หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2557

Fic KHR [8059] My wind...our wind : Chapter10



Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama  Action
NC-17

คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ



Chapter 10 เหตุผลของนภาแห่งวองโกเล่


ในวงการแบบนี้น่ะ...ไม่มีคำว่าสัญญาหลงเหลืออยู่หรอกนะฮายาโตะ


คำพูดของหมอแห่งโลกมืดยังคงก้องเวียนไปมาในหัวของร่างโปร่งบางทุกวินาที ตั้งแต่คุยเสร็จ เขาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ยกเว้นซะแต่ตอนค่ำจะมีคนเอาอาหารมาส่ง แต่ตอนนี้เวลาก็ล่วงไปจนเรียกว่าดึกได้แล้ว ร่างโปร่งยังคงไม่แตะอาหารเลย นาฬิกาเรือนใหญ่ที่ผนังบ่งบอกเวลาของวันใหม่


เที่ยงคืน...


ข้างนอกคงจะมีคนอยู่ไม่กี่คน อย่างน้อยก็บอดี้การ์ดสองคนที่ยืนหน้าเชิดอยู่ที่หน้าห้องของเขายี่สิบสี่ชั่วโมง และตอนนี้ร่างโปร่งบางก็ไม่คิดจะอยู่เฉยๆอีกต่อไป ไม่อยากต้องมาจนตรอกกับคำพูดที่เอาวองโกเล่มาเป็นข้อต่อรอง...ไม่อยากต้องให้รุ่นที่สิบและทุกคนมาพัวพันกับเรื่องแบบนี้...


และที่สำคัญที่สุด...ฉันไม่อยากลืมคนสำคัญ...


ฟึ่บ!


ร่างโปร่งบางหยิบเสื้อนอกขึ้นมาสวมก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงนอน ถ้าจะออกไปข้างนอกโดยไม่มีใครรู้ล่ะก็คงจะใช้ระเบิดไม่ได้ อาวุธอื่นๆก็ไม่มีซะด้วย สิ่งที่ทำได้ก็คงจะมีแต่ทุบไอ้ยามสองคนนั่นให้หลับเท่านั้น ร่างโปร่งบางเดินไปยืนอยู่ที่ประตูห้องก่อนจะมองนอกห้องจากตาแมว บอดี้การ์ดยังคงยืนตรงแด่วอยู่ที่หน้าประตูไม่ผิดเพี้ยนหน้าที่ ร่างโปร่งบางค่อยๆหมุนลูกบิดประตูก่อนจะชะโงกหน้าโผล่ออกไป


“นายน้อยครับ ออกมาตอนนี้ไม่ได้นะครับ” ตามคำพูดของบอดี้การ์ดชั้นดีที่นิยมพูดกัน อยากจะบึ้มทิ้งให้หมดทั้งหลังเลยจริงๆ ร่างโปร่งบางเหยียดยิ้มที่มุมปาก


“อ้อ งั้นเรอะ...”


“ครับ ได้โปรดกละ...”


ปั้ก!


สันมือบางฟาดไปที่จุดอันตรายตรงท้ายทอยอย่างแม่นยำและเร็วจนไม่ทันกะพริบตา ร่างสูงหนาทรุดฮวบลงพร้อมกับสติที่ไม่ไหวติง ส่วนบอดี้การ์ดอีกคนพอเห็นเพื่อนโดนเข้าอย่างนั้นก็รีบเข้าประชิดตัวร่างโปร่งบางทันที หมัดขวาถูกปล่อยเข้าใส่อย่างรวดเร็ว แต่ก็คงไม่เร็วเท่ากับสายลมที่กำลังจะโหมกระหน่ำ การต่อสู้ระยะประชิดตัวมือต่อมือ เป็นสิ่งที่ร่างโปร่งบางไม่ถนัดสุดๆก็จริง


แต่ไอ้อ่อนพวกนี้น่ะ คิดจะสู้กับฉันยังเร็วไปสิบปีเฟ้ย!!!


ผลั่วะ!


เท้าวาดขึ้นกลางอากาศแล้วกระแทกไปที่ก้านคอเป็นอันจบเกม ร่างโปร่งบางมองซ้ายมองขวาก่อนจะรีบวิ่งไปที่ที่หนึ่ง ซึ่งคิดว่าที่ตรงนี้คงจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง โทรศัพท์มือถือถูกปล่อยทิ้งไว้ที่ตึกวายุ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็มีคนเฝ้าอยู่ไม่ให้เขาแตะโทรศัพท์ เขาขาดการติดต่อกับวองโกเล่อย่างสมบูรณ์ แต่ตอนนี้คงต้องหาทางติดต่อกับวองโกเล่ให้เร็วที่สุด
ก่อนที่มันจะสายเกินไป...


ร่างโปร่งบางวิ่งมาจนถึงห้องๆหนึ่ง ซึ่งตอนเด็กๆเขาแทบจะไม่เข้ามายุ่งเลยด้วยซ้ำ ก็เพราะชื่อของมันน่าเบื่อซะมากมาย ว่า ห้องเก็บเอกสารข้อมูล ในห้องเท่าที่เคยส่องก็มีแต่เครื่องคอมพิวเตอร์และเอกสารในแฟ้มที่วางเรียงกันเป็นตับหลายพันแฟ้ม ถือว่าเป็นดิสก์เก็บข้อมูลของแฟมิลี่ได้เลย


เพราะฉะนั้นฉันถึงต้องเข้าไปซะ


จากรูปการด้านหน้ามีการ์ดเฝ้าอยู่ถึงสี่คน ประตูอัตโนมัติเปิดได้ด้วยรหัสผ่านของลายนิ้วมือ ถ้าไม่ใช่คนในแฟมิลี่ไม่มีทางเปิดได้ ตอนนี้อาวุธที่ติดตัวอยู่คือไดนาไมต์ไม่กี่แท่ง...


แต่ถ้าเป็นไดนาไมต์จิ๋วละก็พอได้อยู่


ร่างโปร่งบางคว้าไดนาไมต์อันเล็กกว่าปกติมาจุดไฟ เล็งเป้าหมายไปที่การ์ดสี่คน ก่อนจะ...


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!ตู้ม!


ควันหนาคละคลุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ กลิ่นควันที่ไม่ปกติเริ่มส่งกลิ่น เสียงโหวกเหวกโวยวายเคล้าเสียงลำลักยังดังไม่ขาดสาย แต่ไม่กี่นาทีหรอก เดี๋ยวก็เงียบ...


“โอ๊ย! แค่กๆๆ ควันอะไรวะเนี่ย!


“มองอะไรไม่เห็นเลย!


“อ๊ะ!...อืม... คร่อก”


ควันที่หนาจนไม่เห็นอะไรค่อยๆจางลง จนเห็นสิ่งต่างๆได้ตามปกติ การ์ดสี่คนที่ตอนแรกยืนเฝ้าอย่างแข็งขันก็ลงไปหลับที่พื้นทั้งหมด ก็ไม่แปลก ไดนาไมต์จิ๋วอันนี้ร่างโปร่งบางดัดแปลงใส่ยาสลบไปด้วยนี่นา


“ชิ เนี่ยนะคนของพ่อ ฉันโดนไอ้คนพวกนี้เล่นงานได้ไงฟะ ไม่เข้าใจเล้ย! ” ร่างโปร่งบางมองคนที่กองอยู่แทบเท้าอย่างสมเพช ถ้าเป็นวองโกเล่คงจะปลดไปนานแล้ว ระดับมาตรฐานไม่ถึงเกรดด้วยซ้ำ ยังอุตส่าห์ให้มาเฝ้าสถานที่สำคัญอย่างห้องข้อมูล ต่อให้ไม่เป็นเขา ศัตรูก็เข้าได้ไม่ยาก


อ่อนชะมัด ไม่อยากจะคิดเลย ถ้าต้องมาปกครองคนแบบนี้...เป็นบอสขึ้นมาจริงๆ มือขวาจะหาได้รึเปล่าเถอะ...


โกคุเดระยกมือของหนึ่งในการ์ดที่สลบไปแล้วมาแนบกับเครื่องสแกน แต่ผลปรากฏว่า...


ไม่อนุญาตเข้าไปได้!


เพราะอะไรฟะ คนที่นี่น่าจะเข้าได้หมดไม่ใช่เรอะ


ร่างโปร่งบางขมวดคิ้ว ก่อนจะเอามือของอีกสามคนมาทาบทีละคน แต่ก็เหมือนกันหมดทุกมือ เครื่องสแกนยังคงร้องตู๊ดๆ พร้อมโชว์เงื่อนไขเด่นหราสีแดงว่า ไม่อนุญาต...


หรือว่าเข้าได้เฉพาะคนเท่านั้น...แล้วใครกันล่ะฟะ ที่เข้าห้องนี้ได้น่ะ


ร่างโปร่งบางมองเครื่องสแกนอย่างชั่งใจ ก่อนจะยกมือของตนเองมาทาบทันที ในใจก็ไม่มั่นใจอะไรหรอก ความเป็นไปได้ที่จะเปิดออกน้อยกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ อย่างน้อยก็ เคยเป็นนายน้อยของที่นี่นี่นะ อาจจะเปิดออกก็ได้...


เหอะ คิดอะไรบ้าๆน่ะ จะเป็นไปได้ยังไง


เครื่องสแกนเงียบไปซักพักเหมือนจะไม่รับข้อมูล ไม่มีเสียงสัญญาณว่าไม่ได้รับอนุญาตหรือปลดล็อกได้ แต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมาผลที่ได้ทำให้ดวงตาสีมรกตเบิกโพลง


เข้าได้!!!


ประตูค่อยๆเปิดอย่างน่าอัศจรรย์ ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปพร้อมๆกับความงงงวย ถึงเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งละกันที่มันยังอุตส่าห์จำข้อมูลของเขา


ในห้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์และแฟ้มนับพันนับร้อยเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด แต่คิดว่าคงเยอะขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัวได้    ร่างโปร่งบางรีบเปิดคอมพิวเตอร์แล้วจัดการสแกนข้อมูลบางอย่างที่เขาเขียนลงกระดาษก่อนแล้วส่งทันที...และเพื่อความปลอดภัย...แน่นอน เขาไม่ได้พิมพ์ในสิ่งที่คนทั่วไปอ่านได้...ไม่ได้ส่งไปที่หอบัญชาการของวองโกเล่โดยตรง แต่ที่แน่ๆ เขามั่นใจว่านภาแห่งวองโกเล่ต้องได้รับมันแล้วรู้เรื่องอย่างแน่นอน



ผมไม่สัญญาครับรุ่นที่สิบว่าผมจะสามารถกลับไปหาท่านได้อีกครั้ง...



แต่ผมขอสัญญาด้วยชีวิตว่าท่านต้องปลอดภัย...



ผมสัญญา...








หอบัญชาการ วองโกเล่แฟมิลี่


ความเงียบสงัดของเวลากลางคืน แสงจันทร์สาดส่องมาตามผ้าม่านที่แย้มออก ร่างเล็กๆของนภาแห่งวองโกเล่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ในมือถือปากกาด้ามเดิมที่ต้องจับขึ้นมาเพื่อเซ็นเอกสารทุกวันแต่ตอนนี้มือถือปากกาอยู่ก็จริงแต่ดวงตากลับมองทอดไปไกลนอกหน้าต่าง สายตาที่ไร้จุดหมาย พร้อมกับจิตใจที่ไม่ได้อยู่ประจำร่างของมันก็เช่นกัน


เหงาเหมือนกันนะ...


ถ้าเป็นเมื่อก่อนต่อให้ดึกแค่ไหนก็คงไม่รู้สึกเหงาขนาดนี้... คงจะมีเสียงปากกาที่จรดเซ็นลงบนกระดาษอยู่ข้างๆ...


มีเสียงคนชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา...


มีคนคอยเตือนว่าตอนนี้ดึกแล้ว เขาควรจะไปนอนได้ซักที...


มีคนมาแย่งเอกสารเกือบค่อนที่เหลือไปทำอย่างอย่างหน้าตาเฉย พร้อมบอกอีกว่าของตนเองเสร็จแล้ว แต่เท่าที่ดูก็ยังเหลืออีกตั้งมาก...


แล้ว...ไม่กี่นาทีต่อมา...คงจะยกแก้วกาแฟมาวางให้บนโต๊ะ


หืม...


กลิ่นกาแฟ...


นภาแห่งวองโกเล่ลากจิตของตัวเองกลับสู่ร่างเพราะมีกลิ่นหอมละมุนของกาแฟโชยมาไม่ไกล ไม่ไกลเลย... มีแก้วกาแฟควันลอยกรุ่นอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ...นภาเงยหน้าขึ้นแล้วคนที่ถือแก้วกาแฟอยู่ก็คือ


มุคุโร่...


นอนดึกๆมันไม่ดีนะครับวองโกเล่ ผู้พิทักษ์ผมสีน้ำเงินไพลินยิ้มให้ พร้อมยื่นกาแฟให้กับร่างเล็ก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ คงเพราะว่าเหม่อลอยไปไกลถึงไหนถึงไร แต่นภาก็มั่นใจว่าต่อให้เขาไม่เหม่อก็ไม่มีทางรู้ว่าผู้พิทักษ์จอมลึกลับคนนี้เข้ามา


คุณเหม่อไปไกลมากเลยนะครับ เล่นเอาผมจับไม่ได้เลย” จับจิตของวองโกเล่คืองานถนัด แต่ครั้งนี้ยอมรับว่าเขาตามไม่ทัน...


งะ งั้นหรอ  ฉันก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ


ไอ้ที่ว่าเรื่อยเปื่อยน่ะ คงจะเป็นเรื่องโกคุเดระคุงสิน่ะครับ เสียงทุ้มยังคงว่าด้วยความเชี่ยวชาญในการอ่านจิตใจ นั่นมันยิ่งกระทบนภาแห่งวองโกเล่จังๆ


ห่ะ!! ไหงเดาออกได้ขนาดนี้อ่ะ!  นี่ฉันเหม่อมานานจนใครๆเขารู้เลยหรอ


อะ ...อืม นภาแห่งวองโกเล่พยักหน้ารับช้าๆ อย่างไม่ปิดบัง ไม่ใช่เฉพาะวันนี้เท่านั้น แต่ทุกวันที่ที่นั่งข้างขวาของเขาไร้คนนั่งอยู่ จิตใจก็พาลจะเหม่อไปทุกที หลังจากที่ไม่มีมือขวาแล้ววองโกเล่ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง... งานการที่เคยมีคนช่วยก็ยังมีคนมาช่วยแทนเหมือนเดิม แทบไม่ขาดตกบกพร่องเหมือนคนเดิมที่เคยทำ


แต่ไม่รู้ว่าทำไม...นภารู้สึกว่ามันเปลี่ยนไปมากจนน่าใจหาย...


คุณชอบเก็บอะไรไว้ในใจอยู่เรื่อยเลย...โกคุเดระคุงนี่ก็เก่งนะครับที่สามารถเข้าใจคุณได้ทุกเรื่อง” พูดเองก็น่าหงุดหงิดตัวเอง ขนาดเขาที่คิดว่าไม่พลาดในเรื่องนั่งในใจคนแล้ว บางทีก็มีนภาผืนนี้นี่แหล่ะที่เขาก็ไม่สามารถเข้าใจว่าคิดอะไรอยู่กันแน่


ใช่...เรื่องปิดเรื่องที่สายลมโดนลักพาตัวไปกับผู้พิทักษ์พิรุณก็ด้วย...


ไม่ค่อยจะเข้าใจเลย...


“เปล่าหรอกมุคุโร่...” ร่างเล็กส่ายหัวไปมาช้าๆ “ไม่มีใครเข้าใจลางสังหรณ์ของวองโกเล่หรอก ไม่ว่าจะเป็นนาย โกคุเดระคุง หรือแม้แต่ฉันเองก็ตามที...บางครั้งฉันเองยังอยากจะตัดสินใจเองโดยไม่พึ่งมันด้วยซ้ำไป”


“คึหึหึหึ งั้นหรือครับ” ริมฝีปากบางของสายหมอกกรีดรอยยิ้มพร้อมกลับเสียงหัวเราะเบาๆ ดวงตาสองสีจ้องหน้านภาอย่างมีเลศนัย จนคนถูกมองเสียวสันหลังวาบ


“จะบอกผมว่าเรื่องที่คุณปิดยามาโมโตะคุงไว้ เป็นการตัดสินใจของลางสังหรณ์สินะครับ”


“มะ มุคุโร่”


สายหมอกยังคงระบายยิ้มละไมบนใบหน้า ยิ่งเห็นนภาทำหน้าตื่นๆก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่


“คุณคงไม่มีอะไรปิดบังผมอยู่...ใช่มั้ยล่ะครับ” น้ำเสียงเชิงเค้นนั่นยิ่งบีบเข้าไปในหัวใจของนภาจนเหงื่อตก มือเล็กๆบีบเข้าหากัน นภาไม่ได้กลัวแววตาสองสีที่กำลังจ้องมา ไม่ได้กลัวน้ำเสียงที่ชวนให้กดดันนั่น


แต่ว่ากลัว...กลัวว่าจะตอบสิ่งที่ไม่ตรงกับใจตนเอง...เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...ว่าทำไม แต่สิ่งที่รู้มีอยู่อย่างเดียวคือคนที่อยู่ตรงหน้าเข้านี้กำลังจะเดาออกไปเกือบครึ่ง!


“คึหึหึหึ ผมสังเกตหน้าของคุณมาตั้งแต่วันที่ประชุมแล้วล่ะครับ คุณมองไปที่เก้าอี้ของยามาโมโตะคุงตั้งหลายครั้งจนน่าผิดสังเกต มันเป็นเหตุที่ทำให้ผมต้องเอ่ยปากถามคุณขึ้นมา คุณดูไม่มีเหตุผลเลยนะที่ตอบไปอย่างนั้น ถ้ายังไงตอนนี้เราก็อยู่กันแค่สองคนแล้ว...ถ้าคุณไว้ใจผม...”


สายหมอกเอามือขึ้นเท้าคางแล้วเอียงคอมองยิ้มๆ “บอกเหตุผลให้ฟังหน่อย....จะได้มั้ยล่ะครับ”


“เหตุผล...หรอ” นภากัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างคิดหนัก เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าการตัดสินใจไม่ใช่เพราะลางสังหรณ์ แต่จะให้พูดยังไงให้คนข้างหน้านี่เข้าใจดีล่ะ


อีกอย่างก็...


ขอตอบว่า...ไม่ค่อยไว้ใจ...อย่างรุนแรง!


“อืม...งั้นฉันขอถามนายก่อนว่า นายคิดว่าโกคุเดระคุงกับยามาโมโตะเป็นยังไง” ลองเชิงก่อนละกัน อย่างน้อยถ้าหากตอบได้ตรงกับที่เขาสันนิษฐานก็อาจจะบอกต่อไป มิตรภาพของผู้ชายมันลึกซึ้งและแน่นหนา บางทีนภาแห่งวองโกเล่ก็ยอมรับว่าไม่เข้าใจเพื่อนทั้งสองคนที่คบกันมาสิบปีสักเท่าไหร่


สายหมอกยิ้มนิดๆก่อนจะตอบ “คึหึหึหึ มองเผินๆอาจจะเป็นคนที่ต่างกันอย่างสุดโต่งเลยล่ะครับ...แต่มันมีอะไรที่ผมคิดว่ามากกว่านั้นในตัวของทั้งสองคน ตอนที่วองโกเล่บอกว่าไม่อยากบอกยามาโมโตะคุงเรื่องที่โกคุเดระคุงโดนลักพาตัวไปผมก็รู้สึกหนาวขึ้นมาเฉยๆ บอกตามตรงว่า...ขนลุกครับ”


นภาแห่งวองโกเล่แทบจะหลุดขำออกมา ที่แท้คนๆนี้ก็เซนส์ดีเหมือนกันที่รู้สึก ใช่ เขาก็กลัวเหมือนกันแหล่ะ ถ้ายามาโมโตะรู้เรื่องเข้าก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่ ปกติยามาโมโตะไม่ใช่คนใจร้อน เขาเยือกเย็นแต่ก็นุ่มนวลเหมือนสายฝน แต่เมื่อไหร่ที่รู้ว่าสายลมถึงขีดอันตราย


มันก็แปรเปลี่ยนเป็นสายฝนที่รุนแรงและโหมกระหน่ำในทันที...


ใช่...เหมือนกับตอนนั้นน่ะแหล่ะ...




“ฮ่าๆๆๆ เกือบไปแล้วสินะ สุดท้ายก็เลิกแค่ครึ่งวันน่ะ ได้ยินเสียงระเบิดของโกคุเดระก็เลยคิดว่าพวกนายต้องอยู่กันที่นี่น่ะ”


รอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั่น ฉันสัมผัสได้...มันไม่อบอุ่นแม้แต่น้อยเลย


“อะ อื้ม ฉันไม่เป็นไรหรอก จริงสิ! โกคุเดระคุงเค้า...”


“อ่า...ฉันรู้แล้วล่ะ”


ดวงตาที่นายมองไปที่ร่างจมกองเลือดของโกคุเดระคุงนั้น มันสะกดความโกรธเอาไว้จนน่ากลัวเป็นไหนๆ


“แบบนี้...ไม่สวยสักนิดนะนาย”




แล้วตอนนี้ล่ะ... ไม่มีแม้กระทั่งเงาของสายลมอยู่ ยามาโมโตะจะเป็นยังไง!


“ยามาโมโตะจะกลายเป็นคนที่เราไม่รู้จักเลยนะมุคุโร่...ฉันกลัว...กลัวว่าเขาจะต้องเป็นแบบนั้น ยามาโมโตะจะกลายเป็นคนที่ไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าเขารู้เรื่อง เขาต้องเอาชีวิตวิ่งเข้าไปหาอันตราย ฉันรู้ว่าเขาเก่ง มีฝีมือดาบที่ใครๆต่างก็เกรงกลัว แต่ว่า ฉันไม่ต้องการให้เขาเข้าไปเสี่ยง แค่ฉันเสียโกคุเดระคุงไปไม่กี่สัปดาห์ก็จะบ้าตายอยู่แล้ว... แล้วนี่ต้องมาเสียเพื่อนคนสำคัญไปอีกคน ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น!!!


ความอึดอัดในใจหรือที่ว่าเป็นเหตุผลที่นภาแห่งวองโกเล่เก็บเอาถูกปลดปล่อยออกมาจนหมด มือเล็กๆสั่นระริกตามอารมณ์ที่จะคุมไม่อยู่ มันอึดอัด ในหัวขาวโพลนจนคิดอะไรไม่ออก เขาไม่รู้ว่าทำแบบนี้ถูกหรือเปล่า ทำแบบนี้มันเห็นแก่ตัวหรือเปล่า...


แต่ว่า...ก็แค่นิสัยที่มันติดหัวอยู่เสมอว่า ไม่อยากเสียใครไป...


มันก็แค่นั้น...


มือเล็กที่สั่นอยู่ถูกทำให้นิ่ง เมื่อมีมือใหญ่ในถุงมือสีดำเอื้อมมาจับเอาไว้ นภาแห่งวองโกเล่เงยหน้ามอง แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือ สายหมอกที่เชื่อว่าคือความหลอกลวงกำลังยิ้มให้เขาอยู่


ยิ้มที่นภาไม่เคยไว้ใจเลย...


“ไม่ต้องกลัวครับวองโกเล่...เราจะทำให้เรื่องนี้ให้ผ่านไปได้ด้วยดี วองโกเล่ไม่ได้เดินอยู่ในโลกที่โหดร้ายนี่เพียงลำพัง พวกเราจะช่วยโกคุเดระคุงให้กลับมาโดยเร็วที่สุดครับ...”


ความอบอุ่นที่ถ่ายเทผ่านมาทางฝ่ามือทำให้เขาหยุดสั่น หยุดสั่นไปถึงหัวใจด้วย ไม่ว่าคนตรงหน้าจะใช้ภาพลวงตาอะไรมาปลอบเขาก็ตาม ไม่ว่าตอนนี้ลางสังหรณ์จะว่ายังไง แต่ตอนนี้นภาเชื่อ...


เชื่อในรอยยิ้มของคนๆนี้...


“อืม...ขอบคุณมากนะ”


มุคุโร่... ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรเชื่อคนอย่างนาย ฉันไม่เคยลืมความประสงค์ที่นายเข้ามาอยู่ในวองโกเล่...


เกลียดมาเฟีย... อยากจะยึดครองร่างของฉัน...ทุกสิ่งล้วนอันตราย จนฉันไม่อยากจะอยู่ใกล้...


แต่ตอนนี้ฉันเชื่อนายนะ...เชื่อว่า พวกเราต้องทำได้...





TBC…

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น