Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 27 วินด์เคจ...กรงจับวายุ
“รายได้จากกระสุนปืน แยกมาเลย เอ็มสิบหก วอเทอร์พีพีอาร์ บาเร็ตต้า อาร์ก้า ไรเฟิล แมชชีน”
“ครับๆ”
“ต่อไปอาวุธระยะกลาง...ระเบิด
เรียงมาตั้งแต่ไดนาไมต์ สเลอร์รี อีมัลชัน ANFO”
“ครับ ได้แล้วครับ”
“เอากำไรมาด้วยสิเฟ้ย!
อย่างนี้ฉันจะเช็กได้มั้ย หา!!”
“คร้าบบบ”
โหด...
เข้มงวด...ละเอียด...แม้แต่ตัวเลขทศนิยมหลักเดียวก็ไม่ให้ตกหล่น
เขากลับมาอย่างแน่นอนแล้วล่ะ
ร่างโปร่งบางเรือนผมสีเงินยวงในชุดสูทสีดำดูสง่างามกำลังนั่งเรียงแฟ้มเอกสารที่ลูกน้องขนมาเต็มอ้อมแขนประมาณสี่ห้ารอบ
ตอนนี้ห้องทำงานของวายุแห่งวองโกเล่เกลื่อนไปด้วยแฟ้มสีดำที่แต่ละเล่มหน้าพอทุบหัวหมาให้สลบไปสามวัน
พอออกจากโรงพยาบาลได้ มือขวาแห่งวองโกเล่ก็ไว้ลายทันที
ทำงานชนิดที่ว่าการนอนโรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อนเป็นเพียงเรื่องโกหก แน่นอน
เพราะคนๆนี้ห่างเหินไปจากงานเอกสารของวองโกเล่ถึงเดือนครึ่ง พอเห็นแฟ้มก็ยิ้มกริ่มเอามือลูบมันราวกับคิดถึงมานาน
เล่นซะลูกน้องอิจฉาแฟ้มไปเป็นแถบๆ!
ถึงจะรู้มาบ้างว่า มุคุโร่ได้ช่วยเช็กไปให้บ้างแล้ว
แต่ก็ยังมีอีกหลายฉบับที่ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของมือขวาแห่งวองโกเล่เท่านั้น พอพ่อสายหมอกคนเก่งรู้ว่ามือขวาออกจากโรงพยาบาลก็รีบเอาแฟ้มขนใส่ปอร์เช่ประจำตำแหน่งมาถวายให้เขาถึงตึก
ต้องขอบคุณมันอีกคน...
“เหอ? ปาสติสวิลลา
แฟมิลี่ ทำไมกำไรของไอ้แก๊งค์นี้มันมากเกินควรฟะ”
มือขวาของวองโกเล่ขมวดคิ้วเป็นปมชักเริ่มสงสัยเมื่อเห็นใบรายการรายได้ของแฟมิลี่คู่แข่ง
ทำให้เลขาประจำตัวเลยรีบรุดเข้ามาดู
“ดูสิมันส่งออกอาวุธน้อยกว่าเรา
แต่กำไรของมันเกินเราไปถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์
อย่างนี้ถ้ามาหารเฉลี่ยเป็นขายปลีกแล้ว
กำไรมันสูงเกินที่ตกลงกันไว้เมื่อครึ่งปีก่อนชัดๆ!”
“อาจเป็นการเล่นไม่ซื่อนะครับท่านโกคุเดระ
แต่เรื่องนี้เรายังไม่มีหลักฐานแน่ชัด เอกสารชุดนี้เป็นเอกสารของทางเรา
คิดว่าถ้าใช้เอาไปอ้างคงได้ถูกฟ้องกลับว่าปรักปรำแน่นอนครับ”
เลขาชี้แจงพร้อมเหตุผล ยิ่งทำให้ร่างโปร่งบางเครียดหนักขบฟันกรอด
คำสบถพรืดดังจากริมฝีปาก
“ลอบกัด! นี่มันคิดตุกติกขนาดนี้เชียวเรอะ
เท่าที่ฉันจำได้ไอ้ปาสติสวิลลาก็โกงกำไรจากเราไปครั้งนึงแล้ว
แต่ตอนนั้นรุ่นที่สิบบอกว่าให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสักครั้ง
แต่ครั้งนี้ดูท่าว่าจะปล่อยไปไม่ได้!”
เพิ่งกลับมาไม่เท่าไหร่ก็มีงานซะแล้ว
ฉันนี่ถูกโฉลกกับงานพวกนี้หรือยังไงนะ
“แล้วจะทำยังไงต่อไปครับ
ดูท่าปาสติสวิลลาจะระวังตัวมากขึ้น เพราะวองโกเล่คงจะรู้ตัวแล้วแน่นอน”
“ฉันจะเอาข้อมูลนี้ขึ้นเสนอรุ่นที่สิบ
ส่วนแกไปเรียกผู้พิทักษ์ทั้งหมดและหัวหน้าหน่วยที่เกี่ยวข้องกับงานธุรกิจการค้ามา
อีกครึ่งชั่วโมงเตรียมประชุม”
หันไปสั่งการเรียบร้อยอย่างขึงขัง
เลขาแห่งตึกวายุโค้งตัวรับบัญชาแล้วผละออกไปจากห้อง ทิ้งให้มือขวาพับเอกสารแล้วถือไว้ในอ้อมแขน
นึกถอนหายใจเล็กน้อย
ที่ต้องเดินจากตึกวายุไปถึงหอบัญชาการใหญ่เพราะระยะทางของเขามันไกลที่สุด ทั้งไกล
ทั้งน่าเบื่อ
...ก็เพียงแต่หวังว่าจะไม่มีคนมาเดินรับ
และชวนคุยจนสายเหมือนทุกครั้ง...
หอบัญชาการใหญ่วองโกเล่แฟมิลี่
อีกสามสิบนาทีต่อมา
เอกสารปึกใหญ่วางเรียงรายบนโต๊ะ
ตามตำแหน่งของผู้บริหารระดับสูงที่เรียงตั้งแต่หัวโต๊ะจนถึงท้ายโต๊ะ
นภาแห่งวองโกเล่ ซาวาดะ
สึนะโยชินั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดพลางกวาดตามองผู้เข้าประชุม ข้างขวาของเขาคือมือขวาเจ้าของผมสีเงินที่เป็นผู้เรียกการประชุม
ทางซ้ายที่นั่งตรงข้ามกับมือขวาคือผู้พิทักษ์พิรุณผมสีดำสนิทในชุดสูทสีไม่ต่างจากเรือนผม
และหลังจากนั้นจึงเป็นผู้พิทักษ์คนอื่นๆ และบุคคลากรชั้นสูงของแฟมิลี่
จะว่าไปนภาคิดถึงคนที่นั่งประกบซ้ายขวากันมากที่สุด
จำได้ว่าการประชุมครั้งล่าสุดสองตำแหน่งนี้ว่างเอาไว้
พอมีคนมานั่งเก้าอี้สองตัวนี้แล้วก็อดยินดีไม่ได้
ไม่บอกก็คงรู้ว่าที่มานั่งหน้าสลอนเต็มโต๊ะไม่ขาดไปแม้แต่คนเดียว
ก็เพราะมือขวาแห่งวองโกเล่เกิดแผลงฤทธิ์ขึ้นมา
“จากรายงานครับรุ่นที่สิบ ปาสติสวิลลา
แฟมิลี่ เกิดการเล่นไม่ซื่อ
กำไรสูงจากคู่แข่งการค้ารายอื่นที่ตกลงกันไว้เมื่อครึ่งปีก่อน
ถึงอย่างนี้จะดูไม่ชัดก็จริง แต่ถ้ามาเฉลี่ยเป็นขายปลีกแล้ว
แม้แต่ปืนหนึ่งกระบอกกำไรของมันมากกว่าวองโกเล่ถึงสองเท่า
เรื่องนี้ผมเคยเสนอรุ่นที่สิบไปไม่นานมานี้ แต่ว่าครั้งนี้ผมคิดว่าไม่ควรนิ่งเฉยอีกต่อไป”
น้ำเสียงของวายุคนเดิมแห่งวองโกเล่กล่าวรายงานต่อที่ประชุม
แม้จะเป็นน้ำเสียงราบเรียบสุภาพเพราะอยู่ต่อหน้าสาธารณะแต่ก็แฝงไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
ดวงเนตรสีมรกตวาววับอย่างเอาจริง
ยกเว้นพวกผู้พิทักษ์แล้ว
เล่นเอาเหล่าลูกน้องเสียวสันหลังกันไปเป็นขบวน
“อืม...เรื่องนี้คิดว่ายังไงครับทุกคน
ปาสติสวิลลาเป็นคู่แข่งทางการค้ากับเรามานาน
ที่ผ่านมาไม่เคยฉ้อโกงและรักษาสัญญาอย่างดี เพิ่งมามีข่าวฉาวก็เร็วๆนี้นะครับ” สึนะโยชิให้ข้อมูลเพิ่มเติม นั่นทำให้สายหมอกที่นั่งเงียบอยู่ขยับยิ้ม
ดวงหน้าของจอมขมังเวทย์แห่งวองโกเล่ดูลึกลับทุกทีเวลาคิดอะไร(ไม่ค่อยดี)ออก
“ผมว่าควรจะให้โกคุเดระคุงไปเจรจาตักเตือนก่อน
ถ้าฝ่ายโน้นยังคงดื้อด้านค่อยลงมาตรการขั้นเด็ดขาด”
“เบาไป!” วายุค้านเสียงห้วนทันควันจนคนอื่นสะดุ้ง
“ทำแบบนี้ควรตัดหางปล่อยวัดไปได้แล้ว
อย่าลืมนะว่านี่มันครั้งที่สอง วองโกเล่ไม่เคยให้โอกาสพวกตีสองหน้ากลับใจมากขนาดนั้น”
บรรยากาศของห้องประชุมเคร่งขึ้นในเสี้ยวนาทีที่มือขวาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่สายหมอกเสนอความคิด
แต่มุคุโร่ก็คือมุคุโร่ ยั่วโทสะคนอื่นด้วยวาจาคือเรื่องถนัดเหนืออื่นใด
“การทำอะไรต้องมีขั้นมีตอนนะครับ โกคุเดระคุง
ครั้งก่อนเราปล่อยไปเฉยๆ
แต่ครั้งนี้กลับจะให้ตัดออกจากเครือการค้ามันก็ปุบปับไปหน่อย
วองโกเล่ไม่ชอบพวกตีสองหน้าก็จริง แต่ก็ไม่ใช่พวกที่ไร้มนุษยธรรมไม่เห็นแก่หน้าคนอื่น...ถูกมั้ยครับ”
คำกล่าวเชือดนิ่มๆของสายหมอกกลางที่ประชุมทำให้วายุทวีความหงุดหงิด
จะพ่นคำด่าก็คงไม่ได้ ได้แต่สาปแช่งมันอยู่ในใจอย่างนั้น
ก่อนจะเบือนหน้ากลับมาทางนภาเพื่อถามคำตัดสิน
แต่ตอนนั้นเองที่สายตาปรายมองคนที่นั่งตรงข้ามอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ดวงตา...คู่นั้น
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นจ้องเขาอยู่
เป็นดวงตาที่ดูฝืนยิ้มอย่างเห็นได้ชัด ความจริงเขารู้สึกว่าถูกจ้องมาตั้งนานแล้ว
พอเห็นตาหมอนี่ชวนให้คิดถึงคำสารภาพบาปที่แสนเจ็บปวด
แน่นอนว่าตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลเขาพยายามหลบหน้าพิรุณตลอด ไม่ได้คุยสักคำ ตอนนี้ก็เช่นกัน
เพียงเสี้ยววินาทีเนตรสีมรกตกวาดผ่านคนตรงหน้าราวกับว่าเป็นเพียงอากาศธาตุ
หันไปหาบอสของตัวเองเต็มสองตา
“เอายังไงดีครับรุ่นที่สิบ”
“อ่า...อื้ม
ฉันว่าวิธีของมุคุโร่ก็ดีนะโกคุเดระคุง สงสัยต้องรบกวนนายไปเจรจากับทางโน้น
ผลเป็นยังไงคงจะได้คุยกันอีกที...ได้หรือเปล่า?”
คำขอร้องนุ่มนวลของนภาเล่นเอามือขวาเคลิ้ม
ในใจเผลอเห็นดีเห็นงามกับความคิดของสายหมอกไปเต็มเปา ร่างโปร่งบางยืนขึ้นตอบรับอย่างแข็งขันให้สมกับมือขวาแห่งวองโกเล่ค้ำคอที่เจ้าตัวก็พยายามกลืนมันลงไปอย่างทุกเมื่อเชื่อวัน
“ได้เลยครับ วางใจเถอะครับ
ท่านรุ่นที่สิบ”
“ขอบใจนะ แล้วจะเอาผู้ช่วยไปหรือเปล่า
เอ้อ...ยามาโมโตะ” สิ้นสุดเสียงเรียก พิรุณแห่งวองโกเล่ก็สบตานภาขวับเหมือนคนสัปหงกแล้วโดนเรียก แต่ไม่ทันที่จะเอ่ยปากอะไรออกมา
มือขวาคนเก่งก็ชิงตัดหน้าเสียก่อน เป็นคำตอบรับที่พิรุณอยากจะยกมือขึ้นมาปิดหูเพราะไม่อยากจะฟัง...
“ไม่จำเป็นครับ...ไม่จำเป็นแม้แต่นิด”
ไม่จำเป็น...หรอ
พิรุณหลุบดวงตาต่ำนึกปลงในคำปฏิเสธ
แต่ถึงกระนั้นยังไม่เจ็บเท่ากับดวงตาที่ตวัดมองมาอย่างเย็นชา
น้ำเสียงราบเรียบอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อนตั้งแต่รู้จักคนๆนี้
“ตะ แต่ว่า มันอันตรายนะ
ฉันให้ยามาโมโตะตามไปดีกว่ามั้ย”
“ไม่เป็นไรครับ
เราแค่ไปเจรจาเท่านั้นเอง อีกอย่างผู้พิทักษ์พิรุณงานคงจะพอตัวอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องมาช่วยผมแต่อย่างใด”คำเหน็บแนมแทงเข้าไปในหัวใจของผู้ที่ถูกกล่าวถึง ทำให้สึนะโยชิพูดต่อไม่ได้
ทำได้เพียงแต่หันมาส่งสายตาขอโทษพิรุณเท่านั้น คำพูดเพียงไม่กี่ประโยค
แต่มันทำให้ความเสียใจแล่นเป็นริ้วๆทั่วร่างกายแม้ใบหน้ายังคงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
แม้แต่ชื่อ...นายยังไม่เรียก
แม้แต่หน้า...นายยังไม่มอง
ฉันไม่จำเป็นที่ต้องอยู่เคียงข้างนายงั้นเหรอ...โกคุเดระ
การประชุมจบลง
สรุปที่วายุต้องไปเจรจากับปาสติสวิลลาแฟมิลี่
เจ้าตัวเลยเดินออกจากห้องประชุมก่อนใครทั้งหมด ตามด้วยพิรุณที่ลุกพรืดเดินตามไปติดๆ
และลูกน้องที่ทยอยเดินออกไป
สุดท้ายก็เหลือเพียงแต่เหล่าผู้พิทักษ์แห่งวองโกเล่
ที่ตอนนี้สายหมอกยังยิ้มไม่หุบ ไม่ต้องเดาให้เปลืองสมองมากนัก
คนๆนี้มีอะไรในกอไผ่แน่นอน
“เล่นอะไรของแก...คิดเรอะว่ามันจะใช้ได้ผล” เนตรสีดำขลับของเมฆาเหลือบมองเจ้าคนแผนมากอย่างรู้ทัน ยิ่งทำให้สายหมอกหัวเราะออกมาเบาๆ
“คึหึหึหึ
เห็นท่าทางยโสของสายลมที่แสนซนของพวกเราแล้ว มันอดไม่ไหวนี่ครับ
นับว่าไม่เสียแรงที่ดูแลเรื่องเอกสารของ โกคุเดระคุงตอนที่เขาป่วย”
“ให้มันน้อยๆหน่อยโรคุโด
ถ้าไอ้เจ้าหัวปลาหมึกรู้ มันตามไปเผาแกถึงตึกแน่”
อรุณปรามอย่างขยาด แต่ใบหน้ายิ้มๆนั้นก็เป็นเชิงว่าเขาไม่ได้คิดจริงจัง
ก็มันน่าสนุกไม่เลวนี่นาแผนของหมอนี่น่ะ ตอนแรกก็ไม่รู้
แต่พอมาอ่านข้อมูลของไอ้ปาสติสวิลลาแฟมิลี่อะไรนี่ดูก็ถึงบางอ้อ
“ตกลงว่าทุกคนมีอะไรกันหรอ...ทำไมดูร่าเริงขนาดนั้น” นภาผู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรถามหนาตาเหรอหรา
ส่วนเด็กๆอย่างอัสนีก็พยักหน้าเห็นด้วย แผนเผินอะไรกัน ทำไมเขาไม่เห็นรู้เรื่อง
เวลามีเรื่องลับลมคมนัยทีไรต้องเป็นพวกตามไม่ทันสิน่า
สายหมอกแห่งวองโกเล่หันหน้ามาหานภาแล้วขยับยิ้มบางแล้วส่งประวัติของบอสแห่งปาสติสวิลลาแฟมิลี่ให้ดู
ก่อนจะอธิบาย
“บอสของปาสติสวิลลาชื่อ รีอัลโต ครับ
แต่ส่วนใหญ่คนในวงการมาเฟียจะรู้จักในอีกชื่อหนึ่งที่เป็นฉายาของเขามากกว่า”
“ฉายา?”
นภาทวนเบาๆ โรคุโด มุคุโร่พยักหน้ารับ ก่อนที่ดวงตาสองสีประประกายวาว
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กรีดบนใบหน้าอย่างปิดไม่มิด ทำให้ห้องทั้งห้องหนาวยะเยือก
“วินด์เคจ ( Wind Cage)”
“โกคุเดระ...เดี๋ยวสิ”
“...”
“โกคุเดระ”
ไม่หยุด เสียงที่ไล่หลังมายังดังไม่หยุด
และวายุก็เดินสาวเท้าแบบไม่หยุดเหมือนกัน
มันเดินตามเขามาตั้งแต่ออกจากห้องประชุมแล้ว ตอนนี้ยังไม่หยุดตาม คิดจะเดินตามเขาไปถึงตึกวายุเลยหรือไง
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ต่อให้เรียกจนคอแหบคอแห้ง ก็อย่าคิดว่าคนอย่างโกคุเดระ ฮายาโตะจะใจอ่อนหันกลับไปมอง
“โกคุเดระ ถ้านายไม่หยุดเดิน
ฉันก็จะไม่หยุดตามหรอกนะ ถึงนายจะเข้าห้องฉันก็จะเข้ากับนายด้วย”
ตื๊อชิบ!
วายุสบถในใจ และคิดอยู่แล้วว่ามันเอาจริง
เจ้าหมอนี่พูดแล้วทำจริงเขารู้ดี มีหวังได้ตามเขาไปจนถึงตึกวายุแน่ๆ
แต่ทำไมก็ไม่รู้คนข้างหลังยังยิ้มได้ มันเรียกเขามาตลอดทางเดิน ไม่หันไปมองก็รู้
น้ำเสียงนั้นยังร่าเริงไม่เปลี่ยนแม้จะปนหอบเพราะรีบสาวเท้าก้าวให้ทันตามเขา
ร่างโปร่งบางหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง
ไม่ได้พูดอะไร
แต่ก็พร้อมที่จะเดินต่อถ้าหากร่างสูงๆของพิรุณก้าวเข้ามาใกล้เขาอีกเพียงก้าวเดียว
“เฮ้อ...ขอบใจนะ
นายเดินเร็วจนฉันจะตามไม่ทันอยู่แล้ว นายจะหนีฉันไปไหน
ฉันก็จะตามนายไปทุกที่นั่นแหล่ะ
ไม่ต้องหนีให้เหนื่อยหรอก”
บางทีเขาควรจะเดินต่อ...
เท้างามๆของวายุกำลังจะยกย่าง ทำให้เจ้าของเรือนผมสีดำที่อยู่ข้างหลังต้องรีบยกมือห้ามแสดงอาการยอมแพ้
“เฮ้ย! เดี๋ยวๆ โอเคๆ
อย่าเพิ่งไปไหนนะ คือที่ฉันตามนายมานี่ฉันอยากจะขอตามนายไปเจรจากับปาสติสวิลลา
อย่างน้อยๆขอแค่ฉันเป็นกำลังสมทบหากเกิดอะไรไม่ดีขึ้น...ได้มั้ย” น้ำเสียงอ้อนวอนของพิรุณ บั่นทอนเกราะแข็งๆของวายุได้ไม่น้อย
น้ำเสียงที่ห่วงหาอาลัยนั่นไม่ต่างจากตอนที่อยู่โรงพยาบาล
แต่ทว่ากำแพงหัวใจมันยังคงสูงเกินไปที่จะให้พิรุณปีนข้าม
“ไม่ต้อง กำลังเสริมของตึกวายุมีมากพอ
ไม่จำเป็นต้องให้ทางพิรุณไปสมทบ”
“แต่หมอนั่นคือวินด์เคจนะ!” นั่นแหล่ะ เหตุผลหลักที่อยากตามไป เผยออกมาจนได้ “ฉันรู้ว่านายเอาตัวรอดได้
แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับนายฉันจะทำยังไง น่านะ โกคุเดระ ให้ฉันตามนายไป...ห่างๆก็ได้”
“นาย...เป็นคนร้อนรนตั้งแต่เมื่อไหร่
ยามาโมโตะ ทาเคชิ”
คำเปรยเหยียดหยันเอ่ยจากปากวายุเบาๆ ทั้งที่เจ้าตัวยังหันหลังให้
แต่มันทำให้ร่างสูงชะงักกึก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้างเล็กน้อย
ลมหายใจติดขัดเมื่อวายุพูดต่ออย่างแล้งไมตรี
“บางทีนายควรจะรู้เอาไว้ว่ามือขวาแห่งวองโกเล่ไม่ได้หรูแค่ตำแหน่ง
หน่วยจู่โจมของวายุไม่ได้ร้ายกาจแค่ชื่อ ฉันว่านายควรเอาเวลาที่สูญเปล่าตรงนี้กลับตึกไปทำงานจะดีกว่า”
พูดเพียงแค่นั้น แล้วก็เดินจากไป
แต่ครั้งนี้พิรุณไม่อยากจะเดินตาม เพราะเขารู้ว่าตามยังไงคงตามไม่ทัน
มีแต่ร่างโปร่งบางร่างนั้นจะเดินจากเขาไปไกลเรื่อยๆ น้ำเสียงเย็นชา
ฟังดูห่างเหินยังวนเวียนไม่จางหายไป คนตรงหน้าเรียกเขาด้วยชื่อพร้อมสกุล
ไม่มีคำว่า ไอ้บ้าเบสบอล ไม่มีน้ำเสียงแหวหรือตะคอกอย่างเก่า
เป็นเพียงบทสนทนาของคนที่รู้จัก...แค่ผิวเผิน...
ฉันเป็นได้แค่นั้นใช่มั้ย...โกคุเดระ
คฤหาสน์ของปาสติสวิลลา แฟมิลี่
เฟอร์รารี่สีแดงสดคันหรูพิมพ์ตราวองโกเล่ประจำตำแหน่งวายุแห่งวองโกเล่แล่นมาจอดเทียบท่าหน้าคฤหาสน์ในไม่กี่นาทีถัดมา
คงเป็นเพราะปาสติสวิลลาเป็นเครือการค้าของวองโกเล่ ที่ตั้งเลยไม่ห่างกันมากนัก
ร่างระหงก้าวลงจากรถ
เนตรสีมรกตเหยียดมองคฤหาสน์ของคู่เจรจาตั้งแต่ดาดฟ้ายันชั้นล่างสุด
เท่าที่รู้มาที่นี่ถูกขนานนามว่า ”ปราการวายุ” ชื่อที่โกคุเดระ ฮายาโตะ
บอกได้คำเดียวว่าหมั่นไส้ สาเหตุจะมาจากอะไรเขาไม่รู้ล่ะ
แต่รู้สึกไม่ถูกชะตากับที่นี่ตั้งแต่เหยียบพื้นอาณาเขตของมัน
เอาเถอะ เขามาแค่เจรจา ไม่นานก็กลับ
จะยอมกลั้นหายใจซักพักก็ได้
“เฝ้าข้างนอกไว้ให้ดี มีอะไรให้รีบรายงานฉัน” หันไปกำชับกับเลขาส่วนตัวและลูกน้องอีกสองสามคน ก่อนจะก้าวเข้าไปปะกับลูกน้องของทางปาสติสวิลลาที่มารับพอดี
“ยินดีต้อนรับครับ ท่านโกคุเดระ ฮายาโตะ
วายุแห่งวองโกเล่ บอสรออยู่ที่ห้องรับรองเรียบร้อยแล้วครับ”
คำกล่าวต้อนรับอันไม่น่าพิสมัยโดยเฉพาะการเน้นคำว่า วายุ นั่นแหล่ะ
คิ้วเรียวถึงขมวดเข้าหากัน
“จำได้ว่าฉันไม่ได้บอกซักคำว่าจะมา
บอสพวกแกนี่เตรียมตัวพร้อมดีจริงนะ”
คำปรารภของร่างโปร่งบางทำให้คนต้อนรับคลี่รอยยิ้มรับ แต่ไม่ได้น่าดูแม้แต่นิดเลย
“บอสของเราประสาทสัมผัสดีเป็นพิเศษครับ
ถ้าเป็นคนธาตุวายุ ยิ่งบริสุทธิ์ก็ยิ่งได้กลิ่นมาแต่ไกล...เชิญทางนี้เลยครับ”
ปากดี!
ร่างโปร่งบางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
แต่ก็ต้องเดินตามเจ้าคนต้อนรับสามหาวไปที่ห้องรับรอง พลางสายตาก็กวาดไปรอบๆเพื่อหาทางหนีทีไล่ได้ทันถ้าหากฝ่ายโน้นเกิดอยากใช้กำปั้นคุยขึ้นมา
แต่ไม่พบอะไรที่ผิดแปลก ห้องโถงโล่งๆ ภายในตกแต่งแบบรัสเซีย ถ้วยโอชาม
แจกันวางตามมุมผนังห้อง ภาพวาดต่างๆนานา
เฟอร์นิเจอร์หรูราคาแพงสมกับเป็นแฟมิลี่ที่เด่นด้านการค้าขายแบบที่โกงชาวบ้านชาวช่องเขาน่ะนะ
ก๊อกๆ
“บอสครับ แขกมาถึงแล้วครับ” ชายหนุ่มพาเขามาหยุดที่ห้องๆหนึ่ง
พอสิ้นเสียงตอบรับจากข้างในก็เปิดประตูแล้วผายมือเชื้อเชิญ
ข้างในห้องก็หรูไม่แพ้ข้างนอก พรมชั้นดีกับแอร์เย็นต่ำองศา
โต๊ะกระจกหรูและบุคคลๆหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่ทำให้เนตรสีมรกตหรี่ลงอย่างพิจารณา
ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์รูปร่างสะโอดสะอง ผมสีทองอร่ามยาวที่ถูกมัดรวบไว้ทางด้านหลัง
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนดูแพรวพราวและล้ำลึก
ชุดทักสิโด้สีขาวและหูกระต่ายสีแดงดูยังไงก็ไม่ใช่เครื่องแบบของมาเฟีย
ถ้าไม่บอกว่าที่นี่คือแก๊งค์ปาสติสวิลลา
ร่างโปร่งบางบอกได้เลยยังไงหมอนี่ก็ไม่เค้าความเป็นมาเฟีย เพราะกลิ่นรักความสำราญเหมือนพวกไฮโซมันโชยหึ่ง
“ยินดีต้อนรับ โกคุเดระ ฮายาโตะคุง The
storm guardian of Vongola”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มพร้อมสายตาที่จับจ้องมาอย่างไร้มารยาทเริ่มทำให้ร่างโปร่งบางเกิดฉุน
แต่ก็ต้องพยายามท่องไว้ว่าเป็นแค่การเจรจา วายุวางแฟ้มลงบนโต๊ะและนั่งลงตรงข้ามเจ้าถิ่น
โดยไม่สนใจว่าจะทำให้มือที่ยื่นออกไปรอให้มือบางมาจับทักทายต้องรอเก้อ
“ผมมาที่นี่เพื่อเจรจากับคุณเรื่องธุรกิจการค้า
ทางเราจับได้ว่าคุณพยายามจะโก่งกำไรให้สูงโดยมันผิดสัญญาที่ทำเอาไว้เมื่อครึ่งปีก่อน
หลักฐานเราก็มี ผมคิดว่าเรื่องนี้คุณจะไม่ปฏิเสธ” คำกล่าวหาดังออกมาเป็นชุด
พร้อมมือบางที่พลิกเอกสารแล้วหมุนให้อีกฝ่ายดู วินด์เคจหัวเราะเบาๆ
นึกถูกใจนิสัยเถรตรงของร่างบางข้างหน้าอย่างยิ่ง
สมกับเป็นวายุต้องห้าม...คนสำคัญที่วองโกเล่หวงแหนนัก
“จะให้ฉันเจรจากับคนที่ไม่รู้จักคงจะไม่ได้หรอกมั้ง
นี่โกคุดระคุง ปฏิสัมพันธ์กับคู่เจรจาเป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงนะ” คำสั่งสอนยิ้มๆของคนอาวุโสกว่า เล่นอยากให้โกคุเดระขย้อนของเก่าออกทิ้งเสียให้ได้
ในใจรู้สึกคลื่นเหียนกับหน้าหมอนี่เต็มทน
“คุณรู้จักผม
ไม่มีประโยชน์ที่ผมจะแนะนำตัว เราควรจะรีบคุยธุระให้เสร็จโดยเร็ว
ถ้าคุณว่าง่ายเรื่องนี้คงหยุดที่การเจรจาระหว่างคุณและผม
ไม่ต้องไปเดือดร้อนถึงรุ่นที่สิบ”
ดวงหน้าของวายุเชิดขึ้นอย่างมีมาด แต่นั่นเป็นเสน่ห์ที่ทำให้บอสแห่งปาสติสวิลลาเทใจให้ไปเต็มๆ ปากเก่ง ถือดี
หยิ่งในศักดิ์ศรี นิสัยไม่เป็นมิตรทำให้ดูน่าค้นหา
คุณสมบัติของคนๆนี้ช่างต่างจากคนธาตุวายุที่เขาเคย
’เล่น’ มา
“ฮะๆๆๆ โอเคๆ คุยเรื่องงานก็ได้
ยิ่งเสร็จเร็วเมื่อไหร่
เราก็คงมีเวลาคุยเรื่องอื่นกันมากขึ้น...ถึงเวลานั้นหวังว่าโกคุเดระคุงจะไม่รีบกลับ” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของวินด์เคจจ้องลึกลงมาในเนตรมรกตน้ำงามอย่างหลงไหลยิ่งทำให้คนถูกจ้องอยากควักออกมาจากเบ้าใจจะขาด
และปากที่ฉาบด้วยรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยก็ชวนให้ยัดไดนาไมต์สักสองสามแท่ง
บ้าเอ๊ย! อย่าให้พ่อขันแตกนะแก! ฉันจะเป่าแกไปพร้อมกับปราการบ้าๆนี่แหล่ะ!
“ตกลงจะเอายังไง คุณเล่นไม่ซื่อราคาสินค้ามาถึงสองครั้ง
ทำแบบนี้คุณกำลังดูถูกข่ายข้อมูลของวองโกเล่อยู่ อย่าคิดว่าครั้งแรกผมจะไม่รู้
แต่รุ่นที่สิบไม่อยากให้ไก่ตื่นเลยปล่อยไป แต่ไม่คิดว่ามันจะมีครั้งที่สอง
แล้วกำไรที่แก๊งค์คุณโก่งไปมันไม่ใช่น้อยๆ คิดจะลองดีกับวองโกเล่ผมไม่สนับสนุน”
ตบท้ายด้วยข้อความหาเรื่องที่เติมไปด้วยความเหม็นหน้าโดยส่วนตัว
บอสแห่งปาสติสวิลลาจ้องคู่เจรจาอ่อนวัยแต่กล้าหาญเกินพิกัด
ก่อนจะขยับยิ้มเย็นที่มุมปาก
“นั่นสิๆ
ไม่มีใครกล้าลองดีกับวองโกเล่หรอก
แต่ถ้าลองดีแล้วได้แลกกับอะไรบางอย่างมันก็ไม่เลวไม่ใช่เหรอ
คนเราน่ะถ้าหลงใหลในสิ่งใดก็ใคร่อยากจะสัมผัส ยิ่งสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่น่าดึงดูด คนลือกันนักกันหนาว่าได้มาครอบครองยากเหลือคณา
มันก็ยิ่งเพิ่มราคาให้น่าจับจอง...”
วินด์เคจสาธยายตาใสแจ๋วซึ่งวายุบอกได้เลยว่าเขาไม่เข้าใจ
คิดได้อย่างเดียวว่าหมอนี่มันเมาอากาศไปแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศในห้องสนทนาก็เย็นเฉียบอย่างผิดปกติ เมื่อบอสแห่งปาสติสวิลลาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้
แล้วกระซิบเสียงแผ่ว
“สิ่งหอมหวาน...อย่างวายุแห่งวองโกเล่ยังไงล่ะ...”
ปัง!
เพียงเท่านั้นความอดทนของร่างโปร่งบางก็สิ้นสุด
มือบางตบลงกับโต๊ะดังลั่น แล้วลุกจากเก้าอี้ทันที
เนตรสีมรกตประกายโรจน์อย่างโกรธจัด ตอนแรกเขาแค่อยากจะตัดชื่อไอ้บ้านี่ออกจากเครือการค้า
แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจ...เขาอยากกระทืบมันให้จมดินมากกว่า!
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นแกนะวินด์เคจ!
คุยกับแกนี่เสียเวลาจริง
บางทีฉันควรจะตัดหางแฟมิลี่แกแล้วเอาไปปล่อยวัดตั้งแต่แรก”
“โอ๊ะ โอ...ดุจัง
เนี่ยแหล่ะน้าทำให้ฉันหลงในตัวคนธาตุวายุ เป็นพวกหัวดื้อ ทิฐิสูง ฉลาดเป็นกรด
แถมยังพลิ้วไหวจนจับไม่ทันมันยิ่งท้าทายความสามารถ แต่ไว้ใจเถอะ
เธอน่ะ...เป็นนัมเบอร์วันในใจฉันเลย”
“คนอย่างแก เอาไว้ไม่ได้แล้วมั้ง” วองโกเล่ริงสัญลักษณ์วายุที่โหมกระหน่ำบนนิ้วงามขยับล้อแสงไฟ
ร่างโปร่งบางกำลังเปลี่ยนพลังใจให้กลายเป็นไฟดับเครื่องชนพร้อมที่จะฝังศพไอ้วิปริตตรงหน้า
แต่ทว่าดวงหน้าของผู้ครองแหวนซีดทันตา เมื่อ...
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
ไฟดับเครื่องชนจุดไม่ติด!!!
บ้าน่า!
“นี่...ไม่คิดบ้างเหรอว่าทำไมที่นี่ถึงถูกเรียกว่า
ปราการวายุ” น้ำเสียงนุ่มยังเอ่ยสบายๆเรียกให้ร่างโปร่งบางเงยมอง
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นฉายแววสนุก ริมฝีปากแย้มยิ้มแต่เชือดเฉือน
ดูต่างจากตอนแรกไปเป็นคนละคน
“เพราะคนธาตุวายุถ้าเข้ามาแล้วจะไม่สามารถแผลงฤทธิ์ได้
ถ้าพูดตามประสาพ่อมดหมอผีมันก็เขตอาคมดีๆนี่แหล่ะ
วายุที่โหมกระหน่ำพัดไม่รู้จักหยุดหย่อนมาอยู่ที่นี่ก็เป็นแค่สายลมบางเบาไร้พิษสง
สุดท้ายก็ต้องถูกจับขังกรงหมดซึ่งอิสรภาพ!”
โรคจิต? ประสาท?
จะอย่างไรก็แล้วแต่
ตอนนี้ต้องหาทางหนีก่อน แหวนใช้การไม่ได้ จะสู้ในห้องแคบๆนี่โกคุเดระ ฮายาโตะไม่สบอารมณ์เลยสักนิด
พลันนิ้วเรียวก็แอบคีบระเบิดควันตัวช่วยในการหลบหนีแล้วดีดเพียะออกไป!
ควันหนาปกคลุมห้อง มองอะไรไม่เห็น
แต่ไม่ใช่กับคนที่ชินกับมันอย่างวายุแห่งวองโกเล่ที่อาศัยควันอำพรางตัวรีบหาทางออกจากห้องนี้โดยเร็วที่สุด
และไม่ใช่กับคนอย่างวินด์เคจที่ตามกลิ่นสายลมดีอย่างอัศจรรย์
เพราะสุดท้ายร่างโปร่งบางสะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือใหญ่มาฉุดแขนเอาไว้แล้วออกแรงกระชากจนตัวปลิว
“จมูกฉันดีน่า โกคุเดระคุง อย่าคิดหนีเลย
ถ้าว่าง่ายๆฉันจะไม่ทิ้งเธอเหมือนคนอื่นๆ เชื่อสิ”
“ปล่อยฉัน!!
ไอ้โรคจิต!!!” ร่างบางดิ้นพล่านอย่างแรง
แต่คงไม่สะทกสะเทือนกับกรงเหล็ก
อีกทั้งยังเป็นร่างกายที่มันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลไม่กี่วัน กล้ามเนื้อก็ขยับได้ไม่เต็มที่ดั่งใจสั่ง
หัวเจ้ากรรมมันก็กำเริบปวดบ้าอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้
“หึหึหึ
เอาล่ะ...จะจับวายุคนนี้ใส่กรงล่ะนะ”
เสียงหัวเราะน่าขยะแขยงดังอยู่ริมหู
สองมือของผู้พันธนาการบีบแขนของร่างโปร่งบางแน่น
ความรู้สึกราวคีมเหล็กที่ล็อคแน่นไม่ปล่อยให้ขยับเขยื้อน
เขาหลับตาปี๋เมื่อใบหน้านั้นค่อยๆใกล้เข้ามา...
เฟี้ยว...ฉึก!
“โอ๊ย!!” ฉับพลันบอสแห่งปาสติสวิลลาร้องลั่น
พร้อมปล่อยมือวายุให้เป็นอิสระ ทำให้ร่างโปร่งบางรู้ว่าไอ้เสียงเมื่อกี้คือเสียงดาบสั้นเล่มหนึ่งที่มันพุ่งมาปักมือของวินด์เคจจนเลือดกระฉูด
ใบหน้านั้นโกรธเกรี้ยวระคนเหยเกด้วยความเจ็บปวด
“ใครวะ!!!?” น้ำเสียงแหบห้าวตวาดไปทางที่มีดลอยมา
แต่เพราะฤทธิ์ของควันระเบิดที่ยังไม่จางดีนักทำให้เห็นเพียงรางๆ
ว่ามีร่างๆหนึ่งยืนพิงประตูอยู่
เสียงอาวุธโลหะเคาะเคร้งกับขอบประตูต้องแสงไฟให้เห็นคมวาววับ วินด์เคจอาจจะไม่แสดงท่าทีตกใจอะไร
แต่ไม่ใช่กับวายุที่เบิกตากว้างเมื่อบุคคลปริศนาเอ่ยเสียง
“วินด์เคจ...ในโลกนี้คุณสามารถจับวายุเข้ากรงของคุณได้หมดก็จริงหรอกนะครับ”
“...”
“แต่ต้องไม่ใช่วายุแห่งวองโกเล่”
TBC...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น