ไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก” มันเป็นความจริงนะ
โกหกที่ไหนกัน ก็นาฬิกาปลุกมันไม่ยอมปลุกเสียงดังๆเอง
มาได้ยินอีกทีก็ปลุกรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้
ผมไม่ได้โกหกรุ่นที่สิบนะคร้าบ...
“ไม่จริงหรอก”
นภาแห่งวองโกเล่ดัก ไม่ใช่ด้วยสัญชาตญาณหรือลางสังหรณ์อะไรทั้งนั้น
เห็นกันอยู่จะจะว่าสภาพมันแย่แค่ไหน แม้แต่เด็กสามขวบก็ยังรู้ว่านายไม่สบาย
“อยู่เฉยๆนะ โกคุเดระคุง” นภาสั่งพร้อมยื่นมือเล็กๆ มาแตะหน้าผากของร่างโปร่งบาง ความร้อนในร่างกายทำให้มือเล็กชักออกทันที “โห ตัวร้อนจี๋เลย
แบบนี้นายจะยังออกไปอีกหรอ”
“พะ พูดอะไรกันครับ ตัวร้อนที่ไหน
ผมไม่เห็นรู้สึกเลย” มือขวาปากแข็งยังคงยืนยันด้วยสีหน้าปั้นว่าไม่เป็นอะไรสุดขีด
ทั้งที่ความจริงมันฝืนซะจนใครต่อใครดูออก
ก็เป็นซะแบบนี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยเปลี่ยน...
นภาแห่งวองโกเล่ส่ายหัวก่อนจะยื่นเสื้อนอกให้กับมือขวาแล้วเอาแฟ้มมาถือแทน
มืออีกข้างล้วงกระเป๋ายกมือถือเพื่อกดเบอร์โทรหาใครบางคน
“คนดูแลตึกวายุสินะครับ
วันนี้โกคุเดระคุงไม่สบายดูแลเขาให้ด้วย อย่าให้เขาออกไปไหนนะ...อ่า...ขอบคุณครับ”คำสั่งของนภาแห่งวองโกเล่ที่โทรไปยังเลขาส่วนตัวของร่างโปร่งบางทำเอามือขวาถึงกับซีดหนักกว่าเก่า
น้ำตาแทบไหลพรากๆ
“เอร๊ยยยยยยยยยย รุ่นที่สิบ!!!! ไหงพูดแบบนั้นล่ะคร้าบบบบบ” ไม่จริงน่า!! ไม่เอานะครับรุ่นที่สิบ ขังผมไว้ในตึกเนี่ยนะครับ!!!
“ก็นายไม่สบาย
วันนี้ก็ไม่ต้องไปทำงาน นอนอยู่ที่ตึกนี่แหล่ะโกคุเดระคุง
เดี๋ยวฉันให้ฟูตะมาอยู่ป็นเพื่อนนะ”นภาแห่งวองโกเล่ไม่พูดเปล่ายังดันหลังร่างโปร่งให้กลับเข้าไปในห้องอย่างเดิมแถมยังปิดประตูแล้วล็อกจากครั้งนอกทันที
ความจริงก็ไม่ต่างกับจะขัง ช่วยไม่ได้ เพราะป็นคนนิสัยแบบนี้นี่แหล่ะ
ขังถึงจะดีที่สุด
ปังๆ
“
รุ่นที่สิบคร้าบ ปล่อยผมออกไปเถอะ ได้โปรดล่ะคร้าบ ผมไม่เป็นอะไรจริง ๆ
นะครับรุ่นที่สิบ”
“นอนพักซะนะ โกคุเดระคุง จะได้หายไวๆ”
“รุ่นที่สิบ!
ไม่เอาอ้ะ เปิดประตูเถอะครับผมขอร้อง รุ่นที่สิบ รุ่นที่สิบ!!!!”ร้องเรียกยังไงก็ไม่เป็นผล
หน้าประตูมีแต่ความว่างเปล่าไม่มีใครยืนอยู่แล้ว
ร่างโปร่งบางได้แต่กระวนกระวายเหมือนคนใกล้ลงแดง
เพราะแกแท้ๆเลย...ไอ้หวัดบัดซบเอ๊ย!
ฮึ่ยๆ
แค่ทำงานดึกไม่กี่วันหวัดก็กิน ฉันนี่มันไม่สมกับเป็นมือขวาเอาซะเลย แล้ววันนี้จะทำอะไร
ให้นอนอยู่กับเตียงเรอะ...ไม่มีในพจนานุกรมของโกคุเดระ
ฮายาโตะหรอก
ถึงจะเป็นหวัด
แต่ฉันต้องทำอะไรบางอย่างให้ได้น่า...
หอบัญชาการ
วองโกเล่แฟมิลี่
“หือ
วองโกเล่ครับ นี่ก็จวนจะได้เวลาแล้ว ทำไมโกคุเดระคุงถึงยังไม่มาล่ะครับ”
ผู้พิทักษ์ผมสีน้ำเงินไพลินเอ่ยถาม
เมื่อนภาแห่งวองโกเล่เดินเข้ามาในหอบัญชาการ
พร้อมกับผู้พิทักษ์เมฆาที่ยืนกอดอกพิงเสาอยู่
“เขาไม่สบายน่ะ” นภาตอบ
ทำให้สองผู้พิทักษ์ตกใจขึ้นมานิดๆ พอที่จะทำให้เมฆาที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกระตุกยิ้มที่มุมปาก ถ้าเดาอารมณ์ไม่ผิด
น่าจะรู้สึกสมน้ำหน้าทั้งคู่
ยอดเยี่ยมจริงๆ...แต่ละคน
“อ้าว...แล้วจะทำยังไงล่ะครับเนี่ย
ตลาดอาวุธน่ะ ถ้าไม่ไปเช็ควันนี้ ก็จะเช็คไม่ได้ไปเป็นอาทิตย์เลยนะครับ”
“นั่นสิ”
นภาแห่งวองโกเล่เริ่มใช้ความคิดซึ่งปกติจะไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่“คราวนี้คุณดีโน่ไปด้วยก็จริงแต่ก็มียอดที่คาบัคโรเน่ต้องเช็คเหมือนกัน
คงจะมาเช็คให้เราเหมือนเก่าไม่ได้”
“อ้อ
งั้นคงต้องส่งใครไปแทนสินะครับ คึหึหึหึ”
สายหมอกเสสนอความคิดกลั้วเสียงหัวเราะชวนน่าขนพอง
ดวงตาสองสีที่ตัดกันเหลือบมองผู้พิทักษ์อีกคนอย่างเป็นนัยๆ“จริงมั้ยครับ
ฮิบาริ”
คนที่ถูกเรียกชื่อตวัดดวงตาสีรัตติกาลคมกริบอย่างเชือดเฉือน
เสียงกุกกักๆของทอนฟาดังขึ้นเหมือนเตือนถึงสัญญาณความตายกับข้อเสนอที่ไม่เข้าหู
“เอ่อ
หมายถึงจะให้คุณฮิบาริ...”
“ฉันไม่มีเวลาไปทำงานสุมหัวให้กับนาย!”
“อี๋ย์
เข้าใจแล้วครับ ผะ ผมก็ไม่ได้คิดแบบนั้นอ่ะ” นภาแห่งวองโกเล่เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
กับคำตอบที่ไม่ได้คิดของเมฆา
แต่คำตอบนั้นเรียกรอยยิ้มเหยียดๆ ของคู่อริที่กินกันไม่ลงในบัดดล
“คึหึหึหึ
ฮิบาริไม่อยากทำก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับวองโกเล่ เดี๋ยวผมไปเองก็ได้”
ผู้พิทักษ์แห่งสายหมอกยิ้มหวานให้นภาแห่งวองโกเล่ แล้วเหลือบสายตามองอีกคนหนึ่งอย่างท้าทาย
ปึ้ด!
เสียงความอดทนของใครบางคนขาดสะบั้น
ไอ้พืชล้มลุก!
“ซาวาดะ
สึนะโยชิ” เมฆาเรียกนภาแห่งวองโกเล่น้ำเสียงทุ้มต่ำที่พยายามกดอารมณ์เอาไว้จนแทบสั่น
“คะ ครับ
คุณฮิบาริ” น่ากลัวจริงว้อย
ตอนคุณฮิบาริโดนมุคุโร่ยั่วจนโกรธเนี่ย จิตสังหารแกระแทกซะเจ็บไปหมดเลยอ่ะให้ตายสิ!
ผมไม่อยากจะดูมวยแต่เช้า ได้โปรดอย่ามีเรื่องกันซักวันเทอะ
“เมื่อกี้นายจะบอกให้ฉันไปแทนไอ้สัตว์กินพืชใกล้ตายนั่นใช่มั้ย”
“อ่ะ...ครับ
แต่ถ้าคุณฮิบาริไม่อยากไปผมก็ไม่...”
“ฉันจะไป
เท็ตสึ! ได้ยินแล้วใช่มั้ย เตรียมรถเดี๋ยวนี้” เมฆาพูดแทรกขึ้นมาทันทีที่นภาแห่งวองโกเล่ยังพูดไม่จบแต่ก็ทำให้ทุกคนตกใจแทบหงายหลังตึง
เว้นไว้ซะแต่สายหมอกที่ปล่อยเสียงหัวเราะตามฉบับออกมาจากลำคออย่างถูกใจ
ปกติเมฆาคือสิ่งที่ล่องลอยไปตามใจปรารถนา
แต่วันนี้กลับหวนทำตามใจคนอื่น ด้วยความที่ไม่อยากแพ้สิ่งที่มีสถานะเดียวกัน
รูปร่างเหมือนกัน แม้ต่างระดับ...แต่ความสามารถกลับเทียบเท่า…
มีอยู่อย่างเดียวที่ทนไม่ได้จริง
ๆ
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อน...หรือตอนนี้
“คึหึหึหึ
ไปดีมาดี... นะครับ”
ตึกวายุ
ฟึ่บ
ครืดดดดด....
“โหว
ยังดีอยู่แฮะ ทั้งที่ไม่เปิดนานแล้วนี่นะ”
ร่างโปร่งบางผู้ถูกขังตายเอาไว้ในห้องแต่เช้ายิ้มกริ่มเมื่อเปิดช่องทางลับตรงพื้น
ที่สร้างเอาไว้นานแล้วโดยวิศวกรประจำแฟมิลี่เผื่อใช้เป็นทางหนีฉุกเฉินแต่เพราะมันแทบไม่เคยเปิดเลยซักครั้งฝุ่นเลยเกาะหนาเตอะ
“ทีนี้ก็เหลือแต่เดินลงไปนั่นแหล่ะ”เหอะ
เรื่องอะไรจะยอมอยู่เฉยๆ คอยก่อนนะครับรุ่นที่สิบ ผมจะไปช่วยงานท่านเดี๋ยวนี้แหล่ะ!!!
“อื๋อ?
มืดจังเลย สวิซต์ไฟอยู่ไหนน่ะ”
มือบางๆคลำไปตามผนังที่เย็นเฉียบแล้วสัมผัสก็ไปสะดุดกับอะไรนูนๆก่อนจะกดมันดังแป๊ก
พรึ่บ!
โคมไฟสีส้มสลัวๆ
มีเรียงรายตามทางเดินเหมือนในทางเดินตามปราสาทผีสิงไม่มีผิด ร่างโปร่งบางเดินไป
มองซ้ายมองขวาไป ทางก็ยาวคดเคี้ยวน่าดูแต่ไม่รู้จะไปโผล่ที่ไหน
ไม่เคยถามจางนีนิเอาไว้ซะด้วย เดินตรงไปเรื่อยๆ คงหาทางออกเจอล่ะมั้ง
“หือ?
บันได!?”
ร่างโปร่งบางหยุดชะงักลงเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นบันไดเหล็กสนิมเกาะตามอายุ
ที่ไต่ขึ้นไปข้างบนได้แต่อีกทางหนึ่งแยกไปดูเหมือนจะไปโผล่ไกลกว่าเดิม เลือกทางไหน...
แน่นอน
ทางบันไดนี่แหล่ะ จะเดินไปไหนไกล แค่นี้ขาก็แทบลาก
ร่างโปร่งบางปีนบันไดอย่างคล่องแคล่วแล้วเลื่อนแผ่นฝ้าให้เปิดออก
แสงสว่างภายนอกสาดส่องจนแสบตา
“ทะ
ที่ไหนวะเนี่ย” สิ่งที่อยู่ล้อมรอบก็คือหน้าประตูบานหนึ่งกับพื้นพรมสีแดงกำมะหยี่
สองข้างเป็นผนังที่ถูกตกแต่งด้วยรูปภาพสิ่งมหัศจรรย์ของโลกทุกสมัย ไหนจะไม้ดอกไม้ประดับที่อยู่ในกระถางอีก
สภาพแบบนี้...
คุ้นๆ นะ
“อ๊ะ! พี่ฮายาโตะ ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ครับ”
เสียงๆหนึ่งเรียกดวงตาสีมรกตให้หันไปมอง
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลทองเดินมาพร้อมกับถาดยา และถ้วยใส่ข้าวต้มร้อนๆจนควันลอยกรุ่น
“ฟูตะ!!!”
“ครับ
มีอะไรหรือเปล่า พี่ฮายาโตะ”
“ที่นี่...ที่ไหนหรอ”
“หา...?
พี่ฮายาโตะเป็นอะไปหรือเปล่าเนี่ย หรือไม่สบายจนเบลอไปเลยน่ะฮะ”
เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบๆ
พร้อมสำรวจหน้าตาของร่างโปร่งบางเป็นการใหญ่เหมือนกับคำถามนั้นมันไม่สมควรจะถามเลย
“ฉันสบายดีน่า...ว่าแต่ที่นี่ที่ไหนน่ะ”ร่างโปร่งบางยังคงเถียงและถามคำถามเดิมจนคนอายุน้อยกว่างงหนักกว่าเก่า
ในใจก็คิดว่าสมองของรุ่นพี่ที่ยืนตรงหน้าเขาผิดปกติไปแน่ๆ
จำไม่ได้แม้กระทั่งที่ทำงานของตัวเอง
“ก็ตึกวายุไงฮะพี่ฮายาโตะ
และตอนนี้พี่ก็ยืนอยู่หน้าห้องพี่นะฮะ” เด็กหนุ่มนักจัดแรงกิ้งบอกแล้วชี้มือไปที่ประตูไม้แกะสลักอย่างดีที่คุ้นตาร่างโปร่งบางอย่างหนัก
ดวงตาสีมรกตเบิกโพลงทันที
“หา!!
หน้าห้องฉัน เป็นไปได้ไงน่ะ!!!”
“ไม่เชื่อก็ดูสิครับ”
เด็กหนุ่มเดินไปเปิดประตูให้ร่างโปร่งบางเห็นภายในห้อง
ตู้หนังสือหลายตู้สูงตระหง่านพร้อมกับโต๊ะทำงานที่เกลื่อนไปด้วยแฟ้มเอกสาร
“ห้องพี่ฮายาโตะแน่ๆใช่มั้ยฮะ”
“อะ เออ” เฮ้ยยยยยย!!!!
ไหงเป็นอย่างนี้ได้ฟะ! จำได้ว่าเดินไปเดินมานานมาก
แล้วไหงมาโผล่แค่หน้าประตูได้ฟะเนี่ย ฮึ่มเจ้า จางนีนิ สร้างทางผิดอีกแล้วใช่มั้ย
อย่าให้พ่อเจอนะ จะเป่าให้ดับเลย!
“พี่ฮายาโตะ
ทานข้าวก่อนนะฮะ แล้วค่อยทานยา”
“นี่ฟูตะ
ใครไปตลาดอาวุธแทนฉันน่ะ”
ร่างโปร่งบางเอ่ยปากถามเผื่อว่าหายเมื่อไหร่จะแบกหน้าไปขอบคุณซะหน่อย
แน่นอนว่าไอ้สองผู้พิทักษ์ที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดแต่ขี้เกียจเป็นอาจิณไม่มีทางไปแทนเขา
ถึงแม้จะโดนรุ่นที่สิบขอร้องให้ไปก็เถอะ
ฉะนั้น
ก็โล่งใจพอ ขอบคุณใครก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้สองตัวนี่
“อ้อ
คุณฮิบาริน่ะฮะ เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี่เอง”
“พรวด!
แค่กๆๆ” ร่างโปร่งบางสำลักน้ำข้าวต้มทันทีเมื่อฟังคำตอบจากเด็กหนุ่ม
จะว่าตกใจก็ตกใจจะว่าสมน้ำหน้าก็สมน้ำหน้า ทำไมถึงเป็นไอ้หมอนั่นล่ะ
ถึงจะเหลือสองคนสุดท้าย แต่ความเป็นไปได้ที่จะเป็นมุคุโร่ก็สูงกว่าเยอะ “หมอนั่นนึกยังไงถึงได้ไป!!”
“อืม...ก็คงจะโดนคุณมุคุโร่ยุล่ะมั้งฮะ
เหตุผลมีอย่างเดียวแหล่ะ” เหอะ สม!
“แล้วงานอื่นๆ
เอกสารของรุ่นที่สิบที่ต้องเซ็นรับรอง...แฟ้มประวัติของนักฆ่าแก๊งค์ศัตรูที่ต้องไปติดตาม
ไหนจะพื้นที่ที่เสี่ยงจะถูกเข้าบุกรุกแถบนี้อีก งานเยอะชะมัด
แล้วจะให้ฉันนอนอยู่เฉยๆเนี่ยนะ”
ร่างโปร่งบางทิ้งช้อนข้าวต้มลงแล้วทำท่าจะลุกออกจากเตียง
แต่ก็ถูกเด็กหนุ่มกันเอาไว้
“อย่าฝืนสังขารสิ
พี่ฮายาโตะ เอกสารของพี่สึนะ พี่สึนะจัดการหมดแล้ว
ส่วนนักฆ่าของแก๊งค์ศัตรูดูเหมือนคุณรีบอร์นจะให้ลูกน้องไปตรวจสอบให้
ส่วนพื้นที่พี่เบียงกี้ออกไปตั้งแต่เมื่อวานก่อนยังไม่กลับมาเลยตอนนี้ขอแค่พี่ฮายาโตะพักผ่อนให้หายหวัดก็พอ
ส่วนงานก็มีคนทำอยู่แล้วล่ะ ไม่เห็นต้องห่วงเลยนะ”
“ตะ แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ฮะ
พี่สึนะกำชับผมมาอย่างดีว่าให้ดูแลพี่ฮายาโตะด้วย ฉะนั้นวันนี้ถ้าผมยังนั่งอยู่ตรงนี้
พี่ฮายาโตะก็จะลุกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นนะฮะ”
“ไปเดินเล่นได้มั้ย”
“ไม่ฮะ”
“เดินไปหาลูกน้องข้างล่าง”
“ไม่ฮะ”
“แล้วห้องน้ำล่ะโว้ย!”
“ข้อยกเว้นฮะพี่”เออ
นึกว่าจะไม่ให้ไปอีก เพิ่งรู้ว่าการเป็นหวัดนี่มันเลวร้ายยิ่งกว่าติดคุก
มีคนเอาอาหารมาประเคณให้ถึงที่ ไหนจะไปไหนไม่ได้เหมือนล่ามมือล่ามเท้า ให้ตายสิ!
ฉันเกลียดหวัดสุดๆเลย!!!
เวลาผ่านไปจนถึงกลางคืน
มือขวาใช้ชีวิตกับไวรัสในร่างกายจนมาถึงตอนดึก
แต่เพราะได้แรงกิ้งฟูตะมาดูแลทั้งวัน อาการก็พอจะทุเลาลงบ้างแล้วแต่ยังไม่สร่างไข้เท่าไหร่
หัวก็ยังปวดหนึบๆไม่หายและแน่นอนว่าตลอดในช่วงบ่ายจนถึงตอนนี้ร่างโปร่งบางไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนอนหลับ และเมื่อกี้บุรุษพยาบาลจำเป็นก็เพิ่งจะกลับไปนี่เอง
สามทุ่มห้าสิบ...
เอ้อ
ยังไม่ดึกเท่าไหร่ รุ่นที่สิบน่าจะคุยกับคุณรีบอร์นอยู่ที่หอบัญชาการเหมือนทุกวัน
ส่วนมุคุโร่น่าจะหายแซบหายสอยไปข้างนอกตั้งแต่ตอนเย็น
ฮิบาริคงจะนั่งจิบน้ำชาอยู่ที่ฐานทัพ
ไอ้หัวสนามหญ้ากับไอ้วัวบ้าคงยังนั่งปั่นรายงานอยู่
ส่วนไอ้หมอนั่น...
อยู่มีเรื่องไร้สาระทำแต่ละวันไม่มีซ้ำกัน...
ไม่รู้เหมือนว่า
ป่านนี้จะทำอะไร...
ครืด...ครืด...ครืด...
เสียงสั่นดังแว่วมาจากโต๊ะทำงาน
ร่างโปร่งบางเหลือบไปมองอย่างชั่งใจก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเอากุญแจไปไขลิ้นชักแล้วเอาเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่ปิดตายมันตั้งแต่เมื่อวานแล้ววันนี้ยังไม่ได้จับออกมาดูหน้าจอ
Yamamoto
ตายยากจริงนะแก...เอาเถอะ
ถือว่าฉันสงสารและจะทำสัญญาให้มันหมดสิ้นเรื่องสิ้นราวไป จะรับซักครั้งก็ได้
แกโทรมาจนเครื่องจะพังแล้วนี่
“ฮัลโหล”
‘โกคุเดระ!!!
นั่นนายใช่มั้ย’
น้ำเสียงปลายสายร้องดังออกมาเหมือนกับถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง จนคนอีกคนต้องยกหูออก
หือ!
เชื่อเลยไอ้หมอนี่
ขี้หูเต้นระบำหมดแล้วเฟ้ย
“เออๆ
ฉันเอง มีธุระอะไรของแกหา! ถึงโทรมาไม่เว้นแต่ละวัน ว่างนักเรอะ!”
“ฮะๆๆ
ฮะๆๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่านายจะรับโทรศัพท์ ฉันแทบน้ำตาจะไหลเลยแฮะ”
พิรุณหัวเราะร่วนออกมาอย่างไม่ตรงคำถามทำเอาคิ้วเรียวของร่างโปร่งบางกระตุก อยากจะกระซวกคนปลายสายผ่านโทรศัพท์ซะ
“เหอะ
ถ้างั้นฉันจะวางก็ได้ เชิญน้ำตาไหลตามสบายใจ”
“อ๊ะ! เดี๋ยวสิ นายอย่าใจร้ายนักน่า ฉันโทรหานายเป็นร้อยสาย
แต่นายรับแค่สายเดียว ขอคุยนานๆหน่อยจะไม่ได้หรอ”
“อย่าทำเสียงน่าสมเพชนะเฟ้ย!!” ร่างโปร่งบางตวาดแว้ด ก่อนจะทำเสียงเบาลงจนแทบราบเรียบผิดแปลกจากตอนอื่น“เพราะแกนั่นแหล่ะ”
“เพราะฉัน?” พิรุณทวนเสียงสูง “ฮะๆๆ อย่าโยนความผิดน่าโกคุเดระ
ก็นายน่ะ...”
“ไม่ต้องมาโทษฉัน
แกนั่นแหล่ะ เป็นคนสัญญาเองแท้ๆ
รู้มั้ยว่าเมื่อคืนฉันต้องนอนเร็วกว่าปกติเพราะเสียงน่ารำคาญ ของแกดังอยู่ในหู
แต่แกล่ะ เคยทำตามสัญญาบ้างมั้ย! ฉันบอกว่าฉันจะโทรไปหาแกเองทำไมไม่จำหาไอ้งี่เง่า!!!”ร่างโปร่งบางโวยวายออกมาอย่างหมดเปลือกเล่นเอาหอบได้เหมือนกัน
ปลายเสียงเงียบลงถนัดจนได้ยินแต่เสียงหอบของตนเอง
“...”อ่ะ เฮ้ย
อย่าเงียบสิวะ เงียบแบบนี้ฉันเดาอารมณ์แกไม่ถูกนะ
“อะ เฮ้ ไอ้บ้าเบสบอล”
“...”
“ฉัน...ขอโทษ”เสียงของพิรุณดังแผ่วมาจนแทบไม่ได้ยิน
ท่ามกลางความเงียบของคนที่อยู่ในห้องคนเดียวก็พอจะรู้เรื่อง ร่างโปร่งบางเงียบไปชั่วพักหนึ่ง ริมฝีปากบางเม้มกันอย่างคิดหนักจนไม่เห็นสีเลือด
“ขอโทษ?
ขอโทษเรื่องอะไรฟะ”
“ฉันขอโทษ
ฉันไม่นึกว่านายจะทำตามสัญญา คือยังไงดีล่ะ ไม่รู้สิ ปกตินายไม่ใช่คนแบบนี้
ประมาณว่า หัวดื้ออ่ะนะ”
‘คนหัวดื้อ’ ที่ว่าควันแทบออกหู ในเมื่อไม่คิดว่าจะทำแล้วจะสัญญามาทำไม ถึงแม้จะเป็น
คนหัวดื้อ อย่างที่ว่าก็จริง...ไม่เถียง
แต่ร่างโปร่งบางคนนี้ก็ไม่เคยผิดคำพูดกับใคร ในเมื่อสัญญาแล้วก็ต้องทำตามสิ
จะดูถูกกันเกินไปแล้ว!
“โกคุเดระ เอ่อ
นายโอเคนะ จะว่าไปเสียงนายแปลกๆ ไม่สบายใช่มั้ย”
“แกจำได้แม้กระทั่งเสียงในโทรศัพท์ของฉันเลยรึไงน่ะ”
ทำไมต้องมาถาม...ทำไมต้องอยากรู้
“จำได้สิ!
นายไม่สบายจริงๆใช่มั้ย!”
น้ำเสียงของพิรุณเครียดขึ้นทันตาเห็น
ถึงแม้ไม่เห็นหน้าแต่ก็พอเดาได้ว่าใบหน้าที่ยิ้มแย้มตั้งแต่แรกๆเริ่มเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว
ไม่ใช่เรื่องของแกเลย...จะทำเสียงอย่างนั้นทำไม
“ใครว่า!
ฉันสบายดีเฟ้ย อย่างฉันนี่นะจะเป็นอะไรง่ายๆ เอาหัวแม่มือคิดเรอะ!!!”
ไม่ใช่เรื่องของแกแม้แต่น้อย...ร่างกายฉันจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ฉัน
“ไม่จริง! นายไม่สบายแน่ๆ ฉันไม่เชื่อหรอก”
“...”
“โกคุเดระ...”
“โก...คุ...เ..ด..ระ”
เสียงของพิรุณเริ่มจางออกจากโสตประสาทของร่างโปร่งบางทีละน้อยๆ
ไม่ใช่เพราะคลื่นไม่ดีหรือฝ่ายตรงข้ามทำเสียงเบาเองแต่เป็นเพราะตอนนี้ร่างโปร่งบางกำลังจะขาดสติสัมปชัญญะไป
ง่วง...ง่วงจริงๆ
ทำไมนะ
ดวงตาสีมรกตกำลังฝืนให้ลืม
ร่างโปร่งบางสะบัดหัวหลายๆทีเพื่อไล่ความง่วงออกไป แต่ก็ไม่เป็นผล
สมองที่กำลังจะไม่ทำงานประมวลผลได้ว่าไม่น่าจะใช่ความง่วงธรรมดา
ยานอนหลับ...หรอ...
ก็ไม่ได้แตะซักหน่อย
อะไร...อะไรกัน
ตึก...ตึก...ตึก
“สวัสดียามดึกครับ...นายน้อย”
ชายในชุดสูทสีดำสองสามคนค่อยๆเดินเข้ามาหาร่างโปร่งบางก่อนจะโค้งตัวให้อย่างงามราวกับเขาเป็นคนพิเศษ
ภาพที่ดวงตามรกตสามารถฉายได้ตอนนี้เลือนรางจนแทบมองไม่เห็นว่าเป็นคน
ใครน่ะ!!
ศัตรูรึ! เข้ามาได้ยังไง!!!
“ไม่ได้เจอกันก็นานมากแล้วนะครับ
นายน้อยเองก็โตขึ้นมาก”
“พวกแก...เป็นใคร”ดวงตาสีมรกตพยายามฝืนความง่วงมองคนบุกรุกยามวิกาลแต่ทำได้เพียงแค่นี้เรี่ยวแรงและสติไม่มีเพียงพอจะจับอาวุธมาป้องกันตัวได้อีกต่อไป
“ไม่แปลกใจที่นายน้อยจะลืม
ก็ตั้งสิบปีแล้วนี่ครับ ที่นายน้อยหนีออกจากคฤหาสน์” คำตอบของชายฉกรรจ์ทำให้ดวงตาสีมรกตเบิกโพลง มือไม้สั่นเกร็ง
หัวใจเต้นเร็วจนผิดจังหวะ แม้แต่กระบวนการหายใจก็จะพาลหยุดทำงาน
หนีออกจากคฤหาสน์!!!!!
ระ หรือว่า...คนพวกนี้!!!
“ครับ
พวกผมเป็นคนของฟิลบาโลเน่แฟมิลี่ หรือคนของพ่อนายน้อยครับ!” คนของพ่อ!!!
ไม่จริงน่ะ มาได้ไง! แล้วที่เราง่วงโดยไม่ทราบสาเหตุนี่มัน...
“ต้อง...ก..าร..อะ..ไร”
น้ำเสียงของร่างโปร่งบางเริ่มขาดหาย
ความมืดค่อยๆคืบคลานเข้ามาสู่ดวงตาทั้งสองข้างแต่ไม่ได้...จะยังหลับไม่ได้
เผชิญหน้ากับศัตรูแล้วจะหลับไม่ได้...ได้โปรดเถอะ อยู่ต่ออีกนิดเถอะนะ
“อย่าฝืนเลยครับ”
ชายฉกรรจ์เอ่ยขึ้นแล้วล้วงกระเป๋าหยิบน้ำยาขวดใสๆ ออกมา
”นี่เป็นยานอนหลับชนิดพิเศษที่แฟมิลี่คิดค้นขึ้น
ผมแอบมาวางไว้กับโทรศัพท์มือถือของนายน้อย โดนเข้าไปแล้วจะหลับภายในสามสิบวินาที
ไม่มีใครเคยฝืนมันได้เกินสามนาที ตอนนี้นายน้อยโดนไปสองนาทีกว่าแล้ว อีกไม่เท่าไรนายน้อยก็กำลังจะล้มทั้งยืน”
ร่างกายเพรียวบางเริ่มโอนเอนคล้ายต้นอ้อลู่ลม จนทรุดลงกับพื้นพรมสีแดง
ชายฉกรรจ์ย่างกรายเข้ามาเรื่อยๆ
แล้วคุกเข่าลงจนตัวเสมอกับร่างโปร่งบาง ดวงตาสีมรกตสั่นระริกเห็นภาพเลือนราง จางลง...จางลง
จนกระทั่งสติทั้งหมดทั้งมวลดับวูบลง
“หลับให้สบายนะครับ...นายน้อย”
ตุบ..เพล้ง!
เสียงอะไรบางอย่างตกแตกเรียกให้นภาแห่งวองโกเล่หันขวับไปดูทันที
ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจเมื่อสิ่งที่ตกลงมาจนแตกเป็นรอยร้าวใหญ่จนน่ากลัวนั้นก็คือ
กรอบรูป!!!
รูปโกคุเดระคุงนี่
“ให้ตายเถอะเรา
ตกได้อย่างไงน่ะ”นภาแห่งวองโกเล่ย่อตัวลงพร้อมกับเก็บกรอบรูปที่ใส่รูปมือขวาเอาไว้
ในใจก็เกิดความหวาดระแวงว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นตามความเชื่อของคนโบราณสืบกันมา
จะเป็นอะไรมั้ยนะ...
จากที่นี่มองยังไงก็ไม่เห็นตึกวายุแน่ๆ
ถ้างั้นโทรดีกว่ามั้ง
นภาแห่งวองโกเล่คว้าโทรศัพท์แล้วต่อหมายเลขไปที่ตึกวายุทันที
ไม่นานเกินรอก็มีคนรับสาย
“สวัสดีครับ
ตึกวายุครับ”
“เอ่อ
นี่ฉันเองนะ โกคุเดระคุงอยู่มั้ย”
“อ๊ะ รุ่นที่สิบ
คือว่า...” ปลายสายเงียบไปนานพอสมควรจนวองโกเล่รุ่นที่สิบใจคอไม่ดี “ท่านโกคุเดระน่าจะนอนอยู่ข้างบนน่ะครับ
ไฟก็ยังเปิดอยู่ จะให้ผมเรียกมั้ยครับ”
“อ่ะ เอ่อ
ไม่ต้องหรอก รบกวนเปล่าๆน่ะ ขอบคุณนะครับ”
นภาแห่งวองโกเล่ยกหูลงแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก็โล่งใจไปนิดนึงว่าน่าจะอยู่ที่ห้อง
อีกอย่างโกคุเดระคุงก็ไม่สบายนี่นา ไม่ควรจะไปกวนดีกว่า
ยังไงก็ขอให้นายปลอดภัยนะ...โกคุเดระคุง...
ติ๊ง ...
เสียงเปียโนใสพลิ้วราวกับนำเหล็กวาวมาเคาะกับแก้วชั้นดี
หน้าเปียโนปรากฎร่างเด็กผู้ชายตัวเล็กเมื่อเทียบกับเปียโนหลังใหญ่ตรงหน้าผมสลวยสีเงินระข้างแก้มรับกับดวงหน้าเล็กหวานดวงตาสีมรกตเก็มไปด้วยความสนุกสนานของวัยมือเล็กๆ
ไล้กดไปตามคีย์อย่างสนุกสนาน
“ตรงนี้คือฟาชาร์ป”
มือบอบบางของใครบางคนเลื่อนมาจับมือเล็กๆให้ไปกดคีย์ๆหนึ่ง
เด็กชายหันไปมองต้นทางของเสียงคนที่นั่งย่อเข่าลงอยู่ข้างๆเป็นหญิงสาวผมหยักลอนสีอ่อน
ใบหน้าสวยหวานกำลังยิ้มให้เด็กชายอย่างอบอุ่น “เธอชอบเปียโนใช่มั้ย”
“อื้ม
สุดๆเลยล่ะ” เสียงใสตอบรับอย่างมั่นใจเรียกรอยยิ้มของหญิงสาวมากขึ้น
มือบอบบางประคองมือเล็กอย่างแผ่วเบาความรู้สึกราวกับขนนก มองดูแล้ว
นิ้วของเธอเรียวสวยราวกับบรรจงปั้นขึ้นมา
“งั้นหรอ
ถ้าอย่างนั้นฉันจะช่วยจับมือเธอให้นะ”
อบอุ่น...มือของพี่สาวคนนี้อบอุ่นเหลือเกิน...เหมือนเคยได้สัมผัส...
อบอุ่นและคุ้นเคย...
หญิงสาวลูบมือเล็กๆอย่างทะนุถนอม
เหมือนกับรู้จักมือคู่นี้มานานแสนนาน
“การเล่นเปียโนเนี่ยมือสำคัญมากๆเลย
มือของเธอช่างเหมาะกับการเล่นเปียโนจริงๆ”
“สัญญานะเมื่อเล่นเปียโน
อย่าได้ลืมความสุขจากการเล่นเปียโนไปนะ”
“อื้อ!”
รอยยิ้มที่อบอุ่นราวกับเทพธิดา
ฉันไม่เคยลืมเลย...
สัมผัสที่นุ่มนวลและอ่อนโยน...ไม่เคยจางหายไป
น้ำเสียงที่ไพเราะยังคงก้องในโสตประสาทจำได้ทุกถ้อยคำ...
ฉัน...ไม่เคยลืมสัญญาที่ให้เอาไว้เลย...
แน่นอน...รวมทั้งเทพธิดาคนนั้นด้วย...ฉันรอ...รอการกลับมาอีกครั้ง
จนกระทั่ง...
“นี่ๆ
รู้เรื่องหรือเปล่า เรื่องที่แม่ของท่านฮายาโตะถูกฆ่าตายน่ะ!!” แม่ของฉัน...ถูกฆ่าตาย!
“หวา จริงหรอ!
ท่านฮายาโตะไม่ใช่ลูกของแม่ของคุณหนูเบียงกี้หรอเนี่ย!”
“ใช่ซะที่ไหนกันล่ะ
ได้ข่าวว่านายท่านให้ปิดไว้เป็นความลับ ท่านฮายาโตะก็ยังเด็กอยู่เลย”
“น่าสงสารนะ...”
ไม่จริง!
ไม่จริง!!
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!
“ไม่!!!!”
“ตื่นแล้วรึ
ฮายาโตะ” เสียงแหบห้าวเรียกดวงตาสีมรกตให้หันขวับไปมอง ดังสายฟ้าที่ไร้ตัวตนในหัวใจผ่าลงมาดังเปรี้ยง
กล้ามเนื้อเกร็งไปทุกสัดส่วน ดวงตาสีมรกตล้ำค่าเหมือนถูกยึดไม่ให้เคลื่อนไหวแม้แต่จะกลอกไปมา
“ไม่เจอกันนานนะ”
“พ่อ!!!”
TBC…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น