Fic KHR [8059]
My wind...our wind
Dark Drama Action
NC-17
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชายหากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้
กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
Chapter 2 จดหมายขอตัววายุ
เช้าวันใหม่
หอบัญชาการใหญ่วองโกเล่แฟมิลี่
ก๊อกๆ
"ขออนุญาตครับรุ่นที่สิบ”
“เข้ามาได้เลย”
เสียงเล็กหวานตอยรับอยู่ภายใน
ชายฉกรรจ์ชุดสูทสีดำเปิดประตูให้เบาที่สุดก่อนจะเดินดิ่งนำซองสีขาวๆมาวางตรงหน้านภา
“อะไรหรอ”
นภาแห่งวองโกเล่มุ่นคิ้ว พร้อมเอาซองพลิกไปพลิกมา ดูๆแล้วก็แค่ซองสีขาวธรรมดาๆ
ที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเพียงแค่จ่าหน้าซองว่า ถึงวองโกเล่แฟมิลี่รุ่นที่สิบเท่านั้น
แต่ไม่เห็นชื่อผู้ส่งเลย
จดหมายอะไรพิลึกชะมัด
“ไม่ทราบครับรุ่นที่สิบ
เห็นวางอยู่ในตู้รับจดหมายตั้งแต่เช้าแล้ว ผมถามใครก็ไม่มีใครรู้ครับ”
“งั้นหรอ”
จดหมายอะไรฟะ
ถ้าเป็นจดหมายลูกโซ่ไม่แย่หรอเนี่ย อี๋
“เลิกเดาสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วเปิดดูซะเจ้าห่วยสึนะ
ส่วนแกก็ออกไปได้แล้ว ขอบใจสำหรับจดหมาย”
ร่างสูงในชุดสูทผงกหัวขึ้นมาจากโซฟาตัวสวย
สั่งคนตัวเล็กราวกับรู้ความคิดที่บ้าบอของลูกศิษย์ตัวเอง
แล้วปัดมือไล่ชายหนุ่มออกไปจากห้อง
ตื่นมาก็สั่งเลยนะรีบอร์น ถามจริง นี่ฉันเป็นบอสมาเฟียจริงๆรึเปล่าฟะ!
“ถ้าเป็นจดหมายถ้ารบก็ดีสิ น่ามันส์หยด”
“ใครเค้าคิดแบบแกกันหา!”นภาสีใสหันไปโวยวายใส่ครูสอนพิเศษของตัวเองอย่างเหลืออด
แล้วบรรจงแกะจดหมาย ข้างในใช่จะต่างจากข้างนอกซะเมื่อไหร่
ก็มีแค่กระดาษสีขาวสะอาดที่มีตัวหนังสือเรียงพรืดประมาณห้าหกบรรทัด
แต่ที่จะแปลกตาก็คือ
ตราสีเงินประทับอยู่กลางหัวกระดาษที่นภาแห่งวองโกเล่ไม่คุ้นตาเลย
“ว่าไงเจ้าห่วยสึนะ”
“รีบอร์น...”
“หือ?”
“มีแต่ภาษาอิตาลีอ่ะ อ่านให้ฟังหน่อยดิ” ถูกเผง! นภาแห่งวองโกเล่อ่านภาษาอิตาลีออกซะที่ไหนล่ะ
ถึงแม้จะมีครูสอนพิเศษมาสอนให้ทุกวัน
แต่สมองที่มันไม่ค่อยจะรับข้อมูลมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ยอมจำสักที ส่วนใหญ่จะให้มือขวาลูกครึ่งเป็นคนอ่านให้ฟัง
แต่วันนี้ล่ามชั้นดีกลับไม่อยู่ตั้งแต่เช้า
“ไอ้ห่วย
แสดงว่าตอนเรียนแกไม่ยัดใส่สมองเลยเรอะ! เอามานี่” มือหนาคว้าเอาจดหมายไปจากนภาอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงสามวินาที
คิ้วของนักฆ่าอันดับหนึ่งขมวดเข้าหากันเป็นภาพที่เห็นได้ยากพอๆกับช้างออกลูกเป็นลิงแปดหัว
“ปิดไฟทีสิ สึนะ”
ปิดไฟแล้วแกจะไปเห็นบ้าอะไรฟะ
ก็แค่เถียงได้ในใจล่ะนะ
ขืนพูดออกไปหัวงามๆของนภาได้เป็นรูพรุนแน่ๆ
มือเล็กเอื้อมมือไปปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่มุมห้อง ทันทีที่ห้องสมควรจะมืดมิด
กลับไม่มืดมิดซะทีเดียวแต่มีแสงสีเงินรางๆส่องพอเห็นหน้านักฆ่าอันดับหนึ่งซึ่งถือจดหมายอยู่
“ตรานั่น! มันเรืองแสงอย่างงั้นหรอ”
“เออ
ตราสีเงินที่เรืองแสงในที่มืดได้แบบนี้ มีอยู่แฟมิลี่เดียวนั่นแหล่ะ” นักฆ่าอันดับหนึ่งยังคงเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉยแต่ฟังดูเหมือนพยามยามปกปิดเสียงเครียดอาไว้
ทำให้คนสนิทอย่างนภาแห่งวองโกเล่พอจะจับได้
“แฟมิลี่ไหนรีบอร์น
แล้วทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นด้วย”
“ฟิลบาโลเน่
แฟมิลี่”
“ไม่เห็นคุ้นเลย” นภาร่างเล็กยังคงขมวดคิ้ว แฟมิลี่ไหนยังไม่รู้จัก
แต่พันธมิตรและศัตรูของวองโกเล่ก็มีเยอะเป็นกองภูเขา เอเวอร์เรสต์
ลิสต์รายชื่อก็มีหนาสักสามนิ้วได้ อย่างงี้จะไปรู้มั้ยเนี่ย
“ชื่อนี้ไม่มีทางที่แกจะคุ้นได้หรอก
แต่ถ้าฉันบอกว่า เป็นแฟมิลี่ของพ่อโกคุเดระ แกก็รู้จัก...ใช่มั้ยล่ะ”
“หา!!!”
“แถมเนื้อความยังไม่สู้ดีซักเท่าไหร่”
“ดะ
เดี๋ยวสิรีบอร์น นี่หมายความว่าพ่อของโกคุเดระคุงเขียนจดหมายมาหาฉันอย่างนั้นหรอ!!”
ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตยิ่งเบิกโพลงให้โตเข้าไปใหญ่
น้ำเสียงของบอสสั่นระริก สติสัมปะชัญญะแทบไม่มีเหลืออยู่แล้ว
พ่อของโกคุเดระคุงเขียนจดหมายมาหาฉันทำไมกัน!
“ประมาณนั้น...เรื่องนี้มันอยู่ที่แกนะ...สึนะ” ดวงตาสีรัตติกาลมองลูกศิษย์อย่างให้ตัดสินใจ
พร้อมชูกระดาษตรงหน้านภาแห่งวองโกเล่...แม้จะไม่รู้ใจความของจดหมายแต่ลางสังหรณ์ที่ดีเยี่ยมของสายเลือดที่สืบทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่าบ่งบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
“เรื่องอะไร
รีบอร์น”
“ก็เรื่องที่...
แกจะยอมสูญเสียสายลมของแกตามจดหมายนี่ขอรึเปล่าน่ะสิ”
ถึง
วองโกเล่รุ่นที่สิบ
สวัสดี
เธอคงจะตกใจสินะที่อยู่ดีๆใครหน้าไหนก็ไม่รู้เขียนจดหมายมาหาเธอ
ถึงแม้ฉันจะไม่รู้จักเธอมากนัก ถึงแม้จะไม่เคยเห็นหน้า
แต่ฉันก็รู้ว่าเธอแตกต่างจากคนอื่นๆ ในจดหมายฉบับนี้ฉันจะไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา
ฉันคือบอสฟิลบาโลเน่ แฟมิลี่
พูดอย่างนี้ต่อให้เธอไปเปิดในลิสต์รายชื่อแฟมิลี่ในสังกัดก็ไม่เจอง่ายๆหรอก
แต่ฉันเป็นคนรู้จักของคนของเธอ โกคุเดระ ฮายาโตะ
ผู้พิทักษ์วายุและมือขวาของเธอนั่นล่ะ ฉันเป็นพ่อแท้ๆของเด็กคนนั้นเอง
เด็กคนนั้นหนีออกจากปราสาทมาก็ร่วมสิบปีแล้ว ฉันให้คนติดตามข่าวของเขามาตลอด
จนกระทั่งรู้ว่าเขาไปอยู่กับเธอและพัฒนาตนเองจนกลายเป็นผู้พิทักษ์ ฉันคิดว่า
ฮายาโตะคงจะรบกวนเธอมามากแล้ว จึงอยากจะขอตัวเด็กคนนั้นคืนฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจหัวอกของคนเป็นพ่อที่ขาดลูกมาสิบปี
ถือว่าเห็นคนแก่ๆ ที่กำลังจะไร้ลมหายใจซักครั้งนะ
จาก...บอสฟิลบาโลเน่
แฟมิลี่
“อืม เนื้อความในจดหมายนี่
พ่อของโกคุเดระคุงเขียนมาเพื่อขอลูกของเขาคืนสินะครับวองโกเล่”ผู้พิทักษ์ผมยาวสีน้ำเงินไพลินเอามือเท้าคางมองหน้านภาที่กำลังคิดหนัก
ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นนภาสีใสเครียดขนาดนี้มาก่อนเลย
“ก็อย่างที่บอกนั่นแหล่ะ
เรื่องนี้รีบอร์นก็ไม่ยอมช่วยตามเคย ผมควรจะทำไงดี มุคุโร่ คุณฮิบาริ”
“ถ้ามันอยากได้นัก
ก็ให้มันคืนไปสิ”
ผู้พิทักษ์เมฆาเอ่ยเสียงเรียบอย่างไม่ทุกข์ร้อน ทำเอานภาแห่งวองโกเล่หน้าเสียเข้าไปใหญ่
“พูดอะไรอย่างนั้นครับ
ฮิบาริ ถ้าไม่มีสายลมที่คอยประสานทุกสิ่งทุกอย่างกับนภา
พวกเราจะทำงานกันยังไงล่ะครับ”คำเชือดนิ่มๆ
พร้อมรอยยิ้มเหยียดของสายหมอก เรียกดวงตาดุๆสีรัตติกาลตวัดเข้าหาอย่างเคืองๆ
ท่อนเหล็กสีเงินวาวระยับที่ไม่รู้เจ้าตัวซ่อนเอาไว้ที่ไหนโผล่ออกมาล้อแสงแดดยามสาย
พร้อมที่จะขย้ำเจ้าพืชล้มลุกนี่ทุกเมื่อ
“อี๊
อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ เวลาแบบนี้น่ะ”
“คึหึหึหึ
ผมก็ไม่อยากทะเลาะกับเขาหรอกนะครับวองโกเล่ แต่ถ้าเขาลงมือก่อนก็ช่วยไม่ได้” เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยอย่างเยียบเย็นไม่ยอมแพ้
นิ้วเรียวทั้งห้าในถุงมือสีดำสนิทลูบไล้ไปตามสามง่ามคู่ใจ
เอาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยยยยยยยยยย
“หึ...
ไม่ขัดข้อง”
“เอร๊ยยยยยยยยย
ทั้งสองคน!!!”
นภาแห่งวองโกเล่ผุดลุกผลุดนั่งโบกมือห้ามทัพของสองผู้พิทักษ์ของตน
ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นผลเลย
ถ้าเรื่องนี้มันเป็นการ์ตูนกำลังภายในไฟฟ้าคงแล่นเปรี๊ยะปร๊ะออกมาจากตาของทั้งสองคนแล้วแหล่ะ
ทำไมถึงเหลือแต่สองคนนี้อยู่ในปราสาทฟะ
ทะเลาะกันอย่างงี้แล้วตูจะไปปรึกษาคร๊ายยยยยย
“อันที่จริงนะครับวองโกเล่”
เสียงของผู้พิทักษ์แห่งสายหมอกเอ่ยขึ้น ดวงตาสองสีที่ตัดกันอย่างสิ้นเชิงแม้จะดูเสแสร้งหลอกลวงสมราคาผู้พิทักษ์สายหมอกแห่งวองโกเล่ก็ตาม
แต่ในเวลานี้กลับดูน่าเชื่อถืออย่างน่าประหลาด
“เรื่องนี้ก็ถูกอย่างที่อัลโกบาเลโน่พูด
คุณไม่มีสิทธิ์ถามใครเลยยกเว้นตัวคุณเอง ว่าจะยอมยกสายลมให้ใครไปรึเปล่าน่ะครับ”
ฉันไม่มีสิทธิ์ถามใครเลย...นอกจากตัวฉันเอง...น่ะหรอ
“ถามตัวฉันหรอ”
นภาเปรยความคิดของตนเองออกมาเบาๆ
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเหลือบมองผู้พิทักษ์อีกคนเพื่อขอให้ช่วยตัดสินใจ แต่ผลก็คือ
เมฆาที่แสนเย็นชาหาวหวอดแล้วลุกพรืดจากเก้าอี้ แต่ก็ไม่ใช่จะไปแต่ตัวซะทีเดียว
ยังคงมีคำพูดบางประโยคแว่วมาตามสายลม
“เจ้าสัตว์กินพืชนั่นจะอยู่รึไปขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนาย...ซาวาดะ
สึนะโยชิ”
นภาแห่งวองโกเล่กระพริบตาปริบๆ
แม้สองคนนี้จะเป็นผู้พิทักษ์ที่ไม่ถูกกันมากที่สุด
เจอก็กัดกันทุกทีไม่เว้นสามเวลาหลังอาหาร แต่พอเขาเดือดร้อนก็จะให้คำปรึกษาดีๆเสมอ
ไม่ใช่เพียงสองคนนี้หรอก...
ทุกๆคนก็เหมือนกัน...
เพราะเราอยู่ร่วมกันแบบนี้...จึงฝ่าฟันอุปสรรคมาได้
เพราะเราอยู่ร่วมกันแบบนี้...ที่คอยเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน
แล้วถ้าขาดไปซักคนล่ะ...
คนที่เหลือ...จะอยู่ยังไง
“ขอบคุณครับ
ทั้งสองคน”นภาสีใสเผยรอยยิ้ม ราวกับนภาที่แย้มรับอรุณหลังฝนตก กระดาษสีขาวสะอาดที่มีตราไฟดับเครื่องชนบนหัวกระดาษอยู่ตรงหน้าเรียบร้อยกับปากกาหมึกซึมชั้นดีในมือบางที่พร้อมจะจรดลง...
โกคุเดระคุง...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันจะไม่ยอมเสียนายไป เด็ดขาด !
นภาที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้
จะมีแรงที่จะโอบอุ้มสายลมที่โบกพัดไปมาในทุกหนทุกแห่ง...ได้จริงๆน่ะหรือ
ณ
สนามบินแห่งหนึ่งในอิตาลี
บีเอ็มดับบลิวสีน้ำเงินคันงามที่ประตูรถมีตราอันสง่างามของวองโกเล่แฟมิลี่แล่นมาจอดท่ามกลางคนหมู่มากที่เดินขวักไขว่ไปมาในสนามบินชื่อดัง
พอเห็นรถที่มีตราทรงเกียรติทุกคนหยุดนิ่งพร้อมหลีกทางให้รถผ่านแต่โดยดี
แสดงถึงความมีอำนาจบาตรใหญ่ อิทธิพลสูงส่ง
โดยเฉพาะ
รถบีเอ็มสีน้ำเงินคันนี้...
รถประจำตำแหน่งของหนึ่งในสองมือดาบระดับพระกาฬของวองโกเล่...
ยามาโมโตะ ทาเคชิ
ร่างสูงในชุดสูทสีดำก้าวเท้าลงจากรถพร้อมกับร่างโปร่งบางผมสีเงินที่ถูกบังคับเคี่ยวเข็ญให้มาส่ง
รู้สึกแย่ชะมัดเลย เพราะเมื่อคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน
แถมตอนเช้ายังต้องถ่างตาตื่นมารอที่หน้าตึกพิรุณแต่เช้า
พูดว่าถ่างตาตื่นก็ไม่ถูกเท่าไหร่ ต้องพูดว่า ไม่ได้หลับตานอนเลยด้วยซ้ำ
“ฮัดเช้ย!!”
หวัดกิน...
ร่างกายของผู้พิทักษ์วายุไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนี้
ทีเมื่อก่อนทำงานหามรุ่งหามค่ำอดนอนเป็นอาทิตย์ยังไม่เป็นอะไรเลย
แล้วทำไมเพิ่งมาเป็นหวัดเอาตอนนี้ก็ไม่รู้
“ฮะๆๆ
ขอโทษที่ทำให้นายต้องลำบากนะ”
แม้ปากจะพูดขอโทษขอโพยอย่างดิบดี แต่น้ำเสียงสีหน้า
และแววตาดันเป็นรอยยิ้มกลั้วหัวเราะซะมากกว่า
น่าถีบอย่างหนัก...
“ถ้ารู้ว่าฉันลำบาก
จะให้ฉันมาส่งแกทำไม”
“ก็ฉันไม่มีคนมาส่งนี่นา
นายก็อย่าใจร้ายใจดำกับเพื่อนคนนี้นักสิ”
“ใครใจร้ายกันฟะ
มาส่งถึงที่นี่นี่ดีแค่ไหนแล้ว ความจริงฉันจะให้แกมาที่สนามบินเองด้วยซ้ำ”
“แล้วทำไมถึงยอมมาส่งได้ล่ะ”
“จำเป็น!”
“หือ...?
จริงหรอ”
“อะ เอ่อ
พอเถอะครับคุณยามาโมโตะ คุณโกคุเดระ ยืนถียงกันอย่างนี้มีหวังตกเครื่องกันพอดี”
ผู้พิทักษ์รุ่นน้องผมสีดำสนิทรีบเข้ามาห้ามก่อนที่รุ่นพี่ของตัวเองจะต่อล้อต่อเถียงกันแล้วเขาไม่ได้ขึ้นเครื่องนี่สิจะแย่
“ท่านยามาโมโตะ
ท่านแรมโบ้ครับ ไฟลท์ของพวกท่านคืออิตาลีแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 59 จะออกภายใน 20
นาทีนี้ครับ”
“รู้แล้วล่ะ...ขอบใจมาก”
เฮ้อ...
อิตาลีเหนือหรอ ก็ไม่ไกลเท่าไหร่นี่ แต่มีความรู้สึกแย่จังแฮะ
โหวงเหวงในช่องท้องชอบกล เป็นอาการของคนจะขึ้นเครื่องบินรึไง
“ฉันจะไปแล้วนะ...โกคุเดระ” เพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่มีความรู้สึกอยากจะบอกลาคนๆนี้มากที่สุด
เหมือนกับว่าถ้าบอกลาเขาจะทำให้ไปได้อย่างสบายใจอย่างนั้นแหล่ะ
“จะมาบอกฉันทำไม
ไปก็ไปสิวะ อย่าลืมส่งรายงานมาทุกเดือนด้วย ถ้าขาดไปแม้แต่เดือนเดียว
ฉันตามไปตูมแกถึงอิตาลีเหนือแน่ๆ”
นั่นสินะ...
งี่เง่า...จริงๆ...
แต่ทำไมก็ไม่รู้
ฉันมีความรู้สึกว่า...
จะไม่ได้เจอกับนายอีก เหมือนายกำลังจะหนีฉันไปไกลแสนไกล ทั้งที่ๆฉันเองต่างหาก
ที่เป็นคนจะจากนายไป
แม้ในวันนั้นจะไม่เหลือใครเลย...
แม้แต่ฉันก็ตามที
คำพูดเมื่อคืนของร่างโปร่งบางแล่นเข้ามาในโสตประสาทของพิรุณอีกครั้ง
แววตาสีเปลือกไม้หลุบต่ำลง พยายามไม่คิดถึงคำพูดนั้นอีก มันเป็นไปไม่ได้ซะหน่อย
เสียเวลาเปล่าๆถ้าจะไปคิดพะวงกับเรื่องแบบนี้
ตึ๊ง...ตึ่ง
“เรียนท่านผู้โดยสารโปรดทราบ
สายการบินอิตาลีแอร์ไลน์เที่ยวบินที่ 59 กำลังจะออกจากท่าอากาศยาน
ขอให้ท่านผู้โดยสารเตรียมตัวที่ทางเข้าค่ะ”
“เอ้า! ไปได้แล้ว ฉันจะได้รีบกลับตึกซักที”
มือบางๆดันแผ่นหลังของคนตัวสูง แต่คนที่ถูกดันกลับไม่ออกตัวเดิน
แต่คว้ามือบางมาจับแทน
“สัญญากับฉันนะ
โกคุเดระ...”
“หา?”
“สัญญากับฉันว่านายจะดูแลตัวเองให้ดี
อย่าทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบหลายวันก่อนอีก สัญญาว่าอย่าหักโหมทำงานจนดึกจนดื่น
สัญญาว่าห้ามอดข้าวอดน้ำ สัญญาว่าจะ...”
“เฮ้ย!
เดี๋ยวสิฟะ” วายุหนุ่มรีบโบกมือห้าม ”ทำไมฉันจะต้องสัญญาอะไรปัญญาอ่อนกับแกด้วย”
“แล้วสุดท้ายสัญญาว่าจะโทรหาฉันทุกวัน”
“เฮ้ยยยยยย!!!”
นี่ก็ยิ่งปัญญาอ่อนเข้าไปใหญ่
พิรุณไม่ได้ฟังคำทัดทานของวายุแม้แต่น้อย
แถมยังส่งสายตาบังคับมาอีก ทำให้ร่างโปร่งบางเริ่มอึดอัดจึงจึงต้องตบปากรับคำไป
“เออๆ
สัญญาๆ”
“ขอบคุณนะ
เอ้า ไปกันเถอะแรมโบ้!”
พิรุณหมุนตัวพร้อมกับดันหลังคนที่อายุน้อยกว่าให้เดินไปในฝูงชนที่กำลังจะเดินทางไปพร้อมกับเที่ยวบินนี้
หมอนี่จะไปแล้วงั้นหรอ
ถ้าไม่สั่งอะไรหน่อย มันจะไม่ใช่มือขวาอย่างเขาน่ะสิ
“ยามาโมโตะ!!”
ร่างสูงหันมากับเสียงเรียก
ร่างโปร่งบางก้าวขายาวๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้าพิรุณ
ดวงตาสีมรกตจ้องกับดวงตาสีเปลือกไม้อย่างออกคำสั่ง
“อย่าลืมรายงาน...”
“ฮะๆๆ
รู้แล้วน่า ย้ำบ่อยจัง”
ที่นายอยากจะพูดกับฉันมีเพียงแค่นี้ใช่มั้ยล่ะ...โกคุเดระ
“อีกเรื่องนึง...ดูแลเจ้าวัวบ้านั่นให้ดีๆ
ถ้ามันกวนแกนักก็ส่งมันกลับมา ฉันจะตื้บมันเอง
แต่ถ้าเจ้าวัวบ้าเป็นอะไรระหว่างอยู่ที่โน่นล่ะก็...คนที่จะถูกกระทืบคือแก!”
“ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลย”
แม้จะไม่ถูกกัน
แต่วายุก็เสมือนคือพี่ชายต่างสายเลือดของอัสนี เห็นแบบนี้แล้วก็คงอดห่วงไม่ได้สินะ
นายก็ห่วงคนอื่นกว่าตัวเองทุกที...
“งั้นฉันไปก่อนนะ
แล้วเจอกันทางโทรศัพท์”
“เออ แต่แกไม่ต้องโทรมาเซ้าซี้ ถ้าว่างฉันจะโทรไปหาแกเอง”
แต่คงไม่มีวันไหนที่นายห่วงฉัน...
พิรุณแค่นยิ้มออกมาบางๆ
ก่อนจะหมุนตัวกลับแล้วเดินห่างสายตาวายุไปทุกที...ทุกที
จนดวงตาสีมรกตไม่เห็นแม้แต่เงาของร่างสูงในสายตา...
ร่างโปร่งบางแหงนหน้ามองท้องฟ้าทางกระจกใสในสนามบิน
ท้องฟ้าสีฟ้าสดใสแต่งแต้มด้วยเมฆขนนกสีขาวราวกับวาดด้วยพู่กันชั้นดี
เครื่องบินนานาเที่ยว พากันบินเข้าและออก จนกระทั่งเจ้านกเหล็กสีขาวลำหนึ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
Italy Airline-59
เรียวปากบางยกยิ้มเหมือนเห็นหน้าใครบางคนบนเครื่องบินลำนั้น
คำพูดที่แทบไม่เคยหลุดจากปาก เอ่ยออกมาเบาๆ ราวกับให้มันผ่านไปในสายลม...
“ถึงแม้ว่าฉันไม่พูดแต่แกก็คงรู้นะ...”
“รักษาตัวด้วย...ยามาโมโตะ”
TBC...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น