Project
Happy birthday P’Kwang [WAKETSU] 12.01.12
[S.Au.Fiction] KHR 8059
Romantic
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Nightingale ยามท่วงทำนองของใจขับขาน:Quartet
โรงอุปรากรโรงใหญ่ใจกลางนครเวียนนาที่ไม่เคยว่างเว้นจากการแสดงดนตรีโดยเหล่าศิลปินมีฝีมือได้คึกครื้นอีกครา สีแดงที่ย้อมไปทั่วทั้งโรงจากม่านสักหลาดหนาปักดิ้นสีทองเข้ากันขึงกั้นหน้าต่างกระจกบานใหญ่ทั่วทั้งงานรวมถึงม่านใหญ่กั้นฉากบนเวที เก้าอี้นวมบุหุ้มขนสัตว์เป็นพันเรียงรายกันโค้งสวยงามตระการตา ทว่าที่เด่นและหรูหราที่สุดก็คือชั้นลอยพอเหมาะพอเจาะกับกึ่งกลางเวทีพร้อมกับเก้าอี้สีทองตัวสูงสองตัวฉลุลายอินทรีสยายปีกคือตราแห่งแผ่นดินที่องอาจและสง่างาม เพียงเท่านี้ก็พอระบุได้แล้วว่าคือเก้าอี้ของสมเด็จพระจักรพรรดิและองค์ราชินีคู่พระทัย
แขกเหรื่อในชุดราตรีลูกไม้ฟูฟ่องและหมวกปีกกว้างสำหรับสตรี
และบุรุษใส่โค้ทคอปกยาว ที่คอเสื้อมีผ้าระบายจับจีบเป็นชั้นๆเรียบร้อยบ่งบอกถึงฐานะที่ต้องระดับเจ้าขุนมูลนายและผู้เชี่ยวชาญด้านการดนตรีเป็นพิเศษเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าในงาน
นี่คือสิ่งที่โกคุเดระเห็นและประเมินได้จากสายตาหลังม่าน ยิ่งเห็น
ตัวก็พาลจะเย็นชืด ริมฝีปากก็ยิ่งเม้มแน่นตามประสาคนที่ชักตื่นเวทีใหญ่
งานใหญ่โตอลังการจัดขึ้นก็เพราะนักแสดงคนเดียว
ซึ่งนั่นก็คือเขา! อา...จะเว่อร์อะไรขนาดนี้
“ผมบอกแล้วไงครับ ว่าจะคนเดียว
หรือจะพันจะหมื่นคน มันก็ต้องเล่นให้ได้” เสียงของใครบางคนดังขึ้นข้างหลัง
เจ้าของเสียงวันนี้อยู่ในชุดที่สุภาพเรียบร้อยและเต็มยศผิดปกติ คำย้ำเช่นเดียวกับเมื่อวานที่โกคุเดระไม่แน่ใจว่ากดดันหรือให้กำลังใจยังให้ความรู้สึกไม่ดีอย่างเคย
“แล้วก็ไม่ต้องมองหาหมอนั่นหรอกนะครับวันนี้”
นี่แหละที่หงุดหงิด หมอนั่นน่ะ รู้อยู่เต็มอกว่าหมอไหน...
“เขาต้องไปรับองค์จักรพรรดิกับท่านนายพล
จะยังไงก็ตามพอถึงงานเขาก็ต้องยืนเท่อยู่หลังพระที่นั่งไม่กระดุกกระดิกตัวไปไหน
เพราะฉะนั้นคนที่จะอยู่บนเวทีเป็นเพื่อนคุณก็มีแต่ผมนะครับ”
โกคุเดระเบะปากรับไมตรี “ขอบคุณ
แต่ฉันไม่ได้มองหาหมอนั่น อยากไปไหนก็ไป ไม่เห็นจะเกี่ยวกัน”
ท่านคีตกรหลวงหัวเราะหึๆแล้วยืนเงียบไปไม่ก่อกวนอะไรอีก
ร่างโปร่งบางถึงได้หันกลับไปแหวกม่านดูสถานการณ์ภายนอกต่อ
หัวใจที่แต่เดิมมันไม่สงบอยู่แล้วได้แกว่งเข้าไปอีก
ดวงตาสีมรกตกวาดมองแขกผู้มีเกียรติที่ตั้งใจมาฟังเพลงของเขานั้นชักจะแน่นเต็มโรง
แต่ว่าโกคุเดระไม่ได้จับไปที่ใครทั้งนั้น สายตามันกลอกไปทางนั้นทางนี้ทีด้วยความที่ว่าเผื่อจะเจอเจ้าคนที่เขาบอกว่าไม่ได้มองหานั่นล่ะ
เรียวปากบางวาดรอยยิ้มงามบนดวงหน้าละมุน
คิดถึงภาพเมื่อวานขึ้นมาเสียเฉยๆ
มีคนๆนั้นอยู่ใกล้ๆ แล้วใจมันสงบ
มองเห็นได้แม้สิ่งที่มองไม่เห็น
สัมผัสได้แม้สิ่งที่ไม่เคยรู้สึก
นี่คือสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้
คนนับพันนับหมื่นคนสมพรปากท่านคีตกรหลวงมุคุโร่ขณะนี้นั่งประจำเก้าอี้นวมกันเรียบร้อยแล้ว
เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะที่เคยดังเซ็งแซ่ค่อยๆเงียบลงเมื่อมีเสียงทรัมเป็ตดังแทรกเข้ามาเป็นจังหวะเร็วระทึก
พลันวงออเคสตรามาตรฐานและเป็นระเบียบที่สุดของโลกก็บรรเลงเพลงสดุดีกระหึ่มก้องไปทั่วทั้งโรงอุปรากร
เป็นครั้งแรกจริงๆที่โกคุเดระได้ฟังเสียงเพลงจากออเคสตราสดๆ
ซ้ำยังไม่ได้บรรเลงเป็นเพลงซิมโฟนีที่ไพเราะยิ่งใหญ่
แต่เป็นเพลงที่ฟังแล้วเลือดทั้งสรรพางค์พากันเย็นเฉียบ
หัวใจพองโตด้วยความปลื้มปิติอย่างบอกไม่ถูก
ขบวนกลุ่มคนๆหนึ่งย่างเท้าเข้ามาจากทางประตูเข้าทางด้านบนที่นั่งยกระดับ
แม้จะประกอบไปด้วยคนจำนวนไม่มากเท่าพวกขุนนางที่แห่มาดูกันทั้งครอบครัว
แต่เพียงแค่กริยาการเดินและเครื่องแต่งกายประดับยศก็สามารถตรึงผู้มองเห็นให้อยู่กับที่ได้
ขบวนเสด็จขององค์พระจักรพรรดิ....
สองคนแรกที่เดินคู่ขนานกันมาแทบดูไม่ออกว่าเป็นบุคคลวัยต่างกัน
คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงเปี่ยมพร้อมไปด้วยบุคคลิกมั่นใจส่วนอีกคนคือบุรุษกลางวัยผู้สง่าผ่าเผย
ทั้งคู่อยู่ในชุดสีขาวคอปกสูงหุ้มถึงครึ่งคอ
แขนกระบอกยาวขลิบปลายข้อมือสีฟ้าอ่อนไม่มีรอยยับแม้เท่าเส้นขนแมว กระดุมสีทองติดเรียงกันเป็นแถบ
แต่ละเม็ดสลักตราของพระราชวงศ์อย่างละเอียดวิจิตร
กางเกงสีขาวยาวหุ้มด้วยรองเท้าบูธหนังเป็นเงามะเมื่อมถึงครึ่งแข้ง
เสริมด้วยหมวกขนนกสีดำสลับเหลืองปลายงุ้มหน้าราวกับจงอยปากของนกอินทรีรัดที่ปลายคาง
และขาดไม่ได้คือกระบี่งามสีเงินที่เหน็บอยู่ที่เอวของทั้งคู่ ที่เห็นต่างกันดูเหมือนจะมีเพียงเครื่องประดับบนอกเสื้อ
ที่ฝ่ายผู้อาวุโสกว่ามีมากกว่าผู้น้อย ด้วยที่ว่ายศนั้นยังห่างชั้นกันอยู่ก็มาก
ดวงหน้าคมคายหล่อเหลาเรียบเฉยปานรูปสลักที่ละม้ายคล้ายคลึงกันของทั้งคู่หันเข้าหากัน
แล้วแหวกข้างให้ บุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินออสเตรียนี้เผยโฉม
วินาทีเดียวที่ท่านเดินมาหยุดอยู่หน้าพระที่นั่ง
ประชาชนทุกคนไม่ว่ายศน้อยหรือใหญ่ต่างพากันลุกยืนขึ้น
สุภาพบุรุษโค้งคำนับส่วนสุภาพสตรีย่อกายลงถอนสายบัวพร้อมเพรียงกันเป็นภาพที่สง่างามหาใดเปรียบ
ทันทีที่พระจักรพรรดิทรงนั่งบนเก้าอี้
ก็เป็นไปตามมุคุโร่บอก ราชองครักษ์ทั้งสองคนยืนประกบซ้ายขวาไม่ขยับไปไหน
ส่วนแขกเหรื่อก็พร้อมใจกันเงียบกริบจนได้ยินเพียงเสียงของลมหายใจและเครื่องปรับอากาศแผ่วเบา
แต่มีเสียงๆหนึ่งที่มันดังมากกว่าอะไรก็คือเสียงจังหวะถี่รัวของหัวใจของโกคุเดระเอง
ร่างสูงของคีตกรหลวงที่อยู่ข้างหลังเขาเดินขึ้นมาข้างหน้าแล้วให้สัญญาณเปิดม่าน
พลัน แสงสว่างก็เริ่มคืบคลานกินความมืดสลัว
แสงไฟจากแชนเดอเลียคริสตัลบนเพดานสูงส่องสว่างต้อนรับผู้แสดงสองคนเรียกเสียงปรบมือเกรียวกราวฟังดังกระหึ่มอย่างที่ชีวิตนี้ของโกคุเดระไม่เคยได้ยินมาก่อน
ดวงตาสีมรกตต้องแสงไฟคล้ายอัญมณีน้ำงามกวาดมองทุกคนและเริ่มเก็บบันทึกภาพของเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตอย่างที่ไม่คิดลืมเลือน
เขากำลังมอง มองคนหลายหมื่นจากจุดกึ่งกลางอย่างที่นักดนตรีทุกคนเฝ้าฝัน
แต่ว่าเจ้าตัวจะรู้หรือไม่ว่าระยะเวลานั้น
ตัวเองก็เข้าไปอยู่กลางใจของใครๆเขาเหมือนกัน
เพียงแค่ขยับรอยยิ้ม
ก็ได้ขโมยลมหายใจของคนทุกคนไปหมดทั้งโรงอุปรากร
ราวกับว่าทำให้โลกใบนี้ไร้ซึ่งความทุกข์โศก
ความปรีดาเพียงประสบพบหน้าที่ชาวออสเตรียลืมไปแล้วตั้งแต่องค์ราชินีไม่อยู่ได้หวนกลับมาสู่ใจทุกคนอีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์
เด็กหนุ่มสองคนบนเวทีโค้งคำนับสมเด็จพระจักรพรรดิก่อนเป็นลำดับแรก
แล้วจึงแสดงความเคารพต่อแขกผู้มีเกียรติ
สีหน้าของแต่ละท่านละนายล้วนปลาบปลื้มที่จะได้ฟังดนตรี
หากแต่จะมีสักกี่คนที่ล่วงรู้
ว่าเบื้องหลังการแสดงดนตรีนั้นคือการควานหาตัวเจ้าชายรัชทายาท
“....ข้าแต่ท่านแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
นับเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่กรุงเวียนนานี้คือนครที่โลกจารึกว่าเป็นตำนานแห่งเสียงดนตรี”
มุคุโร่เกริ่น เสียงทุ้มกังวานได้ยินอย่างชัดเจนแม้ว่าจะนั่งอยู่ที่ใด
“และโรงอุปรากรแห่งนี้ก็เคยสะท้อนเสียงเพลงของนักดนตรีผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์
จิตวิญญาณของมนุษย์ที่สูงส่งถูกถ่ายทอดและบอกเล่าโดยคนหลายคน
และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือองค์สมเด็จพระราชินีของพวกเรา”
เสียงปรบมือดังเกรียวกราวขึ้นอีกรอบแซ่ซร้องสดุดีวีรสตรีผู้ไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้
เก้าอี้งามที่อยู่ข้างๆสมเด็จพระจักรพรรดิยังว่างโล่งให้เห็นเป็นที่ประจักษ์
“...แต่เมื่อกาลเวลาไม่หยุดเดิน
โลกใบนี้ยังคงหมุนเวียน หัวใจของพวกเรายังคงมีเสียงเพลงให้เป็นเพื่อนก้าวเดิน
และในวันนี้โอกาสได้นำพาเขาให้พวกเราได้รู้จักว่า
ดนตรีที่ไพเราะได้เพราะจิตวิญญาณอันงดงามนั้นบรรเลงเช่นไร
ทุกท่านจะได้สัมผัสสิ่งที่เป็นมากยิ่งกว่าศิลปะแห่งคีตะ
ทันทีที่ถูกถ่ายทอดผ่านปลายนิ้วมือของเด็กคนนี้ครับ.....”
เฮ้ๆๆ มากไปๆ
อยากจะร้องประท้วงเจ้าคีตกรหลวงเจ้าเล่ห์ที่เมื่อวานยังด่าว่าเขานั้นเล่นคร่อมจังหวะ
เสียงเพี้ยน แถมด้วยว่าไร้จิตวิญญาณเสียเต็มประดา แต่ตอนนี้จะทำอะไรได้
นอกจากโค้งรับเสียงปรบมือดังอีกระลอก
สายตาของผู้ชมที่ส่งมาเต็มไปด้วยความหวังเต็มแก่ว่าเขาจะเล่นได้วิเศษวิโสอย่างที่พ่อคุณเขาโฆษณา
ส่วนเจ้าคนที่ยืนเท่เป็นราชองครักษ์หลังพระจักรพรรดิ หมอนั่นไม่ทำอะไรเลย
ได้แต่ส่งยิ้มนิดๆให้เขาลูกเดียว
โกคุเดระพรูลมหายใจกระพริบตาถี่ๆสองสามครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์แล้วเดินเข้าไปหาเปียโนสีขาวที่มุคุโร่สั่งให้คนไปขนมาจากไนติงเกลเมื่อเช้านี้
มือทั้งสองข้างบีบกันไปมาเพื่อไล่ความเย็นก่อนจะวางลงบนคีย์
ทางขวามือมีคีตกรหลวงกำลังเตรียมสะบัดไม้บาตอง
เมื่อมองตรงไปข้างหน้าคือชายวัยกลางคนท่าทางใจดีอย่างที่เคยเห็นในรูป
ผู้กองร่างสูงที่ยืนอย่างสง่าอยู่ข้างหลังและท่านคีตกรหลวงผู้ปราดเปรื่องข้างๆนี้ไม่รู้ว่าจะขอบคุณอย่างไรถึงจะเพียงพอ
เพราะคำพูดของมุคุโร่ เขาถึงได้รู้
ว่าดนตรีนั้นคือสิ่งที่มองเห็นได้
เพราะยามาโมโตะเขาถึงได้รู้
ว่าความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนนั้น
ต้องใช้หัวใจเข้าไปสัมผัส
เช่นเดียวกับความห่วงใยอ่อนโยนที่โกคุเดระรู้สึกได้จากอีกฝ่ายมาโดยตลอด
หลับตา...
แล้วก็จะเห็น
เปิดหัวใจ...
จึงจะรับรู้
เปลือกตาบางของเด็กหนุ่มปรือลงแล้วนิ้วเรียวทั้งสิบนั้นก็เริ่มบรรเลง
โน้ตเพลงทุกบรรทัดที่พ่อกับแม่ให้ ความรู้สึกทุกอย่างที่พ่อกับแม่เพียรบอก
หากทั้งสองอยู่ที่ไหน...ใกล้....หรือไกล ขอให้ได้รู้ว่าลูกคนนี้จำมันได้จนขึ้นใจ
ฝ่าเท้าเล็กที่บัดนี้วางอยู่บนpedal
หากแต่ในโลกแห่งจินตนาการที่โกคุเดระท่องไป
มันคือความแผ่วเบาล่องลอยดุจกำลังจะโผบิน ความนุ่มนวลของสายลมที่พัดผ่าน
ความเยือกเย็นของน้ำตกที่ร่วงพรูบนภูเขาสูง
ทุกย่างก้าวของนิ้วที่บรรเลงเอื้อยอิ่งขับกล่อม คือทุกย่างก้าวของจิตใจที่สัมผัส
สัมผัสถึงความละมุนละม่อม มือเรียวบางคู่หนึ่งลูบไล้อย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน
อ้อมกอดที่ลึกซึ้งและโหยหา
เปลือกตาบางสั่นระริกแพขนตาคู่นั้นมีหยาดน้ำตาเกาะยิ่งทำให้คนมองสะดุดลมหายใจ
ท่วงทำนองของเสียงเปียโนเริ่มเข้าสู่ห้องแห่งความผะแผ่วแว่วหวานซึมลึกเข้าไปถึงหัวใจคนฟังว่า
ครั้งหนึ่ง ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่ใครคนใดคนหนึ่งไม่เคยรับรู้
ความรู้สึกที่งดงามละเอียดอ่อนที่ใครคนหนึ่งไม่เคยเข้าใจ แต่ตอนนี้รู้แล้ว...
รู้เมื่อมีมันให้ใครสักคนเช่นเดียวกัน...
พ่อ...แม่...
ลูกก็รักพ่อกับแม่มากนะ...
แล้วก็รัก
คนที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับมัน...ยามาโมโตะ ทาเคชิ
โน้ตตัวสุดท้ายสิ้นสุดลง
เปลือกตาค่อยๆขยับแล้วปรือขึ้น
เป็นจังหวะเดียวกันที่มุคุโร่ค้างไม้บาตองกลางอากาศนิ่งแล้วรวบเก็บ ทั่วทั้งโรงอุปรากรที่ยิ่งใหญ่เงียบเชียบ
ทุกคนไม่แม้แต่จะขยับร่างกาย
เหมือนมนตร์สะกดที่ตราตรึงเอาไว้ให้อยู่ในโลกแห่งความฝันไม่หวนกลับ แต่มีเพียงคนเดียวที่ยืนปรบมือให้เขาอย่างชื่นชม
สีหน้ายิ้มแย้มบ่งบอกที่สุดแห่งความภาคภูมิใจ
ยามาโมโตะ ทาเคชิ...
เพียงเท่านั้นแขกทุกคนก็ลุกขึ้นยืนแล้วทยอยปรบมือให้อย่างล้นหลาม
โสตประสาทของโกคุเดระได้รับรู้ถึงเสียงปรบมือที่มันดังขึ้นๆ
ดังต่อเนื่องอย่างเนิ่นนาน
เสียงโห่ร้องดังก้องกระหึ่มอย่างที่โรงอุปรากรแห่งนี้ไม่เคยมีมาหลายสิบปี
ความปลาบปลื้มใจแล่นเข้าเป็นริ้วๆไปทั่วทั้งหัวใจ ดวงหน้าและขอบตาร้อนผ่าวเหมือนน้ำตาจะไหล
สีหน้าและแววตาของผู้คนล้วนแต่มีความสุขอย่างที่โกคุเดระอยากเห็นหลังจากที่เล่นเปียโนจบ
มุคุโร่พูดถูก... “ดำดิ่งสู่โลกมองเห็นได้แม้มืดมิด
สิ่งสุดท้ายที่จะได้ยินเมื่อโลกแห่งความสุนทรีจบลงคือเสียงปรบมือ”
หลังมือบางปาดน้ำตาป้อยๆอย่างไม่อายสายตาใคร
โค้งคำนับให้กับทุกเสียงชื่นชมจวบจนกระทั่งแขกทุกคนนั่งลง
หากแต่มีเพียงบุคคลเดียวที่ยังไม่ยอมนั่ง ดวงตาคู่นั้นยังคงมองมาที่โกคุเดระ
และเมื่อทุกคนจับจ้องไปที่เขาก็ต้องมีแต่ความตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น
สมเด็จพระจักรพรรดิ พระองค์....กำลังกรรแสง
“ฝ่าพระบาท...”
องครักษ์ประจำตัวอย่างท่านนายพลอาซาริต้องรีบปราดเข้ามาดู
พระอัสสุชลที่รินไหลอย่างที่ไม่เคยมีนั้นไม่มีท่าทีว่าจะหยุดได้ง่ายๆ
อากัปกริยาของสมเด็จพระจักรพรรดิที่ทำให้ผู้ชมทุกคนในงานเริ่มส่งเสียงฮือฮา
“เพลง...เพลงๆนี้” สุรเสียงแหบพร่าเพราะอารมณ์ของพระองค์กำลังสั่นไหวนั้นเหมือนย้ำกับตัวเองเพื่อรำลึก
พระโอษฐ์วาดรอยยิ้มสรวลจนโกคุเดระอบอุ่นราวกับอยู่ในอ้อมกอด
พร้อมกับคำตรัสบัญชาอย่างอ่อนโยน “หนุ่มน้อย เธอขึ้นมาหาเราหน่อยได้ไหม...ท่านด้วย
ท่านคีตกรหลวง”
ยิ่งสร้างความแปลกใจให้ผู้ชมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พระจักรพรรดิทรงเรียกนักดนตรีขึ้นมาหาถึงพระที่นั่ง
ร่างบางนิ่งอึ้งอยู่พักหนึ่งแต่ก็ถูกมือของมุคุโร่ดันหลังให้ขึ้นบันไดผ่ากลางที่นั่งของผู้ชมไปพบบุรุษผู้สูงส่ง
ยิ่งเข้าใกล้ โกคุเดระก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างบังอาจเหลือเกินที่ไม่รู้สึกเกรงในอำนาจของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
มีแต่ความรู้สึกหวั่นไหวในใจแปลกๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าดีใจ...ดีใจมากที่ได้พบ
เหมือนคิดถึง อะไรแบบนั้น....
ร่างบางโค้งคำนับแล้วคุกเข่าลงหนึ่งข้าง
แต่องค์พระจักรพรรดิท่านกลับยึดหัวไหล่ไว้ให้ยืนขึ้น สีหน้าที่มองเขาด้วยความเอ็นดูยิ่งทำให้คนที่ตกเป็นเป้าสายตาใจชื้นขึ้นมาหน่อย
“เราขอทราบชื่อของเธอ”
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมีนามว่า โกคุเดระ
ฮายาโตะ กระหม่อม” สมเด็จพระจักรพรรดิพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วตรัสถามต่อ
“ขอโทษนะ แล้วประวัติครอบครัวของเธอ...”
โกคุเดระนิ่งไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดๆว่ากำลังถูกทดสอบคุณสมบัติว่าเขาหรือเปล่าคือลูกแท้ๆของคนตรงหน้า
ร่างโปร่งบางเม้มริมฝีปากเหลือบสายตามองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลัง
ซึ่งหมอนั่นก็เพยิดหน้าว่าให้บอกไปตามตรง ไม่ต้องกลัวอะไร
งี่เง่า เขาน่ะเหรอจะกลัวอะไร
ถ้ากลัวก็กลัวแค่อย่างเดียว
ไม่ว่าฐานะของเขาจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ผลสุดท้ายมันก็เหมือนกัน
ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอยู่ดี...
“หม่อมฉันเป็นเด็กกำพร้า
มีพ่อเลี้ยงเพียงคนเดียวเป็นบาทหลวงอยู่ที่โบสถ์ในหมู่บ้านเล็กๆ”
“ละ แล้วชื่อพ่อเลี้ยงของเธอ”
น้ำเสียงขององค์จักรพรรดิสั่นขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาเฝ้ารอคำตอบและอ้อนวอนต่อความหวังที่โกคุเดระไม่คิดว่าจะได้เห็นจากพระเจ้าแผ่นดินนั้นมองเข้ามาในตาของเขา
แววตาที่สั่นคลอนหัวใจของเด็กหนุ่มให้สงสาร
ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ชายอาวุโสคนหนึ่งไม่ได้เจอลูก
อ้อมแขนนั้นเคยสัมผัสตัวของเลือดเนื้อเชื้อไขสักครั้งหรือไม่...
เช่นเดียวกับเขา ที่ยังรอเสมอ
รอโอบกอดใครๆ ที่เรียกกันจนชินปากว่า พ่อ แม่
“ทูลฝ่าบาท พ่อเลี้ยงของหม่อมฉันชื่อ จี
กระหม่อม”
เพียงเท่านั้นนัยน์ตาของผู้ฟังเบิกกว้างออก
ความปลื้มปิติยินดีทำให้พระจักรพรรดิดึงร่างเล็กมากอด
อ้อมกอดที่อบอุ่นที่โกคุเดระต้องตกใจและแปลกใจว่า ทันทีที่คางของเขาเกยไหล่อีกฝ่าย
ได้ลืมไปเสียสนิทว่าคนที่กอดเขาอยู่เป็นใคร...
ทำไมถึงได้อบอุ่นและโหยหาได้ขนาดนี้...
พระราชาที่ว่ามีของมีค่ามากมาย
มีมากจนกระทั่งไม่เคยเห็นค่าของของเหล่านั้น
แต่อ้อมกอดนี้...กอดแน่นราวกับว่าคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด
และไม่ต้องการให้หายไปไหน...
ร่างทั้งร่างของพระจักรพรรดิสั่นเทิ้ม
หยาดน้ำตาไหลเปียกไหล่บางเต็มไปหมด แม้แต่เสียงพูดยังต้องควบคุมไม่ให้พร่าสั่น
“เด็กน้อยเอ้ย...เธอคือลูกของเรา
ลูกของเราอย่างแน่นอน”
ดวงตาสีมรกตเบิกโต หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
เรื่องที่จริงแต่เหมือนฝันที่เขาบอกว่าไม่อยากฝันและไม่เคยฝันกำลังปรากฏขึ้นตรงหน้า
สองข้างหูได้ยินเสียงอื้ออึงฮือฮาของผู้ชมที่ได้รับฟังคำยืนยันออกจากโอษฐ์ของพระจักรพรรดิ
หัวใจที่บอกว่ามันไม่มีทางเป็นจริง งี่เง่า เพ้อเจ้อ ตอนนี้มันชักจะไม่ตลก
อ้อมแขนของเขากอดตอบร่างของชายวัยกลางแน่นโดยอัตโนมัติ หัวใจร่ำร้องว่าไม่อยากปล่อย
ความรู้สึกอิ่มเอิบที่ทั้งชีวิตเกิดมาไม่เคยได้สัมผัสมันเติมจนเต็มจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา
จริงเหรอ...นี่เขากำลังกอดพ่อแท้ๆ
คือพ่อที่รักเขามากกว่าใครเป็นร้อยเป็นล้านเท่าใช่มั้ย...
เป็นคำที่ไม่ไพเราะสมฐานะ
แต่ถึงอย่างไรก็ชื่นใจเสมอสำหรับคนถูกเรียกว่า...
“พ่อ...”
สมเด็จพระจักรพรรดิผละออกจากเด็กหนุ่มเบาแล้วกุมเข้าที่มือบาง
หันพระพักตร์ไปหาฝูงชนที่รายล้อม แล้วประกาศคำประกาศิตดังลั่น
“ขอแจ้งให้ประชนชน ณ ที่ตรงนี้ทราบ
นี่คือเจ้าชายโกคุเดระ ฮายาโตะ รัชทายาทเพียงคนเดียวของแผ่นดินออสเตรีย!”
สิ้นเสียงฝูงชนก็พร้อมใจกันลุกยืนขึ้นและถวายความเคารพต่อหน้าองค์ชายคนสำคัญที่หายไปนานกว่าสิบหกปี
การคำนับที่มองจากจุดสูงสุดตรงนี้แล้วให้ความรู้สึกที่หนักอึ้ง
เสียงที่เปล่งออกมาเป็นประโยคทรงพระเจริญดังอย่างต่อเนื่อง
แปรเปลี่ยนสถานะเหมือนเกิดใหม่ เช่นเดียวกัน ราชองครักษ์ทั้งสองที่สง่างามได้คุกเข่าข้างหนึ่งลง
มือข้างขวาแตะที่ตำแหน่งของหัวใจแสดงถึงความจงรักภักดี
ท่าทางที่เปลี่ยนไป ทันทีที่เปลี่ยนสถานะ
ทำให้โกคุเดระหายใจไม่ทั่วท้อง
“ถึงจะกระทันหันไปสักหน่อยแต่นี่คือสองคนแรกที่พ่ออยากให้ลูกรู้จักอย่างเป็นทางการ”
เสด็จพ่อของเขาผายมือไปทางผู้ที่อาวุโสกว่า “นี่คือราชองครักษ์ของพ่อ ท่านอาซาริ
อุเก็ตสึ”
“ถวายพระพร ฝ่าบาท”
ร่างบางรู้สึกขวยเขินสะเทิ้นอายหน่อยๆ
อยากจะก้มลงไปดึงตัวท่านองครักษ์วัยอาวุโสขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น
หากไม่ติดว่าเสด็จพ่อยึดไหล่เขาไว้อยู่
“ส่วนนี่ องครักษ์ที่พ่อแต่งตั้งเอาไว้เพื่อลูก
ผู้กองยามาโมโตะ ทาเคชิ”
ดวงหน้าคมคายที่คุ้นเคยเงยขึ้นมองเขา
ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ยังคงเต็มไปด้วยไออุ่นและห่วงใยเช่นเดิม
แต่ถึงอย่างไรก็รู้ทั้งรู้ว่า ไม่ใช่ในฐานะผู้ปกครองอย่างเก่า
แต่เป็นอัศวินที่ต้องปกป้องเจ้าชายเจ้าหญิงอย่างในนิทานปรัมปรา
“ยินดีต้อนรับกลับมากระหม่อม”
ยามาโมโตะยิ้มบาง “หม่อมฉันขอสัญญาว่านับตั้งแต่วินาทีนี้
หม่อมฉันจะอุทิศชีวิตเพื่อฝ่าบาท”
“ฉันทำเพราะฉันสบายใจ...และอีกอย่างก็เพื่อนาย”
ตอนนั้น น่าจะฟังมันดีๆ ฟังให้นานกว่านี้
แกล้งไม่ได้ยิน ให้หมอนี่พูดซ้ำๆ ก็ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้...
ถ้ารู้ว่าต้องมาฟังประโยคที่ความหมายเหมือนกัน
แต่มันห่างเหินจนทรมาน
โกคุเดระสูดลมหายใจเข้าลึกๆอย่างสงบสติอารมณ์ไม่ให้ถลาเข้าไปเขย่าคอมันซะเพราะความโกรธ
เม้มริมฝีปากจนไร้สีเลือดกลั้นหยาดน้ำตาเพราะความอาลัยที่สูญเสียผู้ปกครองที่ไม่รู้ว่าในโลกนี้จะไปหาแบบมันได้อีกที่ไหน
ก็ได้ นายเลือกเองนะ ยามาโมโตะ ทาเคชิ
ถ้านายเลือกเอากำแพงบ้าๆนั่นมาปิดกั้น
ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องส่งอะไรไปถึง เพราะบอกไปแล้ว ว่าคนที่หัวใจพิการน่ะ
ไม่มีทางรับอะไรได้ทั้งนั้น
“ขอบใจ...ฝากตัวด้วยก็แล้วกัน
ท่านราชองครักษ์”
คนตรงหน้ายังเก่ง
โดยที่ยังยิ้มได้โดยที่ดูไม่ออกว่าเสแสร้งแกล้งทำหรือจริงใจ...แต่กับเขาสิ
แค่ปั้นหน้าให้มีมาดแข็งๆหยิ่งๆอย่างเจ้าชายรับคำสัญญาจากทหารคนหนึ่งมันยังทำได้ยากเย็น
เจ้าชาย...
ตำแหน่งที่ไม่ว่ายังไง โกคุเดระ
ฮายาโตะก็ไม่อยากจะเป็น...
“ได้ซะที่ไหน ฮายาโตะ
นี่ลูกพูดอะไรออกมาเนี่ย!!”
องค์จักรพรรดิโวยลั่นกลางโต๊ะเสวยกับลูกชายคนโปรด
นี่ถ้าไม่ช่ำชองมารยาทบนโต๊ะอาหารก็คงจะพ่นน้ำชาหลังมื้อค่ำออกมาเป็นฝอยๆ
หลังจากที่ได้ฟังคำขอร้องแผลงๆไม่เข้าท่า ที่มาอยู่วังได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ก็ออกลายชักจะไม่เกรงใจเสด็จพ่อตัวเอง
แต่เจ้าตัวต้นเรื่องยังคงยิ้มแป้นแล้นตักสตูว์เข้าปากไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
แต่พระจักรพรรดิกับเหล่านางในข้าราชบริพารนี่สิ
เหงื่อหยดไปเป็นแถบๆ
“โถ เสด็จพ่อ ลูกก็แค่ขอดู
ไม่เห็นต้องโวยวายเลยกระหม่อม”
“ก็ลูกขออะไรพ่อมาล่ะ ขอไม่ครองราชย์
นี่ตัดเชื้อตัดวงศ์กันเลยนะลูก” โกคุเดระถอนหายใจอย่างหน่ายๆ ท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนปานแผ่นดินจะล่มสลายของเสด็จพ่อก็เป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้อยู่หรอก
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่แต่งตั้งหน้าที่ให้ใครบางคนเป็นพิเศษแล้วออกตามหาเขาแทบพลิกแผ่นดิน
ไม่น่าขอเลย...
ดวงหน้างามมู่ลง เบะปากบ่นหงุงหงิงอย่างขยะแขยง
ซึ่งก็อยากจะให้ได้ยินไปถึงโน่น หูของเหล่าครูพิเศษที่พ่อจัดหามาให้
ฝึกมารยาทของสายเลือดขัตติยะทุกบ่ายที่แสนจะน่าเบื่อ
กินเวลาเล่นเปียโนของเขาไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
“ลูกยังต้องฝึกอีกมากท่านพ่อ
การใช้ชีวิตแบบเจ้าชาย สุดยอดแห่งสุภาพบุรุษที่วันๆไม่ต้องทำอะไร
ปั้นหน้าแข็งเดินหลังตรง จิกตามองคนไปมา”
“ซึ่งลูกก็ทำได้ดี”
จักรพรรดิแห่งออสเตรียยิ้มรับ เล่นทำให้คนถูกชมหันไปค้อนขวับ
แต่พ่อท่านก็ไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร ยักไหล่แล้วจิบชาต่อ “ท่านจีสอนลูกมาได้เป็นอย่างดีทีเดียว”
“แต่พ่อจีไม่ได้สอน
ว่าการยอมรับความเป็นจริงมันต้องใช้เวลาเท่าไหร่” โกคุเดระทอดสายตาอ่อนลง
รอยยิ้มบางวาดบนใบหน้าเมื่อในหัวดันมีใครคนหนึ่งผุดขึ้นมา
“ถ้าเทียบกับใครบางคนมันก็คงจะใช้เวลาไม่นาน
คนพวกนั้นไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงเลยเหรอกระหม่อม
ยอมได้แม้ทั้งรู้ว่าสิ่งๆเดิมไม่หวนกลับคืนมา
หายลับไปกับอดีตก็ไม่สนตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน”
“แล้วลูกคิดว่าไง
คิดว่าเขาเข้มแข็งหรือเปล่าล่ะ”
คำถามของผู้เป็นพ่อเล่นเอาคนที่เจริญอาหารอยู่ต้องวางช้อน
ริมฝีปากบางบิดเหยเกความหมั่นไส้ระคนหงุดหงิด
การสำรวมวาจาที่เจ้าตัวไม่เคยจะสนใจไม่ว่าอยู่ในฐานะไหน ก็ไม่เคยห้ามไหวอยู่แล้ว
“ใจของมัน ลูกจะไปรู้เหรอ
ลูกไม่ใช่มันนี่”
สมเด็จพระจักรพรรดินิ่งอึ้ง
กระพริบตาปริบๆกับคำพูดตรงไปตรงมาของคนเป็นเจ้าชาย ทำให้คนถูกจ้องต้องรีบหลบสายตา
ดวงหน้าแดงก่ำร้อนผะผ่าว การรชี้ตัวบ่งชัดแทบจะเอาชื่อไปแทนในประโยคสมมติทั้งหลายทั้งแหล่ที่ตั้งขึ้นมาอุปโลกได้เลยแบบนี้
เขาสาบานว่าต่อหน้าเสด็จพ่อแล้ว จะไม่เอาไปพูดให้ใครฟังเด็ดขาด!
“เอ่อ..คือ เสด็จพ่อ ‘มัน’ ในที่นี้ ก็แค่นามสมมติ ใครก็ได้น่ะ”
......นั่น ยังจะแก้ตัว
องค์จักรพรรดิถอนหายใจยาวอย่างอ่อนใจ
ใครกันหนอจะดูไม่ออกว่าลูกชายของเขากำลังคิดอะไรถึงใคร ก็ตั้งแต่เข้าวังมา
ก็สุงสิงกับคนแทบนับรายหัวได้ หัวที่หนึ่งก็คือผู้เป็นพ่อ
สองสามหัวต่อมาคือท่านคีตกรหลวง ครูสอนมารยาทที่มีความอดทนสูง และพวกนายทหารคนสนิท
แล้วต้นเหตุของคนที่ทำให้เจ้าชายรัชทายาทคนนี้หงุดหงิดได้เสมอก็คงไม่พ้นราชองครักษ์คู่ใจที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ข้างเคียงเพราะเป็นเวลาส่วนตัว
“ฮายาโตะ เขาเปลี่ยนเพราะลูกเปลี่ยน”
ฟังคำตอบสั้นๆขององค์จักรพรรดิแล้วโกคุเดระเบิกตากว้าง
หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ เผลอค้านเสด็จพ่อออกไปเสียงดัง
“เปลี่ยน!? ตรงไหนที่ลูกเปลี่ยน”
“แล้วตรงไหนที่ลูกคิดว่าลูกไม่เปลี่ยนล่ะ”
คำถามที่ย้อนกลับมาทำเอาคนชักเดือดพล่านๆต้องเสยผมขึ้นข่มสติ
มือทั้งสองข้างประสานกันแล้ววางบนโต๊ะที่ปูผ้าสีทองเนื้อมัน
ดวงตาสีมรกตสบตาเสด็จพ่อของตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อยืนยันว่าคำตอบของเขาเป็นความรู้สึกจากใจจริง
“เสด็จพ่อลองดำริดูนะกระหม่อม เสด็จพ่อว่า
วันแรกที่เราเจอกันกับลูกในตอนนี้น่ะ มันต่างกันตรงไหน ลูกก็คือลูก
จะคนที่เป็นนักเปียโนในโบสถ์เล็กๆ หรือเจ้าชายผู้สูงศักดิ์เหนือใครตรงนี้
ก็เป็นคนๆเดียวกัน”
“แต่สถานะลูกมันไม่เหมือนเดิมชัดๆ”
บุรุษอาวุโสผู้เจนโลกกว่ายิ้มละไม ทอดมองลูกชาย “จากเปลือกนอกลูกเปลี่ยนไป ฮายาโตะ
จากนักเปียโนหนุ่มน้อยกลายเป็นเจ้าฟ้าชายองค์เดียวของแผ่นดิน
ภาระหน้าที่แต่เดิมลูกไม่มีอะไรแต่ตอนนี้ลูกต้องเตรียมแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างของออสเตรียทันทีที่ลูกครองบัลลังก์”
เมื่อองค์จักรพรรดิเว้นช่วง
บนโต๊ะเสวยมีแต่ความเงียบงัน
เจ้าชายองค์น้อยต้องก้มหน้ารับเมื่อเห็นว่าจะค้านหัวชนฝายังไงก็คงต้องรับความจริงวันยังค่ำ
หากแต่ประโยคต่อมากลับเรียกให้ดวงหน้าอ่อนวัยเงยขึ้นมอง
“....แต่ที่ลูกคิดว่าไม่เปลี่ยนไป...เพราะหัวใจและความรู้สึกของลูกไม่เปลี่ยนแปลงต่างหาก”
มืออุ่นๆของชายวัยกลางยื่นมาโคลงหัวอีกฝ่ายเบาๆ
รอยยิ้มแย้มเอ็นดูแกมล้อเลียนยิ่งอยากจะทำให้โกคุเดระหลบหน้าวูบซ่อนความรู้สึกที่มันโหวงเหวงๆพิกล
ยิ่งเสด็จพ่อพูดเสริมเท่าไหร่ มันก็ยิ่งตอกย้ำความอายแทบแทรกแผ่นดินหนี
“เพราะฉะนั้นเมื่อลูกยืนยันว่าลูกไม่เปลี่ยน
ก็อย่ามองคนอื่นจากภายนอกว่าเขาเปลี่ยนไป เราเคยถามเขาหรือไงฮึ? ว่าตอนนี้เขารู้สึกยังไงน่ะ ถ้ามันไม่เหมือนเดิมก็บอกพ่อ
เดี๋ยวปลดออกแล้วหาคนใหม่ให้เลย”
“เสด็จพ่อ!!”
โอย ตายๆ ไม่เหลือแล้ว ศักดิ์ศรีของผู้ดีที่สู้ทนอุตส่าห์เรียนทุกวัน ดวงหน้าขาวเนียนแดงแล้วแดงอีกเป็นสีเลือดฝาดน่าเอ็นดูเพราะอาการอายจัดๆ
“ไม่เอาแล้วๆ ไม่พูดเรื่องนี้แล้วนะกระหม่อม
เอาเรื่อง...เรื่องที่ลูกขอเสด็จพ่อไปเมื่อสักครู่นี้ดีกว่า”
เจ้าตัวดีดีดนิ้วเปาะ
แต่เสด็จพ่อก็ยังนั่งกอดอกตีหน้าขึงขังเช่นเดิม
“เรื่องนี้จบไปนานแล้ว ไม่มีสิทธิ์แย้ง” คราวนี้โกคุเดระยิ้มแป้นรับ
นิ้วเรียวลูบปลายคางไปมา ดวงตาประกายวิบวับ
“งั้น...ลูกมีข้อแม้”
“ข้อแม้อะไร?”
“ลูกขึ้นครองราชย์ก็ได้
แต่ขอแลกด้วยที่ว่าเสด็จพ่อเขี่ยไอ้ผู้กองบ้านั่นตกกระป๋องของการเป็นผู้ดูแลไนติงเกลไปซะ
แล้วยกให้ลูกเป็นเจ้าของโดยถาวรแทน ลูกจะอยู่ที่นั่น
จะไปเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ลูกต้องการ อ้อ
แน่นอนว่าแม้แต่คาบวิชามารยาทเจ้าชายก็ไม่มีสิทธิ์เรียกลูกกลับมา”
“ข้ออื่นน่ะได้ ไม่มีปัญหา”
องค์จักรพรรดิขยับรอยยิ้ม แต่ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นนิ่วหน้า
“แต่ไอ้เรื่องจะปลดผู้กองยามาโมโตะออกจากผู้ดูแลไนติงเกลนี่พ่อตัดสินใจไม่ได้นะ
เขาก็ดูแลให้พ่อมานาน ไม่เคยบกพร่อง คนที่ทำงานได้ดีแบบนั้น จะไปปลดเขาง่ายๆ
ได้ไง”
คำค้านที่ไม่คิดจะได้ยินและไม่คิดว่าจะโดนตอกกลับมาด้วยมุขนี้ทำให้คนฟังอ้าปากค้างพะงาบๆ
จากที่แต่เดิมเคยสันนิษฐานไว้ว่าเจ้าผู้กองนั่นเส้นใหญ่
คงได้เวลาสรุปแล้วว่ามันยิ่งกว่าคำว่าใหญ่ แม้แต่เขาที่เป็นเจ้าชายยังแตะไม่ได้เลย
ก็ลองดูสักตั้ง ว่าระหว่างเส้นของผู้กองยามาโมโตะกับฝีปากอ้อนของเจ้าชายโกคุเดระ
อะไรมันจะเหนือกว่ากัน
“เสด็จพ่อ ไนติงเกลเป็นของลูกไม่ใช่เหรอ
ลูกจะคอยดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งเปียโนของเสด็จแม่
ทั้งความทรงจำทุกอย่างที่เสด็จแม่ทรงนิพนธ์เป็นโน้ตดนตรี เครื่องเรือน
สมบัติทุกชิ้น จะรักจะเทิดทูนดั่งดวงใจเลยนะ นะ...”
“...แน่ใจเหรอ?” คำถามย้ำยิ้มๆขององค์จักรพรรดิทำให้ร่างบางพยักหน้าหงึกหงัก
เพียงเท่านั้นพระองค์ก็สรวลเสียงดังลั่นห้องเสวย ดวงตาที่ฉายแววขำขันเอ็นดูมองลูกชายแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ถ้าไนติงเกลเป็นดั่งดวงใจลูกล่ะก็
ลูกก็ไปเจรจาขอจากผู้กองเขาเองเถอะ เหอะๆ แต่คงจะยากหน่อยล่ะนะ ฮายาโตะ”
...ก็ดูแลอยู่นี่
แต่คิดเหรอ...ว่าเขาจะคืนให้ง่ายๆ
สองอาทิตย์กับการเป็นเจ้าชายแล้วกินนอนอยู่ในวังหลวง...
สองอาทิตย์แล้วที่เขาไม่ได้เข้ามาเหยียบไนติงเกลอีกเลย
แต่จากที่เสด็จพ่อบอก
ยังมีเจ้าบ้าคนหนึ่งแวะเข้าเวียนออกราวบ้านตัวเองเหมือนเดิมหลายเวลา
ยกตัวอย่างเช่น ตอนบ่ายแก่ๆซึ่งเป็นเวลาพักผ่อนอย่างตอนนี้
เท้าเล็กๆเหยียบย่างกับพื้นหินอ่อนสีขาวที่คุ้นเคยของคฤหาสน์หลังงาม
ระยะเวลาที่เขาไม่ได้เห็นไนติงเกล มันไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนไปเลย
เรียวปากบางขยับยิ้มน้อยๆ
บางทีการกระทำของเขาอาจจะเข้าข่ายว่าเป็นพวกคนใหญ่คนโตอิจฉาพนักงาน
คอยหาเรื่องคนที่ทำงานดีเกินหน้าเกินตา ตอนนี้ก็อดเห็นด้วยไปกับเสด็จพ่อไม่ได้ว่า
ผู้กองยามาโมโตะ ทาเคชิ ดูแลไนติงเกลได้ดีเพียงใด
“เจ้าชาย...” เสียงนุ่มอ่อนโยนทำให้ร่างบางสะบัดหน้าไปมอง
ร่างสูงรูปหน้าหล่อเหลาคมคายที่ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยเดินออกมาจากห้องโถงชั้นใน
นี่ มั่นใจแล้วนะ ว่าตัวเองเป็นคนมาหาเรื่องเขาน่ะ
แต่ยิ่งเดินมาใกล้ คำพูดในห้องอาหารของเสด็จพ่อก็ลอยขึ้นมาในหัว
แทบอยากจะหันหลังกลับแล้ววิ่งออกไปให้เร็วที่สุดซะงั้น
“ว่ายังไง ฝ่าบาท
ทรงมาทำอะไรที่นี่กระหม่อม”
คำถามพร้อมรอยยิ้มนิดๆยิ่งทำให้ใจของคนที่ไม่สงบอยู่แล้ววุ่นหนักเข้าไปอีก
โกคุเดระสูดลมหายใจลึกๆพยายามทบทวนในหัวว่าไอ้วิชาการวางตัวแบบชาวขัตติยานี่เขาทำกันอย่างไรบ้าง
ว่าแล้วเรียวแขนบางก็กอดไขว้กันบริเวณหน้าอก ดวงหน้างามเชิดขึ้น
ดวงตาสีมรกตสวยปรายมองคนตรงหน้านิดๆแล้วเสมองไปที่อื่นอย่างไม่ใส่ใจ
“ฉันเป็นเจ้าชายรัชทายาท
จะเข้าจะออกสถานที่รโหฐานมันเป็นเรื่องธรรมดา
ยิ่งกว่านั้นฉันก็จำได้ว่ามีคนบางคนบอกว่าที่นี่มีฉันเป็นเจ้าของ”
ยามาโมโตะหัวเราะออกมาเบาๆอย่างสุดที่จะกลั้น
มุมปากกระตุกเป็นรอยยิ้มอารมณ์ดี
ก่อนจะพยักหน้าแล้วผายมือเชิญเจ้าของคฤหาสน์ไนติงเกลไปประทับที่โซฟา
“ถ้าเช่นนั้นขอให้ฝ่าบาทรอสักครู่
เดี๋ยวกระหม่อมจะจัดน้ำชามาถวาย อ้อ ทรงทอดพระเนตรเห็นเสื้อโค้ทที่วางอยู่นั่นใช่ไหม
กรุณาสวมด้วย อากาศเริ่มจะเย็นแล้ว”
พ่อผู้กองคนเก่งยังคงเต็มไปด้วยความมาดมั่นเช่นเดิม
ฟังดีๆก็จะเห็นว่าเมื่อกี้คือประโยคคำสั่ง สั่งอย่างชัดเจนทั้งน้ำเสียงและท่าทาง แต่ความอบอุ่นอ่อนโยนที่สัมผัสได้ก็เป็นเครื่องเตือนใจและพิสูจน์อย่างดีว่า
คำพูดของเสด็จพ่อไม่ได้โกหก หมอนี่ยังใจดีเสมอต้นเสมอปลาย
เจ้าชายจัดคอเสื้อให้เรียบร้อยในขณะที่ยามาโมโตะเดินกลับมาพร้อมกับชาหอมกรุ่นในถ้วยกระเบื้องสีสวย
เขาวางมันอย่างแผ่วเบาตรงหน้าร่างบางแล้วไปนั่งโซฟาตัวตรงข้ามอย่างรักษาระยะห่าง
ท่าทีสงบเสงี่ยมแต่ยังคงไว้ลายซึ่งความมั่นใจอย่างเก่าสำหรับโกคุเดระแล้วให้ความรู้สึกน่าหมั่นไส้ที่สุด
“ฝ่าบาทไม่ควรเสด็จตามลำพัง
หากจะมาที่นี่ควรบอกกระหม่อม จะได้ไปรับ”
“ขอบใจ แต่ฉันคิดว่าไม่จำเป็น
งานของนายก็มีเยอะอยู่ แค่ฉันจะมาจะไปไหนก็ไม่ต้องร้อนถึงผู้กองต้องใส่ใจ”
มั่นใจอยู่หรอกว่าควบคุมเสียงให้เป็นปกติ
แต่ในใจนี่ประชดแดกดันชัดๆซึ่งปากเจ้ากรรมก็ดันทำงานก่อนสมอง
ประโยคที่เข้าจู่โจมตำหนิเต็มที่ซ้ำยังดูเหมือนเป็นเจ้าชายน้อยจอมเอาแต่ใจทำให้คนฟังเพียงยิ้มอ่อนโยนออกมา
“ทุกสิ่งทุกอย่างของฝ่าบาท
กระหม่อมต้องใส่ใจ จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้
ก็ขออย่าทรงมีข้อกังขาว่ามันเปลี่ยนแปลงไป”
“ละ แล้วใครมันคิดอย่างนั้นล่ะ
เปล่าสักหน่อย”
หัวใจของเจ้าชายคนฟังกระตุกวูบผิดจังหวะ
เถียงออกไปทันทีโดยน้ำเสียงแหลมๆที่ชอบใช้เหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด
นัยน์ตางามคู่นั้นเสมองไปที่อื่นไม่กล้าสบตาอย่างที่เหมือนตอนแรกที่เจอกันยิ่งทำให้ผู้กองยามาโมโตะต้องอ่อนใจครั้งแล้วครั้งเล่า
ว่าทำไมคนตรงหน้าถึงได้ทำตัวให้เขาลำบากมากมายได้ขนาดนี้
ควบคุมหัวใจตัวเองนี่ ใครคิดว่าไม่เหนื่อย?
รู้มั้ย ว่ามันต้องควบคุมบ้างเพราะฐานะมันไม่เหมือนเก่าแล้ว
แต่เจ้าคนต้นปัญหาก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
ยังทำตัวเป็นคนที่เขาทั้งรักทั้งหวงและทั้งห่วงที่สุดเหมือนเดิม
จะเอายังไงล่ะเนี่ย?
ก่อกบฏเลยดีมั้ย...
“แล้วตกลง เจ้าชายเสด็จมาถึงที่นี่
มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้”
“ฉันมาปลดนายออกจากผู้ดูแลไนติงเกลน่ะสิ
ถามได้” ริมฝีปากบางตวัดยิ้มมุมปาก
เสียงหัวเราะหึๆในลำคอช่วยเสริมบรรยากาศแผนการเขี่ยคนตรงหน้าออกได้ไม่น้อย “อ๊ะ!
และไม่ต้องมาบอกนะว่าคนที่มีสิทธิ์คือเสด็จพ่อฉัน เสียใจ
องค์จักรพรรดิทรงอนุมัติแล้ว ว่าให้ผลอยู่ในการเจรจาระหว่างฉันกับนายเท่านั้น!”
ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้เบิ่งกว้างขึ้นนิดๆก่อนจะกลับเป็นปกติแล้วขยับยิ้มพราย
ทวนถามเจ้าชายตรงหน้าอย่างใจเย็น
“ถ้าอย่างนั้นก็แย่เลยสิ
แล้วกระหม่อมควรทำอย่างไร”
“หลีกทางให้ฉันดีๆ
ถ้าไม่อยากมีเรื่องกับฝ่ายใน” คนได้ใจยิ้มร่า
ก่อนจะแสร้งพยักหน้าเห็นใจแล้วยื่นข้อเสนอให้อย่างเป็นต่อ
“แต่อืม...เห็นแก่ไมตรีที่นายมีให้ฉันในอดีต ถ้าลองอ้อนวอนขอฉันดีๆ
ฉันจะรับไว้พิจารณา”
ยามาโมโตะนิ่งไปนิด
ข้อเสนอที่เหมือนถูกท้าก็ทั้งน่าสนุกน่าลอง แล้วก็บอกไปแล้ว
ว่าไม่ว่าคู่กรณีจะเป็นใครมาจากไหน ผู้กองหนุ่มแห่งกองทัพหลวงคนนี้ก็ไม่เคยคิดว่าจะแพ้.....เพราะเขามั่นใจว่าความรู้สึกจริงๆที่มันล้นออกมาจากข้างในนี้
มีมากพอที่จะเป็นหลักฐานประกอบการอ้อนคนตรงหน้าได้
“เจ้าชาย
ตลอดเวลาที่ผ่านมากระหม่อมมีความสุขมากที่ได้ดูแลไนติงเกล เป็นสิ่งที่ห่วงที่สุด
เฝ้าทะนุถนอมยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกนี้ และปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ทุกๆวินาที...”
รอยยิ้มบางนุ่มนวลวาดบนใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาคมสบตรงไปตรงมากับดวงตาอีกฝ่ายที่นิ่งอึ้ง
“เพราะฉะนั้นได้โปรดเถิด
ทรงยกไนติงเกลให้กระหม่อมดูแลตลอดไป อะไรที่ยังขาด
กระหม่อมจะเป็นผู้เติมเต็มเอง...”
...เหมือนโดนสะกด กำลังพูดอีกสิ่งหนึ่ง แต่ความนัยที่ส่งผ่านมาอย่างจริงจังทางสายตามันกำลังหมายความถึงอีกสิ่งหนึ่ง...ก็ถ้าหาก
หัวใจไม่ได้คิดกระโตกกระตากไปเอง โกคุเดระว่า เขาจำมันได้ขึ้นใจ
สายตาแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ ความอบอุ่นที่เหมือนกับตอนนั้นราวภาพซ้อนทับ
มันเพิ่งผ่านมาไม่กี่อาทิตย์ แต่กลับคิดถึง คิดถึงคำพูดแบบนั้นมากที่สุด
“โกคุเดระ
สิ่งใดที่นายขาด....ให้ฉันเป็นคนเติมเต็มมันนะ”
รอฟังอีกครั้งมาโดยตลอด ดีใจที่ได้ยิน
ดีใจจริงๆ
ดวงตาของเจ้าชายรัชทายาทสั่นระริกมองดวงตาคมที่ยังคงซื่อตรงไม่เปลี่ยนแปลงด้วยหัวใจที่ไหวหวั่นจนไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไป
บทสนทนาที่พูดเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้แท้ๆ
แต่ความรู้สึกที่มันส่งผ่านมามันทำให้อารมณ์ต้องสั่นคลอน น้ำตาคลอหน่วย
รื้นประดับดวงตาสีเขียวมรกต หลังมือบางยกขึ้นปาดมันป้อยๆ แต่ก็ยังไม่หยุด
ไม่หยุดเลย ยังไหลออกมาเรื่อยๆ พร้อมกับความตื้นตันที่มีอยู่เต็มหัวใจ
นึกว่า...จะไม่ได้ฟังมันอีกครั้งซะแล้ว
ขอบคุณ ที่ไม่เปลี่ยนไป...
“จริงนะ...จะดูแล
ไม่ทิ้งไปไหน จริงๆนะ...”
ร่างสูงยิ้มละไมจากหัวใจก่อนจะลุกขึ้นแล้วมาคุกเข่าหนึ่งข้างลงตรงหน้าร่างบาง
ก่อนจะถวายความเคารพอย่างสมสง่า
พร้อมกับคำสัตย์ปฏิญาณที่ฟังดูแล้วมันก้องกังวานจนไม่รู้ลืม
“กระหม่อมขอสัญญาเจ้าชาย ด้วยชีวิต...”
บรรยากาศของสวนหย่อมไนติงเกลยามนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้เถางามที่พันอยู่กับเสาปูนเล็กๆวางเรียงรายตามทางเดิน
สายลมเย็นพัดเอากลิ่นอายของความหอมหวนฟุ้งไปทั่วบริเวณ
เงียบสงบและไม่มีสิ่งใดรบกวนวุ่นวาย
ร่างของเด็กหนุ่มสองคนยืนอยู่บนขั้นบันไดหินอ่อนเตี้ยๆหน้าคฤหาสน์
เจ้าชายรัชทายาทชุดสีขาวบริสุทธิ์
ร่างบอบบางขาวละเอียดต้องแสงแดดอ่อนๆยิ่งผ่องจับใจคนมองจนแทบหยุดหายใจ
ส่วนผู้กองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆอยู่ในชุดเต็มยศ สง่างามเช่นเทพบุตร
มือของคนสองคนกอบกุมกันอย่างอบอุ่น
เบื้องหน้านั้นมีนายทหารชุดขาวแห่งกองพันทหารแห่งออสเตรียยี่สิบนายยืนเรียงกันไปตามทางเดินที่ประดับประดาไปด้วยเถาดอกไม้สีหวานสองข้างทางเป็นคู่ๆ
ส่วนตรงต้นทางนั้นมีท่านคีตกรหลวงที่ทั้งยามาโมโตะและโกคุเดระไม่รู้ว่าจะขอบคุณเขาอย่างไรที่สู้อุตส่าห์นำไวโอลินตัวโปรดมาบรรเลงประกอบพิธีให้อย่างสมเกียรติ
ไม่จำเป็นต้องมีแขกเหรื่อมากมายไปกว่านี้
ทั้งสองแย้มรอยยิ้มน้อยๆให้กัน
ยิ่งทำให้บริเวณของสวนหย่อมงามของไนติงเกลยามนี้สว่างไสว
มือกระชับแน่เตรียมพร้อมสำหรับพิธีศักดิ์สิทธิ์แห่งคำสาบาน
คำสาบานของนายทหารของกษัตริย์ที่จะมอบให้กับผู้ที่เป็นที่รักดั่งดวงใจ
สาบานว่านับจากวิธีนี้เป็นต้นไป
จะไม่มีทางที่แยกจากกัน จะรักกัน...ไปจวบจนนิรันดร์
“ซ้ายหัน!!” เสียงของหัวหน้ากองสั่งด้วยความเฉียบขาด
พลันชายหนุ่มฉกรรจ์ทั้งหมดหันเข้าหากัน
ข้างกายของทุกคนมีกระบี่พระราชทานห้อยพู่สีเหลืองทอง
ความนิ่งเงียบมีระเบียบปานรูปปั้นสลักจวบจนรอคำสั่งต่อไป
“กระบี่ เตรียม!” กระบี่สีเงินที่เรียวสวยที่สุดถูกถอดออกจากฝักอย่างพร้อมเพรียง
คมของมันสะท้อนแสงอาทิตย์แวววาว
“วันทยาวุธ!”
กระบี่ถือแนบกับสีข้าง ส่วนทั้งสองที่ยืนอยู่บนพื้นต่างระดับโค้งคำนับหนึ่งครั้งช้าๆก่อนที่ฝ่ายยามาโมโตะจะค่อยๆประคองมือของเจ้าชายก้าวลงมาจากบันไดพร้อมๆกับที่กระบี่เล่มเรียวทั้งยี่สิบเล่มนั้นถูกยกไขว้แตะกันกลางอากาศแลดูงดงามเป็นซุ้มสูง
ซุ้มกระบี่ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความมีเกียรติ ศักดิ์ศรีของผู้ที่คอยคุ้มกันและรักษาไว้ซึ่งแผ่นดิน
ยามนี้คือประตูที่จะให้ทั้งคู่เดินก้าวผ่าน
เสียงเพลงบรรเลงจากไวโอลินเอื้อยอิ่งออดอ้อนเป็นลำนำหวาน
พร้อมกับที่ยามาโมโตะและโกคุเดระเดินก้าวลอดซุ้มกระบี่อย่างช้าๆ
มือข้างที่กุมกันนั้นกระชับแน่นไม่มีวันปล่อยทิ้งดังเช่นคำสัญญา
จะเป็นผู้ที่ดูแลและปกป้องกันและกันด้วยลมหายใจ
จะร่วมฝ่าฟันซึ่งอุปสรรคทุกอย่างด้วยหัวใจที่มั่นคง
เมื่อเดินผ่านกระบี่ไขว้คู่สุดท้าย
ทั้งคู่หันมาคำนับอีกครั้งก่อนที่เหล่าทหารจะเก็บอาวุธสูงค่าและเดินออกไปอย่างพร้อมซึ่งระเบียบวินัย
โดยปล่อยให้ผู้เข้าพิธีทั้งคู่ได้อยู่กันตามลำพังท่ามกลางบรรยากาศที่แสนวิเศษเป็นใจ
“นี่นายจะยิ้มอะไรนักหนา”
ดวงหน้าน่ารักเงยขึ้นค้อนขวับ เพราะตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
เจ้าคนตัวสูงเบื้องหน้านี่ยังยิ้มไม่หุบ“เหมือนเกิดมานี่ไม่เคยยิ้มเลยน่ะ”
“แล้วฝ่าบาทจะให้คนมีความสุขร้องไห้คร่ำครวญเหรอ?” แถมด้วยคิ้วเข้มๆข้างหนึ่งนั่นยักให้
“ทันทีที่ฝ่าบาทและกระหม่อมเดินผ่านซุ้มกระบี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นั่นหมายความว่าสิทธิ์ในการรักฝ่าบาทเป็นของกระหม่อมโดยสมบูรณ์”
“นายพูดเหมือนฉันแต่งกับนายแล้ว!?”.......อ้าว? นี่เพิ่งรู้เหรอ
“ใช่กระหม่อม แต่งแล้ว”
คำตอบรับโดยทันทีทำให้โกคุเดระเบิกตากว้าง
ดวงหน้าทั้งชาทั้งร้อนผ่าวและขึ้นสีจนไม่อาจหาอะไรมาบรรยายได้ถึงความน่ารัก
ผู้กองยามาโมโตะแย้มยิ้มพรายหัวเราะหึๆในลำคอก่อนที่จะโน้ใบหน้าไปกระซิบที่ริมหูของอีกฝ่าย
“เจ้าชายจะตกใจอะไร
นี่กระหม่อมทำตามพิธีและขั้นตอนอย่างถูกต้องแล้วนะ
หรือถ้าไม่ชอบมีพิธีรีตองทำไมไม่ทรงบอกกันก่อน”
น้ำเสียงทุ้มต่ำยิ่งทำให้เจ้าชายคนฟังหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
โดยเฉพาะประโยคเสริมลงท้ายที่มันน่าจะสั่งไปตัดลิ้นนัก
“....กระหม่อมจะได้ไม่ต้องรอขนาดนี้”
“บ้า!!”
ยามาโมโตะโดนมือบางผลักจนเซ แต่รอยยิ้มกลับแต้มเต็มใบหน้า
มือบางยื่นเข้าไปตบแก้มอีกฝ่ายเบาๆแล้วบิดมันไปมาอย่างหมั่นเขี้ยวโดยไม่สนใจเลยว่าผู้กองฝ่ายโดนปู้ยี่ปู้ยำแก้มจะส่งสายตาคาดโทษมาหา
เท่านั้นยังไม่พอ
ดวงตาสีมรกตงามยังไล่จิกร่างสูงตั้งแต่หัวจรดเท้าเป็นการเอาคืนจากที่เขาเคยโดนทำ
“อย่าคิดนะว่าแต่งกับฉันแล้วจะมาอวดเก่งได้
หึ อีกหน่อยฉันต้องครองราชย์ต่อจากเสด็จพ่อ แล้วถ้าผู้กองยามาโมโตะ ทาเคชิทำตัวดีๆ
ฉันอาจแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสีคู่ใจ”
ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ทั้งคมทั้งเข้มขึ้นเพื่อปรามเจ้าชายปากดี แต่ก็ยังไม่สน
ยังพล่ามฐานะในอนาคตให้อย่างสนุกสนาน
“แต่ถ้านายยังดื้อ
ซ้ำยังดุฉันไม่เข้าเรื่อง ฉันเขี่ยนายให้เป็นแค่นางสนมในตำหนักน้อยแน่ๆ”
ว่าที่นางสนมหรือตำแหน่งสูงสุดคือองค์ราชินีของจักรพรรดิบัลลังก์ต่อไปกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้ม
มือแกร่งเข้าคว้าหมับมือบางที่ยังเล่นแก้มเขาอย่างเมามันส์ จะดึงออกก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อคนจับไม่จับเปล่ายังกระชากร่างบางจนปลิวเข้าไปใกล้
ดวงหน้าคมคายโน้มต่ำลงมาใกล้เพียงคืบ
ยิ่งสายตาที่มองมายิ่งทำให้คนที่เคยปากเก่งหลุดสีหน้าตื่น
“จะสนมหรือพระมเหสี
เอาเป็นว่ากระหม่อมพร้อมที่จะเป็น ขอให้เวลานั้นมาถึงก่อนเถอะ”
คำกระซิบแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความมั่นใจทำเอาคนฟังเบิกตากว้าง
“แต่ฝ่าบาทสิ...ตอนนี้พร้อมจะเป็นนายหญิงของผู้กองคนนี้หรือยัง?”
ไม่ทันที่จะได้ตอบคำถามริมฝีปากก็ถูกประทับลงอย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน
สัมผัสที่แผ่วเบาเหมือนถูกเคล้าเคลียโดยสายลม ดอกไม้แม้จะหอมอวลอลเพียงไร
ตอนนี้ก็ไม่อาจหวานล้ำเท่าการจุมพิต เจ้านกน้อยที่ส่งเสียงเพลงไพเราะแว่วมา
ก็ฟังไม่รื่นหูเท่าเสียงครางร้องประท้วงของใครบางคน...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในนิทานปรัมปราที่เด็กชอบฟัง
เล่าขานถึงเจ้าชายฮีโร่ไปช่วยเจ้าหญิงจากวายร้าย ไม่ว่าจะเป็นแม่มด
แม่เลี้ยงใจร้ายหรือปิศาจตัวโต เจ้าชายใช้ความกล้าหาญเอาชนะใจเจ้าหญิงได้
สุดท้ายก็ครองรักกันอย่างมีความสุข
แต่มีนิทานแปลกประหลาดเรื่องหนึ่ง
เรื่องนี้ไม่มีเจ้าหญิงที่อ่อนหวาน
หากแต่มีเจ้าชายนักเปียโนผู้สง่างาม ไม่มีพระเอกเป็นเจ้าชายยอดนักสู้
แต่มีองครักษ์หนุ่มหน้าตาหล่อที่แสนจะอวดดี พระเอกองครักษ์ไม่ได้ช่วยเจ้าชายจากฝ่ายร้าย
ไม่ได้กล้าหาญถึงขั้นเอาดาบไปไล่ฟันศัตรูที่จะมาทำร้าย...ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา
ไม่ได้บอกรักกันบ่อย
แต่มีความกล้าที่จะหยิบยื่นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้
ซึ่งในโลกนี้ไม่มีอีกแล้วที่ไหน มีความห่วงใยไม่ว่าใกล้หรือไกล และเติมเต็มสิ่งที่เรียกว่าความรักให้กันโดยไม่ต้องบอก...
และสุดท้ายทั้งคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข....
.
.
.
Nightingale ยามท่วงทำนองของใจขับขาน/END
มิยะขอเม้าท์
นำฟิคมาลงอีกแล้ว หงึกหงึก จำได้ว่าฟิคเรื่องนี้เป็นฟิคที่วางแผนแต่งนานพอสมควรเลยค่ะ ดูเรียบร้อยและใสสุดๆเท่าที่ไอ้มิยะเคยแต่งมา ฮาาาาาา เป็นฟิคที่มอบให้พี่กวางในวันเกิดเมื่อสองปีที่แล้ว ซึ่งเจ้าของวันเกิดอยากได้เป็นหวานๆ โรแมนติก พล็อตก็ผุดขึ้นมาเลย // อันที่จริงแอบกระซิบว่ามีอีกแนวที่มันไม่ใช่หวาน แต่เป็นกดทั้งน้ำตาล่ะ ว้ากกกกกก!
ความยากเรื่องนี้พอสมควรเลยค่ะ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับดนตรี ต้องมีเสียง แต่ตรงนี้แหล่ะที่เราจะบรรยายให้สิ่งที่ไม่มีเสียง มีเสียงขึ้นมาได้อย่างไร โอ...คลึงขมับแทบทุกครั้งที่เขียนหนูก๊กดีดเปียโน พยายามให้มันออกมาได้อารมณ์มากที่สุด หากมันติดขัดหรือขัดใจ ไม่ได้ฟีลอย่างไร ขออภัยด้วยจริงๆก่ะ TT..TT แล้วก็ความโบราณของเรื่องนี้ค่อนข้างเรียกได้ว่ามันเป็นสมัยคลาสสิค ซึ่งเก่าพอที่จะเป็นพีเรียด แต่มันต้องคุมให้คำพูดไม่ดูพีเรียดจนเกินไป เพราะเป็นของชาติตะวันตก ไม่ถึงกับเรียกเจ้าเรียกข้า แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นสำนวนรุ่นใหม่จ๋าไปเลย ตอนแรกแอบลังเลเรื่องชื่อด้วยค่ะ กลัวมากว่ามันจะไม่ค่อยเข้า แต่เอาเถอะ ให้ทั้งคู่เราเป็นคนเชื้อสายญี่ปุ่นที่เกิดที่ออสเตรียแล้วกัน กร๊ากกกกกกกกกกก // อูยยยย สีข้างไอ้มิยะเลือดซิบแล้วค่ะ T..T
และมันก็เป็นอีกเรื่องที่เสียดายคอมเม้นท์มากๆ ความจริงเสียดายทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้พิเศษหน่อย แม้มันจะอยู่ในเมลล์ก็เถอะ โดยเฉพาะเจ้าของวันเกิด อยากบอกว่าเก๊าดีใจมากๆจริงๆที่ชอบมันมากขนาดนี้ค่ะ >////<
แรงบันดาลใจเรื่องนี้ไม่มีอะไรมากมาย คือช่วงนั้นวิชาดนตรีเรียนประวัติดนตรีสากลค่ะ ได้เรียนในช่วงยุคสมัยต่างๆ เลยแอบเอามาเป็นฉากดู แล้วก็อยากเห็นอิเนียนมันเป็นทหาร! ใช่ๆ! ได้ดูละครโทรทัศน์เรื่อง เลือดขัตติยา หนังช่องห้าที่พี่ติ๊ก เจษ กับพี่อ้อม พิยะดาเล่นอ้ะ มีใครเคยดูกะเก๊ามั้ย // กร๊ากกกก เก๊าทันดูนะ บ่งอายุหรือเปล่า >w< คือมันประมาณว่าเป็นความรักต่างชนชั้นอะไรทำนองนั้น ซึ่งในเรื่องพี่ติ๊กแกแคร์แล้วก็ไม่กล้ารักนางเอก แต่อิเนียนเราไม่แคร์ค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
อีกอย่างคือ ได้ไปเห็นโฆษณาๆหนึ่ง ที่มันทำให้ไอ้มิยะขนลุกมากๆ เลยแอบเอามาเป็นแนวคิดนิดหน่อยในเรื่องด้วย อยากดู... >>จิ้มเลยฮะ<<
จบด้วยเอวังประการฉะนี้...
ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียนบล็อก อ่านแล้วเม้นท์ได้เป็นกำลังใจจ้ะ
Miya
Miya
Takeshi rain cool yamamoto ค่า
ตอบลบมาอ่านกี่รอบก้ฟินตลอดไม่เปลี่ยนจริงๆ
พร้อมเป็นนายหญิงของผู้กองฮ๊าาาาาา ฟินก่อนนอนจริงๆค่า~~~