Project
Happy birthday P’Kwang [WAKETSU] 12.01.12
[S.Au.Fiction] KHR 8059
Romantic
PG
คำเตือน
เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Nightingale ยามท่วงทำนองของใจขับขาน:Trio
เช้าวันรุ่งขึ้น
ท้องฟ้ายามเช้าเปิดโล่ง ราวกับว่าแย้มยิ้มให้กับโลกทั้งใบได้สว่างสดใส แต่ถึงอย่างนั้น
โกคุเดระ ฮายาโตะก็ไม่มีอารมณ์ยิ้มด้วย ทั้งหมดมันเป็นเพราะกระดาษแผ่นเดียว
กระดาษแผ่นเดียวจากคนที่มันชอบทำอะไรตามอำเภอใจเอามาวางไว้ตอนเช้ามืด
ซึ่งโกคุเดระก็สงสัยนักว่า มันเอาเวลาที่ไหนไปนอน
‘วันนี้ฉันไม่ว่าง
ทำตัวดีๆอยู่บ้านแล้วถ้าฉันกลับดึกนายนอนก่อนได้เลย
วันพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญ....อีกอย่าง ขอย้ำ ห้ามเปิดประตูรับใครทั้งสิ้น’
ตัวหนังสือบนกระดาษที่วางไว้กับโต๊ะรับประทานอาหารโต๊ะใหญ่ปัดบรรยากาศสดใสยามเช้าของโกคุเดระไปจนหมดจนสิ้น! ใช่
วันนี้อากาศดี แดดไม่แรงไป ท้องฟ้าสีฟ้ากระจ่างใส เมฆขาวลอยตามลม นกร้องจิ๊บจั๊บโผบินจับกิ่งไม้ดูแล้วสบายตาสบายใจ
สมควรซ้อมเปียโนยามเช้าเป็นอย่างยิ่ง แต่ทั้งหมดพังทลายลงเพราะกระดาษแผ่นเดียว
และลายมือของเจ้าผู้ปกครองเรื่องมากที่สั่งโน่นสั่งนี่
แต่ประโยคไหนก็ไม่ทำให้โกคุเดระหนักใจจนแทบฉีกทิ้งก็ตรงที่
วันพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญ วันสำคัญมาก
วันที่เขาจะต้องถูกสายพระเนตรขององค์จักรพรรดิจ้องมอง
ถูกส่งไปให้เขาเชือดเล่นๆแล้วบอกว่า เจ้าไม่ใช่ลูกของเรา กลับบ้านเกิดเจ้าไปซะ!
มือบางคว่ำกระดาษลงที่เดิมอย่างไม่ไยดี
ก่อนจะเดินออกจากห้องอาหารพร้อมขนมปังแผ่นเดียวที่คาบอยู่ในปาก เป้าหมายมีอยู่ที่เดียวคือห้องเปียโน
ก๊อกๆๆ
ใคร!?
เสียงเคาะประตูทำให้โกคุเดระชะงักฝีเท้า
ดวงตาสีมรกตตวัดมองประตูใหญ่แล้วมุ่นหัวคิ้ว ก่อนจะไปดู แต่ไม่ทันที่จะจับด้ามจับเปิดประตู
ก็พลันนึกถึงข้อความย้ำกำชับของใครบางคนที่เพิ่งอ่านไปสดๆ
‘ขอย้ำ
ห้ามเปิดประตูรับใครทั้งสิ้น’
“นั่นใคร?”
“ไม่ใช่คนร้ายหรอกครับ
กรุณาอย่าห่วง
ผมเป็นคนที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จที่จะเล่นเปียโนต่อหน้าพระพักตร์ในวันพรุ่งนี้”
โกคุเดระหรี่ตาลงอย่างพิจารณาแล้วในที่สุดก็เปิดประตูออก
ร่างสูงโปร่งของผู้ปรารถนาดีเดินเข้ามาในคฤหาสน์พร้อมกับรอยยิ้มละไม เรือนผมสีน้ำเงินยาวมัดรวบพร้อมกับชุดของขุนนางสีขาวสุภาพบ่งบอกถึงความเป็นคนในวัง
หากแต่ว่าดวงตาสองสีที่เจ้าเล่ห์เจ้ากลนั้นยังไม่ทำให้โกคุเดระหายระแวง
“เรียกผมว่าโรคุโด มุคุโร่ ตำแหน่งคีตกรหลวงแห่งราชสำนัก
ผมมาที่นี่เพราะเป็นหน้าที่ที่ต้องคุยกับคุณก่อนขึ้นเวที”
คำว่าคีตกรหลวงทำให้คิ้วโค้งโก่งของคนฟังคลายออกนิดๆ
แต่ระยะห่างคงยืนห่างจากอีกฝ่ายพอสมควร
อากัปกริยาของร่างบางทำให้มุคุโร่หยอดคำเย้าตามนิสัย
“ท่านผู้ปกครองคงหวงมากเลยสินะครับ
ดูไปดูมา มันก็คุ้มจริงๆที่จะลงทุนลงแรงกับคุณ บรรยากาศรอบกายคุณ
คุณอาจจะไม่รู้สึก แต่มันฉายชัดของกริยาและการวางตัวอย่างผู้ที่ได้รับการอบรมโดยคนชั้นสูง...สายเลือดสีน้ำเงิน”
เอาอีกแล้ว...เจ้าพวกนี้ใช้อะไรมองกันนะ
จะขอเป็นแค่คนธรรมดาสามัญนี่มันยากมากเลยหรือไง!
“นายกำลังจะบอกว่าฉันเป็นเจ้าชายอีกแล้วใช่ไหม?”
ดวงตาสีเขียวมรกตวาววับฉายอารมณ์ที่ชักจะกรุ่นๆ “หากนายเป็นคีตกรหลวง
สิ่งที่นายควรจะมองคือฝีมือการเล่นเปียโนของฉันในฐานะนักดนตรี
แล้วถ้าฝีมือของฉันมีพรสวรรค์เทียบเท่าองค์ราชินี
ตอนนั้นค่อยเรียกฉันว่าเจ้าชายก็แล้วกัน...เชิญที่ห้องเปียโน”
คำเชื้อเชิญเรียบๆพร้อมกับร่างบางที่เดินนำไปก่อนทำให้มุคุโร่ขยับรอยยิ้มแล้วเดินตามไป
นิ้วชี้เรียวภายใต้ถุงมือสีขาวไล้ปลายคางอย่างครุ่นคิด กล้าหาญ ปากเก่ง
ซ้ำยังไม่เคยกลัวอะไรเป็นลักษณะนิสัยของคนๆนี้ที่แสดงออกมาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าไม่มีชาวบ้านธรรมดาๆพูดจาแบบนี้กับคนของราชสำนัก
ดวงตาสีมรกตที่มองเขาแม้จะระแวงแต่ก็ไม่ได้กลัวเลยสักนิด
ซ้ำยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
โกคุเดระเดินนำมาจนถึงห้องเปียโนแล้วเปิดประตูเชิญมุคุโร่ให้เข้าไป
ในขณะที่ร่างบางของเด็กหนุ่มนั่งลงที่หน้าเปียโน มุคุโร่ก็นั่งลงข้างๆ
ดวงตาจับจ้องที่แกรนด์เปียโนสีขาวพิสุทธิ์แล้วก็หันมามองคนที่กำลังจะเล่นมัน
“เสียงดีหรือเปล่า
ผมมาเช็กให้ทุกเดือน” โกคุเดระเงยหน้าขึ้นมองแล้วพยักหน้ารับคำ
แต่ในใจต้องประเมินคนตรงหน้าใหม่ โรคุโด มุคุโร่ที่อยู่ตรงหน้าเขานี้
ไม่ได้มีดีเพียงแค่คำพูดและท่าทาง ความสามารถในการรับเสียง
จัดการเครื่องดนตรีและทักษะในการเข้าถึงระบบของเปียโนอยู่ในระดับชำนาญจนหาตัวจับยาก
พิสูจน์ได้จากคำชมเมื่อวานนี้ที่โกคุเดระสงสัยอยู่ว่าใครอยู่เบื้องหลังเนื้อเสียงที่ไพเราะของเจ้าเปียโนสีขาวหลังนี้
“ยังไงก็ขอบคุณที่มา....นายมีอะไรที่จะแนะนำฉันหรือเปล่า”
“คุณมีเพลงที่จะเล่นหรือยัง
หากเป็นการแสดงต่อหน้าสมเด็จพระจักรพรรดิ
จะเล่นเป็นร้อยเพลงแต่บางครั้งก็สู้เล่นเพลงเดียวหากแต่จับใจพระองค์ไม่ได้
เพลงมีชื่อเสียงไม่มีผล สำคัญที่จิตวิญญาณงดงาม”
“จิตวิญญาณบางอย่างงดงามเกินไป
จนก้าวข้ามกลายเป็นว่าเข้าใจยาก สองอย่างนี้อยู่ใกล้กันเพียงเสี้ยว”
คำแย้งกลับทำให้มุคุโร่พยักหน้ายิ้มๆ รับฟังความคิดเห็นของหนุ่มน้อยตรงหน้า
แม้คำพูดจะขัดแย้งกับเขาแค่สายตามั่นใจแต่แรกตอนนี้มีแววลังเลเข้ามาไม่อาจรอดพ้นการสังเกตของท่านคีตกรหลวงไปได้
“แสดงว่าคุณมีเพลงเอาไว้ในใจแล้ว...ขอผมดูหน่อยได้ไหมครับ”
มุคุโร่....หมอนี่ตาไวอย่างกับเหยี่ยวแถมยังฉลาดเป็นกรด
เพียงไม่นานก็สามารถจับไต๋ของเขาจนอยู่หมัด
ทั้งที่ตัวเขาเองยังไม่เข้าใจเลยว่าคิดอะไรอยู่ถึงได้พูดถึงเพลงๆนั้นออกไป
แต่ว่าโอกาสแบบนี้ในชีวิตไม่รู้จะผ่านมาอีกเมื่อไหร่ อาจจะเป็นครั้งแรก
และครั้งสุดท้าย จะให้เขาเล่นเพลงให้ชาวบ้านฟังอย่างเดิม เล่นสักกี่ร้อยกี่พันรอบ
เขาก็ทำได้ แต่เล่นเปียโนต่อหน้าองค์จักรพรรดิในโรงมหรสพหลวง
มีสายตาของผู้ดีสูงศักดิ์นับพันนับหมื่นคู่จ้องมองมาที่เขา คงมีแค่ครั้งเดียว
ใช่
จะเล่นเพลงเป็นร้อยเพลงหากฟังแล้วธรรมดา หรือจะสู้เพลงเดียวที่ฟังแล้วซาบซึ้งไปถึงหัวใจ...
เพลงๆเดียว ที่จะเล่นเป็นครั้งแรกในชีวิต
กับโอกาสเดียวในชีวิต
โกคุเดระถอนหายใจก่อนจะหยิบกระดาษที่เขียนโน้ตเพลงนั้นออกมา
เขาสอดมันไว้แผ่นสุดท้ายของหนังสือรวมโน้ต รอยยับมีบ้างตามความบ่อยที่เขาหยิบมันออกมาอ่านแล้วจะเล่น
หากแต่ว่าไม่เคยตัดสินใจเล่นเลยสักครั้ง มือบางยืนส่งให้กับมุคุโร่
พร้อมกับรอรับฟัง ว่าคนตรงหน้าจะมีความเห็นกับมันว่าอย่างไร
ดวงตาสองสีที่ฉายแววเจ้าเล่ห์ช่างคิดเสมอตอนนี้เบิกขึ้นนิดๆก่อนจะกลับเป็นปกติแล้วกรอกไล่ไปช้าๆตามบรรทัดห้าเส้น
ความเงียบงันกินเวลาหลายนาทีที่คีตกรหลวงมุคุโร่อ่านโน้ต
ดวงหน้าคมคายนั้นแสดงสีหน้าอย่างที่โกคุเดระอยากรู้ว่ามันคืออะไร
จะเหมือนกับที่เขารู้สึกไหม
แต่สุดท้ายหมอนั่นก็ปรับอารมณ์ให้เป็นเหมือนเดิมแล้วเงยหน้าขึ้นพร้อมยื่นโน้ตคืนให้กับโกคุเดระที่ต้องรีบเก็บสีหน้าลุ้นจัดเช่นเดียวกัน
“ปะ เป็นไงบ้าง”
มุคุโร่ยิ้มอ่อนโยนรับ
แล้วพยักหน้าช้าๆ
“ไพเราะ ลึกซึ้ง และสวยงามมากครับ
ไม่เพียงเท่านั้นยังกรุ่นกลิ่นอายของความอ่อนโยนและอบอุ่น...คุณแต่งเพลงนี้เองใช่ไหมครับ?”
“เปล่า...มีคนแต่งให้”
โกคุเดระเลือกที่จะตอบสั้นๆ
คำนิยามที่มุคุโร่พูดเป็นความรู้สึกเดียวกันที่เขาสัมผัสได้
หากแต่ว่าเขารู้ว่ามุคุโร่รู้สึกได้มากกว่านั้น
แต่ที่เงียบเพราะต้องการรู้เชิงเขามากกว่า หวนคิดแล้วก็หงุดหงิดขึ้นมาเฉยๆ
นิสัยเย็นๆของหมอนี่เหมือนเจ้าผู้กองบ้านั่นอย่างกับแกะ
“จะเป็นอะไรไหม ถ้าผมอยากจะฟัง”
คำขอประหลาดทำให้โกคุเดระหันหน้าขวับ
เบิกตามองท่านคีตกรหลวงที่สีหน้ายังไม่คลายจากรอยยิ้มหวาน ร่างกายทั้งร่างชาวาบราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าน
“ทำไมฉันต้องเล่นต่อหน้านายด้วย”
“จะต่อหน้าใครก็ต้องเล่นครับ
คนฟังมีคนเดียวหรือเป็นพันเป็นหมื่นคนก็ต้องทำได้
หากหัวใจของคุณกล้าที่จะโบยบินไปกับท่วงทำนองเพลง ดำดิ่งสู่โลกมองเห็นได้แม้มืดมิด
สิ่งสุดท้ายที่จะได้ยินเมื่อโลกแห่งความสุนทรีจบลงคือเสียงปรบมือ”
ร่างบางนิ่งเงียบรับฟังคำสอนที่ตีตรงเข้าไปในหัวใจของเขาได้ชัดเจน
แม้จะตีความได้ไม่ครบถ้วนนักหากแต่ว่าเขาก็เห็นด้วยกับมุคุโร่แล้วเชื่อถืออย่างเสียไม่ได้
นัยน์ตามรกตมีแววลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วแปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นอย่างเก่า
นิ้วเรียวสวยจับแผ่นกระดาษกางเต็มกับที่วางโน้ต
สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้ววางนิ้วกับคีย์
ในใจหวังเพียงอย่างเดียว...ขอให้ได้เข้าใจ
สิ่งที่พ่อกับแม่แท้ๆต้องการจะบอก
ขอเพียงเท่านี้...
นิ้วทั้งสิบของโกคุเดระเริ่มบรรเลงเพลงตามโน้ต
พร้อมๆกับที่มุคุโร่หลับตาสดับฟัง เพียงแค่โน้ตแถวแรกยังไม่ทันจบ
ความอึดอัดที่แสนจะหาคำตอบไม่ได้ก็ฉายชัด ทั้งหูทั้งสัมผัสบนคีย์
โกคุเดระไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความไพเราะเลย
มันเป็นความรู้สึกแย่จนเขาต้องหยุดเล่นเดี๋ยวนั้น!
ตึ่ง!!
ทำไม่ได้...เล่นไม่ได้
ไม่เข้าใจเลย!
“คุณโกคุเดระ?”
ดวงตาจริงจังของมุคุโร่จับจ้องที่ดวงหน้าซีดของอีกฝ่ายที่เพียรสูดลมหายใจเข้าออกรักษาสติ
มือบางๆโบกแสดงว่าไม่เป็นอะไร
“ขอโทษที ขอให้ฉันลองใหม่”
ดวงตาของเด็กหนุ่มจ้องเขม็งที่โน้ตเพลง
เป็นการจ้องที่เพ่งสมาธิสูงที่สุดเท่าที่เขาทำมา ทั้งระดับเสียง
ทั้งตัวโน้ตเจ็ดตัวบรรจุอยู่ในสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า อ่านจนกระทั่งจำได้
หากแต่ทันทีที่เริ่มบรรเลงราวกับว่าเขาเดินไปทีละก้าวๆกับตัวโน้ต
เหมือนเด็กที่สะกดตัวอักษรไปทีละคำๆ หากแต่ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ความหมายของคำๆนั้น
หัวใจที่เชื่อมั่นเริ่มสั่นคลอนคือจุดแรกของการก้าวพลาด นิ้วที่ไม่เคยกดคีย์ผิดชักรวน
และได้สั่งสอนให้โกคุเดระรู้ถึงการเล่นที่เพี้ยนที่สุดเป็นครั้งแรก
เริ่มใหม่
เริ่มใหม่ที่บรรทัดแรกเรื่อยๆโดยที่แต่ละรอบยังไม่ถึงครึ่งเพลงเลยด้วยซ้ำ
แต่ แต่ละรอบมันก็เหมือนเดิม การคลำโน้ตไปไม่รู้ทิศทาง ยิ่งเล่น
ก็ยิ่งเหมือนก้าวเข้าสู่สิ่งที่ไม่รู้จัก มองไปรอบกายไม่มีอะไรที่สวยงามให้ได้เห็น
ความหนักอึ้งที่สั่งสมบริเวณปลายนิ้วมือมันทำให้จังหวะก้าวผิดไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
โกคุเดระมุ่นหัวคิ้ว
ดวงตาสีมรกตโชนแสง หัวใจที่โยกคลอนแปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิด
ฟังเสียงที่มันร่ำร้องภายในอกว่าต้องเล่นให้จบๆ
ผ่านครึ่งเพลงต้องด้นด้นไปให้ได้จนถึงปลายทาง
แม้ว่าจะไม่สามารถเก็บสิ่งใดระหว่างทางได้เลย
ทำไม ทำไมกัน!! ทำไมไม่บอกให้ลูกรู้สักที จะอมพะนำกันไปถึงไหน!
ลูกตามหาพ่อกับแม่อยู่นะ แต่ไม่เจอ
ไม่เจอเลยสักที...
โน้ตที่เคยท่วงทำนองหวานซึ้งบัดนี้คือความห้วนตวัด
การเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นตามหัวใจที่ร้อนรุ่มและสับสน จากที่พรมคีย์กลายเป็นกระแทก
โกคุเดระไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว
เร่งเพลงที่เขาเคยคิดว่ามันคงจะไพเราะแต่ตอนนี้คือเสียงบาดหูที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาให้จบไวๆ
และก็มาถึงบรรทัดสุดท้าย
จบสิ้นกันที...เพียงเท่านี้ก็พอจะหาคำตอบได้แล้ว
พ่อโกหก
ไหนบอกว่าพวกเขารักฉันหนักหนา
แต่ฉันกลับไม่มีค่า
ไม่มีค่าแม้แต่จะเข้าใจคำพูดของพวกเขา...
พวกเขาไม่ต้องการฉัน!
ปึ่งงง!!!
พลันก็มีฝ่ามือยื่นมาตบเข้ากับตัวหลังเปียโนอย่างแรงจนทำให้โกคุเดระชะงัก
ดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับเหงื่อที่ซึมชื้นหันขวับมามองคนที่ขัดเขา
ดวงหน้าของคีตกรหลวงมุคุโร่ไม่มีแม้อารมณ์เสียใจหรืออยากจะขอโทษ
ดวงตาสองสีคมกริบคู่นั้นว่างเปล่าเรียบเฉย หากแต่ว่าเต็มไปด้วยความตำหนิ
“เล่นแบบนี้...มีความสุขเหรอครับ”
น้ำเสียงนั้นดูแคลนมากกว่าสงสัย “ถ้าผมไม่หยุด ก็จะเล่นจนจบเลยงั้นเหรอ”
สายตาที่ผิดหวังจ้องกับดวงตาของคนที่กำลังสับสน
ความเงียบที่เป็นคำตอบ เปิดโอกาสให้คีตกรหลวงพูดต่อ
“ในเมื่อไม่เคยเล่น ไม่เคยสัมผัส
ไม่เคยรับรู้ได้ แต่ก็ยังดั้นด้น
ความพยายามไม่ได้ช่วยให้มันเพราะขึ้นมาหรอกนะครับ”
“นายรู้ได้ไงว่าฉันเพิ่งเคยเล่นเพลงนี้!”
น้ำเสียงแข็งๆถามอย่างไม่สบอารมณ์ มุคุโร่ถอนหายใจพรืด
“จังหวะคร่อม เสียงเพี้ยน
สะกดไปทีละตัวๆ สุดท้ายได้เพียงร่างหากแต่ไร้จิตวิญญาณ
นี่คือสิ่งที่ผมฟังได้จากเปียโนของคุณ....นักดนตรีน่ะ
ถ้าหากไม่รับรู้ถึงความหมายแล้วเข้าใจมัน ก็คงไม่มีทางที่จะเล่นได้ดี”
“เพลงนี้สำคัญ
ต่อให้แย่หรือพยายามเท่าไหร่ฉันต้องเล่นมันให้ได้”
ดวงตาขวางๆและน้ำเสียงไม่ผ่อนผันของโกคุเดระยังคงเถียง
“ฉันต้องเล่นเพลงนี้ในวันแสดงพรุ่งนี้”
“คุณยังขาดอะไรบางอย่าง
ทำให้คุณเล่นเพลงนี้ไม่ได้ และเมื่อเล่นไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าผมจะให้คุณขึ้นเวที”
คำยื่นสิทธิ์ขาดยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้อารมณ์ของโกคุเดระเดือด
คำว่า ขาดอะไรบางอย่าง ที่เจ้าตัวไม่อยากจะฟัง
“นายจะมารู้ดีกว่าฉันได้ยังไง!!”
“ใช่ครับ
ผมรู้ไม่ได้ดีไปกว่าคุณหรอก เพราะความรู้สึกของคุณมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า
ตอนที่เล่นเพลงนั้นมันทรมานขนาดไหน ขนาดคนเล่นยังไม่มีความสุข เป็นไปไม่ได้ที่จะมอบความประทับใจให้คนฟัง”
แล้วร่างสูงโปร่งก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปทางประตู แต่ก่อนที่จะลับตา ดวงหน้าคมคายหันมายิ้มให้
“คุณน่ะ มีพรสวรรค์ ผมรู้
แต่บางสิ่งบางอย่างนั้น พรสวรรค์ก็ไม่อาจพาคุณเข้าถึงบางสิ่งบางอย่างได้ หากองค์ราชินีได้เห็นเพลงนี้
ท่านคงไม่ต้องใช้พรสวรรค์ในการเล่นหรอกครับ”
โกคุเดระตวัดสายตามองคีตกรหลวงที่ทิ้งคำพูดเปรียบเปรยเอาไว้ให้แล้วเดินจากไป
ในใจของเขานั้นไม่สงบลงเลยสักนิด กลับกันความกดดันและความสับสนจะมีมากขึ้นทบทวี
อีกทั้งยามเมื่อมองโน้ตแผ่นนั้นความน้อยเนื้อต่ำใจยังเข้าถาโถมจนเจ็บปวดทรมาน
มือทั้งสิบพรมลงกับคีย์อีกครั้ง จะเล่าโน้ตของเพลงๆนั้นซ้ำๆ เล่นไปเล่นมา ในห้วงคิดทบทวนคำพูดของเขากับพ่อก่อนที่จะจากกัน
“คนที่เขียนเพลงนี้เป็นคนยังไงกันนะพ่อ
เหมือนกับว่ามีความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ให้กับใครอย่างนั้นล่ะ”
ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่...ที่เขายังไม่สามารถเข้าถึงมันได้
เอื้อมมือเข้าไปหาเท่าไหร่ก็เหมือนกำลังโดนผลักไสเท่านั้น เพลงนี้มันเกิดมาเพื่อเขาจริงๆหรือ
หรือว่าตัวเขาเองที่ไม่ควรเกิดมาคู่ควรกับเพลงนี้
...แต่คำตอบของพ่อก็ยังชัดเจนในความทรงจำ
คำตอบของพ่อที่เขาเชื่อตลอดมา
“พวกเขารักลูกมากกว่าที่พ่อรักเป็นร้อยเป็นล้านเท่า”
“โกคุเดระ!!!!!” เสียงตะโกนเรียกดังทั่วทั้งคฤหาสน์ บ่งบอกถึงความร้อนใจและห่วงหา
ใบหน้าคมคายของยามาโมโตะฉายแววเครียดจัดเมื่อก้าวเท้าเข้าคฤหาสน์แล้วได้ยินเสียงเปียโนทั้งๆที่ตอนนี้ก็ห้าทุ่มเข้าไปแล้ว
เสียงเปียโนที่ฟังแล้วไม่สบายใจเพราะมันเต็มไปด้วยความสับสนดังแว่วมากับท่วงทำนอง
โกคุเดระ นี่นายกำลังทำอะไร
ร่างสูงวิ่งขึ้นบันไดไปถึงห้องเปียโน
ไม่รอช้าเขารีบเปิดประตู ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาผู้กองหนุ่มแห่งราชสำนักแทบคลั่ง
ร่างบอบบางของผู้ที่เขาห่วงใยที่สุดไหวเอนราวต้นอ้อลู่ลม
หยาดน้ำตารินไหลอาบแก้มไม่ขาดสาย หากแต่ว่ามือนั้นยังคงกดคีย์บรรเลงต่อไป
ท่าทางทรมานของคนตรงหน้า เจ้าตัวจะรู้บ้างหรือไม่
ว่าได้สร้างความทรมานใจให้ใครคนนี้มากกว่าเป็นทบทวี
“โกคุเดระ!”
เสียงเรียกของยามาโมโตะดังแทรกไปกับเสียงดนตรี แต่เขาก็มั่นใจพอว่าโกคุเดระจะต้องได้ยิน
ทว่าผลมันกลับตรงกันข้าม นัยน์ตาสีมรกตคู่นั้นไม่ละไปจากโน้ต
ความเมินเฉยแสดงราวกับว่าโลกของโกคุเดระตอนนี้ ไม่มียามาโมโตะ
ทาเคชิยืนตะโกนเรียกอยู่
ผู้กองร่างสูงสบถ
แล้วก้าวเท้ายาวเข้าประชิดตัวร่างบางแล้วเรียกอีกครั้ง เสียงเข้มจัดทั้งดุทั้งทรงอำนาจ
“โกคุเดระ!!”
“........”
“โกคุเดระ! นี่นายได้ยินฉันมั้ย!!” คราวนี้ไม่เรียกเปล่า
มือแกร่งยังคว้าหมับเจ้าที่ข้อแขนบางแล้วกระชากออกจากคีย์เปียโน
ส่งผลให้ร่างทั้งร่างหันมาหายามาโมโตะตามแรงดึง
ใบหน้านวลแดงก่ำนั้นมีน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ยิ่งมาเห็นชัดๆหัวใจของคนมองยิ่งจะแหลกสลาย
เมื่อได้เห็นดวงตาที่เบิกขึ้นนิดๆตอนที่โกคุเดระเห็นหน้าเขา
ยามาโมโตะก็พอจะเข้าใจแล้วว่า ที่ร่างบางคนนี้เมินหน้าเขาราวอากาศธาตุ
ไม่ใช่เพราะแกล้งไม่ได้ยิน.....
แต่มันไม่ได้ยินเลย....
หูสองข้างนั้น คงจะอื้ออึง
อื้ออึงเพราะหูใช้งานหนักมากเกินไป จนไม่ได้ยินอะไรชั่วคราว
โกคุเดระ....นี่นายเล่นเปียโนแบบนี้มานานกี่ชั่วโมงแล้ว....
“ยะ ยามาโมโตะ...อะ โอ๊ย!!”
เสียงเรียกชื่อเขาเป็นครั้งแรกดังแผ่วเบาจากกลีบปากบางพร้อมกับเสียงร้อง
ร่างบางสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกเขาบีบเข้าที่ปลายนิ้วมือ เมื่อดวงตาคมสีน้ำตาลเปลือกไม้ก้มลงมองก็แทบจะหยุดหายใจ
เพราะปลายนิ้วเรียวบัดนี้บวมแดง และช้ำจนเกือบห้อเลือด
ยามาโมโตะปล่อยมือข้างหนึ่งก่อนจะไปลูบบริเวณคีย์ ความร้อนผ่าวที่ส่งผ่านให้สัมผัส
ยิ่งคิดอยากลงโทษเจ้าคนในปกครองของเขาจนไม่รู้จะลงโทษอย่างไร นี่ถ้าเขาไม่เข้ามาก็จะไม่มีวันหยุดใช่ไหม
“อยู่ตรงนี้ แล้วห้ามขยับตัว
ถ้ายังเอื้อมมือไปกดคีย์อีกแม้แต่นิดเดียว ฉันตีนายแน่!”
เสียงดุเยียบเย็นกำชับ ก่อนจะเดินลุกหายไปจากห้อง
ปล่อยให้โกคุเดระก้มหน้ามองมือแดงๆสองข้างของตัวเองที่สั่นระริก
ตั้งแต่ที่มุคุโร่กลับไป เขาก็ไม่ได้ลุกออกจากตรงนี้เลย
ส่วนนิ้วมือก็ไม่ได้ละออกจากคีย์ สัมผัสของการกดกระแทกยังชาอยู่ไม่จางหาย
ขมับปวดหนึบๆฟังเสียงเพลงบาดหูมาแล้วทั้งวัน
ใช่...ทั้งวัน
ทั้งวันแต่ก็ยังไม่ได้เรื่อง
เสียงคนเดินเข้ามาในห้องเรียกดวงตาสีมรกตให้หันไปมอง
ผู้กองยามาโมโตะเดินเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับกะละมังใบเล็กๆใส่น้ำและผ้าขนหนู
ร่างสูงวางกะละมังลงกับพื้นแล้วย่อตัวคุกเข่าลงจนเสมอกับเขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
มือที่ให้ไออุ่นคู่นั้นค่อยๆประคองมือเขาเอาไว้แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบให้อย่างเบามือ
การบรรจงที่ค่อยซับผืนผ้ากับปลายนิ้วราวกับว่ามันคือสิ่งที่ล้ำค่า
สายตาของผู้ชายคนนี้ที่มองมือเขานั้นเต็มไปด้วยการเพียรรักษาและทะนุถนอม
สัมผัสที่อ่อนโยนแผ่วเบาผสมผสานกับความเย็นของน้ำทำให้โกคุเดระผ่อนคลาย
น้ำตาไม่รู้ว่าหยุดไปแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ ภาพเบื้องหน้านี้ชัดเจนไม่พร่าเลือน
ภาพของคนที่กุมมือเขาแล้วมองด้วยสายตาเป็นห่วง เขาเห็นอย่างเต็มสองตา
“ยามาโมโตะ...ฉัน...”
“วันนี้มีใครมาหานายหรือเปล่า”
น้ำเสียงที่ถามอ่อนลงมากแล้วแต่ก็เจืออาการตำหนิอยู่ ทำให้โกคุเดระหลบสายตา
แล้วอ้อมแอ้มตอบเบาๆ
“คีตกรหลวง โรคุโด มุคุโร่มาหาน่ะ”
เสียงสบถดังขึ้นอีกครั้งจากผู้กองหนุ่มที่แทบไม่เคยสูญเสียความเยือกเย็น
แต่ตอนนี้เขาอยากจะตรงไปบ้านคีตกรหลวงเจ้าปัญหาแล้วโวยวายใส่มันซะ
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าโรคุโด มุคุโร่จะไม่ใช่คนที่ประสงค์ร้ายกับคนอื่น
แต่กับคนนิสัยอย่างโกคุเดระ คงจะหลงกลหมอนั่นได้ไม่ยาก
ร่างสูงนิ่วหน้า
ทอดเสียงแผ่วลงอย่างอ่อนใจ “ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเปิดประตูรับใคร ทำไมไม่ฟังกันบ้าง?”
“ถ้าไม่ได้หมอนั่นมา
ฉันจะรู้เหรอว่าความจริงแล้วฉันยังขาดอะไรอีกตั้งมากมาย”รอยยิ้มบางๆกับดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำทำให้ยามาโมโตะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ
มือใหญ่คู่นั้นยังคงมีมือบางของโกคุเดระวางอยู่
“นี่ฉันถามนายหน่อยได้ไหม
ทำไมนายถึงเล่นเปียโนล่ะ”
คำถามแปลกประหลาดทำให้โกคุเดระฉุกคิดได้ชะงัก
คิ้วเรียวที่มุ่นเข้าหากันชักจะกลับเป็นสีหน้าของคนๆเดิม
ถ้าจะให้ตอบตรงๆล่ะก็เพราะพ่อกรอกหูตั้งแต่เด็กและเคี่ยวเข็ญให้เขาเล่น
แต่พอไปๆมาๆกลับกลายเป็นว่ามันคือส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
เหมือนนกที่ต้องกางปีกบินและร้องเพลง
มีโลกที่สวยงามและอิสระ...หากไม่ทำเช่นนี้ก็คงจะไม่ถูกเรียกว่านก
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามนายกลับว่ามีคนสองคน
คนสองคนนั้นบอกรักกันยากที่สุด นายรู้ไหมว่าทำไม”
เค้าหน้าสวยละมุนหันมาถามเขา
เกิดอาการที่ทำให้ยามาโมโตะรับรู้ถึงคำว่าใจสั่นเป็นครั้งแรก
ประเด็นที่ทำให้ทั้งหัวขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงส่ายหน้าตอบอีกฝ่ายไป
“สองคนนั้นเป็นคนพิการ...”
โกคุเดระวาดรอยยิ้มละไม “คนหนึ่งหูหนวกตั้งแต่กำเนิด
เพราะอย่างนั้นจึงส่งผลให้เป็นใบ้ด้วย...ส่วนอีกคนก็ตาบอดสนิท
อยู่ในโลกแห่งความมืดมิด
เพราะฉะนั้นคนหนึ่งพยายามสื่อสารด้วยมืออีกคนก็ไม่สามารถรับรู้ได้
ส่วนอีกคนก็พยายามส่งเสียง แต่ข้อความก็ไปไม่ถึง....”
“แต่ว่ายังมียากกว่านี้อีก...”
“อะไรเหรอ?”
“ฝ่ายหนึ่งเป็นคนปกติ
แต่อีกฝ่ายเป็นคนพิการ”
คำตอบของโกคุเดระทำให้ยามาโมโตะขมวดคิ้ว
คิดไม่ออกว่ามันยากกว่าแบบแรกตรงไหน แต่ทุกอย่างก็ชัดเจนเมื่อร่างบางขยายความต่อ
“...พิการทางหัวใจ”
“ปิดกั้นทุกสิ่งที่จะเข้ามาเติมเต็ม
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะพูด จะแสดงท่าทางหรือสัมผัส แต่ถ้าหัวใจของเขาไม่รับรู้
ก็ไม่มีวันสื่อสารได้”
ความเงียบเข้าโรยตัวชั่วอึดใจ
ให้ทั้งคู่ได้ดำดิ่งสู่ห้วงคิดของตนเอง
คำพูดของเด็กหนุ่มยังคงก้องกังวานทั้งในห้องสี่เหลี่ยมกว้าง
และสะท้อนไปมาในห้องหัวใจของคนฟัง
และก็เป็นฝ่ายของโกคุเดระที่ไหวไหล่แล้วพูดขึ้นมาต่อ
“ดนตรีคือโอสถวิเศษที่ดึงมนุษย์ให้ห่างจากความพิการทางหัวใจ
เพราะมีดนตรีมนุษย์ถึงมีจินตนาการและความฝัน มีแรงบันดาลใจที่จะสรรค์สร้าง
สงสัยพ่อกลัวว่าหัวใจฉันจะพิการถึงบังคับฉันตั้งแต่เด็กๆ”ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะใสๆที่เรียกรอยยิ้มของยามาโมโตะได้อย่างสบายใจว่าคนตรงหน้าคงรู้สึกดีขึ้นมาแล้ว
คนรับฟังพยักหน้าหงึกหงักแล้วก็สรุป
“ถ้าอย่างนั้น แม้คนที่พิการ
หูจะหนวก หรือตาจะบอดก็ยังสามารถเล่นดนตรีได้ หากหัวใจยังไม่ไร้ซึ่งบานประตูปิดตาย...เพราะฉะนั้นมันยังเปิดรับอะไรได้เสมอ...”
ยามาโมโตะเว้นช่วงไปสักพัก
ความเงียบที่มันดันไม่เงียบ หัวใจสองดวงเต้นถี่รัวแต่แปลกประหลาดตรงที่ว่ามันเป็นเสียงเดียวกัน...
“โกคุเดระ
สิ่งใดที่นายขาด....ให้ฉันเป็นคนเติมเต็มมันนะ”
ดวงตาสองคู่สบกันอย่างเนิ่นนาน
สบกันผ่านหน้าต่างของความรู้สึก
มือที่เย็นชืดจากหยาดน้ำบัดนี้กลับอบอุ่นและกระชับแน่นขึ้น
คำพูดกับความรู้สึกที่ส่งผ่านมาสะท้อนกังวานอยู่ในห้วงแห่งความรู้สึก
ถูกบรรจุลงในจิตใจทำให้มันพาลเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยรู้สึก หัวใจที่ไม่เคยปิดตาย
ที่ผ่านมามันจึงถูกเติมเข้าเรื่อยๆ แต่ว่ายังไม่เคยเต็ม ความรู้สึกดีที่ยิ่งใหญ่
เล็กลงทันทีเมื่อเทียบกับหัวใจของใครอีกคนเมื่ออยู่ตรงหน้า
ราวกับว่ามีให้มาตลอดเวลา มีให้จนไม่รู้ว่าจะหมดลงเมื่อไหร่
รู้เพียงแต่ว่ามันเหมือนหยดน้ำที่ชโลมหินผาอย่างต่อเนื่อง
หินจะถูกน้ำกัดกร่อนจนทำให้เห็นสิ่งที่ขาด
...ว่าความจริงแล้ว
ไม่ได้ขาดเลย...เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่ามี มีมาโดยตลอด
“ขอบใจ...นะ”
ร่างบอบบางที่สั่นไหวพร้อมหยาดน้ำตาที่ร่วงพรูถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอด
ซบลงกับแผ่นอกของที่พึ่งยามเดียวในขณะนี้ มืออุ่นลูบเส้นผมของเขาอย่างแผ่วเบา
พร้อมกับแรงกดจมูกลงกับกระหม่อม ในแววตาสีน้ำตาลเปลือกไม้มีทั้งความสุขและอาวรณ์ปะปนระคนกัน
เพราะว่านี่คงเป็นอ้อมกอดแรก และอ้อมกอดสุดท้าย
“ถ้านายรู้สึกดี
ฉันจะกอดนายเอาไว้แบบนี้ จะกอดให้นานจนกว่าจะพอใจ เพราะถ้านายคือเจ้าชายรัชทายาทฉันไม่มีสิทธิ์เพราะทหารองครักษ์ไม่สามารถจะดึงเจ้าชายมากอดได้”
ยามาโมโตะหัวเราะเบาๆแล้วหลับตาลงช้าๆ กระชับอ้อมแขนให้แน่น
.....หรือถ้านายไม่ใช่
เราก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร สิ่งสุดท้ายก็คือ....”
“จะไม่มีนายและฉัน
อย่างที่มีในวันนี้”
.
.
.
TBC...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น