หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

S.Au.Fic Gintama [Takasugi X Katsura X Gintoki] สองฝั่งหัวใจ:องก์ที่สอง



Project: Happy birthday Takasugi kun!
S.Au.Fic Gintama Takasugi X Katsura X Gintoki
Serious drama action
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ รวมทั้งฉากและช่วงเวลาที่ปรากฎในฟิคเรื่องนี้ เป็นการผสมผสานปรับประยุกต์จากช่วงเวลาในประวัติศาสตร์จริงและจินตนาการของผู้เขียน ดังนั้นไม่สามารถใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ


คำเตือนข้อสุดท้าย เนื่องจากเป็น Au คาร์แร็กเตอร์อาจหลุดบ้างน่อ



สองฝั่งหัวใจ



องก์ที่สอง




ผ่านไปอีก 5 ปี...


เป็นระยะเวลาเนิ่นนานนับตั้งแต่ราชบัลลังก์ขององค์โชกุนถูกยึดครองโดยทากาสึงิ ชินสุเกะและกองทัพอสุรา แต่บัลลังก์นั้นหาได้เป็นของทากาสึงิไม่ เขาสละตำแหน่งพระเจ้าแผ่นดินให้กับเชื้อพระวงศ์ที่เป็นลูกของสนมลำดับรองลงไป และตั้งตนเป็นมหาอุปราชแทนซ้ำยังควบด้วยตำแหน่งสมุหนายกผู้บัญชาการทหารสูงสุด แม้ตอนนี้ดินแดนอาทิตย์อุทัยจะไม่สิ้นระบบการปกครองโดยกษัตริย์ แต่โชกุนแค่สิ่งสักการะบูชา มิมีปากมีเสียง อำนาจเบ็ดเสร็จตกอยู่ที่มหาอุปราชอย่างสมบูรณ์


ทหารฟังคำแม่ทัพ ขันทีเกรงกลัวคมดาบ เหล่าเสนาอำมาตย์คนเก่าถูกปลดจนเหี้ยนสภา ผู้ที่ยังห่วงชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นชาววังอยู่บ้างจึงต้องเคารพทากาสึงิสูงส่งเช่นพระเจ้า จึงเรียกได้ว่ายุคนี้คือยุคที่นักรบหลวงครองเมืองอย่างแท้จริง


นายทหารกว่าห้าสิบหมื่นในอาณัติล้วนแต่เป็นทหารที่แข็งแกร่งและกระหายกลิ่นเลือดในสมรภูมิ ยามไปรบที่ใด ธงชัยแห่งกองทัพทหารอสุราจะโบกพลิ้วปลิวสะบัดจนถึงที่สุด หัวเมืองทั่วสารทิศยอมตกเป็นเมืองขึ้นและส่งบรรณาการมาถวายมิได้ขาด ศัตรูทั่วแดนขยาดและยอมสวามิภักดิ์ในเวลาอันสั้น แต่ถ้าหากเมืองใดคิดแข็งข้อ คมดาบของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าแห่งสงครามคนนี้จะไปคว้านท้องมันให้ตายยกโคตร!


ความเป็นอยู่ของชาวบ้านแม้ไม่ได้เรียกว่าถังแตก แต่ก็ไม่เชิงว่าจะสุขสบายทุกครัวเรือน เนื่องด้วยผู้กุมอำนาจสูงสุดคนนั้นกรำแต่ศึกสงคราม


...ดังเช่นการเป็นยอดนักรบผู้น่าเกรงขาม ยังห่างไกลจากยอดนักปกครองผู้ซื้อใจคน




บริเวณวัดร้าง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของวังหลวง


กล่าวถึงซากาตะ กินโทกิหนึ่งสายเลือดขัตติยาผู้สืบเชื้อสายราชบัลลังก์ตามทำนองคลองธรรมที่หนีรอดมาตั้งตนอยู่ที่วัดร้างทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แต่แสงอาทิตย์ก็ย่อมเป็นแสงอาทิตย์ จะหลบอยู่ตามเหลี่ยมของภูผาก็มิอาจปิดกั้นแสงส่องทอ เขาได้บูรณะวัดร้างให้งดงามดังเดิมเพื่อใช้เป็นฐานหลัก และจัดตั้งค่ายขึ้นมาเงียบๆตั้งแต่สามปีก่อน ด้วยปณิธานในใจที่สั่งสมมาตลอดห้าปีนั้นมิเคยได้ดับมอดไปแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับธงศึกสลักสกุลแห่งราชวงศ์ปลิวไสว


จนบัดนี้ในมือของเจ้าชายรัชทายาทมีชายฉกรรจ์ที่ศรัทธาและยอมถวายชีวิตเป็นทหารร่วมศึกห้าพันนาย มีม้าและอาวุธครบครัน มีการฝึกซ้อมตามตำรายุทธพิชัยที่เข้มงวดไม่ต่างกับทหารวังจน ณ เวลานี้ นายทหารทุกนายพร้อมรบและยอมที่จะพลีชีพเพื่อสายเลือดราชวงศ์ที่แท้จริง


.......และสุดท้ายเสนาธิการของทัพกินโทกินั้นทรงภูมิปัญญาและชาญฉลาดเจนยุทธวิธีในการรบยิ่งกว่ากุนซือคนใดในแผ่นดิน....


แต๊งง....แตร่ง แตงงง....


เสียงโคโตะดนตรีเครื่องสายโบราณดังมาจากกระโจมกลางของค่ายทัพ มันบรรเลงเป็นเพลงท่วงทำนองเยือกเย็นและนิ่งสงบโดยผ่านนิ้วเรียวสวยของคาซึระ โคทาโร่ ที่ปรึกษาแห่งกองทัพปราบกบฏ เขาคือผู้มีเรือนผมสีดำขลับยาวสยายทิ้งตัวเรียงสวยถึงกลางหลัง ดวงหน้าเรียวขาวกระจ่างงามพริ้มเพรายิ่งกว่าอิสตรี ดวงตาสีน้ำตาลคมขำมองสายโคโตะที่ขึงเป็นแถว หากแต่ในนัยน์ตานั้นลึกล้ำ เปี่ยมไปด้วยความรอบคอบและปฏิภาณไหวพริบเสียยิ่งกว่าในวัยเยาว์  จมูกเล็กๆโด่งรั้น  ริมฝีปากบางแดงดุจสีชาด ร่างบางสูงระหงอยู่ในชุดกิโมโนสีเรียบ หากแต่ท่วงท่าดูสง่างามเป็นผู้ดีและน่าเชื่อถือ


ไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปี คาซึระก็คือผู้ที่สามารถตรึงทุกสายตาไว้ด้วยรูปลักษณ์และความสามารถไม่เปลี่ยน


“มือของเจ้ากำลังเล่นโคโตะ ....แต่ในหัวของเจ้านั้นคือการเล่นสงครามใช่มั้ย...ซึระ?


เสียงทุ้มต่ำทักขึ้นข้างหลังร่างโปร่งบาง ทำให้เขาชะงักมือ แล้วหันกลับไปมองผู้ที่เข้ามาใหม่อย่างเงียบเชียบ บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ด้วยกันมานาน มันจึงชินชา หูของเขาไม่ได้มีปฏิกิริยากับเสียงฝีเท้าของชายหนุ่มร่างสูงคนนี้เอาเสียเลย
ชายหนุ่มร่างสูงผมสีเงินยวงหยักศก ดวงหน้าหล่อเหลายังคงไร้อารมณ์เช่นเดิม เขาอยู่ในชุดของขุนศึกพร้อมเกราะเรียบร้อยแม้จะอยู่ในเวลาพักทัพตามอัธยาศัย ข้างเอวเหน็บดาบคู่กายเสมอไม่เคยห่าง อากัปกริยาภายนอกดูไม่แตกต่างจากเมื่อก่อนเลยแม้แต่น้อย แต่มีอยู่สิ่งหนึ่ง ที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง...


เพราะจิตวิญญาณนี้แข็งแกร่งขึ้นมาก...จิตวิญญาณนี้ไม่ได้ล่องลอยไร้จุดหมาย หากแต่เก็บสั่งสมปณิธานและความตั้งใจอันแรงกล้าเอาไว้


เพราะเป็นแบบนี้ ถึงมีคนศรัทธาเชื่อถือและเข้าร่วมเป็นพวกได้ไม่ยาก ต่อให้ตกที่นั่งลำบากเช่นไรก็ต้องกลับขึ้นมาผงาดได้อีกครั้ง


“สีหน้าข้าแสดงออกขนาดนั้นเลยหรือ?” คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ “แต่ถ้าเสนาธิการทัพไม่คิดอยู่เสมอ ทัพจะแตกเมื่อใดก็ได้ เช่นเดียวกันกับแม่ทัพ หากหยุดแหว่งดาบนั่นก็คือถอยหลังเข้าหาความตาย....เข้าใจหรือเปล่า กินโทกิ?


“เข้าจายยย ข้าก็ไม่ได้จะมาห้ามความคิดอะไรของเจ้าหรอก ท่านที่ปรึกษาผู้ปราดเปรื่องของข้า....แต่ข้าอยากรู้เท่านั้นว่าศึกในอีกสองวันนี้ เจ้ามีความคิดเห็นประการใด”


คาซึระยิ้มรับ รู้สึกพอใจกับสีหน้าเป็นการเป็นงานของกินโทกิอย่างมาก ร่างบางลุกขึ้นไปหยิบแผนที่ม้วน แล้วกางลงบนโต๊ะใหญ่ให้แม่ทัพดู นิ้วชี้เรียวชี้ไปตามจุดต่างๆของแผนที่อย่างแม่นยำ ยอดที่ปรึกษาทายาทของอาจารย์โชโยผู้เก่งกาจกำลังจะจับแผนการของตัวเองลงสู่สมรภูมิผ้าใบผืนใหญ่


ข้ามีกลยุทธ์อยู่ในใจแล้ว ขอให้เจ้าจำเอาไว้ให้ดี...


“ตรงนี้คือจุดที่เราตั้งค่ายอยู่ อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของวังหลวงไกลราว 450 ลี้ และค่ายทหารหลวงของกองกำลังอสุราที่สำคัญนั้น ได้ตั้งล้อมห่างวังหลวงเอาไว้ 100 ลี้ มีทั้งหมดห้าจุด สองในสามคือกองกำลังรักษาพระนคร อีกสามทัพคือทัพประจำทิศอุดร ทิศหรดี(ตะวันตกเฉียงใต้) และทิศอาคเนย์(ตะวันออกเฉียงใต้) ตามลำดับ ทุกๆวันจะมีแม่ทัพทั้งห้าของทากาสึงิมาประจำการ การตรวจตราค่อนข้างกวดขัน”


“ทุกค่ายล้วนเป็นกองกำลังที่กล้าแข็งของทากาสึงิ ซึระ...เจ้าคิดว่าเราควรตีทัพอะไรก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อไม่ให้เปลืองไพร่พลเรา และเป็นการข่มขวัญศัตรูได้ชะงักนัก”


คาซึระหัวเราะหึ ริมฝีปากบางขยับยิ้มเย็น ก่อนจะอ้อมมาอีกฝั่ง แล้วว่าต่อ “หนึ่งในห้าทัพที่ตอนนี้ข้ามองว่าเป็นหมูในอวย ก็คือทัพที่อยู่ใกล้หน้าผาสองลูกหันหน้าเข้าหากันเป็นช่องที่สุด ขอเพียงแค่เราล่อพวกทหารที่อยู่ในค่ายนั้นออกมาแล้วผ่านช่องได้ ทุกอย่างก็จบ”


ดวงตาสีแดงของท่านแม่ทัพกินโทกิหรี่เล็กลงแล้วมองค่ายทั้งห้าที่ตั้งล้อมพระราชวัง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นทัพหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้กับผาสองลูกตามคำพูดของที่ปรึกษา


ทัพอาคเนย์....ดี! ข้าจะเป็นผู้นำกองกำลังไปตีมันเอง ซึระ เจ้าเร่งว่ามาว่าเจ้ามีแผนเช่นไร ข้าเชื่อฟังเจ้าทุกประการอยู่แล้ว


ฝ่ามือใหญ่ตบลงกับแผนที่บนโต๊ะตรงตำแหน่งเหยื่อรายแรกของการทวงอำนาจคืน นัยน์ตาของนักรบหนุ่มลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความมุ่งหวังและชัยชนะที่ไม่ไกลเกินเอื้อม คาซึระคลี่ร้อยยิ้มกว้างด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยมไม่ต่างกัน เขาคว้าไม้ไผ่เหลาเรียวยาวแล้วชี้ไปตามแผนที่ตรงหน้าอย่างช่ำชองราวเห็นภาพจริง แผนการรบอันแยบยลของที่ปรึกษาร่างบางผู้ชาญฉลาดถูกบรรจุลงกับสมรภูมิผ้าใบผืนใหญ่อย่างรวดเร็ว


ทัพอาคเนย์มีจุดอ่อนที่ว่าอยู่ใกล้กับหน้าผาเตี้ยสองหน้าผาที่หันหน้าเข้าหากัน ทำให้ช่องว่างระหว่างหุบเขานี้เป็นสถานที่ที่ง่ายต่อการโจมตี ขอเพียงเจ้าล่อพวกทหารมาอยู่ในรัศมีของหุบเขาได้ ชัยชนะจะเป็นของเรา!” คาซึระตีตรงจุด เร่งชี้แจงข้อด้อยของศัตรูก่อนอื่นใด รวดเร็ว ฉับไว ปานว่าตอนนี้เขาได้เข้าไปอยู่ในสนามรบเรียบร้อยแล้ว


ศึกครั้งนี้ เราเพียงแค่ต้องการทักทายทากาสึงิ เจ้าไม่จำเป็นต้องเตรียมทหารไปเกือบหมดค่าย ขอเพียงนายทหารเดินเท้าพันคนสำหรับล่อให้พวกมันออกจากค่ายแล้วไล่ตามมาถึงหุบเขา ทหารอีกจำนวนสองพันคนผู้เชี่ยวชาญเรื่องการยิงธนูได้แม่นแอบซุ่มอยู่บนหน้าผาทั้งสองด้านให้เต็ม และที่สำคัญที่สุด.....


เพียะ!


มือบางกำมั่นแล้วฟาดไม้เหลาไปที่หัวและท้ายหุบเขาเป็นดั่งทางเข้าและทางออก ดวงตาสีน้ำตาลคู่งามโชนโรจน์ด้วยความมั่นใจที่มีต่อชัยชนะ


ทหารม้าผู้มีฝีมือระดับนายกองที่จะคอยประกบหัวท้ายหน้าผาที่จะเก็บกวาดข้าศึกให้สิ้นซาก!”


กินโทกินิ่งงัน ดวงตาสีแดงคมกริบจับจ้องใบหน้าของที่ปรึกษาไม่กระพริบ ริมผีปากยิ้มพรายออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาชอบมอง...ชอบมองมาตั้งแต่เด็ก คาซึระนั้นเมื่อยามจริงจัง เมื่อเผยความตั้งใจและจิตวิญญาณที่มุ่งมั่นออกมานั้นเป็นสิ่งที่เขาหลงใหลไม่เปลี่ยนแปลง....และกินโทกิก็รับรู้


....ว่ามีใครอีกคนที่มองแบบนี้เหมือนกัน....


แผนการของเจ้ายอดเยี่ยม...ร่างสูงยิ้มให้คาซึระอย่างอ่อนโยนหันหลังแล้วสะบัดผ้าคลุมพรึ่บ เขาแหวกผ้าคลุมกระโจมออก เบื้องหน้าที่เขาเห็นคือลานกว้าง ทหารหลายกองร้อยยืนเรียงแถวตรงไม่ขยับเฉกเช่นรูปปั้น ทุกนายเชิดหน้าขึ้นอย่างสง่า ในมือถือศาตราวุธหลากหลายชนิดที่พร้อมจะสูบโลหิตของศัตรู กินโทกิก้าวออกไปอยู่ตรงหน้านายกองคนนึง แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเข้มชัดเจน


ทหารพร้อมดีหรือไม่?”


เรียนท่านแม่ทัพ ทหารของเรานั้นพร้อมรบทุกแผนการที่นายท่านจะบัญชา แม้ต้องตายในศึกใด ก็จะไม่ขอเสียดายชีวิตขอรับ!!” น้ำเสียงของนายกองผู้ห้าวหาญปลุกกำลังใจเหล่านักรับผู้กล้าที่จะทวงราชบัลลังก์คืนให้ฮึกเหิมไปอีกเป็นเท่า ดวงหน้าหล่อเหลาของกินโทกิเปื้อนรอยยิ้ม พยักหน้ารับคำรายงานแล้วเดินกลับมายืนอยู่ข้างๆที่ปรึกษาร่างโปร่งบาง ในมือของเขาถือดาบอาญาสิทธิ์สีทองและตราทัพอันหมายถึงผู้กุมอำนาจสูงสุดในทัพ แล้วตะโกนคำประกาษิตกร้าว


พวกเจ้าทุกคนจงฟัง!! พรุ่งนี้เป็นศึกครั้งแรกที่เราจะต่อกรกับทากาสึงิและกองทัพอสุรากบฏของราชสำนัก ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงเจ้าชายรัชทายาท แต่กลับประพฤติตัวเยี่ยงโจร ไม่สมควรที่จะเป็นผู้กุมอำนาจของผืนแผ่นดินนี้! พวกเจ้าทุกคนล้วนมีเลือดที่เป็นเลือดของแผ่นดินที่เข้มข้น รักในความถูกต้องตามธรรมนองคลองธรรม!!.....


...... ทุกคนเงียบกริบ ดวงตาทุกคู่มองที่แม่ทัพใหญ่หรืออีกตำแหน่งหนึ่ง องค์ยุพราชของโชกุนองค์ก่อนด้วยแววตาเปี่ยมศรัทธา เลือดในกายเดือนพล่าน ขนพร้อมใจกันลุกเกรียว พร้อมรับฟังประโยคปลุกใจประโยคสุดท้ายของผู้นำ


พรุ่งนี้ คนที่จะชนะต้องเป็นเรา....คนที่ชนะจะต้องเป็นคนของแผ่นดิน!!”


เฮ้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”


เสียงโห่ร้องและเสียงเคาะอาวุธกับเกราะหรือพื้นดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ดั่งกำลังจะบ่งบอกให้พระแม่ธรณีและสววรค์รับรู้ว่า พวกเขาพร้อมแล้วที่จะทวงความเป็นธรรมและความถูกต้องคืนมา แม้จะต้องเอาเลือดจากกี่ร้อยกี่พันศพของทแกล้วทหารมาหลั่งทาก็ไม่มีความหวั่นเกรงแม้แต่น้อย แม้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตใครก็ไม่ขออาลัยต่อโชคชะตา


ซึระ.... แม่ทัพหนุ่มร่างสูงหันมาหาที่ปรึกษา สีหน้าเข้มงวดที่ใช้จ้องกองกำลังใต้บังคับบัญชาอันตรธานหายไปจนกลายเป็นสีหน้าอ่อนโยน เขาเอื้อมมือไปจับมือบางของอีกฝ่ายมาถือไว้แน่น เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเรียบเรื่อยหากแต่ว่าก้องกังวานในหัวใจอย่างยาวนาน


ข้ายังจำความเจ็บปวดของเจ้าได้ดี...มันถึงเวลาแล้วซึระ....หัวใจของเจ้าจะถูกเยียวยาทีละนิดๆ ศึกวันพรุ่งนี้ข้าต้องชนะกลับมา เจ้าอย่าห่วง...


หือ? ใครว่าข้าห่วง ดวงหน้างามมุ่นคิ้วน้อยๆเพราะความขันหรือแปลกใจก็ไม่อาจรู้ พร้อมทั้งถอนมือออกจากมือของอีกฝ่ายช้าๆ เหมือนขอรับความปรารถนาดีและความจริงใจที่ส่งผ่านมาเพียงแค่คำพูดก็พอ ดวงตาสีน้ำตาลคมมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความจริงจัง คำพูดเด็ดเดี่ยวของคาซึระที่ฟังแล้วทำให้เข้มแข็งเสมอ


กินโทกิ...เจ้าต้องชนะ เพื่อแผ่นดินนี้ เพื่อสานต่อคำพูดสุดท้ายขององค์โชกุน ขอให้เจ้าคิดเพียงเท่านี้...อย่าได้คิดเป็นสิ่งอื่นให้รบกวนสมาธิ


แต่สำหรับกินโทกิแล้ว ตอนนี้...มันเคลือบแฝงไปด้วยความเย็นชา...


ความเด็ดเดี่ยวเยือกเย็นของเจ้ามักจะตักเตือนข้าเสมอ


ตักเตือนไม่ให้ข้าออกนอกลู่นอกทาง...หรือล้ำเส้นมากจนเกินไป...


ข้ารู้แล้ว...ซึระ



รู้แล้ว....


“...ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก”







ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!



สายลมพัดหวีดหวิวหอบเอาฝุ่นดินคลุ้งเลียดพื้น


เสียงกลองศึกดังสนั่นก้องกัมปนาททำให้เลือดในการไหลเวียนเร็ว หัวใจทุกดวงสั่นสะท้านเมื่อจะต้องมาอยู่ ณ วินาทีนี้ กองทัพปราบกบฏเคลื่อนทัพอย่างอาจหาญมาหยุดอยู่หน้าค่ายอาคเนย์แห่งกองทัพอสุราห่างกันเพียงสองลี้เท่านั้น ร่างสูงเรือนผมสีเงินยวงในชุดเกราะของนักรบสูงศักดิ์ดึงบังเหียนม้าให้หยุด พาหนะทรงสีดำสนิทเสียงร้องฮี้เบาๆพร้อมกับเสียงหายใจฟืดฟาด ธงสีเหลือง สีแห่งพระราชวงศ์ต้องลมปลิวไสว 


เบื้องหลังของกินโทกินั้นคือนายทหารเดินเท้าราวพันคน แต่เบื้องหน้านั้น คือข้าศึกประเมินจากสายตาได้ห้าพัน พร้อมกับแม่ทัพที่นั่งอย่างสง่าอยู่บนหลังม้า เขาคือบุรุษร่างใหญ่ที่มี ผมเรียบติดหนังศีรษะที่มีอยู่เพียงครึ่งหัวจัดทรงตามแบบซามูไรโบราณ ดวงตาคู่นั้นว่างเปล่าและไร้ความรู้สึกจับจ้องมายังกองกำลังของเจ้าชายรัชทายาทเหมือนไม่สะทกสะท้าน จนกินโทกิถึงกับสงสัยว่าแม้ข้าศึกบุกมาประชิดถึงเพียงนี้ จะไม่แสดงอาการอะไรหน่อยเลยหรือไร


ทาคาจิ เฮนเพตะ


ตึง!


เสียงกลองหยุด ความเงียบกริบโรยตัวลงกลางสมรภูมิรบ นัยน์ตาว่างเปล่าของแม่ทัพฝ่ายทากาสึงิหรี่ลงน้อยๆ ซึ่งเป็นอาการแสดงทางสายตาครั้งแรก ก่อนจะเอ่ยเหมือนไม่เชื่อสายตาตนเองเท่าใดนัก


“หากข้าจำไม่ผิด ท่านคือ ซากาตะ กินโทกิ เจ้าชายรัชทายาทอันดับหนึ่งไม่ใช่หรือ?....ทั้งๆที่ไม่ควรจะอยู่แล้วแท้ๆ น่าแปลกใจจริง”


ริมฝีปากของกินโทกิหยักยิ้มเล็กน้อย แค่นเสียงหัวเราะหึอย่างไม่ถูกใจอากัปกริยาของอีกฝ่าย “ไม่แปลกใจที่ข้าอยู่ก็ไม่ต้องเสแสร้งหรอก....ทากาสึงินายเจ้า ก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าสักวันต้องมีคนมาลากมันลงจากบัลลังก์อำนาจสูงสุดนั่น”


“ไม่เคยได้ยินท่านเคยพูด”


“ก็มันขี้ขลาด” กินโทกิโต้ทันที จนเรียกเส้นเลือดตรงขมับของคู่ต่อสู้ดีดตัวกันดังปึ้ด แต่ตัวเขาก็หาได้สนใจว่ากำลังพูดจาลบหลู่เชื้อพระวงศ์ ยังคงเอ่ยต่อไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่เกรงกลัว “ข้ากับมันอยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็ก ความคิดตื้นลึกหนาบาง มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ หากไม่ต้องการเสียเลือดเสียเนื้อ เจ้ารีบถอนทัพกลับวังหลวงแล้วบอกให้ไอ้กบฏแผ่นดินนั่นมาสู้กับข้าจนตายไปข้างดีกว่า!!


“ทัพอาคเนย์เป็นทัพของข้า ข้าจำต้องรักษาไว้ด้วยชีวิตไม่หันหลังกลับ กับแค่เดนราชวงศ์มิจำเป็นต้องร้อนถึงท่านทากาสึงิหรอก”


“สามหาว!เสียงทุ้มตวาดดังลั่น กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุกด้วยอารมณ์พิโรธจนสุดที่จะทน ดาบยาววาดแหวกอากาศชี้ไปที่ศัตรูปากวอนโดนคว้านท้องเบื้องหน้า แม่ทัพหนุ่มสั่งลั่น “ปราบกบฏ บุก!!!


“กองทหารอสุรา ประจันบาน!!! ทหารสองกองทัพย่อมๆกรูเข้าหากันอย่างรวดเร็ว เป็นดั่งคลื่นใหญ่สองลูกที่พร้อมเข้าปะทะกัน ทันทีที่เผชิญหน้า ศาสตราวุธสารพันชนิดก็กระทบกันเป็นเสียงดังเคร้งๆไม่หยุดหย่อน คมหอกคมดาบสะบัดเชือดเฉือนข้าศึกจนเลือดสีแดงฉานกระเซ็น ไม่อาจรู้ว่าเลือดฝ่ายใดเป็นฝ่ายใด รู้เพียงว่าจะต้องเข่นฆ่าฝ่ายตรงข้ามให้ด่าวดิ้นลงกับผืนแผ่นดิน


ฉัวะ!! ฉั่วะ!


“อ๊ากกก!!” เสียงร้องครวญของทหารเดินเท้าข้างล่างก้องเวียนอยู่ในโสตประสาทของกินโทกิที่กำลังประดาบบนหลังม้ากับทาคาจิ ตาต่อตา ฟันตาฟัน ดาบต่อดาบ หากคลาดสายตาเพียงเสี้ยว หัวของใครคนใดคงได้หลุดจากบ่าเป็นแน่แท้ ม้าของแม่ทัพทั้งสองควบไปมาให้เจ้านายที่อยู่บนหลังฟาดฟันกันด้วยท่วงทำนองเพลงดาบหายนะ รวดเร็วแต่รุนแรง ดุดันทว่าพลิ้วไหว จนมองไม่เห็นว่าเป็นคมดาบ


“หากฝีมือท่านมีแค่นี้ ท่านไม่อาจผ่านทัพอาคเนย์ไปได้!” ทาคาจิประกาศลั่นพร้อมกับสอดแทงดาบ เป้าหมายคือเส้นเลือดใหญ่ที่คอของกินโทกิ แต่แม่ทัพหนุ่มผู้มีพรสววรค์ก็สามมารถหลบได้อย่างพลิ้วไหว ดวงหน้าหล่อเหลาพราวไปด้วยเหงื่อหากแต่ว่าไม่เจืออาการหอบเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย นับว่าพลังกายของเขานั้นยังคงเหลือล้น


“เหอะ ทัพมดปลวกเยี่ยงทัพเจ้า อาศัยเพียงกลอุบายของที่ปรึกษาข้า ก็คงแตกย่อยยับแล้ว”


เคร้งงงง!!!


กินโทกิเกร็งข้อมือแล้วดีดดาบของทาคาจิให้ปลิวขึ้นฟ้า พร้อมอาศัยชั่ววินาทีที่ศัตรูมองขึ้นไปตามสัญชาตญาณหันกลับไปสั่งกองทัพของตนเองที่ตะลุมบอนอยู่เบื้องล่างจนฝุ่นคลุ้ง


“ถอยทัพ!!!!กินโทกิและทหารราบที่เหลือบรรลุภารกิจด่านแรกนั่นก็คือ การมาหลอกล่อยั่วประสาทของคู่ต่อสู้ให้ต่อกรด้วย จากนั้นให้ร้องว่าถอยทัพเพื่อให้ศัตรูนั้นได้ใจไล่ตาม ส่วนเป้าหมายที่กินโทกิและพรรคพวกทำทีหนีไปนั้นก็คือผาสองผาที่อยู่เยื้องไปจากทัพอาคเนย์


ความได้ใจของศัตรูจนสูญเสียความเยือกเย็นและไม่คำนึงถึงจุดอ่อนของภูมิศาสตร์นั้น คือหนทางแห่งหายนะ!


“ซากาตะ กินโทกิ เจ้าหันหลังให้กับสงครามรึ? เจ้าคนขี้ขลาด!


กินโทกิไม่สนใจกับเสียงก่นด่าที่ไล่หลังมา เขาสะบัดบังเหียนเร่งม้าให้เร็วขึ้น ดวงตามุ่งไปที่หน้าผาที่อยู่ไม่ไกล เสียงโห่ร้องของทหารทั้งหมดเหยียบหมื่นดังก้องพร้อมกับเสียงฝีเท้ากระแทกพื้นลูกรังจนฝุ่นปลิวคละคลุ้ง


เพียงชั่วอึดใจกินโทกิก็นำทัพของตนล่อข้าศึกมาถึงหน้าผาสูงตระหง่านสองผาหันหน้าเข้าหากันห่างเพียงครึ่งลี้ เสียงลมสะท้อนระหว่างผาสองลูกดังอื้ออึงน่าหวาดกลัว แสงอาทิตย์ถูกบดบังด้วยต้นไม้บนหน้าผายิ่งทำให้ช่องทางที่ผ่านนั้นค่อนข้างมืดทึม เหมาะกับเป็นสถานที่ซุ่มโจมตีจริงดังแผนการของคาซึระ


กินโทกิให้ลูกทัพถอยไปตั้งหลักจนถึงปากทางออกของหน้าผา เพื่อให้พื้นที่ที่เหลือในช่องทางผ่านเต็มไปด้วยกองทัพศัตรู เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจาก....


ลูกธนูนับแสนดอกที่ซุ่มเล็งมาจากด้านบนหน้าผา พร้อมที่จะปิดชีพศัตรูทันทีที่ได้รับสัญญาณ กองกำลังของอีกฝ่ายนั้นมีมากมาย ช่องเขาเล็กเพียงเท่านี้ยากที่จะระบายคนออกได้ทันในเส้นทางเข้าเส้นทางเดียว ทั้งทางออกก็มีแม่ทัพกินโทกิขวางทางอยู่ หากรอดออกไปจากกรงขังที่แน่นหนาเช่นนี้ได้ ก็ต้องนับถือว่าเป็นยอดฝีมือ


“ท่านหนีไม่รอดแล้วเจ้าชาย ยอมมอบหัวของท่านให้ข้าดีกว่า ส่วนคาซึระ โคทาโร่ที่ปรึกษาท่านข้าจะนำตัวไปคุกเข่าถวายตัวต่อหน้าท่านทากาสึงิ”


หืม? เจ้าว่าอะไรนะ ไอ้คนไม่เจียมตัวเอ๊ย!


“เจ้านี่ นอกจากสามหาวแล้วยังโลภมาก ที่ปรึกษาในวังหลวงผู้แตกฉานก็มีเป็นพะเรอเกวียน มายุ่งอะไรกับที่ปรึกษาข้า” 

กินโทกิหัวเราะหึเมื่อได้ยินชื่อของคาซึระหลุดออกจากปากทาคาจิ ก็ไม่น่าแปลกใจ...เป็นถึงหนึ่งในแม่ทัพของกองทหารอสุรา ก็น่าจะได้รับฟังเรื่องของเจ้านายผ่านหูมาไม่มากก็น้อย และตอนนี้กินโทกิก็รู้แล้วว่า ในความทรงจำของทากาสึงิ ชินสุเกะ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของวังหลวง ยังคงมีชื่อคาซึระ โคทาโร่ จารึกอยู่ไม่เปลี่ยนไป...


“เลิกพล่ามได้แล้ว พวกเรา ฆ่ามันให้หมดทุกคน!!


“เฮฮฮฮ!! ฆ่ามันนนนน!!!!


ทาคาจิตะโกนก้องจนเสียงสะท้อนหน้าผา นายทหารที่อยู่เบื้องหลังวิ่งกรูเข้ามาเช่นฝนห่าใหญ่ด้วยแววตากระเหี้ยนกระหือรือในกลิ่นเลือดและการเข่นฆ่า แต่นั่นไม่ทำให้แม่ทัพหนุ่มเรือนผมสีเงินสะทกสะท้าน เขายกมือขึ้นกลางอากาศแล้วสะบัดข้อมือเบาๆแล้วสั่งปลิดชีวิตหมู่ทหารด้วยเสียงกร้าว


“ยิงได้!!


ฉับพลัน ฝูงลูกธนูนับแสนดอกก็พุ่งลงมาปักร่างของทหารกองทัพอสุราเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความตกใจและไม่คาดคิด ทำให้กองทัพที่อยู่ภายในรัศมีของซอกเขาอยู่ในช่วงวิกฤติ หนีก็ไม่ได้ เดินหน้าก็ไม่ได้ ฟากซ้ายขวาเป็นเขา ต้องรอเวลาให้ลูกธนูจากเบื้องบนมาปลิดชีพก็เท่านั้น ซ้ำมันยังมาดุจฝนห่าใหญ่ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ และไม่ขาดตอนแม้เสี้ยววินาที ทหารหลายพันของกำลังจะถูกสังหารเรียบในพื้นที่แคบภายในชั่วพริบตา!


ฉึกๆๆๆๆๆๆ!!!


“อ๊ากกกกก!!!


“อั่ก!!


เสียงร้องระงมผสมผสานกับเสียงลูกธนูที่ปักทะลุเกราะ ทหารแห่งกองทัพอสุราร่วงตายเป็นใบไม้ร่วงต่อหน้าต่อตาท่านแม่ทัพทาคาจิที่ตอนนี้ได้แต่เบิกตานิ่งอึ้งนั่งอยู่บนหลังม้า ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะแพ้ทางสงครามได้ถึงขนาดนี้ ทหารทั้งหมดสูญเสียขวัญกำลังใจ และไม่กล้าที่จะบุก เพราะไม่รู้ว่าจะมีแผนการอะไรซ่อนอยู่อีก


“ไม่ไหวแล้วขอรับท่านแม่ทัพ ถอนทัพเถอะขอรับแล้วขอกำลังจากทัพหลวงมาช่วย” รองแม่ทัพร้องบอกด้วยความร้อนรน ซึ่งคำว่าถอนทัพนั้นช่างเป็นคำน่าอายสำหรับเกียรติประวัติของแม่ทัพของกองทหารอสุรายิ่งนัก แต่ในยามนี้เมื่อศัตรูมีบุ๋นที่เหนือกว่าแล้ว การยืดเยื้อรีรอต่อไปไม่เพียงแต่เป็นการทำลายขวัญตัวเอง แต่อาจจะเอาชีวิตไม่รอดเช่นเดียวกัน
แต่ความขายหน้าแสนเจ็บแสบครั้งนี้ จะไม่มีวันลืม


“ถอยทัพ เร็ว!


ทาคาจิและทหารที่เหลือราวสองร้อยนายจำต้องกัดฟันแล้วหันหลังกลับบากหน้าไปยังวังหลวง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของกองทัพปราบกบฏซึ่งนำโดยกินโทกิ แม่ทัพหนุ่มเรือนผมสีเงินแสยะยิ้มอย่างสะใจเมื่อมองศพทหารของอีกฝ่ายตายเกลื่อนพื้น กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งช่องผา โลหิตสาดกระเซ็นย้อมให้ก้อนหินก้นผากลายเป็นสีแดงฉาน น่าเสียดายอย่างที่ว่า ธงรบของกองทหารอสุรานั้นถูกนำหนีไปด้วย ไม่เช่นนั้นกินโทกิคงจะนำไปปักประจานที่ค่ายแสดงถึงชัยชนะ


“เรียนท่านแม่ทัพ ทาคาจิหนีไปได้ คาดว่าต้องนำข่าวการปราชัยของทัพอาคเนย์ไปแจ้งต่อทากาสึงิแน่ขอรับ”


“หึหึ ข้าก็คิดอย่างนั้น อีกอึดใจเดียว เดี๋ยวพวกเจ้าจะได้เห็นหน้าปิศาจตนหนึ่ง ปิศาจร้ายที่ฆ่าผู้มีพระคุณของตัวเองได้อย่างเลือดเย็น...” ใบหน้าหล่อเหลาเหยียดยิ้มหากแต่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น เสียงทุ้มต่ำคำรามในลำคอพร้อมกับนัยน์ตาสีแดงที่มักจะไร้ชีวาคู่นั้นกลับวาวโรจน์ เพียงแค่คิดถึงความรู้สึกอาฆาตยังพลุ่งพล่าน แต่ถ้าเห็นหน้าไม่รู้ว่ากินโทกิต้องใช้อะไรข่มใจ ไม่ให้ถลาเข้าไปฆ่าหมอนั่นซะ!


โชคดีแล้วที่ซึระไม่ได้มาด้วย....


หากจะเจ็บใจเขาจะเป็นผู้รับคนเดียวพอ....ไม่จำเป็นต้องให้คนๆนั้นจะเจ็บอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า





วังหลวง


กุบๆๆๆ!! กุบ..กุบ


แม่ทัพทาคาจิควบม้าเข้ามาในวังด้วยความเร็วสูงแล้วกระโดดลงจากหลังมันทันทีที่ถึงหน้าตำหนักรอง หรือศูนย์บัญชาการรบสูงสุด ที่เจ้านายของเขาประจำการอยู่ทั้งวัน ร่างสูงใหญ่ของชายวัยกลางวิ่งเข้าไปด้วยความรีบร้อน มิได้คำนึงถึงพิธีรีตองการเข้าเฝ้ามหาอุปราชเลยแม้แต่น้อย


“มหาอุปราชขอรับ! เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!!


น้ำเสียงเจืออาการหอบเกือบจับจังหวะไม่ได้ไม่ได้ยินง่ายๆนักสำหรับแม่ทัพทาคาจิ ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงในกิโมโนชั้นดีสีม่วงที่ยืนอยู่บนแท่นทองคำสูงสุดหันมา ดวงตาเรียวคมกริบสีเขียวเพียงมองก็รู้สึกหวาดกลัวขนลุก เส้นผมสีดำขลับระดวงหน้าหล่อเหลาคมคายที่ไม่มีผู้ใดกล้าจ้อง ด้วยความว่าเกรงในรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมา ริมฝีปากของเขาแสยะยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเยือกเย็น หากแต่ทรงพลังยิ่ง


“ที่ท่านแม่ทัพทาคาจิรีบพรวดพราดเข้ามา ธุระคงจะเรื่องใหญ่ มีอะไรเร่งว่ามา”


“โดนบุก! กองทัพอาคเนย์โดนบุกขอรับ โดยกองทัพปราบกบฏนำโดยแม่ทัพผู้หนึ่งซึ่งมีผมหยักศกสีเงิน ดูท่าแล้วคือเจ้าชายรัชทายาท ซากาตะ กินโทกิไม่มีทางสงสัย!


“กินโทกิรึ!?” ดวงตาสีเขียวทรงอำนาจเบิกขึ้น ใบหน้าแสดงอาการแปลกใจหรือตื่นเต้นไม่อาจรู้ได้ ร่างสูงก้าวลงมาจากแท่น จ้องใบหน้าของแม่ทัพตัวเองอย่างจริงจัง “เจ้าแน่ใจ? ว่าเจ้าจำไม่ผิดคน”


ไม่ผิดแน่ขอรับ ทัพอาคเนย์ของข้าโดนเจ้าชายกินโทกิบุกจริงๆ กองกำลังและกลยุทธ์กล้าแข็งมากขั้นตีทัพของข้าแตกภายในครึ่งชั่วยาม บัดนี้ทหารในค่ายตายเกลื่อนอยู่ที่ช่องผา...


ทากาสึงิฟังรายงานแล้วถึงกับนิ่งอึ้งไป เขาไม่ได้แปลกใจที่ว่ากินโทกิลูกพี่ลูกน้องของเขานั้นมีชีวิตอยู่ เพราะเป็นตัวเขาเองที่ปล่อยเสือร้ายเช่นกินโทกิเข้าป่าไปเมื่อห้าปีก่อน แต่สิ่งที่เขาประหลาดใจคือ กองทัพอาคเนย์หนึ่งในทัพทั้งห้าที่คุ้มครองพระนครนั้นถูกตีแตกเพียงแค่ชั่วเวลาน้อยเพียงนั้น หากไม่ใช้กองกำลังมีฝีมือการสู้รบที่ดี แผนการรบก็ต้องชาญฉลาดยิ่ง


นี่หรือว่า...


เตรียมม้าเดี๋ยวนี้! ข้าจะไปช่องผาที่ว่านั่น!!”


ขะ ขอรับ!”


ร่างสูงของมหาอุปราชผู้ทรงอิทธิพลก้าวเดินอาดๆออกไปนอกตำหนักท่ามกลางการโค้งคำนับอย่างฉับไว ก่อนจะกระโดดขึ้นอาชารูปร่างกำยำตัวสีดำเป็นมันขลับ แล้วห้อตะบึงออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับแม่ทับทาคาจิที่เป็นผู้นำทาง ตลอดระยะทางบนหลังม้า สายลมที่ปะทะใบหน้าคมคายเพราะความเร็วไม่ทำให้ใจของทากาสึงิเย็นลงแม้แต่นิด ร่างกายของเขาร้อนรุ่มไปกับสมมติฐานที่อยู่ในสมอง หัวใจที่ใครต่อใครว่าไม่มีในทรวงอกของแม่ทัพใหญ่ผู้กระหายสงครามคนนี้กำลังทำงานหนัก มันเต้นกระหน่ำเมื่อนึกถึงหน้าของใครบางคนที่เขาปรารถนาว่าจะได้พบเมื่อถึงปลายทาง....



ซึระ.....








อีกฝั่งหนึ่ง กองบัญชาการหลักปราบกบฏ


ร่างบางสูงระหงของที่ปรึกษาทัพนั่งอยู่บนเก้าอี้ ในมือบางจับพู่กันจุ่มหมึกแล้วเขียนอักษรอย่างใจเย็น หมดกระดาษไปแล้วก็หลายต่อหลายแผ่น ตัวอักษรงดงามบรรจงบ่งบอกลักษณะนิสัยของผู้เขียนก็ยังเหมือนกันทุกตัวสม่ำเสมอ ซึ่งก็ไม่อาจรู้ได้ว่าที่ทำอยู่นี้เป็นงานอดิเรกของคนสงบเยือกเย็นเช่นเขา หรือกำลังข่มใจตัวเองไม่ให้ร้อนไปกับศึกสงครามในวันนี้
นิ้วเรียวที่ถือพู่กันอยู่ตวัดตัวอักษรตัวสุดท้ายแล้ววางมันลงกับจานรองแผ่วเบา พร้อมๆกับมีนายทหารคนหนึ่งในชุดเกราะยังเปื้อนเลือด เหงื่อไหลโทรมกาย เข้ามาคุกเข่าคารวะแจ้งข่าวคราวความเป็นไปล่าสุดของกองทัพตน


ขออภัยที่รบกวน ท่านคาซึระขอรับ ทัพของเราได้ชัยแล้วขอรับ!”


จริงรึ!?”


เพียงได้ฟังน้ำเสียง ก็รู้ได้ทันทีว่าพวกทหารนั้นมีกำลังใจพร้อมสู้รบต่อไปอย่างเต็มเปี่ยม รอยยิ้มอ่อนโยนวาดบนใบหน้างาม รู้สึกยินดีไปด้วยกับชัยชนะในก้าวแรกของการทวงบัลลังก์ และเหนือสิ่งอื่นใดรู้สึกภูมิใจในตัวท่านแม่ทัพคนนั้นที่ไม่ว่าผ่านไปสักกี่ปีก็ไม่เคยทำให้คนรอบข้างผิดหวัง ทั้งองค์โชกุน อาจารย์โชโยพี่ชายเขา หรือแม้กระทั่งตัวเขาเอง


.....เจ้ายอดเยี่ยมเสมอ....กินโทกิ


ถ้าเช่นนั้นข้าก็ควรไปสนามรบ ร่างโปร่งบางลุกขึ้นยืนทันทีแล้วทำท่าจะผลุนผลันออกไปแต่เดี๋ยวนั้น ทำให้คนส่งข่าวถึงกับหน้าอึ้งไปสักพัก กวักมือกวักไม้แล้วร้องเรียกแทบหน้าคะมำพื้น


ไม่ได้ๆๆ ไม่ได้นะขอรับท่านคาซึระ! ท่านแม่ทัพตรัสสั่งไว้ว่า ห้ามให้ท่านออกจากค่ายเด็ดขาด


ทำไม?” คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าด้วยความสงสัยจากใจจริง อย่างน้อยข้าต้องนำหน่วยแพทย์และกองกำลังเสริมไปรับพวกเขา แผนการของเรานั้นถึงแม้ว่าฝ่ายกบฏจะได้รับความปราชัย แต่กองทัพเราก็ได้รับความเสียหายไม่ต่างกัน...


ตะ แต่ว่าเป็นคำสั่ง... ชายหนุ่มเริ่มเสียงสั่นเพราะเถียงความเป็นเหตุเป็นผลของที่ปรึกษาคนเก่งแห่งกองทัพไม่ไหว แถมยังโดนฝ่ามือบางยกขึ้นเบรกอีกต่างหาก


ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ไปเตรียมม้าให้ข้าและบอกให้พวกทีมแพทย์เตรียมตัว แล้วแจ้งท่านรองแม่ทัพด้วยว่าให้อยู่ค่ายแทนข้าสักประเดี๋ยว


เอ่อ...ระ รับทราบขอรับ ชายหนุ่มเร่งหลีกทางให้กุนซือแห่งทัพที่มีความตั้งใจสูงส่งไม่อาจโน้มน้าวได้ เขาก็เพียงแต่ภาวนาในใจว่าเท่านี้คงไม่ทำให้ท่านแม่ทัพกินโทกิสั่งประหารชีวิตเขาหรอกกระมัง...


ร่างสูงโปร่งกระโดดขึ้นคร่อมม้าสีขาวสะอาด พรั่งพร้อมด้วยกลุ่มแพทย์กลุ่มใหญ่และกองกำลังช่วยเหลืออีกหลายร้อยคนที่ติดตามไป คาซึระหันไปตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้งจากนั้นก็ควบม้าออกไปทันทีด้วยใจที่เป็นห่วงเหล่าทหารที่ยังค้างในสมรภูมิ


บางทีที่ปรึกษาทัพของกองกำลังปราบกบฏอาจไม่เก่งกาจพอที่จะรู้ในโชคชะตาหรือการตัดสินใจของพระเจ้า...
ทำได้เพียงสนองเจตนารมณ์ของโชคชะตาที่เบื้องบนมอบให้...


โชคชะตาที่ต้องเผชิญหน้ากับใครอีกคราหนึ่ง.....







ช่องผา


กินโทกิยังคงนั่งอยู่บนหลังม้าและอยู่ที่เดิมเพื่อจงใจรอคนบางคนที่แน่ใจว่าต้องกระทืบม้าแล้วมาที่นี่อย่างแน่นอน ไม่ทันขาดคำดี ม้าสองตัวก็พาร่างของนักรบมาอยู่ตรงทางเข้าช่องผา ฝุ่นคลุ้งตลบอลอวลเพราะฝีเท้าที่ไม่ใช่ความเร็วธรรมดาๆ แต่พอเมื่อฝุ่นนั้นจางหาย ก็ทำให้เห็นได้ชัดเจนเต็มสองตา ทำให้กินโทกิเผยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่...รอยยิ้มแห่งความดูแคลน


ชายหนุ่มวัยเดียวกันในกิโมโนเนื้อผ้าอย่างดีสีม่วงลวดลายผีเสื้อโบยบิน เรือนผมสีดำขลับ ดวงตาคมกริบจนน่าขนลุกสีเขียว ริมฝีปากนั้นยังคงแย้มยิ้มแบบเดิมๆ....รอยยิ้มแห่งความชั่วร้ายปานปิศาจ


ทากาสึงิบังคับม้าให้เดินเข้าไปในช่องผาช้าๆ แม้ว่าตอนนี้ฝ่ายตนจะมีเพียงสองคนแต่ก็ไม่มีท่าทีหวาดหวั่นใดๆราวกับว่าที่อยู่เบื้องหน้านั้นเป็นเพื่อนฝูงอย่างนั้น และไม่ลืมทีจะเอ่ยคำทักทายน้องชายต่างมารดาของตนที่ไม่เจอกันถึงห้าปี
เป็นเช่นไรหรือ...กินโทกิ ดูท่าทางเจ้าสบายดี ถึงได้เอากองทัพมาถล่มค่ายอาคเนย์ข้าจนราบเป็นหน้ากลองเช่นนี้


หึหึ พวกข้า ก็สบายดีจริงๆ แล้วเจ้าเล่า? อำนาจในราชสำนักที่แย่งชิงมาทำให้เจ้าสบายหรือร้อนเป็นไฟกันล่ะ หือ?”
น้ำเสียงเหน็บแนมที่ตั้งใจโดยเฉพาะส่งมาพร้อมรอยยิ้มเชือดเฉือน แต่ทากาสึงิไม่ได้สนใจประโยคหลัง เพียงแค่คำสองพยางค์ว่า พวกข้าก็กระตุกหัวใจของท่านแม่ทัพใหญ่ของกองทหารอสุราได้ ดวงหน้าหล่อเหลาคมคายเริ่มปราศจากรอยยิ้ม มีเพียงความเย็นชาที่จะแช่แข็งคู่กรณีให้เยือกเย็นไปจนถึงไขสันหลัง เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์


เจ้าเอาหมอนั่นเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสงคราม


คนที่เริ่มคือเจ้า ทากาสึงิ...ไม่ใช่ข้า หมอนั่นได้เลือกเองว่าจะทำอะไร คำว่าเลือก เป็นคำที่สองที่ทรงอิทธิพลกับแม่ทัพหนุ่ม ดวงตาคมกริบหรี่ลงอย่างประเมินคนเบื้องหน้า บุรุษเรือนผมสีเงินคนนั้นเติบโตขึ้นมากจริงๆ ไม่ใช่ซากาตะ กินโทกิที่มีนิสัยเด็กๆอย่างแต่ก่อน รู้จักพูดกระทบกระทั่งคนเป็น หรือแม้กระทั่งสั่นคลอนจิตวิญญาณคู่ต่อสู้ด้วยวาจา


สายต่อสองคู่สบกันอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนจะดึงจุดตายของอีกฝ่ายออกมาให้ได้ ต่างฝ่ายต่างเงียบงันและหนักใจขึ้นมา ฝ่ายทากาสึงิแม้มีกำลังพลมากกว่า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเทียบกับฝ่ายกินโทกิที่มีที่ปรึกษาซึ่งแตกฉานและรอบคอบไปเสียทุกเรื่องเช่นคาซึระได้หรือเปล่า ส่วนกินโทกิ เขาก็ไม่รู้ว่าจะรักษาคนที่ล้ำค่าเช่นนั้นไว้ได้นานเพียงใด...


ไม่ทันที่จะโต้ตอบอะไรต่อ ดวงตาแข็งกร้าวของทั้งสองฝ่ายของชะงักและอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างใกล้เข้ามา มันเป็นสัมผัสทางกลิ่นที่หอมอวลอลอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งทั้งคู่ไม่มีวันลืม ดวงตาของพวกเขามองทะลุไปทางด้านหลังโดยอัตโนมัติ ไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่คาดการณ์ ร่างสูงบางระหงบนอาชาสีขาวกำลังควบใกล้แหวกกองทหารเข้ามา


ซึระ!!” กินโทกิลูบผมตัวเองแรงๆอย่างหัวเสีย เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร!? ข้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าออกจากค่าย!”


ข้าก็มารับพวกเจ้าน่ะสิ พวกเจ้าหลายคนได้รับบาดเจ็บ ต้อง.... น้ำเสียงนุ่มทุ้มกลืนในลำคอหายไปเมื่อดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองเบื้องหน้าเต็มสองตา คาซึระนิ่งงัน เมื่อเห็นบุรุษอีกคนบนหลังม้าตรงข้ามกับกินโทกิและตัวเขาเอง...เขาไม่อาจขยับร่างกายได้ เพียงแค่แรงที่จะถือบังเหียนคุมม้ายังแทบจะไม่มี ความเจ็บปวดเช่นเจ็บแผลเก่ามันแล่นจากหัวใจไปทั่วร่าง ชาจนไม่รู้สึกอะไร ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่เมื่อเห็นเขาแล้วกลับยิ้ม...


ยิ้มด้วยรอยยิ้มบางเบาและดวงตาที่ห่วงหามานาน...




ห้าปีแล้วที่ข้าไม่ได้เจอเจ้า....ซึระ


ทะ ทากาสึงิ...


.


.


.

TBC…

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น