Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 10 เหตุผลของนภาแห่งวองโกเล่
ในวงการแบบนี้น่ะ...ไม่มีคำว่าสัญญาหลงเหลืออยู่หรอกนะฮายาโตะ
คำพูดของหมอแห่งโลกมืดยังคงก้องเวียนไปมาในหัวของร่างโปร่งบางทุกวินาที
ตั้งแต่คุยเสร็จ เขาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง
ยกเว้นซะแต่ตอนค่ำจะมีคนเอาอาหารมาส่ง แต่ตอนนี้เวลาก็ล่วงไปจนเรียกว่าดึกได้แล้ว
ร่างโปร่งยังคงไม่แตะอาหารเลย นาฬิกาเรือนใหญ่ที่ผนังบ่งบอกเวลาของวันใหม่
เที่ยงคืน...
ข้างนอกคงจะมีคนอยู่ไม่กี่คน
อย่างน้อยก็บอดี้การ์ดสองคนที่ยืนหน้าเชิดอยู่ที่หน้าห้องของเขายี่สิบสี่ชั่วโมง
และตอนนี้ร่างโปร่งบางก็ไม่คิดจะอยู่เฉยๆอีกต่อไป ไม่อยากต้องมาจนตรอกกับคำพูดที่เอาวองโกเล่มาเป็นข้อต่อรอง...ไม่อยากต้องให้รุ่นที่สิบและทุกคนมาพัวพันกับเรื่องแบบนี้...
และที่สำคัญที่สุด...ฉันไม่อยากลืมคนสำคัญ...
ฟึ่บ!
ร่างโปร่งบางหยิบเสื้อนอกขึ้นมาสวมก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงนอน
ถ้าจะออกไปข้างนอกโดยไม่มีใครรู้ล่ะก็คงจะใช้ระเบิดไม่ได้ อาวุธอื่นๆก็ไม่มีซะด้วย
สิ่งที่ทำได้ก็คงจะมีแต่ทุบไอ้ยามสองคนนั่นให้หลับเท่านั้น ร่างโปร่งบางเดินไปยืนอยู่ที่ประตูห้องก่อนจะมองนอกห้องจากตาแมว
บอดี้การ์ดยังคงยืนตรงแด่วอยู่ที่หน้าประตูไม่ผิดเพี้ยนหน้าที่
ร่างโปร่งบางค่อยๆหมุนลูกบิดประตูก่อนจะชะโงกหน้าโผล่ออกไป
“นายน้อยครับ
ออกมาตอนนี้ไม่ได้นะครับ” ตามคำพูดของบอดี้การ์ดชั้นดีที่นิยมพูดกัน
อยากจะบึ้มทิ้งให้หมดทั้งหลังเลยจริงๆ ร่างโปร่งบางเหยียดยิ้มที่มุมปาก
“อ้อ
งั้นเรอะ...”
“ครับ
ได้โปรดกละ...”
ปั้ก!
สันมือบางฟาดไปที่จุดอันตรายตรงท้ายทอยอย่างแม่นยำและเร็วจนไม่ทันกะพริบตา
ร่างสูงหนาทรุดฮวบลงพร้อมกับสติที่ไม่ไหวติง
ส่วนบอดี้การ์ดอีกคนพอเห็นเพื่อนโดนเข้าอย่างนั้นก็รีบเข้าประชิดตัวร่างโปร่งบางทันที
หมัดขวาถูกปล่อยเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
แต่ก็คงไม่เร็วเท่ากับสายลมที่กำลังจะโหมกระหน่ำ การต่อสู้ระยะประชิดตัวมือต่อมือ
เป็นสิ่งที่ร่างโปร่งบางไม่ถนัดสุดๆก็จริง
แต่ไอ้อ่อนพวกนี้น่ะ คิดจะสู้กับฉันยังเร็วไปสิบปีเฟ้ย!!!
ผลั่วะ!
เท้าวาดขึ้นกลางอากาศแล้วกระแทกไปที่ก้านคอเป็นอันจบเกม
ร่างโปร่งบางมองซ้ายมองขวาก่อนจะรีบวิ่งไปที่ที่หนึ่ง ซึ่งคิดว่าที่ตรงนี้คงจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง
โทรศัพท์มือถือถูกปล่อยทิ้งไว้ที่ตึกวายุ
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็มีคนเฝ้าอยู่ไม่ให้เขาแตะโทรศัพท์
เขาขาดการติดต่อกับวองโกเล่อย่างสมบูรณ์
แต่ตอนนี้คงต้องหาทางติดต่อกับวองโกเล่ให้เร็วที่สุด
ก่อนที่มันจะสายเกินไป...
ร่างโปร่งบางวิ่งมาจนถึงห้องๆหนึ่ง
ซึ่งตอนเด็กๆเขาแทบจะไม่เข้ามายุ่งเลยด้วยซ้ำ ก็เพราะชื่อของมันน่าเบื่อซะมากมาย
ว่า ห้องเก็บเอกสารข้อมูล
ในห้องเท่าที่เคยส่องก็มีแต่เครื่องคอมพิวเตอร์และเอกสารในแฟ้มที่วางเรียงกันเป็นตับหลายพันแฟ้ม
ถือว่าเป็นดิสก์เก็บข้อมูลของแฟมิลี่ได้เลย
เพราะฉะนั้นฉันถึงต้องเข้าไปซะ
จากรูปการด้านหน้ามีการ์ดเฝ้าอยู่ถึงสี่คน
ประตูอัตโนมัติเปิดได้ด้วยรหัสผ่านของลายนิ้วมือ
ถ้าไม่ใช่คนในแฟมิลี่ไม่มีทางเปิดได้
ตอนนี้อาวุธที่ติดตัวอยู่คือไดนาไมต์ไม่กี่แท่ง...
แต่ถ้าเป็นไดนาไมต์จิ๋วละก็พอได้อยู่
ร่างโปร่งบางคว้าไดนาไมต์อันเล็กกว่าปกติมาจุดไฟ
เล็งเป้าหมายไปที่การ์ดสี่คน ก่อนจะ...
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!ตู้ม!
ควันหนาคละคลุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
กลิ่นควันที่ไม่ปกติเริ่มส่งกลิ่น
เสียงโหวกเหวกโวยวายเคล้าเสียงลำลักยังดังไม่ขาดสาย แต่ไม่กี่นาทีหรอก
เดี๋ยวก็เงียบ...
“โอ๊ย! แค่กๆๆ ควันอะไรวะเนี่ย!”
“มองอะไรไม่เห็นเลย!”
“อ๊ะ!...อืม... คร่อก”
ควันที่หนาจนไม่เห็นอะไรค่อยๆจางลง
จนเห็นสิ่งต่างๆได้ตามปกติ
การ์ดสี่คนที่ตอนแรกยืนเฝ้าอย่างแข็งขันก็ลงไปหลับที่พื้นทั้งหมด ก็ไม่แปลก
ไดนาไมต์จิ๋วอันนี้ร่างโปร่งบางดัดแปลงใส่ยาสลบไปด้วยนี่นา
“ชิ
เนี่ยนะคนของพ่อ ฉันโดนไอ้คนพวกนี้เล่นงานได้ไงฟะ ไม่เข้าใจเล้ย! ” ร่างโปร่งบางมองคนที่กองอยู่แทบเท้าอย่างสมเพช
ถ้าเป็นวองโกเล่คงจะปลดไปนานแล้ว ระดับมาตรฐานไม่ถึงเกรดด้วยซ้ำ
ยังอุตส่าห์ให้มาเฝ้าสถานที่สำคัญอย่างห้องข้อมูล ต่อให้ไม่เป็นเขา
ศัตรูก็เข้าได้ไม่ยาก
อ่อนชะมัด ไม่อยากจะคิดเลย
ถ้าต้องมาปกครองคนแบบนี้...เป็นบอสขึ้นมาจริงๆ มือขวาจะหาได้รึเปล่าเถอะ...
โกคุเดระยกมือของหนึ่งในการ์ดที่สลบไปแล้วมาแนบกับเครื่องสแกน
แต่ผลปรากฏว่า...
ไม่อนุญาตเข้าไปได้!
เพราะอะไรฟะ
คนที่นี่น่าจะเข้าได้หมดไม่ใช่เรอะ
ร่างโปร่งบางขมวดคิ้ว
ก่อนจะเอามือของอีกสามคนมาทาบทีละคน แต่ก็เหมือนกันหมดทุกมือ
เครื่องสแกนยังคงร้องตู๊ดๆ พร้อมโชว์เงื่อนไขเด่นหราสีแดงว่า ไม่อนุญาต...
หรือว่าเข้าได้เฉพาะคนเท่านั้น...แล้วใครกันล่ะฟะ
ที่เข้าห้องนี้ได้น่ะ
ร่างโปร่งบางมองเครื่องสแกนอย่างชั่งใจ
ก่อนจะยกมือของตนเองมาทาบทันที ในใจก็ไม่มั่นใจอะไรหรอก
ความเป็นไปได้ที่จะเปิดออกน้อยกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ อย่างน้อยก็ ‘เคย’ เป็นนายน้อยของที่นี่นี่นะ
อาจจะเปิดออกก็ได้...
เหอะ
คิดอะไรบ้าๆน่ะ จะเป็นไปได้ยังไง
เครื่องสแกนเงียบไปซักพักเหมือนจะไม่รับข้อมูล
ไม่มีเสียงสัญญาณว่าไม่ได้รับอนุญาตหรือปลดล็อกได้
แต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมาผลที่ได้ทำให้ดวงตาสีมรกตเบิกโพลง
เข้าได้!!!
ประตูค่อยๆเปิดอย่างน่าอัศจรรย์
ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปพร้อมๆกับความงงงวย
ถึงเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งละกันที่มันยังอุตส่าห์จำข้อมูลของเขา
ในห้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์และแฟ้มนับพันนับร้อยเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด
แต่คิดว่าคงเยอะขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัวได้ ร่างโปร่งบางรีบเปิดคอมพิวเตอร์แล้วจัดการสแกนข้อมูลบางอย่างที่เขาเขียนลงกระดาษก่อนแล้วส่งทันที...และเพื่อความปลอดภัย...แน่นอน
เขาไม่ได้พิมพ์ในสิ่งที่คนทั่วไปอ่านได้...ไม่ได้ส่งไปที่หอบัญชาการของวองโกเล่โดยตรง
แต่ที่แน่ๆ เขามั่นใจว่านภาแห่งวองโกเล่ต้องได้รับมันแล้วรู้เรื่องอย่างแน่นอน
ผมไม่สัญญาครับรุ่นที่สิบว่าผมจะสามารถกลับไปหาท่านได้อีกครั้ง...
แต่ผมขอสัญญาด้วยชีวิตว่าท่านต้องปลอดภัย...
ผมสัญญา...
หอบัญชาการ
วองโกเล่แฟมิลี่
ความเงียบสงัดของเวลากลางคืน
แสงจันทร์สาดส่องมาตามผ้าม่านที่แย้มออก
ร่างเล็กๆของนภาแห่งวองโกเล่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่
ในมือถือปากกาด้ามเดิมที่ต้องจับขึ้นมาเพื่อเซ็นเอกสารทุกวันแต่ตอนนี้มือถือปากกาอยู่ก็จริงแต่ดวงตากลับมองทอดไปไกลนอกหน้าต่าง
สายตาที่ไร้จุดหมาย พร้อมกับจิตใจที่ไม่ได้อยู่ประจำร่างของมันก็เช่นกัน
เหงาเหมือนกันนะ...
ถ้าเป็นเมื่อก่อนต่อให้ดึกแค่ไหนก็คงไม่รู้สึกเหงาขนาดนี้...
คงจะมีเสียงปากกาที่จรดเซ็นลงบนกระดาษอยู่ข้างๆ...
มีเสียงคนชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา...
มีคนคอยเตือนว่าตอนนี้ดึกแล้ว
เขาควรจะไปนอนได้ซักที...
มีคนมาแย่งเอกสารเกือบค่อนที่เหลือไปทำอย่างอย่างหน้าตาเฉย
พร้อมบอกอีกว่าของตนเองเสร็จแล้ว แต่เท่าที่ดูก็ยังเหลืออีกตั้งมาก...
แล้ว...ไม่กี่นาทีต่อมา...คงจะยกแก้วกาแฟมาวางให้บนโต๊ะ
หืม...
กลิ่นกาแฟ...
นภาแห่งวองโกเล่ลากจิตของตัวเองกลับสู่ร่างเพราะมีกลิ่นหอมละมุนของกาแฟโชยมาไม่ไกล
ไม่ไกลเลย...
มีแก้วกาแฟควันลอยกรุ่นอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ...นภาเงยหน้าขึ้นแล้วคนที่ถือแก้วกาแฟอยู่ก็คือ
“มุคุโร่...”
“นอนดึกๆมันไม่ดีนะครับวองโกเล่” ผู้พิทักษ์ผมสีน้ำเงินไพลินยิ้มให้ พร้อมยื่นกาแฟให้กับร่างเล็ก
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ คงเพราะว่าเหม่อลอยไปไกลถึงไหนถึงไร
แต่นภาก็มั่นใจว่าต่อให้เขาไม่เหม่อก็ไม่มีทางรู้ว่าผู้พิทักษ์จอมลึกลับคนนี้เข้ามา
“คุณเหม่อไปไกลมากเลยนะครับ
เล่นเอาผมจับไม่ได้เลย” จับจิตของวองโกเล่คืองานถนัด
แต่ครั้งนี้ยอมรับว่าเขาตามไม่ทัน...
“งะ
งั้นหรอ ฉันก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“ไอ้ที่ว่าเรื่อยเปื่อยน่ะ
คงจะเป็นเรื่องโกคุเดระคุงสิน่ะครับ”
เสียงทุ้มยังคงว่าด้วยความเชี่ยวชาญในการอ่านจิตใจ นั่นมันยิ่งกระทบนภาแห่งวองโกเล่จังๆ
ห่ะ!!
ไหงเดาออกได้ขนาดนี้อ่ะ! นี่ฉันเหม่อมานานจนใครๆเขารู้เลยหรอ
“อะ
...อืม” นภาแห่งวองโกเล่พยักหน้ารับช้าๆ อย่างไม่ปิดบัง
ไม่ใช่เฉพาะวันนี้เท่านั้น แต่ทุกวันที่ที่นั่งข้างขวาของเขาไร้คนนั่งอยู่
จิตใจก็พาลจะเหม่อไปทุกที หลังจากที่ไม่มีมือขวาแล้ววองโกเล่ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง...
งานการที่เคยมีคนช่วยก็ยังมีคนมาช่วยแทนเหมือนเดิม
แทบไม่ขาดตกบกพร่องเหมือนคนเดิมที่เคยทำ
แต่ไม่รู้ว่าทำไม...นภารู้สึกว่ามันเปลี่ยนไปมากจนน่าใจหาย...
“คุณชอบเก็บอะไรไว้ในใจอยู่เรื่อยเลย...โกคุเดระคุงนี่ก็เก่งนะครับที่สามารถเข้าใจคุณได้ทุกเรื่อง” พูดเองก็น่าหงุดหงิดตัวเอง
ขนาดเขาที่คิดว่าไม่พลาดในเรื่องนั่งในใจคนแล้ว
บางทีก็มีนภาผืนนี้นี่แหล่ะที่เขาก็ไม่สามารถเข้าใจว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
ใช่...เรื่องปิดเรื่องที่สายลมโดนลักพาตัวไปกับผู้พิทักษ์พิรุณก็ด้วย...
ไม่ค่อยจะเข้าใจเลย...
“เปล่าหรอกมุคุโร่...”
ร่างเล็กส่ายหัวไปมาช้าๆ “ไม่มีใครเข้าใจลางสังหรณ์ของวองโกเล่หรอก
ไม่ว่าจะเป็นนาย โกคุเดระคุง
หรือแม้แต่ฉันเองก็ตามที...บางครั้งฉันเองยังอยากจะตัดสินใจเองโดยไม่พึ่งมันด้วยซ้ำไป”
“คึหึหึหึ
งั้นหรือครับ” ริมฝีปากบางของสายหมอกกรีดรอยยิ้มพร้อมกลับเสียงหัวเราะเบาๆ
ดวงตาสองสีจ้องหน้านภาอย่างมีเลศนัย จนคนถูกมองเสียวสันหลังวาบ
“จะบอกผมว่าเรื่องที่คุณปิดยามาโมโตะคุงไว้
เป็นการตัดสินใจของลางสังหรณ์สินะครับ”
“มะ มุคุโร่”
สายหมอกยังคงระบายยิ้มละไมบนใบหน้า
ยิ่งเห็นนภาทำหน้าตื่นๆก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่
“คุณคงไม่มีอะไรปิดบังผมอยู่...ใช่มั้ยล่ะครับ”
น้ำเสียงเชิงเค้นนั่นยิ่งบีบเข้าไปในหัวใจของนภาจนเหงื่อตก มือเล็กๆบีบเข้าหากัน นภาไม่ได้กลัวแววตาสองสีที่กำลังจ้องมา
ไม่ได้กลัวน้ำเสียงที่ชวนให้กดดันนั่น
แต่ว่ากลัว...กลัวว่าจะตอบสิ่งที่ไม่ตรงกับใจตนเอง...เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...ว่าทำไม แต่สิ่งที่รู้มีอยู่อย่างเดียวคือคนที่อยู่ตรงหน้าเข้านี้กำลังจะเดาออกไปเกือบครึ่ง!
“คึหึหึหึ
ผมสังเกตหน้าของคุณมาตั้งแต่วันที่ประชุมแล้วล่ะครับ
คุณมองไปที่เก้าอี้ของยามาโมโตะคุงตั้งหลายครั้งจนน่าผิดสังเกต
มันเป็นเหตุที่ทำให้ผมต้องเอ่ยปากถามคุณขึ้นมา
คุณดูไม่มีเหตุผลเลยนะที่ตอบไปอย่างนั้น
ถ้ายังไงตอนนี้เราก็อยู่กันแค่สองคนแล้ว...ถ้าคุณไว้ใจผม...”
สายหมอกเอามือขึ้นเท้าคางแล้วเอียงคอมองยิ้มๆ “บอกเหตุผลให้ฟังหน่อย....จะได้มั้ยล่ะครับ”
“เหตุผล...หรอ”
นภากัดริมฝีปากล่างของตัวเองอย่างคิดหนัก
เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าการตัดสินใจไม่ใช่เพราะลางสังหรณ์
แต่จะให้พูดยังไงให้คนข้างหน้านี่เข้าใจดีล่ะ
อีกอย่างก็...
ขอตอบว่า...ไม่ค่อยไว้ใจ...อย่างรุนแรง!
“อืม...งั้นฉันขอถามนายก่อนว่า
นายคิดว่าโกคุเดระคุงกับยามาโมโตะเป็นยังไง” ลองเชิงก่อนละกัน
อย่างน้อยถ้าหากตอบได้ตรงกับที่เขาสันนิษฐานก็อาจจะบอกต่อไป
มิตรภาพของผู้ชายมันลึกซึ้งและแน่นหนา
บางทีนภาแห่งวองโกเล่ก็ยอมรับว่าไม่เข้าใจเพื่อนทั้งสองคนที่คบกันมาสิบปีสักเท่าไหร่
สายหมอกยิ้มนิดๆก่อนจะตอบ “คึหึหึหึ
มองเผินๆอาจจะเป็นคนที่ต่างกันอย่างสุดโต่งเลยล่ะครับ...แต่มันมีอะไรที่ผมคิดว่ามากกว่านั้นในตัวของทั้งสองคน
ตอนที่วองโกเล่บอกว่าไม่อยากบอกยามาโมโตะคุงเรื่องที่โกคุเดระคุงโดนลักพาตัวไปผมก็รู้สึกหนาวขึ้นมาเฉยๆ
บอกตามตรงว่า...ขนลุกครับ”
นภาแห่งวองโกเล่แทบจะหลุดขำออกมา
ที่แท้คนๆนี้ก็เซนส์ดีเหมือนกันที่รู้สึก ใช่ เขาก็กลัวเหมือนกันแหล่ะ
ถ้ายามาโมโตะรู้เรื่องเข้าก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่ ปกติยามาโมโตะไม่ใช่คนใจร้อน
เขาเยือกเย็นแต่ก็นุ่มนวลเหมือนสายฝน แต่เมื่อไหร่ที่รู้ว่าสายลมถึงขีดอันตราย
มันก็แปรเปลี่ยนเป็นสายฝนที่รุนแรงและโหมกระหน่ำในทันที...
ใช่...เหมือนกับตอนนั้นน่ะแหล่ะ...
“ฮ่าๆๆๆ
เกือบไปแล้วสินะ สุดท้ายก็เลิกแค่ครึ่งวันน่ะ
ได้ยินเสียงระเบิดของโกคุเดระก็เลยคิดว่าพวกนายต้องอยู่กันที่นี่น่ะ”
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั่น
ฉันสัมผัสได้...มันไม่อบอุ่นแม้แต่น้อยเลย
“อะ
อื้ม ฉันไม่เป็นไรหรอก จริงสิ!
โกคุเดระคุงเค้า...”
“อ่า...ฉันรู้แล้วล่ะ”
ดวงตาที่นายมองไปที่ร่างจมกองเลือดของโกคุเดระคุงนั้น
มันสะกดความโกรธเอาไว้จนน่ากลัวเป็นไหนๆ
“แบบนี้...ไม่สวยสักนิดนะนาย”
แล้วตอนนี้ล่ะ...
ไม่มีแม้กระทั่งเงาของสายลมอยู่ ยามาโมโตะจะเป็นยังไง!
“ยามาโมโตะจะกลายเป็นคนที่เราไม่รู้จักเลยนะมุคุโร่...ฉันกลัว...กลัวว่าเขาจะต้องเป็นแบบนั้น
ยามาโมโตะจะกลายเป็นคนที่ไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าเขารู้เรื่อง
เขาต้องเอาชีวิตวิ่งเข้าไปหาอันตราย ฉันรู้ว่าเขาเก่ง
มีฝีมือดาบที่ใครๆต่างก็เกรงกลัว แต่ว่า ฉันไม่ต้องการให้เขาเข้าไปเสี่ยง
แค่ฉันเสียโกคุเดระคุงไปไม่กี่สัปดาห์ก็จะบ้าตายอยู่แล้ว...
แล้วนี่ต้องมาเสียเพื่อนคนสำคัญไปอีกคน ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น!!!”
ความอึดอัดในใจหรือที่ว่าเป็นเหตุผลที่นภาแห่งวองโกเล่เก็บเอาถูกปลดปล่อยออกมาจนหมด
มือเล็กๆสั่นระริกตามอารมณ์ที่จะคุมไม่อยู่ มันอึดอัด ในหัวขาวโพลนจนคิดอะไรไม่ออก
เขาไม่รู้ว่าทำแบบนี้ถูกหรือเปล่า ทำแบบนี้มันเห็นแก่ตัวหรือเปล่า...
แต่ว่า...ก็แค่นิสัยที่มันติดหัวอยู่เสมอว่า
ไม่อยากเสียใครไป...
มันก็แค่นั้น...
มือเล็กที่สั่นอยู่ถูกทำให้นิ่ง
เมื่อมีมือใหญ่ในถุงมือสีดำเอื้อมมาจับเอาไว้ นภาแห่งวองโกเล่เงยหน้ามอง
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือ สายหมอกที่เชื่อว่าคือความหลอกลวงกำลังยิ้มให้เขาอยู่
ยิ้มที่นภาไม่เคยไว้ใจเลย...
“ไม่ต้องกลัวครับวองโกเล่...เราจะทำให้เรื่องนี้ให้ผ่านไปได้ด้วยดี
วองโกเล่ไม่ได้เดินอยู่ในโลกที่โหดร้ายนี่เพียงลำพัง
พวกเราจะช่วยโกคุเดระคุงให้กลับมาโดยเร็วที่สุดครับ...”
ความอบอุ่นที่ถ่ายเทผ่านมาทางฝ่ามือทำให้เขาหยุดสั่น
หยุดสั่นไปถึงหัวใจด้วย ไม่ว่าคนตรงหน้าจะใช้ภาพลวงตาอะไรมาปลอบเขาก็ตาม
ไม่ว่าตอนนี้ลางสังหรณ์จะว่ายังไง แต่ตอนนี้นภาเชื่อ...
เชื่อในรอยยิ้มของคนๆนี้...
“อืม...ขอบคุณมากนะ”
มุคุโร่...
ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรเชื่อคนอย่างนาย
ฉันไม่เคยลืมความประสงค์ที่นายเข้ามาอยู่ในวองโกเล่...
เกลียดมาเฟีย...
อยากจะยึดครองร่างของฉัน...ทุกสิ่งล้วนอันตราย จนฉันไม่อยากจะอยู่ใกล้...
แต่ตอนนี้ฉันเชื่อนายนะ...เชื่อว่า
พวกเราต้องทำได้...
TBC…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น