Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 14 คนผิดสัญญา
“ยามาโมโตะ!!!”
นภาแห่งวองโกเล่เปล่งเสียงเรียกคนที่เดินเข้ามาด้วยความตกใจจนแทบหัวใจหยุดเต้น
ใช่...คนที่เดินเข้ามาเป็นชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีดำเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่มันเปียกชื้นไปด้วยน้ำฝน
ผมสีดำสนิทมีน้ำเกาะจนเรียบลู่
ใบหน้าคมคายที่เคยมีความอบอุ่นขัดกับอุณหภูมิของน้ำฝนแต่ก่อนกลับเป็นคนละคน
ดวงตาสีเปลือกไม้ฉายแววปิศาจร้ายที่เพิ่งคร่าชีวิตเหยื่อ
ผนวกกับดาบญี่ปุ่นคู่ใจเล่มนั้นมีของเหลวสีแดงย้อมตรงคมดาบไหลย้อยจนหยดเข้ามาในห้อง
เพราะเมื่อสักครู่นี้มันเพิ่งกินเลือดของยามหน้าประตูโทษฐานไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง...
“อา...อะไรกันเนี่ย อยู่กันครบเลย
มีเรื่องสนุกๆหรือไง ทำไมไม่เห็นมีใครบอกฉันเลยล่ะ”
น้ำเสียงทุ้มและเย็นยะเยือกเอ่ยถามอย่างกวนประสาท
ดวงตาของพิรุณกวาดไปรอบๆห้องที่ตอนนี้ทุกคนมองเขาเป็นตาเดียว แต่ละคนมีอาวุธครบมือ
ไม่มีใครกล้าวางอาวุธแม้กำลังคุยกับเพื่อนร่วมแก๊งค์ก็ตามที
“ยามาโมโตะคุง คุณทำอะไรลงไปครับเนี่ย” ผู้พิทักษ์แห่งสายหมอกที่บังตัวนภาอยู่เอ่ยกลับไปสบายๆเหมือนไม่เกรงกลัว
ดวงตาสองสีที่ตัดกันชำเลืองมองศพของชายฉกรรจ์เลือดท่วมหน้าห้อง
แต่ไม่ได้ทำหน้าขยะแขยงหรือตกใจ แต่เป็นสีหน้าระอามากกว่า สายหมอกมุ่นคิ้วลงก่อนจะส่ายหน้าไปมา
เฮ้อ...โชคร้ายจังนะครับ...จะตายทั้งที
ศพดันไม่สวย
“ก็ไม่มีอะไรนี่
แค่จะเปิดประตูให้สะดวกๆหน่อย ว่าแต่ตั้งแต่ฉันไปวองโกเล่รอบคอบขึ้นนะ คนเต็มเลย
แค่หน้าประตูยังมีคนเฝ้าอีก
พวกนายมีความลับสำคัญหรือทำอะไรที่มันยิ่งใหญ่งั้นหรอ...”
คำเอ่ยเป็นนัยๆทำให้นภาแห่งวองโกเล่ตกใจมากขึ้น เมื่อสบตากับดวงตาคมๆของพิรุณ
ถึงแม้ว่ามันจะไม่แสดงอะไรออกมา แต่นภาก็ไม่เชื่อหากพิรุณไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ยามาโมโตะรู้เรื่องแล้วงั้นหรอ...แล้วแรมโบ้ล่ะ!!!
“หืม...หน้านายซีดจังนะ...เป็นอะไรไปล่ะ
สึนะ” พิรุณเล็งสายตามาที่นภาซึ่งอยู่บนพื้น
นภาแห่งวองโกเล่ลุกขึ้นช้าๆ ดวงตาของเขายังคงมองไปที่พิรุณแต่สายหมอกยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ก้าวขาออกไปไหน
ซึ่งมีแต่เขาที่รู้ดีว่าตอนนี้วองโกเล่รุ่นที่สิบรู้สึกยังไง
“เก็บดาบก่อนเถอะครับ
มาถืออาวุธคุยกันแบบนี้มันอันตราย”
รอยยิ้มละไมวาดลงบนใบหน้าสายหมอกสู้รอยยิ้มของพิรุณ แต่ถึงจะบอกให้เก็บอาวุธ แต่สามง่ามของคนพูดก็ยังอยู่ในมือไม่หายไปไหนรอจนกว่าคนข้างหน้าจะเก็บดาบลงฝัก
พิรุณแค่นยิ้มออกมาน้อยๆที่มุมปาก
ไม่มีทีท่าว่าจะวางอาวุธเลย เลือดที่ไหลตามดาบหยดลงบนพรมชั้นดีเป็นดวงๆเต็มไปหมด
ดวงตาคู่นั้นยังคงมองมาที่นภาไม่วาง
“นายมาที่นี่ได้ยังไง...ยามาโมโตะ ละ...
แล้วแรมโบ้ล่ะ”
“เอ๋...ดูนายจะห่วงแรมโบ้จัง...ความจริงมีคนที่ควรห่วงมากกว่านั้นไม่ใช่รึไง” พิรุณย้อนกลับ ฟันกัดกระทบกันเพื่อระบายความเจ็บใจ ทั้งเจ็บใจทั้งโกรธ
ใช่ มีควรที่นายควรห่วงมากกว่านั้นด้วยซ้ำ!
และนายก็ไม่เคยรู้เลย....
ว่าคนที่ห่วงหมอนั่นมากๆมันทรมานแค่ไหน
ที่ไม่รู้ดำรู้แดงอะไรเกี่ยวกับเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นเลย!!!
“พูดความจริงมาได้แล้วสึนะ
เลิกทำเหมือนฉันไร้ตัวตนสักที!!! โกคุเดระอยู่ที่ไหน!!!”พิรุณตะคอกถามสุดเสียงจนนภาสะดุ้ง
แต่สะดุ้งในเสียงดังนี่ไม่เท่าไหร่ แต่ที่พิรุณรู้ความจริงมันน่าตกใจยิ่งกว่า
ตอนนี้เขาพอจะเดาได้ว่าทำไมเมื่อกลางวันสายสนทนาของผู้พิทักษ์อัสนีถึงหลุดบ่อยๆ
รู้แล้ว...สินะ
โลกของเรามันคู่กับความลับไม่ได้จริงๆนั่นล่ะ...
โดยเฉพาะ...ความลับเกี่ยวกับคนที่สนใจเป็นพิเศษ...เก็บไม่ได้เลย...
“ในเมื่อรู้ความจริงแล้วฉันก็ควรพูดออกมาสินะ
ถูกอย่างที่นายคิดนั่นแหล่ะยามาโมโตะ เราสูญเสียโกคุเดระคุงให้คนอื่นไปแล้ว
โกคุเดระคุงถูกลักพาตัวไป เพราะความงี่เง่าของฉันเนี่ยแหล่ะ นายได้ยินมั้ยล่ะ
ทุกอย่างเป็นเพราะฉันนี่แหล่ะ!!!”
นภาแห่งวองโกเล่คายความจริงที่ปิดบังเอาไว้ออกมา
แต่คนที่ตกใจกลับไม่ใช่พิรุณ แต่เป็นคนที่อยู่รอบๆนภามากกว่า
แม้แต่สายหมอกยังหันหน้ามามองนภาเผื่อจะปรามๆเพื่อไม่ให้กระตุ้นอารมณ์ของพิรุณมากไปกว่านี้
แต่ไม่เป็นผล ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตยังคงสะท้อนภาพแต่ใบหน้าของพิรุณที่เรียบเฉย
แต่เพราะใบหน้าที่ไม่แสดงอะไรเลย ที่ให้ความรู้สึกว่ามันสะกดอะไรเอาไว้บ้าง...
“เพราะนายงั้นหรอ สึนะ...” พิรุณเอ่ยถามกลับพร้อมรอยยิ้มขำเหมือนกับเห็นว่าเป็นเรื่องตลกก็ไม่ปาน “พูดอะไรอย่างงั้นน่ะ นายเป็นนภาที่สูงส่งที่ไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบใคร
หมอนั่นเองต่างหากที่อ่อนหัดไม่ดูแลตัวเองดีๆ
ปล่อยให้คนอื่นต้องมาตามหาจนแทบพลิกแผ่นดินแบบนี้ คนที่ผิดก็คือหมอนั่นไม่ใช่รึไง”
คำพูดของพิรุณกระแทกจิตใจของนภาอย่างรุนแรง
แม้จะเป็นน้ำเสียงเรียบเฉยแต่ก็แฝงไปด้วยความประชดประชัน ยังไม่เฉพาะแค่นั้น
ยังมีน้ำเสียงเจือความเศร้ามาอีกด้วย แต่มันเบาบางจนไม่มีใครสังเกตเห็น
“ยามาโมโตะ นี่นายคิดจะทำอะไรกันแน่
ฉันขอโทษที่ไม่ได้บอกนาย ฉันขอโทษที่โกหกนาย
ฉันเองนี่แหล่ะที่เป็นคนบังคับแรมโบ้ให้ปิดนายเอาไว้ แต่ว่า...
นายคงไม่ได้ทำอะไรแรมโบ้ใช่มั้ย...”
หึ เป็นอย่างนี้จริงๆซะด้วย
ตกลงว่าพวกนาย...ช่วยกันรวมหัวหลอกฉันจริงๆสินะ
ไม่เห็นฉันในสายตาแล้ว...นายถึงทำแบบนี้
“ไม่รู้สินะ”
“ยามาโมโตะ...”
“ไม่ต้องห่วง...ฉันยังมีสัญญาอะไรบางอย่างกับหมอนั่นอยู่
ยังไงเด็กคนนั้นก็ไม่ถึงตาย เอาล่ะ ส่งที่อยู่ของโกคุเดระมาซะ สึนะ”
พิรุณเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นมือมาเพื่อจะขอกระดาษที่นภากำเอาไว้แน่นจนยับ
ยิ่งเป็นแบบนี้นภายิ่งเอากระดาษขึ้นมาแนบอก ไม่ยอมให้ไปง่ายๆ
แต่ผู้พิทักษ์สายหมอกที่เงียบมานานสังเกตอัปกิริยาของนภาแล้วถอนหายใจเบาๆ คำพูดที่จะหลุดออกจากปากสายหมอกประโยคนี้มันสะกดใจของคนทั้งหมด
“ให้เขาไปสิครับ...วองโกเล่”
“มุคุโร่!!!”
ทำไมล่ะ!!!
“แค่นี้ยังไม่สาแก่ใจอีกรึไงครับ
ไหนๆยามาโมโตะคุงเขาก็รู้ความจริงแล้ว เขาอยากทำอะไรก็ปล่อยเขา...เอ้า
ส่งกระดาษแผ่นนั้นให้ผมนะครับ”
ผู้พิทักษ์ผมสีน้ำเงินไพลินยิ้มหวานแล้วยื่นมือมาขอกระดาษ
นภาแห่งวองโกเล่มองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่รู้ทำไม
กล้ามเนื้อฝ่ามือมันไม่ยอมทำตามคำสั่ง มารู้ตัวอีกทีกระดาษแผ่นนั้นก็อยู่ในมือของสายหมอกแล้ว
“ขอบคุณมากครับ”
สายหมอกกล่าวเบาๆ ก่อนจะเดินไปหาผู้พิทักษ์พิรุณ
แต่พอจะส่งกระดาษให้สายหมอกกลับชักกระดาษกลับ เขาก้มหน้าไปใกล้ก่อนจะกระซิบพร้อมยิ้มเหยียดๆตามแบบฉบับ
“ยังจำสัญญาที่โกคุเดระคุงให้ไว้กับคุณได้มั้ยครับ...คุณจะทิ้งมันรึไง”
พิรุณนิ่งไปซักพักเมื่อได้ยินประโยคนี้
ไม่ใช่เพราะว่าเขาตกใจที่สายหมอกรู้เรื่องสัญญาส่วนตัว
แต่แปลกใจมากกว่าที่เวลาแบบนี้ยังจะเอาเรื่องนี้มาอ้าง แต่หากถามว่าลืมมั้ย...
ไม่ลืม...ไม่มีวันลืมเลย...หลอกหลอนในหัวตลอดเวลา
พิรุณแค่นหัวเราะสมเพชเบาๆ ก่อนจะตีหน้าเรียบๆกลับไปเหมือนกับว่าไม่สนใจมันซะเต็มประดา
“ฮะๆๆ อะไรกัน
คนที่ไม่เคยทำตามสัญญาอย่างหมอนั่นมีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ฉันทำตามคำสัญญาด้วยล่ะ
ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยรึไง”
“โอ๊ะ โอว เอาจริงสินะครับนี่” สายหมอกแซวยิ้มๆ ก่อนจะยื่นกระดาษให้ พิรุณยิ้มกลับก่อนจะหมุนตัวกลับ
แต่ก่อนจะเดินออกไปเขาก็หันมาหาสายหมอก
พร้อมกับฉีกยิ้มเย็นไม่แพ้กับที่สายหมอกมอบให้เขา
“เอาเป็นว่า...ฉันยกให้นายเอามั้ยล่ะ”
“คึหึหึหึ โยนความรับผิดชอบนี่นา
แต่ก็...ไม่เกรงใจหรอกนะครับ” พิรุณยกยิ้มอีกครั้ง
ก่อนจะเดินหายไปกับความมืดและสายฝน
นภาแห่งวองโกเล่ทรุดลงทันทีกับพื้นพรมเหมือนกับหมดสิ้นทุกๆอย่าง
เขาทำให้เพื่อนของเขาเสียใจ
ก็เพราะเอาความรู้สึกแค่ว่ากลัวเพื่อนจะเป็นอันตรายเข้ามาตัดสิน
มันผิดมากเลยใช่มั้ย...ที่ฉันไม่อยากจะเสียใคร
มันผิด...มันดูเห็นแก่ตัวมากเลยใช่มั้ย
“อย่าโทษตัวเองสิครับ วองโกเล่ ผมบอกแล้วไงครับว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว” มือหนาในถุงมือสีดำยื่นมาตรงหน้านภาเพื่อช่วยพยุงให้ยืนขึ้น
“นายให้ที่อยู่ฟิลบาโลเน่เขาไปทำไม”นภากำหมัดแน่น นึกเคืองสายหมอกอย่างมากที่มาบอกว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว
แต่การกระทำนี่มันกลับตาลปัตรกันชัดๆ สายหมอกคนนี้ส่งเพื่อนเขาไปเสี่ยงตาย
ถ้าเป็นอย่างนี้เขาต้องเสียใครไปจริงๆเข้าสักวัน
พอเห็นนภาทำท่าเหมือนโกรธจัดรอยยิ้มละไมยิ้มให้นภาอย่างนึกขำ
จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาจนตัวสั่น
“ฮะๆๆๆ อย่าเพิ่งด่วนสรุปสิครับ
ผมไม่ปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นหรอก ตอนนี้หลังรถของยามาโมโตะคุง
มีรถของลูกน้องผมรักษาระยะห่างตามอยู่ครับ”
“หา!!! จริงหรอ”
กลับกลายเป็นว่ารอยย่นระหว่างคิ้วคลายออกจากันทันที ทำไมคนๆนี้ชอบทำอะไรไม่ปรึกษาอยู่เรื่อย
“ใช่ครับ
สิ่งที่เราควรทำต่อไปคือเรียกผู้พิทักษ์ทั้งหมดกลับมา
แล้วไปที่ฟิลบาโลเน่เพื่อช่วยโกคุเดระคุงแค่นั้นเองครับ คึหึหึ”
มันช่วยไม่ได้เลยนี่ครับ...แปลกดีเหมือนกัน
เพิ่งเคยเห็นมาเฟียอ่อนแอก็คราวนี้แหล่ะ
อ่อนแอยังไม่พอ...ดิ้นรนอีกต่างหาก...
อีกอย่าง...
ก็โดนโยนสัญญามาแบบนั้น
แต่ยังไงก็ต้องทำตามล่ะนะ
คฤหาสน์ฟิลบาโลเน่ 01.00 AM.
“ตีหนึ่งแล้วนะครับนายน้อย...โปรดเข้านอนได้แล้วครับ” เสียงของบอดี้การ์ดหน้าประตูเคาะเรียกร่างโปร่งบางที่อยู่ในห้อง
มันน่าเบื่อมากๆสำหรับคนที่ทำงานทั้งวันทั้งคืนอย่างตำแหน่งมือขวา
แต่ตอนนี้ต้องมีคนมาเตือนทั้งวันว่าเขาควรทำอย่างนั้นห้ามทำอย่างนี้
แล้วตอนนี้มันเป็นเวลาเช็คเอกสารให้รุ่นที่สิบด้วยซ้ำไป แต่นี่อะไร...
ไล่ให้ไปนอน
เห็นฉันยังเป็นเด็กอยู่เรอะ
“ถามเป็นครั้งที่ร้อย...พวกแกมีสิทธิ์อะไรวะหา!!!!”
“เอ่อ เปล่าครับ ผมทำตามหน้าที่ครับ” น้ำเสียงสั่นๆยังอุตส่าห์ตอบกลับมาเหมือนจะเข็ดกับตอนที่ร่างโปร่งบางบ้าระห่ำบุกห้องข้อมูล
แล้วบึ้มสดเพื่อนร่วมงานไปหลายคน
มือขาวๆเกาหัวสีเงินที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำจากการสระผมอย่างหัวเสีย
ก่อนจะนั่งอยู่ที่ปลายเตียง พอนั่งอยู่เฉยๆแบบนี้
ในหัวมันก็จะพาลคิดถึงเรื่องที่ไทรเด้นท์ ชามาลพูดเมื่อตอนกลางวัน
ป่านนี้เขาเชื่อ
ว่าระเบิดซังกะบ๊วยนั่นน่าจะโดนเอาออกไปเกือบหมดแล้ว
เพราะว่าคนที่เขาตัดสินใจส่งจดหมายไปให้ก็คงจะมีความสามารถพอ
แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตอนนั้น ปกติจะไม่เห็นใครผุดเข้ามาในหัวสักคน
แต่กลับเห็นเพื่อนร่วมแฟมิลี่ดาหน้าเข้ามาเต็มสมอง...รู้ตัวอีกทีก็กดคำว่าส่งโดยไม่ลังเล
ให้มันได้งี้สิ...
และอีกอย่าง
ก็ได้วางใจให้คนบางคนทำในสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาไปซะแล้ว
ถึงแม้จะไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าจะสามารถทำได้
แต่ไม่รู้ทำไมเห็นหมอนี่เหมาะสมก่อนใครๆ
สัญญา...อีกแล้วล่ะมั้ง
หน้าต่างกระจกใสบานใหญ่เกาะพราวไปด้วยน้ำฝน
เสียงสายฝนกระหน่ำขนาดอยู่ในห้องยังหูอื้อ
สายไฟฟ้าแล่นผ่านไปมาระหว่างก้อนเมฆเป็นริ้วๆพร้อมๆกับเสียงโครมครามของฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่ว
ร่างโปร่งบางเบะปากเล็กๆทุกครั้งเมื่อเห็นฝน ตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว
มันเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้วันนี้มันน่าเบื่อสำหรับร่างโปร่งบางอย่างมาก
ฝนตก...
ฟึ่บ ครืด
อะไรน่ะ!!!
เสียงหน้าต่างกระจกเลื่อน
พร้อมๆกับร่างๆหนึ่งกระโดดเข้ามาในห้อง แม้จะมืด
แต่ก็พอจับได้ว่าเป็นผู้ชายรูปร่างสูง
ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในห้องร่างกายจับได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรง
เรียกว่าคุ้นเคยเหมือนเคยได้สัมผัสด้วย ร่างโปร่างบางถอยกรูด
จ้องผู้บุกรุกไม่กระพริบ แต่พอจะได้เดาว่าเป็นใคร ร่างนั้นก็ชิงพูดมาก่อน
แค่เสียง...ก็นึกออกทันที
“หึ จะออกมาอยู่ข้างนอก
ไม่คิดจะบอกกันเลยรึไง โกคุเดระ”
ใช่...คนที่บุกห้องเขาตอนกลางดึกแบบนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน
เป็นคนที่เขารู้จักดี จำน้ำเสียงเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องเล่นๆได้แต่มันมักจะเย็นเยือกแปลกๆเมื่อฝนตก...
ยามาโมโตะ!!!
ทำไม ทำไมหมอนั่นมาอยู่ที่นี่ได้!!!
ร่างโปร่งบางเกือบหลุดปากเรียกชื่อออกไปแต่ตะครุบเสียงตัวเองเอาไว้ได้
ดวงตาสีมรกตเบิกโพลง พยายามเก็บความตกใจเอาไว้ ตอนนี้เขาไม่มีความรู้สึกที่ว่าดีใจหรือซึ้งใจที่พิรุณอุตส่าห์ฝ่าดงมาหาเขา
แต่เขาโกรธ...โกรธมาก ถึงมากที่สุด!
โกรธที่...ทำไมหมอนี่ผิดสัญญา
ตอนนั้นแกรับปากฉันว่ายังไง...ฉันก็ได้ขอแกเอาไว้แล้ว
ว่าต่อให้เกิดอะไรขึ้น
วันใดวันหนึ่งไม่มีฉัน แกต้องอยู่ข้างๆคอยปกป้องรุ่นที่สิบ!!!
แล้วนี่แกมาทำอะไร!!!
ลุยเดี่ยวมาหาฉัน..แล้วปล่อยให้รุ่นที่สิบตกอยู่ในอันตรายที่วองโกเล่...
เท่ตายเลยว่ะ!!!
“ไม่คิดจะพูดอะไรกับคนที่ไม่เจอกันเกือบเดือนเลยหรอ” พิรุณค่อยๆย่างสุมเข้ามาเรื่อยๆ
น้ำเสียงนั่นเอ่ยถามเหมือนจะแข่งกับสายฝนข้างนอก แต่ร่างโปร่งบางไม่สะท้านสะเทือนกับความเย็นอะไรนั่นแม้แต่นิด
เพราะตอนนี้ในใจ มันกำลังสุมไปด้วยไฟโกรธ
“แกเป็นใคร ฉันไม่รู้จัก...”
ครืน...เปรี้ยง!!!
สายฟ้าฟาดลงมาสว่างวาบทันทีเมื่อจบประโยคที่เอ่ยจากริมฝีปากบางซีดๆอย่างง่ายดาย
ความสว่างของไฟธรรมชาติส่องให้เห็นวายุและพิรุณยืนหันหน้าเข้าหากัน
ได้เห็นใบหน้าของกันและกัน
แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีมันไม่ทำให้เห็นความรู้สึกในดวงตาของทั้งสองฝ่าย
คนหนึ่งนำความโกรธมาปิดบังเศร้าและผิดหวัง...แต่อีกคนกลับเปลี่ยนความเศร้าให้กลายเป็นความโกรธ
เพราะสายฟ้ามันไม่ได้ผ่าแค่เฉพาะข้างนอก
แต่มันผ่าลงไปกลางใจของพิรุณด้วย
ไม่รู้จัก...งั้นเรอะ
ใบหน้าคมคายถูกประดับไปด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
แต่เป็นรอยยิ้มที่แสนน่าขยะแขยง
“ไม่น่าเชื่อนะ
ว่านอกจากนายจะทรยศแฟมิลี่แล้ว ยังลืมคนที่รู้จักกันมาเป็นสิบปีได้อีก เก่งจังเลย” พิรุณประชดประชันจนร่างโปร่งบางเจ็บแปลบไปทั่วขั้วหัวใจเหมือนกับเข็มนับร้อยนับพันที่มาทิ่มแทง
แต่มันควรจะเจ็บมากกว่านี้
ถ้าไม่ใช่เพราะความรู้สึกของร่างโปร่งบางมันด้านชาไปแล้ว
โดนทำร้ายด้วยความหลอกลวงมามากพอ...ในโลกนี้มันไม่ควรไว้ใจใครจริงๆ
พอกันที...
“แล้วแกรู้ได้ยังไง
สมองฉันไม่เคยจำว่าเคยรู้จักกับคนหน้าตาอย่างแก รีบไสหัวไปทางเดิมที่แกมาเลยนะ
แต่ถ้าไม่อยากเดินกลับออกไปเอง ฉันมีบริการ แต่ไม่รับประกันความปลอดภัยของชีวิต
เอามั้ยล่ะ” ทันทีที่ร่างโปร่งบางเอ่ยปากไล่
พิรุณก็รีบพรวดพราดเข้ามาประชิดตัว
มือเพียงข้างเดียวของพิรุณบีบข้อมือเล็กๆของร่างโปร่งบางเอาไว้ เมื่อเข้ามาใกล้แล้ว
เขาเพิ่งเห็นว่าดวงตาสีมรกตที่เคยสดใสกลับดูหมองหม่นมีมลทินไม่เหมือนมรกตงามที่เพิ่งเจียระไน ผิวขาวซีด
และอีกอย่างเจ้าของเรือนผมสีเงินผอมลงไปมากจนคนตรงหน้ารู้สึกโมโหเข้าไปอีก
“สารรูปนายตอนนี้น่าสมเพชชะมัด
ใครๆอาจจะมองว่านายฉลาด แต่ตอนนี้นายโง่มาก โง่ที่ปล่อยให้ตัวเองอยู่แบบนี้
สนุกนักหรือไงที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนมาก นายกำลังจะทำให้คนบางคนตายทั้งเป็น
รู้บ้างมั้ย!” เสียงตะคอกมันดังพอที่จะทำให้ตกใจ
แต่ร่างโปร่งบางกลับรับมันเอาไว้แล้วกลืนมันให้ลึกที่สุด
ดวงตาสีมรตกฉายแววกร้าวนำความเข้มแข็งจอมปลอมมาสะกดความอ่อนแอของร่างกายและจิตใจ
และก็แสดงว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
นอกจากจะมีคนแส่เข้ามาหาเรื่องเอง
ทั้งที่ใจจริงเฝ้าห่วงอยู่ทุกวันแทบทรมานเจียนตาย
ต้องเก็บมันเอาไว้...
ร่างโปร่งบางดิ้นพล่าน
พยายามสะบัดมือให้ออกจากการเกาะกุม แต่เพราะว่าเขาไม่ได้กินอะไรมาสองวัน
ร่างกายมันเลยอ่อนแอ ไม่มีแรงแม้จะดิ้นด้วยซ้ำ
“ปล่อยฉันสิวะ!!!
ไอ้บ้านี่! ฉันไม่รู้จักแก ปล่อย!!!!”
สำหรับร่างโปร่งบางทิฐิมานะย่อมอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง แต่โดยไม่รู้เลยว่าคำว่า ‘ไม่รู้จัก’
มันยิ่งกระตุ้นทำให้พิรุณทวีความรุนแรงมากแค่ไหน ทุกครั้งที่ร่างโปร่งบางดิ้น
ข้อมือจะถูกบีบรัดให้แน่นเข้าไปอีก จนข้อมือขาวๆกลายเป็นสีแดงปื้นรอยนิ้วมือ
“คำก็ไม่รู้จัก สองคำก็ไม่รู้จัก
ถ้าอย่างนั้นฉันจะทำให้นายรู้เองว่าเรารู้จักกันดีขนาดไหน!”
ผลั่ก!
พิรุณเหวี่ยงร่างโปร่งบางลงบนเตียงอย่างรุนแรงจนร่างโปร่งบางร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
ร่างสูงขึ้นคร่อมแล้วใช้มือหนาตรึงข้อมือบางเอาไว้กับเตียง
“กะ กะ แกคิดจะทำอะไร ไอ้โรคจิต!!! ปล่อยฉัน!!!”
ร่างโปร่งบางละล่ำละลักถามออกมาไม่เป็นภาษา เมื่อเห็นรอยยิ้มปิศาจเผยออกมา
ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุด พิรุณรูดเนคไทออกแล้วใช้มันมัดข้อมือของร่างโปร่งบางไว้กับหัวเตียง
“ก็จะทำความรู้จักนายไง
ยังไงวันนี้นายต้องเรียกชื่อฉันให้ได้!!!”
“หะ ว่าไง อะ อื้ออออ!!” เสียงของร่างโปร่งบางขาดช่วงเมื่อพิรุณประกบริมฝีปากลงมา
ริมฝีปากร้อนๆที่มันเต็มไปด้วยอารมณ์ค่อยๆคุกคาม
ทุกครั้งที่ร่างโปร่งบางหันหน้าหนีเขาจะยิ่งกดริมฝีปากให้ลึกลงไปอีก
พร้อมกับบีบแก้มเนียนเพื่อแทรกลิ้นเข้าไป ลิ้นร้อนๆลูบไล้ไปตามช่องปากจนครบทุกมุม
สัมผัสมันเร่าร้อนและรุนแรงจนร่างกายมันแทบจะละลาย มือหยาบเริ่มอยู่ไม่สุข
ค่อยๆไล้ลงไปปลดกระดุมชุดนอนออกทีละเม็ดๆ มือหนาลาบลวงเข้าไปในเสิ้อ
ปลายนิ้วร้อนตวัดหยอกเย้าไปมากับยอดอกสีหวาน
“อ๊ะ อา อือออ...”
เสียงครางที่เล็ดลอดออกมาทำให้พิรุณเหยียดยิ้มอย่างพอใจ เขาค่อยๆถอดริมฝีปากออก
ก่อนจะมองคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างพินิจ ริมฝีปากที่เริ่มมีเลือดฝาด
ดวงตาสีมรกตมีน้ำใสๆมาหล่อเลี้ยง เส้นไหมสีเงินที่มีน้ำเกาะเรียบลู่กับแก้มเนียนใส
เสียงหอบหายใจถี่เพราะขาดอากาศ ทุกๆอย่างมันทำให้เขาอารมณ์ขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาโน้มไปกัดขบเม้มที่หูและซอกคอขาวจนมันเกิดรอยแดง
“หึ มันยังอีกเยอะนะโกคุเดระ
นายต้องรู้จักฉันให้มากๆเข้าไว้”
พิรุณหยอกเย้ากับยอดอกของอีกฝ่ายเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ ลิ้นเลียจนยอดเปียกชุ่ม เสียงครางหวานของร่างโปร่งบางดังตลอดเวลา
จนกระทั่งมือหนาเลื่อนไปกระตุกกางเกงทั้งชั้นในและชั้นนอกจนไปกองกับข้อเท้าเผยให้เห็นเนื้อขาอ่อนเนียนอย่างกับสำลี
แก่นกายที่แข็งขึ้นตามอารมณ์มันทำให้ร่างสูงจะทนไม่ไหว
“ได้ที่แล้วนี่ อย่างนายน่ะ
มันง่ายจริงๆนั่นแหล่ะ”
“อึก อะ ไอ้ โรค จิต” ร่างโปร่งบางส่งเสียงประท้วงอย่างยากลำบาก
คำดูถูกมันซึมไปในจิตใจอย่างเจ็บปวด
แต่ร่างโปร่งบางจะไม่มีทางร้องไห้ให้เห็นเด็ดขาด ไม่เด็ดขาด
พิรุณหน้าเหี้ยมขึ้นทันตา
ดวงตาคมๆกดจ้องมาที่เรือนร่างเหมือนสัตว์ร้ายจะขย้ำเหยื่อ
“ฉันจะโรคจิตกว่าที่นายคิดอีก คอยดู!!” พิรุณจับขาเรียวให้แยกออกกว้าง ช่องทางเปิดให้เห็นเต็มตา
พิรุณกรีดรอยยิ้มอย่างถูกใจ ก็ไม่แปลก
เพราะว่านี่เป็นร่างกายที่ไม่เคยโดนแตะต้องของแท้
ไม่ว่าจะกดไปตรงไหนผิวของลูกผู้ดีมีเงินก็ขาวเนียนลื่นมือไปซะหมด
ทำเอาไม่รู้เลยว่าความจริงคือร่างกายของมือขวาแห่งวองโกเล่ที่เคยผ่านสมรภูมิรบมานับสิบ
เห็นแล้ว...มันน่านัก
น่าจะทำลายด้วยมือนี้ให้แปดเปื้อน
แปดเปื้อนให้มากๆ
จะได้รู้เอาไว้ซะ
ว่าทำให้คนอย่างฉันแทบบ้า มันจะเป็นยังไง!!!
นิ้วมือหนึ่งนิ้วค่อยๆกรีดไล้ไปตามบั้นท้ายจนถึงแก้มก้นเนียน
นิ้วนั้นสอดใส่เข้าไปในช่องทางทันที และปรนเปรอจนร่างโปร่งบางเริ่มหายใจหอบถี่
“อ๊า
อือออออออ”
เสียงครางกระเส่ายิ่งทำให้พิรุณดันนิ้วไปลึกๆ แล้วก็เพิ่มเป็นสองนิ้ว
ความอึดอัดเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าร่างกายยิ่งทำให้ร่างโปร่งบางร้องลั่นในอุ้งมือของพิรุณ
และที่สำคัญมืออีกข้างยังคลอเคลียคลึงไปมาตรงจุดอ่อนไหว จนน้ำสีขาวขุ่นๆเริ่มปริ่ม
แต่นิ้วมือของพิรุณกดปลายของมันเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาเพื่อระบาย
เจ็บ...ทรมาน...
“อ๊า!!!! อะ อะ
ไอ้บ้า อะ เอาออกไปนะ!!!”
“หึหึหึ เวลาแบบนี้ยังจะปากเก่งอีกหรอ
ลืมไปว่านายไม่เคย เลยเร็วขนาดนี้ ยังไงซะนายไม่มีสิทธิ์เสร็จก่อนฉัน” พิรุณคลั่งคลายมัดที่หัวเตียง
แรงมัดทำให้ข้อมือเล็กเป็นรอยมัดแดงช้ำๆจนน่ากลัว
แต่พิรุณไม่สนใจจับร่างโปร่งบางพลิกคว่ำ แล้วปลดกางเกงของตัวเองลง
แล้วยกสะโพกมนขึ้น เขาโน้มไปกระซิบที่ข้างหูของร่างโปร่งบางเบาๆ
“เอาล่ะ ถึงจุดไคลแมกซ์แล้วนะ
ทีนี้รู้จักฉันรึยังล่ะ...หืม”
“อึก ฮึก ต่อให้ตาย ฉะ
ฉันก็ไม่มีทางรู้จัก คะ คนอย่างแก”
ร่างโปร่งบางเถียงกลับเสียงสั่น ตอนนี้มันไม่ไหวจนเผลอสะอื้นออกมาเบาๆ ความเจ็บปวด
ความอ่อนไหว มันทำให้ไม่มีแรงที่จะทำอะไรต่อไป
ตอนนี้เขาก็ไม่ต่างจากกระต่ายที่บาดเจ็บรอเพียงเวลาเสือจะฝังเขี้ยวปลิดชีพก็เท่านั้น
พิรุณยิ้มเย็นออกมาแล้วเลียริมฝีปากตัวเองเหมือนโรคจิต
ยิ่งเห็นคนตรงหน้าเจ็บก็ยิ่งสนุก
“ถ้าอย่างนั้นฉันอยากจะรู้
นายจะทนฉันได้สักกี่น้ำกัน”
“อ๊า!!!!!!!! อุ๊บ!!!!” ร่างโปร่งบางกรีดร้องลั่นอย่างเจ็บปวดเมื่อพิรุณกระแทกกายเข้ามาเต็มแรง
แต่ไม่ทันที่จะร้องออกมามือหนาๆก็ตะครุบปากเอาไว้เหมือนจะปิดกั้นการระบายอารมณ์
ร่างโปร่งบางต้องกรีดร้องไห้ภาวนาอยู่ในใจ
ช่องทางบริสุทธิ์ที่ไม่เคยถูกใครแตะต้องถูกแรงกระแทกและเสียดสีจนฉีกขาด
เลือดข้นๆไหลซึมออกมาหยดลงบนที่นอนสีขาวเป็นดวงๆ มือบางจิกขยุ้มที่นอนเพื่อระบายความเจ็บปวด
แต่ที่สำคัญ...
“อื๊ออออออ ฮึก ฮึก”
มันไหลออกมาแล้ว...น้ำตา
น้ำตาแห่งความอัปยศ
น้ำตาที่สมหน้าหน้าให้กับความหลงผิด...
มันไหลออกมามากจนหยดลงบนพื้นเตียง
แน่นอนว่ามือที่ปิดปากของร่างโปร่งบางเอาไว้ต้องรู้สึกถึงความอุ่นของน้ำตา แต่มันเทียบกับความเย็นชาในใจพิรุณไม่ไหว
เหมือนกับไฟแค่ไม้ขีด จะต่อสู้กับความเย็นของมหาสมุทร...
“หึ อย่ามาสำออยน่า
เมื่อก่อนยังเก่งกว่านี้ตั้งเยอะ แค่นี้ร้องไห้ เกินไปหน่อยมั้ง” พิรุณขยับแก่นกายออกจากร่างกายของร่างโปร่งบาง
แต่ไม่ทันจะได้หายใจก็กระแทกเข้าอีก กระแทกซ้ำถี่ยิบระบายความใคร่
โดยไม่สนใจเลยว่ากำลังกระทำย่ำยีร่างกายบริสุทธิ์ให้แปดเปื้อนมากแค่ไหน
ความอดทนของร่างโปร่งบางที่อัดอั้นไว้มันถึงขีดสูงสุด...ทุกๆอย่าง
“อ๊ะ มะ มะ ไม่ไหวแล้ว อา....” เสียงสั่นพร่าร้องบอก พร้อมกับปลดปล่อยน้ำสำเร็จออกมาอย่างสุดกลั้นเป็นขณะเดียวกันที่พิรุณสำเร็จความใคร่เช่นเดียวกัน
เขาค่อยๆถอดแก่นกายออกจากร่างโปร่งบาง
เสียงหอบหายใจของพิรุณดังพอที่ร่างโปร่งบางยังได้ยิน
ถึงแม้ตอนนี้สติมันจะเลือนรางเต็มที
“เรียกชื่อฉันสิ...”
ชื่อที่จะเรียกก่อนที่จะไม่มีโอกาสที่จะเรียกอีก...
ชื่อของคนที่เคยไว้ใจ
ไม่คิดว่าจะเป็นเหมือนคนอื่นที่ผิดคำสัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
ชื่อของคนที่เขาเคยคิดว่าเป็นศัตรูตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน
แต่มันก็พัฒนาจนกลายเป็นว่าเชื่อใจมากกว่าคนอื่น
วันนี้จะถูกสะกดลึกในความทรงจำ
จะตราตรึงด้วยความเจ็บปวด
แต่สักวัน...
เขาจะทำให้มันเลือนหายไปจากใจให้ได้...แม้จะลำบากแค่ไหนก็ตาม
“ยา...มา...โม...โตะ”
เสียงเรียกสุดท้ายก่อนที่สติของร่างโปร่งบางจะดับวูบ
แต่หวังว่ามันจะจำเพียงเฉพาะวันที่แสนจะโหดร้ายวันนี้เท่านั้น
แต่พอดวงอรุณฉายแสงรับวันใหม่ ก็หวังว่ามันจะลืม
อยากจะลืม...จริงๆ
.
.
รอบๆตัวของพิรุณและวายุไม่ได้มีแสงจันทร์คู่ท้องฟ้าสีรัตติกาลที่สวยงาม
ไม่ได้มีกลิ่นดอกไม้และเสน่ห์ยามราตรีที่พิสมัยมาเป็นสักขีพยานความสัมพันธ์ครั้งแรก...
แต่มีเพียง...
ท้องฟ้าสีดำมืดครึ้ม
สายฝนโปรยปรายอย่างหนาวเหน็บ
พายุคลั่งที่โหมกระหน่ำเคียงคู่เสียงกรีดร้องอื้ออึงน่ากลัวเหมือนกับสภาพจิตใจและร่างกายของร่างโปร่งบาง
ถือว่ามันสมควรแล้วและสิ่งที่ช่วยตอกย้ำว่าคืนนี้เป็นเพียงแต่ฝันร้ายแค่นั้น...
มีเพียงแค่นั้นเอง...
TBC…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น