Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 16 กว่าจะพร้อม...ก็สายไป
“ลบความทรงจำฉันที...” ถึงแม้มันจะเป็นเพียงคำพูดเรียบตามแบบฉบับคนที่ไม่เคยขอร้องใครแต่มันก็เจือไปด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
หมอแห่งโลกมืดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะปั้นหน้าเป็นปกติ
ถึงจะพอเดาเรื่องทุกอย่างออกตามไอคิวของตนเอง แต่ก็ยังตกใจอยู่ดี
ตอนแรกๆค้านหัวชนฝาว่าตายยังไงก็ไม่ยอม
แต่ตอนนี้มันกลับกันอย่างสิ้นเชิง...
แสดงว่า...แกได้ทนมันจนถึงขีดสูงสุดแล้วสินะ
ฮายาโตะ
“แกแน่ใจว่าจะทำอย่างนั้นจริงๆเรอะ
ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าฉันไม่ชอบ...”
“ไม่ชอบที่ฉันตัดสินใจไม่คิดหน้าคิดหลังแล้วไม่ห่วงตัวเองใช่มั้ย”
ลูกศิษย์ดักคอทันทีเหมือนท่องขึ้นใจ แม้ว่าจะไม่เคยทำตาม เขาถอนหายใจพรืดใหญ่ก่อนจะพูดต่อ
“ไม่ต้องห่วงชามาล...ตอนนี้ฉันทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น
ไม่ว่ายังไงฉันยืนยันว่าจะทำฉันก็จะทำ อย่าบอกนะว่าแกคิดจะขวางฉัน”
“เปล่า” ไทรเด้นท์
ชามาลยกมือขึ้นสองข้างแล้วยักไหล่ปฏิเสธ “ฉันจะไปขวามแกทำไม
มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องขวาง หน้าที่ฉันตอนนี้คือต้องทำให้แกก้าวไปข้างหน้าตามที่แกอยากจะก้าว
เมื่อแกคิดจะตัดสินใจแบบนี้ฉันก็ไม่ขัด”
“แต่ว่าฉันถามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนได้มั้ย...ทำไมแกถึงตัดสินใจแบบนี้...”
“...” ร่างโปร่งบางชะงักไป
พร้อมเบือนดวงตาสีมรกตออก เขาไม่รู้จะสรรหาเหตุผลใดที่พอจะมาอ้างได้ฟังขึ้นพอ
เพราะตอนนี้ในหัวมันไม่มีอะไรเลย มันว่างเปล่า เหมือนกับความจำคอมพิวเตอร์ที่ถูกDeleatออกหมดเกลี้ยง
ความเงียบกินเวลามากพอที่จะทำให้หมอแห่งโลกมืดตีความหมายของลูกศิษย์ออก
เขาเลื่อนเก้าอี้มานั่งลงตรงหน้าก่อนจะเอ่ยถ้อยคำบางอย่างออกมาเบาๆ
เบา แต่มันซึมลึกเข้าไปในหัวใจ…
“ฮายาโตะ
ฉันไม่รู้นะว่าแกมีเหตุผลหรือต้องการจะทำอะไรกันแน่
แต่สิ่งที่จะทำต่อไปนี้มันคือเรื่องจริงๆ ไม่ใช่ล้อเล่น
แกจะจำคนที่สำคัญกับแกไม่ได้แม้แต่คนเดียว
แน่นอนว่าไม่ใช่เฉพาะคนที่แกต้องการจะลืม
แต่คนที่เกี่ยวข้องกับแกถึงแกจะไม่อยากลืม แต่ก็ต้องลืม...รวมทั้งไอ้หนูรุ่นที่สิบนั่นด้วย”
หมอแห่งโลกมืดอธิบายเตือนสติของร่างโปร่งบางอีกครั้ง
โดยคิดว่าลูกศิษย์ที่ไม่รู้จักโตคนนี้กำลังทำอะไรที่ลงทุนมากเกินไป
โดยไม่คิดว่าผลที่ตามมามันอาจจะขาดทุน เพราะตามที่เขาพูดนั้นถูกทุกอย่าง
ไทรเด้นท์มอสกีโต้ไม่ได้มีวิวัฒนาการมากพอที่จะเลือกได้ว่าลืมใครไม่ลืมใคร
ถ้าโดนเข้าไปแล้วก็ต้องลืมมันทั้งหมด...
แม้ว่าจะมีคนที่ไม่อยากลืมก็ตาม...
“มันจะมีผลอะไรต่อชีวิตฉันบ้าง?” ร่างโปร่งบางถามเสียงเรียบ
ดวงตาชำเลืองมองเม็ดยาแคปซูนในมือของครูสอนพิเศษ จะว่ากลัวก็กลัว
จะว่ากล้าก็กล้า...
แต่ที่เหนืออื่นใด
มันมีอีกสิ่งหนึ่งที่กลบความกลัวและความกล้าจนมิด...
ความรู้สึก...ที่มันอยากจะลืมบางอย่างใจจะขาด
อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจสละโลหิตน้อยนิดให้กับยุงตัวนั้นเพื่อแลกกับชีวิตใหม่ที่คิดว่าคงจะดีกว่านี้
คิดว่าอย่างนั้น...
“โรคนี้มีมันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแกด้วย...ว่าคนไหนสำคัญกับแกมากหรือน้อย
ถ้าหากสำคัญมากและเป็นความทรงจำที่ดีของแก
พอฉันถอนพิษให้มันเสถียรแกอาจจะจำได้เร็ว
เพราะว่าความทรงจำดีๆมนุษย์มันจะจำมันอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหากว่า
อีกคนเป็นคนสำคัญมากเหมือนกันแต่...” ไทรเด้นท์ ชามาลเว้นวรรคไปเหมือนลำบากใจที่จะพูด
เพราะว่าอาการที่จะพูดต่อไปนี้มันอาจจะฟังดูโหดร้ายและไม่สมควรที่จะใช้หากไม่จำเป็น
“ถ้าหากความทรงจำสุดท้ายที่คนๆนั้นมอบให้แกเป็นสิ่งที่เลวร้าย
ยิ่งเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตแกจะกดมันลงสู่ก้นบึ้งของความทรงจำ
ถึงฉันจะให้ยารักษาแต่ยังไงคงฝืนที่จะขุดสิ่งที่อยู่ลึกเกินไปเกินความสามารถไม่ได้
มันจะส่งผลทำให้แกจำคนๆนั้นได้ช้าและเลือนราง หรือไม่บางที...”
“...”
“แกอาจจะจำไม่ได้อีกเลย”
ร่างโปร่งบางถลึงตาเล็กน้อยเมื่อฟังสรรพคุณโรคที่ตนเองกำลังจะโดน
แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นก็กลับเข้าสู่ใบหน้าเรียบเฉยตามปกติ
ในใจก็แค่นหัวเราะยินดีไปด้วย
แต่ทว่าสีหน้ากลับไม่แย้มยิ้มเหมือนกับทั้งดีใจทั้งขมขื่น
ควรจะดีใจนะ...นี่มันคือสิ่งที่ต้องการไม่ใช่หรือไง
ความทรงจำที่เลวร้ายที่ฉันจะกดมันให้จมลง
ไม่มีทางให้มันผุดขึ้นมารบกวนฉันอีก
จำไม่ได้อีกเลย...โรคที่ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกแบบนี้...
ไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่หรอกนะ...แต่เจ๋งดีชะมัด...
“ยังคิดเหมือนเดิมอยู่รึเปล่า...ฮายาโตะ”ครูสอนพิเศษย้ำอีกครั้งหนึ่งในตอนท้ายเมื่อเห็นว่าลูกศิษย์เงียบไป
ใบหน้าสวยหวานแต่ทว่าตอนนี้เจือไปด้วยความหมองหม่นเงยขึ้นสบตา
ดวงตาสีมรกตสั่นคลอนเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเป็นคำตอบสุดท้าย
ฟ้าคงลิขิตมาแล้วสินะ...ให้ฉันต้องเจอเรื่องแบบนี้
ไม่เป็นไร...ฉันฝืนธรรมชาติของชีวิตมากพอ
ฝืนต่อโลกความเป็นจริงมามากมาย
แค่เชื่อในชะตาชีวิตแค่ครั้งเดียว
แค่ทำตามที่ใจตัวเองกำหนดให้ทำ โดยไม่มีใครมายุ่มย่าม
ชีวิตฉันซะอย่าง
จะมีใครหน้าไหนมาเห็นความสำคัญของมันไปมากกว่าฉัน
ไม่สิ...อย่าสำคัญตัวผิดนักเลย...ปกติมันก็เดียวดายมาตลอด...ไม่ใช่หรือไง
“แน่นอนชามาล แกน่าจะรู้จักฉันดีพอ
ฉันจะทำอะไร ก็ต้องทำให้สำเร็จ ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจฉันได้ง่ายๆ”
ถึงปากจะบอกเช่นนั้น แต่สีหน้ากลับกันอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่มีอารมณ์และความสามารถพอที่จะมาปรุงแต่งสีหน้าให้มันดูสอดคล้องกับคำพูด
มีแต่จิตใจนั่นแหละที่มันอยากจะทำ
ครูสอนพิเศษส่วนตัวมองหน้าลูกศิษย์นิ่งๆ
ภายตาสีหน้าที่ดูเหมือนไม่ยินดียินร้ายอะไรนั้นของทั้งสองคนต่างก็มีอะไรในใจอยู่
คงจะมีเพียงแต่คนอาวุโสมากประสบการณ์อย่างหมอโลกมืดเท่านั้นที่มองใจของลูกศิษย์ตัวเองออก
“กลับไปพักผ่อนก่อนฮายาโตะ
สภาพแกตอนนี้ยังไม่มีเลือดให้ยุงฉันดูดด้วยซ้ำ”
“หา...”เป็นคำพูดที่ฟังดูน่างงงวยมากมาย
พูดไม่พอยังโบกมือไล่ยิกๆประกอบอีกด้วย ตกลงไอ้หมอบ้าผู้หญิงนี่จะเอายังไงกับเขากันแน่นะ
ตอนที่เขายืดเวลาตอบ ทวงแทบตาย
ตอนเขามาตอบดันไล่ซะงั้น
“บอกแล้วใช่มั้ย
โรคนี้มันเกี่ยวข้องกับจิตสำนึกแก รอให้จิตใจแกสงบก่อน เอาซักคืนนี้ก็ได้
ถ้าแกอยากจะลืมจริงๆ ฉันก็จะให้แกลืม”
หมอแห่งโลกมืดไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไป
แต่เขาบอกให้ลูกศิษย์รอ แต่เหตุผลนั้นบอกได้ว่ามีความจริงอยู่ไม่ถึงครึ่ง
รู้ว่าผิดจรรยาบรรณ เหมือนกับหมอที่กำลังบอกเวลากินยาผิด...
แต่บอกผิดเพื่อให้ทบทวนดูว่าตัวเองเป็นโรคนั้นจริงมั้ย...
และอีกอย่าง...รอญาติผู้ป่วยมาดูใจด้วย...
มัวชักช้าอะไรอยู่ไอ้หนูทั้งหลาย...ถ้ามามาทันล่ะก็
ฉันไม่คืนฮายาโตะให้พวกแกแน่ๆ คอนเฟิร์ม!!
หอบัญชาการใหญ่ วองโกเล่แฟมิลี่
บรืน...เอี๊ยด
เสียงยางชั้นดีเบรกกับถนนหน้าหอบัญชาการจนเกิดเสียงบาดแก้วหู
เนื่องจากว่ารีบบึ่งมาทันทีที่ถึงสนามบินถ้าจะให้หยุดนิ่มๆคงจะเป็นไปไม่ได้
ประตูรถหรูประจำตำแหน่งของผู้พิทักษ์อัสนีเปิดออกทันทียังไม่ทันดับเครื่อง
เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปในห้องโถงใหญ่
ซึ่งในนั้นมีผู้พิทักษ์ทุกคนรออยู่แล้ว
รวมทั้งผู้พิทักษ์อรุณที่เพิ่งกลับมาจากวาเรียก็ด้วย
“อ้าว แรมโบ้ มาแล้วหรอ”
นภาแห่งวองโกเล่เรียกเป็นเชิงทักขณะที่คนอื่นๆยืนอยู่รายรอบ
แต่ท่าทางจะวุ่นวายอยู่น่าดูเพราะมีลูกน้องวิ่งเข้าวิ่งออกห้องอย่างต่อเนื่อง
และดูทุกคนหน้าตาเหนื่อยล้าเหมือนทำงานหนัก โดยเฉพาะนภา
เหงื่อเม็ดใหญ่ย้อยจากขมับจนถึงคาง
ดีแล้วที่มาทันในวันนี้...
“ว่าไงครับวองโกเล่
ตกลงตัดสินใจดีแล้วใช่มั้ยครับ” อัสนีถามพลางมองไปรอบๆตัว
ทุกคนอยู่ในสูทที่ดูกะทัดรัดมากกว่าทุกครั้ง ตามธรรมเนียมของมาเฟีย
แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับกำลังจะไปรบ
“อืม ใช่ ตอนนี้ทุกอย่างมันกระชั้นชิด
ใช่มั้ยมุคุโร่” นภาแห่งวองโกเล่พยักหน้ารับพร้อมบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ
ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองผู้พิทักษ์เจ้าของผมสีน้ำเงินไพลินที่กำลังนั่งไขว่ห้างจิบชาอย่างสบายใจ
เหมือนกับเวลานี้เป็นเวลาพักผ่อนตอนบ่ายๆ ดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย
ถ้าจะพูดให้ถูกคนที่นั่งติดโซฟา
คงจะมีแต่คนๆนี้คนเดียวเท่านั้น
“ครับ ใช่
ตอนนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะรวนไปหมด
ผมติดต่อกับลูกน้องที่คอยสังเกตการณ์อยู่ห่างจากคฤหาสน์ประมาณห้าร้อยเมตร
ถ้าไม่ไปตอนนี้ทุกอย่างอาจจะสายเกินแก้...ความรู้สึกของผมน่ะครับ”
สายหมอกยิ้มทั้งๆที่สิ่งที่พูดออกมามันควรจะบุกไป ณ วินาทีนี้เลยด้วยซ้ำ
ทุกคนที่ยืนอยู่รอบๆกายพยายามเก็บสีหน้าให้เรียบเฉยที่สุดเพราะว่าเข้าใจสถานการณ์ตามวิสัยของคนที่ผ่านโลกมาค่อนข้างมาก
แต่ผู้พิทักษ์อายุน้อยที่เพิ่งมาถึงนั้นกลับเก็บอาการตกใจไว้ไม่อยู่
อะไรกัน...
“อะไรครับคุณมุคุโร่...ที่ว่าสายเกินแก้”
“คึหึหึหึ เราควรจะเดาสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ล่วงหน้าน่ะครับ
ถ้ามันเกิดขึ้นมาก็คงจะทำใจได้ แต่ถ้าไม่เกิดก็ดีไป
แรมโบ้คุงอย่าห่วงไปเลยครับ...มันก็แค่การคาดการณ์”
“ซาวาดะ
ฉันว่าตอนนี้เราไม่มีเวลาพอที่จะมานั่งคุยกันแล้วนะ
อีกอย่างแรมโบ้ก็มาถึงแล้วเราควรต้องบุกกันสักที ถ้าเป็นอย่างที่โรคุโดเดาขึ้นมามันจะแย่เอา”
ผู้พิทักษ์อรุณที่เป็นคนอาวุโสที่สุดเร่ง ถึงแม่เขาจะเป็นคนที่ไม่เชื่อในโชคชะตา
แต่ก็อดจะหวั่นไม่ได้อยู่ดี
อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ...
แต่คงไม่ใช่เพราะการกลั่นแกล้งของพระเจ้า...แต่เป็นการกระทำทุกอย่างของเราทั้งนั้น
“ครับ อย่างว่าตอนนี้เราไม่มีเวลาแล้ว
เราต้องไปถึงฟิลบาโลเน่ให้เร็วและแทรกซึมไปช่วยโกคุเดระคุงให้เร็วที่สุด
ดังนั้นพอใกล้ถึงจุดหมายผมจะติดต่อทุกคนด้วยหูฟังไร้สายนี้”
นภาแห่งวองโกเล่ชี้ไปที่หูฟังขนาดเล็กที่มีไมค์มาจ่อถึงปาก
ที่หูของผู้พิทักษ์ทึกคนมีหูฟังที่เชื่อมต่อกันใส่เอาไว้ทุกคน
“พร้อมนะทุกคน...เอ่อคุณดีโน่ครับ”
ก่อนที่จะไปสู่สมรภูมิ
นภาแห่งวองโกเล่หันกลับมาหาม้าพยศที่ยืนอยู่มุมห้องพร้อมกับกำลังเสริมอย่างสควอโล่และฟราน
“ขอบคุณทุกอย่างเลยนะครับทั้งสามคน”
นภาแห่งวองโกเล่โค้งศีรษะเล็กน้อยพร้อมกล่าวคำขอบคุณออกมาจากใจ ม้าพยศยิ้มออกมาบางๆก่อนจะเอื้อมมือไปจับไหล่รุ่นน้องไว้แน่น
“สึนะ ขอโทษนะ
เรื่องนี้มันคือปัญหาภายในของแฟมิลี่ของนาย
พันธมิตรอย่างฉันคงจะไปเกี่ยวข้องไม่ได้ คงจะช่วยนายได้เพียงเท่านี้
และอีกอย่างเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับวาเรียด้วย ถึงจะเป็นวองโกเล่ด้วยกัน
แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่นายต้องรับผิดชอบในฐานะบอส...ไม่สิ...ไม่ใช่บอสอย่างเดียว”
ม้าพยศยิ้มกว้างเข้าไปอีกเมื่อนึกคำๆหนึ่งที่มาควบคู่กับความสัมพันธ์นี้เสมอ
ไม่ใช่แค่บอส...
“แต่มันในฐานะเพื่อนด้วย”
“ครับผมจะพยายาม”
นภาแห่งวองโกเล่ยิ้มให้รุ่นพี่แต่ไม่ทันที่จะเดินกลับ ก็มีเสียงๆหนึ่งเรียกไว้
ฉลามคลั่งแห่งวาเรียผลักอกของเพื่อนร่วมอายุของตนเองออกไปก่อนจะชี้นิ้วมาที่หน้าของนภาอย่างพอดิบพอดี
“ไอ้หนู!!! ฉันไม่อยากจะพล่ามอะไรให้แกฟังมากหรอกนะ
แต่ไหนๆแกก็จะไปเสี่ยงตายถ้าไม่ได้กลับมาคงจะน่าเสียดายแย่
จำใส่กะโหลกกะลาของแกเอาไว้ มือขวาคืดคนที่บอสไว้ใจมากที่สุด
และมือขวาเองก็เคารพและภักดีต่อบอสอย่างที่สุดด้วย หากแกไม่มีมัน
แกก็เหมือนตัดมือขวาของตัวเองทิ้งไป แกจะทนได้เรอะ
หากวันใดวันหนึ่งมือแกด้วนจนไม่มีปัญญาทำงาน
ถึงแม้มันจะมีมือเทียมเข้ามาแทนที่...”
ฉลามคลั่งแห่งวาเรียขยับมือกลของตัวเองเล็กน้อย
ก่อนจะพูดต่อ
ดวงตาสีน้ำแข็งนั้นประกายความแข็งแกร่งแห่งความเป็นนักดาบที่ไม่มีวันยอมแพ้เสมอ
“แต่ก็คงสู้มือจริงๆไม่ได้หรอกว่ะ
จริงมั้ย?”
“นั่นสินะครับ รุ่นพี่”
ไม่ทันที่จะได้คิดอะไร เด็กหนุ่มหน้าหวานผมสีเขียวน้ำทะเลก็ขัดขึ้นมาซะก่อน
ดวงตาสีเดียวกับผมเงยขึ้นมานภาอย่างเรียบเฉยแต่มันก็ไม่ใช่สายตากวนๆอย่างที่เคยเห็นทุกวัน
“ผบ.
เค้าเปรียบเปรยอะไรเข้าใจยากจังนะครับ ถึงแม้ผมจะไม่ค่อยได้เจอรุ่นพี่โกคุเดระบ่อย
แต่ก็ได้ยินกิตติศัพท์ว่าเป็นรุ่นพี่ที่ขี้บ่น จ้ำจี้จ้ำไชในการงานมาก
ถึงแม้จะน่ารำคาญไปหน่อย แต่พอไม่มีรุ่นพี่โกคุเดระมันก็น่าเบื่อนะครับ
หอบัญชาการใหญ่วองโกเล่ได้เดินงานช้าเป็นเต่าแน่ๆ”
แม้จะเป็นคำพูดที่ไม่ได้ฟังดูซึ้งอะไร
ต่างคนก็ต่างประโยค ต่างถ้อยคำ...
แต่ทุกคนก็มีความหมายเดียวกัน...
ต้องนำสายลมแห่งวองโกเล่กลับมาให้ได้!!!
“ขอบคุณนะทุกคน” นภาแห่งวองโกเล่ยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินหันหลังกลับไปขึ้นรถคันแรกสุดที่มาจอดรับ
รถหรูราวสี่ห้าคันเคลื่อนที่ออกจากประตูรั้วจนลับไกลสุดสายตา
โดยบนคฤหาสน์ห้องประจำของนภาแห่งวองโกเล่
มีร่างหนึ่งกำลังยืนกอดอกยกกาแฟขึ้นจิบอยู่ตรงริมหน้าต่าง
สายตาทอดมองตามรถจนมันเหลือคันเล็กลงๆ ในที่สุดก็มองไม่เห็น
มุมปากยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ
“โตไปอีกขั้นแล้วสินะ
ทีนี้ก็เหลือแต่รอดูผลอย่างเดียว”
สอบผ่านหรือไม่ผ่าน...
หรือว่า...
.
.
ไม่ทันสอบ...
คฤหาสน์ฟิลบาโลเน่แฟมิลี่ ห้องของ Dr.
ชามาล
22.59 น.
ถึงเวลาแล้วสินะ...
“นี่ ฮายาโตะ แกตัดสินใจแล้วจริงๆสินะ”
หมอแห่งโลกมืดถามลูกศิษย์อีกครั้งเพื่อความแน่ใจในช่วงเวลาสุดท้าย
นับเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
ถามว่าหมออัจฉริยะที่ไม่เคยผูกมัดกับแฟมิลี่ใดคนนี้กำลังรออะไรบางอย่างอยู่อย่างนั้นหรอ
กำลังรอที่จะได้เห็นวองโกเล่มาทวงสายลมนี้คืนไปใช่หรือไม่
คำตอบ...ก็คือ...
ไม่ถูกซักทีเดียว
เขาไม่ได้มีจิตใจคิดสงสารพวกวองโกเล่ที่กำลังตะบี้ตะบันหาสายลมแทบพลิกแผ่นดิน
คนอย่างไทรเด้นท์ ชามาลที่ใช้โรคร้ายคร่าชีวิตผู้คนไม่ใช่คนใจดีถึงขนาดนั้น
แต่เขาก็แค่อยากเห็นเท่านั้นเอง
อยากเห็นในสิ่งที่ทุกคนปรารถนาที่จะได้เห็นมัน...อยากเห็นในสิ่งที่ทุกคนช่วยกันส่งเสริมมันขึ้นมา...
ความสามารถของนภาแห่งวองโกเล่และผู้พิทักษ์!
ฝีมือในการต่อสู้
ตั้งแต่ยังอ่อนปวกเปียกจนกลายมาเป็นบอสแฟมิลี่ก็เคยเห็นมาแล้ว...แต่ในสิ่งที่ไม่เคยเห็นก็คือ...
การขาดคนสำคัญไป
และพยายามดิ้นรนเพื่อได้สิ่งนั้นคืนมา...
อยากเห็นจริงๆ
“นี่ ไอ้หมอบ้า!
แกถามฉันกี่รอบแล้วฟะ ตกลงแกจะเอายังไงกับฉันเนี่ย!!!”
แต่ดูเหมือนจะไม่ทัน...แล้วสินะ
หึ...น่าเสียดาย
“อืม เอาอย่างนั้นเลยก็ได้ มานั่งตรงนี้สิ”
หมอแห่งโลกมืดเลื่อนเก้าอี้ของตนเองและลูกศิษย์ให้หันเข้าหากัน
ร่างโปร่งบางค่อยๆทรุดตัวนั่งกับเก้าอี้นวมนุ่ม
หัวใจของเขาสูบฉีดเลือดมากกว่าปกติ
ช่องท้องโหวงเหวงไปหมดเหมือนไม่มีเครื่องใน ฝ่ามือซีดขาวเริ่มมีเหงื่อออก ยิ่งเห็นเม็ดแคปซูนซึ่งตอนนี้อยู่ในมือของครูสอนพิเศษแล้วยิ่งตื่นเต้นไปกันใหญ่
นี่เขากำลังกลัวหรอ...
อืม...ใช่ กลัว
ไม่ได้กลัวว่าจะโดนไทรเด้นท์มอสกีโต้เจาะเลือดแล้วจะเจ็บกว่ายุงเท่าไปกัด
แต่กลัวในวันข้างหน้าต่างหาก เขาห่วงหลายๆอย่าง
ห่วงว่ารุ่นที่สิบจะมีคนดูแลหรือไม่ จะมีคนมาทำตำแหน่งแทนเขาแล้วทำได้ดีหรือห่วยกว่าเขา
ห่วงงาน ห่วงตึก ห่วงเรื่องประสบการณ์ของผู้พิทักษ์รุ่นน้องอย่างอัสนี
ห่วงความเหลวไหลตอนว่างงานของสายหมอก ห่วงความทำอะไรเกินพิกัดของอรุณ
ห่วงความไม่ยินดียินร้ายของเมฆาที่แสนเย็นชา...
จากเมื่อก่อนไม่เคยสนใจ...ไม่เคยมอง
ไม่เคยคิดที่จะห่วงใครแบบนี้
แต่ว่าตอนนี้กลับห่วงทุกๆอย่าง
ไม่เป็นไรหรอก...ไม่มีอะไรเกิดขึ้นร้ายแรง
ทุกอย่างต้องเหมือนเดิม ฉันเชื่อ เชื่ออย่างนั้น
“เอาแล้วนะ” เล็บนิ้วชี้ของไทรเด้นท์
ชามาลจิกตรงรอยต่อของเม็ดแคปซูนแล้วงัดมันออกดังเพียะ
ยุงสามง่ามที่เลื่องลือบินออกมา ปีกของมันกระพืออากาศอย่างแรงจนได้ยินเสียงดังหึ่ง
ยุงตัวน้อยบินเข้าหาเป้าหมายก่อนจะเกาะไปที่เรียวแขนขาวๆ แล้วเจาะ
วินาทีที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
วินาทีที่เขาเสียเลือดเพียงเล็กน้อย
รู้สึกคันๆตามปกติ แต่มันจะมีผลอันมหาศาลต่อชีวิต ร่างโปร่งบางปิดเปลือกตาลง
ปล่อยให้ยุงตัวนั้นเจาะดูดโลหิตของเขาจนหนำใจแล้วบินกลับไป
เปลี่ยนใจไม่ได้แล้วสินะ...ฉันต้องรับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่นาทีนี้
ชะตากรรมที่ไม่รู้จักคนสำคัญแม้แต่คนเดียว
อึก!
แปล๊บ!
“โอ๊ยยยยย!!!!” ร่างโปร่งบางเอามือกุมหัวสีเงินของตัวเอง ดวงตาคู่นั้นหลับปี๋ด้วยความเจ็บปวด
ความเจ็บปวดเหมือนมีคีมเหล็กอันใหญ่มาบีบศีรษะแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ ในหัวมันค่อยมีหมอกรางๆมาบดบังจนขาวโพลน
เจ็บปวด... ร้อนรุ่ม... ทรมาน
“ยาออกฤทธิ์แล้วล่ะ แกทนสักสามนาที
แล้วแกจะไม่รู้สึกอะไรเลย” ไทรเด้นท์ ชามาลยืนมองลูกศิษย์ที่ดิ้นทุรนทุรายกับพื้นด้วยฤทธิ์ยาอย่างเรียบเฉย
หากทนได้สามนาที โรคมันจะออกฤทธิ์โดยสมบูรณ์
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก”
ร่างโปร่งหวีดร้องลั่น เมื่อหัวนั้นมันบีบหนักเข้าไปอีก
เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆฉีดเลือดร้อนอย่างบ้าคลั่ง
ภาพบางอย่างไหลเข้ามาในหัวไม่หยุด ตอนนี้เขาไม่ได้ยินอะไรเลย เห็นเพียงอย่างเดียว
ภาพ...อะไรน่ะ!!!
“โกคุเดระ อย่าเล่นดอกไม้ไฟตอนนี้สิ
เดี๋ยวก็ไม่พอตอนหน้าร้อนหรอก...”
“ฮ่าๆๆ นายนี่ตลกกว่าที่คิดนะ”
“การที่นายทำแบบนั้นมันเหมือนเป็นการยัดเยียดความรับผิดชอบให้สึนะเพียงฝ่ายเดียว
มือขวาที่ไม่เห็นความสำคัญของคนอื่นน่ะ ไม่สมควรจะเป็นมือขวาหรอก!”
ใคร...เสียงใครกัน! ทำไมมีแต่เสียงๆนี้
“สัญญากับฉันว่านายจะดูแลตัวเองให้ดี
อย่าทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบหลายวันก่อนอีก สัญญาว่าอย่าหักโหมทำงานจนดึกจนดื่น
สัญญาว่าห้ามอดข้าวอดน้ำ สัญญาว่าจะ...”
สัญญาอะไร? ใคร แกเป็นใครกัน!!!
“ไม่น่าเชื่อนะ ว่านอกจากนายจะทรยศแฟมิลี่แล้ว
ยังลืมคนที่รู้จักกันมาเป็นสิบปีได้อีก เก่งจังเลย”
ไม่ไหวแล้ว
ไม่ไหวแล้ว พอซักที!!!!!!!!
“ฮึก”
ตุ้บ!
ร่างกายเพรียวนิ่งไปราวกับคนไร้สติ
เขาสลบไปพร้อมๆกับยังมีหยาดเหงื่อและคราบน้ำตาอาบอยู่ทั่วใบหน้า
ต่อไปนี้เขาจะไม่มีวันทรมานอย่างนี้อีกแล้ว
และไม่มีวันนึกภาพแบบนี้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง
เพราะ...
ความทรงจำที่ทวนใหม่เมื่อสักครู่
จะถูกดันลงไปให้ลึกที่สุดของความทรงจำ ไม่มีใครสามารถที่จะยกมันกลับขึ้นมา
และความจำเกี่ยวกับคนสำคัญทุกๆอย่างของร่างโปร่งบางจะไม่มีทางผุดขึ้นมาอีก...
มันจะเลือนหายไป...ตลอดกาล
การตัดสินใจลบความทรงจำที่เด็ดเดี่ยวและทรมาน
ไม่มีใครมาเห็นและรับรู้นอกจากครูสอนพิเศษและลูกศิษย์
สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตมันถูกลืมเลือน สิ่งสำคัญที่หมอแห่งโลกมืดคิดว่ามาไม่ทัน
ใครจะทราบได้...
ว่า...วินาทีที่ร่างโปร่งบางโดนยุงกัดนั้น
รถประจำตำแหน่งของผู้พิทักษ์วองโกเล่ทุกคันได้เข้าเขตของฟิลบาโลเน่พอดี...สายตาทุกคู่เฝ้ามองทางเข้าของคฤหาสน์หลังนี้
ด้วยความไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น
แต่...
กว่าจะพร้อม...ก็สายไป
TBC…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น