Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 28 ความหมายของคำว่า
“เกลียด”
โง่!!!
โง่ที่สุดที่ตามมา! ทำไมต้องตามกันไปทุกที่ด้วย!
ถ้าฉันไปตาย...แกจะไปตายกับฉันด้วยหรือไง!
ไอ้โง่เอ๊ย!!!
ควันจางลงเพราะเครื่องปรับอากาศปัดเป่าทำให้เห็นคนบุกรุกการสนทนาของสองแฟมิลี่ชัดเต็มสองตา
ถึงแม้ว่าจะไม่อยากวิ่งกลับไปหาคนที่มาช่วยเอาไว้หยกๆแต่ก็ต้องรีบถอยห่างจากวินด์เคจกำลังดึงดาบสั้นสีเงินคามือ
เลือดพุ่งกระฉูดไหลย้อยจากหลังมือสู่ท้องแขนซึมทักสิโด้ขาวกลายเป็นสีแดงฉาน
“อย่างที่บอกไป คุณน่ะจับเขาไม่ได้หรอก
ผมจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้บอสของผมฟัง แต่นับต่อจากนี้แฟมิลี่ของคุณก็จะไม่มีวองโกเล่คุ้มหัวอีกต่อไป”
คำประกาศิตเรียบๆแต่แฝงความเกรี้ยวกราดหลุดจากปากพิรุณแห่งวองโกเล่
ดวงตาของชายหนุ่มคราวลูกหลานจ้องมองผู้อาวุโสที่คลานอยู่กับพื้นอย่างเย็นชา
แต่ความเย็นชานี้กลับเป็นสิ่งที่แสดงว่าพิรุณแห่งวองโกเล่กำลังโกรธ
ให้ตาย นี่ถ้าเขาไม่ตามมาจะเป็นยังไง?
ถ้าไอ้วิปริตนี่ทำอะไรคนๆนั้นเขาจะทำยังไง?
ตอบได้คำเดียว...เตรียมสวดศพให้ไอ้กรงจับวายุเฮงซวย!!!
“ยามาโมโตะ ทาเคชิ พิรุณแห่งวองโกเล่
ฉันไม่มีธุระอะไรกับแก!!”
“ขอโทษด้วยแต่ผมมี...”
ชายหนุ่มเถียงกลับในทันที
ร่างสูงของพิรุณค่อยๆย่างสุมเข้าไปใกล้บอสแห่งปาสติสวิลลา
รอยยิ้มเย็นกรีดที่ริมฝีปาก หยิบดาบสั้นข้างตัววินด์เคจแล้วปักฉึกตรึงชายเสื้อไว้กับพื้น ดาบคู่ใจหันคมล้อแสงไฟวิบวับอยู่แถวๆหน้าของเหยื่อจนรู้สึกเสียว
ตามองเห็นคมดาบ จมูกได้กลิ่นโลหะเจือคาวเลือดเบาบาง
ผิวเนื้อสัมผัสความเบาราวกับเส้นขนแมว แต่ทำให้ขนทั่วร่างกายพร้อมใจกันลุกซู่
“ถะ ถอยออกไปสิวะ!!
ใคร!! ใครอยู่ข้างนอก เข้ามาจัดการศัตรูสิเฟ้ย!!!” วินด์เคจตะโกนเรียก ดวงหน้าซีดเลือดไม่เลี้ยง แต่นั่นไม่ทำให้พิรุณหันหน้ากลับไปสนใจ
มันจะมีประโยชน์อะไร พวกบอดี้การ์ดเฝ้าประตูถูกกระแทกเส้นอีกหลายชั่วโมง คงจะฟื้น
อยากบอกว่าแฟมิลี่นี้ถ้าไม่ใช่คนธาตุวายุแล้ว ไม่ต่างอะไรจากพวกหนอนแมลงเลย
มีแต่ของแหกตาชัดๆ
“ยังดีที่มือขวาของพวกผมไม่มีบาดแผล
อืม...แต่จะว่าไปที่ข้อมือเขาจะช้ำเพราะว่าโดนคุณกระชากนะครับ ปกติเขาไม่ใช่คนที่คุณจะแตะต้องตัวง่ายขนาดนั้น
แต่ว่าเพิ่งออกจากโรงพยาบาล
และที่นี่ดูท่าว่าจะเป็นศัตรูต่อพลังของธาตุวายุ...เอาล่ะ
คุณจะให้ผมจัดการยังไงก็เลือกมา ผมมีหลายทางเลือก แต่รับรองได้...ตายทุกทาง”
ขู่ไปอย่างนั้นแหล่ะให้ไก่มันตื่นเล่น... วองโกเล่
ถ้าไม่ใช่เหตุจำเป็น ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ไม่ได้บอกให้บอสรู้
คู่กรณีจะถูกปล่อยให้กลับไปแบบเป็นๆทุกราย พิรุณยังจำกฎข้อนี้ได้ดี
แม้ว่าจะอยากส่งไอ้คนตรงหน้านี่ไปลงนรกเสียเต็มแก่
“โกคุเดระ...ฉันว่านายรีบออกไปก่อนดีกว่า
อยู่นานๆเป็นอันตรายต่อสุขภาพนะ”
“คงไม่ได้แล้วล่ะมั้ง”
น้ำเสียงเย็นๆของวายุตอบกลับมา นิ้วหักกรอบแกรบ แล้วเอาเครื่องมือสื่อสารออกจากหู
ดูไม่ใช่ท่าของคนที่น่าจะอ่อนแอเพราะพิษของสถานที่
ขาเรียวก้าวฉับๆมายืนข้างพิรุณแต่ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มองเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่น้ำเสียงที่สั่งยังฟังห้วนและแข็งกร้าวแต่ก็ไม่ได้เย็นชาอย่างเก่า
“ถอยไป
เรื่องนี้แกไม่เกี่ยว”
“เอ๋?
แต่ว่านาย...” คนถูกสั่งมุ่นคิ้วเตรียมพร้อมค้าน ชี้ไปทางเขาเป็นเชิงว่าจะไหวเหรอ
“ถอยไป ยามาโมโตะ ทาเคชิ
ก่อนที่ฉันจะฆ่าแกไปพร้อมๆกับไอ้กร๊วกนี่อีกคน!!!”
ร่างโปร่งบางตวาดลั่น ทำให้พิรุณต้องลุกขึ้นยกมือสองข้างยอมแพ้ ร่างบางทรุดตัวลงข้างๆวินด์เคจ
เสียงลมหายใจหอบหนักเพราะร่างกายที่ยังไม่สมบูรณ์บวกกับสภาพที่เหมือนกับดูดพลังไปทีละน้อยๆ
“แฮ่ก...เมื่อกี้ลูกน้องฉันติดต่อมา
ดูเหมือนว่าแกจะตัดทางหนีฉันทุกทิศทางเลยนะวินด์เคจ...”
“หึหึหึ หมายถึงอะไรล่ะโกคุเดระ
ฮายาโตะคุง” คนที่ยังไม่เคยตายยังคงทำไขสือ
สภาพย่ำแย่อย่างนี้ยังอุตส่าห์ทำเสียงกวนโมโหเขาได้อีก เสียงหัวเราะจากลำคอจงใจอยากต่อล้อต่อเถียงจนวายุต้องกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเก็บอารมณ์
“ฉันเข้าใจอยู่หรอกว่าแฟมิลี่แกมันหัวใสเรื่องการค้า
เงินทองของมีค่าหาได้ไม่ยาก รวยเป็นอันดับต้นๆ
แต่เล่นมาทำลายข้าวของของคนอื่นแบบนี้มันไม่สวยมั้ง”
“ฮะๆ รู้ซะแล้วเหรอ” วินด์เคจแค่นหัวเราะ
ขยับยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี “แต่มันก็ไม่มีผลเท่าไหร่นี่
ในเมื่อโกคุเดระคุงก็มีคนมาช่วยแล้ว”
กริ๊ก!
หมดเวลาล้อเล่น...
สิ้นสุดการเล่นหูเล่นตากลับกลายเป็นการกลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกขย้อน...
บาเร็ตต้าสีเงินจ่ออยู่ที่ปลายคางของวินด์เคจ
ปากกระบอกกดลงไปเตรียมส่งกระสุนทะลุคาง
เพดานและสุดท้ายให้ไปฝังอยู่ในสมองกลวงๆ หมอนี่มีเรื่องต้องเคลียร์กับเขา
อยู่ดีไม่ว่าดีดันไปแตะต้อง ‘สิ่งนั้น’ ซะได้ หากเป็นคนอื่นอาจจะไม่รู้สึก แต่สำหรับเขาแล้ว
เอาชีวิตสั่วๆของไอ้บ้านี่มาชดใช้ยังไม่พอด้วยซ้ำ!!
“ไอ้ทุเรศเอ๊ย!!! หาเรื่องมากนักนะที่ไปเจาะยางรถของฉัน!!
แกรู้มั้ยว่ารถคันนั้นเป็นรถประจำตำแหน่งที่รุ่นที่สิบให้ฉันมา
เล่นเจาะซะรูเบ้อเริ่ม เอาไปปะก็ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่ลูกเดียว
แกคิดว่าเปลี่ยนล้อเฟอร์รารี่สี่ล้อมันถูกๆรึไงวะ!!!”ความโกรธถูกพ่นออกมาเป็นชุด
ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครกล้าเล่นกับรถของมือขวาแห่งวองโกเล่
เพราะคนๆนี้รักรถประจำตำแหน่งของเขามากกว่าใครๆ
บางทีอาจไม่ใช่เพราะไม่กล้าเสียตังค์ไปเปลี่ยนอะไหล่ แต่เพราะเป็นสิ่งที่นายทูนหัวมอบให้มาต่างหาก
นอกจากเขาและเลขาส่วนตัวแล้ว ไม่เคยให้ใครเข้าไปนั่งแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ดูไอ้บ้านี่มันทำ
กล้าดียังไงไปเจาะยางจนแฟบ ไปนอนรอที่อู่เรียบร้อยแล้ว
“ฉันขอบอกแกเอาไว้เลยนะ
แล้วจำเอาไว้จนวันตาย แกโกงกำไรสองครั้งใต้จมูกของวองโกเล่ ทำตัวไร้มารยาทกับฉัน
ทำข้าวของของวองโกเล่เสียหาย
ต่อไปชื่อของแฟมิลี่แกถูกตัดออกจากพันธมิตรเครือการค้า จะไสหัวไปพึ่งบารมีใครก็ไป
แต่อย่าคลานกลับมาให้เห็นหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง!!!”
ผลั่วะ!!
โครม!!!!!
ร่างทั้งร่างของวินด์เคจกระเด็นลอยเพราะแรงลูกถีบของวายุไปชนโครมกับแจกันทองดูดีมีค่าจนแตกเป็นเสี้ยวตามที่เล็งเอาไว้เพื่อการแก้แค้นส่วนตัว
ร่างโปร่งบางทำท่าจะตามไปซ้ำแต่ก็ถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้ก่อน
“พอน่า โกคุเดระ ออกไปข้างนอกดีกว่า
ขืนอาละวาดไปมากกว่านี้โดนสึนะดุแน่ๆ”
“หุบปาก!! ถ้ารุ่นที่สิบจะว่าฉันก็จะเรียนท่านไปตามความจริงกับพฤติกรรมของไอ้วินด์เคจ
เอาให้มันไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเลยคอยดูสิ!!”
ร่างเล็กยังจะตรงดิ่งไปสำเร็จโทษด้วยความแค้น
แล้วเขาจะกลับไปบอกรุ่นที่สิบยังไงเรื่องรถ
ขืนรู้ว่าแค่มาเจรจายังโดนคู่กรณีเจาะยางเป็นการหยามขนาดนี้ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
แค่คิดก็รับไม่ได้แล้ว!!
“เฮ้! พาโกคุเดระออกไปก่อน
อย่าให้เข้ามาอีกนะ เดี๋ยวฉันจะตามไป”
พิรุณพยักเพยิดให้ลูกน้องคนสนิทเข้ามาแล้วส่งตัววายุให้
ชายหนุ่มโค้งตัวก่อนจะจับแขนทั้งสองข้างไว้อย่างแน่นหนาแล้วพาเดินออกไป
แต่ถึงกระนั้นมือขวาแห่งวองโกเล่ยังก่นด่ากลับมาไม่ขาดเสียง
“เฮ้ย!!! ปล่อยฉัน!!
แกไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายงานฉันนะ!!! ไอ้บ้า
ปล่อยสิโว้ย!!”
“ฮะๆๆ ไปรอที่รถเถอะน่า รับรองว่าไม่นาน
ไม่ทำให้นายต้องคิดถึงหรอก”
ไม่อายปาก!
นิสัยเสียๆอยากพูดอะไรก็พูดของหมอนั่นทำให้คนฟังโกรธจนหน้าแดงจัด
แต่ก็ทำให้ปากเงียบไปอย่างอัตโนมัติ พิรุณมองคนที่โดนพาออกไปแล้วด้วยสีหน้ายิ้มๆ แล้วหันมาหาวินด์เคจอีกครั้ง
ตอนนี้ไม่มีวายุอยู่แล้ว บรรยากาศที่เย็นเพราะเครื่องปรับอากาศพลันเย็นลงไปอีกทั้งๆที่ไม่ได้ลดอุณหภูมิ
จะว่าเย็นลงคงไม่ถูกเท่าไหร่ แต่มันเป็นความรู้สึกว่าเย็นในจิตใจ
ราวกับว่ามีสายฝนโหมกระหน่ำภายในร่างกาย
กล้ามเนื้อและกระดูกเหมือนกำลังถูกแช่ในน้ำเย็นๆ
รู้ตัวอีกทีพิรุณแห่งวองโกเล่ก็ทรุดตัวนั่งยองๆอยู่ตรงหน้าเขา เผยยิ้มแยกเขี้ยวดุจดั่งรอยยิ้มของปิศาจ
“เหนื่อยมั้ยล่ะครับ
คงไม่คิดสินะว่าจับวายุแห่งวองโกเล่จะยากขนาดนี้”
“หึ ถ้าไม่มีคนมายุ่งมันก็น่าจะง่ายน่ะนะ”
“คิดง่ายไปแล้วครับ
อย่างที่ผมพูดไปตอนแรกนั่นแหล่ะ...ลมน่ะพัดไปทุกหนทุกแห่ง เป็นอากาศที่เคลื่อนที่
ไม่ว่าจะเป็นกรงที่แน่นหนาหรือซี่ถี่ขนาดไหน อากาศมันก็ซึมได้อยู่ดีนั่นแหล่ะครับ”
พิรุณเปรยพร้อมรอยยิ้ม
คำสั่งสอนของเด็กเมื่อวานซืนทำให้เจ็บกระดองใจไม่ใช่น้อย
บอสแห่งปาสติสวิลลายิ้มเผล่ หัวเราะหึๆราวกับมองทะลุจิตใจของพิรุณว่าคิดอะไรอยู่
เด็กๆ
พอพูดถึงเรื่องพรรค์นี้หัวใจมันก็ใสเหมือนกับแก้วทุกคนแหล่ะน่า...
“ฉันจับไม่ได้...แต่อยากจะรู้เหมือนกันว่าไอ้หนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้านี่มันจะมีปัญญาเหมือนที่พูดรึเปล่า”พิรุณชะงักกึก
แค่นหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกที่โดนคนอาวุโสกว่าเสียบใจดำไปเต็มๆหนึ่งดอก
ดวงตาคมสีเปลือกไม้จ้องวินด์เคจอย่างตรงไปตรงมา
พร้อมกับคำพูดประโยคๆหนึ่งที่ต่อไปนี้บอสแห่งปาสติสวิลลาไม่กล้าให้ใครเรียกตัวเองว่า“วินด์เคจ”ไปอีกนาน
“ผมจับได้ไปรอบนึงแล้วล่ะครับ
กำลังจะจับเป็นรอบที่สอง”
พูดเข้าข้างตัวเองชัดๆ...
รอบที่สองนี้จะจับได้หรือเปล่า
เพราะสายลมนับวันๆ ยิ่งจะพัดผ่านไปทุกที...
“ท่านโกคุเดระครับ กรุณาหยุดดิ้นเถอะครับ”
ผลั่วะ!
“ท่านยามาโมโตะกำลังจะมาแล้วนะครับ...อูย”
ผลั่ก!
“แอร๊!!! ไอ๊อีอิ๊ดอ๋มเออะอ๊าบบบบบบ(ไว้ชีวิตผมเถอะคร้าบบบบบ)”
ลูกน้องคนสนิทของพิรุณแห่งวองโกเล่ที่บัดนี้ปากเจ่อ
คิ้วแตก เลือดกำเดาไหลย้อยรีบยกมือโบกยิกๆ น้ำตาจะไหลพรากๆเพราะผู้พิทักษ์วายุกำลังเอาไดนาไมต์ยัดปากจนขอชีวิตไม่เป็นศัพท์
แต่เอาเถอะนะเขารับปากเจ้านายมาแล้วว่าจะคุมตัวมือขวาสุดจะบ้าบิ่นคนนี้
อย่างน้อยโดนแค่เตะ ต่อย เสย แล้วกินไดนาไมต์ก็ยังดีกว่าไปกินคมดาบทีหลัง
“พวกแกน่ะสิ เสล่อไม่เข้าเรื่อง
กลับไปฉันเล่นทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องแน่ จะตามมาทำไม ฮะ!”
“ก็ตามมาช่วยนายไง”
น้ำเสียงร่าเริงดังขึ้นข้างหลังทำให้ร่างโปร่งบางหันขวับไปมอง
ลูกน้องของพิรุณจึงรอดชีวิตไปอย่างหวุดหวิด โก่งคอไอค่อกๆแค่กเพราะสำลักกลิ่นดินปืน
“ฉันบอกไปตั้งนานแล้วว่าไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วย
หูหนวกหรือไง?”
“อือ ฉันหูหนวก ฉันไม่ได้ยินเลยนะว่าโกคุเดระพูดว่าอะไรบ้าง
ได้ยินแต่สึนะบอกว่าให้ตามมาช่วยนาย นอกนั้นไม่ได้ยินอะไรเลย” พิรุณยอมรับหน้าตาย
ไอ้ที่ว่าไม่ได้ยินน่ะ เป็นเพราะใจเขาไม่อยากได้ยินมากกว่า
ไม่อยากได้ยินทุกคำพูดของวายุขณะนี้ เพราะทุกๆคำ มันได้สลักลึกในหัวใจจนเขาเจ็บระบม
โกคุเดระขบฟันกรอด เขาโกรธ
ยิ่งเห็นหน้าก็ยิ่งโมโห ทำไมเขาต้องมาติดหนี้บุญคุณหมอนี่
ยิ่งไม่อยากเห็นหน้าเท่าไหร่ กลับได้เห็นเรื่อยๆ ยิ่งไม่อยากใกล้ชิดเท่าไหร่
ฟ้าก็เหมือนแกล้งส่งมันมาอยู่ใกล้ๆเขา จนบางทีเล่นเอาเขาเสียศูนย์ เสียความเป็นตัวของตัวเอง
“เอาล่ะ กลับกันเถอะ
ตราบใดที่ยังไม่ได้ไปส่งนายถึงตึก หน้าที่ผู้ช่วยก็คงจะไม่สมบูรณ์” ร่างสูงเดินไปเปิดประตูรถให้พร้อมรอยยิ้มอบอุ่นราวกับว่าเขาเป็นคุณหนู
เล่นเอาร่างกายของวายุสะบัดร้อนสะบัดหนาว จะว่าหงุดหงิดก็ไม่ใช่ คลื่นไส้ก็ไม่เชิง
บางทีอาจจะไข้ขึ้น จิตใจที่เขาอุตส่าห์สร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมามันเริ่มจะหลอมละลายเพราะสายตาและรอยยิ้มของคนตรงหน้า
จะให้เป็นแบบนั้นไม่ได้...
“ไม่...ฉันกลับเองได้”
“แล้วนายจะกลับยังไง
อย่าลืมสิตอนนี้รถของนายไปอยู่ที่อู่น้า...”
“ช่างฉัน กลับยังไงก็ได้ที่ไม่ต้องขึ้นรถแก”
คนดื้อปฏิเสธเสียงเรียบ มองชะเง้อไปที่ถนนใหญ่เพื่อหาแท็กซี่สักคัน
แต่ก็รู้อยู่แต่แรกแล้วว่ามันสูญเปล่า ที่นี่มันชานเมือง
ถนนแถวนี้ก็ระดมทุนสร้างโดยมาเฟีย รถบริการที่ไหนจะกล้ามาวิ่ง
“ฮะๆๆ กลับด้วยกันเถอะ
สึนะสั่งมาว่าให้พานายกลับมาด้วย” คำสั่งด้นสดจากหัวสมองถูกยกขึ้นมากล่อม ถึงคนตรงหน้าจะฉลาดแค่ไหน
แต่เชื่อเถอะถ้าพูดว่าเป็นคำสั่งของนภาแล้วต้องชะงัก ได้ผลไม่มากก็น้อย
แน่นอนว่าพิรุณงัดขึ้นมาเล่นบ่อย และวายุก็หลงเชื่อเสียทุกที
“ขึ้นรถ
แล้วนายจะรู้ว่ารถประจำตำแหน่งพิรุณแห่งวองโกเล่นั่งสบายไปไม่น้อยกว่ารถประจำตำแหน่งวายุ”
ตึกวายุ วองโกเล่แฟมิลี่
บีเอ็มดับบลิวสีน้ำเงินเข้มแล่นมาจอดหน้าตึกวายุในไม่นาน
พิรุณแห่งวองโกเล่หันไปหาผู้โดยสารคนพิเศษที่ตอนนี้เพลียมากหรือรถขับนุ่มมากจนถึงขั้นเข้าสู่ห้วงนิทรา
ไหล่กว้างถูกพิงต่างหมอน ใบหน้าคมคายคลี่ยิ้มบางๆ
ไม่ว่าเมื่อใดคนๆนี้ก็ยังดูบริสุทธิ์
ไร้เดียงสาจนบางครั้งดูสูงส่งเกินกว่าที่เขาจะไปสัมผัสด้วยซ้ำ
พอคิดถึงว่าครั้งหนึ่งเขาเคยทำร้ายวายุคนนี้แล้วเขารู้สึกเกลียดตัวเอง...
เกลียดจริงๆ...
“ฉันจะขึ้นไปส่งโกคุเดระ
นายเอารถไปเก็บก่อน เดี๋ยวฉันกลับเอง” พิรุณหันไปสั่งลูกน้องของตัวเองเบาๆ
ก่อนจะค่อยๆช้อนร่างบางลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในตึกวายุ บัดนี้อ้อมแขนของเขากำลังโอบอุ้มสายลมเอาไว้
เป็นไปได้อยากให้ห้องของคนๆนี้อยู่ไกลๆ ขอให้ได้อุ้มแบบนี้นานๆ
อยู่ใกล้ชิดแบบนี้นานๆ
เพราะเขารู้ดี ถ้าคนในอ้อมแขนนี้ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่
เขาไม่มีทางได้สัมผัสเนื้อตัวขนาดนี้
ยามาโมโตะไม่รู้ว่าในร่างกายคนๆนี้ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
ทำไมถึงได้เบาอย่างนี้ แทนที่กลับจากโรงพยาบาลจะได้พักบ้าง ก็ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ
ทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบเดิมไม่มีผิด แต่เขาคงไม่มีสิทธิ์ไปขอสัญญาเหมือนตอนนั้นอีกแล้ว...อยากจะเป็นคนดูแลเอง
ดูแลและเคียงข้างวายุไปตลอด
มีสิทธิ์หรือเปล่า...
เขาวางร่างของวายุลงบนเตียงแล้วดึงผ้ามาห่มให้
พร้อมจัดแจงดึงผ้าม่านลงทำให้ห้องพอมืดสลัว
จัดเรียงแฟ้มเอกสารที่เกลื่อนเต็มโต๊ะให้วางเป็นตั้งๆ รวมถึงหนังสือ เอกสารต่างๆเมื่อทุกอย่างสะอาดเรียบร้อย
ร่างสูงจึงทรุดตัวนั่งลงบนเตียงข้างๆแล้วพินิจมองใบหน้าหวานยามนิทรา
หน้าที่เคยขาวเจือสีเลือดฝาดตามธรรมชาติตอนนี้กลับซีดเซียวและดูเหนื่อยอ่อน
ลำคอระหงและกระดูกข้อมือโปนออกมาบ่งบอกว่าผอมลง
ดูเปราะบางจนเขาแทบจะอยากกอดเอาไว้เพราะกลัวจะปลิวหายไปกับสายตา
ยามาโมโตะเคยนั่งมองวายุแบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว...
วันนั้นฝนตกหนัก
เขานั่งมองร่างที่หลับใหลที่สภาพไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่
เพียงแต่ตอนนั้นดูแย่กว่านี้ หม่นหมองกว่านี้ แปดเปื้อนกว่านี้
เป็นวายุที่คาวไปด้วยกลิ่นเลือดและโลกีย์...วันที่พิรุณรู้สึกเสียใจและฝังใจจนถึงทุกวันนี้ยามใดที่มองก็รู้สึกเจ็บแปลบในอก
รู้สึกว่าตัวเองเลวเกินกว่าที่จะให้อภัย...ตอนนั้นจึงลงเอยที่เขาเลือกลุกและเดินหนีความเจ็บปวด
แต่ตอนนี้...เขาจะไม่หนี จะไม่หนีอีกต่อไป
เขาไม่ไปไหน...จนกว่าวายุจะเป็นคนไล่เขา
พิรุณเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าผากใส
เขาสูดหายใจเข้าก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา
แต่ทุกๆคำพูดคำพูดต่อไปนี้มันเต็มไปด้วยความจริง คำที่อยากบอกมานานแต่ไม่มีโอกาส
ไม่ว่าจะเป็นทิฐิของตัวเองและทิฐิของคนตรงหน้าก็ตาม...
“โกคุเดระ...ฉันขอให้นายแบ่งความเจ็บปวดมาให้ฉันบ้าง
นายเจ็บแค่ไหนฉันยินดีแบกรับ...”
“...”
“ฉันรักนาย...”
ริมฝีปากประทับอย่างนุ่มนวลที่หน้าผากเป็นคำยืนยัน
แต่ก็เป็นขณะเดียวกันที่คิ้วเรียวเริ่มมุ่นเข้าหากันทำให้พิรุณต้องผละออก
ก็หวังแต่ว่าคนๆนี้จะเหนื่อยจนฝันร้ายไม่ใช่เพราะเขารบกวน
“ยา...มาโม..โตะ”
เสียงแผ่วเบาที่เอ่ยจากกลีบปากบางแม้ว่ายังหลับตาอยู่ทำให้พิรุณจ้องอย่างตะลึง
แต่ก็แน่ใจได้ว่าคนตรงหน้าแค่ละเมอเท่านั้น
และรู้มั้ยว่าใจเต้นแค่ไหนที่ร่างโปร่งบางละเมอชื่อเขาออกมา
“ฉัน...เกลียดแก”
แผ่วเบา...แต่แทงลึกเข้าไปจนถึงขั้วหัวใจ
เป็นเพียงคำพูดของคนละเมอ...แต่ฟังดูเป็นความจริงยิ่งกว่าสัตย์วาจาคำไหนๆ
ฉันรู้แล้ว...
ฉันก็เกลียดตัวเองเหมือนกันโกคุเดระ...เกลียดไม่ต่างกับนาย...เผลอๆอาจจะเกลียดมากกว่านาย...
ริมฝีปากของพิรุณเม้มเข้าหากันอย่างเจ็บปวด
ก่อนจะค่อยๆลุกออกจากเตียงแล้วออกไปจากห้องโดยทิ้งให้วายุนอนอยู่ในห้องเพียงคนเดียว
ไม่ต้องมีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติม พิรุณเข้าใจความหมายของคำว่า “เกลียด” ดี
เพราะว่าเกลียด นายจึงไม่มองหน้าฉัน
ไม่ต้องการเห็นฉันสะท้อนภายในดวงตา
เพราะว่าเกลียด นายจึงไม่อยากเรียกชื่อ
ทำเสียงลอดไรฟันเวลาพูดด้วย
เพราะว่าเกลียด
นายจึงเสียน้ำตาโดยฉันเป็นต้นเหตุครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาไม่รู้ว่าโกคุเดระอยากบอกว่าเกลียดเขากี่ครั้ง
บางทีอาจจะอยากบอกตั้งแต่ตอนที่เขาผิดสัญญา หรือบางทีอาจจะอยากบอกมานานแล้วก็ได้...
แต่มันก็เป็นความรู้สึกเดียวกันที่เขาอยากจะบอกว่า
“รัก” มานานแสนนาน...
ในห้องสี่เหลี่ยมกว้างๆ
ร่างบางของผู้พิทักษ์วายุยังหลับใหลอยู่บนเตียง แต่คงจะพูดไม่ได้ว่าหลับสนิท
เพราะใบหน้านั้นเจือไปด้วยความตึงเครียดของหัวคิ้วที่ย่นน้อยๆ ความรู้สึกที่ไม่ปล่อยวาง
เป็นเพราะกำลังฝันร้ายหรือกำลังตกอยู่ในห้วงคิดที่แท้จริงของตัวเองกันแน่
ที่บอกว่าเกลียด คอยหลบตาไม่อยากมองหน้า...
เพราะทุกครั้งที่มองหน้าหัวใจมันพาลเต้นผิดจังหวะ
ที่บอกว่าเกลียด กัดฟันทุกครั้งเวลาพูดด้วย...
เพราะต้องคอยข่มใจตัวเอง ไม่ให้เผลอพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกไป
ที่บอกว่าเกลียด เสียน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า...
เพราะรู้สึกแค้นใจตัวเอง เพียงแค่อีกฝ่ายเอ่ยคำสารภาพ
หัวใจที่ว่ามันแข็งกระด้างก็ต้องกลับโอนอ่อน
.
.
แล้วแบบนี้...คำว่า ‘เกลียด’ มันจะต่างกับคำว่า ‘รัก’ ตรงไหน
TBC...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น