Project: Happy birthday J Yuu [YuuYuu]
S.Au.Fic KHR 8059
Dark Fantasy Drama
NC-17
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
The
clock of Vivien
The
clock of Vivien : 01
ณ
สถานที่แห่งหนึ่งที่ใครบางคนว่ากันว่ามีอยู่จริง
แต่ใครบางคนก็ว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าสืบต่อกันมา....
เสียงดนตรีประโคมไพเราะเสนาะโสต
ท่วงทำนองแห่งเครื่องสายไวโอลินขับลำนำให้อารมณ์ที่เศร้าสร้อย
อ้างว้างและเปลี่ยวเหงา
หากแต่ว่าเป็นอารมณ์คีตบรรเลงช่วยให้ผ่อนคลายและเพลิดเพลินที่สุดในยามนี้
ในห้องหรูงดงามด้วยเครื่องใช้สอยยุคกรีกโบราณคลาสสิค
ทั้งนาฬิกาลูกตุ้มเรือนมหึมาสีดำดุจอัญมณีนิล ตัวเรือนสลักเสลาเป็นลายเทพเจ้า
ทว่ามิใช่เทพเทวาที่สถิตย์ในสรวงสวรรค์
หากแต่ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความตายผู้เป็นเจ้าบัลลังก์ปรภพ
กลางห้องมีโต๊ะขาใหญ่สีทองลายหัวกะโหลกกับเก้าอี้นวมบุสักหลาดสีแดงพนักทองที่ลายเข้าชุดกัน
แจกันใบสูงใหญ่เขียนลวดลายวิจิตรบรรจง
กระถางกำยานส่งกลิ่นหอมรัญจวนอบอวลไปทั่วห้อง ทุกสิ่งล้วนแต่มีกลิ่นอายความเก่าแก่
น่าเกรงขามแฝงไว้ในความสวยหรู
แม้แต่เครื่องบรรเลงเพลงในขณะนี้ยังคงความเสนาะเพราะพริ้งแม้รูปร่างลักษณะคือเครื่องบรรเลงที่เป็นที่นิยมเมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมา
บนเก้าอี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่
ดวงหน้าหวานเกินกว่าบุรุษเพศขาวกระจ่างปรกด้วยเรือนผมสีเงินยวงราวกับสีของแสงจันทร์บลูมูนที่ยาวไล้เคลียลำคอเนียนระหง
ร่างเพรียวบางอยู่ในชุดสูทสีดำที่สวมเสื้อเชิ้ตสีแดงโลหิตไว้ข้างใน
กระดุมสองเม็ดบนถูกปลดเพื่อความผ่อนคลายเผยให้เห็นผิวอ่อนที่ถูกขับด้วยอาภรณ์ให้สว่างผ่องเข้าไปอีก
เค้าหน้าที่ค่อนไปทางงดงามยามนี้หลับตาอย่างนิ่งงัน
คิ้วโค้งโก่งรับกับแพคนตาได้อย่างไร้ที่ติ ริมฝีปากสีแดงจัดด้วยสีโลหิตสดเรียบตึง
คางเรียวค้ำจุนเอาไว้ด้วยหลังมือบางที่เท้าบนโต๊ะกำมะหยี่เคลือบด้วยกระจกแก้วขาทองคำ
เปลือกตานิ่งสงบบ่งบอกว่าเขากำลังปล่อยให้ห้วงจิตถูกขับกล่อมด้วยท่วงทำนองแห่งบทเพลงโศกศัลย์
ปิดกั้นความรู้สึก...ไม่แยแสต่อสิ่งภายนอก
ก๊อกๆ
“ท่านพี่ฮายาโตะ
ท่านพี่ฮายาโตะคะ” เสียงเคาะประตูดังกังวานแทรกด้วยน้ำเสียงเล็กๆของเด็กสาวแรกรุ่นดังขึ้นหน้าประตู
เจ้าของชื่อค่อยๆเปิดเปลือกตา เผยให้เห็นดวงตาสีเขียวมรกตใสกระจ่างไร้มลทิน และไม่มีอาการง่วงงุนอยู่ในดวงตางามคู่นั้นเลย
ราวกับว่าที่เขาหลับตาไปนั้นเป็นเพียงการพักสายตาเท่านั้น
มือเรียวยกค้างขึ้นกลางอากาศก่อนจะเลือนโบกเบาๆ
พลันประตูไม้สนซีดาร์ก็เปิดเสียงดังแอ๊ดอย่างช้าๆ
กลุ่มหมอกสีขาวที่ล่องลอยกรอมข้อเท้าที่อวลอยู่เต็มห้องค่อยไหลลอยออกไปข้างนอก
เจือจาง...บางเบา ไม่มีทางพบเห็นได้ในโลกธรรมดาเช่นโลกมนุษย์
ร่างบางลุกขึ้นไปปิดเพลง
พร้อมๆกับสาวน้อยที่เรียกเขาว่าพี่ย่างกรายเข้ามาในห้อง เธอหน้าตาสดสวยน่ารัก
อ่อนเยาว์ เรือนผมบิดเกลียวเป็นคลื่นสีบลอนด์ทองยาวสลวยเคลียเอวบาง เธออยู่ในชุดกระโปรงลูกไม้สีดำยาวเครือเข่าแขนกุดอวดเรียวแขนบางขาวผ่อง
รับกับถุงน่องสีดำสนิทและรองเท้าบูตสั้น ตรงคอเสื้อมีริบบิ้นสีแดงไขว้กันอยู่ยึดเอาไว้ด้วยกระดุมรูปหัวกะโหลกสีเงินวาววับ
หากมองการแต่งตัวแล้วแม้จะทำให้เธอดูตัวเล็กน่าทะนุถนอม
แต่ก็อึมครึมลึกลับไม่เหมาะกับวัยที่เพิ่งแตกเนื้อสาวสะพรั่ง
“ขออภัยค่ะ
ท่านพี่ ฉันไม่รู้ว่าท่านพี่อยู่ในเวลาพักผ่อน” เธอยิ้มเจื่อน
เมื่อเดินเข้ามายังคงได้ยินเสียงเพลงก่อนที่จะถูกปิดลงและอย่างแน่นอนที่สุดท่านพี่ของเธอต้องกำลังเข้าสู่ห้วงนิทราเป็นแน่
“ไม่เป็นอะไร
อายูมุ...” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางอ่อนโยน ยิ่งทำให้ดวงหน้าละมุนน่ามองไปอีกหลายเท่า
เขาเลื่อนเก้าอี้นวมตัวตรงข้ามออกเพื่อให้เด็กสาวนั่ง ดวงตาสีมรกตทอดมองอย่างสงสัย
“มาหาพี่ถึงที่นี่ มีอะไรหรือ?”
“อยากให้ท่านพี่ไปสำนักงานตอนนี้หน่อยค่ะ
ฉันเห็นแล้วทนไม่ไหว สถิติของอาณาจักรจะวิบัติก็คราวนี้” คิ้วเรียวของสาวน้อยขมวดกันเป็นปมตามอารมณ์ที่คุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆ
ใบหน้ามุ่ยสะบัดไปมาท่าทีหัวเสียอย่างถึงที่สุด แต่ถึงกระนั้นพี่ชายใจเย็นของเธอยังคงวางอารมณ์เรียบเฉยเหมือนเดิม
มีเพียงแววตากระจ่างสวยคู่นั้นที่ช่วยปลอบประโลมให้เธอสงบ
“ความตายคือจุดสิ้นสุดของวัฏจักรชีวิตๆหนึ่ง
หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรชีวิตใหม่ต่อไป ความตายไม่มีกฎเกณฑ์
ไม่สามารถคำนวณเป็นสถิติที่แน่ชัดได้ไม่ใช่หรือ?”
“ท่านพี่ฮายาโตะก็...”
เด็กสาวบู้ปาก นึกงอนที่พี่ชายยังคงไม่เข้าใจ
“ที่ฉันอยากให้ท่านพี่ดูเป็นสถิติของสาเหตุการตาย
ที่แสนจะฉ้อฉลและฉาบฉวยที่มันทวีคูณขึ้นหลายเท่าต่างหากล่ะคะ”
คำว่า
“ฉ้อฉลและฉาบฉวย” ทำให้ดวงหน้าหวานละมุนเครียดขึ้นทันตา เขาพยักหน้าเนิบๆรับรู้
มือเรียวคว้าเสื้อคลุมสีดำสนิทที่พาดอยู่บนเก้าอี้สะบัดพรึ่บคลุมไหล่มน
แล้วผูกริบบิ้นสีแดงที่คอให้เรียบร้อย
โดยที่ไม่ลืมกลัดกระดุมสีเงินประกายรูปหัวกะโหลกอันเป็นสัญลักษณ์แห่งเผ่าพันธุ์และหน้าที่
ชายหนุ่มและเด็กสาวอาภรณ์สีรัตติกาลย่างกรายออกจากห้อง
แต่ละย่างก้าวของพวกเขาเงียบงัน เงียบงันเสียยิ่งกว่าเสียงสายลมรำเพยพัด
ไม่มีสิ่งมีชีวิตหรือจิตวิญญาณผู้ใดปรารถนาจะได้ยินและสัมผัสการดำเนินผ่านของพวกเขา
ก้าวย่างแห่งบุตรและบุตรีของเจ้าดินแดนโลกันตร์...
ดินแดนแห่งนี้
กลบกลิ่นอายไปด้วยความโศกเศร้า โหยหา คะนึงคิด และคร่ำครวญร่ำไห้
ท้องนภาเบื้องบนมืดดำสนิทเป็นยามราตรีทุกเวลา ไร้ซึ่งแสงดาวดารดาษ
ปราศจากแสงจันทราที่นุ่มนวล อ่อนโยน
สายลมเย็นกรีดร้องอื้ออึงต้อนรับทุกครั้งที่แม่น้ำสายใหญ่สีดำมืดเนื่องมาจากความลึกที่แสนจะคณานับมีเรือแจวลำเพรียวมาจอดเทียบท่าหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่มหึมาสีนิลกาฬมันเลื่อมโอ่อ่า
โครงร่างมันวางตัวอย่างสง่างามเชื่อมกันเป็นสาวส่วนมองคล้ายตัวอักษรซี
ศิลปกรีกโรมันอารยธรรมคลาสสิคสลักเสลาตามหัวเสาต่างๆได้อย่างสวยหรูล้ำค่า
กระจกแก้วพรายระยับแม้ไม่สะท้อนแสงใดหากแต่เปล่งประกายได้เองในที่มืดมิด
เช่นเดียวกับผีเสื้อสีขาวสว่างนับหลายสิบตัวที่บินอ้อยอิ่งขยับปีกร่ายรำทั่วคฤหาสน์ยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้น่าใหลหลงและมีเสน่ห์ลึกลับชวนค้นหา
ที่นี่คือ
ดินแดนพิพากษาที่เที่ยงธรรมสูงส่งยิ่งกว่าศาลใดๆจะเปรียบเทียบได้
ที่นี่คือ
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นประตูสู่โลกหน้า จะเสวยสุข เคว้งคว้าง
หรือทรมานไปชั่วกัปป์ชั่วกัลป์
และพวกเขาที่ปกครองดินแดนแห่งนี้คือผู้คุมชะตาถึงฆาตของทุกสิ่งมีชีวิต...
...ยมทูต...
โกคุเดระ ฮายาโตะ บุตรชายแห่งองค์เทพผู้ปกครองดินแดนโลกันตร์
ผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ทรงจิตวิญญาณยุติธรรม สูงส่งและสง่างาม
ใบหน้ารูปสลักแม้จะรูปงามมีเสน่ห์เย้ายวนชวนมองอย่างเผลอไผล
แต่เขาก็ไม่เคยแสดงกริยาใจอ่อนสมกับใบหน้าให้แก่ผู้ใด แม้จะเจอวิญญาณที่โหยหวนอ้อนวอนเจียนใจจะขาด
หรือหลั่งน้ำตาจนเป็นสายเลือดก็ตาม นัยน์ตาสีเขียวยังคงเฉยชาไม่หวั่นไหว
จิตใจอันอ่อนโยนไม่ใช่ว่าเขาไม่มี แต่ ณ สถานที่นี้
เหตุการณ์และหน้าที่นี้ไม่สามารถแสดงอาการเวทนาเช่นนั้นออกไปได้
แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ
นอกเสียจากวิญญาณมนุษย์ที่สูญเสียจิตวิญญาณและความรู้สึกพื้นฐานทั้งสี่ไปแล้ว
ใครๆก็ปรารถนาจะได้พบปะเจอหน้ากับเจ้าชายผู้งดงามที่แสนจะตงฉินคนนี้
แม้รู้ว่าวิญญาณของเขาอาจจะถึงฆาตแล้วถูกกระชากลงสู่นรกก็ตาม
เช่นเดียวกับ โยชิคุนิ อายูมุ น้องสาวสายเลือดเดียวกันที่กำลังเดินอยู่เคียงข้าง
เธอไม่เพียงแต่ดำรงฐานะเจ้าหญิงแห่งดินแดนความตายผู้สูงศักดิ์ หากแต่ยังเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเขาด้วย
แม้บางครั้งแม่น้องสาวตัวดีจะแอบโดดงานตามประสาความเกียจคร้านของสาวน้อยวัยรุ่น
พวกเขาเดินเข้าไปในห้องๆหนึ่งซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดของปราสาท
ห้องนี้คือหัวใจสำคัญที่มีผลต่อการทำงานของยมทูตทั้งอาณาจักร
“ก่อนที่จะดูเอกสาร ฉันอยากให้ท่านพี่สนใจสิ่งนี้ก่อนค่ะ”
ทั้งสองทายาทแห่งดินแดนโลกันตร์ยืนอยู่หน้าชั้นตั้งตระหง่านสูงหลายสิบชั้นจนเกือบถึงเพดาน
ไม่เพียงเท่านั้น
ความยาวของมันยังทอดตัวตั้งแต่ผนังห้องฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
และชั้นเหล่านี้มีอยู่หลายหลังวางเรียงกันจนเต็มห้อง และสิ่งที่วางบนชั้นนั้นเป็นหีบใบเล็กๆสีดำพันธนาการอย่างแน่นหนาด้วยโซ่ตรวนสีทองอร่ามและแม่กุญแจลวดลายงดงาม
“ขอวิญญาณดวงล่าสุด unusual
death รหัส 248796 ขอลูกกุญแจให้ฉันด้วย”
อายูมุหันไปพูดกับชายคนหนึ่ง
ร่างของเขาคลุมมิดด้วยเสื้อคลุมสีดำสนิทพร้อมปิดบังศรีษะจนมิดทำให้มองไม่เห็นหน้า
มีเพียงปลายจมูกงุ้มที่โผล่พ้นมาเท่านั้น
ชายผู้ดูแลค้อมตัวทำความเคารพก่อนจะหยิบหีบใบล่างสุดส่งให้พร้อมลูกกุญแจสีเงินรูปร่างเรียวยาว
เธอไขกุญแจแล้วเปิดหีบออกอย่างบรรจง
พลันก็ปรากฎกลุ่มหมอกควันสีขาวล่องลอยออกมาจากหีบ
แล้วเกาะกันเป็นรูปร่างของเด็กสาวคนหนึ่ง
รูปร่างเธอโปร่งแสงจนมองเห็นทะลุข้างหลังได้ ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกไร้แววตาไม่ได้มองมายังโกคุเดระหรือผู้ใดทั้งสิ้น
เธอคือวิญญาณ...วิญญาณดวงล่าสุดที่เพิ่งเดินทางมาถึงดินแดนโลกันตร์
“มนุษย์สาวคนนี้คือ ซันญ่า บูฮอร์ก เธอจบชีวิตลงเมื่อสองชั่วโมงก่อนด้วยวัยเพียงสิบแปดปี
ฉันได้ไปสอบถามเหล่ามอยเรมาแล้วค่ะท่านพี่
พวกท่านมอยเรบอกว่าเด็กคนนี้ชะตายังไม่ถึงฆาต
ด้ายชีวิตของเธอในตอนนี้ยังไม่ขาดสะบั้น แต่สิ่งที่พรากเอาวิญญาณของเธอก็คือสิ่งนี้ค่ะ”
อายูมุจับคางวิญญาณซันญ่าแล้วบิดให้หันไปทางขวาเบาๆ
เผยให้เห็นร่องรอยบ่งบอกสาเหตุการถึงฆาตอย่างไม่เป็นธรรมชาติ...มันยังประทับอยู่อย่างเห็นได้ชัด
เป็นรูเหมือนถูกบางสิ่งบางอย่างเจาะเป็นสองรอยคู่กันบนซอกคอของเธอ...
รอย...เขี้ยว
ดวงตามรกตกระจ่างหรี่ลงเพ่งพินิจ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองน้องสาวของเขาอีกครั้ง
เขาพอจะรู้แล้วว่าทำไมซันญ่าถึงได้ตายทั้งๆที่เส้นด้ายชีวิตยังไม่ถูกพวกมอยเรตัด
เพราะเธอตาย...เหมือนไม่ตาย ร่างกายของเธอในยามนี้ยังเคลื่อนไหวได้
แม้ไร้ซึ่งดวงวิญญาณ
แปรเปลี่ยนจากมนุษย์...ไปเป็นพวกฝืนกฎธรรมชาติ
หลงคิดว่าตัวตนเป็นอมตะแต่อันที่จริงแล้วร่างกายที่ยังคงอยู่ไม่แก่ไม่เหี่ยวนั้นคือศพเสียต่างหาก
ซ้ำยังต้องดำรงชีวิตด้วยโลหิตรสหอมหวานโอชาลิ้น...
แบ่งปันตราบาปให้กับผู้อื่นอีกแล้วรึ...
แวมไพร์...
“เจ้าวิปริตพวกนั้นน่าโมโห!” เจ้าหญิงแห่งแดนโลกันตร์ร้องพร้อมดึงวิญญาณเด็กสาวผู้เคราะห์ร้ายลงสู่หีบผนึกวิญญาณแล้วล็อคกุญแจเรียบร้อย
เธอปัดผมที่เคลียลาดตามลำตัวด้านหน้าให้ไปทิ้งตัวสยายกลางหลังดังเก่า
ริมผีปากแดงเล็กยังบ่นไม่หยุด
“ไม่รู้รึยังไง
ว่าวิญญาณของมนุษย์ที่ถูกเจ้าพวกนั้นกัดแล้วถ่ายทอดความเป็นแวมไพร์จะไม่ได้ไปผุดไปเกิด
ทั้งสรวงสวรรค์ขับไล่ ขุมนรกชั้นสุดท้ายยังไสส่ง เพราะวิญญาณเหล่านั้นไม่ได้รับการตีตราว่าพวกเขาตายแล้ว
ต้องทนทุกข์ทรมานเคว้งคว้างอยู่ในความมืดมิดในหีบผนึกวิญญาณตลอดไป ทำทุกข์ให้คนตาย
แล้วยังล้างผลาญมาถึงวิญญาณพวกเขาอีก ให้ตายสิ ไร้ความรับผิดชอบจริงๆ”
โกคุเดระฟังน้องสาวบ่นเงียบๆด้วยท่าทีที่กอดอกสุขุมเยือกเย็น
ยอมรับว่าตัวเขาเองก็หงุดหงิดไม่แพ้น้องสาว
หากไม่ใช่ว่าซันญ่าเป็นเหยื่อรายแรกของพวกอมนุษย์นั่นล่ะก็
เขาจะยอมปิดหูปิดตาทำไม่รู้ไม่เห็นก็ได้ แต่นี่...
“ยอดสถิติของมนุษย์ที่ถูกแวมไพร์กัด
ดีหน่อยถ้าหากดูดเลือดจนหมดตัวแล้วมนุษย์คนนั้นถึงฆาตมีราวๆ สองพันกว่าราย แต่โชคร้ายถ้าหากโดนกัดแล้วถูกถ่ายทอดความเป็นอมตะนั้นให้ก็ใกล้จะเหยียบหมื่นแล้วค่ะท่านพี่”
“เป็นแบบนี้ต่อไปมีแต่จะแย่
เราต้องทำอะไรสักอย่าง” ชายหนุ่มเปรยเสียงเรียบ
อายูมุพยักหน้าหงึกหงักอย่างแข็งขัน เธอล่ะ
รักสีหน้าจริงจังแบบนี้ของท่านพี่ที่สุด ถ้าคิดว่าเธอน่ะเกลียดพวกอมนุษย์ต่ำช้าพวกนั้นแล้วล่ะก็
ท่านพี่ฮายาโตะทั้งเกลียดทั้งรำคาญมันเข้ากระดูกดำมากกว่าเธอเป็นไหนๆ
“อายูมุ ไปพบท่านพ่อกันก่อน
ถ้าเรื่องที่พี่คิดท่านพ่ออนุญาต...” รอยยิ้มเหยียดหายากวาดบนเรียวปากงาม
ชุดคลุมสีดำสะบัดพรึ่บพร้อมกับเรียวขายาวก้าวเดิน
“...ดินแดนโลกันตร์ของเราจะมีแวมไพร์ตนแรกมาให้เราตัดสินชี้เป็นชี้ตายมัน!”
ห้องโถงกลางของปราสาทที่ใหญ่พอๆกับห้องเก็บวิญญาณคือที่พำนักของเจ้าบัลลังก์โลกแห่งความตาย
หากไม่ใช่ผู้บริหารระดับสูงแล้ว ไม่ค่อยจะมีใครกล้าย่างกรายมาที่นี่สักเท่าไหร่
ทั่วทั้งตารางนิ้วถูกปูด้วยพรมสีแดงฉาน ภายในห้องกว้างขวางโอ่อ่าประดับประดาไปด้วยประติมากรรมจำพวกเทพและสัตว์ในตำนานใบหน้าน่ากลัวเกรงขาม
และรูปภาพแสดงสังสารวัฏที่ราวกับสาดสีดำและแดง
ลงไปพร้อมม่านผืนหนาใหญ่กางเป็นชั้นๆ
อุณหภูมิเยือกเย็นมีหมอกล่องลอยต่ำเคลียข้อเท้า ความเงียบสงัดน่ากลัว โดยเฉพาะท่วงท่าของผู้ที่ทรงบัลลังก์อยู่บนพื้นยกระดับสูงสุด
บุรุษร่างสูงโปร่งนั่งไขว่ห้างอยู่
อาภรณ์ของเขาสีดำสนิทหากแต่แวววาวด้วยเครื่องประดับเงินทองรูปหัวกะโหลกและเคียวคร่าวิญญาณที่อกเสื้อ
เช่นโซ่เส้นเล็กสามสี่เส้นที่ห้อยยึดผ้าคลุมผืนใหญ่กับไหล่ตั้งตรงเสมอ นัยน์ตาสีแดงลึกล้ำทรงพลังที่มีอำนาจในการมองออกถึงอดีตของวิญญาณสัตว์โลกมาแล้วไม่รู้กี่ชีวิต
หากแต่โครงหน้าของเขางามสง่าละม้ายคล้ายคลึงกับโกคุเดระยิ่งนัก
เว้นเสียแต่เส้นผมที่เป็นสีแดงสว่างเช่นเดียวกับดวงตา แต่กริยาท่าทางและสีหน้านั้น
เรียกได้ว่าราวกับถอดแบบกันมา
ทั้งคู่โค้งคำนับ แววตาที่เด็ดเดี่ยวและเคร่งขรึมของทั้งคู่
ทำให้ จี เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
“พวกเจ้าไม่สบายใจกันอย่างนี้
คงจะเป็นเรื่องเดิม” น้ำเสียงรายเรียบเอ่ยขึ้น
ดวงตาสีแดงหันไปมองชายหนุ่มผู้เป็นพี่ “ทนไม่ไหวแล้วรึ ฮายาโตะ”
“ความจริง ลูกก็ไม่เคยทนกับพวกมันอยู่แล้ว
เพียงแต่พยายามเข้าใจเรื่อยมาว่าห่วงโซ่อาหารของใครๆ
เราที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความตายนั้น ไม่ควรยื่นมือเข้าไปสอด”
โกคุเดระก้มหัวให้ท่านพ่อตัวเองนิดๆ “แต่ตอนนี้จะไม่ยุ่งเห็นทีจะไม่ได้
เพราะไม่เพียงแต่มนุษย์ที่เดือดร้อน ทางเราก็ได้รับผลกระทบจากความโลภกระหายของพวกมันเหมือนกัน”
อายูมุพยักหน้าเสริมพี่ชายตนเอง เบะปากว่าต่ออย่างอดไม่ได้
“จริงค่ะท่านพ่อ ได้รับความเดือดร้อนมากกกก มากๆ มากที่สุด!!
กล่องใส่วิญญาณจะไม่พออยู่แล้ว นี่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง
ดินแดนเราได้แตก วิญญาณล่องลอยวุ่นวาย ความโกลาหลบังเกิด โอยๆ หนูไม่อยากจะคิด
มันถึงคราววิบัติชัดๆ”
“แล้วลูกคิดว่าจะทำอย่างไร” นัยน์ตาสีแดงของจีวาววับ
ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มนิดๆอย่างถูกอกถูกใจที่มันถึงเวลาสักที
เวลาที่ลูกชายผู้เด็ดเดี่ยวและตรงไปตรงมาของเขาจะออกลีลาลูบคมเจ้าพวกอมนุษย์กระหายเลือด
แล้วผู้ดั่งเป็นแขนของตาชั่งแห่งความยุติธรรมอย่างเขานั้นจะให้ท้ายทันทีดีรึ?
ก็ดีสิ มียมทูตตนไหนไม่รู้สึกชิงชังเจ้าพวกห่างไกลอายุขัยดับสูญอย่างพวกนั้นบ้าง
ขอตอบเลยว่าไม่มี
ดวงหน้างามล้ำของยมทูตผู้สูงศักดิ์ไม่แปรเปลี่ยนไปจากความเรียบเฉย
ยังคงไร้ซึ่งหัวใจแห่งความเวทนาอย่างเก่า หากแต่ในดวงตากลับกรุ่นไปด้วยโทสะบ้างเมื่อนึกถึงคู่กรณี
“มันถึงคราวที่ต้องควบคุม
ควบคุมความอมตะจนหยิ่งผยองของพวกนั้นให้เข้าใกล้ความตายขึ้นมาอีกนิด
จะได้รู้ซะบ้างว่าสิ่งที่ไม่คงทนเป็นนิจนิรันดร์
มันไม่ใช่ของที่ควรจะกระทำอย่างทิ้งขว้าง”
“ได้ยินคำพูดลูกข้าแล้วใช่หรือไม่
ท่านเลขา”
น้ำเสียงกร้าวไปด้วยอำนาจพร้อมสายตาคมปราดมองชายแก่ชุดคลุมดำที่นั่งอยู่กับโต๊ะมีหนังสือใหญ่หนาเท่าโต๊ะกางอยู่
เลขาแห่งปรภพเหยียดยิ้มนิดๆแล้วค้อมศีรษะรับ
“ช่วยเขียนจดหมายไปเชิญพวกไม่เคยตายให้ลงมาเยี่ยมเยือนที่นี่หน่อยสิ
เจาะจงตรงแถบทรานซิลวาเนีย
ตรงนั้นอัตราการตายแบบผิดปกติมีจำนวนสูงมากกว่าที่อื่นหลายเท่าตัว”
ทรานซิลวาเนีย
ปราสาทที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความรกชัฏของป่าลึก
ความงดงามหรูหราหากแต่มีไอหมอกบางๆลอยบดบังยิ่งเสริมให้เป็นปราสาทลึกลับปริศนามาที่เย้ายวนให้มนุษย์น้อยที่แสนจะโง่เขลาหลงเข้าไปติดกับ
และเมื่อเข้าไปแล้วก็ไม่มีทางกลับสู่แสงตะวันเป็นครั้งที่สอง...
และวันนี้สมาชิกของเผ่าพันธุ์รัตติกาลตนล่าสุดก็กำลังจะกำเนิดขึ้นในห้องพักผ่อนส่วนตัวของใครบางคน
ใครบางคนที่ดึงผู้อื่นเข้ามาอยู่ในวังวนแห่งความมืดมิดได้อย่างง่ายได้ไม่ต้องใช้แรงหรือสมองมากมาย
ร่างของหนุ่มสาวหนึ่งคู่กำลังกอดก่ายนัวเนีย
เสียงครางกระเส่าแว่วหวานของฝ่ายหญิงสาวผู้กำลังเพลิดเพลินกับสัมผัสของมือแกร่งที่ลูบไล้เค้นคลึงเรือนร่างนุ่งน้อยห่มน้อยของเธออย่างเร่าร้อน
เปลือกตาบางหลับพริ้ม ความรู้สึกราวกับแทบจะหลอมละลาย
แขนเล็กเกี่ยวกระหวัดรอบคอชายหนุ่มแน่นโดยที่ไม่รู้อะไรเลยว่า ตนนั้นกำลังเข้าใกล้บ่วงพันธนาการที่จะไม่มีวันหลุดออกไปได้ชั่วชีวิต
ชายหนุ่มเลื่อนมือมาเชยปลายคางมนก่อนจะบิดให้หันข้างเบาๆ
ริมฝีปากแสยะยิ้มเหยียดเผยให้เห็นเขี้ยวคมวับ
ที่กำลังเข้าใกล้เป้าหมายนั่นก็คือต้นคอขาวระหงของหญิงสาว
ซึ่งเจ้าตัวผู้เคราะห์ร้ายไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย หลงอยู่กับราคะและตัณหา
มนุษย์...มันก็จมปลักอยู่กับเรื่องแบบนี้...
“อ๊ะ กรี๊ดดดดดดดดดด!!!!” ร่างอรชรของหญิงสาวกระตุกเกร็งเมื่อดวงหน้าคมของชายหนุ่มฝังเข้ากับซอกคอ
เขี้ยวคู่นั้นกดเจาะเนื้ออ่อนๆอย่างไม่ปรานี สัมผัสที่วาบหวามไม่มีอีกต่อไป
เป็นเพียงการบีบและกดรั้งอย่างแรงเข้าที่เอวคอดเพื่อไม่ให้เหยื่อหนีไปไหน
สูบดื่มเอาเลือดที่ใช้หล่อเลี้ยงร่างกายอย่างไม่รู้จักหมดจักสิ้น
เสียงร้องครวญครางและร่างที่ดิ้นพล่านในอ้อมแขนไม่เป็นผล
เธอยังคงเป็นอาหารมื้อค่ำให้เขาต่อไปจวบจนกระทั่งร่างของเธอจะแน่นิ่งและอ่อนปวกเปียกไปราวกับตุ๊กตาผ้า
ผิวพรรณที่ขาวผ่องบัดนี้ซีดขาวจนแทบเป็นสีของกระดูก
แล้วก็ถูกเหวี่ยงทิ้งลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี
หลังมือเช็ดเลือดที่มุมปาก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเปลือกไม้วาววามด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ
หากไม่นับกริยาที่ดื่มเลือดมนุษย์เมื่อสักครู่นี้แล้ว
เจ้าของร่างสูงที่ยืนอยู่นี้ก็คือเด็กหนุ่มดวงหน้าคมหล่อเหลาในอาภรณ์ชั้นดีมีสกุล
เรือนผมสีดำสนิทถูกเซ็ทให้ตั้งขึ้นไม่เสียทรง หากแต่ว่าใบหน้านั้นไม่แสดงสีหน้าอย่างอื่นเว้นแต่การปรายมองเหยื่อที่กองอยู่กับพื้น
ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มร้ายอย่างนึกสมเพช
เหมือนเดิม ไม่มีอะไรใหม่ๆ
...น่าเบื่อ
“ถ้าเบื่อนัก ก็เลิกกินทิ้งๆขว้างๆซะสิ”
เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นพร้อมกลุ่มหมอกสีดำที่ก่อตัวขึ้นกลางห้อง
ชายหนุ่มยิ้มรับแขกผู้มาใหม่ที่ตอนนี้ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างชายวัยกลางรูปหน้าละม้ายคล้ายเขาวาดรอยยิ้มเสมือนมีจิตใจที่เอื้ออาทร
แต่ในแววตาคู่นั้นก็ไม่เคยมีความรู้สึกอบอุ่นอย่างที่พวกมนุษย์ใช้นิยามคำว่าอาทรอยู่เลย
“เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกรับประทานอาหารในห้องนอนสักที
ทาเคชิ” คำตำหนิที่ไม่จริงจังนักพร้อมกับดวงตาปรายมองเหยื่อบนพื้น
“รู้ไหมว่ามันทำให้พื้นเลอะ”
เจ้าของชื่อยักไหล่
พร้อมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตอีกสองสามเม็ดให้ผ่อนคลาย
เอ่ยถามอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก
“แล้วพ่อมีธุระอะไรกับผมล่ะ”
“มีจดหมายเชิญมา”
คนเป็นพ่อเดินเข้าไปใกล้ลูกชายแล้ววางจดหมายที่ว่าลงข้างๆเตียง
ดวงตาสีเปลือกไม้ไร้ความรู้สึกมองเพียงแวบเดียว
เพียงแค่เห็นรูปลักษณ์ของซองจดหมายแล้วก็ตราปั๊มผนึกสีกุหลาบที่บ่งบอกชัดเจนถึงเผ่าพงศ์แล้วก็รู้ได้ไม่ยากว่าถูกส่งมาจากที่ใด
เขาแค่นหัวเราะหึในลำคอแล้วเบือนหน้าไปที่อื่นอย่างไม่สนใจ
“เหมือนเจ้าไม่ไยดีเลยนะ”
บุรุษผู้สูงวัยกว่าเลิกคิ้ว “ไม่ดีเหรอ ไปเที่ยวถึงดินแดนแห่งความตายเชียวนา
และคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา เพราะเหมือนว่าจะไม่ใช่จีที่เป็นคนเรียก”
ได้ผลดวงตาสีน้ำตาลคมปราดมองบิดาของตัวเอง
หัวคิ้วมวดเป็นปมบางๆ ใช่ ปราสาทของเขาก็ช่างเป็นสถานที่กิตติมศักดิ์ที่จดหมายจากดินแดนโลกันตร์มาเชิญไปพูดคุยก็หลายครั้งแล้วโดยเจ้าของบัลลังก์ดินแดน
แต่จะเรื่องอะไรนั้น ยามาโมโตะไม่คิดจะสนใจ
และไม่เคยย่างกรายไปร่วมประชุมแม้แต่ครั้งเดียว ก็อย่างว่า
ให้ผู้ที่ไม่มีวันตายไปดินแดนแห่งความตายแบบนั้น มันดูเข้ากันซะที่ไหน
แต่ผิดกัน คราวนี้
เจ้าซองจดหมายบางๆนี่กลับเรียกรอยกระตุกยิ้มของเขาได้
“ถ้าอย่างนั้น พ่อก็ไปเองก็แล้วกัน
แต่กลับมาก็เล่าให้ผมฟังหน่อย” ....นี่ถือว่าสนใจแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้น
ก็จะปิดหูไม่รู้ไม่เห็นเหมือนเดิม และไม่คิดจะไปอยู่ดี
“เจ้าไม่อยากไปจริงๆ?” ปลายเสียงขึ้นสูงเล็กน้อย แล้วบุรุษผู้เป็นบิดาก็ถอนหายใจส่ายหน้า
ท่าทางแสดงความเสียดายอย่างที่สุด “ไม่น่าเลย
ถ้าไปคราวนี้จะได้ยลโฉมทายาทของแดนโลกันตร์แท้ๆ”
ยามาโมโตะมุ่นคิ้ว
พยายามนึกถึงทายาทคนสำคัญอย่างที่พ่อเขาว่า แต่ที่พอจะนึกออกก็ทำให้เจ้าตัวหัวเราะหึ
ส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่เอา เด็กไป...”
คนฟังได้ย่นคิ้วน้อยๆกับคำว่า ‘เด็กไป’ ของอีกฝ่าย
หวนนึกถึงคนที่เขาพูดถึงว่าก็ไม่เห็นจะเด็กกว่าเจ้าลูกชายเบื้องหน้าตรงไหน
ถ้าเทียบแล้วอายุก็คงจะพอๆกันด้วยซ้ำ แต่ในห้วงคิดของยามาโมโตะ
ทาเคชิก็คงจะอ้างความถึงเจ้าหญิงแห่งแดนยมโลก บุตรีองค์เล็กที่บัดนี้ก็ยังเพิ่งเป็นสาวแรกรุ่นที่ยังเด็กกว่าเขาหลายขุมจริงๆ
แต่มันคนละความหมายกับทายาทบัลลังก์โลกันตร์ที่ผู้เป็นพ่อกำลังเท้าความอยู่
แต่บุรุษอาวุโสกว่าก็ได้เพียงขยับยิ้มบางและไม่เอ่ยแก้ความเข้าใจผิด
นึกอยากดัดสันหลังเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ไม่ชอบออกไปเปิดหูเปิดตาสักเท่าไหร่ยกเว้นเวลาหาอาหาร
ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผล ไม่ว่าจะมีโอกาสสักกี่ครั้งก็ไม่มีทางรู้จัก โกคุเดระ
ฮายาโตะ บุตรแห่งจ้าวยมทูตทั้งงดงามสูงส่งด้วยความยุติธรรมเงียบขรึม
ความเฉยชาที่ปรากฏอยู่เสมอบนดวงหน้าละมุนนั้นไม่ว่าใครก็ปรารถนาที่จะชิดใกล้
....น่าเสียดาย แต่ก็ช่วยไม่ได้
ผู้ที่ควบคุมสังสารวัฏ
กับผู้ที่อยู่นอกเหนือวัฏจักรนั้น ดุจมิติที่ไม่สามารถเวียนบรรจบพบพานกัน
เพราะฝ่ายหนึ่งคือผู้ที่เข้าใจทุกการดับซึ่งสังขารของสิ่งมีชีวิต...แต่อีกฝ่ายคือผู้ที่ไม่รู้ ว่าสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้นมันคืออะไร
โดยเฉพาะยามาโมโตะ ทาเคชิ
แวมไพร์หนุ่มผู้ไร้หัวใจ ที่ไม่เคยมองเห็นว่าชีวิตของใครสำคัญ....
ดินแดนแห่งความตาย
ที่ผู้ไม่มีวันตายไม่ควรจะมา
ดังนั้นผู้มาเยือนดินแดนเงียบสงัดนี้จะถูกจารึกไว้เป็นอีกครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์
บัดนี้ทั่วทุกแผนกทำงานของเหล่ายมทูตไม่พานพ้นต่อเสียงสนทนา
ถึงการมาเยือนของ อาซาริ อุเก็ตสึ นายใหญ่แห่งเผ่าพันธุ์รัตติกาลโลหิต
เจ้าของปราสาททรานซิลวาเนีย
ซึ่งมีทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของหลายตนที่ไม่ค่อยจะอยากยุ่งกับพวกอมนุษย์
แต่ในขณะเดียวกันส่วนมากกว่าค่อนดินแดนก็เห็นด้วยที่เจ้าชายยมทูตผู้สง่างามคนนั้น
จะเริ่มจัดการกับปัญหาใหญ่ของวิญญาณโชคร้ายในหีบที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิดก็เพราะพวกแวมไพร์
แต่ไม่ว่าเหล่ายมทูตจะอยากฟังการตกลงกันระหว่างผู้นำของสองเผ่าพันธุ์มากเพียงใด
ผู้ที่มีสิทธิ์อยู่ในห้องรับรองก็มีเพียงเจ้าหญิงกับเจ้าชายแห่งดินแดน
และสองผู้สูงส่งที่มาจากโลกต่างกัน
ดวงหน้างามสง่าเฉยชาปานรูปปั้นสลักสีงาช้างยืนอยู่ด้านหลังจี
พร้อมด้วยข้างๆคือเจ้าหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูวัยหากเทียบกับมนุษย์แล้วไม่น่าจะเกินสิบห้าปี
นัยน์ตาสีฟ้าของเธอจ้องเขม็งมาที่อาคันตุกะคนพิเศษ
“ไม่คิดว่าตนเองจะได้กลับมาที่นี่อีกสินะ
อาซาริ อุเก็ตสึ”
คำทักทายพร้อมรอยยิ้มเหยียดที่เห็นได้ไม่บ่อยนักจากเจ้าแห่งแดนโลกันตร์เรียกรอยยิ้มบางบนหน้าแขก
ในขณะที่นัยน์ตาเรืองอำนาจกวาดมองเจ้าบ้านที่อ่อนวัยกว่าอีกสองคน โกคุเดระ ฮายาโตะ
ไม่ว่าเจอกี่ครั้งอากัปกริยาบนใบหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากความสงบเรียบเฉย
ผิดกับน้องสาวที่ชักจะตีหน้าบูดไม่รับแขกเข้าทุกที
“ไม่มาคงไม่ได้ ลูกชายเรียกทั้งที
คงจะมีเรื่องสำคัญ” ดวงตาสีมรกตปรายมองอาซาริเพียงชั่วครู่ แล้วเบือนไปทางโซฟาหลังงามสีแดงกำมะหยี่
มือเรียวบางผายเชิญ
“กรุณานั่งก่อน ท่านเดินทางมาไกล
อีกอย่างเรื่องที่เราจะตกลงกันในวันนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะยืนคุยกันได้”
บรรยากาศของห้องที่เงียบสงัด
เยือกเย็นหากแต่ไม่ได้หนาวร้ายกาจอย่างอากาศที่หล่อเลี้ยงปราสาททรานซิลวาเนีย
แม้จะไม่มีสิ่งใดงดงามสวยหรูยั่วกิเลสอย่างในโลกมนุษย์
เพียงแค่กลิ่นอายแห่งความเป็นมนต์ขลังนั้นท่วมท้นไปด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีที่สูงสง่าไม่มีวันโดนเหยียบย่ำทำลาย
และเด็กหนุ่มร่างบางในเสื้อเชิ้ตสีแดงกับกางเกงสแล็คดูผ่อนคลายชวนมองนี้คือเครื่องประดับที่งามล้ำค่าที่สุดที่ทำให้แดนโลกันตร์เต็มไปด้วยความน่าพิศมัย
ยิ่งมานั่งพูดคุยใกล้ชิดอย่างนี้
ยิ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
อาซาริกระตุกยิ้ม
บ่นในใจซ้ำซากว่าเสียดายแทนเจ้าลูกชายที่ไม่ยอมมาด้วยกันนัก
“เรื่องที่ผมจะพูดนี้
มันคงจะฟังแล้วระคายใจท่านและ...”
เสียงทุ้มหวานเว้นช่วงไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงจำเลยอันดับหนึ่งที่ทำให้พวกเขาต้องเดือดร้อนวุ่นวาย
“...ลูกชายของท่าน...แต่การที่เผ่าพันธุ์แวมไพร์ขยายตัวอย่างรวดเร็วข้ามวันข้ามคืนขนาดนี้
ทางดินแดนโลกันตร์ของเราได้รับผลกระทบ...”
คำเอ่ยเท้าความที่สุขุมเยือกเย็นแต่แววตาที่จ้องมองมานั้นเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวจริงจัง
ทำให้คนที่ถูกกล่าวหาว่าทำให้ระบบของที่นี่ต้องวิบัติพยักหน้าเนิบๆรับรู้
ไม่แม้แต่จะเถียงหรือคัดค้านสักคำ
“มีวิญญาณนับหมื่นกำลังทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัสเพราะไม่ได้รับการตัดสินว่าจะอยู่ในนรกต่อไปหรือขึ้นสรวงสวรรค์
เพราะพวกเขาได้รับการถ่ายทอดความเป็นอมนุษย์ให้ ซึ่งผมว่ามันสมควรที่จะต้องควบคุมได้แล้ว”
“และการควบคุม
เจ้าจะควบคุมฝ่ายข้าที่เป็นแวมไพร์ แทนที่จะเป็นพวกมนุษย์ไม่ให้รนเข้ามาหาที่ตาย”
“การตัดไฟตั้งแต่ต้นลมคือวิธีการที่ดีที่สุด
ท่านอาซาริ” ดวงหน้างามวาดรอยยิ้มบาง “ความปรารถนาและความกระหายของแวมไพร์
พวกท่านก็น่าจะเป็นฝ่ายที่รู้ดีที่สุดว่ามันยากต่อการบังคับ
ต่อให้ใช้วิธียักย้ายผู้คนให้ถอยห่างจากทรานซิลวาเนีย
แต่การขยายอาณานิคมของแวมไพร์นั้นกว้างไกลแม้เพียงข้ามราตรี และอีกอย่าง
การเข้าใกล้มนุษย์มากเกินไปเว้นแต่เพียงเวลาถึงฆาตของเขา ไม่ใช่หน้าที่ของยมทูต”
ดวงตาของตัวแทนแวมไพร์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มที่มั่นคงชัดเจนหากแต่ยังไร้ซึ่งชีวิตชีวา
แม้ไม่แสดงออกแต่เขาก็พอใจทุกกริยาของเจ้าชายยมทูตที่ไม่เคยเกรงกลัวต่ออะไร
จวบจนกระทั่งร่างบอบบางภายใต้อาภรณ์ขับผิวนั้นหันไปรับสิ่งของบางอย่างจากยมทูตตนหนึ่งที่อยู่ข้างหลัง
แล้ววางมันลงกับโต๊ะ
นาฬิกาเรือนหนึ่ง...
เป็นนาฬิกาพับสีเงินวาวล้อมกรอบวงกลมด้วยเถาวัลย์ไอวี่ไขว้เกี่ยวซ้อนกันดูงดงามล้ำค่า
และเมื่อเปิดออกก็ต้องพบกับความแปลกประหลาด
เข็มสีดำสนิทลวดลายชดช้อยมีเพียงเข็มเดียวตัดกับหน้าปัดเกลี้ยงสีขาวโดยสิ้นเชิง
เข็มนาฬิกานั้นชี้ตรงที่เลขสิบสองหากเป็นนาฬิกาธรรมดาของโลกมนุษย์
แต่เพียงว่าเรือนนี้ไม่มีอะไรที่บ่งบอกตัวเลขสักตัว
“นี่คือนาฬิกาวิเวียนหรือนาฬิกาแห่งชีวิต
เครื่องบอกเวลาแห่งอายุขัยของมนุษย์ที่ต้องมีกันทุกคน
ไม่มีใครเคยเห็นนาฬิกาวิเวียนนอกเสียจากพวกเราเหล่ายมทูต...นาฬิกาที่ไม่ได้บอกชั่วโมง
นาที แต่คือตัวบอกเวลาที่หลงเหลืออยู่ของชีวิต
เดินถอยหลังได้เท่านั้นไม่มีการเดินขึ้นหน้า
และเมื่อมันกลับมาที่จุดๆเดิมนี่อีกครั้ง
นั่นหมายถึงเวลาสิ้นสุดของการเกิดในชาติภพนั้น”
การเวียนว่าย มีช่วงเวลาของชีวิตที่จำกัด
นั่นเป็นสิ่งที่แวมไพร์ไม่เคยสัมผัส มือใหญ่ของอาซาริคว้านาฬิกาไปแล้วเพ่งพินิจ
ก่อนจะเหลือบมองเด็กหนุ่มร่างบาง ใบหน้าที่เคยใจดีบัดนี้เคร่งขรึมไม่ต่างกัน
“โกคุเดระ ฮายาโตะ
เจ้าจะใช้นาฬิกาวิเวียนมากำหนดชีวิตของพวกเราอย่างนั้นรึ?” คำถามที่ตรงไปตรงมาพร้อมกับนัยน์ตาที่หรี่ลงส่งผลให้ห้องกว้างนี้ทบทวีความอึดอัด
แต่นั่นไม่เป็นผลต่อผู้ที่เจอสถานการณ์กดดันมาแล้วมากมายอย่างในการตัดสินดวงวิญญาณที่มีให้ทำเกือบทุกวัน
“ท่านโปรดวางใจ
นาฬิกานี้จะเปรียบเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจ ว่าหนึ่งชีวิตของเหยื่อ
จะแลกกับเศษเสี้ยวอายุขัยของเผ่าพันธุ์ผู้ยืนยง มันเดินอย่างเที่ยงธรรมและถอยหลังทีละน้อยๆ
ทันทีที่พวกท่านดื่มเลือดของมนุษย์แล้วฉุดคร่าชีวิตพวกเขา นี่คือความเที่ยงธรรม
ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยไม่สูญเสีย”
“ไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือ?”
“อย่าคิดว่าความเป็นจริงมันโหดร้ายเลย”
ริมฝีปากบางขยับยิ้ม นึกขำกับคำว่าโหดร้ายที่หลุดออกจากปากของชนเผ่าที่ทำเรื่องป่าเถื่อนมานับไม่ถ้วน
“ถ้าเลิกนิสัยกินทิ้งกินขว้าง รับรองว่านาฬิกาวิเวียนจะไม่กดดันพวกท่าน
และอย่าได้มีข้อกังขาว่าทางแดนโลกันตร์จะคิดไม่ซื่อ
นาฬิกานี้ยมทูตทุกตนไม่มีพลังพอที่จะบังคับให้มันเดินถอยหลังลดเวลาได้
ไม่ว่าจะเป็นผม อายูมุ หรือท่านพ่อก็ตาม"
“ถ้าเป็นตามที่เจ้ากล่าวมา
ข้าในฐานะตัวแทนเผ่าพันธุ์แวมไพร์ยอมรับเรื่องที่ว่าจะให้นาฬิกาวิเวียนมาควบคุมชีวิต”
คำตอบรับง่ายๆดึงรอยยิ้มสะใจจากเจ้าหญิงยมทูต
ในขณะที่จีและโกคุเดระยังไม่อาจวางใจต่อสีหน้าผ่อนคลายไม่เคร่งเครียด และก็เป็นดังที่สังหรณ์
“แต่ข้ามีข้อแม้”
“ข้อแม้อะไร”
“เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน
ข้าต้องการให้เจ้าไปปราสาททรานซิลวาเนียพร้อมนาฬิกาวิเวียนควบคุมลูกชายข้า
อยู่ที่นั่นจนกว่าข้าจะไว้ใจว่าเจ้าไม่ได้เล่นอะไรแผลงๆ
จนทำให้เผ่าพันธุ์ข้าต้องเดือดร้อน”
คำขอแลกเปลี่ยนที่ไม่คาดคิดทำให้คิ้วโค้งสวยมุ่นเข้าหากัน
ในขณะที่ท่านพ่อของคนที่ถูกขอลูกไปอยู่ด้วยนั้นหรี่ตาลงอย่างไม่สบอารมณ์
แต่แม่น้องสาวนี่สิ หลุดอาการควบคุมไปแล้ว ร่างเล็กลุกผึงขึ้น ตวาดอย่างเหลืออด
“จะบ้าหรือไง!!
จะให้ท่านพี่ของฉันไปอยู่บนโลกมนุษย์ซ้ำยังท่ามกลางพวกแวมไพร์บ้าเลือดเนี่ยนะ!!?
นั่นมันในฐานะตัวประกันดีๆเลยไม่ใช่เหรอ!”
“สาวน้อย
พี่ชายของเธอบอกว่าไม่มีอะไรได้มาโดยไม่สูญเสีย” อาซาริยิ้มพราย
เงื่อนไขที่ท่านพี่ฮายาโตะของเธอเคยพูดถูกตอกกลับมาจนพูดอะไรไม่ออก
ผนวกกับมือบางที่ฉุดข้อแขนให้นั่งลงอย่างเก่า ซ้ำด้วยดวงตาสีมรกตที่ดุจัดยิ่งทำให้อายูมุต้องสงบปากสงบคำ
ดวงตาคู่งามเหลือบมองบิดาที่ตอนนี้ก็มองมาที่เขาเช่นเดียวกัน
สีหน้าของท่านพ่อนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการตอบตกลง
แต่ทว่านี่คือการแลกเปลี่ยน
และเป็นการแลกเปลี่ยนที่อีกฝ่ายมีสิทธิ์จะร้องขอเพื่อความเป็นธรรมกับตนเอง และแน่นอนว่าต้องเป็นเขาที่ไป
ท่านพ่อต้องปกครองแดนโลกันตร์ ส่วนอายูมุ
จะปล่อยให้เจ้าน้องสาวตัวดีไปอยู่ท่ามกลางโลกที่ไม่คุ้นเคยและแฝงเร้นไปด้วยอันตรายนับพันอย่างนั้นไม่ได้
และแล้วปฐมบทของสองโลกที่ไม่อาจเป็นไปได้กำลังบังเกิด
เมื่อโกคุเดระตอบ
“ตกลง ผมจะไปอยู่ที่นั่นตามคำขอ...”
การย่ำเยือนโลกมนุษย์ของโกคุเดระในครั้งนี้เป็นหน้าที่อันแสนแปลกประหลาดนอกเหนือจากการมารับวิญญาณมนุษย์
และยิ่งกว่านั้นการมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูของปราสาททรานซิลวาเนียนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาพิศมัย
รัตติกาลมาเยือนโลกมนุษย์
แสงสีนวลของพระจันทร์เต็มดวงนั้นจับห้วงท้องฟ้าที่ดำมืดสนิท
เป็นเวลาที่เหล่ามนุษย์กำลังอยู่ในนิทราอันแสนหวาน
หากแต่เป็นเวลาทำกิจกรรมของพวกที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้แสงจันทรา
เป็นกิจวัตรเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ปราสาททรานซิลวาเนียยังคงงดงามโดดเด่นในเวลาราตรี
มีแขกต่างพันธุ์ที่แสนจะโชคร้ายเข้ามาทุกๆคืนไม่ขาด
ร่างโปร่งบางจับกลิ่นอายของความกระหายและรังสีของการเข่นฆ่าได้ชัดเจนจากภายในสิ่งปลูกสร้างตรงหน้า
คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันก่อนจะก้าวเดินเข้าไปอย่างเงียบงัน
ท่อนแขนแข็งแรงของแวมไพร์หนุ่มร่างสูงยังคงฉุดรั้งร่างของเหยื่อพร้อมที่จะฝังเขี้ยวเป็นนิจ
แต่ไม่ทันแม้แต่ปลายเขี้ยวของเขาจะได้สัมผัสถูกต้นคอของเหยื่อ
พลันมีลมประหลาดหอบกลิ่นอายหอมหวานซัดเข้ามาอย่างเต็มแรง
พัดพาร่างอรชรของหญิงสาวปลิวไปกองกับพื้นให้ห่างไกลจากเอื้อมมือของมัจจุราชผู้หล่อเหลา
ยามาโมโตะตวัดสายตาไปยังประตูทางเข้า
ดวงตาสีเปลือกไม้หมุนคว้างกลายเป็นสีแดงก่ำราวโลหิต
แต่เรือนร่างที่งดงามภายใต้แสงจันทร์สาดส่องนั้นตราตรึงสายตาให้จ้องมองได้เป็นอย่างดี
และดวงตาสีเขียวที่มองมายังเขาอย่างสมเพชมันก็แสนที่จะน่าหลงใหล
“คะ คุณ คุณ...”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ายามาโมโตะลืมไปแล้วว่าตัวเองมีเหยื่ออยู่
หญิงสาวตอนนี้ร่างสั่นเทิ้มทันทีที่เจ้าหล่อนเห็นดวงตาที่เปลี่ยนสีอย่างที่มนุษย์ทำไม่ได้
เขี้ยวคมยามที่ชายหนุ่มแสยะยิ้มนั้นทำให้เธออยากจะกรีดร้อง เพียงแต่ร้องไม่ออก
“รีบไปซะ” เสียงนุ่มทุ้มหวานล้ำของชายผู้มาใหม่สั่งเธอแม้ดวงตาของเขาจะจับจ้องไปที่แวมไพร์หนุ่มที่กำลังจะคร่าชีวิตเธอ
และเมื่อไม่ขยับ เขาได้สั่งเสียงเข้มเป็นครั้งที่สอง “ไปสิ!!”
เพียงเท่านั้น
เจ้าหล่อนได้รีบถลันหนีออกไปโดยเร็วที่สุดไม่ทันแม้แต่จะเอ่ยคำขอบคุณ
ทิ้งไว้ในห้องมีเพียงชายหนุ่มสองคนยืนหันหน้าเข้าหากัน
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคมหรี่นิดๆแล้วปราดมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
และเพียงแค่เข็มกลัดตรงหน้าอกก็ทำให้ได้รู้ทันทีว่าคนที่มาพรากเหยื่อไปจากคมเขี้ยวเขานั้นคือใคร
น่าขัน....ที่เขาผู้มีชีวิตเป็นอมตะต้องมายืนอยู่ต่อหน้าเทพเจ้าแห่งความตาย
แต่เป็นบุคคลที่งดงามยิ่งกว่าเทพบุตรบนสรวงสวรรค์
ว่าแล้ว ริมฝีปากก็ขยับยิ้มพราย
“ยินดีที่ได้พบ...”
.
.
.
TBC...
มิยะขอเม้าท์
เรื่องนี้แต่งให้พี่สาวคนสวย เจ้ยู้ YuuYuu เป็นของขวัญวันเกิดค่ะ >..< แล้วก็ค้างหลังจากนั้น จับดองเรียบร้อยเบย // โดนโบก! แล้วน้องสาวเจ้าก๊ก โยชิคุนิ อายูมุ นั่นหาใช่ใครอื่นไม่ อาเจ้ยู้ของเรานั่นแหล่ะ ฮาาา ซึ่งเจ้บอกว่าอยากไปอยู่ทรานซิลวาเนียแทนหนูก๊ก อิอิ >3<
อารมณ์ของไอ้มิยะตอนแต่งนั้นค้างมาจาก 8059 Anthology Double Date เรื่องเหนือกาลเวลาค่ะ เรื่องนั้นแหล่ะ // เรื่องที่แทบจะเด็ดกลีบดอกไม้กับตอนจบว่าจะเป็นยังไงดี แล้วสุดท้ายก็ต้องขอโทษหนูก๊กเป็นร้อยๆรอบ เง้อออออออ หม่ามี้รักหนูนะ ที่ทำมันเป็นงาน...มันจำเป็น (เอาอินี่ไปเก็บที) ก็เลยอยากแต่งอะไรที่มันไม่ใช่มนุษย์มนาดูอีกครั้ง จำได้เลยว่าพล็อตนี้นอนคิด ฮา! คืออยากเห็นอะไรต่างเผ่าพันธุ์ แวมไพร์ แวร์วูล์ฟ ก็เยอะแล้ว เอาเป็นแบบนี้ก็แล้วกัน สุดขั้วเลยครัช ยมทูตกับแวมไพร์ ฟิคเรื่องนี้แต่งไปอิเนียนแม่มนิสัยเสียอย่างถึงที่สุด นับว่าเป็นเด็กเกเรที่สุดแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ แล้วก็แอบปลื้มใจมากๆค่ะ ที่มีน้องคนหนึ่ง (คือน้องมุก) แอบทวงฟิคเรื่องนี้ด้วย งื้ออออออ ขอบคุณมากๆที่ชอบ
พอเป็นแบบนี้...เราเห็นว่าไหนี้คงจะเป็นไหต่อไปที่จะทุบ...เมื่อถึงเวลาอันสมควร (อาเร๊ะ!)
ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียนบล็อก เม้นท์ได้เป็นกำลังใจจ้ะ
Miya
หนูชอบตอนนี้มากเยยอ่านซ้ำมา3-5รอบแล้ว
ตอบลบมันสนุกมากได้เห็นลุคแปลกใหม่ที่เข้ากับนิสัยยามะแล้วมันอ๊าาาาสุดยอด!!!!อยากอ่านต่อ....ถ้าไหยังอยู่แต่ต่อด้วยนะคะ....คุณmiyaอยู่อันดับ3ที่หนูติดตามอ่าน8059เงียบๆไม่ค่อยชอบคอมเม้นต์บ่อย(อ่านซ้ำด้วย)ขอบคุณที่มีให้อ่านบันเทิงและก็เป็นกำลังใจให้ค่ะสู้ๆ!!!!