หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

S.Au.Fic Gintama [Takasugi X Katsura X Gintoki] สองฝั่งหัวใจ:องก์ที่สี่



[Project: Happy birthday Takasugi kun!
S.Au.Fic Gintama Takasugi X Katsura X Gintoki
Serious drama action


คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ รวมทั้งฉากและช่วงเวลาที่ปรากฎในฟิคเรื่องนี้ เป็นการผสมผสานปรับประยุกต์จากช่วงเวลาในประวัติศาสตร์จริงและจินตนาการของผู้เขียน ดังนั้นไม่สามารถใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ

คำเตือนข้อสุดท้าย เนื่องจากเป็น Au คาร์แร็กเตอร์อาจหลุดบ้างน่อ



สองฝั่งหัวใจ



องก์ที่สี่




ค่ายปราบกบฏ


“ท่านแม่ทัพ นายกองทั้งหมด กรุณาฟังสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ให้ดี หากสำเร็จ ชัยชนะจะมาอยู่ในมือเรามากกว่าครึ่ง” ผู้ควบคุมแผนของกองทัพประกาศด้วยน้ำเสียงจริงจัง เสริมด้วยรอยยิ้มในตอนท้าย ยิ่งสามารถสร้างพลังใจของทหารได้เป็นทบทวี ร่างโปร่งบางเดินไปรอบๆแผนที่ของวังหลวง ดวงตาเรียวเฉียบคมตวัดมองไปยังจุดๆหนึ่งบนแผนที่


“ตอนนี้เราได้เอาชนะทัพอาคเนย์แล้ว เหล่าทัพอื่นๆของกองทหารอสุราจึงเพิ่มความระวังระไวเป็นเท่าตัว และทากาสึงิคงจะเรียกเหล่าทัพย่อยที่ไปประจำการอยู่ตามเมืองต่างๆกลับวังหลวงโดยเร็วที่สุด”


“ถ้าเช่นนั้นรอบๆวังก็เปรียบเสมือนปราการเหล็กกล้า แล้วเราจะตีเข้าประตูวังเช่นไรขอรับอาจารย์?” คำถามจากนายกองผู้หนึ่งเรียกรอยยิ้มบนใบหน้างาม


“ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนั้น เราจะลอบเข้าโดยที่ไม่ผ่านทวารทั้งห้าของวัง แต่ถึงจะปะทะกับกองทัพอสุราบ้าง แต่ข้าคิดว่าไม่หนักหนาเท่าครั้งก่อน ความเสียหายจากการพ่ายของทัพอาคเนย์ทำให้ศัตรูเสียไพร่พลไปราวกว่าห้าพันนาย การจะหากำลังขนาดนั้นมาชดเชย ย่อมเป็นไปไม่ได้ภายในวันสองวัน”


แม้จะเป็นเรื่องที่เครียด แต่เมื่อมันถูกเล่าด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มเป็นจังหวะจะโคนแล้วเปี่ยมไปด้วยกำลังใจทำให้ทุกคนจินตนาการออกเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือภาพแห่งชัยชนะ ร่างสูงของกินโทกิที่นั่งอยู่เบื้องหลังลุกขึ้นก่อนจะก้าวเข้ามายืนเคียงข้างยอดกุนซือแล้วสรุปความ


“นั่นหมายความว่า เวลานี้คือเวลาแห่งการรวมทัพที่แท้จริงของกองทหารอสุรา พวกมันจะพากันอัดแน่นเพื่อรักษาวังหลวง...ถึงจะน่าโมโห แต่ทำอะไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายคือทากาสึงิ มันต้องรู้แน่ๆว่าพวกเราตั้งใจโจมตีมันที่ศูนย์กลาง”


“ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ต้องโจมตีก็ได้” คาซึระเสนอข้อคิด มือเรียวกำไม้เหลาเล็กแล้วชี้ไปยังรูปสี่เหลี่ยมรูปหนึ่งในแผนที่ของวังหลวง


“ยิ่งทหารมีมากเท่าไหร่ เสบียงยิ่งจำเป็นมากเท่านั้น ตอนนี้เสบียงของกองกลางคงมีไม่มากพอที่จะเลี้ยงทหารที่จะมาเพิ่มอีกราวหลายพัน ยิ่งเป็นทหารที่ไม่ใช่ประจำอยู่วังหลวงด้วยแล้ว การเดินทางกลับมาโดยขนเสบียงมาด้วยจะเป็นการล่าช้า จะสั่งเพิ่มจากชาวบ้านก็คงไม่ได้ ช่วงนี้ข้าวยากหมากแพงเพราะกิจสงคราม ถ้าโดนประท้วงขึ้นมา ทางทากาสึงิจะเดือดร้อนอย่างสาหัส”


“ซึระ...นี่เจ้าคิดจะ..” กินโทกิหรี่ตาลงราวสันนิษฐานแผนการที่อยู่ในใจของอีกฝ่าย ใบหน้าจริงจังพร้อมกับผงกลงเบาๆคือคำตอบที่ชัดเจนและเด็ดขาด


“ใช่!...เราจะเผาโกดังเสบียงของกองทัพทหารอสุรา” สิ้นประโยคของร่างบาง บรรยากาศของกระโจมก็ร้อนอ้าวขึ้นทันควัน หากแต่เป็นอย่างนั้นเหล่าทหารทั้งหลายก็พลันขนลุกเกรียว หันมองหน้ากันพรึ่บพรั่บ ต่างรู้สึกแปลกใจไปกับอารมณ์ของที่ปรึกษาผู้คงความเยือกเย็นไว้เสมอบัดนี้กลับรวดเร็วหุนหัน แต่คงมีเพียงกินโทกิผู้เดียวที่รู้ว่าใครทำให้ที่ปรึกษาเขาร้อนได้ขนาดนี้


ใจของคาซึระจะเข้มแข็งหรืออ่อนไหว...มหาอุปราชแห่งวังหลวงคนนั้นได้เป็นผู้ควบคุมจนหมดสิ้น...


“ท่านอาจารย์ แต่ข้าไม่เห็นด้วยที่จะเผานะขอรับ” นายกองอีกคนร้องเสียงหลง เผลอลุกยืนขึ้นแล้วเสนอความเห็น“แทนที่จะเผา สู้ขโมยมาเป็นเสบียงของเรามิดีกว่าหรือขอรับ”


“ทำเช่นนั้นไม่ได้” เสียงนุ่มปฏิเสธทันที เรียกเสียงฮือฮาของเหล่าทหาร หลายคนประหลาดใจ อีกบางส่วนขัดใจจนกระทั่ง แม้ทัพใหญ่กินโทกิต้องชูดาบอาญาสิทธิ์ขึ้นห้ามเสียงจึงได้เงียบลง คาซึระถึงได้อธิบาย


“ก็ใช่ว่าข้าเป็นคนมีคุณธรรมสูงส่ง ไม่กล้าขโมยของศัตรูอะไรหรอก แต่นี่คือโอกาสเดียวที่เราจะได้บุกเข้าวังหลวง เมื่อเผาโกดังแล้ว เราจะกวาดล้างกบฏแผ่นดินให้สิ้นซากในคราวเดียวกัน” ทั่วทั้งกระโจมกลางเงียบงัน ทันทีที่รับฟัง ศึกในครั้งนี้คือศึกที่ใหญ่ที่สุดและต้องแลกด้วยชีวิตและศักดิ์ศรีของแผ่นดิน เลือดในกายของเหล่านักรบร้อนระอุแม้ไม่ต้องกระตุ้น ดวงตาเข้มแข็งจับจ้องมาที่ร่างๆเดียวที่ยืนอยู่กลางกระโจม รับฟังยุทธวิธีรบครั้งสุดท้ายอย่างตั้งใจ


“อีกสองชั่วยามเราจะส่งหน่วยลาดตระเวนไปพื่อเปิดทางลับเข้าวัง และเพื่อกวาดพื้นที่หาทางหนีทีไล่ได้ทันการ ข้าขอแต่งตั้งหน่วยลับจำนวนสิบคน ทหารมีฝีมืออีกสี่นนายเพื่อทำภารกิจนี้....และผู้ที่จะรับผิดชอบเป็นหัวหน้าปฏิบัติการก็คือ....”


ยอดกุนซือแห่งแผ่นดินเว้นวรรค ดวงตาเรียวคมสีดำเต็มไปด้วยความแน่วแน่และตั้งใจกวาดมองเหล่านักรบชั้นเยี่ยมที่อยู่ในมือตนทีละนายๆ แล้วมาหยุดชั่วครู่ที่ท่านแม่ทัพใหญ่ผมสีเงิน ดวงตาฉาบอำนาจที่จ้องกลับมานั้นเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและยังคงห้ามปรามไม่ให้เขาทำอะไรเสี่ยงๆอย่างเก่า คาซึระหลบสายตาลงแล้วประกาศชัดเจน


“....คือข้าเอง” คำประกาศที่ทำให้กินโทกิตาลุกโพลง


“ซึระ!!” ร่างสูงร้องประท้วงลั่นไวเท่าความคิด มือแกร่งคว้าเข้าที่ต้นแขนเพรียวของที่ปรึกษาคนสนิท แต่คนถูกจับไม่สนใจแม้แต่จะหันมามองยังคงตั้งหน้าตั้งตาสั่งกำชับผู้ใต้บังคับบัญชาต่อไป นั่นยิ่งทำให้กินโทกิไม่พอใจเป็นเท่าตัว


“หน่วยลับและทหารที่ข้าเอ่ยเรียกไปขอให้เตรียมตัว อีกสองชั่วยามเราจะออกเดินทางทันที เลิกประชุมทัพเพียงเท่านี้”
สิ้นคำตัดบทก็พร้อมด้วยเสียงลุกครืนของนายกองหลายสิบคน ร่างกายกำยำโค้งเคารพแล้วทยอยเดินออกไปจากกระโจมกลาง แต่มันช่างน่าแปลกตรงที่ว่าเมื่อผู้คนน้อยลงในกระโจมหลังย่อมอากาศจะปลอดโปร่ง หากแต่กลับไม่ใช่ อารมณ์ของคนที่อยู่ข้างๆเขาทวีความอึดอัดในห้องที่กั้นด้วยผ้าใบผืนหนา ผือมือแกร่งแน่นที่บีบต้นแขนเขาอยู่เกร็งหนักอีกเล็กน้อยทำให้คาซึระต้องหันไปมอง


“เจ้าคิดจะทำอะไร...ทำไมพูดไม่คิดแบบนั้น”


“ไม่ใช่....นี่เพราะข้าคิดแล้วถึงได้พูด ข้าตระหนักถึงกฏข้อสำคัญของเสนาธิการอยู่เสมอว่าถ้าพูดไม่คิด นั่นคือหายนะของกองทัพ”


“แต่เจ้าไม่เคยคิดถึงหายนะที่เกิดกับตัวเจ้าเลย” กินโทกิค้านเสียงแข็ง รู้สึกอ่อนใจว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนเป็นห่วงอีกฝ่าย ทั้งๆที่มันไม่จำเป็นเลยแท้ๆที่ตัวที่ปรึกษาทัพจะออกสนามเองแบบนั้น แม้จะเก่งเรื่องกลยุทธ์ แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าทากาสึงิแล้ว คาซึระเสียเปรียบฝ่ายนั้นทุกประตู แล้วเป็นแบบนี้ผู้นำอย่างเขาจะปล่อยให้ไปได้อย่างไร


“ซึระ ข้าขอยื่นคำขาดกับเจ้าโดยอ้างถึงดาบอาญาสิทธิ์ที่ข้าถืออยู่ ไม่อนุญาตให้เจ้าเป็นผู้นำหน่วยลับครั้งนี้”


“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดถึงกฎแห่งทัพ กินโทกิ” คาซึระแย้งเสียงขรึม ท่าทีเยือกเย็นอยู่เสมอบัดนี้มันอาจจะถูกใครมองออกว่าเป็นเพียงแค่การเสแสร้ง เพราะในหัวใจของร่างบางนั้นมันร้อนรุ่มไปด้วยไฟสงครามทุกตารางนิ้ว เขาถอนหายใจแล้วแจงต่อด้วยความเด็ดขาด


“จริงที่ว่าผู้อยู่ในกองทัพไม่เว้นแม้แต่ที่ปรึกษาต้องเคารพกฎภายในกองทัพ โดยยึดเอาสิทธิ์ขาดที่แม่ทัพใหญ่เป็นหลัก แต่ในเวลานี้คือเวลาที่จะต้องเริ่มยุทธวิธีการรบ แผนการของเสนาธิการโดยไม่มีข้อโต้แย้งจากแม้ทัพในที่ประชุมคือคำสั่งสูงสุด เจ้าต่างหากที่ต้องเชื่อฟังในการตัดสินใจของข้า”


ดวงตาสองคู่จ้องกันอย่างไม่ยอมแพ้ ดวงตาที่ว่ากันว่าเป็นหน้าต่างของหัวใจและกินโทกิมั่นใจว่าคนฉลาดอย่างคาซึระสามารถมองมันออกได้อย่างง่ายแสนง่าย แต่ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมเขาไม่อาจทำให้ร่างบางเปลี่ยนใจได้แม้จะวิงวอนเท่าไหร่.... ผ่านมาหลายครั้ง... จนเริ่มชินชากับความเจ็บ พอชินมันก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่ายื้อต่อไปก็คงไม่เป็นผล
กินโทกิหลุบตาลงต่ำยอมแพ้ แล้วค่อยๆคลายฝ่ามือที่บีบต้นแขนเพรียวนั้นลง เดินถอยออกมาสองสามก้าวเพื่อตั้งหลักให้หัวใจค่อยๆสมานและทำงานเป็นปกติ


“อย่างน้อยๆ ขอให้ข้าได้รู้เหตุผล...ว่าทำไมต้องเป็นเจ้า”


“ในทัพนี้นอกจากเจ้าแล้ว คนที่ชินทางเข้าออกในวังมากที่สุดก็คือข้า และการลาดตระเวนคราวนี้สำคัญมาก หากพลาด เราคงไม่มีหวังที่จะชนะ”


อีกครั้งที่คำว่า ชนะ หลุดออกจากปากของที่ปรึกษาคนสนิท ทุกครั้งที่ได้ยินคำๆนี้ กินโทกิจะรู้สึกฮึกเหิมและเปี่ยมไปด้วยพลังใจ อยากฟังอีกสักหลายร้อยรอบ เพราะการได้ฟังจากคนตรงหน้ามันเหมือนกับเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต มันเหมือนเป็นการย้ำเตือนให้เขาสู้เพื่อคาซึระเสมอ...และนั่นจะทำให้เขาไม่มีวันพ่ายแพ้


แต่ครั้งนี้...กินโทกิอยากละทิ้งทุกเกียรติยศ อยากขอขมาท่านพ่อและอาจารย์ที่อยู่บนสวรรค์....ว่าเขาไม่อาจแลกชัยชนะกับตัวของคนสำคัญที่อยู่เบื้องหน้านี้ได้



ช่างขี้ขลาด....











สองชั่วยามถัดมา...


ในมือเรียวของที่ปรึกษาผู้เคยอยู่ติดค่ายตลอดเวลากระชับสายคล้องม้าแล้วดึงให้มันมาอยู่ใกล้ๆตัว ม้าสีขาวบริสุทธิ์เหยียดการกายตรง มีแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจดังเช่นเจ้าของ เบื้องหลังคือทหารของหน่วยลับพร้อมม้าสีดำลักษณะดีอีกคนละตัว ส่วนเบื้องหน้าคือร่างสูงของแม่ทัพกินโทกิที่ออกมาส่ง ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยความเรียบเฉย แต่หากปกปิดเช่นไรเหล่าคนใต้บังคับบัญชาที่ยืนรายรอบก็ทราบอยู่ดีว่าแท้จริงแล้วกินโทกิกังวลมากเพียงไหน


“ทากาสึงิมันได้แช่งข้าทั้งตระกูลแน่ ที่บังอาจส่งเจ้าไปลาดตระเวน” ร่างสูงยิ้มเจื่อน แต่คาซึระกลับหัวเราะเบาๆด้วยความขบขัน


“ถ้าแช่งจริง ตัวทากาสึงิเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อน เพราะเขาก็คนในตระกูลของเจ้า”......ไม่ต้องแช่งก็เดือดร้อนแน่อยู่แล้ว กินโทกิเถียงในใจ ถึงทากาสึงิจะโหดร้ายและเลือดเย็นเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าศึกเรือนหมื่นเรือนแสน กล้ากระทำการบาปหยาบช้าไม่ละอายโทษหากนั่นจะนำมาซึ่งอำนาจเหนือใคร....แต่เหลี่ยมแข็งๆนั่นจะถูกลบออกไปจนสิ้นเมื่อมีร่างบางตรงหน้าอยู่ข้างๆ กินโทกิยังจำได้ดีว่าพี่ชายต่างแม่คนนั้นโกรธแค้นจนแทบจะฆ่าเขาให้แหลกคามือ เมื่อรู้ว่าเขาดึงคาซึระมาเป็นหมากตัวสำคัญในสมรภูมิรบ



...ก็เพราะเหมือนกัน...เลยดูออกทั้งหมด...



แต่ทั้งที่เหมือนกัน...คาซึระก็ไม่อาจเลือกเขา.....


กินโทกิจับดาบที่อยู่ข้างกายก่อนจะปลดมันออก แล้วยื่นมาตรงหน้าที่ปรึกษาคนสำคัญ ดาบเรียวงามหลับใหลอยู่ภายใต้ฝักทองคำฉลุลายประณีตสะท้อนกับแสงดาวหัวค่ำที่กลาดเกลื่อนฟ้า คาซึระไม่มีทางลืม มันคือดาบที่ท่านโชกุนมอบให้กับกินโทกิในวันที่พระราชทานยศเจ้าชายรัชทายาท สิ่งที่เป็นเหมือนสมบัติของผู้ครองบัลลังก์คนถัดไป หากแต่ในทัพนี้มันคือดาบที่คุมกฎทั้งหมด


“กินโทกิ...” ทันทีที่เข้าใจความหมาย ร่างบางร้องท้วง แต่แม่ทัพตรงหน้ากลับไม่ฟังอย่างทุกที ยกมือขึ้นให้หยุดพูดทันที


“เจ้าดื้อกับข้ามาเยอะแล้วซึระ...เพราะฉะนั้นคำสั่งนี้เจ้าไม่มีสิทธิ์ขัด เอาดาบเล่มนี้ไปด้วย....” ใบหน้าคมเปื้อนรอยยิ้มอ่อนโยน “...ให้มันได้ปกป้องเจ้าแทนข้า”


ร่างสูงเอื้อมมือมาจับมือเขาให้ยื่นออกมาแล้ววางดาบเล่มงามลง ทันทีที่สัมผัส ไอความเย็นของโลหะตัดกับอุณหภูมิของฝ่ามือที่ช่างอบอุ่นอยู่เสมอทำให้รู้สึกอยากพักพิง....ไม่ว่าจะเป็นเวลาเข้มแข็งหรืออ่อนล้า


มือของกินโทกิคือมือของผู้นำ...คือมือที่จะประคับประคองทุกสิ่งทุกอย่างไม่แม้เพียงคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มนี้ แต่ต้องเป็นทุกคนที่อยู่ภายใต้ผืนฟ้าเหนือแผ่นดินอาทิตย์อุทัย


เจ้าทำให้ข้าเชื่อมั่นมาโดยตลอด...เพราะเจ้าเป็นแบบนี้...ข้าถึงยินดีทุ่มแรงกายแรงใจให้กองทัพ


....การส่งเจ้าเป็นองค์โชกุน....คืนความสว่างไสวสู่ธานี นี่คือปณิธานสุดท้ายของข้า...


มือบางค่อยๆวางอย่างนุ่มนวลลงกับมือของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก ทำให้ดวงตาสีแดงเบิกขึ้นอย่างไม่คาดคิด แต่คาซึระก็กดน้ำหนักลงให้มันกระชับมั่นเพื่อยืนยัน...ดังเช่นคำพูดที่เขายืนยันกับกินโทกิและหัวใจของเขาตลอดมา


“อะไรที่เคยดื้อกับเจ้า...ข้าขอโทษ....อะไรที่เคยไม่เชื่อฟัง ทำให้เจ้าเสียความรู้สึก หรือทำให้เจ้าท้อใจ...ข้าขอโทษ” เสียงทุ้มหวานพร่ำบอก ดวงตาสีดำขลับที่เคยเข็มแข็งอยู่เสมอสั่นระริกเหมือนกับมือของคาซึระตอนนี้ที่มันสั่น...สั่นผ่านมือของกินโทกิแล้วเข้าไปคลอนหัวใจจนคลับคล้ายว่ามันจะแหลกสลายลงตรงนี้



...หากแต่ใบหน้าเรียวสวยนั้นยังคงยิ้มให้เขา...แต่คิดว่าเขาไม่รู้หรอกหรือ?



.....ว่าซึระใช้รอยยิ้มปกปิดรอยน้ำตา...ที่มันคลออยู่ข้างใน...


ตราบใดที่ยังมีข้า ข้าจะช่วยเจ้าเอง...ข้า..สัญญา


ร่างบางเก็บดาบเข้ากับเอวแล้วกระโดดขึ้นหลังม้าแล้วควบออกไปอย่างรวดเร็ว ติดตามด้วยหญิงและชายในอาภรณ์ดำปิดหน้าสังกัดหน่วยลับที่รวดเร็วและคล่องแคล่วที่สุดในกองทัพ สายลมหมุนพัดเอาดินคลุ้งเลียดหลังฝีเท้าม้า สักครู่ค่อยจางกลิ่นไอดิน แต่กลิ่นของใครที่เพิ่งไปนั้นมันไม่เคยแม้แต่จะเลือนหายไปเลย...


กินโทกิถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า...ดวงดาวที่ไม่อาจสวยเท่าดวงตาของคนที่เพิ่งออกไป


คนดื้อ...จะอย่างไรก็ดื้ออยู่วันยังค่ำ....แล้วแบบนี้จะมาพูดตัดเยื่อตัดใยให้ข้าไม่ห่วงได้อย่างไร...ซึระ


เพราะอย่างนั้นข้าถึงต้องเดินตามทางที่ข้าตั้งใจมาโดยตลอด...คือการปกป้องเจ้าด้วยเกียรติทั้งหมดที่ข้ามี




หึ...ดูเหมือนข้าก็จะดื้อไม่ต่างกับเจ้านะ...











กุบๆๆๆๆ


เสียงฝีเท้าม้ากว่าสิบตัวควบฝ่ากระแสอากาศยามค่ำคืนมุ่งตรงไปที่เดียวนั่นคือวังหลวง แสงไฟสีส้มจากคบเพลิงที่เรียงรายตามกำแพงอิฐสูงตระหง่านปรากฏในดวงตาของผู้ถือบังเหียนอาชาสีขาวนำขบวน มือบางกระตุกเพื่อหยุดม้า เรียวแขนยกขึ้นหยุดเหล่าผู้ติดตามให้แฝงกายอยู่ภายใต้ร่มเงาไม้ ดวงตาเรียวหรี่ลงเมื่อทอดมองสถานที่ที่เติบโตแต่ยังเด็ก...ที่คาซึระให้หน่วยลับฝีมือดีแอบมาสังเกตการณ์แล้ววาดภาพเป็นแผนที่ให้แล้วเมื่อหลายวันก่อน


ยังคงเหมือนเดิม...ทั้งอาณาบริเวณของขอบรั้ว หรือกระทั่งการวางผังวัง...ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด


ต้นซากุระที่สูงพ้นกำแพงวังนั้น...ต่อให้หลับตา เขาก็จำได้เป็นอย่างดีว่าต้องเป็นหลังตำหนักเรียน


“จะทำอย่างไรต่อไปขอรับ ท่านคาซึระ” เสียงหัวหน้าหน่วยลับกระซิบถาม ดึงให้ร่างบางออกมาจากภวังค์ความคิด นึกประณามตัวเองหนักหนาที่ใจลอยคิดเรื่องอื่นนอกจากภารกิจ


“จากนี้ไปเราจะแยกกันปฏิบัติภารกิจ หลังจากที่ลอบเข้าไปในวังได้แล้ว เราจะแบ่งออกเป็นสามหน่วย หนึ่งคือเหล่ามือลอบสังหาร...จัดการพวกทหารยามเฝ้าโกดังให้หมด ขอให้เงียบและเร็วจนกระทั่งไม่มีผู้ใดรู้...สองคือหน่วยลับ อาศัยความไวเข้าไปโปรยดินประสิวให้ทั่วโกดัง โดยเฉพาะมุมและหลังคา...ส่วนอีกหน้าที่คือคนดูลาดเลา แทรกกายไปทั่วราชวัง เบี่ยงเบนความสนใจให้พวกกองทัพอสุราให้ออกจากสถานที่”


หลังจากฟังการแจกแจงหน้าที่ นักรบชั้นเยี่ยมของกองทัพปราบกบฏก็พยักหน้าเบาๆรับรู้กันทุกคน ทหารฝ่ายบู๊สี่คนที่นำมาเพื่อเปิดประตูภารกิจเป็นจำนวนที่เหมาะสม แต่หน่วยลับเฉียดสิบคนนั้นฟังดูออกจะมากไปหน่อยกับงานเพียงเตรียมเผาเสบียงศัตรู


“แบ่งหน่วยลับออกเป็นสองกลุ่มดีไหมขอรับ ให้อีกทีมหนึ่งช่วยท่านคาซึระ”


“ไม่จำเป็น” เสียงนุ่มทุ้มตอบทันที และตามต่อด้วยประโยคที่เหล่าผู้ติดตามอยากฆ่าตัวตายเสียเดี๋ยวนั้น “งานลาดตระเวนมีเพียงข้าคนเดียวก็พอ”


“ไม่ได้นะขอรับ!!!” ผู้อยู่ใต้บังคับร้องขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย และในหัวของพวกเขาก็คิดอยู่เพียงเรื่องเดียวโดยที่ไม่ได้นัดหมายอีกเช่นกันว่า จะไม่ยอมให้เสนาธิการคนสำคัญนี่ไปบุกดงคนเถื่อนเพียงตัวคนเดียวเด็ดขาด!


ถ้าปล่อยไป...พวกเขาตาย! มีแต่ตายกับตาย!!


“พวกข้าขอละขอรับท่านคาซึระ...กรุณาอย่าไปเพียงลำพังเลย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน พวกข้าโดนท่านแม่ทัพตัดหัวกระเด็นแน่ๆ” 


เพียงแค่นึกถึง เหงื่อที่ซึมชื้นกลางหลังและฝ่ามือจนเย็นชืดคือข้อย้ำเตือนว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอย่างใด ถึงจะไม่พูด ไม่ฝากฝัง แต่สายตาขู่กำชับของท่านแม่ทัพว่าให้ปกป้องที่ปรึกษาคนนี้ยิ่งชีพ ทำไมพวกเขาทุกคนจะไม่รู้
ร่างบางมองเหล่าคนในสังกัดนิ่ง แววตาของแต่ละคนมีความตั้งใจสูงอย่างที่เขาก็ไม่อาจจะใช้สิทธิ์ขาดตัดมันไป จนท้ายที่สุดก็ถอนหายใจแล้วพยักหน้า


“เอาแบบนั้นก็ได้...แต่ตอนนี้เราต้องลอบเข้าวังให้ได้เสียก่อน...ตามข้ามาอย่าให้คลาดกัน”


ทันทีที่มือบางสะบัดบังเหียนอีกครั้ง ขบวนของหน่วยลาดตระเวนก็ขับเคลื่อน โดยอ้อมจากประตูหน้าวังไปด้านหลัง ความเร็วและเสียงฝีเท้าของม้าหน่วยพิเศษนี้เบาดุจสายลมต่างจากม้าศึกทั่วไปนัก จึงมีความช่ำชองที่จะหลบเลี่ยงให้พ้นจากสายตาของทหารยามได้ จนพาผู้บุกรุกวังหลวงมาหยุดอยู่หน้าประตูไม้เล็กแห่งหนึ่งตรงข้างประตูวังที่เรียกได้ว่าอาจเป็นมุมอับไม่มีใครผ่านเข้าออก ขนาดของมันคือผู้ใหญ่ต้องก้มหัวผ่าน ตามขอบมีไม้เลื้อยเกี่ยวพันเต็มไปหมด


“ประตูเล็กจังนะขอรับ ไม่คิดเลยว่าจะมีอยู่ด้วย” หัวหน้าหน่วยลับอดวิจารณ์ไม่ได้เมื่อพินิจประตูที่ต่ำกว่าระดับสายตามาก คาซึระหัวเราะเบาๆ ทอดมองทางเข้าเบื้องหน้าทั้งรู้สึกขำและคิดถึง


“ในโลกนี้ คนที่รู้ว่ามีประตูลับอยู่มีแค่สามคนเท่านั้น คือข้า แม่ทัพกินโทกิ และทากาสึงิ แล้วก็ไม่แปลกหรอกที่มันจะเล็ก ก็เพราะใช้เป็นประตูให้เด็กหนีเที่ยวนี่นะ” ถึงมันจะไม่ใช่เวลา แต่ร่างบางก็ไม่อาจจะหยุดอารมณ์ขันเอาไว้ได้ ภาพในอดีตผ่านหัวเป็นฉากๆอย่างรวดเร็ว แต่ทุกภาพกลับย้ำเตือนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาในตอนนั้นต่างกับปัจจุบันมากเพียงไร


ช่วงเวลาที่สุขที่สุด...กับทุกข์ทรมานขนาดนี้ มันห่างกันเพียงไม่กี่ปีเองหรือ?


ขาเรียวกำลังจะก้าวลงจากอาน หากแต่ไม่ทันที่จะจะแตะพื้นดิน เหตุการณ์ก็มีอุปสรรคดังคาด!


ฉึก!!


เกาทัณฑ์ลูกยาวปักแน่นลงกับพื้นเบื้องหน้ากีบเท้าม้าสีขาว เจ้าสัตว์พาหนะตกใจกลัวจนร้องเสียงแหลมแล้วถอยกลับไปสามสี่ก้าวอย่างรวดเร็ว พอๆกับที่เหล่าหน่วยลับถลาออกมาข้างหน้าแล้วห้อมล้อมกุนซือคนสำคัญเอาไว้ตรงกลาง ทุกสายตามองขึ้นไปยังขอบกำแพงวังโดยอัตโนมัติ นายทหารหลวงสองสามคนที่กำลังเล็งธนูลงมายังพวกเขาเป็นคำตอบอย่างดี


มีป้อมปราการอยู่ตรงนี้ด้วยหรือนี่!? อีกเดี๋ยวพวกมันต้องลงมาแน่ๆ


“บ้าจริง!” คำสบถหายากหลุดออกจากริมฝีปากบาง เหงื่อเม็ดแรกไหลจากขมับ เตรียมใจพร้อมรับศึกปะทะย่อมๆที่จะเกิด  พลันทหารม้าของวังหลวงก็ควบมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว ในมือคือดาบคมกริบพร้อมที่จะสูบเลือดของผู้บุกรุก เช่นเดียวกันกับฝั่งกองทัพปราบกบฏ นายกองสี่คนห้อตะบึงสวนไปเตรียมประจันบานอย่างไม่กลัวตาย


เคร้งงง!!!


เสียงดาบต่อดาบของทหารฝ่ายบู๊ปะทะกันแหลมบาดหู แม้คู่ต่อสู้ของทหารนายกองของทัพปราบกบฏจะเป็นเพียงแค่ยามป้อมปราการ แต่ก็ไม่ทำให้คาซึระนิ่งนอนใจเลยสักนิด เพราะอีกฝั่งหนึ่งทหารม้าอีกนับสิบของยามรักษาการได้ตรงเข้ามาหาแล้วล้อมพวกเขาเอาไว้อย่างไร้ทางหนี


“บังอาจนัก!! กล้าบุกเข้าวังหลวงเช่นนี้ ไม่กลัวตายกันรึอย่างไร!!!” เสียงกร้าวตะคอกมาพร้อมปลายดาบที่ชี้หมายเอาชีวิต หากแต่ไม่มีเสียงตอบของร้องชีวิตของฝ่ายบุกรุก เล่นเอาเหล่าทหารปลายแถวเดือดจนแทบคลั่ง!


“ฆ่ามัน!!! สิ้นคำประกาศิต เหล่านักรบอสุราก็ทะยานใส่ด้วยแววตากระหายเลือด หากแต่เหล่าหน่วยลับของกองทัพปราบกบฏก็มิได้มีฝีมือเพียงแค่ลอบแทงข้างหลัง พร้อมจะสั่งสอนให้ไอ้ปิศาจพวกนั้นรู้ว่า การต่อสู้ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็จัดเจนไม่ต่างกัน


หูสองข้างของคาซึระอื้ออึงไปด้วยเสียงของคมอาวุธรับกับคมอาวุธ บ้างคือรับกับเนื้อจนหยาดโลหิตสาดกระเซ็น เสียงร้องโอดโอยของผู้ได้แผลผสมผสานปนเปเช่นวิสัยของสนามรบ แต่มีเพียงเสี้ยววินาทีที่เสียงเหล่านั้นมันใกล้มากกว่าตอนอื่น...และในดวงตาคู่สวยสะท้อนภาพคมดาบที่ชัดเจนมากเมื่อวิถีฟันวาดผ่านตัวเขาอย่างรวดเร็ว!


ฉั่วะ!


“อึก!


“ท่านคาซึระ!!!!” ดวงหน้างามบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเมื่อเห็นว่าต้นแขนมีรอยบากลึกเพราะทหารอสุราคนหนึ่งอาจหาญยื่นดาบเข้ามาฟันถึงกลางวง เลือดสีแดงสดทะลักซึมเสื้อคลุมอย่างน่าขนลุกจนต้องเอามืออีกข้างกดเอาไว้ ภาพที่เกิดขึ้นเรียกสัญชาตญาณดิบของหน่วยลับที่อยู่โดยรอบ


ดวงตาของเหล่าผู้ปกป้องวาวโรจน์จนแทบกลายเป็นสีแดงก่ำเช่นโลหิตของบุคคลต้องห้ามที่ไม่เคยให้หลั่งไหล อุณหภูมิในกายร้อนระอุ มือกระชับอาวุธแน่นเตรียมที่จะฟาดฟัน และคิดว่าศัตรูต้องกำลังได้ใจและหลงละเลิงไปกับกลิ่นเลือดพร้อมที่จะลุยเช่นเดียวกัน


แต่กลับไม่ใช่...


ดวงตาของพวกมันเบิกกว้าง ใบหน้าขาวซีด ดังเช่นความกลัวเข้าจับขั้วหัวใจ


“คาซึระ...คาซึระ โคทาโร่....” เสียงเบาหวิวทวนชื่อของร่างบางที่อยู่บนอาชาขาว ริมฝีปากสั่นระริกทันทีที่สังเกตเห็นดาบราชวงศ์เล่มงามที่เหน็บอยู่ที่เอว ความรู้สึกฮึกเหิมแต่เดิมเปลี่ยนไปเป็นอาการกลัวความผิดจนแทบอยากจะตายๆไปซะตรงนั้น สาเหตุไม่ใช่เพียงเพราะอำนาจของรัชทายาทอันดับหนึ่งที่คุ้มครองคาซึระอยู่ แต่ถ้าหากมหาอุปราชผู้คุมกองทัพอสุราเรือนแสนท่านนั้นรับรู้ว่าคาซึระ โคทาโร่ได้รับบาดเจ็บ...




ตาย!!!


ฉั่วะ!!


“อั่ก!!


คำวิงวอนอยากตายแม้ไม่พูดออกมาก็ราวกับพระเจ้าได้ยิน เมื่อเหล่านายกองสี่คนเสร็จศึกจากทางโน้นแล้วรีบกระทืบม้าเข้ามาอาศัยจังหวะศัตรูกำลังตะลึงงันส่งวิญญาณผ่านคมดาบทันที พวกยามป้อมปราการชั้นปลายแถวที่ไม่เจียมตัวตายตกตามกันราวใบไม้ร่วงต่อหน้าต่อตาร่างบาง นัยน์ตาสีดำนิลปรือลงอย่างอดสู ถึงแม้ว่าจะจับศึกมาร่วมห้าปีแล้ว แต่การมีคนมาตายตรงหน้านั้น เป็นเรื่องสะเทือนใจมากกว่าอะไร


“บาดเจ็บกันหรือไม่”  เสียงนุ่มเจืออาการหอบเพราะเสียเลือดหันไปถามคนใต้บังคับบัญชา แต่ถ้าหากประเมินจากสายตาแล้ว แต่ละคนได้รับบาดแผลเล็กน้อย ไม่เป็นอันตรายถึงขั้นต้องรีบส่งตัวกลับค่าย...ซึ่งดูท่าคนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดจะเป็นตัวเขาเองมากกว่า


“พวกข้ามิเป็นไรหรอกขอรับ แต่ว่าท่านคาซึระ! แขนของท่าน...!!


“ไม่ต้องห่วง รีบเข้าไปกันเถอะ” คำพูดตัดบทเยียบเย็นทำให้ไม่มีใครกล้ายิงคำถามต่อ มือบางฉีกกระชากชายแขนเสื้อคลุมแล้วผูกแน่นที่ปากแผล ขาเรียวก้าวลงจากหลังม้าแล้วผูกสายบังเหียนไว้กับต้นไม้ใหญ่ข้างๆ ดวงตาคู่สวยทอดมองประตู ก่อนจะตัดสินใจเรียกนายกองผู้หนึ่งมาช่วยพัง


เสียงด้ามดาบกระทุ้งกับบานไม้อยู่หลายต่อหลายที จนเป็นฝ่ายไม้ที่มีอายุการใช้งานเก่าเกินจะรับแรงกระแทก มันล้มตึงเปิดทางให้กับเหล่าหน่วยลาดตระเวนในที่สุด


ทันทีที่เหยียบย่างเขาเขตพระราชวัง สิ่งปลูกสร้างที่เคยงดงามและเปี่ยมไปด้วยอารยธรรมดูจะหมองลงไปเพราะผู้นำที่กรำศึกตลอดอย่างทากาสึงิไม่สนใจที่จะบูรณะเท่าใดนัก แต่ต่อให้เหล่าตำหนักสวยมากกว่านี้ คาซึระก็ไม่มีเวลามาสนใจ ดวงตาคู่งามจับจ้องไปที่โกดังเก็บเสบียงที่อยู่เบื้องหน้า กับทหารเฝ้ายามสองสามคน แล้วคิ้วเรียวก็ขมวดมุ่น


ประมาทซะจริง...สถานที่สำคัญเช่นนี้ยังมีการป้องกันที่หละหลวม แม้จะน่าแปลกใจที่คนอย่างทากาสึงิพลาดแบบนี้ ก็ไม่มีเวลาให้คิดหน้าคิดหลังแล้ว


“ส่งธนูมาให้ข้า” คำสั่งเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบบอกหน่วยลับที่อยู่ข้างหลัง ผู้ถูกสั่งอึ้งไปนิดก่อนจะรีบจัดแจงคันธนูพร้อมลูกเกาทัณฑ์ให้พร้อมสรรพ หัวใจของผู้ที่อยู่เบื้องหลังร่างบางเต้นตึกตักเมื่อเห็นที่ปรึกษาคนสำคัญของกองทัพพวกเขาที่ธรรมดาจะจับเพียงแต่ตำราพิชัยสงครามมีท่าทีสง่างามยิ่งนักเมื่อครองอาวุธ บัดนี้ร่างโปร่งบางตั้งมั่นกับเป้าหมายเบื้องหน้า ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อย นิ้วเรียวเกี่ยวง้างเส้นเอ็น ความสงบเยือกเย็นที่ปกคลุมอยู่รอบกายทำให้ไม่มีใครกล้าขยับหรือแม้กระทั่งสูดลมหายใจ


ฉึก! ฉึก!


เกาทัณฑ์เล่มเรียวปักกลางหน้าผากของทหารยามอย่างแม่นยำติดต่อกันจนผู้มองเบิกตาค้าง หากแต่ไม่มีเวลาให้ชื่นชมในฝีมือยิงธนูของยอดเสนาธิการเท่าใดนัก เหล่าหน่วยลับรีบรุดเข้าไปในโกดังอย่างรวดเร็ว ตามติดด้วยร่างบางที่ยืนอยู่หน้าประตูคอยสังเกตการณ์ หันซ้ายคือตำหนักของเหล่าเสนาบดีฝ่ายในที่คงจะถูกทากาสึงิย้ายมาอยู่ในพื้นที่ของวังหลัง หากแต่ที่อยู่เยื้องไปนั่นคงจะเป็นที่ทำการของกองทหารอสุราซึ่งมาจับตาดูเหล่าข้าหลวงเก่า


แบบนี้อาจจะมีข้อมูลของกองทัพอยู่ไม่มากก็น้อย


“ท่านคาซึระขอรับ โกดังกว้างมาก คาดว่าต้องนำดินประสิวมาเพิ่ม...ท่านคาซึระ....?” เสียงเรียกร้องของหัวหน้าหน่วยลับค่อยเบาลงพร้อมกับหันหลังกลับมา แล้วพลันน้ำลายก็หนืดคอจนกลืนไม่ลง ความเย็นสะท้านแล่นเป็นริ้วๆจับแข็งไปทั่วทั้งร่างกายเมื่อเบื้องหลัง



...ไม่มีร่างของที่ปรึกษาคนนั้นยืนอยู่แล้ว







คาซึระค่อยๆย่างก้าวไปตามทางเดินในวังหลวงโดยลัดเลาะไปตามหลังตำหนักต่างๆ นัยน์ตากลอกไปมาอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เหล่าเวรยามเห็นตน แผ่นหลังแนบกับต้นเสาแล้วยกมือขึ้นกดบาดแผลอีกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่หากแม้จะปวดจนชาเช่นไร ก็คงไม่เป็นเหตุผลสำคัญที่เขาจะกลับไปในยามนี้ นั่นก็เพราะในหัวใจของเขามีสิ่งสำคัญอยู่เพียงสิ่งเดียว
เอาชนะศึกสงคราม และคืนบัลลังก์ให้กับกินโทกิตามความประสงค์ขององค์โชกุนและท่านพี่โชโย


แต่ไม่ทันที่จะก้าวเท้าต่อ คาซึระก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีนายทหารผู้หนึ่งเดินถือม้วนผ้าเขียนรายงานเดินมาตามระเบียงข้างบน ก่อนจะโค้งคำนับแล้วเลื่อนประตูเข้าไปในห้องที่คบเพลิงที่ส่องสว่างอยู่เพียงห้องเดียว หัวใจของผู้เห็นกระตุกวูบแล้วแปรเปลี่ยนเป็นเต้นผิดจังหวะ เพราะตอนนี้ถ้าข้อสันนิษฐานไม่ผิดพลาด เขาเดินเข้ามาใกล้มหาอุปราชผู้คุมกองทัพอสุรานั้นเพียงก้าว


หากแต่หัวใจ...ที่มันไม่อาจหักห้ามอยู่ อาจก้าวข้ามฝั่ง...แล้วคำนึงถึงอยู่เสมอทุกครั้งที่พลั้งเผลอ


เสียงฝีเท้าของทหารคนเดิมเดินเลี่ยงออกไปแล้ว คาซึระจึงได้สงบสติอารมณ์แล้วค่อยออกมาจากมุมที่ซ่อน ฝีเท้าที่ย่ำพื้นไม้เย็นเยียบยังคงแผ่วเบาไม่อาจเล็ดลอดผ่านหูของผู้ใด จนกระทั่งร่างบางมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องทำงานของมหาอุปราชที่แง้มเอาไว้เพียงนิด ช่างเป็นโชคดีของเขาเหลือเกินที่ประตูนั้นทึบแสง มิเช่นนั้นคนที่อยู่ในห้องคงรู้ว่ามีฝ่ายศัตรูตามมาสังเกตการณ์ถึงตำหนักชั้นใน


ร่างสูงในอาภรณ์อย่างดีกำลังนั่งอ่านอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าสบายๆซึ่งดูท่าแล้วไม่สมกับเป็นรายงานสงครามชวนปวดหัวเลย ใบหน้าคมคายประดับไปด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น ดวงตาฉาบแววอำนาจถึงไม่ได้มองอะไรนอกจากหนังสือบนโต๊ะ แต่คาซึระเหมือนตนเองกำลังถูกเขามองอยู่ทุกเมื่อ


...ซากุระร่วงโรย  แม้เหลือเพียงกลีบยังคงคอย หทัยมิไร้หวัง....” ทันทีที่เสียงทุ้มต่ำกล่าวบทกลอนไฮกุที่แสนคุ้นเคยออกมาร่างบางสะดุ้งเฮือก ดวงตาคู่สวยได้แต่นิ่งค้าง หัวใจข้างในเต้นไม่เป็นส่ำ แล้วยิ่งประหม่าเข้าไปอีกเมื่อคนในห้องดันเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองมาที่ประตู


“มีคนอยู่ข้างนอกใช่หรือไม่ ไปนำน้ำชามาให้ข้าหน่อยสิ” คำสั่งเอาจริงยิ่งทำให้ผู้บุกรุกเครียดหนัก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาสารรูปแบบนี้ไปประเคนน้ำชาให้ได้อย่างไร


“ได้ยินข้ามิใช่รึ ทำไมยังนิ่งอยู่อีก” ยิ่งเขาเงียบ ทากาสึงิก็ยิ่งเร่งเท่านั้น แต่น้ำเสียงเจืออารมณ์หยอกเย้ามากยิ่งกว่าเป็นเรื่องจริงจัง ทำให้คาซึระรู้ว่าเขาพลาดไปตั้งแต่กล้าเหยียบตำหนักส่วนตัวของแม่ทัพกองทหารอสุรา คนข้างในต้องเห็นเขา เห็นแน่ๆ และแม้ว่าอาจจะไม่รู้ว่าเป็นใครก็เถอะ ตอนนี้ยิ่งต้องข่มความตื่นเต้นที่มีอยู่เต็มอกแล้วเปลี่ยนเป็นความกล้าพอที่จะกระโดดลงจากระเบียงตำหนักทุกเมื่อ


“ที่เจ้าไม่ยอมไป เพราะไม่อยากให้ข้าพักเช่นนั้นสิ?” ทากาสึงิถามขำๆ รู้สึกว่าแม้จะกำลังคุยคนเดียว แต่ดูไม่ขัดอารมณ์ “จะบอกให้ว่าอ่านกลอนไฮกุนี่มันล้านะ ต้องพักสักชั่วโมงแล้วค่อยมาอ่านต่อ...”


ความเงียบเข้าโรยตัว ร่างบางเม้มริมฝีปากแน่น ขอบตาเริ่มอุ่นชื้น ก้อนสะอื้นออกมาจุกที่ลำคอจนทำอะไรไม่ได้แบบนี้ คาซึระไม่เคยเป็นมาโดยตลอดเวลาห้าปี แล้วมันยิ่งจะทวีความสะเทือนอารมณ์ เมื่อประโยคต่อไปที่เป็นเสียงที่แผ่วเบาลงเหมือนถ้อยคำที่คุ้นเคยที่ทากาสึงิชอบพูดกับเขา


“อย่าใจร้ายนักเลย ทีเมื่อก่อนเจ้ายังเป็นฝ่ายชวนข้าไปพักเสียด้วยซ้ำ”


เฮือก!


ร่างบางสะดุ้งสุดตัว ใบหน้าที่ว่าแต่เดิมซีดเพราะบาดแผลอยู่แล้วยิ่งขาวจัดเข้าไปอีก ยิ่งเมื่อสังเกตเห็นคบเพลิงของเหล่าทหารพร้อมเสียงเอะอะโวยวายฟังแว่วว่ามีศัตรูบุกนั่นยิ่งทำให้คาซึระไม่มีเวลาที่จะใจเย็น ขาเรียวตัดสินใจก้าวกระโดดลงมาจากระเบียงตำหนักแล้ววิ่งกลับไปที่ผูกม้านั้นให้เร็วที่สุด และแน่นอนว่าเขาตั้งใจจะล่อให้กองทัพอสุรากลุ่มหนึ่งออกห่างจากโกดังเสบียงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลย ว่าทุกๆอย่างนั้นอยู่ในสายตาของใครบางคนที่เดินออกมายืนมองจากริมระเบียง






“ตอนนี้มีหน่วยลาดตระเวนของทัพเจ้าชายกินโทกิ ลอบเข้ามาในวังหลวงขอรับ ขอคำบัญชาจากท่านมหาอุปราชด้วย!” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้หนึ่งในชุดเกราะของนายกองก้าวฉับๆเข้ามาอยู่ต่อหน้าทากาสึงิ น้ำเสียงและสีหน้าเต็มไปด้วยความเร่งรีบ หากแต่ไม่ทำให้คนฟังใจร้อนตามไปด้วยแม้แต่นิด ริมฝีปากยกยิ้มอย่างสนุกสนานท้าทาย นิ้วแกร่งไล้ปลายคางแล้วสั่งคำสั่งประหลาดออกไป



“ให้ทหารทุกนายประจำการอยู่ที่วังตามเดิม ส่วนข้าจะเป็นผู้ไปนำตัวคนบุกรุกมาเอง”





กุบๆๆๆๆๆๆ


ฝีเท้าม้าสีขาวเร่งความเร็วสูงสุดตามติดมาด้วยตัวสีดำที่ควบไล่มาอย่างกระชั้นชิด เมื่อดวงหน้าเรียวหันกลับไปคราใด คนๆนั้นจะเข้าใกล้ เข้าใกล้เรื่อยๆแล้วกดดันจนท้อแท้ที่จะหลบหนี ร่างบางหอบหายใจสะบัดแส้ม้าเร่งความเร็วอีกแม้รู้ว่าจะสุดฝีเท้า เรือนผมสีนิลยาวสวยปลิวไปตามกระแสลม ร่างบอบบางที่แทบจะไม่เหลือแรงยังคงตั้งตรงสง่าบนหลังอาชา ซึ่งแม้จะดูกระเสือกกระสนเพียงไร แต่ในสายตาของผู้ไล่ตามตอนนี้มีเพียงความงดงาม


หนีไม่รอดแน่ๆ ตอนนี้สมาธิไม่เหลือพอที่ครองแล้ว


มือบางล้วงม้วนกระดาษที่เขียนด้วยลายมือออกมาจากสาบเสื้อแล้วใส่ลงไปกระบอกที่ห้อยอยู่ตรงคอม้า มือเรียวลูบแผงคอหนานุ่มอย่างแผ่วเบาแล้วฝากฝังภารกิจสำคัญ


“ถ้าข้าถูกจับ เจ้าห้ามหยุดนะ รีบวิ่งไป...วิ่งไปให้ถึงค่ายแล้วเอาสาส์นให้กินโทกิดู เข้าใจไหม?” มันขยับหัวไปมาราวรับรู้ ดวงหน้าเรียวหันขวับไปมองข้างหลัง ในใจเตรียมพร้อมยอมรับความพ่ายแพ้ที่จะควบมาถึงเขาไม่กี่ก้าว


มหาอุปราชควบม้าให้ใกล้เข้าไปอีกเหลือเพียงแค่เอื้อมมือ จึงพอที่จะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบนต้นแขนที่เป็นสาเหตุใหญ่ทำให้คาซึระเสียพลังมากขนาดนี้ ยิ่งเห็น อารมณ์ของทากาสึงิก็ยิ่งกรุ่น นึกถึงไอ้ทหารสามหาวที่ไหนบังอาจทำร้ายคนตรงหน้า ไอ้พวกนั้นสมควรตาย และอีกคนที่เขาอยากสาปส่งมันคือเจ้าน้องชายต่างแม่ ที่คิดยังไงถึงส่งคนๆนี้มาหาอันตราย


หมับ!


ว่าแล้วแขนแกร่งก็ตวัดรัดเอวบางแล้วคว้าให้มาอยู่บนม้าตัวเดียวกันในที่สุด เจ้าพาหนะที่วิ่งสุดฝีเท้าแล้วกำลังคึกคะนองนั้น ถ้าเกิดตกลงไปไม่ต้องจินตนาการถึงผลว่าจะเป็นเช่นไร ทากาสึงิจึงขังร่างบางเอาไว้ด้วยแขนข้างเดียวแน่น ส่วนอีกข้างยังคงบังคับม้าอย่างมั่นคง สำทับด้วยเสียงกระซิบเย็นๆแข่งกับกระแสอากาศที่ริมหู


“อยู่นิ่งๆ ถ้าหากตกลงไป ข้ากลัวว่าข้าจะคว้าเจ้าไม่ทัน” แต่มีหรือจะฟัง เจ้าตัวยังคงเพียรที่จะดิ้นแม้รู้ว่าไม่เป็นผลที่จะหลุดออกไปง่ายๆ แต่ถ้าทำให้ลงไปจูบดินข้างล่างกันทั้งคู่มันก็คงไม่แน่ ทากาสึงิจึงกระชากบังเหียนสุดแรง เจ้าพาหนะร้องเสียงลั่นยกสองขาหน้าตะกายอากาศแล้วจึงสงบลงในที่สุด แล้วปล่อยให้ตัวสีขาววิ่งเตลิดไปไหนต่อไหน


ม้าสงบ ฝุ่นดินที่ตลบเริ่มจะจางหาย แต่จิตใจของใครบางคนกลับไม่สงบด้วย ร่างบางที่อยู่ในอ้อมแขนดิ้นขลุกขลัก ดวงหน้าขาวซีดร้อนผะผ่าวจนเห็นสีชัดยิ่งทวีความเอ็นดูของคนที่ลอบมองอยู่ยิ่งนัก จนอดไม่ได้ที่ต้องขำเบาๆแล้วแกล้งพูดให้ยิ่งหัวปั่นเล่น


“ข้าควรจะบอกเจ้าเอาไว้ก่อนว่าม้าศึกของแม่ทัพนั้น คือม้าศึกที่มีฝีเท้าดีกว่าของหน่วยลับลาดตระเวน แม้ไม่เบาเทียบเท่า แต่ความเร็วและความคมยังผิดกัน เจ้าแพ้ทันทีที่คิดจะหนีข้าด้วยม้า”


“จะหนีเจ้าด้วยอะไร ก็ไม่เคยพ้นอยู่แล้วมิใช่รึ” ดวงตาคู่สวยจ้องเขม็ง ฟันขบกันแน่นด้วยความเจ็บใจที่สุด แต่ประโยคนั้นกลับถูกใจคนฟังยิ่งนัก นิ้วแกร่งเกี่ยวเข้าที่ปลายคางมนแล้วบิดเบาๆให้หันมา นัยน์ตาสีเขียวเข้มแพรวพราวหายากทอดมองใบหน้าเรียวงาม แล้วกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น พร้อมกับคำยืนยันจริงจัง


“ใช่...เจ้าไม่มีทางหนีข้าพ้น ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไม่มีความดิ้นรนพอ แต่เป็นข้าที่สัญญากับตัวเองว่าเจ้าอยู่ที่ใดก็จะตามไปจนพบ...แล้วจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปให้ใคร...เด็ดขาด!









วังหลวง


ทันทีที่ลงจากหลังม้าพร้อมเชลยคนสำคัญ ร่างสูงสง่าของมหาอุปราชเดินก้าวยาวพร้อมมือที่กำแน่นที่ข้อแขนให้ร่างบางเดินตามมาด้วย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ประหลาดนับตั้งแต่ทากาสึงิ ชินสุเกะขึ้นเป็นแม่ทัพผู้ไร้หัวใจของกองทัพปิศาจนี้ที่จะนำเชลยติดมือกลับมาด้วยแทนที่จะฆ่าทิ้งทันที


แต่ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่น่าวิพากษ์วิจารณ์เพียงใดแต่เหล่าทหารที่มารอต้อนรับต้องเก็บเอาไว้ในใจจนหมด รวมถึงในใจลึกๆที่แค้นคาซึระอยู่ไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุทำให้เพื่อนพ้องตายไปมากมาย แต่บารมีที่อยู่โดยรอบเชลยคนนั้นช่างสูงศักดิ์ยิ่งนัก ยามพิศใกล้ๆไม่ว่าจะเป็นดวงตาดำสนิทที่ฉายแววไม่ยอมแพ้อยู่เสมอ จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากบางเรื่อเหยียดตรง และเส้นผมที่ทิ้งตัวเรียงสวยถึงกลางหลังไหวน้อยๆยามเมื่อเจ้าตัวก้าวเท้าเดิน เพียงเท่านี้ก็ไม่น่าแปลกใจที่ทากาสึงิจะออกสิทธิ์ความเป็นเจ้าของขั้นฉุดแขนเพียงนั้น


มั่นคง ไม่เกรงกลัวใคร มีจิตวิญญาณที่สูงส่งแม้อยู่ท่ามกลางดงศัตรู และแม้จะมีบาดแผลแต่ก็ต้องยอมรับ...ว่าคาซึระ โคทาโร่ ยอดที่ปรึกษาผู้ชาญฉลาดที่ร่ำลือกันอย่างหนาหูนั้น งดงามคู่ควรแก่การครอบครองยิ่งนัก





ทากาสึงิดึงร่างบางเข้ามาถึงพระราชฐานส่วนตัวที่อาจเรียกง่ายๆว่าเป็นห้องพักผ่อน แล้วจัดการกดไหล่ให้นั่งลงกับเตียง ก่อนที่เจ้าตัวจะทรุดกายลงนั่งข้างๆ แต่คาซึระยังคงรักษาระยะห่างอย่างชัดเจนโดยการลุกยืนขึ้น  มือเรียวเผลอจับไปที่ดาบราชวงศ์ข้างเอว จนดวงตาสีเขียวเข้มต้องมองตามไปแล้วหัวเราะเยือกเย็น


แต่ในใจ ใครเล่าจะรู้....ว่ามันร้อนรุ่มยิ่งกว่ากองเพลิง


“เข้าใจคิดจริง ที่กินโทกิยกดาบรัชทายาทให้กับเจ้ามา เพราะตราบใดที่เจ้ามีดาบนั้นติดตัว ผู้ที่ทำร้ายเจ้า คือผู้ที่คิดกบฏอย่างร้ายแรงต่อราชวงศ์ โทษมีสถานเดียวนั่นคือตาย”...ถึงตัวไม่อยู่ แต่เกียรติยังคงปกป้องอย่างถึงที่สุดให้ไม่มีใครมาแตะต้อง สัมผัสแรงกล้าที่ออกมาจากดาบเล่มนั้นยิ่งทำให้ทากาสึงิหงุดหงิด ก็อยากจะบอกเหลือเกินว่าต่อให้ไม่มีบารมีของรัชทายาทอันดับหนึ่งคุ้มครองอยู่ คาซึระจะไม่มีวันเป็นอันตราย


เพราะข้าผู้นี้จะเป็นดาบอาญาตัดสินโทษตายให้ไอ้คนไม่เจียมตัว ที่บังอาจมาทำร้ายหัวใจของข้าด้วยตัวเอง!


มือของทากาสึงิคว้าที่ข้อแขนบางแล้วออกแรงดึงอย่างรวดเร็วจนเจ้าของร่างทรุดลงมาเกยกับตัก ใบหน้างามที่ตื่นเล็กน้อยมีให้เห็นเพียงชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนกลับไปเป็นเยือกเย็นอย่างเก่า น้ำเสียงเจืออาการหอบเหนื่อยยังเพียรที่จะแข็งกร้าวกัดฟันกระซิบขู่เจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงที่โอบรอบเอวอยู่อย่างอุกอาจ


“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ข้าจะตัดแขนเจ้าขาดเป็นสองท่อน!


“ก็ลองดู แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าระหว่างเจ้าเอาดาบน่ารังเกียจนั่นมาฟันข้า กับข้าพลิกให้เจ้านอนไปกับเตียงนั่น อะไรมันจะเร็วกว่ากัน”


นัยน์ตาพราวระยับของผู้พูดไม่ใช่เพียงแค่ขู่นั่นทำให้คนบนตักเม้มริมฝีปากแน่นจนไร้สีเลือด หากแต่คำขู่ของใครไม่เคยหวั่นใจของคาซึระได้อยู่แล้ว พลันแขนเรียวบิดออกจากการจับกุม ตวัดคว้าด้ามดาบข้างเอวแล้วดึงคมสีเงินวาววับออกมาอย่างรวดเร็ว การกระทำที่ไม่คาดคิดทำให้ทากาสึงิเบิกตากว้าง มือแกร่งคว้าเข้าที่ข้อแขนบางด้วยสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดได้ทันท่วงทีก่อนที่มันจะเชือดคอเขาอย่างหวุดหวิด


ดวงตาสีดำที่น่าหลงใหลนั่นจ้องเขาเขม็งปานจะฆ่าให้ตายเดี๋ยวนั้น ทากาสึงิแค่นยิ้ม น้ำลายเฝื่อนคอจนกลืนไม่ลง นี่ถ้าหยุดช้ากว่านี้ แม่ทัพของกองทหารอสุราคงได้เหลือเพียงชื่อ ข้อมือของคนที่เขากำอยู่นั้นสั่นระริกจนไม่ว่าจะจับให้แน่นเท่าไรก็ไม่หยุดนิ่ง



สั่นถึงเพียงนี้ มีอยู่เพียงสองสาเหตุไม่ใช่เพราะกลัว...ก็คงจะเป็นความโกรธ



“แค้นข้านักหรือ ซึระ”


“ใช่...แค้นมาก เกลียดมาก บอกแล้วไม่ใช่รึ ว่าข้าจะเป็นคนฆ่าเจ้า!!” คำตอบชัดเจนหากแต่ว่าน้ำเสียงนั้นสั่นพร่านัก คำว่าเกลียดคือสิ่งเดียวที่ทากาสึงินึกกลัวมาตลอด เมื่อได้ฟังมันอย่างชัดเจนจากปากคนๆนี้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว มือข้างที่พันธนาการแขนเรียวอยู่จับบิดให้เสียรูปจนต้องปล่อยดาบหล่นเคร้งลงกับพื้น ไม่เพียงเท่านั้น ทากาสึงิยังผลักร่างบอบบางให้นอนหงายหลังตึงไปกับพื้นเตียงหนานุ่มแล้วขึ้นคร่อม มือทั้งสองข้างกดฝังข้อแขนของอีกฝ่าย ริมฝีปากแดงบิดแล้วร้องเบาๆเพราะบาดแผลกระทบกระเทือน ใบหน้าขาวซีดขึ้นสีเรื่อชวนไม่อาจละสายตา ทั่วทั้งตัวของคาซึระสั่นเทิ้มกว่าเก่า ดวงตาสีดำที่เคยมั่นใจคู่นั้นเบือนหลบวูบ



คราวนี้ไม่ใช่โกรธ แต่เป็นเพราะ...กลัว?



“ทีบุกเดี่ยวเข้ามาลาดตระเวนถึงห้องข้ายังไม่กลัวเลย...แล้วตอนนี้เกิดกลัวอะไรขึ้นมาล่ะ หือม์?


“ท่านก็น่าจะรู้ว่าใครต่อใครในใต้หล้าล้วนเกรงกลัวท่าน ท่านมหาอุปราช” ดวงตาคู่คมที่กลับมาสบด้วยนั้นทอแวววาววับ ริมฝีปากสวยๆนั่นกล้าเอ่ยคำประชดเย็นชาอย่างน่าจับสั่งสอน ความเหินห่างที่มอบให้เหมือนเป็นเครื่องเตือนว่าหยุดก้าวล้ำอีกฝ่ายมากกว่านี้...แต่น่าเสียดายตรงที่ว่าการฉุดคว้าคาซึระมาอยู่ใกล้ตนมากที่สุดคือสิ่งเดียวที่ทากาสึงิปรารถนา


“ถ้าอย่างนั้น...” เลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นๆรินรดอยู่เพียงบริเวณเปลือกตา แล้วเอ่ยน้ำเสียงเว้าวอนโดยไม่สนใจเลยว่าคนฟังต้องปิดกั้นหัวใจไม่รับฟังมากเพียงไหน “ขอยกเว้นเจ้าสักคนจะได้ไหม”


“ไม่มีทาง”


เสียงหัวเราะหึดังในลำคอ ยิ่งใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้ ร่างบางตัวเกร็ง มันชาไปหมดจนไม่มีแรงขยับเขยื้อนมีแต่หัวใจเท่านั้นที่ยังคงทำงานหนักจนอ่อนล้า เตียงปักดิ้นทองชื้นไปด้วยเลือด กลิ่นคาวคละคลุ้งไม่อาจกลบกลิ่นกายและเส้นผมดำสนิทที่กระจายเต็มหมอนไปได้ คาซึระหลับตาแน่นเมื่อเขาเข้าไปใกล้ การที่คนข้างใต้อยู่นิ่งๆแบบนี้ก็ดีอย่างที่ว่า เป็นโอกาสให้ทากาสึงิพิจารณาใบหน้าของคนที่เขาหลงใหลมาโดยตลอดสิบห้าปีอย่างแจ่มชัด


สวย...ทั้งสวยและไร้ราคิน ไม่ว่าเขาจะสัมผัสไปที่ใด ผิวเนื้อขาวเนียนนั้นจะขึ้นสีเรื่อแดงดังเช่นคนที่ไม่เคยให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัว อุณหภูมิของร่างกายที่ร้อนรุ่มกรุ่นกลิ่นอายหอมหวลแสนน่าคิดถึงยิ่งทำให้ทากาสึงิแทบคลั่ง


บริสุทธิ์เพียงนี้ เขาล่ะสงสัย ว่ากินโทกิทนมาได้เช่นไร


รอยยิ้มอ่อนโยนหายากประดับบนใบหน้าหล่อเหลา แล้วจึงเลื่อนริมฝีปากไปประทับจุมพิตที่บริเวณหน้าผากก่อนจะเลื่อนอ้อยอิ่งพรมไปตามนวลแก้ม ความร้อนผะผ่าวไล่ลามเลียทุกที่ที่ถูกสัมผัสปานไฟ แล้วสุดท้ายจึงประทับเบาๆที่ริมฝีปากบางแดงเรื่อก่อนจะผละออกให้อีกฝ่ายมีเวลาหายใจหายคอ กลิ่นหอมรัญจวนยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก ลิ้นไล้เลียรสหอมหวานละเลียดผิวริมฝีปากอย่างพึงพอใจ จนทำให้อีกฝ่ายหน้าแดงก่ำ


ทากาสึงิหัวเราะเบาๆ เขารู้ว่าถ้าซึระมีแรงมากพอคงจะลุกขึ้นมาหยิบดาบฟันเขาเป็นแน่ แต่ตอนนี้ทำอย่างไรได้นอกจากนอนหอบส่งสายตาโกรธเคือง ซึ่งเขาก็อยากจะบอกจริงว่าสายตาแบบนั้นมันเย้ายวนมากกว่าจะขู่ให้กลัว


“เดี๋ยวข้าจะตามหมอมาทำแผลให้เจ้า...แล้วพรุ่งนี้เจ้าอยากรู้อะไร ข้าสัญญาว่าจะตอบทั้งหมด” ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียง แล้วเตรียมที่จะก้าวออกจากห้องโดยที่ตั้งใจว่าเขาจะยกห้องนี้ให้ร่างบางที่เหนื่อยเต็มที่พักผ่อนแล้ววันนี้จะยอมเดินไปนอนที่ตำหนักใช้ประชุมงานศึกเสีย อย่างน้อยๆก็เป็นเพราะนึกถึงเจ้าน้องชายต่างแม่ที่มันอุตส่าห์สู้ทะนุถนอมคาซึระมานาน


และเขาเองก็คงไม่อยากจะแพ้กระมัง...


เสี้ยวใบหน้าคมหันกลับมามองแล้วขยับรอยยิ้มบาง รอยยิ้มที่ถ้าหากตาของร่างบางไม่พร่าเพราะพิษบาดแผลนั้นเห็นชัดว่ากำลังฝืนความเศร้า พร้อมกับประโยคที่ประกอบไปด้วยคำไม่กี่คำแว่วมาเบาๆ



“ซึระ.....ข้าขอโทษ”



ข้าอยากพูดซ้ำๆให้เจ้าฟัง เจ้าจะไม่ยอมรับก็ได้ แต่ขอให้คำขอโทษของข้าช่วยลดความเกลียดชังในใจเจ้าได้แม้เพียงเศษเสี้ยว...เท่านั้นก็พอ


.


.


.

TBC...

มิยะขอเม้าท์


สวัสดีทุกท่านที่เข้ามาก๊าบ อิอิ ฟิคเรื่องนี้เป็นฟิคกินทามะเรื่องที่สอง การแต่งทากะหวานนี่เป็นอะไรที่คิดทำใจอยู่นานก่อนทำเลยค่ะ//หลบดาบ แล้วก็จำได้ว่าเมื่อสองปีก่อน ก่อนจะปั่นตอนที่สี่เสร็จทันวันเกิดคนสวย วันที่ 26 มิถุนานี่มันลากเลือดเลย แล้วอีกอย่างฟิคเรื่องนี้นี่ไม่ได้มีที่มาธรรมดาๆนะคะ อิอิ

ฟิคเรื่องนี้มีแรงบันดาลใจมากจากสามก๊กค่ะ ซึ่งตอนนั้นมีโอกาสได้อ่านเป็นครั้งแรก แล้วก็รู้สึกชอบทันที ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่คิดอยากแตะ เพราะมันยาว อาจจะเข้าใจยาก ตัวละครเยอะ ชื่อแต่ละคนคล้ายๆกัน แต่สุดท้ายแล้ว ทนแรงกดดันจากเพื่อนไม่ไหว // ฮา ก็เลยหยิบมาอ่านค่ะ เท่านั้นแหล่ะ

โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก นี่มันมหากาพย์!! TT[]TT เพิ่งเข้าใจว่าทำไมคนเขาถึงติดกันทั่วบ้านทั่วเมือง คือนอกจากเรื่องราว แผนการรบ อะไรต่างๆที่มันมหัศจรรย์แล้ว สิ่งที่มิยะประทับใจอีกอย่างคือคาร์แร็กเตอร์ตัวละคร โดยเฉพาะสามคนนี้ ที่แอบเอาบางอย่างมาใส่ไว้ในตัวของคุณกิน ซึระ แล้วก็ทากะค่ะ

สำหรับคุณกิน ไอดอลก็คือ พระเจ้าเล่าปี่ มีศักดิ์เป็นอาของพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ต้องซ่อนเลือดขัตติยาไว้ภายใต้คราบคนสานรองเท้า เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูง มีความอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนโยนและใจเย็น อีกทั้งมีวาทศิลป์เป็นเยี่ยม นับว่าเป็นบทพระเอกมากกกกกกกกก แต่ที่กรี๊ดคือคนๆนี้จะง้อที่ปรึกษาตนเอง นั่นก็คือ"ขงเบ้ง"มาก เชื่อฟัง ใจอ่อน แบบรักมากจริงๆ ไว้ใจสุดยอด ทั้งๆที่เล่าปี่เองก็อายุมากกว่าขงเบ้งเกินสองรอบอ่ะค่ะ เง้อออออ มุ้งมิ้งไป =///=

คนต่อมาซึระคนสวย ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก จูกัดเหลียง "ขงเบ้ง" เอ้ง เอ้ง เอ้ง เอ้ง คนนี้ต้องแอ็คโค่ เพราะชอบมากกกกกกกกกกกกกก เป็นคนที่ฉลาดมากๆๆๆ ถึงมากที่สุด แตกฉานยุทธวิธีการรบ ดอกไม้งามแห่งจ๊กก๊ก// ผิด!! ฮาาา แต่คงเพราะเป็นที่ปรึกษาทำให้ขงเบ้งแทบไม่ได้ออกสนามรบเลย แถมลุคยังคุณช้ายคุณชาย โฮกมากจริงๆค่ะ เลยทนไม่ไหวเอามาเป็นแบบเขียนซึระซะเลย

คนสุดท้ายก็ทากะคุง ไอดอลพ่อหล่อเลวคนนี้คือ โจโฉ ยอดนักปกครองแห่งวุยก๊ก ที่เก่งกาจทั้งบู๊และบุ๋น ซึ่งเป็นไอดอลในดวงใจใครหลายคน อิอิ แต่อันที่จริงในเรื่อง โจโฉกับขงเบ้งแทบไม่เคยพบหน้ากันเลย เพราะขงเบ้งไม่ออกสนาม โจโฉออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ทั้งคู่ก็ได้ยินกิตติศัพท์กันอยู่ลึกๆ ไอ้มิยะอ่านจวนจะจบเรื่อง ลุ้นอยู่แค่เรื่องเดียว // กุยแก ที่ปรึกษาสุดรักสุดหวงของโจโฉเสียชีวิตไป พ่อนายกตลอดกาลคนนั้นไม่คิดจะหาที่ปรึกษาคนใหม่บ้างหรือ อ๊ากกกกกกกกกกกกก มโนไปไกล / ต้องขออภัยแฟนพันธุ์แท้สามก๊กจริงๆค่ะ

ส่วนในเรื่องมีฉากที่ซึระเล่นดนตรีด้วย เป็นเครื่องดนตรีของญี่ปุ่น ชื่อ โกโตะค่ะ รูปร่างหน้าตาคล้ายจะเข้บ้านเรา...แบบนี้เบยจ้ะ >..<



ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.marumura.com/culture/?id=2930



ถ้าหากอยากฟังเสียง ไอ้มิยะร่อนหาทั่วยูทูปไม่ค่อยจะเจอ ได้มาหนึ่งคลิปจากคุณพระช่วยค่ะ >>Hana-ดอกไม้ให้คุณ<< 

แล้วเอาไว้เจอกันใหม่ หากไม่ติดขัดข้องอะไร น่าจะเป็นวันเกิดคนสวยปีนี้ค่ะ โฮกกกกกก ไหนี้ เกือบสามปี ฮ่าๆๆๆๆ // ยังมีหน้ามาหัวเราะ

ขอบคุณทุกท่านท่านที่มาเยี่ยมเยียน เม้นท์ได้เป็นกำลังใจจ้ะ

Miya

4 ความคิดเห็น:

  1. เอ...... 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557 มันก็ผ่านมานานแล้วนะคะ วันเกิดซึระเนี่ย กะจะดองเค็มเรื่องนี้กันใช่มั้ย 55555555 เพิ่งมาเจอเรื่องนี้เมื่อวานค่ะ เพราะอยู่ๆเจอกินทามะขึ้นแทบในยูทูบเลยกดเข้าไปดูทั้งๆที่ไม่ได้ตามมานานอยู่ นั่นแหละ เกิดคิดถึงคู่นี้ขึ้นมา เลยหาฟิค อ่านๆๆๆๆ จนมาเจอเรื่องนี้ โอ้โห ทำกันได้ลงคอ จับคว้านท้องซะเลยดีไม๊ฮะ!

    ไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันจะยังมีอนาคตอีกไหม แต่ก็อยากให้มาต่อนะคะ :)

    ตอบลบ
  2. สนุกมากเลยค่ะ เพิ่งมาเจอ จริงๆคือชอบคู่ทากาซึระอยู่แล้ว แล้วมาเจอฟิคนี้คือดีงามมากกกกกกกกกกก ซึระที่สวยงาม ทากาสึงิที่อันตราย และกินโทกิสุดยอดพระเอก คืออิมเมจที่เราชอบมาก คุณมิยะแต่งได้ดีมาก อยากให้แต่งฟิคดีๆแบบนี้ต่อนะคะ

    ตอบลบ
  3. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คุณกินแพ้รึยังคะเนี่ย นี่ชิบคู่กินซึระสุดๆไปเลยนะคะแล้วฟิคคู่แรร์นี่ก็หายากเหลือเกิน555555 พอมาเจอเรื่องนี้คือสงสารคุณกินค่าาาา อยู่ด้วยกันมาตั้งนานทำได้มากสุดก็แค่จับมือกับสื่อใจไปเองนะ แล้วใจก็ไม่ได้กลับมาเลย อินๆๆ กรีดร้องงงงงง55555 น่าสงสารจริงๆ เหมือน5ปีก่อนพานายเอกมาดูแลแล้วรอวันส่งคืนให้พระเอก(สุดโหด) ร้องไห้หนักมากก T-T พล็อตเรื่องเลิศค่ะ สนุกสุดๆ แต่อย่าทำร้ายจิตใจคุณกินมากกว่านี้เลยนะคะ ขอบคุณสำหรับฟิคดีๆค่ะ ก็ไม่รู้ว่าจะอัพต่อรึเปล่านะคะ แต่ก็จะรอค่ะ ^-^

      ลบ