Au.Fic
KHR [805918] อดีตนิรันดร์
อดีตนิรันดร์
Period
Drama
NC-17
คำเตือน
เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ช่วงระยะเวลาที่ดำเนินเรื่องนั้นเป็นการผสมผสานระหว่างยุคสมัยจริงในประวัติศาสตร์ผสมผสานกับจินตนาการของผู้แต่ง
ดังนั้นไม่สามารถใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
และนี่คือไฟท์บังคับ//ขึงขัง หากท่านใดยังไม่ได้อ่านภาคปฐมบท
ปฐพีแห่งศักดิ์ ขอเชิญให้จิ้มอ่านก่อนที่จะมาเรื่องนี้จ้ะ >>ภาคปฐมบท : ปฐพีแห่งศักดิ์<< มีทั้งหมดสองตอนนะฮับ >..<
-ภาคปัจฉิมบท-
ข้า...ผู้ปราชัยในสงคราม.....ไม่มีสิทธิ์ใดที่จะอ้อนวอนขอ....
แม้แต่ความเมตตา ข้าก็มิได้ปรารถนา....
หากแต่เลือดเนื้อและวิญญาณของข้า...ข้าขอถวายแด่เจ้า....ผู้พิชิตในชัยชนะ
แลกเพียงแค่เจ้าตอบคำถามข้าหนึ่งข้อ...
“ผู้พิชิตในชัยชนะเอ๋ย.....”
“ผืนแผ่นดินแห่งข้านี้.....ยังทำให้เจ้าเคียดแค้นอยู่หรือไม่.......”
ก๊อก.....ก๊อก
เสียงหยาดน้ำใสไหลรินสู่กระบอกไม้ไผ่ปลายตัดแหลมแล้วเอนคว่ำเคาะลงกับโขดหินเป็นจังหวะน่าฟัง
เสียงใบไผ่คมเรียวเสียดสีกันเมื่อมีลมคลอลู่ แสงแดดยามบ่ายสาดส่องกระทบคฤหาสน์ทรงญี่ปุ่นโบราณที่ยังคงความงดงามสมศักดิ์วงศ์สกุลขุนนางชั้นสูงแห่งราชสำนักแม้ว่าจะผ่านไปสักกี่ปี
บ่อน้ำใสที่มองทะลุเห็นก้อนกรวดสีขาวก้นบ่อยังคงมีฝูงปลาคาร์พว่ายเวียน
ริมรั้วยังคงมีต้นดอกซากุระสูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านเรียวแหลมปกคลุมเป็นอาณากว้าง
กลีบซากุระสีชมพูอ่อนร่วงละเลียดไปตามพื้นหินที่ปูอยู่ในสวน
และสิ่งสุดท้ายที่ยังคงความสวยงามดังเดิมก็คือคิคุโนะฮานะที่ปลูกอยู่ในกระถางสลักลวดลายหลายสิบกระถาง
บุปผาแสดงถึงบารมีของราชสำนักดินแดนอาทิตย์อุทัย
ที่นี่คือคฤหาสน์ริมน้ำ
ของราชสกุลโกคุเดระ ขุนนางสูงศักดิ์ผู้ได้ชื่อว่าใกล้ชิดกับสายเลือดขัตติยามากที่สุด
นอกระเบียง
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างใจจดใจจ่อ
ผิวพรรณทั้งใบหน้าและลำคอเพรียวระหงตลอดจนเรียวแขนขาวผ่องละเอียดสู้กับไอแดด
เรือนผมสีเงินเส้นเล็กทิ้งตัวระข้างแก้มจนถึงต้นคอ
คิ้วโค้งโก่งดังวงพระจันทร์รับดวงตาสีมรกตงดงามกรอกไปมาอยู่กับหน้ากระดาษ
จมูกเล็กๆโด่งรั้น
ริมฝีปากบางแดงเม้มเป็นระยะๆเมื่ออรรถในหนังสือเริ่มเข้าสู่เนื้อหาเครียด
ร่างเพรียวบางอยู่ในยูกาตะสีเข้มสบายๆหากแต่ว่ารัดกุมเรียบร้อย
ท่วงท่าที่ไม่ว่ามองจากมุมใดก็คือชาววังผู้มากด้วยมารยาทและขนบธรรมเนียมที่ถูกบ่มเพาะมาอย่างดี
เห็นได้ชัดเวลาว่าผ่านไปเจ็ดปี
มิได้แปรเปลี่ยนให้นายน้อยแห่งตระกูลโกคุเดระให้ไกลจากความสง่างามในวัยเด็ก
ซ้ำยังทวีเพิ่มมากขึ้นด้วยความเป็นผู้ใหญ่จิตใจเยือกเย็น
และยศศักดิ์ที่เจ้าตัวต้องรับผิดชอบต่อจากขุนนางจีผู้เป็นปู่
...กาลเวลาที่ทำให้หงส์ขาวตัวน้อยๆกลายเป็นพญาโนรี...
“เจ้านายน้อยขอรับ มีคนอยากพบขอรับ” พ่อบ้านในกิโมโนเรียบร้อยคุกเข่าลงข้างๆแล้วรายงานด้วยท่าทีนอบน้อม
ดวงตาสีมรกตละจากหนังสือปรายมองพ่อบ้านเพียงชั่วครู่เท่านั้น
“ใครกัน?
ข้าบอกไว้แล้วใช่หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าไม่สะดวก หากไม่ใช่ท่านปู่ ไม่อนุญาตให้เข้าพบ”
“เอ่อ...คือ...”
“เจ้าอ่านหนังสือมาตั้งแต่เช้าแล้ว
ความขยันของเจ้า...ข้าดีใจที่มันเพิ่มตามอายุ”
สิ้นเสียงทุ้มของผู้อาวุโสที่เจืออาการแหบพร่านิดๆทำให้คนขยันที่ว่าหันไปมองแทบจะทันที
ร่างสูงโปร่งที่ยืนเหยียดตรง หลังไม่โก่งไม่งอตามวัยของขุนนางจีอยู่ข้างหลังเขา
ทำให้ร่างโปร่งบางต้องปิดหนังสือแล้วขยับตัวถอยให้ท่านปู่ตนนั่งลงข้างๆ
ขุนนางจีแห่งโกคุเดระคลี่ยิ้มบาง
เช่นเดียวกับที่ผู้เป็นหลานยิ้มตอบ “ก็หลานต้องรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาสูงสุดของราชสำนักต่อจากท่านปู่...ตำแหน่งใหญ่เพียงนั้น
หลานคงทำให้เสียชื่อตระกูลไม่ได้”
และแล้วเจ้านายน้อยโกคุเดระก็เบือนหน้ามองไปยังสวนหย่อมเบื้องหน้า
ดวงตาสีมรกตเริ่มไหวระริกเมื่อคิดถึงความหลัง เช่นเดียวกับน้ำเสียงเบาๆที่พร่าสั่น
“...เพราะหลาน เคยทำตระกูลเปื้อนมลทินมาก็ครั้งหนึ่งแล้ว”
“ฮายาโตะ...” ขุนนางจีถอนหายใจเฮือกใหญ่
นึกเหนื่อยใจที่เจ้าหลานผู้ยึดมั่นถือมั่นยังโทษตนเสมอมา มันคงลบออกไม่ได้....ลบภาพของคนๆนั้นออกจากใจโกคุเดระ
ฮายาโตะไม่ได้
แม้ว่าจะไม่เคยเจอกันเลยก็ตาม...ไม่เคยได้ยินแม้เพียงข่าวสักเรื่อง...ไม่เคยแม้กระทั่งได้ยินชื่อของเขาคนนั้นมาตลอดเวลาเจ็ดปี
แต่สำหรับฮายาโตะเท่านั้น ส่วนเขายังคงรู้ดี....
ผู้ชายคนนั้นยังคงไม่ไปไหน...ยังอยู่ใกล้
ใกล้เสียจนน่ากลัวว่าวงเวียนของโชคชะตาจะหมุนเร็วกว่าที่เขาคาด....
“ไม่เอา ท่านปู่...อย่าพูดถึงมันเลย หลานไม่เป็นอะไร” ดวงหน้าเศร้าของเจ้านายน้อยโกคุเดระถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม
ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ท่านปู่มาถึงเรือนหลาน
มีธุระอะไรหรือ?”
“จะเรื่องอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องที่องค์ยุพราชเรียกเจ้าเข้าพบ...อีกไม่กี่วันแล้วที่พระองค์จะครองราชสมบัติ
และเจ้าเองก็ต้องเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์อย่างเต็มภาคภูมิ”
“เช่นนั้นหรือ...แล้วเรียกพบใครอีกหรือไม่”
ถามไปอย่างนั้น แต่โกคุเดระก็พอคาดเดาเอาไว้ในใจแล้วว่าลูกหลานขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับเกียรติเชิญไปปรึกษาหารือในครั้งนี้จะมีใครบ้าง
นับว่าการประชุมของสภาราชสำนักชุดใหม่กำลังจะเริ่มวาระทีเดียว
“ฮึ ก็ชุดเดิม เจ้าก็รู้ๆอยู่ อ้อ....” ว่าแล้วริมฝีปากของท่านปู่จีก็ขยับยิ้มเจ้าเล่ห์
เมื่อนึกอะไรบางอย่างออกอีก “...เพิ่มอีกคนที่เพิ่งกลับมาจากหัวเมืองเหนือ
ผู้ตรวจการบัญชากองทหารสูงสุด ก็น่าจะมาด้วยกระมัง” เพียงเท่านั้นดวงตาสีมรกตก็เบิกค้าง
หากเป็นตอนเด็กเมื่อก่อนที่ยังไม่รู้จักรักษามารยาทมากนัก ปากคงอ้ากว้างตามไปแล้ว
เขาคงไม่ได้หูฝาดหรอกนะ
เมื่อกี้ท่านปู่พูดว่ามีคนกลับมาจากหัวเมืองเหนือ...หมอนั่นน่ะนะกลับมา...
กลับมาแล้วจริงๆน่ะหรือ...
“จริงน่ะท่านปู่? หมอนั่นหายหน้าหายตาไปตั้งสิบปี เขากลับมาจริงๆหรือท่านปู่ล้อหลานเล่น”......มีชีวิตอยู่หรือเปล่ายังเผลอลืมไปเลย
“ข้าจะล้อเจ้าเล่นไปเพื่ออะไร
หากไม่เชื่อ เจ้าก็รีบแต่งตัวแล้วเข้าวัง เพราะคนตระกูลนั้น ตรงเวลายิ่งกว่าใคร
คงจะไปรอเข้าเฝ้าอยู่แล้ว”
ไม่ทันที่จะจบประโยคของขุนนางจีดีนัก
เจ้านายน้อยแห่งตระกูลโกคุเดระก็โค้งคำนับให้หนึ่งทีงามๆแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าห้องแต่งตัวไปในทันที
โดยมีสายตากับรอยยิ้มเอ็นดูเฝ้ามองไปอยู่ห่างๆ
ไม่น่าแปลกใจนักที่ฮายาโตะจะกระตือรือร้นถึงเพียงนั้น
ลองตรองดูถึงเพื่อนสนิทในวัยเด็กที่ไม่ได้เจอกันนานจนถึงสิบปี
คงจะมีเรื่องให้คุยให้แลกเปลี่ยนเป็นธรรมดา ซ้ำยังขาดการติดต่อกันนานมาก
ด้วยที่ว่าทางฝ่ายหัวเมืองเหนือเองก็มีงานเข้ามาได้ไม่ขาด ส่วนทางเขานั้นหรือ
เพียงแค่งานในราชสำนักก็พอตัวอยู่แล้ว
ไม่ใช่ไม่คิดถึง
แต่ไม่มีเวลาที่จะคิดถึงได้ตลอด...นี่คือการบ่มเพาะความรู้สึกในอดีต
ยาวนานถึงทศวรรษ...
กุบกับๆ
ม้าตัวสูงกำยำสองตัวเริ่มขยับฝีเท้าออกจากธรณีประตูคฤหาสน์
ภายในที่นั่งของผู้โดยสารผู้สูงศักดิ์ที่มีม่านสีแดงบางๆปิดคลุมเอาไว้มีเพียงเจ้านายน้อยโกคุเดระ
ฮายาโตะเท่านั้น
มือเรียวบางค่อยๆปัดม่านเมื่อรถม้าเดินทางผ่านรั้วของคฤหาสน์หนึ่งที่นับได้ว่าอยู่ติดกับคฤหาสน์ของเขา....ดวงตาสีมรกตที่คล้ายว่าว่างเปล่าไม่รู้สึกอะไร
แต่ความเป็นจริงแล้ว
มันคือความรู้สึกสับสนปนเป...จนไม่รู้ว่าอะไรคือความรู้สึกที่แท้จริงที่จะแสดงออกมา
คฤหาสน์ทรงญี่ปุ่นโบราณใหญ่โตล้อมรอบด้วยพรรณไม้จัดแต่งอย่างงดงามในสวนหย่อม
เสียงสายน้ำตกจำลองชะกรวดหินทรายสลักดังจ๊อกๆ ทั้งยังให้ความรู้สึกแห่งศักดิ์ศรีของนักรบชั้นสูงจนรู้สึกขนลุกชันเมื่อมองผ่าน
...ก็ยังเหมือนเดิม
เหมือนเดิมไม่ต่างจากเมื่อวาน... สิบวันก่อน...เดือนที่แล้ว...หรือหลายปีที่แล้ว
ที่เจ้านายน้อยโกคุเดระต้องสังเกตคฤหาสน์หลังนี้ทุกครั้งที่มีโอกาสได้เดินทางผ่าน
มันยังเหมือนเดิม....
สถานที่ใหญ่โตโอ่อ่า
หากแต่เมื่อใดที่มองผ่านเข้าไปเมื่อใดก็เงียบเชียบ ไร้ชีวิต
ความสวยงามของพรรณไม้ร่มรื่น
หากแต่ว่ากลิ่นอายที่อวลอลอยู่ในคฤหาสน์นั้นบ่งบอกชัดเจนว่ามันอ้างว้างจนหนาวเหน็บ
ไม่เปลี่ยนแปลง...ดั่งหยุดเวลาเอาไว้เป็นนิรันดร์...หรือตายไปแล้วเพียงแต่ยังเหลือเพียงร่าง...
เหมือนอยู่กันคนละโลกจริงๆ...
ข้าอยากรู้
ว่าถ้าหากแผ่นดินที่ข้ายืนอยู่ตรงนี้คือโลกมนุษย์...ในเขตรั้วของคฤหาสน์หลังนั้นคือสวรรค์...หรือนรก
เจ้าอยู่สุขสบายหรือทุกข์ทนกัน...ยามาโมโตะ ทาเคชิ
“เจ้านายน้อยขอรับ...จะให้ข้ารอหรือกลับไปก่อนดีขอรับ” เสียงคนบังคับรถม้าถามขึ้นมาจากข้างนอกม่านทำลายความเงียบ
ทำให้โกคุเดระเบือนหน้ากลับมาในรถแล้วปล่อยชายผ้าม่านอย่างรวดเร็ว
“เจ้ากลับไปก่อน ข้ายังไม่ทราบว่างานในวังจะเสร็จลงเมื่อใด”
“รับทราบขอรับ”
ระหว่างที่เสียงฝีเท้าม้าควบดังกุบกับกระทบกับก้อนหินบนพื้น
เสียงจ้อกแจ้กจอแจของการค้าขายผสมกับเสียงพูดข้างทางก็ดังแทรก แม้ไม่ดังมากนัก
แต่ก็ทำให้เจ้านายน้อยโกคุเดระทราบได้ว่า ชาวบ้านอยู่กันอย่างมีความสุข
ไม่บ้านแตกสาแหรกขาดหรือไร้ที่ทำกินเช่นสามสิบเจ็ดปีที่แล้วหลังสงครามชิงดินแดน
และผู้คนที่เดินอยู่ด้านล่างรถม้านี้
บางส่วนก็เป็นลูกหลานสายเลือดประจิมที่ถูกเกณฑ์มาหลังสงคราม
ในใจของพวกเขาไม่อาจรู้ได้ว่า มีความสุขเฉกน้ำเสียงที่แสดงหรือไม่
เพราะตามปกติแล้วเชลย...ต้องทรมานกันทุกคน...
วังหลวง
จากที่เสียงกีบเท้าม้ากระทบกับก้อนกรวดลูกรัง
ตอนนี้กระทบกับแผ่นหินเรียบตามเส้นทางเข้าของวัง
เหล่าทหารรักษาการณ์ยืนเรียงขนาบสองข้างทางแล้วคำนับให้อย่างพร้อมเพียงเมื่อเห็นตราประจำวงศ์ตระกูลที่สลักเด่นหราข้างรถม้า
กลิ่นหอมอบอวลของมวลพฤกษามงคลลอยมาต้องจมูก
เสียงเครื่องดนตรีโบราณประโคมไพเราะเสนาะโสตเบาๆสำหรับเจ้านายน้อยโกคุเดระแล้ว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการเข้าวังโดยลำพัง
แต่เป็นครั้งแรกที่เขาจะเข้าปฏิบัติหน้าที่ในราชสำนักอย่างเต็มยศ
“ฮี้ย์!!” เสียงม้าประจำตระกูลสองตัวร้องลั่นจนกระชากให้ร่างบางตื่นจากภวังค์
พอรับรู้ได้ว่ามันตกใจและชะงัก รถม้าคันย่อมโคลงเคลงต้องเอามือยึดจับกับที่วางแขนข้างๆ
ดวงหน้างามสง่าฉายแววไม่พอใจ
ในรั้วในวังการส่งเสียงดังรบกวนนับเป็นเรื่องน่าอายยิ่ง
“เกิดอะไรขึ้น!”
“ขะ
ขออภัยขอรับเจ้านายน้อย...มีรถม้าอีกคันตัดหน้าเราขอรับ”
นายสารถีรายงานกลับมาเสียงสั่น ยิ่งทำให้ร่างโปร่งบางทวีความโกรธเคืองเข้าไปอีก
นึกอยากจะเดินลงไปดูให้เห็นกับตาเต็มแก่
ว่ารถม้าของผู้ใดอาจหาญกล้าจอดตัดหน้าตระกูลสูงศักดิ์อันดับหนึ่งอย่างโกคุเดระเช่นนี้
หากพูดว่าไม่รู้ก็คงจะฟังไม่ขึ้น...คนที่มีสิทธิ์เข้าวังทุกคนคุ้นเคยตราประจำตระกูลที่สลักเสลาอยู่ด้านข้างรถม้าของเขาดี
และรู้ว่าถ้าหากปฏิบัติตนไม่เหมาะสมเมื่ออยู่ต่อหน้าตรานี้....จะต้องเจอกับอะไร
“ลงไปดูหน้าไอ้คนไร้มารยาทแล้วบอกว่าตรงนี้เป็นที่จอดรถม้าของตระกูลเรา
หากมันยังไม่ออกไปข้าจะลงไปจัดการเอง”
สิ้นเสียงคำประกาศิต
นายสารถีรีบกระโจนลงจากที่บังคับทันที โดยรู้อยู่แล้วว่าเจ้านายน้อยของตนพูดจริงแล้วทำจริง
ในวังนี้นับว่าขุนนางตระกูลโกคุเดระยศถาบรรดาศักดิ์สูงกว่าราชสกุลอื่น
ด้วยความดีความชอบที่สั่งสมมายาวนานตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษที่ยาวนาน
อีกทั้งยังเป็นผู้รวมแผ่นดินไว้เป็นหนึ่ง นับว่าราชนิกูลบางองค์ยังต้องเกรงพระทัย
หากมีใครมากระทำการใดให้ขัดเคือง ก็สั่งลงโทษได้ในทันที
ทว่าไม่นานเกินรอนักประตูก็ถูกเปิดออก
ใบหน้าของนายสารถีซีดเซียวราวกับกระดาษ เหงื่อเป็นสายไหลโซมทั่วใบหน้าเหมือนไปผ่านศึกหนักมาอย่างนั้น
“เอ่อ...คือ...ข้าว่า
เจ้านายน้อยลงไปดูเองเถิดขอรับ...ขะ ข้า ไม่สามารถหรอกขอรับ”
“เจ้าไม่ได้พูดตามที่ข้าบอกหรอกรึ?”
“ขะ ข้า...ข้าไม่อาจทำได้จริงๆ
ขอรับ”
นายสารถีหลับตาปี๋ อาการคือคนที่หวาดกลัวถึงที่สุด
เนื้อตัวสั่นสะท้านจนเจ้านายน้อยแห่งโกคุเดระขมวดคิ้ว นี่คนของเขากล้าล้มเลิกคำสั่งแล้วกลับมาโดยไม่คิดว่าอาจจะโดนลงโทษ....นั่นหมายความว่าสิ่งที่ไปเห็นมา
น่ากลัวยิ่งกว่าอาญาละเมิดคำบัญชา
มันผู้นั้นเป็นใคร!?
ร่างโปร่งระหงก้าวลงจากรถม้าแล้วจ้วงเดินไปที่คู่กรณีอย่างอาจหาญ
เบื้องหน้าของโกคุเดระ ฮายาโตะ
คือรถม้างามคันใหญ่ลากเลื่อนด้วยอาชาลักษณะดีสูงกำยำสีดำสองตัว
แต่เขาไม่สนใจกวาดตามองมากกว่านั้น เพราะสายตาของเจ้านายน้อยโกคุเดระทะลุสารถีราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ
แล้วมองตรงเข้าไปข้างในที่นั่งของผู้โดยสารด้วยความแข็งกร้าว
“ลงมา! เจ้ากล้าดีอย่างไรตัดหน้ารถม้าข้า
หากลงมาขอโทษเร็วๆ ข้าจะไม่ถือสาเอาความ!”
แต่ที่ได้กลับมาคือความเงียบสักครู่เสมือนว่าคนข้างในไม่ได้ยินที่เขาพูดเลย
อารมณ์ที่เคยเย็นของเจ้านายน้อยโกคุเดระเริ่มเสีย
ดวงตาสีมรกตตวัดมองนายสารถีแล้วสั่งเฉียบขาด โดยไม่สนใจว่าจะใช่ข้ารับใช้ตนหรือไม่
รู้เพียงแต่ว่าเจ้าคนพวกนี้ต้องได้รับการสั่งสอนที่ถูกที่ควร!
“เจ้ารีบไปตามนายเจ้าลงมาเดี๋ยวนี้ อย่ามาทำกริยาไร้มารยาทต่อหน้าข้าซ้ำสอง!”
ไม่มีปฏิกิริยาใดเคลื่อนไหว
นายสารถีคู่กรณียังคงนั่งนิ่งราวรูปปั้น
“นี่เจ้า!”
“ผ่านไปกี่ปี
เจ้าก็ยังปากกล้าเหมือนเดิม...ฮายาโตะ”
พลันสีหน้าหงุดหงิดของนายน้อยโกคุเดระก็ต้องเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ
ดวงตาสีมรกตงดงามเบิกกว้างขึ้นเหมือนตอกย้ำว่าตนไม่ได้ตาฝาด
เจ้ารถม้าจองหองที่จอดนิ่งอยู่เบื้องหน้าเขานี้
มีบุรุษเรือนผมสีดำสนิทก้าวลงมาอย่างสง่างาม
ร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดกิโมโนสีดำสนิทคลุมทับด้วยฮะโอริสีม่วงเข้มประจำตระกูล
ใบหน้าหล่อเหลาคมคายฉาบเอาไว้ด้วยความเรียบเฉยแต่กลับรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่มองดวงตาคมสีดำขลับ
ริมฝีปากขยับยิ้มบางให้กับเขาไม่ต่างไปจากเมื่อก่อน
เจ้านายน้อยโกคุเดระไม่รู้ว่าวินาทีนี้ต้องทำอะไร...ต้องแสดงสีหน้าแบบไหน...ควรพูดออกไปหรือไม่....
รู้เพียงอย่างเดียวคือความรู้สึกบางอย่างที่เรียกได้ว่า
“ความคิดถึง” มันเอ่อล้น....
ผู้ตรวจการทหารสูงสุดของราชสำนักที่ไปอยู่หัวเมืองเหนือถึงสิบปี
กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา...
ฮิบาริ เคียวยะ
เพื่อนสนิทสมัยเด็กกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“คะ เคียวยะ....”
“ทำหน้าตางี่เง่าใส่ข้าแบบนั้น
หมายความว่าเช่นไร?”
ร่างสูงเดินเข้ามาพร้อมวางมือใหญ่ลงบนเรือนผมสีเงินนุ่มลื่น แล้วขยี้มันอย่างเพลินมือ
อย่างที่ไม่เคยมีใครกล้าทำกับเจ้านายน้อยแห่งโกคุเดระ
และผู้ตรวจการสูงสุดผู้กลับมาจากหัวเมืองเหนือก็ไม่เคยทำเช่นนี้กับใครเหมือนกัน
“อะไร? เจ้าว่าใครงี่เง่า” ดวงหน้าเรียวงอง้ำอย่างไม่พอใจ
พลางมือบางปัดมือของอีกฝ่ายให้ออกจากผมของตน “ไม่เจอกันตั้งสิบปี
แถมยังหายไปเงียบจ้อย
ข้านึกว่าเจ้าโดนโจรแถวๆหัวเมืองเหนือฆ่าปาดคอตายไปเสียแล้ว...แล้วอย่างไร?
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าข้านี่ เป็นเคียวยะตัวจริง....”
น้ำเสียงร่าเริงสะดุดทันใดกลับแทนที่ด้วยก้อนบางอย่างวิ่งแล่นมาจุกอยู่ที่ลำคอเมื่อสบเขากับดวงตาคู่คมนั้นชัดๆ
ความคิดถึงโหยหายิ่งตีตื้น ภาพในอดีตไหลเข้ามาในหัวเช่นสายน้ำอย่างไม่อาจห้าม
จนต้องพยายามเอ่ยคำสุดท้ายอย่างยากลำบากไม่ให้มันสั่นพร่า ทั้งๆที่ขอบดวงตาร้อนผ่าว
“เคียวยะ...จริงๆ.....ใช่ไหม?”
สิ้นคำถาม ฮิบาริ
เคียวยะก็คว้ามือบางของเจ้านายน้อยโกคุเดระไปทาบบนหน้าอกข้างซ้าย
ความอบอุ่นที่ซึมผ่านมาจากกิโมโนเนื้อหนาเรียบช่างตัดกับใบหน้าที่เย็นชาเหมือนเดิม....เสียงตุบๆที่ดังเป็นจังหวะอยู่ภายในนี้ก็ช่างขัดกับคำพูดของใครหลายๆคนว่าทายาทของตระกูลอัครสมุหกลาโหมแห่งฝั่งบูรพานั้นเป็นคนเลือดเย็นไร้หัวใจ
รอยยิ้มบางเบาฉาบบนใบหน้างามของเจ้านายน้อยโกคุเดระ
ริมฝีปากบางเล็กเอ่ยออกมาจากใจ
“เจ้าก็ยังเหมือนเดิมเลยนะ...เคียวยะ...รีบไปกันก่อนเถอะ
หากชักช้าจะเป็นการเสียมารยาทต่อองค์ยุพราช”
ตำหนักตะวันออก ที่ประทับส่วนพระองค์
ตำหนักริมธารน้ำกว้างใหญ่และโอ่โถง
หากแต่อาจเทียบไม่ได้กับตำหนักหลวงที่เป็นที่ว่าราชการของเหล่าขุนนางและพระมหากษัตริย์
แต่ก็เป็นสถานที่รโหฐานที่องค์ยุพราชใช้ประชุมสภาเป็นการส่วนพระองค์กับเหล่าที่ปรึกษาคนสนิททั้งหมดสามคน
แต่พิเศษหน่อยตรงที่ว่าครั้งนี้ มีทั้งหมดสี่คน
สองหน่อเนื้อเชื้อสายขุนนางชั้นสูงก้าวขึ้นไปบนตำหนัก
กลิ่นหอมรวยรินจากกระถางกำยานดอกไม้อบฟุ้งกระจายชวนรู้สึกเป็นสถานที่ผ่อนคลาย
และตรงโต๊ะเตี้ยๆพร้อมเบาะนั่งกำมะหยี่สีแดงสดก็เตรียมรองรับพวกเขาไว้อยู่แล้ว
ที่นั่นมีบุรุษสองคนนั่งรออยู่
คนหนึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะกำลังยิ้มให้อย่างเป็นมิตรและไม่ถือตัว
รูปร่างของเขาเล็กบาง ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหล่หรือเรียวแขน
เรือนผมสีน้ำตาลออกทรงชี้ฟูกับดวงตาสีเดียวกันที่เวลามองก็ชวนให้รู้สึกเอ็นดูแต่ก็เกรงในความสูงศักดิ์ที่ฉายออกมาจากกริยาท่าทาง
ร่างเล็กอยู่ในกิโมโนผ้าไหมลวดลายเฉพาะของพระราชวัง
ฮะโอริผืนเงาเลื่อมที่คลุมไหล่มนปักตราของราชวงศ์อย่างงดงามประณีต
เขาผู้นี้คือองค์ชายยุพราชที่กำลังจะครองแผ่นดินนี้ในอีกสองวัน
เจ้าชายรัชทายาท ซาวาดะ
สึนะโยชิ
“คารวะ ท่านซาวาดะ” ร่างโปร่งบางคุกเข่าลงบนเบาะแล้วค้อมหัวให้อย่างเชื่องช้า
เช่นเดียวกับบุรุษกิโมโนสีดำข้างๆ รอยยิ้มเล็กๆจุดประกายที่มุมปากของเจ้าชายซาวาดะอย่างปลื้มใจ
นานแค่ไหนแล้ว ที่เขาไม่ได้เห็นภาพทุกคนพร้อมหน้ากันแบบนี้
“ไม่นึกว่าทั้งสองคนจะมาพร้อมกันขนาดนี้
ข้าขอโทษนะที่ไม่ได้ออกไปรับ”
“มิได้หรอกขอรับ
ข้าเองก็ต้องขออภัยด้วยที่ล่าช้า”
องค์ชายร่างเล็กพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเบือนหน้าไปมองผู้ตรวจการทหารสูงสุดของราชสำนักที่เพิ่งกลับมาจากหัวเมืองเหนือ
ฮิบาริ เคียวยะคนนี้ก็เหมือนกับเจ้านายน้อยโกคุเดระ เป็นเพื่อนของเขาตั้งแต่เด็ก
ถึงต้องจากกันสิบปี แต่พอได้มาเจอความรู้สึกกลับเหมือนเดิม
“ขอบคุณท่านที่ไปปฏิบัติงานถึงหัวเมืองเหนือเป็นเวลานาน”
“ที่ข้าทำไปก็เพื่อบ้านเมือง”
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยราบเรียบเยือกเย็น
เรียกเสียงหัวเราะน้อยๆจากเจ้าชาย กริยาและคำพูดของฮิบาริ เคียวยะแม้จะผ่านไปนานเพียงใดก็ยังเฉยชาเช่นเดิม
แต่ความเฉยชานั้นบรรดาสหายอย่างพวกเขาทราบว่ามันเปี่ยมไปด้วยความปรารถนาดีต่อแผ่นดิน
“คึหึหึหึ ได้ฟังอย่างนี้ก็น่าชื่นใจนะขอรับ
ที่ทั้งฝ่ายบู๊และบุ๋นมีใจรักหวงแหนบ้านเมืองขนาดนี้
ข้าได้ยินว่าท่านเองก็ขยันอย่างเอาเป็นเอาตาย
เพื่องานราชการแผ่นดิน....ใช่ไหมขอรับ เจ้านายน้อยโกคุเดระ”
บุรุษร่างสูงโปร่งในกิโมโนสีครามที่นั่งอยู่ข้างๆเจ้าชายซาวาดะเอ่ยขึ้น
ดวงหน้าคมคายของเขายิ้มพรายให้ความรู้สึกเจ้าเล่ห์สติปัญญาแพรวพราว
ดวงตาสีแดงโกเมนและสีน้ำเงินงามกระจ่างเช่นเดียวกับสีของเรือนผมยาวจนถึงบั้นเอว ชายผู้นี้คือบุคคลที่ใกล้ชิดองค์ยุพราชมากที่สุด
และเป็นผู้ที่รักษาอำนาจราชวงศ์ได้เข้มแข็งที่สุด...โรคุโด มุคุโร่
หากในวัง ตำแหน่งของเจ้านายน้อยโกคุเดระคือที่ปรึกษาส่วนพระองค์
ชายหนุ่มผมยาวคนนี้ก็คือเสนาธิการฝ่ายซ้าย ชาญฉลาดและลึกซึ้ง
เพราะมีมุคุโร่อยู่ข้างๆองค์ชายซาวาดะ ยามที่เจ้านายน้อยโกคุเดระไม่อยู่ ก็ไม่มีจุดอ่อนให้ศัตรูหน้าไหนบังอาจมาสั่นคลอนบัลลังก์
“มันก็เป็นเรื่องปกติ ถึงดินแดนอาทิตย์อุทัยนี้จะรวมดินแดนได้สามสิบเจ็ดปีแล้ว
ก็ไม่แน่ว่าจะต้องมีการแตกแยกอีกครา....จิตใจของใครเราคาดการณ์ไม่ได้
ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรให้รักษาสันติภาพของแผ่นดินเอาไว้ ก็ต้องทำ”
จิตใจของใคร เราคาดการณ์ไม่ได้ทั้งนั้น...โดยเฉพาะใจของเชลย...
จิตใจที่แสนทรมานของคนที่ยืนอยู่บนผืนดินคนอื่น...
พลันดวงตาสีเขียวมรกตก็หม่นลงและวูบไหวเพียงชั่วครู่อย่างที่เจ้าตัวก็ไม่อาจรู้สึก
แต่ไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือรวดเร็วสักเพียงใดก็ทำให้เพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆสัมผัสได้เขาไม่แปลกใจเท่าใดนักที่ฮายาโตะจะรู้สึกสะเทือนอารมณ์และอ่อนไหวกับเหตุการณ์เมื่อสามสิบเจ็ดปีก่อนเป็นพิเศษ
อีกอย่างฮายาโตะไม่ใช่ผู้ที่เห็นความตายและความสูญเสียมากมายเช่นเขา...ความรู้สึกเศร้าใจย่อมก่อตัวเป็นธรรมดา
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าต้องมี....ความห่วงหาอาลัย......
เจ้ารู้ตัวหรือไม่....ว่าเจ้าแสดงมันออกมาอย่างชัดเจน.....
“สมกับเป็นหลานของขุนนางจีเลยนะขอรับ”
ความเงียบมลายไปเมื่อมุคุโร่เอ่ยชมพร้อมรอยยิ้ม
แล้วหันไปค้อมหัวทูลเจ้าชาย “แบบนี้
ตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์ก็ไม่มีช่องว่างให้เข้าถึง”
“ท่านซาวาดะขอรับ
ข้าขอไปที่ตำหนักในตรวจความเรียบร้อยของงานพรุ่งนี้ก่อน ปล่อยให้เหล่าสภาอาวุโสทำอยู่ฝ่ายเดียว
จะเป็นลมเป็นแล้งกัน” เจ้านายน้อยโกคุเดระโค้งทีหนึ่งเพื่อทูลขอตัว
ทำให้เจ้าชายร่างเล็กถอนหายใจเฮือกหนึ่งยิ้มๆ นี่เขาไม่ได้เชิญเจ้านายน้อยโกคุเดระเข้าวังมาเพื่อใช้งาน
แต่ดูเหมือนที่ปรึกษาส่วนตัวผู้กระตือรือร้นตรงหน้าจะลืมไปแล้ว
“โกคุเดระคุง
ข้ามีคนจะแนะนำให้เจ้ารู้จักสักหน่อย....จะไม่อยู่พบก่อนหรือ” คำว่าจะมีคนแนะนำให้รู้จัก ดึงดวงหน้างดงามให้หันกลับมา
ไม่เพียงแต่เจ้านายน้อยโกคุเดระเท่านั้น ดวงตาสีดำขลับของทายาทตระกูลฮิบาริก็เหลือบมองด้วยความแปลกใจ
“เป็นบุคคลสำคัญหรือขอรับ”
“ใช่...เขาเพิ่งเข้ารับราชการในช่วงที่โกคุเดระคุงไม่ค่อยมาที่วัง
รับผิดชอบในส่วนงานของท่านฮิบาริแทนท่านอัครสมุหกลาโหม แม้จะเข้ามาได้ไม่นาน
แต่ทักษะและการช่ำชองในศาสตราของเขาเพรียบพร้อม
อยากให้โกคุเดระกับท่านฮิบาริได้เจอเขา เผื่อภายภาคหน้าจะได้พึ่งพากัน”
“จริงหรือขอรับ!?”
เพิ่งเข้าวัง
แต่ได้รับตำแหน่งสูงถึงขั้นแทนประมุขตระกูลฮิบาริ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาไม่มีคนโชคดีเช่นนั้น
เพราะตำแหน่งนี้คงจะถูกยกให้กับผู้สืบสายเลือดอย่างไม่มีข้อสงสัยหากเจ้าตัวไม่ต้องถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ยาวนานถึงสิบปี...ฉะนั้นมันสมควรจะว่างต่อไป
จนกว่าฮิบาริ เคียวยะจะกลับมา...
อีกอย่างหากฝีมือด้านการรบไม่อาจสูงส่งเทียบเท่าหรือเหนือกว่าแล้ว....ไม่มีทางได้ตำแหน่งนี้มาครอง
นั่นทำให้เจ้านายน้อยโกคุเดระทราบฝีมือของบุคคลนั้นโดยปริยาย
แล้วชักอยากรู้จักหัวนอนปลายเท้าของคนๆนั้นขึ้นมาจริงๆ
ยามนี้คนมีฝีมือเป็นที่ต้องการก็จริง...หากแต่คนจงรักภักดีย่อมต้องการมากกว่า
“ต้องขออภัยด้วยขอรับ
แล้วฝากขออภัยเขาด้วย เป็นพรุ่งนี้จะเหมาะกว่า หากงานยังไม่เรียบร้อย
จะเป็นที่ครหากับเหล่าแขกเหรื่อ แล้วท่านซาวาดะจะไม่สบายพระทัย”
คำอธิบายของเจ้านายน้อยโกคุเดระทำให้องค์ชายซาวาดะแย้มพระสรวลอย่างระอาระคนจนใจจะหว่านล้อม
แต่คิดอีกทีหนึ่งก็ดีเหมือนกัน
เพราะจะได้พบกันอย่างเป็นทางการในสภาพที่พร้อมสมบูรณ์ แล้วดูท่าว่าตอนนี้
ถึงจะเป็นคนสำคัญน่าสนใจเพียงไหน ก็คงยังไม่อยู่ในสายตาเป็นแน่
“เอาอย่างนั้นก็ได้
ถึงข้ารั้งไว้เจ้าก็คงไม่ฟังเหมือนเดิม ไปเถอะ...”
“ขออภัยจริงๆขอรับ...ขอโทษเจ้าด้วยมุคุโร่
ที่มาทั้งทีไม่มีโอกาสได้ฝึกปรือตำราพิชัยสงครามกัน”
ดวงตาสองสีที่ฉายแววขำขันกลับมาเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร
เจ้านายน้อยโกคุเดระจึงเบือนหน้าไปหาบุรุษอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ส่วนเจ้า...ข้าไม่ต้องขอโทษกระมัง
เจ้าจะกลับก่อนก็ได้ แล้วทีหน้าทีหลังอย่ามาแย่งที่จอดรถม้าข้าอีก เข้าใจไหม?”
“ข้าคิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้...แต่นายสารถีของเจ้ากลับไปแล้วไม่ใช่หรือ?..” ร่างโปร่งบางนิ่งเงียบไปกับคำเกริ่น
สบกับดวงตาเรียวคมนั้นก่อนที่จะเป็นฝ่ายฮิบาริ เคียวยะที่หลบตาก่อนแล้วจึงเอ่ยออกมาแผ่วเบา
“จะรอก็แล้วกัน...”
รอยยิ้มบางๆประดับบนใบหน้างามละมุน
ก่อนร่างโปร่งบางลุกขึ้นอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินออกไปตามระเบียง
ความเงียบสงบของบรรยากาศภายในวังที่ไม่ได้เข้ามาแรมเดือน
กลีบดอกซากุระสีชมพูอ่อนหวานพลิ้วปลิวเลียดพื้น สายลมเย็นหอบเอากลิ่นไอดินมาต้องจมูก
เป็นกลิ่นหอมของถิ่นอาศัยที่บริสุทธิ์ ไม่เจืออายของคาวเลือด
แผ่นดินแบบนี้ที่เขาต้องการ แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปได้อีกนานเพียงไหน
เมื่อไม่โหยหาอำนาจและศักดิ์ศรีที่เหนือขึ้น
มันก็มีความสุขไม่ใช่หรือ?
หรือว่าการกระทำศึกสงครามภายในประเทศที่จะได้มาซึ่งฐานันดรนั้นจะนำพาความสุข....ข้าว่ามันไม่ใช่เสมอไป...
มาถึงตอนนี้เจ้าเชื่อข้าหรือเปล่า?
ยามาโมโตะ ทาเคชิ
วูบ
พลันเหมือนสายลมประหลาดโชยเข้าปะทะกับร่าง
ซึมซาบจากผิวสัมผัสสู่หัวใจจนตัวสั่นเทา
ความทรงจำในอดีตเกี่ยวกับใครคนนั้นเมื่อเจ็ดปีก่อนปะติดปะต่อในหัวอย่างแจ่มชัดภายในเสี้ยววินาที
เรียวขายาวหยุดก้าวเดิน ดวงตาสีมรกตสั่นระริก
ร่างกายทุกส่วนชาด้านและเกร็งไปหมดอย่างไม่อาจขัดขืน
และยิ่งกว่านั้นบริเวณหน้าอกของเขามันเจ็บแปลบขึ้นมาจนต้องค่อยๆยกมือขึ้นมากดมันไว้...
บาดแผลที่แลกมาซึ่งใจละทิ้งความเกลียดชังเมื่อเจ็ดปีก่อน
ทั้งที่จางลงจนหายสนิทแล้ว แต่ตอนนี้เหมือนเพิ่งโดนเชือดเฉือนอย่างไรอย่างนั้น...
หางตาของเจ้านายน้อยโกคุเดระเหลือบมองที่ล่างตำหนัก
ยังคงมีเพียงกรวดหินสีขาวเช่นเดิม
แต่กลีบของดอกซากุระบนพื้นหมุนพลิ้ว...เหมือนมีใครสักคนเพิ่งเดินผ่านไป...
ใครสักคน...ที่สัมผัสได้เพียงความรู้สึก
“โกคุเดระคุงนี่จริงๆเลย
เรื่องจริงจังกับงานไม่แพ้ท่านปู่จีแม้แต่นิดเดียว
แต่ข้ามีความรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปอย่างไรก็ไม่รู้...เจ้าว่าอย่างนั้นหรือเปล่า
มุคุโร่” องค์ชายซาวาดะหันพระพักตร์ไปทางเสนาธิการประจำสำนัก
แต่คนถูกถามกลับหัวเราะหึในลำคอเบาๆ พยักเพยิดไปอีกคนที่นั่งเงียบอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ข้าเกรงว่าองค์ชายตรัสถามผิดคนแล้ว
รบกวนถามท่านฮิบาริดีกว่าขอรับ เขาน่าจะเป็นคนที่รู้จักเจ้านายน้อยดีที่สุด”
รอยยิ้มพรายพร้อมวงคิ้วที่เลิกขึ้นเพื่อหยอกฮิบาริ
เคียวยะไม่สามารถสั่นคลอนอารมณ์ของเขาได้
สีหน้าเรียบสนิทราวรูปสลักเพียงผ่อนคลายเล็กน้อย เขาผ่อนลมหายใจเบาๆ
แต่ก็ไม่ได้เอ่ยความคิดเห็นใดๆ
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขาไม่ค้านเรื่องที่ว่าเพื่อนสมัยเด็กของเขาคนนั้นเปลี่ยนไปไม่น้อย
หากเปลี่ยนไปตามวัยที่ไม่ได้เจอกันถึงสิบปี...อาจจะใช่
แต่ก็คงไม่ทำให้เขารู้สึกแปลกขนาดนี้
เกิดอะไรขึ้นกับตัวเจ้าอย่างนั้นหรือ? ฮายาโตะ
“อืม...เมื่อไรจะมาถึงนะ
ให้คนไปตามบอกว่าอยู่แถวนี้แท้ๆ...อ๊ะ!! มาพอดี”
เจ้าชายสึนะโยชิคลี่ยิ้มกว้างเมื่อเห็นใครคนหนึ่งเดินขึ้นตำหนักมา
ผู้ปรากฏตัวคือชายหนุ่มรูปร่างสูงในชุดกิโมโนสีเข้มรัดกุม
กางเกงฮาคามะช่วยเสริมความเรียบร้อยดูดี บุรุษใบหน้าคมคายผมสีดำสนิทราวปีกกา
ดวงตาคมกริบที่ฉายแววเด็ดขาดและฉาบไปด้วยจิตวิญญาณของนักรบเต็มเปี่ยม
และยิ่งกว่านั้น สิ่งที่พวยพุ่งออกมาจากดาบเล่มงามข้างกายยังสามารถปลุกปั่นเลือดในกายผู้ตรวจการสูงสุดให้ร้อนระอุ
ว่าแล้วริมฝีปากที่นานๆทีจะขยับก็กรีดยิ้ม
“ท่านฮิบาริ คนๆนี้คือยามาโมโตะ
ทาเคชิ เขาคือคนที่เข้ารับราชการแทนตำแหน่งของท่านอัครสมุหกลาโหมที่ข้าเล่าให้ฟังเมื่อสักครู่นี้”
ดวงตาคมสีดำสองคู่หรี่ลงน้อยๆเมื่อยามประเมินแต่ละฝ่าย
ไม่เพียงแต่ภายนอก หากแต่ยังมองลึกลงไปถึงภายในซึ่งมีจิตวิญญาณของนักรบสูงส่ง
ยิ่งมอง ฮิบาริ
เคียวยะก็ยิ่งรู้ว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาสามารถกระตุ้นสัญชาตญาณของความกระหายในกลิ่นคาวเลือดและสงครามได้โดยง่ายดาย
หากแต่ไม่ใช่ความรู้สึกตื่นเต้นหรือสนุกสนาน
กลับกลายเป็นความหงุดหงิดและต้องการเอาชนะเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
ไม่สบอารมณ์...
“คารวะ...” ดวงตาสีดำขลับของฮิบาริปรายมองร่างสูงที่ก้มหัวให้ตน
ก่อนจะเลื่อนไปจับจ้องที่อาวุธข้างกายอีกฝ่าย พลัน
คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของฝักดาบชัดเจน
“คนของตระกูลอาซาริ
ผู้สืบทอดชิงุเระ คินโทคิแห่งดินแดนประจิม”
สิ้นคำทักทายที่แสนตรงไปตรงมา ดวงหน้าคมคายของยามาโมโตะนิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มรับอย่างไม่สะทกสะท้าน
แม้จะได้ยินคำพูดแบ่งฝักแบ่งฝ่ายและสายตาที่ไม่เป็นมิตรส่งผ่านมากับดวงตาคมดุดัน
“ใครๆเห็นดาบของข้าก็รู้ถึงชาติตระกูลได้ทุกคน
แต่ตอนนี้ไม่มีดินแดนประจิมหรือบูรพา มีเพียงแผ่นดินเดียวที่เจ้ากับข้ายืนอยู่ด้วยกันนี่
ไม่ใช่หรือไง?”...........ปากดี
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะคิดเช่นไร
หรือจงรักภักดีกับแผ่นดินนี้มากเท่าลมปากที่เจ้าว่าหรือไม่ ข้ารู้เพียงอย่างเดียวว่าใครก็ตามที่เข้ามารับตำแหน่งหน้าที่แทนคนในตระกูลข้า
แล้วมันผู้นั้นคิดไม่ซื่อ...”
เสียงกริ๊กดังขึ้นเบาๆที่ข้างลำตัวของฮิบาริ เคียวยะ
ดาบคู่กายที่นอนหลับไหลโผล่คมออกมาสะท้อนแสงอาทิตย์วาบ
และสายตาน่ากลัวเย็นชาก็คมไม่แพ้ดาบเลยแม้แต่น้อย
“ข้าจะขย้ำมันซะ!”
บรรยากาศรอบตำหนักที่เคยเย็นสบายเริ่มเป็นหนาวๆร้อนๆ
ด้วยที่ว่าฝ่ายถูกขู่อย่างยามาโมโตะ ทาเคชินับว่าเป็นคนแรกที่ไม่แสดงอาการหวาดกลัว
เขาเพียงกลอกเปลือกตาขึ้นมอง ดวงหน้าคมคายยังคงเรียบเฉย
จนองค์ชายซาวาดะต้องยกมือขึ้นปราม ก่อนที่บรรยากาศจะอึดอัดไปมากกว่านี้
“อะ เอาน่าๆ
ทั้งสองท่านอย่าเพิ่งลองเชิงกันตอนนี้เลย ข้าขอล่ะ...ยามาโมโตะ
พรุ่งนี้ท่านอย่าเพิ่งไปไหน หลังเลิกงาน ข้ามีคนสำคัญจะแนะนำให้ท่านได้รู้จัก”
“ได้ขอรับกระหม่อม...” คำตอบรับอย่างง่ายดายเหมือนไฟที่ค่อยสุมอกของฮิบาริให้ร้อนขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ
เขาอยากจะทูลคัดค้านองค์ชายซาวาดะอย่างไม่มีเหตุผล มันทั้งร้อนรุ่มอึดอัด
เป็นอาการน้อยครั้งที่จะเกิดขึ้นเมื่อยามที่เขาสูญเสียความเยือกเย็น
เพราะเพียงแค่พบกันครั้งแรกฮิบาริยังสัมผัสได้ว่า คนตรงหน้าเขานี้มีส่วนเหมือนส่วนต่างกับเขาที่ใด
และส่วนที่เหมือน....ก็เป็นส่วนที่เจ้านายน้อยโกคุเดระคนนั้นเกลียด
เกลียดตั้งแต่เมื่อก่อน
จนถึงตอนนี้เขาก็มั่นใจว่ามันยังไม่เปลี่ยนแปลงไป...
ผ่านไปสี่ชั่วยาม
เรือนร่างโปร่งบางเดินออกมาจากตำหนักหลวงที่จะใช้เป็นที่จัดงานพรุ่งนี้
จากที่ตอนเดินเข้าไป จะเป็นเวลาเช้าแดดจัดสดใส มีเสียงนกร้อง
แต่ตอนนี้ดวงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปนานแล้ว เปลี่ยนเป็นแสงจันทร์นวลให้แสงสว่างรำไร
เปลี่ยนเสียงนกน้อยให้กลายเป็นเสียงเรไรแซ่ซ้องระงม เปลือกตาบางกระพริบช้าๆเนิบๆเพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืด
ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ที่เขาเข้าไปจัดการงาน
ไม่รู้ว่าโลกหมุนกลับไปอีกด้านเปลี่ยนทิวาเป็นราตรีกาลตั้งแต่เมื่อใด
...แต่มีสิ่งเดียวที่รู้ สิ่งเดียวที่มองเห็น
คือใครบางคนไม่ได้เปลี่ยนไป
ร่างสูงสง่าพร้อมดวงหน้าเรียบเฉยของใครบางคนยังยืนรอเขาอยู่ที่บันไดหินอ่อนหน้าตำหนัก
ความเรียบเฉยที่สำหรับเจ้านายน้อยโกคุเดระแล้วมันสัมผัสได้แต่ความอบอุ่นเหมือนเดิม
“เคียวยะ” ร่างบางเดินลงบันไดอย่างรวดเร็ว
คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันน้อยๆ “ทำไมเจ้ายังไม่กลับอีก”
“ก็ถ้าข้ากลับ แล้วเจ้าจะกลับอย่างไร
ให้ทิ้งเจ้านอนที่นี่อย่างนั้นหรือ?” รอยยิ้มบางส่งผ่านมาปลอบประโลมความอ่อนล้า
มือใหญ่อุ่นๆตามอุณหภูมิของร่างกายแนบที่ข้างแก้มเนียน ไล้ผ่านแผ่วเบาเชื่องช้า
แล้วเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าไปทัดใบหู
ราวกับว่าจะช่วยซับความเหนื่อยให้อันตรธานหายไป
“เหนื่อยมากไหม...”
ดวงหน้างามของเจ้านายน้อยโกคุเดระก้มหน้างุดหลบใบหน้าคมคายที่จ้องมา
อาการร้อนผ่าวเริ่มลามไปทั่วทั้งใบหน้าอย่างที่ไม่รู้สึกมานานแล้ว
คำพูดแสดงอาการเป็นห่วงเป็นใยแบบนี้ นอกจากท่านปู่แล้ว เขาไม่เคยได้รับจากใคร
มันทั้งน่าคิดถึง ทั้งน่าจดจำ คิดถึงความรู้สึกแบบนี้มาโดยตลอดสิบปี
“ข้าทำให้เจ้าต้องรอนาน ขอโทษนะ”
คำขอโทษหลุดออกจากปากเจ้านายน้อยโกคุเดระอย่างง่ายดายเรียกเสียงหัวเราะเบาๆของอีกฝ่าย
ฝ่ามือที่ประคองใบหน้าเรียวเลื่อนไปอยู่บริเวณคางมนแล้วเชยมันขึ้นอย่างแผ่วเบาเพื่อให้มองหน้า
รอยยิ้มที่อบอุ่นอ่อนโยนและดวงตาสีดำขลับที่ทอความใจดีและสะท้อนเพียงใบหน้าของเขานั้น
เป็นคำตอบที่ชัดเจน
“ทำไมแค่นี้จะรอไม่ได้...” รอเจ้ามาตลอดสิบปีข้ายังรอได้...จะให้รอไปอีกสักนิด
ข้าก็ไม่ว่าอะไร
“กลับกันได้แล้ว...”
“อื้ม”สิ้นคำตอบรับฝ่ามือใหญ่กอบกุมมือบางเรียวของเพื่อนสมัยเด็กจนทำให้คนถูกกระทำปรากฏรอยประหลาดใจบนใบหน้า
เมื่อครั้งวัยเยาว์เคียวยะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่แตะต้องตัวเขาได้
และทุกครั้งที่จะกลับบ้านเคียวยะก็มักจะจับมือเขาไว้
ออกแรงกระชับราวกับให้มั่นใจว่าเขายังเดินอยู่ข้างๆไม่หายไปไหน
แต่ยามนี้พวกเขาไม่ใช่เด็กกันแล้ว...จำเป็นต้องทำอย่างนี้ด้วยหรือ
ไม่มีคำอธิบายจากคนที่ไม่ชอบพูด
เมื่อชำเลืองมองใบหน้าสวยข้างกายก็ยังคงประดับด้วยรอยสงสัยอย่างนั้น
จนมันทำให้เขาชักจะรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาจริงๆ
อยากรู้นักว่านอกจากตำราพิชัยสงครามแล้วก็การบริหารบ้านเมืองแล้ว
เจ้าฮายาโตะไม่ได้เรียนรู้เรื่องอื่นเลยใช่หรือไม่...
“ฮายาโตะ... ฮายาโตะ” เสียงนุ่มทุ้มเรียกเบาๆพร้อมกับความสั่นไหวที่ไหล่ปลุกให้ร่างโปร่งบางตื่น
อาจจะเป็นเพราะความเพลียแรงที่ทำให้เขางีบหลับไปบนรถม้าของฮิบาริทันทีที่นั่งตอนนี้รถม้าจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าคฤหาสน์ของเจ้านายน้อยโกคุเดระเรียบร้อยแล้วแต่คนหลับสนิทยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตื่นมาง่ายๆ
แสงจันทร์นวลที่สาดส่องเข้ามากระทบกับใบหน้างามละมุนทำให้สายตาผู้มองอ่อนแสงลง
มองบุคคลข้างกายที่เขาเฝ้ารอเวลาเช่นนี้มาสิบปี
รอทุกวินาทีที่จะได้ใกล้ชิดและปกป้องให้สมกับตัวตนของบุคคลตรงหน้า ที่คอยย้ำเตือนว่าเขาเองก็เป็นเพียงแค่ผู้ชายคนหนึ่ง...
...และมีความปรารถนาที่จะ...‘รัก’...
พลันดวงใจก็อุ่นวาบเมื่อรู้สึกตัวได้ว่าเขาเข้าใกล้อีกฝ่ายมากเสียจนจมูกและริมฝีปากเรียวแทบจรดเคลียกับผิวแก้มขาวนวลจนรับรู้ถึงกลิ่นกายหอมอ่อนๆอบอวลไปกับกลิ่นซากุระในคฤหาสน์
แต่ใบหน้าคมคายไม่ถอยห่างกลับค้างไว้และตั้งใจที่จะใกล้มากกว่านั้น หากดวงตาสีมรกตงดงามไม่กระพริบช้าๆแล้วปรือมองใบหน้าของสารถีสูงศักดิ์ที่อุตส่าห์มาส่ง
ทำให้เขาต้องถอยกลับมาอย่างช่วยไม่ได้ ในใจพึมพำซ้ำๆว่า ‘น่าเสียดาย’
“ถึงแล้วหรือ...”
มือบางยกขึ้นคลึงลูกตาเพื่อไล่ความง่วง
ก่อนที่จะแหวกม่านมองเพื่อหาคำตอบให้กับตัวเอง...ดูท่าทางว่าเขาจะหลับแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวทีเดียว
เพราะแม่นมของเขานั้นกำลังเดินออกมารับ
ใบหน้าอิ่มฉายชัดว่าสงสัยว่าเหตุใดเขายังไม่ลงไปสักที
“ขอบใจเจ้ามาก กลับบ้านดีๆล่ะ”
“เดี๋ยว!”
มือแกร่งคว้าที่เรียวแขนบางทำให้ร่างทั้งร่างของเจ้านายน้อยโกคุเดระต้องหันกลับไปมองด้วยความสงสัย
“พรุ่งนี้ข้าจะมารับเจ้าเอง
เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งไปคนเดียว”...อย่าเพิ่งไปเจอผู้ชายคนนั้นด้วยตัวลำพังคนเดียว
หรือถ้าไม่ต้องไปเจอได้...จะเป็นการดีที่สุด
คำสั่งประหลาดเรียกรอยสงสัยบนใบหน้าสวย
ก่อนที่จะโบกมือไปมาแล้วปฏิเสธไปเหมือนเรื่องไม่จริงจังนัก
“ไม่ต้องหรอก ข้าไปเองได้”
“เดี๋ยวข้าจะมารับ...เข้าใจไหม
ฮายาโตะ” ดวงตาคมเรียวดุขึ้นทันที
มือที่จับแขนของเจ้านายน้อยโกคุเดระนั้นบีบกำชับพร้อมกับน้ำเสียงจริงจังทำให้ดวงตาสีเขียวมรกตเบิกโพลงด้วยความตกใจ
ท่าทางเคียวยะยามนี้เหมือนกำลังสั่งบังคับให้เขาพยักหน้าตกลงสักที
ในดวงตาดุๆคู่นั้นเขายังจับได้ว่ามันสั่นระริกเพียงเล็กน้อยเหมือนอาการหวาดเกรง
แต่เพราะคนตรงหน้าเขาเป็นฮิบาริ เคียวยะ
เป็นคนสุดท้ายที่เจ้านายน้อยคิดว่าจะมีความรู้สึกแบบนั้น
แต่ที่สรุปได้คือเพื่อนสนิทสมัยเด็กของเขาผู้นี้
กำลังไม่สบายใจ
และเขาในฐานะสหายที่ดีก็ไม่ควรที่จะทำให้ความรู้สึกนั้นเกาะกินจิตใจของคนตรงหน้านานนัก
รอยยิ้มบางระบายบนใบหน้างดงามน้ำเสียงที่เคยอ่อนเพลียกลับมาแจ่มใสอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเป็นฝ่ายรอเจ้าเอง
จะรอนะ เคียวยะ...”
.
.
.
.
.
TBC…
มิยะขอเม้าท์
ดะ ดะ เดี๋ยวก่อน
ขอเตรียมตัว ฮึบ!
เขวี้ยงหม้อถัง
กะละมัง ไห เขวี้ยงมาโลดเบยค่ะ!
นี่มันฟิควันเกิดอิเนียน....ฮับ..ใช่แบ้วฮับ...
ฟิควันเกิดอิเนียน ฟิควันเกิดอิเนียน ฟิควันเกิดอิเนียน ฟิควันเกิดอิเนี๊ยนนนนนนนน!!!!! TT[]TT โอกกกกกก หลอนกันไปข้าง //
ทึ้งหัว เหมือนวาเดจวูเหมือนฟิควันเกิดพ่อหล่อเลวทากะยังไงไม่รู้แฮะ
ฮ่าๆๆๆ (ยังมีหน้ามาหัวเราะ//ถีบไอ้มิยะลงหลุมไป) คือ...มีคำอธิบาย
อันที่จริงแล้วฟิคนี้เป็นฟิควันเกิดหนูก๊กที่แต่งไว้สองปีที่แล้วค่ะ
และก่อนหน้านั้นเคยแต่งพีเรียดสั้นๆให้พี่กวางเรื่องปฐพีแห่งศักดิ์แล้วเกิดอยากลองเปิดมันให้กลายเป็นฟิคยาวไปเลย
เพราะตอนแต่งพีเรียดนั้นชอบมาก >v<
แล้วก็เกิดเสียดายฉาก ตัวละคร อยากให้หนูก๊ก ย่าจีได้ออกมามากกว่านี้จังเลยน้า
แถมเนื้อเรื่องมันก็สมควรจะมีต่อด้วย ไม่งั้นประตูคงโดนขวานจามพังสักวัน ฮา.... ก็เลยแต่งเรื่องนี้ต่อขึ้นมาค่ะ
อิอิ ตอนนี้ไม่ว่ากันยาว เดี๋ยวค่อยไปเม้าท์ต่อตอนหน้า จิ้มตอนที่สองไปเยยย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น