[Project: Happy birthday Takasugi kun!
S.Au.Fic Gintama Takasugi X Katsura X Gintoki
Serious drama action
คำเตือน
เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
รวมทั้งฉากและช่วงเวลาที่ปรากฎในฟิคเรื่องนี้
เป็นการผสมผสานปรับประยุกต์จากช่วงเวลาในประวัติศาสตร์จริงและจินตนาการของผู้เขียน
ดังนั้นไม่สามารถใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ
คำเตือนข้อสุดท้าย เนื่องจากเป็น Au คาร์แร็กเตอร์อาจหลุดบ้างน่อ
สองฝั่งหัวใจ
องก์ที่สี่
ค่ายปราบกบฏ
“ท่านแม่ทัพ นายกองทั้งหมด
กรุณาฟังสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ให้ดี หากสำเร็จ
ชัยชนะจะมาอยู่ในมือเรามากกว่าครึ่ง”
ผู้ควบคุมแผนของกองทัพประกาศด้วยน้ำเสียงจริงจัง เสริมด้วยรอยยิ้มในตอนท้าย
ยิ่งสามารถสร้างพลังใจของทหารได้เป็นทบทวี ร่างโปร่งบางเดินไปรอบๆแผนที่ของวังหลวง
ดวงตาเรียวเฉียบคมตวัดมองไปยังจุดๆหนึ่งบนแผนที่
“ตอนนี้เราได้เอาชนะทัพอาคเนย์แล้ว
เหล่าทัพอื่นๆของกองทหารอสุราจึงเพิ่มความระวังระไวเป็นเท่าตัว
และทากาสึงิคงจะเรียกเหล่าทัพย่อยที่ไปประจำการอยู่ตามเมืองต่างๆกลับวังหลวงโดยเร็วที่สุด”
“ถ้าเช่นนั้นรอบๆวังก็เปรียบเสมือนปราการเหล็กกล้า
แล้วเราจะตีเข้าประตูวังเช่นไรขอรับอาจารย์?”
คำถามจากนายกองผู้หนึ่งเรียกรอยยิ้มบนใบหน้างาม
“ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนั้น เราจะลอบเข้าโดยที่ไม่ผ่านทวารทั้งห้าของวัง
แต่ถึงจะปะทะกับกองทัพอสุราบ้าง แต่ข้าคิดว่าไม่หนักหนาเท่าครั้งก่อน
ความเสียหายจากการพ่ายของทัพอาคเนย์ทำให้ศัตรูเสียไพร่พลไปราวกว่าห้าพันนาย
การจะหากำลังขนาดนั้นมาชดเชย ย่อมเป็นไปไม่ได้ภายในวันสองวัน”
แม้จะเป็นเรื่องที่เครียด
แต่เมื่อมันถูกเล่าด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มเป็นจังหวะจะโคนแล้วเปี่ยมไปด้วยกำลังใจทำให้ทุกคนจินตนาการออกเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือภาพแห่งชัยชนะ
ร่างสูงของกินโทกิที่นั่งอยู่เบื้องหลังลุกขึ้นก่อนจะก้าวเข้ามายืนเคียงข้างยอดกุนซือแล้วสรุปความ
“นั่นหมายความว่า
เวลานี้คือเวลาแห่งการรวมทัพที่แท้จริงของกองทหารอสุรา
พวกมันจะพากันอัดแน่นเพื่อรักษาวังหลวง...ถึงจะน่าโมโห
แต่ทำอะไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายคือทากาสึงิ
มันต้องรู้แน่ๆว่าพวกเราตั้งใจโจมตีมันที่ศูนย์กลาง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ต้องโจมตีก็ได้” คาซึระเสนอข้อคิด มือเรียวกำไม้เหลาเล็กแล้วชี้ไปยังรูปสี่เหลี่ยมรูปหนึ่งในแผนที่ของวังหลวง
“ยิ่งทหารมีมากเท่าไหร่
เสบียงยิ่งจำเป็นมากเท่านั้น ตอนนี้เสบียงของกองกลางคงมีไม่มากพอที่จะเลี้ยงทหารที่จะมาเพิ่มอีกราวหลายพัน
ยิ่งเป็นทหารที่ไม่ใช่ประจำอยู่วังหลวงด้วยแล้ว
การเดินทางกลับมาโดยขนเสบียงมาด้วยจะเป็นการล่าช้า จะสั่งเพิ่มจากชาวบ้านก็คงไม่ได้
ช่วงนี้ข้าวยากหมากแพงเพราะกิจสงคราม ถ้าโดนประท้วงขึ้นมา
ทางทากาสึงิจะเดือดร้อนอย่างสาหัส”
“ซึระ...นี่เจ้าคิดจะ..”
กินโทกิหรี่ตาลงราวสันนิษฐานแผนการที่อยู่ในใจของอีกฝ่าย ใบหน้าจริงจังพร้อมกับผงกลงเบาๆคือคำตอบที่ชัดเจนและเด็ดขาด
“ใช่!...เราจะเผาโกดังเสบียงของกองทัพทหารอสุรา”
สิ้นประโยคของร่างบาง บรรยากาศของกระโจมก็ร้อนอ้าวขึ้นทันควัน
หากแต่เป็นอย่างนั้นเหล่าทหารทั้งหลายก็พลันขนลุกเกรียว หันมองหน้ากันพรึ่บพรั่บ ต่างรู้สึกแปลกใจไปกับอารมณ์ของที่ปรึกษาผู้คงความเยือกเย็นไว้เสมอบัดนี้กลับรวดเร็วหุนหัน
แต่คงมีเพียงกินโทกิผู้เดียวที่รู้ว่าใครทำให้ที่ปรึกษาเขาร้อนได้ขนาดนี้
ใจของคาซึระจะเข้มแข็งหรืออ่อนไหว...มหาอุปราชแห่งวังหลวงคนนั้นได้เป็นผู้ควบคุมจนหมดสิ้น...
“ท่านอาจารย์
แต่ข้าไม่เห็นด้วยที่จะเผานะขอรับ” นายกองอีกคนร้องเสียงหลง เผลอลุกยืนขึ้นแล้วเสนอความเห็น“แทนที่จะเผา สู้ขโมยมาเป็นเสบียงของเรามิดีกว่าหรือขอรับ”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้” เสียงนุ่มปฏิเสธทันที
เรียกเสียงฮือฮาของเหล่าทหาร หลายคนประหลาดใจ อีกบางส่วนขัดใจจนกระทั่ง
แม้ทัพใหญ่กินโทกิต้องชูดาบอาญาสิทธิ์ขึ้นห้ามเสียงจึงได้เงียบลง คาซึระถึงได้อธิบาย
“ก็ใช่ว่าข้าเป็นคนมีคุณธรรมสูงส่ง
ไม่กล้าขโมยของศัตรูอะไรหรอก แต่นี่คือโอกาสเดียวที่เราจะได้บุกเข้าวังหลวง
เมื่อเผาโกดังแล้ว เราจะกวาดล้างกบฏแผ่นดินให้สิ้นซากในคราวเดียวกัน”
ทั่วทั้งกระโจมกลางเงียบงัน ทันทีที่รับฟัง ศึกในครั้งนี้คือศึกที่ใหญ่ที่สุดและต้องแลกด้วยชีวิตและศักดิ์ศรีของแผ่นดิน
เลือดในกายของเหล่านักรบร้อนระอุแม้ไม่ต้องกระตุ้น
ดวงตาเข้มแข็งจับจ้องมาที่ร่างๆเดียวที่ยืนอยู่กลางกระโจม
รับฟังยุทธวิธีรบครั้งสุดท้ายอย่างตั้งใจ
“อีกสองชั่วยามเราจะส่งหน่วยลาดตระเวนไปพื่อเปิดทางลับเข้าวัง
และเพื่อกวาดพื้นที่หาทางหนีทีไล่ได้ทันการ ข้าขอแต่งตั้งหน่วยลับจำนวนสิบคน
ทหารมีฝีมืออีกสี่นนายเพื่อทำภารกิจนี้....และผู้ที่จะรับผิดชอบเป็นหัวหน้าปฏิบัติการก็คือ....”
ยอดกุนซือแห่งแผ่นดินเว้นวรรค
ดวงตาเรียวคมสีดำเต็มไปด้วยความแน่วแน่และตั้งใจกวาดมองเหล่านักรบชั้นเยี่ยมที่อยู่ในมือตนทีละนายๆ
แล้วมาหยุดชั่วครู่ที่ท่านแม่ทัพใหญ่ผมสีเงิน
ดวงตาฉาบอำนาจที่จ้องกลับมานั้นเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและยังคงห้ามปรามไม่ให้เขาทำอะไรเสี่ยงๆอย่างเก่า
คาซึระหลบสายตาลงแล้วประกาศชัดเจน
“....คือข้าเอง”
คำประกาศที่ทำให้กินโทกิตาลุกโพลง
“ซึระ!!” ร่างสูงร้องประท้วงลั่นไวเท่าความคิด
มือแกร่งคว้าเข้าที่ต้นแขนเพรียวของที่ปรึกษาคนสนิท
แต่คนถูกจับไม่สนใจแม้แต่จะหันมามองยังคงตั้งหน้าตั้งตาสั่งกำชับผู้ใต้บังคับบัญชาต่อไป
นั่นยิ่งทำให้กินโทกิไม่พอใจเป็นเท่าตัว
“หน่วยลับและทหารที่ข้าเอ่ยเรียกไปขอให้เตรียมตัว
อีกสองชั่วยามเราจะออกเดินทางทันที เลิกประชุมทัพเพียงเท่านี้”
สิ้นคำตัดบทก็พร้อมด้วยเสียงลุกครืนของนายกองหลายสิบคน
ร่างกายกำยำโค้งเคารพแล้วทยอยเดินออกไปจากกระโจมกลาง
แต่มันช่างน่าแปลกตรงที่ว่าเมื่อผู้คนน้อยลงในกระโจมหลังย่อมอากาศจะปลอดโปร่ง
หากแต่กลับไม่ใช่
อารมณ์ของคนที่อยู่ข้างๆเขาทวีความอึดอัดในห้องที่กั้นด้วยผ้าใบผืนหนา
ผือมือแกร่งแน่นที่บีบต้นแขนเขาอยู่เกร็งหนักอีกเล็กน้อยทำให้คาซึระต้องหันไปมอง
“เจ้าคิดจะทำอะไร...ทำไมพูดไม่คิดแบบนั้น”
“ไม่ใช่....นี่เพราะข้าคิดแล้วถึงได้พูด
ข้าตระหนักถึงกฏข้อสำคัญของเสนาธิการอยู่เสมอว่าถ้าพูดไม่คิด
นั่นคือหายนะของกองทัพ”
“แต่เจ้าไม่เคยคิดถึงหายนะที่เกิดกับตัวเจ้าเลย”
กินโทกิค้านเสียงแข็ง รู้สึกอ่อนใจว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนเป็นห่วงอีกฝ่าย
ทั้งๆที่มันไม่จำเป็นเลยแท้ๆที่ตัวที่ปรึกษาทัพจะออกสนามเองแบบนั้น แม้จะเก่งเรื่องกลยุทธ์
แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าทากาสึงิแล้ว คาซึระเสียเปรียบฝ่ายนั้นทุกประตู
แล้วเป็นแบบนี้ผู้นำอย่างเขาจะปล่อยให้ไปได้อย่างไร
“ซึระ
ข้าขอยื่นคำขาดกับเจ้าโดยอ้างถึงดาบอาญาสิทธิ์ที่ข้าถืออยู่
ไม่อนุญาตให้เจ้าเป็นผู้นำหน่วยลับครั้งนี้”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดถึงกฎแห่งทัพ
กินโทกิ” คาซึระแย้งเสียงขรึม
ท่าทีเยือกเย็นอยู่เสมอบัดนี้มันอาจจะถูกใครมองออกว่าเป็นเพียงแค่การเสแสร้ง
เพราะในหัวใจของร่างบางนั้นมันร้อนรุ่มไปด้วยไฟสงครามทุกตารางนิ้ว
เขาถอนหายใจแล้วแจงต่อด้วยความเด็ดขาด
“จริงที่ว่าผู้อยู่ในกองทัพไม่เว้นแม้แต่ที่ปรึกษาต้องเคารพกฎภายในกองทัพ
โดยยึดเอาสิทธิ์ขาดที่แม่ทัพใหญ่เป็นหลัก
แต่ในเวลานี้คือเวลาที่จะต้องเริ่มยุทธวิธีการรบ
แผนการของเสนาธิการโดยไม่มีข้อโต้แย้งจากแม้ทัพในที่ประชุมคือคำสั่งสูงสุด
เจ้าต่างหากที่ต้องเชื่อฟังในการตัดสินใจของข้า”
ดวงตาสองคู่จ้องกันอย่างไม่ยอมแพ้
ดวงตาที่ว่ากันว่าเป็นหน้าต่างของหัวใจและกินโทกิมั่นใจว่าคนฉลาดอย่างคาซึระสามารถมองมันออกได้อย่างง่ายแสนง่าย
แต่ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเขาไม่อาจทำให้ร่างบางเปลี่ยนใจได้แม้จะวิงวอนเท่าไหร่....
ผ่านมาหลายครั้ง... จนเริ่มชินชากับความเจ็บ
พอชินมันก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่ายื้อต่อไปก็คงไม่เป็นผล
กินโทกิหลุบตาลงต่ำยอมแพ้
แล้วค่อยๆคลายฝ่ามือที่บีบต้นแขนเพรียวนั้นลง
เดินถอยออกมาสองสามก้าวเพื่อตั้งหลักให้หัวใจค่อยๆสมานและทำงานเป็นปกติ
“อย่างน้อยๆ
ขอให้ข้าได้รู้เหตุผล...ว่าทำไมต้องเป็นเจ้า”
“ในทัพนี้นอกจากเจ้าแล้ว
คนที่ชินทางเข้าออกในวังมากที่สุดก็คือข้า และการลาดตระเวนคราวนี้สำคัญมาก หากพลาด
เราคงไม่มีหวังที่จะชนะ”
อีกครั้งที่คำว่า ชนะ
หลุดออกจากปากของที่ปรึกษาคนสนิท ทุกครั้งที่ได้ยินคำๆนี้
กินโทกิจะรู้สึกฮึกเหิมและเปี่ยมไปด้วยพลังใจ อยากฟังอีกสักหลายร้อยรอบ
เพราะการได้ฟังจากคนตรงหน้ามันเหมือนกับเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
มันเหมือนเป็นการย้ำเตือนให้เขาสู้เพื่อคาซึระเสมอ...และนั่นจะทำให้เขาไม่มีวันพ่ายแพ้
แต่ครั้งนี้...กินโทกิอยากละทิ้งทุกเกียรติยศ
อยากขอขมาท่านพ่อและอาจารย์ที่อยู่บนสวรรค์....ว่าเขาไม่อาจแลกชัยชนะกับตัวของคนสำคัญที่อยู่เบื้องหน้านี้ได้
ช่างขี้ขลาด....
สองชั่วยามถัดมา...
ในมือเรียวของที่ปรึกษาผู้เคยอยู่ติดค่ายตลอดเวลากระชับสายคล้องม้าแล้วดึงให้มันมาอยู่ใกล้ๆตัว
ม้าสีขาวบริสุทธิ์เหยียดการกายตรง มีแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจดังเช่นเจ้าของ
เบื้องหลังคือทหารของหน่วยลับพร้อมม้าสีดำลักษณะดีอีกคนละตัว
ส่วนเบื้องหน้าคือร่างสูงของแม่ทัพกินโทกิที่ออกมาส่ง
ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยความเรียบเฉย แต่หากปกปิดเช่นไรเหล่าคนใต้บังคับบัญชาที่ยืนรายรอบก็ทราบอยู่ดีว่าแท้จริงแล้วกินโทกิกังวลมากเพียงไหน
“ทากาสึงิมันได้แช่งข้าทั้งตระกูลแน่
ที่บังอาจส่งเจ้าไปลาดตระเวน” ร่างสูงยิ้มเจื่อน
แต่คาซึระกลับหัวเราะเบาๆด้วยความขบขัน
“ถ้าแช่งจริง ตัวทากาสึงิเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อน
เพราะเขาก็คนในตระกูลของเจ้า”......ไม่ต้องแช่งก็เดือดร้อนแน่อยู่แล้ว
กินโทกิเถียงในใจ
ถึงทากาสึงิจะโหดร้ายและเลือดเย็นเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าศึกเรือนหมื่นเรือนแสน
กล้ากระทำการบาปหยาบช้าไม่ละอายโทษหากนั่นจะนำมาซึ่งอำนาจเหนือใคร....แต่เหลี่ยมแข็งๆนั่นจะถูกลบออกไปจนสิ้นเมื่อมีร่างบางตรงหน้าอยู่ข้างๆ
กินโทกิยังจำได้ดีว่าพี่ชายต่างแม่คนนั้นโกรธแค้นจนแทบจะฆ่าเขาให้แหลกคามือ
เมื่อรู้ว่าเขาดึงคาซึระมาเป็นหมากตัวสำคัญในสมรภูมิรบ
...ก็เพราะเหมือนกัน...เลยดูออกทั้งหมด...
แต่ทั้งที่เหมือนกัน...คาซึระก็ไม่อาจเลือกเขา.....
กินโทกิจับดาบที่อยู่ข้างกายก่อนจะปลดมันออก
แล้วยื่นมาตรงหน้าที่ปรึกษาคนสำคัญ ดาบเรียวงามหลับใหลอยู่ภายใต้ฝักทองคำฉลุลายประณีตสะท้อนกับแสงดาวหัวค่ำที่กลาดเกลื่อนฟ้า
คาซึระไม่มีทางลืม
มันคือดาบที่ท่านโชกุนมอบให้กับกินโทกิในวันที่พระราชทานยศเจ้าชายรัชทายาท
สิ่งที่เป็นเหมือนสมบัติของผู้ครองบัลลังก์คนถัดไป หากแต่ในทัพนี้มันคือดาบที่คุมกฎทั้งหมด
“กินโทกิ...” ทันทีที่เข้าใจความหมาย
ร่างบางร้องท้วง แต่แม่ทัพตรงหน้ากลับไม่ฟังอย่างทุกที ยกมือขึ้นให้หยุดพูดทันที
“เจ้าดื้อกับข้ามาเยอะแล้วซึระ...เพราะฉะนั้นคำสั่งนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์ขัด
เอาดาบเล่มนี้ไปด้วย....” ใบหน้าคมเปื้อนรอยยิ้มอ่อนโยน “...ให้มันได้ปกป้องเจ้าแทนข้า”
ร่างสูงเอื้อมมือมาจับมือเขาให้ยื่นออกมาแล้ววางดาบเล่มงามลง
ทันทีที่สัมผัส
ไอความเย็นของโลหะตัดกับอุณหภูมิของฝ่ามือที่ช่างอบอุ่นอยู่เสมอทำให้รู้สึกอยากพักพิง....ไม่ว่าจะเป็นเวลาเข้มแข็งหรืออ่อนล้า
มือของกินโทกิคือมือของผู้นำ...คือมือที่จะประคับประคองทุกสิ่งทุกอย่างไม่แม้เพียงคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มนี้
แต่ต้องเป็นทุกคนที่อยู่ภายใต้ผืนฟ้าเหนือแผ่นดินอาทิตย์อุทัย
เจ้าทำให้ข้าเชื่อมั่นมาโดยตลอด...เพราะเจ้าเป็นแบบนี้...ข้าถึงยินดีทุ่มแรงกายแรงใจให้กองทัพ
....การส่งเจ้าเป็นองค์โชกุน....คืนความสว่างไสวสู่ธานี
นี่คือปณิธานสุดท้ายของข้า...
มือบางค่อยๆวางอย่างนุ่มนวลลงกับมือของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก
ทำให้ดวงตาสีแดงเบิกขึ้นอย่างไม่คาดคิด
แต่คาซึระก็กดน้ำหนักลงให้มันกระชับมั่นเพื่อยืนยัน...ดังเช่นคำพูดที่เขายืนยันกับกินโทกิและหัวใจของเขาตลอดมา
“อะไรที่เคยดื้อกับเจ้า...ข้าขอโทษ....อะไรที่เคยไม่เชื่อฟัง
ทำให้เจ้าเสียความรู้สึก หรือทำให้เจ้าท้อใจ...ข้าขอโทษ” เสียงทุ้มหวานพร่ำบอก
ดวงตาสีดำขลับที่เคยเข็มแข็งอยู่เสมอสั่นระริกเหมือนกับมือของคาซึระตอนนี้ที่มันสั่น...สั่นผ่านมือของกินโทกิแล้วเข้าไปคลอนหัวใจจนคลับคล้ายว่ามันจะแหลกสลายลงตรงนี้
...หากแต่ใบหน้าเรียวสวยนั้นยังคงยิ้มให้เขา...แต่คิดว่าเขาไม่รู้หรอกหรือ?
.....ว่าซึระใช้รอยยิ้มปกปิดรอยน้ำตา...ที่มันคลออยู่ข้างใน...
“ตราบใดที่ยังมีข้า
ข้าจะช่วยเจ้าเอง...ข้า..สัญญา”
ร่างบางเก็บดาบเข้ากับเอวแล้วกระโดดขึ้นหลังม้าแล้วควบออกไปอย่างรวดเร็ว
ติดตามด้วยหญิงและชายในอาภรณ์ดำปิดหน้าสังกัดหน่วยลับที่รวดเร็วและคล่องแคล่วที่สุดในกองทัพ
สายลมหมุนพัดเอาดินคลุ้งเลียดหลังฝีเท้าม้า สักครู่ค่อยจางกลิ่นไอดิน
แต่กลิ่นของใครที่เพิ่งไปนั้นมันไม่เคยแม้แต่จะเลือนหายไปเลย...
กินโทกิถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า...ดวงดาวที่ไม่อาจสวยเท่าดวงตาของคนที่เพิ่งออกไป
คนดื้อ...จะอย่างไรก็ดื้ออยู่วันยังค่ำ....แล้วแบบนี้จะมาพูดตัดเยื่อตัดใยให้ข้าไม่ห่วงได้อย่างไร...ซึระ
คนดื้อ...จะอย่างไรก็ดื้ออยู่วันยังค่ำ....แล้วแบบนี้จะมาพูดตัดเยื่อตัดใยให้ข้าไม่ห่วงได้อย่างไร...ซึระ
เพราะอย่างนั้นข้าถึงต้องเดินตามทางที่ข้าตั้งใจมาโดยตลอด...คือการปกป้องเจ้าด้วยเกียรติทั้งหมดที่ข้ามี
หึ...ดูเหมือนข้าก็จะดื้อไม่ต่างกับเจ้านะ...
กุบๆๆๆๆ
เสียงฝีเท้าม้ากว่าสิบตัวควบฝ่ากระแสอากาศยามค่ำคืนมุ่งตรงไปที่เดียวนั่นคือวังหลวง
แสงไฟสีส้มจากคบเพลิงที่เรียงรายตามกำแพงอิฐสูงตระหง่านปรากฏในดวงตาของผู้ถือบังเหียนอาชาสีขาวนำขบวน
มือบางกระตุกเพื่อหยุดม้า
เรียวแขนยกขึ้นหยุดเหล่าผู้ติดตามให้แฝงกายอยู่ภายใต้ร่มเงาไม้
ดวงตาเรียวหรี่ลงเมื่อทอดมองสถานที่ที่เติบโตแต่ยังเด็ก...ที่คาซึระให้หน่วยลับฝีมือดีแอบมาสังเกตการณ์แล้ววาดภาพเป็นแผนที่ให้แล้วเมื่อหลายวันก่อน
ยังคงเหมือนเดิม...ทั้งอาณาบริเวณของขอบรั้ว
หรือกระทั่งการวางผังวัง...ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด
ต้นซากุระที่สูงพ้นกำแพงวังนั้น...ต่อให้หลับตา
เขาก็จำได้เป็นอย่างดีว่าต้องเป็นหลังตำหนักเรียน
“จะทำอย่างไรต่อไปขอรับ ท่านคาซึระ” เสียงหัวหน้าหน่วยลับกระซิบถาม
ดึงให้ร่างบางออกมาจากภวังค์ความคิด
นึกประณามตัวเองหนักหนาที่ใจลอยคิดเรื่องอื่นนอกจากภารกิจ
“จากนี้ไปเราจะแยกกันปฏิบัติภารกิจ
หลังจากที่ลอบเข้าไปในวังได้แล้ว เราจะแบ่งออกเป็นสามหน่วย
หนึ่งคือเหล่ามือลอบสังหาร...จัดการพวกทหารยามเฝ้าโกดังให้หมด
ขอให้เงียบและเร็วจนกระทั่งไม่มีผู้ใดรู้...สองคือหน่วยลับ
อาศัยความไวเข้าไปโปรยดินประสิวให้ทั่วโกดัง
โดยเฉพาะมุมและหลังคา...ส่วนอีกหน้าที่คือคนดูลาดเลา แทรกกายไปทั่วราชวัง
เบี่ยงเบนความสนใจให้พวกกองทัพอสุราให้ออกจากสถานที่”
หลังจากฟังการแจกแจงหน้าที่
นักรบชั้นเยี่ยมของกองทัพปราบกบฏก็พยักหน้าเบาๆรับรู้กันทุกคน
ทหารฝ่ายบู๊สี่คนที่นำมาเพื่อเปิดประตูภารกิจเป็นจำนวนที่เหมาะสม
แต่หน่วยลับเฉียดสิบคนนั้นฟังดูออกจะมากไปหน่อยกับงานเพียงเตรียมเผาเสบียงศัตรู
“แบ่งหน่วยลับออกเป็นสองกลุ่มดีไหมขอรับ
ให้อีกทีมหนึ่งช่วยท่านคาซึระ”
“ไม่จำเป็น” เสียงนุ่มทุ้มตอบทันที
และตามต่อด้วยประโยคที่เหล่าผู้ติดตามอยากฆ่าตัวตายเสียเดี๋ยวนั้น
“งานลาดตระเวนมีเพียงข้าคนเดียวก็พอ”
“ไม่ได้นะขอรับ!!!” ผู้อยู่ใต้บังคับร้องขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย
และในหัวของพวกเขาก็คิดอยู่เพียงเรื่องเดียวโดยที่ไม่ได้นัดหมายอีกเช่นกันว่า จะไม่ยอมให้เสนาธิการคนสำคัญนี่ไปบุกดงคนเถื่อนเพียงตัวคนเดียวเด็ดขาด!
ถ้าปล่อยไป...พวกเขาตาย!
มีแต่ตายกับตาย!!
“พวกข้าขอละขอรับท่านคาซึระ...กรุณาอย่าไปเพียงลำพังเลย
ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน พวกข้าโดนท่านแม่ทัพตัดหัวกระเด็นแน่ๆ”
เพียงแค่นึกถึง เหงื่อที่ซึมชื้นกลางหลังและฝ่ามือจนเย็นชืดคือข้อย้ำเตือนว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอย่างใด ถึงจะไม่พูด ไม่ฝากฝัง แต่สายตาขู่กำชับของท่านแม่ทัพว่าให้ปกป้องที่ปรึกษาคนนี้ยิ่งชีพ ทำไมพวกเขาทุกคนจะไม่รู้
เพียงแค่นึกถึง เหงื่อที่ซึมชื้นกลางหลังและฝ่ามือจนเย็นชืดคือข้อย้ำเตือนว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอย่างใด ถึงจะไม่พูด ไม่ฝากฝัง แต่สายตาขู่กำชับของท่านแม่ทัพว่าให้ปกป้องที่ปรึกษาคนนี้ยิ่งชีพ ทำไมพวกเขาทุกคนจะไม่รู้
ร่างบางมองเหล่าคนในสังกัดนิ่ง แววตาของแต่ละคนมีความตั้งใจสูงอย่างที่เขาก็ไม่อาจจะใช้สิทธิ์ขาดตัดมันไป
จนท้ายที่สุดก็ถอนหายใจแล้วพยักหน้า
“เอาแบบนั้นก็ได้...แต่ตอนนี้เราต้องลอบเข้าวังให้ได้เสียก่อน...ตามข้ามาอย่าให้คลาดกัน”
ทันทีที่มือบางสะบัดบังเหียนอีกครั้ง
ขบวนของหน่วยลาดตระเวนก็ขับเคลื่อน โดยอ้อมจากประตูหน้าวังไปด้านหลัง
ความเร็วและเสียงฝีเท้าของม้าหน่วยพิเศษนี้เบาดุจสายลมต่างจากม้าศึกทั่วไปนัก
จึงมีความช่ำชองที่จะหลบเลี่ยงให้พ้นจากสายตาของทหารยามได้
จนพาผู้บุกรุกวังหลวงมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้เล็กแห่งหนึ่งตรงข้างประตูวังที่เรียกได้ว่าอาจเป็นมุมอับไม่มีใครผ่านเข้าออก
ขนาดของมันคือผู้ใหญ่ต้องก้มหัวผ่าน ตามขอบมีไม้เลื้อยเกี่ยวพันเต็มไปหมด
“ประตูเล็กจังนะขอรับ
ไม่คิดเลยว่าจะมีอยู่ด้วย” หัวหน้าหน่วยลับอดวิจารณ์ไม่ได้เมื่อพินิจประตูที่ต่ำกว่าระดับสายตามาก
คาซึระหัวเราะเบาๆ ทอดมองทางเข้าเบื้องหน้าทั้งรู้สึกขำและคิดถึง
“ในโลกนี้
คนที่รู้ว่ามีประตูลับอยู่มีแค่สามคนเท่านั้น คือข้า แม่ทัพกินโทกิ และทากาสึงิ
แล้วก็ไม่แปลกหรอกที่มันจะเล็ก ก็เพราะใช้เป็นประตูให้เด็กหนีเที่ยวนี่นะ”
ถึงมันจะไม่ใช่เวลา แต่ร่างบางก็ไม่อาจจะหยุดอารมณ์ขันเอาไว้ได้ ภาพในอดีตผ่านหัวเป็นฉากๆอย่างรวดเร็ว
แต่ทุกภาพกลับย้ำเตือนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนั้นต่างกับปัจจุบันมากเพียงไร
ช่วงเวลาที่สุขที่สุด...กับทุกข์ทรมานขนาดนี้
มันห่างกันเพียงไม่กี่ปีเองหรือ?
ขาเรียวกำลังจะก้าวลงจากอาน
หากแต่ไม่ทันที่จะจะแตะพื้นดิน เหตุการณ์ก็มีอุปสรรคดังคาด!
ฉึก!!
เกาทัณฑ์ลูกยาวปักแน่นลงกับพื้นเบื้องหน้ากีบเท้าม้าสีขาว
เจ้าสัตว์พาหนะตกใจกลัวจนร้องเสียงแหลมแล้วถอยกลับไปสามสี่ก้าวอย่างรวดเร็ว
พอๆกับที่เหล่าหน่วยลับถลาออกมาข้างหน้าแล้วห้อมล้อมกุนซือคนสำคัญเอาไว้ตรงกลาง
ทุกสายตามองขึ้นไปยังขอบกำแพงวังโดยอัตโนมัติ
นายทหารหลวงสองสามคนที่กำลังเล็งธนูลงมายังพวกเขาเป็นคำตอบอย่างดี
มีป้อมปราการอยู่ตรงนี้ด้วยหรือนี่!?
อีกเดี๋ยวพวกมันต้องลงมาแน่ๆ
“บ้าจริง!”
คำสบถหายากหลุดออกจากริมฝีปากบาง เหงื่อเม็ดแรกไหลจากขมับ เตรียมใจพร้อมรับศึกปะทะย่อมๆที่จะเกิด
พลันทหารม้าของวังหลวงก็ควบมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ในมือคือดาบคมกริบพร้อมที่จะสูบเลือดของผู้บุกรุก
เช่นเดียวกันกับฝั่งกองทัพปราบกบฏ
นายกองสี่คนห้อตะบึงสวนไปเตรียมประจันบานอย่างไม่กลัวตาย
เคร้งงง!!!
เสียงดาบต่อดาบของทหารฝ่ายบู๊ปะทะกันแหลมบาดหู
แม้คู่ต่อสู้ของทหารนายกองของทัพปราบกบฏจะเป็นเพียงแค่ยามป้อมปราการ
แต่ก็ไม่ทำให้คาซึระนิ่งนอนใจเลยสักนิด
เพราะอีกฝั่งหนึ่งทหารม้าอีกนับสิบของยามรักษาการได้ตรงเข้ามาหาแล้วล้อมพวกเขาเอาไว้อย่างไร้ทางหนี
“บังอาจนัก!! กล้าบุกเข้าวังหลวงเช่นนี้ ไม่กลัวตายกันรึอย่างไร!!!” เสียงกร้าวตะคอกมาพร้อมปลายดาบที่ชี้หมายเอาชีวิต
หากแต่ไม่มีเสียงตอบของร้องชีวิตของฝ่ายบุกรุก
เล่นเอาเหล่าทหารปลายแถวเดือดจนแทบคลั่ง!
“ฆ่ามัน!!!” สิ้นคำประกาศิต เหล่านักรบอสุราก็ทะยานใส่ด้วยแววตากระหายเลือด
หากแต่เหล่าหน่วยลับของกองทัพปราบกบฏก็มิได้มีฝีมือเพียงแค่ลอบแทงข้างหลัง
พร้อมจะสั่งสอนให้ไอ้ปิศาจพวกนั้นรู้ว่า การต่อสู้ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
ก็จัดเจนไม่ต่างกัน
หูสองข้างของคาซึระอื้ออึงไปด้วยเสียงของคมอาวุธรับกับคมอาวุธ
บ้างคือรับกับเนื้อจนหยาดโลหิตสาดกระเซ็น
เสียงร้องโอดโอยของผู้ได้แผลผสมผสานปนเปเช่นวิสัยของสนามรบ แต่มีเพียงเสี้ยววินาทีที่เสียงเหล่านั้นมันใกล้มากกว่าตอนอื่น...และในดวงตาคู่สวยสะท้อนภาพคมดาบที่ชัดเจนมากเมื่อวิถีฟันวาดผ่านตัวเขาอย่างรวดเร็ว!
ฉั่วะ!
“อึก!”
“ท่านคาซึระ!!!!” ดวงหน้างามบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเมื่อเห็นว่าต้นแขนมีรอยบากลึกเพราะทหารอสุราคนหนึ่งอาจหาญยื่นดาบเข้ามาฟันถึงกลางวง
เลือดสีแดงสดทะลักซึมเสื้อคลุมอย่างน่าขนลุกจนต้องเอามืออีกข้างกดเอาไว้
ภาพที่เกิดขึ้นเรียกสัญชาตญาณดิบของหน่วยลับที่อยู่โดยรอบ
ดวงตาของเหล่าผู้ปกป้องวาวโรจน์จนแทบกลายเป็นสีแดงก่ำเช่นโลหิตของบุคคลต้องห้ามที่ไม่เคยให้หลั่งไหล
อุณหภูมิในกายร้อนระอุ มือกระชับอาวุธแน่นเตรียมที่จะฟาดฟัน
และคิดว่าศัตรูต้องกำลังได้ใจและหลงละเลิงไปกับกลิ่นเลือดพร้อมที่จะลุยเช่นเดียวกัน
แต่กลับไม่ใช่...
ดวงตาของพวกมันเบิกกว้าง ใบหน้าขาวซีด
ดังเช่นความกลัวเข้าจับขั้วหัวใจ
“คาซึระ...คาซึระ โคทาโร่....” เสียงเบาหวิวทวนชื่อของร่างบางที่อยู่บนอาชาขาว
ริมฝีปากสั่นระริกทันทีที่สังเกตเห็นดาบราชวงศ์เล่มงามที่เหน็บอยู่ที่เอว
ความรู้สึกฮึกเหิมแต่เดิมเปลี่ยนไปเป็นอาการกลัวความผิดจนแทบอยากจะตายๆไปซะตรงนั้น
สาเหตุไม่ใช่เพียงเพราะอำนาจของรัชทายาทอันดับหนึ่งที่คุ้มครองคาซึระอยู่ แต่ถ้าหากมหาอุปราชผู้คุมกองทัพอสุราเรือนแสนท่านนั้นรับรู้ว่าคาซึระ
โคทาโร่ได้รับบาดเจ็บ...
ตาย!!!
ฉั่วะ!!
“อั่ก!!”
คำวิงวอนอยากตายแม้ไม่พูดออกมาก็ราวกับพระเจ้าได้ยิน
เมื่อเหล่านายกองสี่คนเสร็จศึกจากทางโน้นแล้วรีบกระทืบม้าเข้ามาอาศัยจังหวะศัตรูกำลังตะลึงงันส่งวิญญาณผ่านคมดาบทันที
พวกยามป้อมปราการชั้นปลายแถวที่ไม่เจียมตัวตายตกตามกันราวใบไม้ร่วงต่อหน้าต่อตาร่างบาง
นัยน์ตาสีดำนิลปรือลงอย่างอดสู ถึงแม้ว่าจะจับศึกมาร่วมห้าปีแล้ว
แต่การมีคนมาตายตรงหน้านั้น เป็นเรื่องสะเทือนใจมากกว่าอะไร
“บาดเจ็บกันหรือไม่”
เสียงนุ่มเจืออาการหอบเพราะเสียเลือดหันไปถามคนใต้บังคับบัญชา
แต่ถ้าหากประเมินจากสายตาแล้ว แต่ละคนได้รับบาดแผลเล็กน้อย
ไม่เป็นอันตรายถึงขั้นต้องรีบส่งตัวกลับค่าย...ซึ่งดูท่าคนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดจะเป็นตัวเขาเองมากกว่า
“พวกข้ามิเป็นไรหรอกขอรับ แต่ว่าท่านคาซึระ! แขนของท่าน...!!”
“ไม่ต้องห่วง รีบเข้าไปกันเถอะ” คำพูดตัดบทเยียบเย็นทำให้ไม่มีใครกล้ายิงคำถามต่อ
มือบางฉีกกระชากชายแขนเสื้อคลุมแล้วผูกแน่นที่ปากแผล ขาเรียวก้าวลงจากหลังม้าแล้วผูกสายบังเหียนไว้กับต้นไม้ใหญ่ข้างๆ
ดวงตาคู่สวยทอดมองประตู ก่อนจะตัดสินใจเรียกนายกองผู้หนึ่งมาช่วยพัง
เสียงด้ามดาบกระทุ้งกับบานไม้อยู่หลายต่อหลายที
จนเป็นฝ่ายไม้ที่มีอายุการใช้งานเก่าเกินจะรับแรงกระแทก
มันล้มตึงเปิดทางให้กับเหล่าหน่วยลาดตระเวนในที่สุด
ทันทีที่เหยียบย่างเขาเขตพระราชวัง
สิ่งปลูกสร้างที่เคยงดงามและเปี่ยมไปด้วยอารยธรรมดูจะหมองลงไปเพราะผู้นำที่กรำศึกตลอดอย่างทากาสึงิไม่สนใจที่จะบูรณะเท่าใดนัก
แต่ต่อให้เหล่าตำหนักสวยมากกว่านี้ คาซึระก็ไม่มีเวลามาสนใจ
ดวงตาคู่งามจับจ้องไปที่โกดังเก็บเสบียงที่อยู่เบื้องหน้า กับทหารเฝ้ายามสองสามคน แล้วคิ้วเรียวก็ขมวดมุ่น
ประมาทซะจริง...สถานที่สำคัญเช่นนี้ยังมีการป้องกันที่หละหลวม
แม้จะน่าแปลกใจที่คนอย่างทากาสึงิพลาดแบบนี้ ก็ไม่มีเวลาให้คิดหน้าคิดหลังแล้ว
“ส่งธนูมาให้ข้า”
คำสั่งเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบบอกหน่วยลับที่อยู่ข้างหลัง
ผู้ถูกสั่งอึ้งไปนิดก่อนจะรีบจัดแจงคันธนูพร้อมลูกเกาทัณฑ์ให้พร้อมสรรพ
หัวใจของผู้ที่อยู่เบื้องหลังร่างบางเต้นตึกตักเมื่อเห็นที่ปรึกษาคนสำคัญของกองทัพพวกเขาที่ธรรมดาจะจับเพียงแต่ตำราพิชัยสงครามมีท่าทีสง่างามยิ่งนักเมื่อครองอาวุธ
บัดนี้ร่างโปร่งบางตั้งมั่นกับเป้าหมายเบื้องหน้า ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อย
นิ้วเรียวเกี่ยวง้างเส้นเอ็น ความสงบเยือกเย็นที่ปกคลุมอยู่รอบกายทำให้ไม่มีใครกล้าขยับหรือแม้กระทั่งสูดลมหายใจ
ฉึก! ฉึก!
เกาทัณฑ์เล่มเรียวปักกลางหน้าผากของทหารยามอย่างแม่นยำติดต่อกันจนผู้มองเบิกตาค้าง
หากแต่ไม่มีเวลาให้ชื่นชมในฝีมือยิงธนูของยอดเสนาธิการเท่าใดนัก เหล่าหน่วยลับรีบรุดเข้าไปในโกดังอย่างรวดเร็ว
ตามติดด้วยร่างบางที่ยืนอยู่หน้าประตูคอยสังเกตการณ์ หันซ้ายคือตำหนักของเหล่าเสนาบดีฝ่ายในที่คงจะถูกทากาสึงิย้ายมาอยู่ในพื้นที่ของวังหลัง
หากแต่ที่อยู่เยื้องไปนั่นคงจะเป็นที่ทำการของกองทหารอสุราซึ่งมาจับตาดูเหล่าข้าหลวงเก่า
แบบนี้อาจจะมีข้อมูลของกองทัพอยู่ไม่มากก็น้อย
“ท่านคาซึระขอรับ โกดังกว้างมาก
คาดว่าต้องนำดินประสิวมาเพิ่ม...ท่านคาซึระ....?”
เสียงเรียกร้องของหัวหน้าหน่วยลับค่อยเบาลงพร้อมกับหันหลังกลับมา
แล้วพลันน้ำลายก็หนืดคอจนกลืนไม่ลง ความเย็นสะท้านแล่นเป็นริ้วๆจับแข็งไปทั่วทั้งร่างกายเมื่อเบื้องหลัง
...ไม่มีร่างของที่ปรึกษาคนนั้นยืนอยู่แล้ว
คาซึระค่อยๆย่างก้าวไปตามทางเดินในวังหลวงโดยลัดเลาะไปตามหลังตำหนักต่างๆ
นัยน์ตากลอกไปมาอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เหล่าเวรยามเห็นตน แผ่นหลังแนบกับต้นเสาแล้วยกมือขึ้นกดบาดแผลอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่หากแม้จะปวดจนชาเช่นไร ก็คงไม่เป็นเหตุผลสำคัญที่เขาจะกลับไปในยามนี้
นั่นก็เพราะในหัวใจของเขามีสิ่งสำคัญอยู่เพียงสิ่งเดียว
เอาชนะศึกสงคราม
และคืนบัลลังก์ให้กับกินโทกิตามความประสงค์ขององค์โชกุนและท่านพี่โชโย
แต่ไม่ทันที่จะก้าวเท้าต่อ
คาซึระก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีนายทหารผู้หนึ่งเดินถือม้วนผ้าเขียนรายงานเดินมาตามระเบียงข้างบน
ก่อนจะโค้งคำนับแล้วเลื่อนประตูเข้าไปในห้องที่คบเพลิงที่ส่องสว่างอยู่เพียงห้องเดียว
หัวใจของผู้เห็นกระตุกวูบแล้วแปรเปลี่ยนเป็นเต้นผิดจังหวะ
เพราะตอนนี้ถ้าข้อสันนิษฐานไม่ผิดพลาด เขาเดินเข้ามาใกล้มหาอุปราชผู้คุมกองทัพอสุรานั้นเพียงก้าว
หากแต่หัวใจ...ที่มันไม่อาจหักห้ามอยู่
อาจก้าวข้ามฝั่ง...แล้วคำนึงถึงอยู่เสมอทุกครั้งที่พลั้งเผลอ
เสียงฝีเท้าของทหารคนเดิมเดินเลี่ยงออกไปแล้ว
คาซึระจึงได้สงบสติอารมณ์แล้วค่อยออกมาจากมุมที่ซ่อน
ฝีเท้าที่ย่ำพื้นไม้เย็นเยียบยังคงแผ่วเบาไม่อาจเล็ดลอดผ่านหูของผู้ใด
จนกระทั่งร่างบางมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องทำงานของมหาอุปราชที่แง้มเอาไว้เพียงนิด
ช่างเป็นโชคดีของเขาเหลือเกินที่ประตูนั้นทึบแสง มิเช่นนั้นคนที่อยู่ในห้องคงรู้ว่ามีฝ่ายศัตรูตามมาสังเกตการณ์ถึงตำหนักชั้นใน
ร่างสูงในอาภรณ์อย่างดีกำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าสบายๆซึ่งดูท่าแล้วไม่สมกับเป็นรายงานสงครามชวนปวดหัวเลย
ใบหน้าคมคายประดับไปด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น ดวงตาฉาบแววอำนาจถึงไม่ได้มองอะไรนอกจากหนังสือบนโต๊ะ
แต่คาซึระเหมือนตนเองกำลังถูกเขามองอยู่ทุกเมื่อ
“...ซากุระร่วงโรย
แม้เหลือเพียงกลีบยังคงคอย หทัยมิไร้หวัง....”
ทันทีที่เสียงทุ้มต่ำกล่าวบทกลอนไฮกุที่แสนคุ้นเคยออกมาร่างบางสะดุ้งเฮือก
ดวงตาคู่สวยได้แต่นิ่งค้าง หัวใจข้างในเต้นไม่เป็นส่ำ แล้วยิ่งประหม่าเข้าไปอีกเมื่อคนในห้องดันเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองมาที่ประตู
“มีคนอยู่ข้างนอกใช่หรือไม่
ไปนำน้ำชามาให้ข้าหน่อยสิ” คำสั่งเอาจริงยิ่งทำให้ผู้บุกรุกเครียดหนัก
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาสารรูปแบบนี้ไปประเคนน้ำชาให้ได้อย่างไร
“ได้ยินข้ามิใช่รึ ทำไมยังนิ่งอยู่อีก”
ยิ่งเขาเงียบ ทากาสึงิก็ยิ่งเร่งเท่านั้น
แต่น้ำเสียงเจืออารมณ์หยอกเย้ามากยิ่งกว่าเป็นเรื่องจริงจัง
ทำให้คาซึระรู้ว่าเขาพลาดไปตั้งแต่กล้าเหยียบตำหนักส่วนตัวของแม่ทัพกองทหารอสุรา
คนข้างในต้องเห็นเขา เห็นแน่ๆ และแม้ว่าอาจจะไม่รู้ว่าเป็นใครก็เถอะ ตอนนี้ยิ่งต้องข่มความตื่นเต้นที่มีอยู่เต็มอกแล้วเปลี่ยนเป็นความกล้าพอที่จะกระโดดลงจากระเบียงตำหนักทุกเมื่อ
“ที่เจ้าไม่ยอมไป
เพราะไม่อยากให้ข้าพักเช่นนั้นสิ?” ทากาสึงิถามขำๆ รู้สึกว่าแม้จะกำลังคุยคนเดียว
แต่ดูไม่ขัดอารมณ์ “จะบอกให้ว่าอ่านกลอนไฮกุนี่มันล้านะ ต้องพักสักชั่วโมงแล้วค่อยมาอ่านต่อ...”
ความเงียบเข้าโรยตัว
ร่างบางเม้มริมฝีปากแน่น ขอบตาเริ่มอุ่นชื้น ก้อนสะอื้นออกมาจุกที่ลำคอจนทำอะไรไม่ได้แบบนี้
คาซึระไม่เคยเป็นมาโดยตลอดเวลาห้าปี แล้วมันยิ่งจะทวีความสะเทือนอารมณ์
เมื่อประโยคต่อไปที่เป็นเสียงที่แผ่วเบาลงเหมือนถ้อยคำที่คุ้นเคยที่ทากาสึงิชอบพูดกับเขา
“อย่าใจร้ายนักเลย
ทีเมื่อก่อนเจ้ายังเป็นฝ่ายชวนข้าไปพักเสียด้วยซ้ำ”
เฮือก!
ร่างบางสะดุ้งสุดตัว
ใบหน้าที่ว่าแต่เดิมซีดเพราะบาดแผลอยู่แล้วยิ่งขาวจัดเข้าไปอีก
ยิ่งเมื่อสังเกตเห็นคบเพลิงของเหล่าทหารพร้อมเสียงเอะอะโวยวายฟังแว่วว่ามีศัตรูบุกนั่นยิ่งทำให้คาซึระไม่มีเวลาที่จะใจเย็น
ขาเรียวตัดสินใจก้าวกระโดดลงมาจากระเบียงตำหนักแล้ววิ่งกลับไปที่ผูกม้านั้นให้เร็วที่สุด
และแน่นอนว่าเขาตั้งใจจะล่อให้กองทัพอสุรากลุ่มหนึ่งออกห่างจากโกดังเสบียงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลย
ว่าทุกๆอย่างนั้นอยู่ในสายตาของใครบางคนที่เดินออกมายืนมองจากริมระเบียง
“ตอนนี้มีหน่วยลาดตระเวนของทัพเจ้าชายกินโทกิ
ลอบเข้ามาในวังหลวงขอรับ ขอคำบัญชาจากท่านมหาอุปราชด้วย!”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้หนึ่งในชุดเกราะของนายกองก้าวฉับๆเข้ามาอยู่ต่อหน้าทากาสึงิ
น้ำเสียงและสีหน้าเต็มไปด้วยความเร่งรีบ หากแต่ไม่ทำให้คนฟังใจร้อนตามไปด้วยแม้แต่นิด
ริมฝีปากยกยิ้มอย่างสนุกสนานท้าทาย นิ้วแกร่งไล้ปลายคางแล้วสั่งคำสั่งประหลาดออกไป
“ให้ทหารทุกนายประจำการอยู่ที่วังตามเดิม
ส่วนข้าจะเป็นผู้ไปนำตัวคนบุกรุกมาเอง”
กุบๆๆๆๆๆๆ
ฝีเท้าม้าสีขาวเร่งความเร็วสูงสุดตามติดมาด้วยตัวสีดำที่ควบไล่มาอย่างกระชั้นชิด
เมื่อดวงหน้าเรียวหันกลับไปคราใด คนๆนั้นจะเข้าใกล้
เข้าใกล้เรื่อยๆแล้วกดดันจนท้อแท้ที่จะหลบหนี
ร่างบางหอบหายใจสะบัดแส้ม้าเร่งความเร็วอีกแม้รู้ว่าจะสุดฝีเท้า
เรือนผมสีนิลยาวสวยปลิวไปตามกระแสลม
ร่างบอบบางที่แทบจะไม่เหลือแรงยังคงตั้งตรงสง่าบนหลังอาชา
ซึ่งแม้จะดูกระเสือกกระสนเพียงไร แต่ในสายตาของผู้ไล่ตามตอนนี้มีเพียงความงดงาม
หนีไม่รอดแน่ๆ
ตอนนี้สมาธิไม่เหลือพอที่ครองแล้ว
มือบางล้วงม้วนกระดาษที่เขียนด้วยลายมือออกมาจากสาบเสื้อแล้วใส่ลงไปกระบอกที่ห้อยอยู่ตรงคอม้า
มือเรียวลูบแผงคอหนานุ่มอย่างแผ่วเบาแล้วฝากฝังภารกิจสำคัญ
“ถ้าข้าถูกจับ เจ้าห้ามหยุดนะ
รีบวิ่งไป...วิ่งไปให้ถึงค่ายแล้วเอาสาส์นให้กินโทกิดู เข้าใจไหม?” มันขยับหัวไปมาราวรับรู้ ดวงหน้าเรียวหันขวับไปมองข้างหลัง
ในใจเตรียมพร้อมยอมรับความพ่ายแพ้ที่จะควบมาถึงเขาไม่กี่ก้าว
มหาอุปราชควบม้าให้ใกล้เข้าไปอีกเหลือเพียงแค่เอื้อมมือ
จึงพอที่จะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบนต้นแขนที่เป็นสาเหตุใหญ่ทำให้คาซึระเสียพลังมากขนาดนี้
ยิ่งเห็น อารมณ์ของทากาสึงิก็ยิ่งกรุ่น
นึกถึงไอ้ทหารสามหาวที่ไหนบังอาจทำร้ายคนตรงหน้า ไอ้พวกนั้นสมควรตาย
และอีกคนที่เขาอยากสาปส่งมันคือเจ้าน้องชายต่างแม่
ที่คิดยังไงถึงส่งคนๆนี้มาหาอันตราย
หมับ!
ว่าแล้วแขนแกร่งก็ตวัดรัดเอวบางแล้วคว้าให้มาอยู่บนม้าตัวเดียวกันในที่สุด
เจ้าพาหนะที่วิ่งสุดฝีเท้าแล้วกำลังคึกคะนองนั้น
ถ้าเกิดตกลงไปไม่ต้องจินตนาการถึงผลว่าจะเป็นเช่นไร
ทากาสึงิจึงขังร่างบางเอาไว้ด้วยแขนข้างเดียวแน่น
ส่วนอีกข้างยังคงบังคับม้าอย่างมั่นคง สำทับด้วยเสียงกระซิบเย็นๆแข่งกับกระแสอากาศที่ริมหู
“อยู่นิ่งๆ ถ้าหากตกลงไป
ข้ากลัวว่าข้าจะคว้าเจ้าไม่ทัน” แต่มีหรือจะฟัง
เจ้าตัวยังคงเพียรที่จะดิ้นแม้รู้ว่าไม่เป็นผลที่จะหลุดออกไปง่ายๆ
แต่ถ้าทำให้ลงไปจูบดินข้างล่างกันทั้งคู่มันก็คงไม่แน่ ทากาสึงิจึงกระชากบังเหียนสุดแรง
เจ้าพาหนะร้องเสียงลั่นยกสองขาหน้าตะกายอากาศแล้วจึงสงบลงในที่สุด แล้วปล่อยให้ตัวสีขาววิ่งเตลิดไปไหนต่อไหน
ม้าสงบ ฝุ่นดินที่ตลบเริ่มจะจางหาย
แต่จิตใจของใครบางคนกลับไม่สงบด้วย ร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขนดิ้นขลุกขลัก
ดวงหน้าขาวซีดร้อนผะผ่าวจนเห็นสีชัดยิ่งทวีความเอ็นดูของคนที่ลอบมองอยู่ยิ่งนัก
จนอดไม่ได้ที่ต้องขำเบาๆแล้วแกล้งพูดให้ยิ่งหัวปั่นเล่น
“ข้าควรจะบอกเจ้าเอาไว้ก่อนว่าม้าศึกของแม่ทัพนั้น
คือม้าศึกที่มีฝีเท้าดีกว่าของหน่วยลับลาดตระเวน แม้ไม่เบาเทียบเท่า
แต่ความเร็วและความคมยังผิดกัน เจ้าแพ้ทันทีที่คิดจะหนีข้าด้วยม้า”
“จะหนีเจ้าด้วยอะไร
ก็ไม่เคยพ้นอยู่แล้วมิใช่รึ” ดวงตาคู่สวยจ้องเขม็ง ฟันขบกันแน่นด้วยความเจ็บใจที่สุด
แต่ประโยคนั้นกลับถูกใจคนฟังยิ่งนัก นิ้วแกร่งเกี่ยวเข้าที่ปลายคางมนแล้วบิดเบาๆให้หันมา
นัยน์ตาสีเขียวเข้มแพรวพราวหายากทอดมองใบหน้าเรียวงาม
แล้วกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น พร้อมกับคำยืนยันจริงจัง
“ใช่...เจ้าไม่มีทางหนีข้าพ้น ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไม่มีความดิ้นรนพอ
แต่เป็นข้าที่สัญญากับตัวเองว่าเจ้าอยู่ที่ใดก็จะตามไปจนพบ...แล้วจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปให้ใคร...เด็ดขาด!”
วังหลวง
ทันทีที่ลงจากหลังม้าพร้อมเชลยคนสำคัญ
ร่างสูงสง่าของมหาอุปราชเดินก้าวยาวพร้อมมือที่กำแน่นที่ข้อแขนให้ร่างบางเดินตามมาด้วย
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ประหลาดนับตั้งแต่ทากาสึงิ
ชินสุเกะขึ้นเป็นแม่ทัพผู้ไร้หัวใจของกองทัพปิศาจนี้ที่จะนำเชลยติดมือกลับมาด้วยแทนที่จะฆ่าทิ้งทันที
แต่ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่น่าวิพากษ์วิจารณ์เพียงใดแต่เหล่าทหารที่มารอต้อนรับต้องเก็บเอาไว้ในใจจนหมด
รวมถึงในใจลึกๆที่แค้นคาซึระอยู่ไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุทำให้เพื่อนพ้องตายไปมากมาย
แต่บารมีที่อยู่โดยรอบเชลยคนนั้นช่างสูงศักดิ์ยิ่งนัก
ยามพิศใกล้ๆไม่ว่าจะเป็นดวงตาดำสนิทที่ฉายแววไม่ยอมแพ้อยู่เสมอ จมูกโด่งรั้น
ริมฝีปากบางเรื่อเหยียดตรง และเส้นผมที่ทิ้งตัวเรียงสวยถึงกลางหลังไหวน้อยๆยามเมื่อเจ้าตัวก้าวเท้าเดิน
เพียงเท่านี้ก็ไม่น่าแปลกใจที่ทากาสึงิจะออกสิทธิ์ความเป็นเจ้าของขั้นฉุดแขนเพียงนั้น
มั่นคง ไม่เกรงกลัวใคร
มีจิตวิญญาณที่สูงส่งแม้อยู่ท่ามกลางดงศัตรู และแม้จะมีบาดแผลแต่ก็ต้องยอมรับ...ว่าคาซึระ
โคทาโร่ ยอดที่ปรึกษาผู้ชาญฉลาดที่ร่ำลือกันอย่างหนาหูนั้น
งดงามคู่ควรแก่การครอบครองยิ่งนัก
ทากาสึงิดึงร่างบางเข้ามาถึงพระราชฐานส่วนตัวที่อาจเรียกง่ายๆว่าเป็นห้องพักผ่อน
แล้วจัดการกดไหล่ให้นั่งลงกับเตียง ก่อนที่เจ้าตัวจะทรุดกายลงนั่งข้างๆ แต่คาซึระยังคงรักษาระยะห่างอย่างชัดเจนโดยการลุกยืนขึ้น มือเรียวเผลอจับไปที่ดาบราชวงศ์ข้างเอว
จนดวงตาสีเขียวเข้มต้องมองตามไปแล้วหัวเราะเยือกเย็น
แต่ในใจ ใครเล่าจะรู้....ว่ามันร้อนรุ่มยิ่งกว่ากองเพลิง
“เข้าใจคิดจริง
ที่กินโทกิยกดาบรัชทายาทให้กับเจ้ามา เพราะตราบใดที่เจ้ามีดาบนั้นติดตัว
ผู้ที่ทำร้ายเจ้า คือผู้ที่คิดกบฏอย่างร้ายแรงต่อราชวงศ์
โทษมีสถานเดียวนั่นคือตาย”...ถึงตัวไม่อยู่ แต่เกียรติยังคงปกป้องอย่างถึงที่สุดให้ไม่มีใครมาแตะต้อง
สัมผัสแรงกล้าที่ออกมาจากดาบเล่มนั้นยิ่งทำให้ทากาสึงิหงุดหงิด
ก็อยากจะบอกเหลือเกินว่าต่อให้ไม่มีบารมีของรัชทายาทอันดับหนึ่งคุ้มครองอยู่
คาซึระจะไม่มีวันเป็นอันตราย
เพราะข้าผู้นี้จะเป็นดาบอาญาตัดสินโทษตายให้ไอ้คนไม่เจียมตัว
ที่บังอาจมาทำร้ายหัวใจของข้าด้วยตัวเอง!
มือของทากาสึงิคว้าที่ข้อแขนบางแล้วออกแรงดึงอย่างรวดเร็วจนเจ้าของร่างทรุดลงมาเกยกับตัก
ใบหน้างามที่ตื่นเล็กน้อยมีให้เห็นเพียงชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนกลับไปเป็นเยือกเย็นอย่างเก่า
น้ำเสียงเจืออาการหอบเหนื่อยยังเพียรที่จะแข็งกร้าวกัดฟันกระซิบขู่เจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงที่โอบรอบเอวอยู่อย่างอุกอาจ
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้
ก่อนที่ข้าจะตัดแขนเจ้าขาดเป็นสองท่อน!”
“ก็ลองดู แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าระหว่างเจ้าเอาดาบน่ารังเกียจนั่นมาฟันข้า
กับข้าพลิกให้เจ้านอนไปกับเตียงนั่น อะไรมันจะเร็วกว่ากัน”
นัยน์ตาพราวระยับของผู้พูดไม่ใช่เพียงแค่ขู่นั่นทำให้คนบนตักเม้มริมฝีปากแน่นจนไร้สีเลือด
หากแต่คำขู่ของใครไม่เคยหวั่นใจของคาซึระได้อยู่แล้ว พลันแขนเรียวบิดออกจากการจับกุม
ตวัดคว้าด้ามดาบข้างเอวแล้วดึงคมสีเงินวาววับออกมาอย่างรวดเร็ว
การกระทำที่ไม่คาดคิดทำให้ทากาสึงิเบิกตากว้าง
มือแกร่งคว้าเข้าที่ข้อแขนบางด้วยสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดได้ทันท่วงทีก่อนที่มันจะเชือดคอเขาอย่างหวุดหวิด
ดวงตาสีดำที่น่าหลงใหลนั่นจ้องเขาเขม็งปานจะฆ่าให้ตายเดี๋ยวนั้น
ทากาสึงิแค่นยิ้ม น้ำลายเฝื่อนคอจนกลืนไม่ลง นี่ถ้าหยุดช้ากว่านี้
แม่ทัพของกองทหารอสุราคงได้เหลือเพียงชื่อ ข้อมือของคนที่เขากำอยู่นั้นสั่นระริกจนไม่ว่าจะจับให้แน่นเท่าไรก็ไม่หยุดนิ่ง
สั่นถึงเพียงนี้
มีอยู่เพียงสองสาเหตุไม่ใช่เพราะกลัว...ก็คงจะเป็นความโกรธ
“แค้นข้านักหรือ ซึระ”
“ใช่...แค้นมาก เกลียดมาก บอกแล้วไม่ใช่รึ
ว่าข้าจะเป็นคนฆ่าเจ้า!!” คำตอบชัดเจนหากแต่ว่าน้ำเสียงนั้นสั่นพร่านัก
คำว่าเกลียดคือสิ่งเดียวที่ทากาสึงินึกกลัวมาตลอด
เมื่อได้ฟังมันอย่างชัดเจนจากปากคนๆนี้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว
มือข้างที่พันธนาการแขนเรียวอยู่จับบิดให้เสียรูปจนต้องปล่อยดาบหล่นเคร้งลงกับพื้น
ไม่เพียงเท่านั้น ทากาสึงิยังผลักร่างบอบบางให้นอนหงายหลังตึงไปกับพื้นเตียงหนานุ่มแล้วขึ้นคร่อม
มือทั้งสองข้างกดฝังข้อแขนของอีกฝ่าย ริมฝีปากแดงบิดแล้วร้องเบาๆเพราะบาดแผลกระทบกระเทือน
ใบหน้าขาวซีดขึ้นสีเรื่อชวนไม่อาจละสายตา ทั่วทั้งตัวของคาซึระสั่นเทิ้มกว่าเก่า
ดวงตาสีดำที่เคยมั่นใจคู่นั้นเบือนหลบวูบ
คราวนี้ไม่ใช่โกรธ แต่เป็นเพราะ...กลัว?
“ทีบุกเดี่ยวเข้ามาลาดตระเวนถึงห้องข้ายังไม่กลัวเลย...แล้วตอนนี้เกิดกลัวอะไรขึ้นมาล่ะ
หือม์?”
“ท่านก็น่าจะรู้ว่าใครต่อใครในใต้หล้าล้วนเกรงกลัวท่าน
ท่านมหาอุปราช” ดวงตาคู่คมที่กลับมาสบด้วยนั้นทอแวววาววับ
ริมฝีปากสวยๆนั่นกล้าเอ่ยคำประชดเย็นชาอย่างน่าจับสั่งสอน
ความเหินห่างที่มอบให้เหมือนเป็นเครื่องเตือนว่าหยุดก้าวล้ำอีกฝ่ายมากกว่านี้...แต่น่าเสียดายตรงที่ว่าการฉุดคว้าคาซึระมาอยู่ใกล้ตนมากที่สุดคือสิ่งเดียวที่ทากาสึงิปรารถนา
“ถ้าอย่างนั้น...” เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นๆรินรดอยู่เพียงบริเวณเปลือกตา
แล้วเอ่ยน้ำเสียงเว้าวอนโดยไม่สนใจเลยว่าคนฟังต้องปิดกั้นหัวใจไม่รับฟังมากเพียงไหน
“ขอยกเว้นเจ้าสักคนจะได้ไหม”
“ไม่มีทาง”
เสียงหัวเราะหึดังในลำคอ ยิ่งใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้
ร่างบางตัวเกร็ง
มันชาไปหมดจนไม่มีแรงขยับเขยื้อนมีแต่หัวใจเท่านั้นที่ยังคงทำงานหนักจนอ่อนล้า
เตียงปักดิ้นทองชื้นไปด้วยเลือด กลิ่นคาวคละคลุ้งไม่อาจกลบกลิ่นกายและเส้นผมดำสนิทที่กระจายเต็มหมอนไปได้
คาซึระหลับตาแน่นเมื่อเขาเข้าไปใกล้
การที่คนข้างใต้อยู่นิ่งๆแบบนี้ก็ดีอย่างที่ว่า
เป็นโอกาสให้ทากาสึงิพิจารณาใบหน้าของคนที่เขาหลงใหลมาโดยตลอดสิบห้าปีอย่างแจ่มชัด
สวย...ทั้งสวยและไร้ราคิน
ไม่ว่าเขาจะสัมผัสไปที่ใด ผิวเนื้อขาวเนียนนั้นจะขึ้นสีเรื่อแดงดังเช่นคนที่ไม่เคยให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัว
อุณหภูมิของร่างกายที่ร้อนรุ่มกรุ่นกลิ่นอายหอมหวลแสนน่าคิดถึงยิ่งทำให้ทากาสึงิแทบคลั่ง
บริสุทธิ์เพียงนี้ เขาล่ะสงสัย ว่ากินโทกิทนมาได้เช่นไร
รอยยิ้มอ่อนโยนหายากประดับบนใบหน้าหล่อเหลา
แล้วจึงเลื่อนริมฝีปากไปประทับจุมพิตที่บริเวณหน้าผากก่อนจะเลื่อนอ้อยอิ่งพรมไปตามนวลแก้ม
ความร้อนผะผ่าวไล่ลามเลียทุกที่ที่ถูกสัมผัสปานไฟ
แล้วสุดท้ายจึงประทับเบาๆที่ริมฝีปากบางแดงเรื่อก่อนจะผละออกให้อีกฝ่ายมีเวลาหายใจหายคอ
กลิ่นหอมรัญจวนยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก ลิ้นไล้เลียรสหอมหวานละเลียดผิวริมฝีปากอย่างพึงพอใจ
จนทำให้อีกฝ่ายหน้าแดงก่ำ
ทากาสึงิหัวเราะเบาๆ
เขารู้ว่าถ้าซึระมีแรงมากพอคงจะลุกขึ้นมาหยิบดาบฟันเขาเป็นแน่
แต่ตอนนี้ทำอย่างไรได้นอกจากนอนหอบส่งสายตาโกรธเคือง
ซึ่งเขาก็อยากจะบอกจริงว่าสายตาแบบนั้นมันเย้ายวนมากกว่าจะขู่ให้กลัว
“เดี๋ยวข้าจะตามหมอมาทำแผลให้เจ้า...แล้วพรุ่งนี้เจ้าอยากรู้อะไร
ข้าสัญญาว่าจะตอบทั้งหมด” ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียง
แล้วเตรียมที่จะก้าวออกจากห้องโดยที่ตั้งใจว่าเขาจะยกห้องนี้ให้ร่างบางที่เหนื่อยเต็มที่พักผ่อนแล้ววันนี้จะยอมเดินไปนอนที่ตำหนักใช้ประชุมงานศึกเสีย
อย่างน้อยๆก็เป็นเพราะนึกถึงเจ้าน้องชายต่างแม่ที่มันอุตส่าห์สู้ทะนุถนอมคาซึระมานาน
และเขาเองก็คงไม่อยากจะแพ้กระมัง...
เสี้ยวใบหน้าคมหันกลับมามองแล้วขยับรอยยิ้มบาง
รอยยิ้มที่ถ้าหากตาของร่างบางไม่พร่าเพราะพิษบาดแผลนั้นเห็นชัดว่ากำลังฝืนความเศร้า
พร้อมกับประโยคที่ประกอบไปด้วยคำไม่กี่คำแว่วมาเบาๆ
“ซึระ.....ข้าขอโทษ”
ข้าอยากพูดซ้ำๆให้เจ้าฟัง
เจ้าจะไม่ยอมรับก็ได้
แต่ขอให้คำขอโทษของข้าช่วยลดความเกลียดชังในใจเจ้าได้แม้เพียงเศษเสี้ยว...เท่านั้นก็พอ
.
.
.
TBC...
มิยะขอเม้าท์
สวัสดีทุกท่านที่เข้ามาก๊าบ อิอิ ฟิคเรื่องนี้เป็นฟิคกินทามะเรื่องที่สอง การแต่งทากะหวานนี่เป็นอะไรที่คิดทำใจอยู่นานก่อนทำเลยค่ะ//หลบดาบ แล้วก็จำได้ว่าเมื่อสองปีก่อน ก่อนจะปั่นตอนที่สี่เสร็จทันวันเกิดคนสวย วันที่ 26 มิถุนานี่มันลากเลือดเลย แล้วอีกอย่างฟิคเรื่องนี้นี่ไม่ได้มีที่มาธรรมดาๆนะคะ อิอิ
ฟิคเรื่องนี้มีแรงบันดาลใจมากจากสามก๊กค่ะ ซึ่งตอนนั้นมีโอกาสได้อ่านเป็นครั้งแรก แล้วก็รู้สึกชอบทันที ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่คิดอยากแตะ เพราะมันยาว อาจจะเข้าใจยาก ตัวละครเยอะ ชื่อแต่ละคนคล้ายๆกัน แต่สุดท้ายแล้ว ทนแรงกดดันจากเพื่อนไม่ไหว // ฮา ก็เลยหยิบมาอ่านค่ะ เท่านั้นแหล่ะ
โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก นี่มันมหากาพย์!! TT[]TT เพิ่งเข้าใจว่าทำไมคนเขาถึงติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง คือนอกจากเรื่องราว แผนการรบ อะไรต่างๆที่มันมหัศจรรย์แล้ว สิ่งที่มิยะประทับใจอีกอย่างคือคาร์แร็กเตอร์ตัวละคร โดยเฉพาะสามคนนี้ ที่แอบเอาบางอย่างมาใส่ไว้ในตัวของคุณกิน ซึระ แล้วก็ทากะค่ะ
สำหรับคุณกิน ไอดอลก็คือ พระเจ้าเล่าปี่ มีศักดิ์เป็นอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ต้องซ่อนเลือดขัตติยาไว้ภายใต้คราบคนสานรองเท้า เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูง มีความอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนโยนและใจเย็น อีกทั้งมีวาทศิลป์เป็นเยี่ยม นับว่าเป็นบทพระเอกมากกกกกกกกก แต่ที่กรี๊ดคือคนๆนี้จะง้อที่ปรึกษาตนเอง นั่นก็คือ"ขงเบ้ง"มาก เชื่อฟัง ใจอ่อน แบบรักมากจริงๆ ไว้ใจสุดยอด ทั้งๆที่เล่าปี่เองก็อายุมากกว่าขงเบ้งเกินสองรอบอ่ะค่ะ เง้อออออ มุ้งมิ้งไป =///=
คนต่อมาซึระคนสวย ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก จูกัดเหลียง "ขงเบ้ง" เอ้ง เอ้ง เอ้ง เอ้ง คนนี้ต้องแอ็คโค่ เพราะชอบมากกกกกกกกกกกกกก เป็นคนที่ฉลาดมากๆๆๆ ถึงมากที่สุด แตกฉานยุทธวิธีการรบ ดอกไม้งามแห่งจ๊กก๊ก// ผิด!! ฮาาา แต่คงเพราะเป็นที่ปรึกษาทำให้ขงเบ้งแทบไม่ได้ออกสนามรบเลย แถมลุคยังคุณช้ายคุณชาย โฮกมากจริงๆค่ะ เลยทนไม่ไหวเอามาเป็นแบบเขียนซึระซะเลย
คนสุดท้ายก็ทากะคุง ไอดอลพ่อหล่อเลวคนนี้คือ โจโฉ ยอดนักปกครองแห่งวุยก๊ก ที่เก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น ซึ่งเป็นไอดอลในดวงใจใครหลายคน อิอิ แต่อันที่จริงในเรื่อง โจโฉกับขงเบ้งแทบไม่เคยพบหน้ากันเลย เพราะขงเบ้งไม่ออกสนาม โจโฉออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ทั้งคู่ก็ได้ยินกิตติศัพท์กันอยู่ลึกๆ ไอ้มิยะอ่านจวนจะจบเรื่อง ลุ้นอยู่แค่เรื่องเดียว // กุยแก ที่ปรึกษาสุดรักสุดหวงของโจโฉเสียชีวิตไป พ่อนายกตลอดกาลคนนั้นไม่คิดจะหาที่ปรึกษาคนใหม่บ้างหรือ อ๊ากกกกกกกกกกกกก มโนไปไกล / ต้องขออภัยแฟนพันธุ์แท้สามก๊กจริงๆค่ะ
ส่วนในเรื่องมีฉากที่ซึระเล่นดนตรีด้วย เป็นเครื่องดนตรีของญี่ปุ่น ชื่อ โกโตะค่ะ รูปร่างหน้าตาคล้ายจะเข้บ้านเรา...แบบนี้เบยจ้ะ >..<
คนต่อมาซึระคนสวย ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก จูกัดเหลียง "ขงเบ้ง" เอ้ง เอ้ง เอ้ง เอ้ง คนนี้ต้องแอ็คโค่ เพราะชอบมากกกกกกกกกกกกกก เป็นคนที่ฉลาดมากๆๆๆ ถึงมากที่สุด แตกฉานยุทธวิธีการรบ ดอกไม้งามแห่งจ๊กก๊ก// ผิด!! ฮาาา แต่คงเพราะเป็นที่ปรึกษาทำให้ขงเบ้งแทบไม่ได้ออกสนามรบเลย แถมลุคยังคุณช้ายคุณชาย โฮกมากจริงๆค่ะ เลยทนไม่ไหวเอามาเป็นแบบเขียนซึระซะเลย
คนสุดท้ายก็ทากะคุง ไอดอลพ่อหล่อเลวคนนี้คือ โจโฉ ยอดนักปกครองแห่งวุยก๊ก ที่เก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น ซึ่งเป็นไอดอลในดวงใจใครหลายคน อิอิ แต่อันที่จริงในเรื่อง โจโฉกับขงเบ้งแทบไม่เคยพบหน้ากันเลย เพราะขงเบ้งไม่ออกสนาม โจโฉออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ทั้งคู่ก็ได้ยินกิตติศัพท์กันอยู่ลึกๆ ไอ้มิยะอ่านจวนจะจบเรื่อง ลุ้นอยู่แค่เรื่องเดียว // กุยแก ที่ปรึกษาสุดรักสุดหวงของโจโฉเสียชีวิตไป พ่อนายกตลอดกาลคนนั้นไม่คิดจะหาที่ปรึกษาคนใหม่บ้างหรือ อ๊ากกกกกกกกกกกกก มโนไปไกล / ต้องขออภัยแฟนพันธุ์แท้สามก๊กจริงๆค่ะ
ส่วนในเรื่องมีฉากที่ซึระเล่นดนตรีด้วย เป็นเครื่องดนตรีของญี่ปุ่น ชื่อ โกโตะค่ะ รูปร่างหน้าตาคล้ายจะเข้บ้านเรา...แบบนี้เบยจ้ะ >..<
ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.marumura.com/culture/?id=2930
ถ้าหากอยากฟังเสียง ไอ้มิยะร่อนหาทั่วยูทูปไม่ค่อยจะเจอ ได้มาหนึ่งคลิปจากคุณพระช่วยค่ะ >>Hana-ดอกไม้ให้คุณ<<
แล้วเอาไว้เจอกันใหม่ หากไม่ติดขัดข้องอะไร
น่าจะเป็นวันเกิดคนสวยปีนี้ค่ะ โฮกกกกกก ไหนี้ เกือบสามปี ฮ่าๆๆๆๆ //
ยังมีหน้ามาหัวเราะ
ขอบคุณทุกท่านท่านที่มาเยี่ยมเยียน เม้นท์ได้เป็นกำลังใจจ้ะ
Miya
เอ...... 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557 มันก็ผ่านมานานแล้วนะคะ วันเกิดซึระเนี่ย กะจะดองเค็มเรื่องนี้กันใช่มั้ย 55555555 เพิ่งมาเจอเรื่องนี้เมื่อวานค่ะ เพราะอยู่ๆเจอกินทามะขึ้นแทบในยูทูบเลยกดเข้าไปดูทั้งๆที่ไม่ได้ตามมานานอยู่ นั่นแหละ เกิดคิดถึงคู่นี้ขึ้นมา เลยหาฟิค อ่านๆๆๆๆ จนมาเจอเรื่องนี้ โอ้โห ทำกันได้ลงคอ จับคว้านท้องซะเลยดีไม๊ฮะ!
ตอบลบไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันจะยังมีอนาคตอีกไหม แต่ก็อยากให้มาต่อนะคะ :)
สนุกมากเลยค่ะ เพิ่งมาเจอ จริงๆคือชอบคู่ทากาซึระอยู่แล้ว แล้วมาเจอฟิคนี้คือดีงามมากกกกกกกกกกก ซึระที่สวยงาม ทากาสึงิที่อันตราย และกินโทกิสุดยอดพระเอก คืออิมเมจที่เราชอบมาก คุณมิยะแต่งได้ดีมาก อยากให้แต่งฟิคดีๆแบบนี้ต่อนะคะ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบคุณกินแพ้รึยังคะเนี่ย นี่ชิบคู่กินซึระสุดๆไปเลยนะคะแล้วฟิคคู่แรร์นี่ก็หายากเหลือเกิน555555 พอมาเจอเรื่องนี้คือสงสารคุณกินค่าาาา อยู่ด้วยกันมาตั้งนานทำได้มากสุดก็แค่จับมือกับสื่อใจไปเองนะ แล้วใจก็ไม่ได้กลับมาเลย อินๆๆ กรีดร้องงงงงง55555 น่าสงสารจริงๆ เหมือน5ปีก่อนพานายเอกมาดูแลแล้วรอวันส่งคืนให้พระเอก(สุดโหด) ร้องไห้หนักมากก T-T พล็อตเรื่องเลิศค่ะ สนุกสุดๆ แต่อย่าทำร้ายจิตใจคุณกินมากกว่านี้เลยนะคะ ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆค่ะ ก็ไม่รู้ว่าจะอัพต่อรึเปล่านะคะ แต่ก็จะรอค่ะ ^-^
ลบ