หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2557

S.Au.Fic KHR [8059] ปฐพีแห่งศักดิ์ : 02



Project : Happy Birthday P’Kwang [Waketsu] 12.01.11
S.Au.Fic KHR [8059]
Period Drama
NC-17
คำเตือน ช่วงระยะเวลาที่ดำเนินเรื่องนั้นเป็นการผสมผสานระหว่างยุคสมัยจริงในประวัติศาสตร์ผสมผสานกับจินตนาการของผู้แต่ง ดังนั้นไม่สามารถใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ



-ภาคปฐมบท-

ปฐพีแห่งศักดิ์



รุ่งเช้าวันถัดมา...


ฮายาโตะ...ฮายาโตะ เสียงของชายสูงวัยฟังอ่อนโยน อบอุ่นและคุ้นเคยดังลอดเข้ามาในโสตประสาท เปลือกตาหนักอึ้งสั่นน้อยๆก่อนจะค่อยๆลืมขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีมรกตที่ดูเพลียแรงและหมองหม่น ทันทีที่แสงสว่างเข้าสู่นัยน์ตาปรับภาพชัดเจน  ภาพแรกที่นายน้อยฮายาโตะเห็นคือบุคคลที่เขารักและห่วงใยยิ่งกว่าชีวิตของเขาเอง...บุรุษผู้เป็นอัยกา


ทะ ท่านปู่!?” ลำคอแห้งผากเป็นผง แต่ก็จำต้องฝืนเรียกด้วยความยินดี เท่าที่ดวงตาคู่นี้สังเกตเห็น ท่านปู่จีของเขายังสมบูรณ์แข็งแรงดีอยู่ทุกประการ ร่างบางชันตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่ขยับตัว ความผิดปกติของร่างกายก็เล่นงานเขาอย่างแสนสาหัส ดุจกระดูกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ความปวดร้าวแล่นเป็นริ้วๆไปทั่วร่างกาย ใบหน้าหวานบิดเบ้เล็กน้อยแต่ต้องฝืนทน มือเล็กๆอันสั่นเทาค่อยๆเอื้อมไปกุมมือปู่ของตนแล้วเอ่ยถามอย่างที่เป็นห่วงที่สุดในชีวิต


ท่านปู่ ท่านปู่ไม่เป็นอะไรนะ ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่


ข้าไม่เป็นอะไร ดวงหน้าสง่างามของประมุขตระกูลยิ้มอ่อนโยน เขาวางมือลงบนเรือนผมสีเงินแล้วลูบมันอย่างแผ่วเบา เจ้าควรจะถามตัวเจ้าเองมากกว่า ฮายาโตะ เจ้าไม่เป็นอะไรนะ


สิ้นสุดคำถาม นายน้อยฮายาโตะนิ่งไปชั่วขณะ เขาก้มลงดูร่างกายตนเองเขาอยู่ในชุดยูกาตะสีขาวสะอาดเรียบร้อย เมื่อหันมองไปรอบๆตัวเอง ห้องนี้...เป็นห้องที่เขาแอบย้ายมานอนข้างๆห้องท่านปู่ ห้องนี้...ที่เมื่อคืน ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ ยังจดจำทุกความรู้สึกที่ได้รับ


...ข้างนอก ฝนยังคงตกไม่ซา เสมือนในใจของนายน้อยแห่งตระกูลโกคุเดระคนนี้ยังคงมืดมนและขมขื่น ยิ่งนึก ยิ่งลำดับภาพ ก็ยิ่งเสียใจเหลือคณานับ ความรู้สึกผิด ความสิ้นหวังถาโถมเข้าสู่จิตใจจนร่างกายสั่นเทิ้ม มือสองข้างที่เย็นชืดสั่นระริกบีบเข้าหากันแน่น ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วกำลังจะรินไหลอีกครา


มะ ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรท่านปู่ หละ หลาน หลาน ไม่เป็นอะไรจริงๆ น้ำเสียงที่เอ่ยคำปฏิเสธสั่นเครือ แม้เจ้าตัว จะพยายามบังคับให้มันกลับกลายเป็นปกติ แต่ก็ทำได้แสนยากเย็น

มือของขุนนางจีที่วางอยู่บนศีรษะของหลาน ค่อยๆเลื่อนลงมาจับที่บ่า น้ำเสียงปลอบประโลมค่อยเอื้อนเอ่ยเป็นดั่งน้ำอุ่นๆชโลมจิตใจที่มันหนาวสั่น


ฮายาโตะ เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น เขา ไม่อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว คนที่มาพบเจ้าก็คือข้าเอง ไม่มีใครรู้เรื่อง นอกเสียจากข้าและแม่นมของเจ้า หากเจ้าอยากจะพูด ข้าจะเป็นคนรับฟังเอง...รับฟังจนคำพูดสุดท้าย


สิ้นคำ ร่างทั้งร่างของนายน้อยโกคุเดระ ฮายาโตะก็ถลาเข้ากอดปู่ของตน วงแขนเล็กโอบแน่นที่พึ่งเพียงแห่งเดียว หยาดน้ำตาล้นทะลักรินอาบนวลแก้มไม่ขาดสาย ไม่มีครั้งใดที่เขากอดท่านปู่แล้วรู้สึกอุ่นใจขนาดนี้...ไม่มีครั้งใดที่รู้สึกปลอดภัยและปล่อยวางทุกความรู้สึกเหมือนครั้งนี้ เขาพร้อมแล้ว...พร้อมที่จะระบายทุกอย่าง ระบายทุกความอัดอั้นตันใจที่สู้อดทนกับความกดดันอันแสนหนักอึ้ง


ฮึก ทะ ท่านปู่ หลานไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว หลานทำร้ายตระกูลโกคุเดระ หลานทำให้เกียรติประวัติ ศักดิ์ศรี บารมีของตระกูลต้องมีรอยกักขฬะด่างพร้อย  ฮึก..ฮือ...ความดีงามที่ท่านปู่และบรรพบุรุษสร้างสมมา ฮึก พังไม่มีชิ้นดีในมือหลานคนนี้ หลานไม่มีหน้าไปพบใคร ฮึก หลาน หลานไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นโกคุเดระอีกต่อไปแล้ว ฮือออ


คำพร่ำพรรณนาตัดพ้อชีวิตของผู้เป็นหลาน ทำให้ขุนนางจียิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นเข้าไปอีก ดวงตาสีแดงทอดแววอ่อนลง รู้สึกสงสารหลานของตนจับใจ เด็กคนนี้ ไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วย เป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งของสงครามสองตระกูล...เพียงแต่ว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้


...เด็กคนนี้เลือกเกิดไม่ได้ จึงต้องเกิดมาเป็น โกคุเดระ ฮายาโตะ ทายาทของผู้แพ้สงคราม...


ไม่เลย ฮายาโตะ ไม่เลย เจ้าคือผู้ที่สมควรจะเป็นโกคุเดระยิ่งกว่าผู้ใด ข้าภูมิใจที่มีเจ้าเป็นหลาน... ข้าขอเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษตระกูลโกคุเดระทุกคนขอบใจเจ้า... ขอบใจเจ้าจริงๆฮายาโตะ


คำขอบใจที่ทำให้นายน้อยโกคุเดระซุกหน้ารับ น้ำตา เสียงสะอึกสะอื้นยังคงดังกับบ่าของขุนนางจี หัวใจที่ถูกย่ำยีจากทายาทของตระกูลคู่แข่งนั้นแหลกสลายจนไม่สามารถประกอบขึ้นใหม่ได้ การหยามเกียรติที่ถูกกระทำราวกับเขาเป็นสตรีเพศจะต้องติดเป็นรอยมลทินพร้อมๆกับความเจ็บปวดที่รุมเร้าร่างกาย



แต่ร่างกายที่ถูกทำร้าย ยังไม่ใช่สาเหตุของรอยน้ำตา แต่...



หัวใจเจ้าเอย...ทำไมถึงทำข้าเจ็บได้ถึงเพียงนี้.......







“นายน้อยฮายาโตะไม่สบาย พวกเจ้าจงดูแลอย่าให้ออกจากห้องนี้จนกว่าจะได้รับคำสั่งข้า” ขุนนางจีรับสั่งเด็ดขาดกับทหารคนสนิทสองนายที่หน้าห้องพักผ่อนของเด็กหนุ่มผู้เป็นหลานซึ่งตอนนี้เข้าสู่ห้วงนิทราด้วยความเหนื่อยอ่อน 


ร่างระหงของประมุขตระกูลโกคุเดระเดินเรียบเรื่อยออกไป ใบหน้ายังคงฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด ความคิดที่สันนิษฐานต่อในหัวทำให้ต่อไปนี้ต้องระวังตัวให้มากขึ้นอีกเท่าทวีคูณ


ยามาโมโตะ ทาเคชิ ไม่มีทางหยุดอยู่เพียงเท่านี้...เจ้าหมอนั่นใช้ฮายาโตะเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นก็จริง แต่จุดประสงค์หลักที่สุดก็คือชีวิตของข้า


ที่เจ้านั่นเลือกฮายาโตะ ก็เพราะนิสัยที่รักศักดิ์ศรีและความถูกต้องของฮายาโตะ แต่ที่ทำไปก็เพียงแค่กลั่นแกล้งเพื่อทำให้ข้าเจ็บปวดทั้งนั้น... เจ้านั่นไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องฆ่าฮายาโตะแม้แต่นิดเลย


ดีไม่ดี...ระหว่างฝ่ายที่ถูกทำร้ายอย่างฮายาโตะ กับฝ่ายที่เป็นผู้ทำร้ายอย่างเจ้า


เจ้าอาจจะเป็นฝ่ายเสียใจและทรมานยิ่งกว่าก็ได้...ยามาโมโตะ ทาเคชิ


ร่างของประมุขตระกูลโกคุเดระ ยืนอย่างสง่าอยู่ใจกลางอาณาเขตคฤหาสน์ รอบข้างพรั่งพร้อมด้วยทหารฝีมือชั้นสูงที่ถูกคัดกรองอย่างดี ดวงตาแห่งอำนาจกวาดมองบริวารจนหมดทุกคน ก่อนจะเอ่ยคำประกาศิตเสียงกร้าว


“ทหารทั้งหมดจงฟัง! นี่คือคำสั่ง นับแต่นี้ไป คฤหาสน์แห่งนี้ไม่ต้อนรับ ยามาโมโตะ ทาเคชิอีกต่อไป เขาไม่ใช่ปัจจามิตรของเรา เขาคือศัตรูตัวฉกาจที่ตระกูลโกคุเดระพึงระวังมากที่สุด หากเขากลับมาที่นี่อีกข้าขอสั่งให้จับตัว อย่างไม่มีข้อยกเว้น!!







ค่ำแล้ว...


สายฝนยังคงเทลงมาประพรมผืนโลกอย่างสม่ำเสมอ ท้องนภายามโพล้เพล้ไร้แสงอาทิตย์อัสดงรำไร มีเพียงเมฆดำหนาทึบยิ่งทำให้ฟ้าดำทมิฬน่ากลัว สายลมเยือกเย็นโชยพัดอย่างไม่หยุดหย่อนราวกับจะแข่งกับสายฝน เสียงร้องครืนครามดังกึกก้องพร้อมกับริ้วไฟฟ้าแปลบปลาบที่ฉายส่องโลกให้สว่างวาบเป็นระยะๆ 


หน้าประตูรั้วของตระกูลโกคุเดระ ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มเรือนผมสีดำ ดวงตานี้น้ำตาลเข้มเปลือกไม้เยือกเย็นเสียยิ่งกว่าหยาดน้ำฝน เรือนผมสีดำสนิทเรียบลู่ตามใบหน้าคมคาย ในมือกุมดาบคมสะท้อนฟ้าแลบเป็นสีเงินยวงที่มีโลหิตชโลม ตรงพื้นมีศพของนายทหารผู้เป็นยามรักษาประตูคฤหาสน์โกคุเดระนอนจมกองน้ำฝนอยู่


เขาคือมัจจุราชที่จะมาพรากวิญญาณของประมุขตระกูลโกคุเดระเพื่อเซ่นสังเวยให้กับวิญญาณของปู่เขาให้จงได้!
เจ้า...ไม่ได้โชคดีถึงขั้นต้องมี “หมอนั่น” มาช่วยไว้ทุกครั้งหรอกนะ จี


“ยามาโมโตะ ทาเคชิ! พวกเรา อย่าให้มันเข้าไปถึงเรือนใหญ่ได้!” เหล่าทหารนับหลายสิบคนในชุดนักรบมายืนล้อมเขาทันทีที่ก้าวเหยียบอาณาเขตตระกูล แต่ละนายถืออาวุธแน่น ราวกับว่าจะไม่ปล่อยให้เขาเข้ารุกฆาตได้ง่ายๆ นัยน์ตาของนักรบหนุ่มผู้ทรงดาบชั้นสูงในตำนานปรายมองเหล่าทหารขุนนางประเมินคุณค่าเพียงสวะ ก่อนจะรับมือเมื่อมีทหารราวสิบนายเริ่มจู่โจมเขา


เคร้ง!! ฉัวะ!


“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!


เสียงบทเพลงดาบมรณะกำลังบรรเลงพร้อมกับการตวัดดาบพรากเอาชีวิตของผู้อาจหาญมาลองดี เสียงร่ำร้องโอดครวญขาดใจคลุกเคล้าไปกับกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งที่จะทวีกลิ่นแรงขึ้นเรื่อยๆเคยเป็นสิ่งที่ยามาโมโตะโปรดปรานเสียยิ่งกว่าสิ่งใด แต่บัดนี้สีหน้าของเขากลับเรียบเฉย ดวงตาที่ว่างเปล่านั้นราวกับว่าเขาไม่รู้สึกตัวว่ากำลังคร่าชีวิตคนไปมากเท่าใดแล้ว


เพิ่มขึ้น! จากสิบเป็นยี่สิบ ตายเป็นใบไม้ร่วงสำหรับทหารกล้าที่อยากลิ้มรสเพลงดาบงดงามทว่าอาบยาพิษ เลือดที่ชโลมอยู่ที่คมดาบมิอาจรู้ว่าเป็นเลือดของคนกี่คน รวดเร็ว! รุนแรง! แทบไม่เห็นวงดาบที่วาดฟัน! จนกระทั่งมัจจุราชหนุ่มจะลงมือวาดรอยสังหารให้กับนายทหารคนสุดท้าย ทันใดนั้น!!


เคร้งงง!!


เสียงโลหะกระทบกันดังบาดแก้วหู ประกายไฟแล่นวาบจากการเสียดสีพร้อมกลิ่นจางเฉพาะของโลหะไหม้เรียกดวงตาของยามาโมโตะต้องหรี่ลง บุคคลตรงหน้าที่นำดาบมาขวางเขาไว้คือขุนนางจี บุรุษผู้สูงศักดิ์ในชุดกิโมโนสีดำพุ่งพรวดมาหยุดเพลงดาบเขาไว้ด้วยท่วงท่าแข็งแกร่ง ริมฝีปากของชายหนุ่มเริ่มกรีดรอยยิ้ม ก่อนจะลดดาบลงแล้วเจรจาก่อนทำศึกเป็นครั้งสุดท้าย


“กว่าจะได้เจอเจ้า ข้าต้องฆ่าคนเรียกน้ำย่อยไปกี่คนรู้บ้างไหม ช่างใช้ทรัพยากรมนุษย์สิ้นเปลืองจริงๆ ตระกูลนี้”
คำเย้าถากถางไม่กระทบทำให้ขุนนางจีเดือดร้อนใดๆ ใบหน้าขึงตึงยังคงนิ่งเรียบ มีเพียงมุมปากเท่านั้นที่ขยับยิ้มบางเบา


“ทรัพยากรจะใช้สิ้นเปลืองหรือไม่ อยู่ที่คุณค่าของตัวมัน อุปมาดั่งเศษแก้วกับเพชรน้ำหนึ่ง เอาไปยื่นให้แก่โจรใจบาป หากเป็นเศษแก้วก็ต้องทิ้งไปเรียบ จะเป็นร้อยเป็นพัน หรือมากมายเท่าใดก็ยังคงไร้ค่า แต่หากเป็นเพชรแม้เม็ดเล็กๆเพียงเม็ด แม้ใจจะบาปหยาบช้าเพียงใดก็ต้องหลงใหลในความงดงามและบริสุทธิ์ ไม่กล้าทำลายแม้รู้ว่าเก็บไว้กับตัวก็จะเป็นภัย”


คำเปรียบเปรยที่ยกขึ้นมาลอยๆกระทบใจของเด็กหนุ่มผู้ฟัง คิ้วเข้มเริ่มมุ่นเข้าหากันอย่างขัดใจและหงุดหงิด อาจเป็นจริงอย่างที่จีพูด เพชรเม็ดงามที่ว่าทำให้เขาไม่เป็นตัวของตนเองมาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงวินาทีนี้ จิตใจเขากระวนกระวายฟุ้งซ่านถึงต้องหลบไปสงบจิตใจมิให้หลงไปกับแสงแวววาวแต่เปี่ยมไปด้วยหลัดเหลี่ยมมากมายที่จะดึงเขาให้จมไปกับบ่วงเสน่หา


หัวใจที่พยายามบังคับให้แข็งแกร่งพลันไหววูบอย่างประหลาด...เป็นเพราะเจ้าโดยแท้...


โกคุเดระ ฮายาโตะ เจ้าเคยประณามว่าข้าเป็นปิศาจ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าปิศาจที่แท้จริงก็คือตัวเจ้า!


“อย่าพูดมากความ ในวันนี้ คนที่จะอยู่ไม่ใช่ข้าก็ต้องเป็นเจ้า ความบาดหมางที่อยู่ในใจของสองตระกูลที่ค้างคามาถึงสามสิบปีจะได้รับการสะสางเสียที”


“ฮึๆๆ ก็คงจะมีแต่เจ้าล่ะ เด็กน้อย ที่ยังคิดว่าเป็นเรื่องบาดหมางให้ใจร้อนรุ่มเปล่าๆ แต่เอาเถิดข้าจะช่วยแก้ปมบาดหมางนั่นให้ก็ย่อมได้ เพราะนั่นก็เป็นหนึ่งพันธะในชีวิตข้าเหมือนกัน”


“...”


“เข้ามา!







ครืนนนนนน ซ่า


เฮือก!


ร่างบอบบางของนายน้อยโกคุเดระสะดุ้งสุดตัวจนถึงขั้นลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงนอนหนานุ่ม ใบหน้าขาวซีดมีเหงื่อเกาะพราว แต่ริมฝีปากกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดสั่นระริกด้วยพิษไข้ที่รุมเร้าร่างกายอันเนื่องมาจากความอ่อนแอและสภาพจิตใจ ดวงตาสีมรกตจับจ้องไปรอบห้องที่มีเพียงแสงไฟจากเชิงเทียนงามให้ความสว่างเพียงสลัวๆ แต่สิ่งที่ผิดปกติเหนืออื่นใด ก็คือเสียงโหวกเหวกโวยวายที่ดังอยู่นอกห้องพร้อมกับเสียงคนวิ่งไปวิ่งมาดูท่าว่าจะโกลาหลมิใช่น้อย


เกิดอะไรขึ้น?


หรือว่า!!...ท่านปู่!!!?


นายน้อยแห่งตระกูลโกคุเดระ ลุกพรึ่บก้าวลงจากแท่นบรรจถรณ์ ความเจ็บปวดที่ยังถาโถมใส่ร่างกายไม่บรรเทาลงเลยจากตอนเช้า ผนวกกับตอนนี้มีอาการไข้ ทันทีที่เท้าแตะพื้นเหมือนโลกใบนี้จะหมุนกลับไปอีกทิศ มือบางกุมศีรษะกัดฟันลืมสิ้นทุกความรู้สึกแล้วรีบถลาไปเปิดประตู  ภาพอันน่าอดสูตรงหน้าทำให้นายน้อยแทบล้มทั้งยืน


เป็นอย่างที่เขาคิดไม่มีผิดเพี้ยน...ทหารกล้าของตระกูลเขาหลายสิบคนกำลังวิ่งสวนกันไปมา บ้างหาบคนเจ็บที่มีแผลฉกรรจ์จากรอยโดนฟัน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วจนรู้สึกอยากอาเจียน เสียงโวยวาย ร้องเรียกแทบไม่เป็นภาษาแข่งกับเสียงฝนที่ยังเทลงมาไม่หยุดหย่อนที่ไม่ได้ช่วยชโลมใจอันรุ่มร้อนให้ดับลงเลย กลับเป็นตัวกระตุ้นยิ่งทำให้ทุกคนจวนบ้าคลั่ง ราวกับว่าเปลี่ยนแดนสวรรค์ให้กลายเป็นนรกโลกันตร์ เปลี่ยนคฤหาสน์ที่เคยสงบสุขแห่งนี้ให้เป็นสมรภูมิรบ


อะไรกัน...!? 


นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นกันแน่?


“คุณหนูเจ้าคะ!” เสียงหญิงสูงวัยดังขึ้นเรียกให้เขาต้องหันไปมอง แม่นมร่างอวบถลาเข้ามาคว้าร่างของเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก


“คุณหนูรีบเข้าไปข้างในเถอะเจ้าค่ะ อยู่ตรงนี้ไม่ปลอดภัยแน่ ดูสิ ตัวร้อนขึ้นมาอีกแล้ว”


“ท่านปู่ล่ะนม...” คำถามแผ่วเบาแต่บรรจุเต็มไปด้วยความอยากรู้เจือห่วงใย ทำให้แม่นมประจำตัวของนายน้อยโกคุเดระได้แต่นิ่งอึ้ง ดวงตาเจ้าหล่อนเบือนหลบ กริยาอ้ำอึงของเธอยิ่งทำให้ผู้รอคำตอบรู้สึกแย่ สถานการณ์ตอนนี้นายน้อยโกคุเดระพออ่านออกได้...คนที่กล้าบุกเข้ามาเล่นงานตระกูลขุนนางชั้นสูงในยามนี้ ต้องไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก เขา


“เอ่อ..นายท่าน...”


“นม ได้โปรดบอกข้ามาว่าท่านปู่อยู่ที่ใด ข้าขอร้อง...” มือเล็กๆที่สั่นเทามิใช่เพราะความหนาวแต่เป็นความเร่งรีบยิ่งกดดันแม่นมให้ชั่งใจหนัก หากบอกไป แน่นอนว่าลูกชายนอกสายเลือดของเธอคนนี้ต้องรีบวิ่งไปอย่างแน่แท้...เธอห่วงนายน้อยสุดชีวิตก็จริงอยู่ แต่เธอก็รู้ว่าอีกฝ่ายก็ห่วงท่านปู่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน


“อยู่ที่ลานกว้างข้างสวนต้องห้ามเจ้าค่ะ... คะ คุณหนู!!” ไม่ทันเสียแล้ว ไม่ทันที่จะได้รั้งเอาไว้ นายน้อยแห่งตระกูลก็รีบรุดผละจากเธอแล้วตรงไปที่ลานกว้างทันที โดยไม่สนใจว่าหากร่างกายเปียกฝน สุขภาพของเขาจะต้องแย่ลงไปอีกเท่าใด


ในใจของเขาขอพร่ำภาวนา จะเป็นอำนาจบารมี หรือบุญญาธิการที่สั่งสมมาแต่บรรพบุรุษก็ได้ ช่วยฟังคำขอจากลูกหลานไม่รักดีคนนี้ ขอให้ท่านปู่ปลอดภัย ส่วนตัวข้าจะเป็นผู้สละ จะเอาอะไรจากข้าไป ข้าก็ยอมทั้งนั้น


ยามาโมโตะ ทาเคชิ อย่างไรก็ตาม เจ้ามันเป็นปิศาจ สิ่งที่เจ้าทำกับข้า สิ่งที่เจ้าย่ำยีเกียรติของข้า สิ่งที่ข้ายอมให้กับเจ้า   ทุกอย่างนั้น เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ...



แล้วข้าต้องทำสิ่งใด เจ้าจึงจะเลิกเคียดแค้นปู่และตระกูลของข้า...


ข้าต้องแลกด้วยอะไร...ช่วยบอกที........







ลานกว้าง


ดาบสองเล่มยังคงร่ายรำปะทะกันอย่างดุเดือดหนักหน่วง กลิ่นอายวิญญาณของดาบและนักรบผสมผสานต่อสู้กันระหว่างสองตระกูลแผ่ขยายทำให้บรรยากาศการประหัดประหารครั้งนี้น่าเกรงขามดุจดังสงครามชิงดินแดนเมื่อสามสิบปีก่อน บัดนี้ร่างกายของผู้ทรงดาบชิงุเระ คินโทคิยังคงทรงพลัง โดยอาศัยที่กระบวนท่าอันแพรวพราวกว่า หนักหน่วงกว่า และด้วยวัยที่เยาว์กว่าเป็นข้อได้เปรียบขุนนางจีแห่งตระกูลโกคุเดระ  


เสียงหอบหายใจถี่ของบุรุษเรือนผมสีแดงบ่งบอกความเหน็ดเหนื่อยกำลัง บาดแผลสามถึงสี่แห่งที่ถูกคู่ต่อสู้คราวรุ่นหลานฝากเอาไว้เริ่มพยศสร้างความอ่อนแอให้ร่างกายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ดวงตาของขุนนางจี ไม่ได้ฉายแววเกรงกลัวหรือนึกอาลัยชีวิตแม้แต่น้อยเลย


เขากำลังภูมิใจ...ภูมิใจแทนเจ้าคนอ่อนแอที่ด่วนตายไปก่อนโดยไม่ทันเห็นฝีมือของหลานแท้ๆของตนเอง ว่าสามารถสืบทอดเพลงดาบชิงุเระ คินโทคิ ได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่แพ้ผู้เป็นปู่


น่าเสียดาย...อุเก็ตสึ ที่เจ้าไม่ให้โอกาสข้าได้ต่อสู้กับเจ้าอย่างสุดฝีมือแบบนี้บ้าง


“รู้หรือไม่ ว่าตอนนี้ท่านก็ไม่ต่างจากเหยื่อของอสรพิษที่โดนรัด เหยื่อกำลังจะหมดแรงไปเรื่อยๆ...จนสุดท้ายก็จะหมดลมหายใจ!


เคร้งงงงง!!!


เด็กหนุ่มประกาศกร้าว ก่อนที่จะตวัดชิงุเระ คินโทคิเกี่ยวดาบของคู่ต่อสู้อย่างแรงให้ลอยคว้างขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาสีโกเมนเบิกกว้างขึ้นมองตามอาวุธตนที่ลอยห่างไป ก่อนจะหันกลับมา...นัยน์ตาปรือลงด้วยความสิ้นหวัง พึงตระหนักว่าเหยื่อคมดาบต่อไปก็ต้องไม่แคล้วเป็นร่างกายของเขา


ชั่ววินาทีที่เห็นคมดาบอยู่ใกล้เพียงคืบ


ชั่ววินาทีที่ความตายเป็นของเขาอย่างแน่แท้  ไม่มีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงหรือแย่งชิงไปได้


และเป็นชั่ววินาทีที่เสียงของใครบางคนดังเข้ามาในโสตประสาทอย่างชัดเจน...ชัดเจนยิ่งกว่าเสียงใด


“อย่านะ!!!




ฉัวะ!!!



เป็นเสียงดาบฟาดฟันกับร่างกายมนุษย์ โลหิตสีแดงสดทะลักกระเซ็นตามวงดาบอย่างน่ากลัว ร่างของเหยื่อผู้ที่รองรับคมดาบชิงุเระ คินโทคินิ่งงัน ดวงตาเบิกกว้างช็อกในความเจ็บปวด ก่อนจะทรุดฮวบลงไปคุกเข่ากับพื้น...ดั่งโลกใบนี้หยุดหมุน สายฝนโปรยปรายแผ่วเบา วายุหยุดพัด ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้พลันหยุดเคลื่อนไหว ทันทีที่ดาบของยามาโมโตะ ทาเคชิต้องผิวเนื้อของใครบางคน...ใครบางคนที่เป็นเจ้าของเลือดที่ชโลมคมดาบของเขาอยู่ในบัดนี้...เลือดที่ไม่ใช่เลือดของขุนนางจี



แต่...



เป็นสายเลือดผู้ภักดีเพียงคนเดียวของขุนนางจี...



“ข้า...บอกเจ้า...แล้วใช่...หรือไม่ ว่า....ข้า ต้องปกป้อง...ท่านปู่ ของข้า....ให้ได้”

เสียงเบาแผ่วแหบพร่าใกล้ไร้วิญญาณยังคงฝืนพูด มือบางกุมบาดแผลแล้วเงยหน้าสบตาบุรุษทายาทตระกูลยามาโมโตะที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า แล้วเอ่ยคำขอร้องก่อนที่จะหมดสิ้นสติสัมปชัญญะ




“แลกกับ...ชีวิตข้า....อย่าทำร้าย....ท่านปู่ อีกเลย....นะ”





และแล้วกลีบดอกเบญจมาศกลีบสุดท้ายก็ร่วงหล่น....



“ฮายาโตะ!!!!!บุคคลผู้เป็นปู่ร้องลั่นสุดเสียง ดวงตาสีแดงเรืองอำนาจเบิกกว้างก่อนจะรีบคว้าร่างหลานที่ชุ่มไปด้วยเลือดเจือปนกับน้ำฝนจนยูกาตะซึมเป็นสีแดงฉาน เส้นผมสีเงินยวงเปียกน้ำฝนเรียบลู่ใบหน้าขาวซีดกับริมฝีปากที่เริ่มเป็นสีม่วงช้ำจนน่ากลัว ขุนนางจีกุมมืออันมืออันเย็นเฉียบของหลานเข้ามาแนบอก โอบกอดร่างบางให้แนบชิดราวกับว่ากลัวหลานอันเป็นแก้วตาดวงใจจะอันตรธานหายไป ความกลัวว่าจะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตแล่นเข้าจับจิต แม้ว่าจะเป็นประมุขตระกูลผู้สูงศักดิ์ แต่ยามนี้เรียกร้องให้คนช่วยเหลือด้วยสติที่ไม่สมประดี


สาวใช้พร้อมพ่อบ้านเกือบสิบคนพรั่งพร้อมตรงเข้ามารับร่างของนายน้อยจากอ้อมอกขุนนางจี เพื่อพาเข้าห้องพักและทำการรักษาให้เร็วที่สุด...มิเช่นนั้นพวกเขาอาจรักษาชีวิตของ โกคุเดระ ฮายาโตะเอาไว้ไม่ได้...


เพราะนายน้อยคนนั้นมี...หัวใจที่ยิ่งใหญ่ ไม่กลัวซึ่งเทพแห่งความตาย


หัวใจที่องอาจ เพียรรักษาซึ่งชื่อเสียงของตระกูลยิ่งกว่ารักษาชีวิตของตนเอง


หัวใจที่สูงส่ง ที่คนใจบาปอย่างยามาโมโตะ ทาเคชิคนนี้ ไม่สามารถพิชิตได้ แม้ว่าจะใช้วิธีการใดๆก็ตาม...


“ทหาร! น้ำเสียงกร้าวกัมปนาทของบุรุษที่ได้รับรู้ถึงคำว่าโกรธแค้นเป็นครั้งแรกร้องเรียกเหล่านักรบที่เหลืออยู่ที่ยืนรายล้อมอยู่รอบลานกว้าง ดวงตาสีโกเมนโชนแสงวาวโรจน์ตวัดมองเด็กหนุ่มผู้ลงดาบ แล้วสั่งเด็ดขาด


“จับมันไปขังไว้ที่ห้องใต้ดินของเรือนในสวนต้องห้าม ข้าจะเป็นผู้ตัดสินโทษของมันเอง!!


ชายฉกรรจ์สองถึงสามคนตรงเข้ามาจับกุมเด็กหนุ่มอย่างแน่นหนา ซึ่งบัดนี้เขาไม่คิดหนีหรือต่อต้าน ดวงตาว่างเปล่าไม่แสดงความรู้สึกแต่กำลังสั่นระริกเพราะความไหวหวั่น...ไม่เคยมีครั้งใดที่เขาลงดาบสังหารผู้อื่นและจะรู้สึกกลัวได้เท่าครั้งนี้  ความกลัวที่ทำให้สัตว์ร้ายที่กำลังพยศเดือดดาลต้องไร้เรี่ยวแรง ความรู้สึกผิดที่ไม่เคยมีมาก่อนเอ่อล้นท่วมท้นหัวใจ มาถึง ณ วินาทีนี้แล้วยามาโมโตะ ทาเคชิไม่สามารถปฏิเสธหัวใจตัวเองได้ ว่า นายน้อยโกคุเดระ ฮายาโตะนั้น มีอิทธิพลต่อหัวใจของเขาเพียงไร


หยาดน้ำใสไหลอาบแก้ม สัมผัสอุ่นๆอย่างที่ยามาโมโตะแทบจะไม่เชื่อความรู้สึกของตนเอง...เขาก็ภาวนาแต่ว่ามันคงจะเป็นเพียงน้ำฝน...มิใช่อะไรอื่นใด



เจ้า...เคยประณามว่าข้าเป็นปิศาจ...


แต่รู้หรือไม่...ว่าปิศาจอย่างข้า ไม่สามารถเทียบสู้จิตใจอันเด็ดเดี่ยวบริสุทธิ์และสูงส่งของเจ้า



ข้าแพ้เจ้าแล้ว...โกคุเดระ ฮายาโตะ








สี่วันผ่านไป


ยามาโมโตะยังคงอยู่ในห้องใต้ดินที่เย็นชืดของเรือนกลางสวนต้องห้าม ผนังปูนล้อมกรอบเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกะทัดรัด กรงเหล็กแน่นหนาที่ทำเป็นหน้าต่างแต่ไร้ซึ่งแสงตะวันเล็ดลอดเข้ามาเหตุด้วยเป็นห้องใต้ผืนดิน ความชื้นกับความหนาวเหน็บที่ซึมผ่านทางผนังปูนสาหัสสากรรจ์พอที่จะทำให้เขานั่งกอดอกอยู่ทั้งวันทั้งคืน แม้พื้นจะสะอาดเอี่ยมเมื่อเทียบกันชีวิตที่เคยนอนกลางดินกินกลางทราย แม้สภาพแวดล้อมจะเงียบสงบเมื่อเทียบกับเสียงอึกทึกของสงครามย่อมๆที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ตระกูลโกคุเดระเมื่อสี่ห้าวันก่อน


...แต่ยามาโมโตะ กลับรู้สึกว่าตนเองอยู่ในฝันร้าย


ฝันร้ายที่ทำให้เขาระลึกภาพว่าตนเองลงดาบฟันร่างนายน้อยโกคุเดระยังคงติดตา สัมผัสยังชัดเจนไม่จางหาย กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ที่มือทั้งสองข้างอย่างชัดเจน ประสาทที่ยังรับรู้สิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกายเขาสั่นเทิ้มด้วยว่ากลัวในความผิด


เขา...ไม่ได้ตั้งใจ...ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ


ความรู้สึกพ่ายแพ้...มันเจ็บปวดและน่ากลัวขนาดนี้เลยหรือ หากเขาสามารถถามท่านปู่อุเก็ตสึได้ เขาอยากถามเหลือเกิน...ว่าตอนที่ท่านปู่แพ้ รู้สึกเสียใจและกลัวขนาดนี้หรือไม่...


หรือว่า...ท่านเต็มใจที่จะจากไปด้วยความสุขกันแน่?


แกร๊ก แอ๊ดดดด


เสียงประตูเหล็กของห้องคุมขังเขาเปิดออกทำให้เขาต้องเงยหน้าจากหัวเข่าขึ้นไปมอง ผู้มาเยือนทำให้ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้เบิกกว้างขึ้นเหมือนเห็นภาพลวงตา ตรงหน้าเขาคือบุรุษมีอายุร่างสูงโปร่ง ทุกกริยาอิริยาบถเต็มเปี่ยมไปด้วยมาดของตระกูลผู้ดี


ขุนนางจี ประมุขตระกูลโกคุเดระ


“ข้าอยากให้เจ้ามาด้วยกัน..ใช้เวลาไม่นานนัก”


น้ำเสียงยังคงราบเรียบและเย็นชาเช่นเดิม ร่างกายของขุนนางจีดูซูบไปถนัดตา อาจเป็นเพราะว่าต้องดูแลนายน้อยโกคุเดระ ฮายาโตะที่ไม่รู้ว่าอาการเป็นเช่นไรหลังจากต้องดาบของเขา ยามาโมโตะรีบลุกแล้วเดินตามขุนนางจีออกจากห้องคุมขัง แต่ละก้าวที่เดินตามขึ้นบันไดไปมันช่างเป็นช่วงเวลาที่อึดอัด เขามีเรื่องมากมายที่อยากถาม เช่น จะพาเขาไปไหน หรือทำไมถึงต้องสั่งให้จองจำเขา ทั้งที่เขาสมควรจะโดนประหารตามโทษคิดประทุษร้ายของคนในราชสำนักได้แล้ว
แต่ว่า สิ่งที่เอ่ยปากถามไปก่อนคือ...


“นายน้อยโกคุเดระเป็นอย่างไรบ้าง” ทันทีที่สิ้นคำถาม ร่างของขุนนางจีก็หยุดเดิน ดวงตาสีโกเมนเหลือบมองเด็กหนุ่มที่เมื่อใดก็ยังคงกล้าหาญชาญชัย อยากพูดอะไรก็พูด ขุนนางจีเบือนหน้าเพิกเฉยต่อคำถามอย่างสิ้นเชิงแล้วก้าวเท้าเดินต่อ


เมื่อความเงียบเป็นคำตอบ ยิ่งทำให้ยามาโมโตะสลดใจ แต่ด้วยความที่อยากรู้ แม้เป็นคำโกหกหรือตอบไปที ก็ขอให้เขารับรู้ว่านายน้อยนั้นยังคงมีชีวิตอยู่


“ข้ารู้ว่าข้าไม่มีสิทธิ์ถาม...แต่ ข้าขอแค่ รู้ว่านายน้อยยังคงปลอดภัย...เพียงเท่านั้น”


“การโดนคุมขังสี่วัน เปลี่ยนนักดาบกระหายเลือดเช่นเจ้าเป็นนักบุญที่รู้จักห่วงใยคนอื่นอย่างนั้นรึ...เจ้ามิจำเป็นต้องรู้ว่า  ฮายาโตะเป็นตายร้ายดีเช่นไร เจ้าเกี่ยวข้องอะไรถึงได้นึกห่วง?...องครักษ์ประจำตัวเขาหรือก็ไม่ใช่”


คำแดกดันเสียดสีเอื้อนเอ่ย ขณะที่ในมือไขกุญแจล็อกเรือนกลางสวนให้เรียบร้อยดังเดิม ยามาโมโตะกวาดสายตามองทิวทัศน์ที่ไม่เคยคุ้นตาในอาณาเขตตระกูลโกคุเดระ สวนงดงามที่มีต้นไม้สูงใหญ่เรียงราย ใบพฤกษาหนาใหญ่และต้นไผ่ใบคมเรียวขยับเสียดสีกันเป็นเสียงน่าฟังคลอไปกับสายลมโชยเอื่อย แสงอาทิตย์ที่เขาไม่ได้เห็นถึงสี่วันส่องเล็ดลอดเป็นช่องตามใบไม้ให้ความรู้สึกอบอุ่นกว่าปกติ ดอกไม้ป่าสีสดสวยผลิแย้มกลีบงามเย้ายวนให้หมู่ภมรเฝ้าบินคลอเคลียไม่ห่าง


“ที่นี่คือสวนต้องห้าม” ขุนนางจีเปรยขึ้น ชื่อสวนที่ฟังดูไม่เข้ากับความงามของสถานที่ทำให้ยามาโมโตะเผลอมุ่นคิ้ว เมื่อเห็นสีหน้าเด็กหนุ่ม ขุนนางจีก็ออกปากอธิบายพร้อมกับก้าวเท้าเดินไปเรื่อยๆ


“ที่เรียกว่าสวนต้องห้าม เพราะข้าไม่เคยให้ใครเหยียบย่างเข้ามา ไม่เว้นแม้แต่ฮายาโตะ...ที่นี่ถือว่าเป็นสถานที่โชคร้ายที่สุดในชีวิตของข้า” ขุนนางจีหยุดฝีเท้าลงก่อนจะก้มย่อตัวลง  มือของเขาแตะผืนดินตรงหน้าอย่างแผ่วเบา ดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นมีแววความเศร้าสร้อยมาจนเจือ



“ที่นี่...ตรงนี้ คือสถานที่ที่ปู่ของเจ้าสิ้นชีวิตลง”                   



เป็นดั่งคำพูดที่ขโมยลมหายใจของยามาโมโตะได้ชะงัก เด็กหนุ่มยืนนิ่งอึ้ง หูของเขาอื้ออึงไปหมดไม่ได้ยินเสียงลมที่พัดใบไผ่เกรียวกราวอีกต่อไป เพราะเสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงของขุนนางจีที่พูดประโยคเมื่อสักครู่ก้องไปก้องมา แม้ว่าจะเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะไม่เชื่อถือ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจวบจนบัดนี้แล้ว ขุนนางจีจะมาโกหกเขาไปเพื่ออะไร


ตรงนี้น่ะหรือ ที่ปู่ของข้าสิ้นชีวิต...


ในสวนต้องห้ามนี่น่ะหรือ...


เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับผืนดินก่อนจะเอื้อมมือสัมผัสกับดินที่เย็นชืดแต่ในความคิดของเขามันกลับอบอุ่นและคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด พลันความเศร้าใจก็ถาโถม ขอบตาร้อนผ่าว สายลมเย็นเยือกเหน็บหนาวต้องใบหน้า เท่าที่เขาจำความได้ เขาเกิดมาก็ไม่เห็นท่านปู่แล้ว และตั้งปณิธานว่าหากเจอสุสานหรือหลุมศพของท่าน ก็อยากจะทำความเคารพเป็นครั้งแรก...และครั้งสุดท้าย


ฝ่ามืออุ่นของขุนนางจีวางลงที่ไหล่กว้างของเด็กหนุ่มอย่างเข้าใจ ก่อนจะลุกขึ้นก้าวเดินพร้อมกับเล่าต่อ


“คฤหาสน์ตระกูลโกคุเดระ อยู่ตะวันตกสุดของดินแดนบูรพาและมีอาณาเขตที่ใกล้กับดินแดนประจิมที่สุด ในขณะเดียวกัน คฤหาสน์ของอาซาริ อุเก็ตสึต้นตระกูลยามาโมโตะนั้นก็อยู่ตะวันออกสุดของดินแดนประจิม...และมีที่ดินติดกับปฐพีบูรพา ดังนั้นอาณาเขตของข้ากับปู่เจ้าจึงห่างกันเพียงรั้วกั้น”


บัดนี้ ขุนนางจีและยามาโมโตะ ทาเคชิยืนอยู่หน้ารั้วไม้สูงตระหง่าน ประตูรั้วเปลี่ยนจากสีไม้ธรรมชาติเป็นสีเทาเก่าๆแต่ขัดกับโซ่โลหะคล้องประตูและแม่กุญแจใหญ่ที่สลักเสลางดงามที่สนิมจับเพียงเล็กน้อยแต่ก็ดูใหม่กว่าตัวประตูหลายขุมบ่งบอกว่าประตูรั้วนี้ยังคงมีคนผ่านเข้าไปบ้าง หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงกระหน่ำ ในหัวชักจะจับต้นชนปลายลำดับเหตุการณ์ไม่ค่อยถูกนัก หากคฤหาสน์ของปู่เขากับคฤหาสน์โกคุเดระห่างกันเพียงรั้วกั้นแล้ว ข้างหลังรั้วนี่ก็ต้องเป็น...




ประตูไม้เปิดออกเสียงดังแอด เผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ถึงสามสิบปีที่ไม่มีใครเคยได้ยลแก่สายตาให้ยามาโมโตะได้เป็นที่ประจักษ์ พื้นที่กว้างใหญ่ที่เด่นตระหง่านด้วยสิ่งปลูกสร้างทรงญี่ปุ่นหรูหราใหญ่โตงดงามไปดวยกลิ่นอายอารยธรรมของความเป็นขุนนางชั้นสูงไม่แพ้คฤหาสน์ตระกูลโกคุเดระ สนามหญ้าเตียนนุ่มเท้าสีเขียวขจีรับกับต้นไผ่นับสิบต้นที่ปลูกเรียงรายถูกจัดตกแต่งอย่างดี ข้างคฤหาสน์มีน้ำตกกระบอกไม้ไผ่จำลองเคาะกับโขดหินเป็นระยะๆเข้ากับบรรยากาศ 

และที่สะดุดตาแสดงถึงความเป็นรโหฐานของขุนนางของพระจักรพรรดิก็คือกอดอกเบญจมาศชูดอกเด่นสมราศีสายลมเย็นพัดต้นไผ่ให้เอนไหวราวกับเคารพต้อนรับการกลับมาของนายน้อยประจำคฤหาสน์


ยามาโมโตะกระพริบตาไม่เชื่อในสิ่งที่ตาตนเองเห็นนัก ราวกับว่าเขากำลังเดินอยู่ในความฝัน ยิ่งย่างกรายเดินเข้ามาก็ยิ่งรับรู้ถึงกลิ่นอายของตระกูลที่ท่านปู่สู้อุตส่าห์สร้างว่ามีความเข้มแข็ง กล้าหาญ และสมศักดิ์ศรีของผู้ครอบครองชิงุเระ คินโทคิเพียงใด

ที่นี่...คือคฤหาสน์ของอาซาริ อุเก็ตสึ คฤหาสน์ของตระกูลเขาที่เขาเข้าใจมาตลอดทั้งชีวิตว่าถูกตระกูลโกคุเดระยึดไปจนหมดจนสิ้นแล้ว!


แต่ความจริง...


ข้าให้คนสนิทมาทำความสะอาดให้ทุกเดือน หลังจากที่หมอนั่นฝากที่ดินตรงนี้เอาไว้เป็นเวลาสามสิบปีจนกว่าจะมีเจ้าของที่แท้จริงมารับมันกลับคืน


คำพูดของขุนนางจีดึงใจเด็กหนุ่มให้ออกจากภวังค์ ก่อนที่จะเปิดประตูห้องๆหนึ่งในเรือนใหญ่ ห้องนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมและประเพณีของศิลปะการดนตรีอย่างที่ท่านปู่โปรดนอกเสียจากการฝึกดาบ เครื่องดนตรีชั้นสูงหลายตัวยังคงวางเป็นระเบียบตามจุดต่างๆของห้อง ฝาผนังมีภาพที่วิจิตรศิลป์ที่บรรจงวาดด้วยหมึกดำเป็นภาพคนธรรพ์ นางฟ้าเทวดาชาวสวรรค์กำลังประโคมบรรเลงดนตรีทิพย์อย่างงดงาม แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นตู้ไม้ขนาดใหญ่ประกอบไปด้วยลิ้นชักนับร้อยที่ตั้งอยู่ในสุดของห้อง


ขุนนางจีเดินเข้าไปเปิดลิ้นชักตัวหนึ่งแล้วหยิบม้วนกระดาษม้วนหนึ่งส่งให้เด็กหนุ่มที่ยืนรออยู่  นี่เป็นจดหมายที่ปู่ของเจ้าเขียนเอาไว้ถึงลูกหลาน เขาฝากข้าเอาไว้ก่อนจะเกิดสงครามกลางเมือง


ยามาโมโตะกลืนน้ำลายอึก  มือไม้ที่เย็นชืดด้วยความตื่นเต้นรับม้วนกระดาษมาก่อนจะเป็นตัวแทนของลูกหลานทั้งหมดบรรจงแกะเชือกที่ผูกอยู่แล้วคลี่ออก สิ่งที่ปรากฏคือตัวหนังสือลายมือ...ลายมือของอาซาริ อุเก็ตสึปู่ของเขาพร้อมตราลายนกนางแอ่นเช่นเดียวกับลายดาบซึ่งเป็นตราประจำตระกูลประทับอยู่


ถึง ลูกหลานที่รักของข้า

       ข้าอาซาริ อุเก็ตสึ อัครสมุหกลาโหมแห่งดินแดนประจิม และผู้นำตระกูลผู้สืบทอดชิงุเระ คินโทคิรุ่นที่ 1 จดหมายฉบับนี้เมื่อพวกเจ้คนใดก็ตามาได้อ่านก็ได้หมายความว่าข้าได้ล่วงลับไปแล้ว และดินแดนอาทิตย์อุทัยนี้ได้หลอมรวมเป็นปึกแผ่นเดียวกัน ไม่มีแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่มีดินแดนประจิมหรือปฐพีบูรพาอีกต่อไป

...ข้าเสียใจ ที่ทำให้ลูกหลานอย่างพวกเจ้าต้องถูกตราหน้าว่าเป็นผู้แพ้สงครามชิงดินแดน...แต่ว่า การปกครองนั้นไม่มีความแน่นอน จะเป็นประจิมหรือบูรพาที่ต้องพ่ายแพ้เสียดินแดน แต่พึงตระหนักว่าผืนแผ่นดินที่เราอยู่อาศัยนั้นยังคงเป็นผืนดินของประเทศเรา หาได้เป็นเมืองขึ้นของชาติอื่นไม่...

ลูกหลานเอ๋ย...ที่ข้าไม่สามารถปกป้องดินแดนประจิมเอาไว้ได้คือร่างกายของข้าที่ไม่อาจฝืนสังขาร...โรคร้ายแรงรุมเร้าร่างกายข้าทุกเมื่อเชื่อวัน... ข้าตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะให้ขุนนางจี เพื่อนที่ข้าไว้ใจมากที่สุดในชีวิตช่วยดูแลที่ดินในเขตตระกูลของข้า คอยจนกว่าพวกเจ้าคนใจคนหนึ่งจะเข้าใจและมาสืบทอดดูแลคฤหาสน์หลังนี้ต่อไป

ต้องขอขอบคุณจีเพื่อนรักของข้า ขอบคุณที่ทำให้ข้ารู้จักคำว่ามิตรภาพที่แฝงอยู่ในคำว่าขู่แข่ง ขอบคุณที่รับฟังคำขอทุกอย่างของข้าที่ออกจะเอาแต่ใจตนเองและยากเสียหน่อย...

สุดท้าย...ขอบคุณล่วงหน้าก่อนจะถึงราตรีนี้...ที่ข้าจะขอความตายจากเจ้า
อาซาริ อุเก็ตสึ



เมื่ออ่านถึงประโยคสุดท้าย ความรู้สึกโหวงเหวงก็บังเกิดขึ้นในใจยามาโมโตะ ดวงตาที่สั่นระริกกลอกทวนตัวอักษรทุกตัวที่เขียนไม่ให้ตกไปแม้แต่ตัวเดียว มือที่ถืออยู่เริ่มไม่มั่นคงด้วยความคิดที่วุ่นวายและสับสน คำพูดที่ถูกเขียนเป็นตัวหนังสือเป็นดั่งเจตนารมย์ของท่านปู่ของเขา เป็นเจตนารมย์ที่ท่านปู่ไม่สามารถทนต่อโรคร้ายแรงในร่างกายของท่านได้ จึงต้องยอมสละดินแดนให้เป็นสินเชลยของดินแดนบูรพา แต่ถึงกระนั้นก็ได้ฝากขุนนางจีให้ดูแลที่ดินเอาไว้ให้ จนกว่าลูกหลานอย่างเขาจะมารับคืน และความสัตย์จริงข้อสุดท้ายที่กระทบจิตใจของยามาโมโตะให้สั่นคลอนจนล้มครืนลงคือ ท่านปู่ของเขายินดีตายด้วยคมธนูของขุนนางจี ไม่ใช่เพราะถูกฆ่า


นี่หมายความว่า ศัตรูที่เขาจงเกลียดจงชังที่สุดกลับเป็นผู้มีพระคุณล้นฟ้าจนไม่รู้จะทดแทนอย่างไรจึงจะหมดสิ้น สิ่งที่คิดมาแต่แรกนั้นผิดทั้งหมด ผิดจนไม่สามารถแก้ไขได้ ผิดด้วยความเกลียดที่สั่งสมมาเพราะความไร้การไตร่ตรองของเด็กคนหนึ่ง จนกระทั่งกล้าเปิดสงครามล้างแค้นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้เลวทรามอย่างที่เขาคิดมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มรู้จักโลก


นี่เขา...ทำอะไรลงไป



ทำอะไรลงไป!!!



พลันหวนคิดถึงคืนนั้น คืนที่เขามีปากเสียงกับนายน้อยโกคุเดระแล้วไม่เชื่อคำพูดที่ว่าขุนนางจีบริสุทธิ์ ซ้ำยังทำร้ายย่ำยีเกียรติจนย่อยยับ เท่านั้นยังไม่พอ ตราบาปที่จะติดตัวเขาไปชั่วชีวิต ก็คือเขาเกือบจะฆ่าคนที่ไม่ผิดอะไรให้ตายต่อหน้าต่อตาทั้งๆที่อีกฝ่าย...


เป็นคนแรกและคนเดียว...ที่เขามีใจให้


ยามาโมโตะคุกเข่าลงต่อหน้าขุนนางจี ละทิ้งแล้วซึ่งความอวดดี ทิฐิมานะทุกๆอย่าง ก่อนจะก้มศีรษะลงจรดพื้น เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่เขาคำนับขุนนางจีนั้นเต็มไปด้วยความฝืนทนจำใจเล่นละคร แต่ตอนนี้เขาต้องการขอขมาทุกสิ่งทุกอย่างที่เด็กจองหองคนนี้บังอาจกระทำการที่มีความผิดมหันต์


“ข้าขอขมาในทุกสิ่งที่ข้าได้ทำการล่วงเกิน หยามเกียรติ ประทุษร้ายหมายเอาชีวิตตระกูลโกคุเดระ ข้านั้นไม่รู้เรื่องราวที่ลึกซึ้งแบบนี้มาก่อนจริงๆ ฟังเพียงแต่ลมปากชาวบ้านที่เล่ากันต่อๆมา ความผิดใหญ่หลวงครั้งนี้ข้าสมควรตาย หรือขุนนางจีจะลงโทษข้าสถานใด ข้ายินดีรับทั้งสิ้น”


ขุนนางจีทอดสายตามองเด็กหนุ่มที่ร่างกายสั่นน้อยๆก้มหัวขอโทษด้วยแววตาที่เรียบเฉยเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับคำพูดยอมรับโทษนั้น เพราะตัวเขาแม้ยามาโมโตะจะไม่ขอโทษเขาก็ไม่รู้สึกเคืองแค้นใดๆอยู่ดี เขายอมรับ...ว่าเขาเสียใจและเจ็บปวดเจียนขาดใจกับการกระทำของเด็กหนุ่ม แต่ก็มีใครอีกคนที่เจ็บกว่าเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่า


“คนที่เจ้าควรขอโทษ ไม่ใช่ข้า....แต่เป็นฮายาโตะ” เพียงเอ่ยนาม เด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ เป็นเชิงว่าจะให้เขาพบกับนายน้อยโกคุเดระอีกครั้งจริงๆน่ะหรือ  แต่ชนชั้นสูงผู้สวมหน้ากากรักษามาดยังคงอารมณ์ไม่เปลี่ยน


“เพราะฮายาโตะเป็นคนรองรับความแค้นของเจ้าทุกๆอย่าง เด็กคนนั้นก็เป็นคนแบบนั้น ชอบเห็นคนอื่นสำคัญกว่าตนเอง โดยเฉพาะตระกูลโกคุเดระที่ฮายาโตะตั้งปณิธานว่าจะดูแลให้รุ่งเรืองต่อจากข้า ดังนั้นเขาจะเป็นเหยื่อให้เจ้าปั่นเล่นง่ายๆก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”


“ถ้าอย่างนั้นข้าขอเข้าพบนายน้อยโกคุเดระเพื่อขอโทษ และเพื่อเป็นการไถ่โทษสิ่งที่ข้าทำกับเขา ข้าขอเป็นคนดูแลเขา...ได้หรือไม่”


คำขอที่เขาคิอว่าหน้าไม่อายที่สุดหลุดออกจากปากทั้งๆที่รู้ว่าความเป็นได้คือศูนย์แต่ยังคงจะเสี่ยง เพราะคำพูดเหล่านี้กลั่นกรองออกมาจากหัวใจที่เขาอยากจะดูแลนายน้อยโกคุเดระจริงๆ อยากดูแล...อยากปกป้อง ไม่ให้ใครมาทำร้ายเหมือนที่เขาทำ และอีกอย่างหนึ่งนั้น ในส่วนลึกของจิตใจ เขาอยากอยู่ใกล้ชิดนายน้อยโกคุเดระไม่อยากจากไปไหน...ไม่อยากทิ้ง...ไม่อยากหลบหนี อย่างที่เคยทำมา...


ความเงียบงันโรยตัวระหว่างบทสนทนาของทั้งสอง ได้ยินเพียงเสียงลมพัดใบไผ่และเสียงหัวใจของเขาที่เต้นกระหน่ำราวกลองศึกในอก จนในที่สุด...ขุนนางจีก็เป็นฝ่ายเอ่ยปาก


“ข้าไม่เคยต้องการให้เจ้ามาดูแลฮายาโตะเลยแม้แต่น้อย....ที่ข้าอนุญาตให้เจ้ามาเป็นองครักษ์ของฮายาโตะทั้งๆที่รู้ว่าเจ้าคือหลาน อาซาริ อุเก็ตสึ ก็เพราะว่าข้าเปิดโอกาสให้สิทธิ์เจ้ามาแก้แค้น จะทำอะไรกับตระกูลข้าก็ได้...ข้าถือว่าเป็นโชคชะตาที่อุเก็ตสึขีดไว้ให้ตระกูลโกคุเดระ...ดังนั้น ไม่ว่าตอนนั้น หรือตอนนี้ ข้าก็ไม่ปราถนาที่จะให้เจ้ามาดูแลฮายาโตะ”


“.....”



“ข้ารู้ดี ยามาโมโตะ ทาเคชิ ว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรกับหลานข้า แต่ว่า...ข้าอนุญาตให้เจ้าเกลียดหลานข้าอย่างสุดหัวใจเท่าที่เจ้าจะรู้สึก...แต่ไม่อนุญาตที่ให้เจ้าจะรักเขาแม้เพียงเศษเสี้ยวของหัวใจ”


เกลียดได้เท่าที่ทั้งใจจะรู้สึกเกลียด...แต่รักไม่ได้แม้เพียงเสี้ยวหัวใจอย่างนั้นหรือ?...


ถูกต้องทุกอย่าง....เขาไม่มีสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์จริงๆ นามธรรมตัวหนึ่งที่เรียกว่าความรู้สึกนั้นละเอียดอ่อนเสียยิ่งกว่าสิ่งใด ปรับเปลี่ยนได้โดยง่าย ได้มาโดยง่าย และที่สำคัญก็เสียไปได้โดยง่ายเช่นเดียวกัน...


เด็กหนุ่มก้มหน้าลง ทั้งยอมรับและเพื่อซ่อนความอ่อนแอหวั่นไหวในเวลาเดียวกัน เพราะว่าสิ่งที่เขาไม่มีสิทธิ์นั้นเขาได้ละเมิดมันไปทั้งหมดของหัวใจแล้ว...มันค่อยกลืนกินทีละนิดเมื่อได้พบหน้านายน้อยตระกูลโกคุเดระ บุคคลผู้นั้นเปลี่ยนความเกลียดชังให้กลายเป็นความรัก เปลี่ยนโลกแห่งความงมงายให้เป็นความจริง และเปลี่ยนเด็กหนุ่มที่ความรู้สึกหยาบกระด้างให้รู้สึกรักใครอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก...


แต่สำหรับอีกฝ่ายแล้ว คงตรงกันข้ามกัน จากที่เกลียดชังอยู่แล้ว คงจะยิ่งเดียดฉันท์เข้าไปอีกเป็นร้อยเท่าพันเท่า....


ยามาโมโตะ ทาเคชิ ข้าขอคืนให้กับเจ้าทุกๆอย่าง คืนอิสรภาพ ฐานันดรศักดิ์ ทรัพย์สินทุกๆอย่างที่มันตกทอดถึงเจ้าโดยชอบธรรม แม้ว่าจะไม่มีดินแดนประจิม แต่ศักดิ์ของเจ้าคือทายาทตระกูลขุนนางชั้นสูงเทียบเท่าตระกูลข้า และยังคงยิ่งใหญ่รุ่งเรืองเฉกเช่นอดีต จากบัดนี้และตลอดไป


สิ่งที่ได้คืนมาทั้งหมดทั้งสิ้นคือสิ่งที่เป็นเป้าหมายของยามาโมโตะตั้งแต่แรก...ตอนนี้เขาได้คืนแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งๆที่ควรจะโห่ร้องด้วยความดีใจ แต่ความรู้สึกของเขามันกลับโหวงเหวง ช่องท้องปั่นมวนไม่รู้สึกโล่งเลยสักนิดเดียว 


เพราะว่าสิ่งสำคัญอย่าง “หัวใจ” ของเขามันไม่ได้คืนกลับมา...


และไม่มีวันที่จะได้คืนแม้จะร้องเรียกสักเพียงใด


“และถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป กุญแจเปิดประตูรั้วหลังคฤหาสน์โกคุเดระที่เชื่อมติดกับคฤหาสน์หลังนี้ข้าจะทำลายมันทิ้ง...ให้มันจบไปพร้อมๆกับเรื่องราวสามสิบปีที่ผ่านมา เราจะไม่เปิดหากันอีก...เจ้าจะไม่ได้พบหน้าฮายาโตะ จนกว่าเจ้าจะเจอฮายาโตะด้วยพรหมลิขิตในอนาคต...นี่คือคำขอร้อง โปรดเข้าใจด้วย”


คำขอร้ายกาจสำหรับหัวใจของเด็กหนุ่มที่ถูกถาโถมด้วยสายลมหนาว หนาวทั้งกายจนสะท้านไปถึงหัวใจ ทรมาน...เขาทรมานจนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะบรรเทาได้ ยิ่งเห็นร่างของขุนนางจีเดินไกลออกไปจากชานเรือนยิ่งเหมือนความหวังที่ค่อยๆห่างไกลออกไป แสงสว่างที่หรี่ลงๆจนกระทั่งไม่เห็นอีก...


พรหมลิขิตอย่างนั้นหรือ? ฟ้าคงจะไม่ให้โอกาสข้าได้เจอหน้ากับเจ้าหรอก เพราะข้าทำร้ายเจ้าจนฟ้าคงอยากลงโทษข้า



ปิศาจไม่มีทางได้คู่ควรกับนักบุญ



ดอกเบญจมาศเป็นปรปักษ์กับพายุฝน เมื่อหักแล้วย่อมไม่สามารถประกอบให้ตั้งอย่างสง่างามเฉกเช่นเดิม และ...



โจรใจบาปก็ไม่สมควรที่จะครอบครองเพชรกะรัตงามที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าเช่นกัน...



ไม่มีทางได้เคียงคู่กัน เป็นสิ่งตรงข้ามจากนี้เสมอไป






“ทำเช่นนี้ ไตร่ตรองดีแล้วหรือเจ้าคะ ท่านจี” แม่นมของนายน้อย บุคคลหนึ่งผู้รู้เรื่องคฤหาสน์อาซาริ อุเก็ตสึเอ่ยปากถาม พลางสายตามองกุญแจที่ขุนนางจีลั่นวาจาไว้ว่าจะทำลายทิ้งแต่ดันโยนมันใส่หีบใบเล็กๆแล้วลงแม่กุญแจหีบอย่างแน่นหนาแทนด้วยความอาดูร ประมุขตระกูลโกคุเดระถอนหายใจพรืดใหญ่อย่างสมเพชในความใจอ่อนของตนเอง...ความใจอ่อนที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่ได้ลดลงเลย


ทำเพียงแต่ป้องกันเอาไว้เท่านั้น....แต่จะตัดขาดนั้นหรือ ทำไม่ได้จริงๆ


“ข้าเป็นปู่ของฮายาโตะนะนม หลานข้าคิดอย่างไรข้ารู้ดี และความรู้สึกของยามาโมโตะนั้นก็ไม่ได้ต่างกันเลย แต่พวกเขาไม่สามารถรักกันได้ ตราบใดที่ดินแดนผืนนี้ยังคงความไม่แน่นอนแห่งศักดิ์ศรีว่าจะมีผู้ใดได้ครอบครองอย่างเป็นทางการแน่นอน...ในอนาคตฮายาโตะกับยามาโมโตะต้องทำการประหัดประหารสู้กันดังเช่นข้าเมื่อสามสิบปีก่อน...ฝ่ายสูญเสียต้องเจ็บปวดใจเท่าใดข้ารู้ดี ให้ห่างกันตอนนี้เป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว...”


ดวงตาสีโกเมนหลุบต่ำ ไหล่บางไหวเล็กน้อยเพราะอารมณ์เริ่มสั่นคลอน เมื่อนึกถึงใบหน้าของใครบางคนที่แจ่มชัดในความทรงจำที่แสนรวดร้าว



“ดีกว่าที่พวกเขาต้องสูญเสียคนที่รัก ไปจนชั่วชีวิต







สองอาทิตย์ผ่านไป


ร่างกายของนายน้อยโกคุเดระอาการดีขึ้นมากแล้ว แม้ว่าตอนนี้จะต้องคอยทำแผลอยู่เพื่อสมานให้หายดีในเร็ววัน แต่เขาก็สามารถเดินเหิน ทำกิจวัตรประจำวันได้เหมือนปกติ เช่นในยามราตรีที่ฟ้ากระจ่างใสเต็มไปด้วยหมู่ดาวพร่างพรายรายล้อมดวงจันทราสีนวลอย่างนี้ ควรค่าที่นายน้อยจะออกเดินเล่นรอบคฤหาสน์ กลิ่นดอกไม้ราตรีที่รำเพยมาพร้อมสายลมพัด เจริญความรู้สึกเสียยิ่งกว่าการอุดอู้อยู่ในห้อง แต่กว่าจะกล่อมพี่เลี้ยงและเหล่าพ่อบ้านสาวใช้ได้ก็แทบหืดขึ้นคอเหมือนกัน


ร่างบางย่างกรายไปเรื่อยๆในสวนต้องห้าม สวนที่ท่านปู่ห้ามนักห้ามหนาว่าอย่าเข้ามาเล่น แต่เขาก็แอบมาประจำและแน่นอนว่าไม่ได้สำรวจอะไรมากมายนักเนื่องจากพวกพี่เลี้ยงจะมาเห็นแล้วหิ้วตัวเขาไปเสียก่อน สวนสวยดูไม่มีพิษภัยเหมือนชื่อ ไม่ว่าในยามทิวาหรือราตรีกาลก็ยังมีเสน่ห์ของธรรมชาติที่ชวนหลงใหล 


แสงจันทร์นวลตาส่องลอดตามช่องต้นไม้ส่องให้สวนแห่งนี้งดงามน่าค้นหา เสียงหรีดเรไรร้องระงมบรรเลงดนตรียามค่ำคืนได้อย่างไพเราะน่าฟัง และที่สำคัญหิ่งห้อยหลายร้อยตัวที่บินอ้อยอิ่งเพิ่มความสว่างไสวด้วยไฟสีเขียวเย็นตาที่อยู่รอบกายเขายิ่งทำให้ผู้พบเห็นตระการตา


ความสวยงามเช่นนี้...ข้าเกือบไม่มีโอกาสได้มาสัมผัสพบเห็น และความเลวร้ายที่พบเจอเหมือนเป็นดั่งเรื่องราวที่กำลังจางหาย...หายไปพร้อมกับตัวของเจ้า


แต่ข้าอยากรู้เช่นกันว่าเจ้าอยู่หนใด และได้เห็นราตรีที่สวยงามเหมือนอย่างที่ข้าเห็นหรือไม่?




“วันนี้เป็นวันที่สิบห้า...” เสียงนุ่มทุ้มที่คุ้นเคยอย่างแปลกประหลาดแว่วเข้าโสตประสาทของนายน้อยโกคุเดระจนต้องเงี่ยหูฟัง ดวงตาสีมรกตกลอกไปมาอย่างตกใจพยายามหาต้นตอของเสียง เขาวิ่งไปเรื่อยๆ วิ่งตามเสียงที่เริ่มชัดขึ้นทุกที ทุกที จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูรั้วไม้เก่าๆสูงตระหง่าน หัวใจของเขาเต้นถี่รัว พยายามควบคุมลมหายใจที่มันเริ่มจะไม่ทัน ดวงตาสั่นระริกจ้องมองประตู เขายังไม่อยากจะเชื่อความรู้สึกที่มันพยายามบ่งบอก


“เจ้าจะได้ยินข้าไหม โกคุเดระ แต่ไม่เป็นอะไร แม้ว่าเจ้าจะได้ยินหรือไม่ได้ยินนั้นข้าก็จะพยายามพูดซ้ำๆทุกๆวัน ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องได้ยินสักวัน” ไม่เปลี่ยนไป เสียงที่เขาคุ้นเคยยังไม่เปลี่ยนไป นายน้อยโกคุเดระกระชับคอกิโมโนให้แน่นขึ้นราวกับจะปิดกันเสียงหัวใจไม่ให้ดังเล็ดลอด ทั้งที่ความจริงเขารู้สึกตกใจและตื้นตันมากเพียงใด


“ข้าอยากกล่าวคำว่าขอโทษ ขอโทษทุกๆอย่างในสิ่งที่ข้าทำลงไปอย่างมิบังควร ข้าลงความแค้นกับเจ้า ทั้งที่เจ้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วย แต่เจ้าได้แสดงให้ข้าเห็นถึงความกล้าหาญ เข้มแข็ง ยอมรับในสิ่งที่ข้าทำจนข้าละอายแก่ใจและทรมานมาก ใจที่สูงส่งของเจ้าเปลี่ยนจากความโกรธแค้นให้กลายเป็นความรักอย่างเต็มหัวใจ....โกคุเดระ ข้าทรมานที่ไม่ได้พบหน้าเจ้า และไม่ได้ขอโทษเจ้า”


ทุกสรรพเสียงเงียบงัน นายน้อยโกคุเดระค่อยๆยกมือขึ้นทาบกับประตูรั้ว ขอบตาร้อนผ่าวเมื่อได้ยินคำสารภาพ นายน้อยไม่รู้ว่าข้างหลังประตูรั้วนี้เป็นเช่นไร อีกฝ่ายแสดงสีหน้าอย่างไร มืออีกข้างยกขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น อยู่แค่นี้...อยู่ห่างกันแค่นี้ แต่ในใจเขา เขากลับคิดว่ามันไกลแสนไกล ไม่สามารถตะโกนไปเพื่อให้ได้ยินเสียง หัวใจมันยังคงเจ็บจนพูดไม่ออก



แต่ข้าได้ยินเจ้าแล้ว...ได้ยินแล้วว่า “ขอโทษ”


“ขอให้เจ้าได้ยินและรับรู้ด้วยเถิด ว่าข้ารักเจ้า รักเจ้าจริงๆ โกคุเดระ”


ได้ยินแล้ว...


เสียงสะอึกสะอื้นดังอยู่ในลำคอเพราะมือสองข้างปิดปากตัวเองอย่างแน่นหนา หยาดน้ำอุ่นๆที่รินไหลให้กับคนๆนี้อีกครากลั้นเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป แผ่นหลังบางพิงกับประตูรั้วอย่างอ่อนแรง ทุกสิ่งทุกอย่างมันควรจะจบ เรื่องราวบาดหมาง

มันควรจะสิ้น แต่ถ้าหากจะนึกรักกัน...


ขอให้เป็นเรื่องของพรหมลิขิต....ขอให้เวลาเป็นเครื่องกำหนด


ผืนปฐพีนี้ยังมีพวกเขาสองคนยืนอยู่...ยืนอยู่ด้วยกัน


สักวันหนึ่งหากคู่ควร...



เราคงได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง...ด้วยความบังเอิญ...หาใช่ด้วยความตั้งใจ

..................................................................



สิ้นสุดปฐมบทที่ปฐพีแห่งศักดิ์ศรีนี้เป็นสักขีพยาน โชคชะตาจะนำพาให้ให้เขาก้าวสู่วันข้างหน้าตามกาลเวลาที่ผันแปร....


โดยที่มีเรื่องราวในครานี้เป็น อดีตนิรันดร์'

.

.

.

.

.
TBC...ภาคปัจฉิมบท "อดีตนิรันดร์"



มิยะขอเม้าท์

คึกๆ ไม่มีอะไรจะพูดมากมายนอกจากเจอกัน 24 นี้ ซึ่งอันที่จริงอดีตนิรันดร์ตอนที่ 1 ก็เป็นของเก่าเล่าใหม่เหมือนกัน // โดนเสย แต่ว่าได้รีไรท์และเปลี่ยนอะไรใหม่พอสมควร เพราะฉะนั้นอยากให้อ่านตอนที่ 1 ด้วยค่ะ แต่ขอเล่าถึงฟิคเรื่องนี้นิดนึงว่าไอ้มิยะได้แต่ใดมา ธีมเรื่องนี้มาจากการ์ตูนดิสนีย์ เดอะ ไลอ้อน คิง 2 โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ไอ้มิยะดูจบแล้วคร่ำครวญ นี่มันการ์ตูนหรือหนังจีนพีเรียดครัช ไยอารมณ์กับคาร์แร็กเตอร์ถึงได้ใจจอร์จขนาดเน้ มันแนวที่แบบพระเอกมาตีสนิทนางเอกเพื่อแก้แค้นพ่อ // สิงโตเรื่องนี้หล่อไป T////T


แล้วเจอกันเน้ออ

ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียนบล็อก เม้นท์ได้เป็นกำลังใจจ้ะ 

แอบมาดิท เพราะมีพี่สาวใจดีวาดแฟนอาร์ตออกมาให้ค่ะ พี่กี้ Snow_fredel นั่นเอง โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แถมเพจด้วย SnowfredeL มันสวยมาก สวยจริงจัง สวยจนทนไม่ไหว เลยขออนุญาตเอามาแปะนะคะ สื่อออกมาได้ทุกอารมณ์ตัวละครเลยค่ะ ชอบมาก ขอบคุณค่ะ ติดแบบใหญ่พิเศษ






TTvTT b


Miya






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น