Project: Happy birthday Mameaw [28.07.13]
S.Fic The
thief of Baramos
KaloXFelin
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักหญิง
(เตือนเพื่อ!?) นั่นแหล่ะ เป็นนอร์มอลค่ะ ฟิคสุดยอดเฉพาะกิจจากหัวขโมยแห่งบารามอส และเป็นฟิคเรื่องเดียวแห่งปี 2013 อีกด้วย เลยเอามาลงกรุอีกเรื่อง สนใจอ่านได้ค่ะ ไร้พิษไร้ภัย
The authority of sword
ตอนที่ 1
ข้าแต่พลังมหาเวทย์มนต์ดำอันยิ่งใหญ่โปรดประทานกำลังให้แก่ศาตราวุธบันดาลให้ความมืดจงกลืนกินแสงสว่าง ปลุกร่างของนักรบผู้ห้าวหาญแห่งอนธกาลให้ตื่นจากบรรทม ปลุกระดมวิญญาณกล้าที่ดับสูญให้คืนถิ่น จงผกผินสู่สิงสถิตย์ ณ ที่แห่งท่าน คืนวันวานแห่งจันทราชโลมโลหิต ดูดกลืนชีวิตผู้ถือครองที่ละโมบกระหายแห่งพลังของเทพมรณะ เสียงปะทะเสียดสีดั่งเสียงกรีดร้อง ดับดิ้นสิ้นผู้หาญมาลองฤทธิ์ จวบจนจิตของจ้าวพญามารจะพึงใจ
เป็นดั่งเสียงบทกวีวนเวียนไปมา
เท้าเปล่าของเธอย่างเข้าไปในความมืด เลือดในกายค่อยลดอุณหภูมิลงจนเย็นเฉียบ
มือน้อยๆบีบกันเพื่อถ่ายเทความอบอุ่นแม้มันจะไม่ค่อยได้ผล เสียงอึงอลคลับคล้ายเสียงร้องไห้ดังอยู่ข้างหูกลิ่นคาวคละคลุ้งอย่างที่ใครๆก็รู้ดีว่าเป็นกลิ่นเลือดมนุษย์ลอยมาแตะจมูกตลอดเวลา
เธอเม้มริมฝีปาก
อยากร้องไห้ออกมาดังๆ
ให้ตาย! ที่นี่มันที่ไหน?สาบานด้วยศักดิ์ศรีแห่งขโมยเลยว่าเธอคุ้นกับที่เปลี่ยวทุกที่ในเอเดน
แต่ไอ้ที่ผีสิงแบบนี้ ต่อให้ไปลากคอสุดยอดขโมยรุ่นพ่ออย่าง มาดัส
เดอเบอโรว์มาถามก็ไม่มีทางรู้จัก!
มืด หนาว วังเวง
มีทั้งเสียงและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
อย่างที่แม้แต่เด็กสามขวบยังรู้ว่านี่มันบรรยากาศชวนให้สิ่งลี้ลับออกมา!
“เฟลิโอน่า
เกรเดเวล...”
“ใคร!”ต่อให้ชินกับอีกชื่อมากกว่า
แต่กับชื่อลิเกๆที่มีอยู่คนเดียวทั้งสองแผ่นดิน
ทำให้เธอหันกลับไปได้ทันทีเหมือนปฏิกิริยาตอบสนอง
แต่ตอนนี้ชักสยองก็มันดันไม่เห็นมีใคร...บัดซบ!
“เรารู้จักกัน
ไม่เห็นต้องถามนี่ว่าฉันเป็นใคร”
“นายรู้จักฉัน?”
เธอทวนเสียงสูงเปรี๊ยบ นิ้วชี้เข้าตัวเอง แล้วหัวเราะหยอกๆ “อย่าล้อเล่นน่า เพื่อนฉันเยอะก็จริง
มีตั้งแต่ขอทานกิตติมศักดิ์ไปจวบจนเจ้าชายน้ำแข็งแห่งคาโนวาล แล้วบอกไว้ก่อนนะว่าแต่ละคนหน้าตาดีสาวกรี๊ดเป็นลมล้มพับ
แต่ไอ้ที่อยากกรี๊ดแล้วอยากวิ่งหนีอย่างนายนี่...”
เด็กสาวเบะปากแล้วโคลงหัว
ไม่ได้คิดถึงเลยว่ากำลังกวนประสาทสิ่งที่ไม่มีตัวตน
“ไม่ใช่เพื่อนฉันแน่ๆ”
“เจ้าชายน้ำแข็ง
คาโล วาเนบลี เดอะปรินซ์ออฟ คาโนวาล?”
อีกฝ่ายกลับไพล่ไปสนใจอีกเรื่อง ชื่อของบุคคลที่สามที่ได้ยินเมื่อไหร่เป็นต้องใจกระตุก
แล้วยิ่งประโยคต่อมาของเจ้าคนลึกลับพร้อมน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
ยิ่งทำให้สาวเจ้าผู้ไม่เคยอยากเป็นสาวหน้าขึ้นสี
“นี่เขาเป็นเพื่อนเธอเหรอ
จากที่ดูๆไม่เห็นจะใช่”
“แล้วนายมาดูโน่นดูนี่ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่!!”
“ก็ทุกที่ที่เธออยู่”
คำตอบสั้นหยุดชะงัก
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเบิกกว้าง
แข็งทื่อเป็นหินทั้งๆที่บรรยากาศแต่เดิมก็ชวนขยับตัวยากอยู่แล้ว
พอตั้งสติได้เจ้าตัวดีผู้กล้าท้าผีครั้งแรกในชีวิตก็หัวเราะร่วน
นี่ถ้ามันมีตัวตนแล้วมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ
เธอคงตบไหล่มันไปสักป้าบสองป้าบข้อหาพูดอะไรสะกิดใจสาวน้อย
“นายนี่มันจี้จริงๆ
ให้ตายสิ...เฮ้อ ชอบฉันก็บอกชอบมาตรงๆ อย่ามาลักพาตัวแล้วกักอยู่ในข่ายอาคมน่าขนลุกอย่างนี้
มันไม่ใช่วิธีจีบหญิงที่ดีหรอก เชื่อผู้เชี่ยวชาญอย่างฉันเถอะน่า”ปากสวยๆของเจ้าหล่อนสรุปความนัยไม่กี่คำของอีกฝ่ายเข้าตัวหมด
แถมยังปัดไม้ปัดมือไปมาอย่างไม่ถูกใจ ท่าทีที่ใครเห็นก็ต้องอยากถีบสักเปรี้ยง
แค่คู่สนทนากลับหัวเราะหึหึ แล้วเยาะกลับ
“เธอคิดว่าฉันชอบเธอ
ฉันเนี่ยนะ?!” มันบังอาจมาขึ้นเสียงสูง แล้วเด็กสาวชักตงิดๆ
เพราะเสียงสูงของมันเหมือนเวลาเธอทำเปี๊ยบ
“ก็หรือไม่ใช่?”
“ทั้งใช่และไม่ใช่”
คำตอบเข้าใจยากทิ้งให้ผู้ฟังขมวดคิ้ว เสียงนั้นเว้นไปสักพักก่อนเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ฉันชอบเธอเมื่อเธอชอบตัวเอง
ฉันเกลียดเธอเวลาเธอเกลียดตัวเอง
ไม่มีสิ่งใดที่ควบคุมไปได้ยากกว่าอารมณ์และความคิดตน”
เด็กสาวนิ่งอึ้ง
ฟังประโยคเปรียบเปรยแล้วเธอนึกถึงคำพูดความหมายคล้ายๆกันแสนคุ้นหูที่เธอเคยได้ยินมาแล้วถึงสองครั้ง
ครั้งแรกจากราชินีจันทราผู้เป็นอา
และครั้งที่สองจากปากเจ้าชายคาโลตอนวิเคราะห์เหตุการณ์สุดระทึกหลังจากที่เธอเคยโดนเจ้าแหวนแห่งปราชญ์นั่นหลอนประสาทจนเกือบตาย
ใต้ฟ้าดินนี้
ตัวข้ายิ่งใหญ่ที่สุด
ทันทีที่ห้วงความคิดปรับเปลี่ยน
เหตุการณ์เปลี่ยน คนเปลี่ยน ทำได้แม้แต่จะเปลี่ยนโลกทั้งใบ...ยิ่งใหญ่ที่สุด
ไม่มีใครมาควบคุม ไม่มีใครมาปิดกั้น จะใกล้ต่อหน้า หรือไกลปลายฟ้า...
โฮ่!
ปรัชญาสุดเท่ประจำตัวสกุลเกรเดเวลที่เธอรักษาอย่างดีเหมือนวิชาก้นหีบเดอเบอโรว์
ไอ้บ้านี่มันมาตรัสรู้ได้ก็นับว่าแน่ไม่หยอก
“หลักการของนายเจ๋งดี” เธอชม
แล้วยิ้มกว้าง “คนปรับเปลี่ยน เมื่อความคิดเปลี่ยน แต่กับจีบสาวถ้ามาใช้หลักการนี้
จากจอมปราชญ์นายจะเป็นได้แค่ไอ้สับปลับ”
เด็กสาวกอดอก ทำท่าทางเหมือนอาจารย์เวลาเล็คเชอร์ลูกศิษย์
หน้าเคร่งๆที่แสร้งทำสะกิดมาแล้วตั้งแต่เท้าของทายาทนักฆ่าคนสำคัญแห่งซาเรสจวบถึงนักรบตาเดียวจากไนล์
แต่เธอก็ไม่สนใจ ยังร่ายสอนคนที่เข้าใจว่าเข้ามาทอดสะพานให้ไม่หยุดปาก
“มาทำให้คนเค้าคิดว่าชอบ
แล้วดันมาบอกว่าเกลียดแบบนี้มันไม่ไหวมั้ง
เป็นสาวคนอื่นนอกจากฉันได้น้ำตาตกเช็ดหัวเข่าแน่ๆ บอกมาหน่อยสิ
นายคนไม่รู้จักแม้แต่ใบหน้า ฉันเคยไปทำอะไรให้นายเกลียด หือ?”
คนที่ไม่รู้จักแม้แต่ใบหน้าเงียบไปสักครู่
ก่อนจะตอบ คำตอบที่ทำให้ร่างทั้งร่างของเธอชาวาบ
“ย้อนถามกลับสิ
ว่าเคยเกลียดตัวเองบ้างไหม เฟลิโอน่า เกรเดเวล”
พลันรอบกายเธอที่เคยมืดมิด
ก็สว่างเจิดจ้า
สายลมหนาวพัดกระโชกก่อนที่จะค่อยๆสงบลงแล้วเปลี่ยนเหตุการณ์รอบตัวเธอไป
เปลี่ยนความเวิ้งว้างที่ไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นความเวิ้งว้างในใจเธอ
เหตุการณ์ที่เธอไม่มีวันลืม
ความพินาศของชายแดนเมื่อสามปีก่อน!!
วงดาบงดงามทว่าดุดันและรุนแรงที่สุดจากอาวุธที่ชินมือมาตลอดวาดกว้าง
กรรโชกกราดเกรี้ยวราวพายุคลั่งพัดบ้านเรือน
เรือกสวนไร่นาและชีวิตของผู้เคราะห์นับพันนับหมื่นหลายปลิวหายไปในน่านฟ้า
เสียงคำรามกึกก้องกัมปนาท คละเคล้าไปด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน ชายแดนสี่เมืองใหญ่แห่งเอเดน
แอเรียส เวนอล คาโนวาลจวบจนบารามอส
อันตรธานหายไปไม่เหลือแม้เพียงเศษซากจากน้ำมือเธอ
ฝัน มันเป็นฝันร้าย ฝันร้ายที่แสนขยะแขยงขยะแขยงเลือดในกายที่ตอนนั้นแล้วบัดนี้มันไหลเวียนแล่นพล่านอย่างรวดเร็วจนเธอแทบบ้า!
ตราบาปกับความสูญเสียที่เธอทำ
ชดใช้กี่ชาติมันก็ไม่มีวันลบล้าง
ไม่ ไม่ ไม่จริง!
“ไม่จริง..” เธอครวญเสียงแผ่ว
แต่คนฟังกลับหัวเราะร่า
“ฆ่าคนตายแล้วยังบอกว่าเป็นแค่ฝัน
หลักการดำรงชีวิตของเธอ แม้แต่นักฆ่าแท้ๆอย่างคิล ฟีลมัสยังไม่เข้าใจ”
คำพูดของนักฆ่าที่มันอ้างเคยเอ่ยกับเธอตอนอยู่ในคุกกลับมาตอกย้ำหัวใจให้เจ็บปวด
ตอนนั้นเธอก็จำได้ สายเลือดที่แสนเข้าใจยากในร่างกายมันก็บ้าคลั่งแบบนี้
อาการเดียวกันที่มนุษย์เป็นตอนตื่นเต้นยินดี
เธอเคยบอกกับท่านจ้าวเอวิเดสผู้เป็นบิดาว่า
เธอไม่มีวันมีความสุขกับการตายและการฆ่า
เพราะเธอเป็นเพียงแค่มนุษย์แต่ทันทีที่เธอฆ่า จิตวิญญาณมันลิงโลดกับความสูญเสียยิ่งกว่าปิศาจ
“ธิดาแห่งความมืด
ธิดาแห่งความตาย ธิดาแห่งความหายนะ จงอย่าปฏิเสธชาติกำเนิดของตนเอง”
ไม่...
“อย่าสกัดกั้นพลังที่เอ่อล้น
แล้วอำนาจจะเป็นของเธอ”
ไม่ ไม่เอา ไม่เอาแล้ว
“เอ่ยนามฉัน
แล้วฉันจะขานรับ กวัดแกว่งฉัน แล้วฉันจะฟาดฟัน เฟลิโอน่า เกรเดเวล”
ไม่ ไม่นะ ไม่นะ ผ่าปฐพี!!
ไม่!!!
“ไม่!!”
“ที่พูดมานั่นคงจะมีเหตุผลสินะ
เฟริน เดอเบอโรว์”
เอิ๊ก!
อยากร้องว่าไม่เป็นรอบที่สอง
แต่เพราะน้ำเสียงเย็นๆปานน้ำแข็งนั่นสาดโครมจนเธอตื่นเต็มตา
พาร่างกลับสู่เหตุการณ์จริงปัจจุบันอย่างน่าอัศจรรย์ เริ่มจากห้องกว้างสีครีมสว่าง
ผ้าม่านสักหลาดสีม่วงสดสีประจำโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์กคลุมหน้าต่างสูงราวห้าเมตร
ธงผืนใหญ่สีแดงลายดาบไขว้ประดับอยู่สี่ฝั่งฟากมุมห้อง
ตอกย้ำสถานที่แห่งเกียรติยศที่เธอบังอาจเอามานอนหลับได้อย่างหน้าตาเฉย
สภาสูงแห่งป้อมอัศวิน ห้องที่ชวนให้หัวขโมยตัวเอ้อย่างเฟริน
เดอเบอโรว์หนาวๆร้อนๆ กับการประชุมครั้งใหญ่ในรอบเทอม
ซวย! มีแต่ซวยกับซวย!!ใครรู้ว่าหนึ่งในสี่ผู้คุมกฎ อดีตฮีโร่ผู้ช่วยเอเดนเจรจาสันติสุขกับเดมอสเมื่อสามปีก่อนมาหลับในสถานการณ์น่าเคร่งเครียดแบบนี้แถมยังละเมอซะดังลั่น
จ้างให้เป็นหมอเทวดาโอเดลก็ไม่มีทางมาเย็บหน้าแตกๆของเธอแน่
ซวยซ้ำซวยซ้อนเข้าไปอีกเมื่อดวงตาทุกดวงของนักเรียนที่มีตำแหน่งในสภามองเธอเป็นสายตาเดียวกัน
นับตั้งแต่เจ้าคนที่นั่งทางขวามือ
นายขอทานกิตติมศักดิ์ที่เธอลากมันไปนินทาในฝันกับไอ้ผีบ้านั่น
ป้ายชื่อสีทองอร่ามที่วางอยู่เบื้องหน้าสลักนามตัวโต โร
เซวาเรสเสนาธิการฝ่ายซ้ายแห่งป้อมอัศวินที่รอบรู้เจนจัดยิ่งกว่าเสนาธิการรุ่นใดที่เคยมีมา
ดวงตาสีเขียววาววับฉายแววขำขันยิ่งกว่าอาย ทั้งๆที่มันเองก็เหมือนตกเป็นเป้าสายตา
เพราะนั่งใกล้เธอที่สุด
ต่อมาทางซ้ายมือ
ทายาทนักฆ่าชื่อดังแห่งซาเรสคิล ฟีลมัส หนึ่งในผู้คุมกฎมือวางอันดับหนึ่งนักหลับของป้อม
แต่วันนี้เจ้าเพื่อนซี้ตัวแสบกลับทรยศหน้าด้านๆ มันนั่งตาแป๋วปล่อยให้เธอหลับอยู่คนเดียว
ดวงตาสีม่วงพราวระยับอย่างที่รู้ว่ามันต้องมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นนั่นมันน่าซัดนัก! ถัดไปโน่นแองเจลีน่า
แม่สาวน้อยน้องนุชผมทองตาฟ้า ถลึงตาแยกเขี้ยว
ดูท่าอยากเอาคทามาฟาดหัวเธอเต็มแก่ถ้าไม่ติดมารยาทในห้องประชุม
ส่วนเจ้านักสู้ตาเดียวจากไนล์ ครี้ด ธันเดอร์ หมอนั่นไม่ทำอะไร
นอกจากขยับปากช้าๆบอกเธอว่า
แก-ตาย-แน่!
เฟรินยิ้มเจื่อน
ค่อยๆกวาดสายตาไปอีกฟาก ซีบิล สเวน หนุ่มน้อยผู้สุภาพที่สุดที่หาไม่ได้อีกแล้วในป้อมอัศวินกับป้ายทองคำสลักบ่งตำแหน่งเสนาธิการฝ่ายขวา
หนุ่มน้อยผู้ขยันอย่างที่เฟรินขอซูฮกเงยหน้าจากการจดรายงานการประชุมแล้วยิ้มให้เธอพอใจชื้นขึ้นบ้าง
ไล่ไปตั้งแต่สามขุนพล มาทิลด้า ซิลเวอร์ กัส โทนีย่า สิบสองผู้พิทักษ์อีกเป็นเบือ!
ยัง! ยังไม่หมดเท่านั้น
ยังมีตัวแทนชั้นปีตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีเจ็ดอีกชั้นละสองคน
แล้วที่แย่ที่สุด!
น่ากลัวที่สุด! หนาวที่สุด!
เจ้าของเสียงทุ้มเย็นๆที่ปลุกเธอให้ตื่นจากฝันอุบาทว์
ร่างสูงสง่านั่งอยู่หัวโต๊ะ นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยดุจัดอย่างที่ส่งสายตาอ้อนไปเท่าไหร่ก็ไม่มีท่าทีใจอ่อน
สงสัยว่ามันจะโกรธอะไรนักหนา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อยที่เธอหลับในห้องประชุม
ทำเป็นไม่ชิน!
“จะพูดอะไรมันต้องมีเหตุผล
ไม่อย่างนั้นฉันคงยอมรับความคิดเห็นของนายไม่ได้”
“ง่า...เอาไว้ทีหลังไม่ได้เหรอ”
คนไม่ยอมเสียฟอร์มยังโยกโย้ รอยยิ้มหวานพร้อมกับเสียงอ่อนทอดยาว
ลูกไม้ประจำตัวคนฤทธิ์มากที่เจ้าชายแห่งคาโนวาลจะไม่มีทางปล่อยมันลอยนวลอีกเด็ดขาด
แต่เจ้าตัวยังไม่รู้ชะตากรรม ยื่นข้อเสนอกับประธานในที่ประชุมอย่างไม่รู้จักอายเลยว่าอยู่ต่อหน้าคนตั้งเท่าไหร่
“ฉันมีเหตุผลของฉันน่า แต่ให้พูดตรงนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่
ขอบอกเป็นการส่วนตัวได้ไหม ท่านหัวหน้าป้อม”
“อูววววววว” เสียงลูกคู่รับซีนแสนหวานจากทุกคนรายล้อมดังขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมาย
เรียกดวงตาสีฟ้าเย็นเยียบหันไปตัดฉับ
แต่เจ้าคนถนัดสร้างกระแสกลับไม่ช่วยกันแก้ข่าว
ยังไปยักคิ้วหลิ่วตาอารมณ์ดีให้คนทั้งสภา
เท่านั้นท่านหัวหน้าป้อมที่ว่าถึงกับถอนหายใจ
คลึงขมับกับท่าทีของสาวเจ้าที่น่าเครียดเสียยิ่งกว่าเนื้อหาการประชุมแล้วรีบว่าวาระต่อไปอย่างไม่สนใจเธออีก
การเอาตัวรอดที่ชาญฉลาดยิงนัดเดียวทะลุนกตั้งสามตัวทำให้เฟรินอยากหัวเราะดังๆ
หนึ่งคือเธอไม่ต้องเป็นเป้าให้น้ำแข็งเกาะเล่น
สองได้เอ็นเตอร์เทรนเพื่อนๆน้องๆในป้อม
แล้วสามทำให้เจ้าคนไม่รู้จักรีแลกซ์นั่นได้เสียศูนย์ซะบ้าง
บรรยากาศห้องประชุมเปลี่ยนทันทีที่เจ้าหญิงแห่งเดมอสเปิดปากพูดสักประโยค
เกราะน้ำแข็งบางๆที่ท่านหัวหน้าป้อมเพียรสร้างเพื่อควบคุมทุกคนให้อยู่ในความสงบพังทลายอย่างไม่มีชิ้นดี
พวกเด็กๆในสภาก็รู้ดีอยู่แล้วว่ารายการโต้เถียงงุ้งงิ้งในห้องประชุมระหว่างเจ้าชายคาโลกับสาวคุมกฎคู่หมั้นเป็นรายการแก้เซ็งชั้นเยี่ยม
ชนิดว่ามีทุกครั้ง แล้วดูรอบไหนๆก็ยิ้มได้ทุกรอบ ไม่มีผิดหวัง
เฟรินนั่งลงกับเก้าอี้ก่อนจะหันไปหาท่านเสนาธิการทางขวามือ
“ทำไมวันนี้มันน็อตหลวมกว่าปกติ” เจ้าตัวยุ่งปราดเข้ากระซิบ
ปากบุ้ยไปทางเจ้าชายคนสำคัญหัวโต๊ะ “ให้ตายซี่ ห้องหนาวไปหมด
ไม่เหลือเค้าธาตุไฟป้อมอัศวินเลย”
“จะให้เหลือยังไงไหว
ก็นายดันไปปฏิเสธความหวังดีของเจ้าชายแห่งคาโนวาลซะไม่ไยดี” โรว่า แล้วหัวเราะหึหึ
ทับถมคนกังวลให้ยิ่งลีบหนักไปอีก “ไม่รู้ว่าฉันเคยบอกนายหรือเปล่าสิ เฟริน ว่าบรรดาเมืองในเอเดน
คาโนวาลเป็นเมืองที่เจริญสัมพันธไมตรียากที่สุด เพราะเขาไม่เคยหว่านไมตรีให้ใคร”
“ใช่” พอเห็นช่องว่างให้แทรก ทายาทนักฆ่าผู้รักสนุกก็กระโดดเข้าแจมทันที
“แต่คนที่มันอยากให้ ก็ดันกลับไปบอกว่าไม่ซะดังฉิบ ก็ควรหรอกที่จะอารมณ์บ่จอย”
ทั้งสองคนยังพล่ามชวนให้คิดว่าเธอคือผู้ผิดมหันต์โดยที่ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าเธอไม่เห็นรู้เรื่องสักประโยคที่พวกมันว่ามา
หว่านไมตรี? ปฏิเสธ?
พวกมันพูดเรื่องอะไร?
“เดี๋ยวๆ” เฟรินรีบเบรก
“ฉันไปขัดความหวังดีอะไรของมัน แล้วมันมาหว่านไมตรีอะไรให้ฉัน”
คำถามชวนงงให้เพื่อนสองคนถึงกับเลิกคิ้วสบตากัน
ถึงบางอ้อแล้วว่าเจ้าผู้คุมกฎตัวแสบนี่ไม่เกรงบารมีข่ายอาคมน้ำแข็ง
ไปเฝ้าพระอินทร์เสียตั้งแต่ต้นการประชุม
คิลไหวไหล่น้อยๆแล้วยักคิ้วเป็นเชิงให้อีกฝ่ายจัดการเล่า โรถอนหายใจหันกลับมามองหน้าลูกน้องในสังกัดแล้วยื่นเอกสารที่เขาบันทึกมาตลอดการประชุมให้อีกฝ่ายอ่านเพิ่มเติมไปด้วย
“สัปดาห์หน้าจ้าวปิศาจเอวิเดสกับราชนิกูลเกรเดเวลอีกพระองค์จะเสด็จเยือนโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์กตามคำเชิญของหัวหน้าป้อมอัศวิน”
“ฮ้า! แกล้อเล่น”
เฟรินร้องเสียงหลงแล้วปิดปากตัวเองได้ทันก่อนจะตกเป็นเป้าสายตาอีกรอบเมื่อได้ยินชื่อบิดาบังเกิดเกล้าแล้วท่านเกิดเบื่ออะไรขึ้นมาถึงอยากแปรพระราชฐานเล่น
มือน้อยๆกดไหล่คนตรงหน้าลงแล้วกระซิบ “พ่อฉัน!? พ่อเอวิเดสเนี่ยนะ? เขาจะมาทำไม แล้วหมอนั่นไปได้เส้นใหญ่มาจากไหนถึงเรียกได้แม้กระทั่งจอมปิศาจแห่งเดมอส”
“เส้นอะไรจะใหญ่ได้เท่าราชบุตรเขยล่ะเฟริน
ถามแปลกๆ”
คำย้อนกลับพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ทำเอาสาวเจ้าหน้าร้อนผ่าว
แยกเขี้ยววับถลึงตาด่าโคตรเหง้าขอทานมันแม้จะรู้ว่าความจริงแล้วญาติโกโหติกามันประทับอยู่ที่พระราชวังเวนอล
แล้วเหมือนเจ้าคนตรงหน้าจะรู้ว่าโดนบริภาษในใจมันเลยเลิกล้อแล้วเล่าต่อแต่โดยดี
“ก็นั่นแหล่ะ
พอราชอาคันตุกะคนสำคัญให้การตอบรับว่าจะมาแน่นอน ป้อมอัศวินเลยได้วุ่นกันใหญ่
นับตั้งแต่เตรียมขบวนรับเสด็จ จัดห้องรับรอง ห้องบรรทม
จวบจนการอารักขาตลอดเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง”
“แขกต่างบ้านต่างเมืองเป็นคนใหญ่โตขนาดนี้
แล้วป้อมอัศวินบ่อจี๊เราจะไปรับมาทำไมฝ่ายเดียว ไอ้เตรียมการต้อนรับจุกจิกอะไรนี่
มันหน้าที่ปราการปราชญ์เค้าไม่ใช่เหรอ”
“ก็ครั้งนี้เขาไม่ใช่แขกของเอดินเบิร์ก
แต่เป็นแขกของป้อมอัศวิน” โรให้เหตุผลพร้อมรอยยิ้ม แล้วยังเสริมท้ายไปอีก
คำเสริมท้ายที่เฟรินกล่าวโทษมันในใจว่าไม่ต้องบอกก็ได้“ในจดหมายตอบรับท่านจ้าวทรงเขียนวงเล็บมาด้วยว่าคิดถึงพระธิดาเฟลิโอน่าใจจะขาด”
“คราวหลังถ้าจะเขียนไปเดมอสช่วยจ่าหน้าตัวโตๆด้วยว่านี่มันจดหมายราชการ
พ่อฉันจะได้ไม่คิดว่าเป็นจดหมายส่วนตัวเขียนเล่น” เฟรินว่ายิ้มๆนึกค่อนขอดท่านเจ้าปิศาจวัยกระเตาะไม่รู้จักเป็นผู้ใหญ่
“ก็แล้วยังไง มันเกี่ยวกับหน้าบูดๆของคาโลมันตรงไหน”
“ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ”
คำตอบที่ไม่ตรงคำถามพร้อมชาที่ยกขึ้นจิบตามประสาคนมาดมากชวนเตะ “คิล ครี้ดแองเจลีนา
ผลัดเวรกันคนละหกชั่วโมงดูแลห้องรับรองชั้นนอก มาทิลด้ากับกัสที่เป็นสามขุนพลอารักขาชั้นในอยู่ในความดูแลของซีบิล
ส่วนปีเราคนอื่นๆจัดแจงเรื่องขบวนรับเสด็จ เรนอนกับผู้หญิงทุกคนดูแลเรื่องการบริการ
ส่วนชั้นปีหนึ่งถึงสามก็ถูกแจกจ่ายงานเล็กๆน้อยกันไปตั้งแต่ทำความสะอาด ทาสี
จัดดอกไม้ ตัดหญ้า เตรียมคอกสัตว์ทรง
สารพัดหน้าที่เหมือนตอนยี่สิบสี่กษัตริย์เอเดนเสด็จ”
“แล้วนายกับคาโล?”
เฟรินทวนถึงชื่อคนที่ไม่อยู่ในหน้าที่ โรขยับยิ้มแล้วตอบ
“ฉันรับหน้าที่ดูแลอารักขาความปลอดภัยราชนิกูลผู้ติดตาม”
หน้าที่อันหนักอึ้งทำให้คนฟังอ้าปากค้าง แล้วเจ้าขอทานมาดมากที่บัดนี้มีภาระใหญ่ติดตัวยังพูดหน้าที่ของอีกคนที่เธอพาดพิงถึง
“ส่วนคาโล
รับผิดชอบงานหนักที่สุดนอกจากจะประสานงานจัดการทุกอย่างกับปราชญ์เลโมธีแล้ว
เขายังต้องให้คำสัญญากับสภาสูงเบื้องบนของเอดินเบิร์กว่าหากเกิดเรื่องอะไรแม้เพียงเล็กน้อยเขาต้องรับผิดชอบทุกการกระทำของอาคันตุกะ
และแน่นอน ความปลอดภัยของพ่อนายก็อยู่ในความดูแลของคาโลด้วย”
“มันอาสา!?”
เด็กสาวถามเสียงสูง ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างแทบหลุดออกนอกเบ้า เบะปากอย่างหมั่นไส้คนไม่รู้จักเหนื่อยชอบหาเหาใส่หัว“เจ้าหมอนั่นเป็นหัวหน้าป้อมมากี่ปีมันถึงไม่รู้ว่าที่นี่เสือสิงห์กระทิงแรด
ชวดหน้าที่เด่นๆอย่างนั้นไปหมด มีหวังโดนเขม่นแย่”
คนฟังแย้มรอยยิ้ม
เป็นไปได้อยากให้บุคคลที่ถูกเจ้าตัวดีเอามาพูดถึงได้ยินนัก
“คาโลถามแล้วว่ามีใครไม่เห็นด้วย
หรือคิดว่าเขาไม่เหมาะสมกับหน้าที่นี้บ้างไหม”
“แล้ว?”
เฟรินถามต่อ ใจชักตุ้มๆต่อมๆไม่สู้ดี
“เจ้าหญิงเฟลิโอน่า เกรเดเวลเป็นเพียงคนเดียวที่ปฏิเสธซะเสียงดัง”
เอิ๊ก!
ทีนี้ก็แจ่มกระจ่างว่าไอ้สายตาชวนขนลุกกว่าปกติที่มันมองเธอมานั่นเพราะเธอดันไปสกัดดาวรุ่งไม่ให้มันโชว์ผลงาน เฟรินถอนหายใจแล้วพิงหลังลงกับพนักเก้าอี้
แต่ในใจนึกขันเจ้าชายมาดมากมากกว่าจะสำนึกผิด
ก็เดี๋ยวนี้หมอนั่นชักทำตัวเป็นสาวแทนเธอ อะไรๆก็คิดเล็กคิดน้อย
แถมชอบน้อยใจอะไรไม่เข้าเรื่อง
แม้จะเป็นแค่คำพูดงี่เง่าของเธอ
มันก็ยังคิดเป็นจริงเป็นจังทุกประโยค
แย่...
“นายไม่ต้องซึมไป
คาโลมันไม่ยกเลิกหน้าที่ตัวเองเพราะนายหรอก แม้ลูกสาวไม่อนุญาตว่าที่ลูกเขยให้ไปดูแลพ่อตามันจะน่าเสียใจ
ตอนนี้คาโลได้ส่งหมายกำหนดการตลอดจนรายชื่อบอดี้การ์ดอารักขาหลักๆไปแล้วตั้งแต่ยังไม่เข้าประชุม
เพื่อป้องกันไม่ให้ใครบางคนป่วนแผนงานจนต้องเปลี่ยนมติ”
“เผด็จการ” เจ้าคนถูกตราหน้าว่าชอบป่วนแผนงานบ่นเสียงขรม
“มีนักปกครองที่ไหนใครเขาทำอย่างนั้น นี่คงคิดว่าคนทั้งป้อมนี่ต้องเห็นดีเห็นงามกับมันทุกอย่างเลยใช่ไหม”
คำบริภาษที่ทำให้โร เซวาเรสถึงกับเลิกคิ้วพลางขำออกมาเบาๆ
เขาโคลงหัวแล้วแสดงความเห็น
“อย่าว่าแต่ในป้อมอัศวินเลย
ทั้งแผ่นดินเดมอสและเอเดนก็คงมีเจ้าหญิงเฟลิโอน่าเพียงคนเดียวที่กล้าขัดใจเจ้าชายแห่งคาโนวาล”
.
.
.
.
.
TBC...
ขอยกยอดช่วงเม้าท์กับภาพประกอบไปเป็นพาร์ทสุดท้ายเลยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น