หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

Fic KHR [8059] My wind...our wind : Chapter29



Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama  Action
NC-17

คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ



Chapter29  My wind, we’ll be together forever



ตึกวายุ วองโกเล่แฟมิลี่


นี่ ตกลงรถจะได้เมื่อไหร่


น่าจะราวบ่ายๆน่ะครับ ต้องเปลี่ยนล้อสี่ล้อ แล้วเปลี่ยนแมกซ์ใหม่ด้วย เดี๋ยวผมจะเป็นคนไปรับให้เองครับ


ให้ตายสิว้า คิดถึงแล้วอยากตั๊นหน้าไอ้โรคจิตนั่นให้ลงไปกองกับพื้น แล้วปราการบ้าอะไรน่าขยะแขยงชะมัดวายุแห่งวองโกเล่บ่นพึมพำเมื่อหัวเริ่มจะฟื้นฝอยตะเข็บเก่าๆกับเหตุการณ์เมื่อวานนี้ จะว่าไปเขาไม่ได้ลืมหรอกนะว่ารอดกลับมาได้เพราะใครช่วย แถมยังติดรถเจ้าหมอนั่นมาลงที่ตึกอีก แต่หลังจากนั้นเชื่อหรือไม่ว่าไม่ว่าจะพยายามนึกสักกี่รอบในหัวมันก็ว่างเปล่า ไม่หลงเหลืออะไรเลย


เขากลับมานอนบนเตียงทั้งที่ยังใส่สูท ห้อง โต๊ะทำงานถูกจัดซะเรียบร้อย พอถามว่าใช่ฝีมือของเลขาส่วนตัวรึเปล่า ก็ถูกปฏิเสธ แถมยังบอกว่าไปเฝ้ารถที่อู่จนเย็นถึงได้กลับตึก คำตอบนี้แหล่ะที่ทำให้ร่างโปร่งบางพอจะจับมือดมได้ว่าใครเป็นคนพาเขามาส่งถึงห้อง


โกคุเดระไม่ชอบเวลาตัวเองหลับ มีเหตุผลเพราะเวลาหลับสติสัมปชัญญะจะไม่ครบถ้วน อะไรที่คิดอยู่ในหัวก็จะออกมาหลอกหลอนเป็นฝันร้าย ฝันยังไม่เท่าไหร่แต่ถ้าเกิดละเมอแล้วมีคนมาได้ยินสิ นั่นแหล่ะที่เรียกว่าแย่


ฝัน?...ไม่ใช่ มันดำดิ่งและลึกซึ้งกว่าที่เรียกว่าฝัน ไม่เห็นภาพ ไม่ได้ยินเสียง แต่รับรู้ถึงความรู้สึกของตัวเองที่มันอยู่ลึกๆข้างใน นี่คือสิ่งที่โกคุเดระ ฮายาโตะ เผชิญเมือคืนนี้ แล้วมันยังมีความรู้สึกที่ติดอยู่ปลายลิ้นราวกับว่าเขาเกิดหลุดพูดอะไรออกไป


คำพูดบางอย่าง...ที่นึกไม่ออก


“เช้านี้ฉันมีประชุมผู้พิทักษ์ คงจะกลับประมาณก่อนเที่ยง” ร่างโปร่งบางหันไปบอกเลขาคนสนิทก่อนหอบแฟ้มเอกสารแน่นอนว่าหัวข้อเด็ดวันนี้ไม่พ้นแฉพฤติกรรมไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงของปาสติสวิลลา แล้วเดินออกไปจากห้อง อา...เป็นช่วงเวลาที่หน้าเบื่ออีกแล้ว จะมีใครรู้บ้างมั้ยว่าเดินถือแฟ้มเฉยๆไปตามทางเชื่อมนี่มันน่าเบื่อสุดๆ


แล้วการประชุมวันนี้ ลางสังหรณ์ของมือขวาแห่งวองโกเล่ก็บอกให้รู้ว่ามันจะ น่าเบื่อ


ก่อนเวลายี่สิบห้านาที


ตามกฎระเบียบที่ถูกบัญญัติขึ้นเป๊ะๆของรักษาระเบียบวองโกเล่แฟมิลี่ โกคุเดระเดินเข้ามาในห้องประชุมหรูแสนเงียบเชียบพร้อมเปิดแอร์ เปิดไฟ แล้วจัดแจงเอกสารที่เก้าอี้ของตัวเอง เก้าอี้นวมสีทองทางขวามือของนภาแห่งวองโกเล่บอกตำแหน่งมือขวาที่สูงศักดิ์แต่ที่นั่งตรงข้ามเขา จนถึงตอนนี้ก็นึกไม่ออกว่ามีไว้ทำไม...


เอาไว้คอยกวนเขาเวลานั่งเรียงเอกสาร


เอาไว้ส่งยิ้มกวนประสาทเวลานั่งประชุม


เอาไว้ถ่วงเวลาประชุมให้ล่าช้า


วันนี้ถ้าเก้าอี้ตัวตรงข้ามนี้มีคนนั่งขึ้นมา ห้องประชุมนี้คงจะเป็นสถานที่อึดอัดสำหรับวายุแห่งวองโกเล่ หนึ่ง นภาแห่งวองโกเล่คงจะตำหนิเขาเรื่องไม่เชื่อฟัง เกือบเอาตัวไม่รอด รถโดนเจาะยาง สอง คนที่ไปช่วยคงจะโดนแย่งความดีความเด่น และสาม ไอ้พวกที่เหลือได้ส่งสายตาสมน้ำหน้าตามกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย


“อรุณสวัสดิ์ครับ โกคุเดระคุง” เสียงทุ้มดังทักทำให้วายุหันไปมอง ผู้พิทักษ์สายหมอกที่ไม่รู้เข้ามาเมื่อไหร่ นั่งยิ้มหวานอยู่ที่เก้าอี้ของตัวเอง วายุรับประกันได้ว่าถ้าหมอนี่เปลี่ยนอาชีพไปเป็นแมวขโมยคงจะยกเค้าบ้านเศรษฐีได้หลายล้าน


“ผิดปกติที่แกมาเร็ว” ใบหน้าเรียบเฉยไม่มองไปยังคู่สนทนาแต่กลับก้มลงตรวจเอกสาร คนผิดปกติหัวเราะหึๆก่อนจะสวนกลับ


“คนที่ผิดปกติคือโกคุเดระคุงต่างหาก ปกติมาสายไม่ใช่เหรอครับ วันนี้มาเร็วแสดงว่าเดินคนเดียวดุ่มๆตรงมาที่นี่เลยล่ะสิท่า”


เป็นการสวนกลับที่วายุแห่งวองโกเล่ถึงกับวางเอกสารแล้วตวัดสายตามอง ดวงตาสองสีคู่นั้นยังยั่วโมโหไม่เปลี่ยน ถ้าหูของโกคุเดระยังดีอยุ่เขารู้สึกไอ้คำว่า “คนเดียว” มันก้องผิดปกติ ทุกที...เจ้าหมอนี่ทุกทีเลย ปากของมันวอนหาเรื่องจริงๆ เขายังไม่ลืมหรอกนะว่าไอ้หน้าไหนที่เสนอความคิดเน่าเฟะให้เขาไปเจรจากับไอ้โรคจิตวินด์เคจ


“เอาล่ะ ทุกคนเกือบมาจนครบแล้วล่ะครับ” สายหมอกพยักพยิดไปทางประตูที่ผู้พิทักษ์อรุณ อัสนี และเมฆาเดินเข้ามา แล้วปิดท้ายด้วยนภาแห่งวองโกเล่ พอทุกคนนั่งที่ของตัวเองจนครบ โกคุเดระก็เข้าใจว่าทำไมสายหมอกจึงพูดว่า "เกือบก็ที่ตรงหน้าเขามันว่าง...



ว่างอยู่ที่เดียว...



อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านรุ่นที่สิบ ร่างบางหันไปโค้งหัวให้คนที่นั่งลงเก้าอี้หัวโต๊ะน้อยๆ แล้วแย้มรอยยิ้ม ซึ่งนภาแห่งวองโกเล่ก็ทักอรุณสวัสดิ์กลับเหมือนกัน เป็นคอนเสปต์ที่คนทั้งโต๊ะคุ้นเคยทุกๆเช้า แต่ถ้าจะให้ครบคอนเสปต์จริงๆมันจะมีเสียงคนๆหนึ่งดังแทรกด้วย น้ำเสียงที่ร่าเริง โดยไม่สนใจว่าตัวเองไม่ได้ถูกทักเลยแม้แต่น้อย


อรุณสวัสดิ์ โกคุเดระ เช้านี้อากาศดีนะ ฮะๆๆ



แต่วันนี้กลับไม่มี...



หายหัวไปไหนแต่เช้าฟะ? หมอนั่นทำให้ที่ประชุมต้องรออีกแล้ว ถ้าวันนี้มันไม่เข้าประชุมสงสัยต้องเคลียร์กันสักตั้ง!


องค์ประชุมไม่ครบ เลทมาแล้วสิบนาที มือขวาคนเก่งเปรยเสียงเข้มกับนาฬิกาข้อมือเรือนแพง จะรับฟังก่อนเลยมั้ยครับ รุ่นที่สิบ


อืม ยามาโมโตะ...ปกติไม่เคยสายขนาดนี้เลยนะ แถมยังไม่ได้เขียนใบลาประชุมด้วยสึนะโยชิมุ่นหัวคิ้ว แล้วส่งสายตาไปขอความคิดเห็นผู้ร่วมประชุมคนอื่นๆ ผู้บริหารระดับสูงของวองโกเล่อีกสี่คนเริ่มไหวตัวแล้วเสนอความคิด


หมอนั่นไม่สบายล่ะมั้ง อากาศช่วงนี้มันร้อนสุดๆ


บางทีอาจจะมีงานด่วนล่ะมั้งครับ อย่างเช่นรีบอร์นอาจจะส่งไปลอบสังหารใครสักคน


ทำตัวผิดระเบียบ...


เริ่มประชุมเถอะครับ เสียงนุ่มทุ้มที่ไม่ใช่การสันนิษฐานของสายหมอกดังปิดท้าย เรียกให้สายตาทุกคู่เหลือบไปมอง โดยเฉพาะดวงตาสีดำขลับที่อ่านได้ชัดว่าสงสัย คนอื่นอาจจะไม่รู้สึก แต่สำหรับเขาแล้วทันทีทันใดที่ไอ้หมอนี่เปิดปากพูด กลิ่นทะแม่งๆมันจะเริ่มโชยหึ่ง กลิ่นที่แทบแยกไม่ออกว่าเรื่องใดเรื่องจริงเรื่องใดเรื่องเท็จ


วันนี้ยามาโมโตะคุงจะไม่เข้าประชุมน่ะครับ แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องในที่ประชุมผมจะแจ้งให้เขาทราบเอง


ทำไม…” ไม่ใช่เสียงของนภาแห่งวองโกเล่ที่เป็นประธาน แต่กลับเป็นเสียงของคนที่ทุกคนไม่คาดคิดอย่างโกคุเดระ ฮายาโตะที่สวนขึ้นทันทีไม่ทันจบประโยคของสายหมอกดี เจ้าคนจุดไฟเลิกคิ้วแล้วหัวเราะหึๆ


สนใจด้วยเหรอครับ โกคุเดระคุง


ดวงหน้าของมือขวาพลันกระด้างเมื่อรู้ว่าตัวเองติดกับหลุมพรางวาจาของโรคุโด มุคุโร่เข้าไปเต็มๆ แต่สติยังดีอยู่ โกคุเดระตีหน้าเรียบแล้วตอกกลับด้วยประโยคที่ตัวเองคิดว่าเจ๋งซะเต็มที่


ฉันมีหน้าที่ที่ต้องรู้เฟ้ย! มีอย่างที่ไหนจะขาดประชุมแล้วไม่แจ้ง


โอ๊ะ ขอโทษด้วยครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะแจ้งตามหน้าที่ก็แล้วกัน ยามาโมโตะคุงเขาไปเวเนเซียน่ะครับ ดูเหมือนว่าอัลโกบาเลโน่จะให้เขาไปช่วยงาน ช่วงนี้พวกหนูสกปรกมันเยอะ ไม่มีกำหนดกลับ…”


คนอธิบายยังทำหน้าสบายๆพลางหยิบชายามเช้าขึ้นจิบ แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นได้ขโมยลมหายใจของคนทั้งห้องไปอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะคนที่มีหน้าที่ต้องรู้


ไปเวเนเซีย?...กับคุณรีบอร์น?


แล้วทำไมถึงไม่มีใครรู้เรื่องเลยล่ะ อย่างน้อยไม่ฉัน ก็ต้องเป็นรุ่นที่สิบ วายุแห่งวองโกเล่เริ่มทำการซักฟอก ดูเหมือนว่าทุกคนจะลืมเรื่องที่ต้องประชุมไปแล้ว เกินเวลามาถึงสิบห้านาที แต่ก็ยังไม่มีใครถกประเด็น ทุกคนยังคงเงียบ  เพื่อรับฟังเรื่องกะทันหันของพิรุณ


ทำไมกันน่ะเหรอครับเรื่องนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คงจะเป็นเรื่องด่วนพอตัว ตอนเช้าผมผ่านตึกพิรุณ เห็นเลขาส่วนตัวเขาบอกว่ายามาโมโตะคุงไปสนามบินตั้งแต่ตีสามน่ะครับ


เรื่องจริงเหรอ?


ถ้าฟังจากปากของคนอื่นมันก็พอที่จะเชื่อได้อยู่หรอกนะ แต่มันดันออกจากปากของจอมขมังเวทย์แห่งวองโกเล่นี่น่ะสิ หน้าโกหก หน้าซีเรียสก็มีอยู่หน้าเดียว แต่ยามาโมโตะก็ไม่เข้าประชุมและหายไปอย่างไร้ร่องรอยจริงๆทำให้ทุกคนมองไม่ออก ได้แต่นั่งเงียบ การที่พิรุณมีงานกะทันหันอาจจะฟังดูไม่ใช่เรื่องผิดปกติเท่าไหร่นัก แต่โกคุเดระกลับมีความรู้สึกว่ามันไม่เป็นไปตามธรรมชาติเอาซะเลย


ผมก็แค่บอกให้รู้เท่านั้น ส่วนจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่นะครับ


แม้ปากจะไม่ได้บ่งชัดว่าใคร แต่ดวงตาสองสีกลับจับจ้องมาที่วายุจนรู้สึกได้ รอยยิ้มนั้นราวกับรู้ทันความคิดของเขา โต๊ะที่ยาวกว่าสองเมตรมีผู้บริหารถึงหกคนแต่โกคุเดระกลับรู้สึกว่าคนที่นั่งมีเพียงเขาและโรคุโด มุคุโร่เท่านั้น ส่วนรอบข้างก็เป็นเพียงกลุ่มควันสีขาว ร่างกายราวถูกยึดไว้กับเก้าอี้ไม่สามารถขยับเขยื้อน ขนาดหายใจยังลำบาก


วินาทีที่ใจถูกครอบงำด้วยความสับสนความอ่อนแอทำให้ตกอยู่ในอำนาจทางจิตวิทยา


จิตวิญญาณที่สมควรจะอยู่ในร่างอย่างอิสระถูกจับตรึงด้วยฝีมือของพ่อมดนามโรคุโด มุคุโร่!


“เขาบอกอย่างนั้นจริงๆนะครับ” คำพูดที่ก้องกังวานอยู่ในระบบประสาทกำลังชักจูงใจ “โกคุเดระคุงลองคิดดูสิ ใครจะอยากอยู่กับคนที่ปากบอกว่า เกลียด...กันล่ะครับ”


เกลียด...?


“ยา...มาโม..โตะ...ฉัน...เกลียดแก”


คำที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นเด่นชัดเข้าในหัวเหมือนรีเพลย์เทป ความทรงจำคุ้นเคยชี้ชัดว่าเขาเคยพูดว่าเกลียดหมอนั่น แต่พูดเมื่อไหร่ ตอนไหนเขานึกไม่ออก และที่สำคัญทำไมมุคุโร่ถึงมาพูดเหมือนรู้อะไรแบบนี้ เรื่องที่เจ้าตัวยังนึกได้เลือนราง แต่มันกลับเล่าได้เป็นฉากๆเลยเนี่ยนะ


ถ้าเป็นผมล่ะก็ อยู่ไปก็เจ็บปวดเปล่าๆนะครับ สู้ไปรักษาใจในต่างเมืองดีกว่า ยิ่งนานก็ยิ่งดี


มุคุโร่นี่แก…”


เสียงของวายุเอ่ยได้อย่างยากเย็นเล็ดไรฟัน เขารู้ว่าสายหมอกกำลังจะพูดเรื่องอะไร แม้ฟังดูจะเป็นการโบ้ยความผิดให้กับคนที่ไม่รู้มูลเหตุ แต่สิ่งที่คุ้นเคยว่าเขาเคยพูดแบบนั้นมันก็หาอะไรมาอธิบายไม่ได้ แล้วไอ้คนที่นั่งพล่ามราวกับว่าเป็นปราชญ์ผู้รู้นี่ต้องการเล่นตลกอะไรอีก!!


ตึง!


ถ้าไม่ประชุมแล้วล่ะก็ ฉันจะกลับล่ะ…”


ฝ่ามือของคนๆหนึ่งทุบลงกับโต๊ะประชุมจนดังลั่นห้อง พร้อมๆกับเสียงเรียบเฉยที่ตามมา แต่เสียงนั้นก็ช่วยดึงวายุออกสู่โลกความเป็นจริงได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขาเห็นผู้ร่วมประชุมอีกห้าคนเหมือนปกติ ความรู้สึกกดดันก็อันตรธานหายไปหมด เหมือนกับเมื่อกี้เป็นเพียงความฝันแถมยังเป็นฝันกลางวันที่โกคุเดระเกลียดที่สุด


ดวงเนตรคมสีดำรัตติกาลไม่ได้ฉายแววว่าโกรธหรือโมโหที่การงานไม่เริ่มสักทีอย่างปากว่า แถมเจ้าตัวยังยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบพลางมองคนที่นั่งตรงข้ามเป็นระยะๆ แต่คนที่ถูกหมายหัวเองใช่จะสะท้านกับสายตาของมัจจุราช ยังอุตส่าห์มองกลับด้วยสายตาเอือมระอาแกมลองดี


คึหึหึหึ จุ้นไม่เข้าเรื่องจริงๆนะครับ


ฮิบาริ เคียวยะวางแก้วกาแฟลงกับจานรอง ริมฝีปากกระตุกยิ้มปั่นประสาท อารมณ์ยังคงเยือกเย็นกับคำหาเรื่อง


ใครกันแน่ที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน ชีวิตใครก็ชีวิตมันหัดรับผิดชอบเอง ถ้าแค่นี้เรียกว่าจุ้นแล้วไอ้พวกที่ยื่นมือเข้าไปจับเส้นชีวิตของคนอื่นให้บิดเบี้ยวนี่เรียกว่าอะไร…”


ติดหนี้เต็มๆ งานนี้วายุผู้หยิ่งยโสและสูงศักดิ์ได้ติดหนี้เมฆาเต็มๆ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ไอ้จอมยุ่งตัวจริงแล้วแจกเอกสารให้ทุกคน บรรยากาศในห้องอึมครึมไร้สีสันสุดบรรยาย เพราะมีคนสองคนจ้องจะเด็ดหัวสีน้ำเงินตลอดการประชุม ส่วนสามคนที่เหลือก็ต้องนั่งทนรับบรรยากาศแบบนี้ตลอดการประชุมเหมือนกัน


แต่เหตุการณ์แบบนี้ใช่ว่าจะเคยเกิดเป็นครั้งแรก แต่ทุกครั้งมันจะมีคนคอยห้ามทัพได้อย่างชะงัก คนที่เป็นดั่งฝนชโลมจิตใจให้สงบเงียบ คนที่มักดับไฟของพวกเลือดขึ้นหน้าง่ายด้วยรอยยิ้มที่วันนี้มันไม่มี


และทุกครั้งที่การประชุมตึงเครียด ก็จะผ่อนคลายได้เพราะคำพูดมองโลกในแง่ดีและกำลังใจที่ส่งไปให้ทุกคนบนโต๊ะ เป็นสิ่งที่วายุแห่งวองโกเล่หมั่นไส้ยิ่งกว่าอะไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าไม่ได้คำพูดพวกนั้นหัวคงต้องจมกับกองงานต่อไป
ทุกครั้งที่มอบหมายงาน ก็จะไม่เสียเวลา เพราะไม่ว่างานอะไรหมอนั่นก็เต็มใจรับทุกงาน แต่ก็ต้องไปปวดหัวทีหลังเพราะรายงานมักจะส่งไม่ทัน ทำให้วายุต้องไปทวงถึงตึก ประตูห้องของผู้พิทักษ์พิรุณแห่งวองโกเล่หนึ่งเดือนก็ต้องเปลี่ยนหนึ่งบาน พวกคงคลังทราบข้อนี้ดี


แต่ดูท่าวันนี้คงต้องเหนื่อยหน่อย


ขอปิดประชุม ขอบคุณทุกคนครับ นภาแห่งวองโกเล่ปิดแฟ้มพร้อมโค้งหัวน้อยๆ แต่ใบหน้าของเขาดูซีดและเหนื่อยอ่อนจนสังเกตได้ ไม่ใช่นภาเท่านั้น แต่ทุกคนดูไม่ต่างกันเลย กาแฟสี่แก้ว ชาอีกสองแก้วไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าวันนี้ไม่เหลือสักหยด เพราะแต่ละคนกระกระดกลงคอเป็นยากระตุ้นชั้นดีไม่ให้ล้มฟุบกลางโต๊ะประชุมที่น่าเบื่อ


อืมบางทีโกคุเดระก็พอจะรู้แล้วว่าไอ้ที่นั่งตรงข้ามเขานี้มีเอาไว้ทำไม






แซ่กๆ


มือเรียวหันไปจับเอกสารออกจากเครื่องส่งแฟกซ์ รายงานประจำเดือนของผู้พิทักษ์แต่ละคนต้องส่งภายในวันนี้ และเขาก็ได้กำชับก่อนจะออกห้องประชุมแล้วว่าให้แฟกซ์มาให้ทุกคนก่อนบ่ายสอง หลังจากเดธไลน์แล้วก็จะไปทวงตัวต่อตัวที่ตึก แต่ในเมื่อวันนี้หมอนั่นไม่อยู่ คงจะไม่ได้ออกไปไหนแล้วมั้ง


จะว่าเหงาก็เหงาเหมือนกัน


13.55 น.


รายงานฉบับสุดท้ายก็ส่งมาถึง เล่นเอาร่างโปร่งบางสบถด้วยความอารมณ์เสียเพราะอีกไม่กี่นาทีจะได้ไปหาเรื่องคนอยู่แล้วเชียว และก็เป็นอย่างที่รอคอย รายงานฉบับสุดท้ายเป็นของผู้พิทักษ์สายหมอก โรคุโด มุคุโร่ เจ้าคนที่ทำให้ห้องประชุมปั่นป่วนเมื่อเช้านี้ โกคุเดระรู้ ว่าไอ้รายงานนี่มันทำเสร็จตั้งนานแล้ว แต่ก็แค่แกล้งส่งช้ายั่วโมโหเขาเล่นเท่านั้นแหล่ะ


แซ่ก


หืม? อะไรฟะ ยังไม่หมดอีกเรอะ


เครื่องส่งแฟกซ์ยังคายกระดาษออกมาอีกแผ่น เรียกคิ้วเรียวให้ขมวดเข้าหากันอย่างฉงน ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาดู ไม่ใช่รายงานที่ตกค้าง แต่มันเป็นเพียงข้อความสื่อสารที่ถูกส่งมา ส่วนคนส่งแค่อ่านสำนวน หลับตายังชี้ได้เลยว่าใคร เจ้าตัวอักษรที่เขาอยากขยำทิ้งเสียเดี๋ยวนั้น


ดูเหมือนจะยังไม่ลงรอยกันสักทีนี่ครับ ให้ผมช่วยเอามั้ย


ลงรอย? พูดเรื่องบ้าอะไร ใครลงรอยกับใคร งี่เง่า ทำเหมือนกับเป็นนิยายที่แกติดอย่างนั้นแหล่ะ ไอ้มุคุโร่ ไอ้สับปะรดงี่เง่า!


ไม่ด่าเปล่า มือบางยังขยำกระดาษให้เป็นก้อนกลมๆแล้วโยนทิ้งถังขยะอย่างไม่ไยดี เจ้านั่นไปดูหนังเรื่องไหนมาอีกล่ะ ถึงคิดอยากรับบทเป็นเทพเจ้าผู้โอบอ้อมอารีมาช่วยเหลือมนุษย์โลก ทั้งที่ความจริงมันก็แค่ผีที่เดินทางมาแล้วหกภพ มีตาสองสีกับทรงผมสับปะรดหนึ่งแฉก อาวุธมีสามง่าม ก็แค่นั้น!


แซ่ก


โมโหอยู่ใช่มั้ยล่ะครับ ขอโทษที่เมื่อเช้าผมเสียมารยาทไปหน่อย ใครจะไปรู้ล่ะว่าพอไม่มียามาโมโตะคุง โกคุเดระคุงจะหลุดง่ายขนาดนั้น


ถึงตรงนี้เขาอยากจะล้วงมือผ่านแฟกซ์ไปบีบคอมันถึงตึกหมอกให้รู้แล้วรู้รอด ใครหลุดง่ายกันฟะ เดี๋ยวปั๊ดพ่อซัดกระเด็น!


แต่ถึงยังไง ผมก็คิดว่าโกคุเดระคุงคงจะไม่ขอมือใครช่วยหรอกใช่มั้ยล่ะครับ เอาเป็นว่าผมส่งข้อความมาให้กำลังใจคุณเฉยๆ แล้วก็วันนี้มีดาวตกนะครับ ถ้ามาดูได้ก็อยากให้มา เผื่อคุณอยากอธิษฐานอะไรบางอย่าง โชคดีนะครับ :)


หมั่นไส้!...น่าหมั่นไส้ที่สุด


อธิษฐานเรอะ ให้คนอย่างวายุแห่งวองโกเล่ ที่เป็นบุคคลจำพวกลิขิตฟ้า หรือจะสู้มานะคนไปอธิษฐานต่อสะเก็ดดาว อุกกาบาตที่ตกมายังโลก ความคิดอะไรน่าขำสิ้นดี แต่ก็ไปว่าอะไรอย่างนั้นได้ไม่เต็มปากนักหรอก ตราบใดที่มนุษย์ทุกคนงมงายในสิ่งเหนือธรรมชาติ แม้แต่เขาเองก็ยังหลงใหลในสัตว์แปลกๆ เรื่องราวนิยายวิทยาศาสตร์ชวนเชื่อ แล้วมันจะแปลกอะไรกับที่คนอื่นๆจะมีความสุขกับพรเล็กๆที่ขอกับดาวตก



แต่บางสิ่งบางอย่างถ้าจนหนทางแล้วจริงๆอธิษฐานกับมันซักรอบมันจะได้หรือเปล่านะ






เมื่อตอนกลางวันเขาบอกกับตัวเองว่ายังไง?


อธิษฐานกับดาวตก ความคิดอะไรน่าขำสิ้นดีไม่ใช่เหรอ?


แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงมายืนตากน้ำค้างกลางแสงจันทร์อยู่ตรงนี้ล่ะ?


ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ ตอนนี้ร่างโปร่งบางของวายุแห่งวองโกเล่กำลังยืนอยู่ในสวนหย่อมหน้าหอบัญชาการใหญ่ สวนหย่อมที่สวยหรูหราสมราคาตกแต่ น้ำพุไหลเป็นพู่ๆสายๆจากประติมากรรมโคมไฟของเทพีในแพรพรรณพลิ้วทิ้งตัวสวย ดวงไฟสีส้มอ่อนแขวนอยู่บนเหล็กดัดโค้งงอสีดำตลอดทางเดินที่ปูลาดด้วยหิน สายลมยามค่ำคืนพัดพากลิ่นหอมของมวลดอกไม้ฟุ้งไปทั่วบริเวณนั้น


คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ดวงดาวนับล้านดวงแข่งกันประกายแสงระยิบระยับบนท้องฟ้ายามรัตติกาลที่มืดสนิท โกคุเดระไม่ได้เห็นภาพแบบนี้ สัมผัสบรรยากาศแบบนี้มานานแค่ไหนเขาก็จำไม่ได้ ปกติตอนนี้คงนั่งขลุกอยู่กับงาน หรือนั่งอ่านหนังสือไปตามกิจวัตร แต่อย่าคิดว่าเขามาที่นี่เพื่อมารอดูดาวตกอะไรนั่นหรอกนะ ก็แค่อยากมาเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ธรรมชาติยามค่ำคืนคงยกระดับจิตใจได้ไม่น้อย


ข้างหลังเขาคือหอบัญชาการวองโกเล่ ภายนอกดูสวยงามตามสิ่งก่อสร้างฉบับยุโรป ไม่ใช่ตึกระฟ้าตามปัจจุบัน แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความล้ำสมัย และเทคโนโลยีที่ซับซ้อน ส่วนทางขวามือคือตึกๆหนึ่งของผู้พิทักษ์ เป็นตึกที่วายุแห่งวองโกเล่ยังรู้สึกแค้นใจมาจนถึงปัจจุบันนี้เพราะอยู่ใกล้หอใหญ่มากที่สุด ไม่รู้ว่าพวกสถาปนิกโดนซุกเงินใต้โต๊ะหรือเปล่า


ตึกพิรุณ


เมื่อไหร่จะตกซักทีฟะ


ไปๆมาๆชักเริ่มหงุดหงิด เดินดูโน่นดูนี่ก็แล้ว สุดท้ายเลยมายืนแหงนหน้าขึ้นฟ้ารอดูดาวตก ว่าแต่มันจะตกจริงๆเหรอ แล้วทำไมมีแต่เขาที่บ้าลงจากตึกมารอมันตกอยู่คนเดียว ไอ้คนที่อุตส่าห์ส่งแฟกซ์มาบอกหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ หรือจะรอดูอยู่บนตึก แล้วรุ่นที่สิบรู้หรือยังว่าวันนี้มีดาวตก ถ้ายังไม่รู้เขาจะโทรไปบอกเดี๋ยวนี้แหล่ะ


ของแบบนี้มาดูคนเดียวมันจะไปได้บรรยากาศได้ยังไงล่ะ


หืม? นั่นใครน่ะ เสียงๆหนึ่ง รู้สึกคุ้นหูอย่างประหลาดดังขึ้นข้างหลังเขา คิดยังไม่ทันได้ทำจริง ก็มีคนลงมาดูเป็นเพื่อนแล้วเหรอ ทำให้ร่างทั้งร่างของวายุต้องหมุนกลับไปมอง


เหมือนตกอยู่ภายใต้อำนาจเวทมนตร์ ดวงตาสีมรกตประกายวิบวับดุจอัญมณีน้ำงามจ้องไปยังคนๆนั้นไม่กะพริบ ไม่กล้าขยับตัว เหมือนกล้ามเนื้ออัมพาตไปชั่วขณะ โคมไฟที่ส่องสว่างทำให้เขาเห็นหน้าผู้มาเยือนได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มร่างสูงเรือนผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มแบบเปลือกไม้ในชุดสูทสีดำ เสื้อเชิ้ตในสีฟ้า เนคไทสีดำ สะพายดาบซึ่งเป็นอาวุธคู่ใจ ยืนอยู่ตรงหน้าเขา



ยามาโมโตะ ทาเคชิ ที่ไปเวเนเซียไม่มีกำหนดกลับยืนอยู่ตรงหน้าเขา



ทั้งคู่ยังคงยืนเงียบ ปล่อยให้มีเพียงเสียงน้ำพุ เสียงหรีดเรไรยามค่ำคืนเป็นผู้ขับขาน ยามาโมโตะก็ดูตกใจไปไม่น้อยกว่าเขา แต่สุดท้ายก็ตั้งสติได้ดีกว่าเขา ริมฝีปากฉาบยิ้มบางก่อนจะถาม


นายมาทำอะไรตรงนี้เหรอ


ฉันต่างหากที่ต้องถามแบบนั้น โกคุเดระสวนขวับ พยายามคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น มุคุโร่บอกว่าวันนี้แกไม่อยู่


อื้ม ใช่


ไปเวเนเซีย กับคุณรีบอร์น


อื้ม ใช่


ไม่มีกำหนดกลับ?” คำถามสุดท้ายทำให้คนตอบมุ่นหัวคิ้วขึ้นนิดหน่อย ในใจคิดโกคุเดระคงจะรู้มากเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ใบหน้าคมคายขยับยิ้มบางแล้วผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อย


อันนั้นเกือบใช่


หมายความว่ายังไง


เจ้าหนูไปดูที่ให้ฉัน คาสิโนที่เวเนเซียมีปัญหา ผู้ดูแลระดับบีถูกสังหารอย่างมีปริศนา แล้วที่นั่นมันก็ไกลหูไกลตาพวกเรา ฉันเลยอาจจะได้ไปอยู่ที่นั่น ไอ้ที่นายว่าไม่มีกำหนดกลับน่ะ ก็เลยเกือบใช่”


คำชี้แจงของพิรุณทำให้ร่างโปร่งบางสะดุดลมหายใจตัวเอง ความรู้สึกโหวงเหวงและใจหายแล่นเป็นริ้วๆไปทั่วร่างกาย ดวงหน้าขาวนวลก้มต่ำ ไม่ใช่เขาจะไม่รู้สึกความเศร้าที่แฝงมากับน้ำเสียงราบเรียบนั่น เขารู้ว่าหมอนั่นต้องทำตามหน้าที่ ได้ไปดูแลคาสิโนเพิ่มอีกแห่งถ้าเป็นเวลาปกติมันก็น่าดีใจคละไปกับหมั่นไส้ แต่ตอนนี้มันไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย


ลมที่พัดมาตอนแรกเย็นสบายบัดนี้กลับหนาว ความอ่อนแอในหัวใจมันเริ่มเผยชัด เขาควรจะยอมรับใช่มั้ยว่าไม่รู้สึกยินดีที่คนตรงหน้าต้องไป ต้องยอมรับใช่มั้ยว่าเขาขาดพิรุณไม่ได้...


“แล้วแกกลับมาทำไม จะไปก็ไปเลยสิ ถ้าลืมของเดี๋ยวฉันให้คนส่งไปให้ก็ได้”


น้ำเสียงของวายุสั่นเครือขึ้นเรื่อยๆ การหลบหน้าไม่ให้อีกคนเห็นชัดๆก็เพื่อมันเกิดทนไม่ไหว มันน่าอายนะ จะจากกันอยู่แล้วแต่ต้องมาเห็นน้ำตา วายุแห่งวองโกเล่ที่เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวไม่ควรเสียน้ำตาให้ใครเห็นจนถึงวินาทีสุดท้าย


พิรุณขยับกายเข้ามาใกล้ร่างโปร่งบาง ยิ่งทำให้ต้องเก็บอารมณ์มากขึ้นไปอีก แค่เขาเองก็ไม่คิดจะคาดคั้นหรือแกล้งคนตัวเล็กกว่าไปมากกว่านี้ เพราะเขาเองก็รู้สึกแย่ไปไม่น้อยกว่าโกคุเดระ เขาดีใจนะที่คนๆนี้ยังรู้สึกอะไรบ้าง ดีใจนะที่กลับมาแล้วไม่เห็นใบหน้าเย็นชาอย่างเก่า


“ฉันกลับมาลาทุกๆคน กลับมาเก็บของด้วย แล้วอีกอย่างก็ขอกลับมาดูดาวตกที่นี่อีกครั้ง แต่ไม่ยักรู้แฮะว่าจะได้เจอนาย”


ไม่ได้โกหกเลย ไม่คิดว่าจะได้เจอจริงๆ ไม่คิดจะได้เจอคนๆนี้อีก บางทีแค่มารอดูดาวตกแล้วก็จะไปแท้ๆ เพราะยามาโมโตะเองก็ไม่คิดหวังพึ่งพรจากดาวตก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อในอิทธิฤทธิ์ที่เล่ามาตั้งแต่สมัยก่อน แต่เขาคิดว่าเรื่องแบบนี้มันคงจะเกินที่จะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนมาช่วย


“ฉันไปเก็บของก่อนนะ เราคงจะต้องลากันที่นี่...”


“...”


“ดูแลตัวเองดีๆล่ะ ระวังอย่าให้เป็นหวัด”


“...”


ร่างสูงเดินผ่านหน้าเขาไปเพื่อขึ้นตึกของตัวเอง คำร่ำลาที่ทำให้วายุจับแข็งไปทั่วร่างกาย ไม่สามารถแม้แต่จะหันหน้ากลับไปมอง ทำได้เพียงแต่ฟังเสียงรองเท้าที่มันจะดังห่างไปๆ ทุกที แต่สิ่งที่ยังขยับได้คือริมฝีปากบาง พูดอย่างไรก็ได้ให้หมอนั่นหยุดเดิน บางทีอาจต้องถึงขั้นไขกุญแจข้อความจากใจมาพูด



“แกคิดจะหนีฉันไปไหนอีก...”



การตัดสินใจพูดที่ไม่รู้ว่าได้ผลหรือเปล่า ร่างโปร่งบางหมุนตัวหันกลับไปก่อนจะตะโกนทั้งน้ำตา หมดสิ้นแล้วทิฐิ มันไหลละลายรวมกับน้ำใสๆอุ่นๆที่กำลังรินอาบแก้มทั้งสองค้าง สิ่งที่จะพูดต่อจากไปนี้มันไม่ต่างจากคนโดนมอมเหล้า


“แกหันหลังหนีฉันมาสองครั้งแล้วนะ คิดว่าฉันเป็นอะไร หัวหลักหัวตอหรือไง? ไม่คิดบ้างเหรอว่าคนที่เฝ้ามองคนที่เดินจากไปรู้สึกยังไง...”


ร่างสูงหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น แต่ก็ยังหันหลังให้กับวายุที่กำลังพร่ำในสิ่งที่เขาอยากฟังมานานแสนนานแต่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ


“แกเป็นคนบอกฉันเองนะว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป... แกผิดสัญญากับฉันมามากแล้วนะ ถ้าแกไม่ทำตามอีกข้อเดียวฉันฆ่าแกแน่ ยามาโมโตะ!! แล้วนี่ทำบ้าอะไร จะไปเวเนเซียแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไอ้บ้าเบสบอลอย่างแกจะก้าวหน้าในหน้าที่การงานตอนนี้มันยังเร็วเกินไปเฟ้ย!


และแล้วคำว่า ไอ้บ้าเบสบอลก็หลุดออกจากปากแข็งๆของวายุจนได้ คนฟังยิ้มกว้างพร้อมถอนหายใจพรืดใหญ่ ก่อนค่อยๆหันกลับมามองดวงหน้าที่เลอะไปด้วยน้ำตา หอบจนไหล่สั่นเพราะตะโกนมาก เขาเดินกลับมาประชิดร่างโปร่งบางแล้วแสร้งถาม


“แล้วนายจะเอายังไงละ หืม? มือขวาแห่งวองโกเล่ไม่อนุมัติแบบนี้เห็นทีก็จะไปไม่ได้ล่ะสิ”


“ไม่ต้องมายิ้มนะ!” เสียงแว้ดๆที่เขาคิดถึงกลับมาตวาดอีกระรอก เพราะเผลอยิ้มมากไปหน่อย “ฉันก็แค่ห่วงธุรกิจของที่นู่น คุณรีบอร์นเลือกคนผิดซะแล้ว ที่ให้คนไร้ความรับผิดชอบอย่างแกไปดูแล”


พิรุณยิ่งยิ้มขำกับเหตุผลของร่างโปร่งบาง ดีใจชะมัดเลย ยิ่งเห็นหน้าขาวเนียนมีสีเลือดฝาดมาเจือแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ใจเต้นแรง อย่างน้อยๆ ไอ้คำว่าเกลียดที่คนๆนี้พูดออกมานั่น ให้เขาคิดหลงตัวเองสักนิดได้มั้ยว่า มันไม่ได้แปลว่า เกลียด จริงๆ


“ไหนบอกว่าเกลียดฉันไง” ว่าแล้วก็ถาม แต่คำถามนั้นเล่นทำให้วายุเม้มริมฝีปาก เริ่มคิดแล้วว่าไอ้หมอนี่มาทีมเดียวกับมุคุโร่หรือเปล่า


“ฉันพูดตอนไหนไม่ทราบ”


“อา...ฉันไปส่งนายที่ห้อง นายเพลียมากก็เลยหลับไป แล้วนายก็ละเมอว่าเกลียดฉัน”


อืม...งี้เองสินะ ถึงจำไม่ได้ว่าไปพูดตอนไหน การละเมอเขาคงจะพูดออกมาสั้นแค่คำว่าเกลียดล่ะสิ หมอนี่ถึงเข้าใจเป็นตุเป็นตะ เป็นเหยื่อให้ไอ้บ้าสับปะรดมาค่อนแคะฉันเมื่อเช้านี้


“แล้วแกจะเอาอะไรกับแค่คำพูดของคนละเมอ ฉันมีอะไรจะพูดกับแกดีกว่านั้นอีก แต่ถ้าไม่อยากฟังก็ไม่เป็นไร”วายุเริ่มเล่นแง่ ทวีความเอ็นดูต่อคนมองยิ่งนัก จนสุดท้ายทนไม่ไหวแขนแกร่งรั้งร่างบางมาไว้ในอ้อมกอด แต่ก็เป็นอย่างที่คิด ลูกแมวตัวน้อยๆของเขาไม่ยอมเชื่องง่ายๆแค่นี้แน่ ทั้งทุบ ทั้งจิก ทั้งเหยียบ แถมปากเก่งๆยังโวยวายไม่รู้จักเจ็บคอ


“นิ่งๆสิ นายพูดมาเยอะแล้วนะ จะไม่ฟังฉันพูดหน่อยเหรอ” คำกระซิบนุ่มๆได้ผลชะงักนัก เมื่อเจ้าคนตัวแสบเริ่มนิ่งขึ้นมาบ้าง คางเรียวฝังลงกับไหล่กว้าง เจ้าของอ้อมแขนยิ้มพอใจก่อนจะเอ่ยเบาๆ


“ฉันเคยพูดให้โกคุเดระฟังแล้ว แต่ดูเหมือนกับว่านายจะไม่ได้ยิน งั้นพูดอีกรอบก็แล้วกัน...”ทุกสรรพเสียงเงียบลงอย่างเป็นใจ น้ำพุจากที่ไหลซู่ๆก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นเพียงน้ำใสๆค่อยๆริน ราวกับว่าจะให้ได้ยินเพียงแต่เสียงจังหวะการเต้นของหัวใจของคนสองคน...


“ฉันรักนาย...อยากให้ดวงตาของฉันสะท้อนเพียงแต่ภาพของนาย เพราะเวลาที่ฉันมองนาย รู้มั้ยว่ามันมีความสุข”


ที่บอกว่าเกลียด คอยหลบตาไม่อยากมองหน้า... เพราะทุกครั้งที่มองหน้าหัวใจมันพาลเต้นผิดจังหวะ


“ฉันรักนาย...ที่ฉันสั่งกำชับและโมโหเวลาเห็นนายที่ฟิลบาโลเน่ไม่ใช่เพราะฉันโกรธที่นายไม่รักษาสัญญา แต่เพราะฉันห่วงนายมากจนเกินกว่าจะทนเห็นนายในสภาพนั้น”


ทีบอกว่าเกลียด กัดฟันทุกครั้งเวลาพูดด้วย... เพราะต้องคอยข่มใจตัวเอง ไม่ให้เผลอพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกไป


“ฉันรักนาย...เวลาที่นายร้องไห้เพราะฉัน มันทรมานแค่ไหนรู้มั้ย เพราะอย่างนั้นฉันจะไม่มีวันทำให้นายเสียน้ำตาอีก”


ที่บอกว่าเกลียด เสียน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า... เพราะรู้สึกแค้นใจตัวเอง เพียงแค่อีกฝ่ายเอ่ยคำสารภาพ หัวใจที่ว่ามันแข็งกระด้างก็ต้องกลับโอนอ่อน



ไม่ต่างกันเลย...


โกคุเดระกระชับแขนเรียวให้แน่นขึ้น สิ่งที่โหยหามานาน อ้อมกอดอันอบอุ่นของคนๆนี้ อ้อมกอดที่ช่วยสมานแผลใจให้ปิดสนิท บรรเทาทุกความเจ็บปวด ในที่สุดเขาก็ได้สัมผัส เพราะฉะนั้นตอนนี้วายุแห่งวองโกเล่ต้องยอมรับสักทีแล้วว่า


เขาแพ้...แพ้แล้ว


สมรภูมิหัวใจที่หนักหนาสาหัส ทิฐิความทะนง ตลอดจนความโกรธแค้นที่เขาพยายามยกขึ้นมาต่อสู้ สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับพิรุณ แพ้อย่างสมบูรณ์แบบ


“จะไม่ไปเวเนเซียหรือไง” ร่างโปร่งบางท้วงเมื่อนึกขึ้นได้ ขืนตัวออกจากอ้อมแขนแล้วนิ่วหน้า ผิดกับเจ้าคนที่จะไปไม่รีบร้อนอะไรสักอย่าง ยังยืนยิ้มแล้วหัวเราะแหะๆ


“ช่างมันก่อนเถอะ นายจะเอาอะไรกับหน้าที่ในอีกสองปี”


“หะ หา? สองปี!!


สองปี!? ที่ว่าจะไปคืออีกสองปี!! นี่เขาโดนหมอนี่ต้มซะสุกเลยเหรอ ไม่ใช่สุกล่ะมั้ง แบบนี้เรียกว่าเปื่อยได้เลย!! บ้า! บ้าชะมัด นี่ลงทุนร้องห่มร้องไห้ พูดเรื่องน่าอายอีกเป็นวรรคเป็นเวร สรุปแค่เรื่องแหกตาหรือไง


“นี่โกคุเดระ...”


“อะไรหา...”
ใบหน้าคมคายโน้มลงมาใกล้ หน้าผากแตะหน้าผาก จมูกโด่งเป็นสันไล้อยู่ตรงจมูกของอีกฝ่าย ก่อนจะประทับริมฝีปากอย่างนุ่มนวล อ่อนหวานเพื่อปลอบใจคนที่โดนตุ๋นซะเปื่อย


“เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”


คำสัญญาที่เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกที่โกคุเดระได้ฟังแบบเต็มสองหู ความรู้สึกดีที่มันล้นเอ่อเต็มหัวใจทำให้ริมฝีปากบางเผยยิ้ม แทนการแยกเขี้ยวเพราะถูกหลอก แต่ก็เอาเถอะ จะอีกสองปี หรือสิบปี โกคุเดระก็เชื่อว่าข้างกายเขาต้องมีพิรุณอยู่ด้วยอย่างแน่นอน



บรรยากาศยามค่ำคืนนี้มีคนหลายคนที่มาเฝ้าอธิษฐานให้ทันดาวตก อาจมีคนสมหวังและผิดหวัง แต่ที่แน่ๆมีคนสองคนที่ได้อธิษฐานต่อดาวตกได้ทันเวลา ในสวนหย่อมหน้าหอบัญชาการวองโกเล่ ดวงดาวนับล้านเป็นสักขีพยานของสัญญาระหว่างพิรุณและสายลม...




เขากล่าวคำสัญญานั้นพร้อมๆกับที่ท้องฟ้ามีเส้นสีขาวสว่างวาดผ่านไปเพียงเสี้ยววินาทีแล้วถูกกลืนหายไปในความมืด...



My wind, we’ll be together forever...







My wind our wind / End

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น