Project : Happy
birthday P’Kwang [WAKETSU] 12.01.13
Au.Fic KHR 8059
[Yamamoto X Gokudera]
Drama comedy!? (มันอะไรกันล่ะนั่น!)
คำเตือน
เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
และอีกอย่าง
ฟิคเรื่องนี้มัน...เว่อร์ได้โล่ วิปริตหน่อยๆ โรคจิตเล็กน้อย
สาระค่อนข้างตกตะกอนนอนก้น
ขอให้มีความบันเทิง....ปรารถนาดีจาก
Miyaจ้ะ *v*
SKYFALL : 06
ท่านประธานสายการบินโกคุเดระยืนอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางกรุง
คิดว่าแดดเวลาใกล้บ่ายไม่ทำให้เขาเดือดร้อนเหรอ ไม่ใช่เลย มันเดือดร้อนมาก
แต่คนที่โกคุเดระคิดว่าน่าจะรออยู่ข้างในก็คุ้มค่าพอที่จะทำให้เขาออกมาสู้กับแสงอาทิตย์ในวันฟ้าโปร่งแบบนี้
“สวัสดีครับ
The
Best Imperial สาขาเจนีวา ยินดีต้อนรับครับ
ขอให้สนุกกับการจับจ่ายสิ่งที่ดีที่สุดครับ” ทันทีที่เดินผ่านประตูกระจก
เจ้าคนเปิดประตูให้ก็ทักเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมคำทักทายเป็นภาษาอังกฤษชัดแจ๋ว
ส่วนเขาก็คงต้องยิ้มกลับไปให้มันตามมารยาทที่ดี
แต่มันก็คงมองรอยยิ้มที่สมควรเรียกว่าแยกเขี้ยวของเขาไม่ออกหรอก
มันหมายความว่า ‘ฉันไม่ได้มาสนุกเว้ย!’
ยิ่งที่นี่เป็นห้างสรรพสินค้าที่บันลือโลกนั่น
เขายิ่งสนุกไม่ออก ใช่...ที่นี่คือห้างของยามาโมโตะ สาขาเจนีวา
อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม สถาปนาเมื่อสองปีก่อน สถานที่ที่เฟร็ดดอริกมาเหมาผ้าเช็ดหน้าสิบกว่ากล่องได้ฉับไวสมใจเจ้านายก็มาจากที่นี่
แต่ทุกอย่างขอให้ท่านประธานโกคุเดระได้อธิบายว่า ‘มันคือเรื่องจำเป็น’
ที่เขาต้องพึ่งพา The Best อีกรอบ
แต่ถ้าพูดถึงสถานะที่ถูกย้ำในใจอยู่ทุกเมื่อ มันก็คงจะเรียกว่า ‘พึ่งพา’ ไม่ได้เลย
ใช้คำว่า
‘จ้าง’ คงจะเหมาะกว่า
ยามาโมโตะติดต่อร้านกาแฟที่มีมุมส่วนตัวเป็นพิเศษให้เขาบริเวณชั้นสามเพื่อใช้เป็นที่พูดคุยตกลงกับแดชีลล์
หมอนั่นจัดการไม่ถึงนาทีผ่านทางโทรศัพท์
สถานที่ทั้งหมดก็ถูกอนุมัติเรียบร้อย
แล้วตัวเขาก็เป็นคนเขียนบัตรนัดระบุข้อมูลทั้งหมดลงในกระดาษแล้วสอดไปใต้ผ้าเช็ดหน้าในกล่อง
ส่งตรงไปถึงห้องของแดชีลล์ แล้วประโยคสุดท้ายที่เขาเขียนไป
ก็มั่นใจว่าต้องทำให้แดชีลล์ยอมมาพบเขาแน่นอน
เพราะประวัติของหมอนั่นที่รู้มาจากอาเจ๊เมื่อเช้านี้
มันไม่ธรรมดาเลย ต้องเรียกได้ว่าสิ่งที่เขาคิดมันผิดคาดไปไกล
ย้อนกลับไปเมื่อสามชั่วโมงก่อน
“ได้เรื่องแล้ว
ฮายาโตะ” เสียงของพี่สาวแท้ๆดังมาตามสาย
ฟังจากเสียงก้องๆที่สะท้อนแล้วคาดว่าเบียงกี้น่าจะปลีกตัวออกมาอยู่ในห้องน้ำ “แต่ไม่ค่อยง่ายเท่าไหร่เลยนะยะ
กว่าเจ้าหล่อนจะยอมเปิดปากพูดถึงแฟนเก่า พี่ต้องตะล่อมอยู่ตั้งนาน สงสัยกลัวพี่เป็นสายให้พวกนักเขียนคอลัมน์กอซซิบล่ะมั้ง
นี่ถ้าไม่อ้างเรื่องเพื่อเป็นการปกป้องความเป็นส่วนตัวของนางแบบที่จะมาทำงานให้โกคุเดระกับ
The Best เธอคงไม่ยอมพูด”
“เจ๊ก็อ้างได้ดีนี่”
เด็กหนุ่มร่างบางเอ่ยชม มุมปากยิ้มนิดๆกับข่าวดี “ไม่มีคนวงการบันเทิงที่ไหนพิศวาสเรื่องเก่าๆที่ไม่ค่อยเป็นผลดีกับตัวเท่าไหร่หรอก
ที่เราเชิญเธอมาเป็นพรีเซนเตอร์ผมว่าก็เป็นเรื่องผิดคาดสำหรับเธออยู่แล้วล่ะนะ
แล้วยิ่งมาเจอผู้บริหารมานั่งคุยกับตัว ซ้ำยังจะช่วยปิดข่าวอีกแรงอีก
เอเบลล์เหมือนถูกรางวัลสองเด้ง”
“ต้องบอกว่าชีวิตที่ผ่านมาเธอถูกมาแล้วหลายเด้ง
ฮึ...โดยเฉพาะเรื่องของแดชีลล์ เลอรอยด์คนนั้นน่ะ ถือเป็นรางวัลใหญ่สำหรับเธอเลย
แต่สุดท้ายต้องบอกว่าสวรรค์ไม่ได้ใจดีกับคนสวยเสมอไป...”
เบียงกี้เงียบเมื่อเป็นเรื่องน่าเศร้าจะเล่า แต่โกคุเดระพอจะเดาออก
เพราะยามาโมโตะได้บอกเขาตั้งแต่แรกแล้ว ทั้งคู่เลิกกัน เพราะเวลาไม่ตรงกัน ถึงเป็นเหตุผลธรรมดาๆ
แต่มันก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ในเมื่อทั้งสองคนสมกันอย่างกิ่งทองใบหยก
“อยู่ไปก็ไม่ยืดจริงๆนั่นล่ะเจ๊
นั่นยังเป็นตอนเรียนไม่ใช่เหรอ ถ้ายังดันทุรังอยู่กันไปเรื่อยๆเลยมาถึงตอนทำงาน
มันไม่ยิ่งแย่ไปใหญ่หรือไง อีกอย่างรูปร่างหน้าตาอย่างเอเบลล์ โฟล โบดูออง
ก็น่าจะหาใหม่ได้ไม่ยาก ไม่แปลกหรอกน่า ที่หล่อนจะขอเลิก”
“เปล่า”
เบียงกี้ปฏิเสธชัดถ้อยชัดคำทำให้คนฟังชะงักไป
แล้วยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิมเมื่อฟังเรื่องที่ตรงกันข้าม
“กลับกันเลย
ฮายาโตะ แดชีลล์นั่นแหล่ะที่เป็นคนขอเลิก”
“แต่หมอนั่นเป็นคนจีบเอเบลล์ก่อน”
แม้มันจะเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ค่อยขึ้น แต่โกคุเดระก็ค้านเบียงกี้ไปเรียบร้อยแล้ว
เขารู้อยู่หรอกว่าคนที่ชอบก่อนอาจจะเป็นคนที่เบื่อก่อนก็ได้
แต่จากที่เขาดูท่าทางของรองผู้บริหารเบธิลด์ ทาวเวอร์
ต่อให้หมอนั่นหล่อฟ้าประทานขนาดไหน แต่สิ่งที่มีเสน่ห์จริงๆก็คือความฉลาดอย่างผู้ใหญ่นั่นแหล่ะ
ไม่มีทางรักสนุกคบเผื่อทิ้ง อีกอย่างฝ่ายหญิงเป็นถึงขุนนางเก่า
แดชีลล์ย่อมไม่มีทางทำอะไรเป็นการหยามเกียรติแน่
“นี่เจ๊โม้หรือเปล่าเนี่ย”
“ก็กำลังจะเล่าให้ฟังอยู่นี่ไง
อย่าเพิ่งตีความสิยะ!
แล้วอีกอย่างพี่ยังไม่ได้พูดกับนายสักคำว่าเขาเลิกกันเพราะเวลาไม่ตรงกัน”
โกคุเดระเผลอร้อง ‘อ้าว’ ออกมาเบาๆ
เมื่อสิ่งที่รู้มาเหมือนจะผิดไปไกล แต่เลือกที่จะเงียบให้พี่สาวเล่าต่อ
“แต่คนนอกเขาก็รู้กันอย่างนั้นแหล่ะ
เพราะข่าวให้สัมภาษณ์ว่ารักทั้งคู่จืดจางเพราะดูแลกันน้อยลง แต่ความจริงแล้ว...เมื่อสามปีก่อนเบธิลด์
ทาวเวอร์เข้าสู่กลียุค นายก็จำได้ใช่มั้ย ฝรั่งเศสเกิดภาวะเงินฝืดอย่างรุนแรง
ค่าสกุลเงินอื่นแข็งขึ้น ยกเว้นสกุลยูโร ลูกจ้างลาออก
แล้วที่แย่ที่สุด...เจ้าของกิจการที่แท้จริงเสียชีวิต”
“เจ้าของกิจการ!!?” ดวงตาสีมรกตเบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยิน ลมหายใจติดขัดเพราะช็อกไปชั่วขณะเมื่อได้ยินคำว่าเสียชีวิต
มันจะเป็นไปได้ยังไง
ก็ในเมื่อเจ้าของกิจการของเบธิลด์ยังเป็นชายแก่ท่าทางใจดีที่กำลังจะจัดประมูลอยู่ที่เจนีวานี่!
เดเมียน
เลอรอยด์ ไม่ใช่เหรอไง!
“เบธิลด์
(Batilde) น่ะ เขาไม่ได้ตั้งมาเปล่าๆหรอกนะ มันเป็นชื่อของผู้ก่อตั้งห้างสรรพสินค้าพร้อมโรงแรมในตัวที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
เบธิลด์ เอลีน แชคก์ คุณหญิงตระกูลเก่าแก่ไม่แพ้โบดูออง
หล่อนเก่งและเป็นคนใจกว้าง เท่าที่ฟังจากเอเบลล์
แดชีลล์รักและเคารพหล่อนสุดหัวใจเลย คราวนี้เดาได้หรือยังว่าหล่อนเป็นอะไรกับพ่อหนุ่มหล่อทำตัวเป็นปริศนานั่น”
“แม่” โกคุเดระตอบโดยใช้เวลาคิดไม่นาน
เสียงหัวเราะใสๆของพี่สาวที่ปลายสาย
“จากพยานปากเอก
เอเบลล์บอกว่าสองคนนี้หน้าไม่เหมือนกันสักนิด...ทั้งๆที่ส่วนใหญ่ลูกชายจะหน้าเหมือนแม่”
เบียงกี้เว้นวรรค ราวใช้ความเงียบเป็นตัวช่วยผูกเรื่องราวที่เธอจะบอกกับน้องชาย
โกคุเดระรู้สึกว่าปลายมือปลายเท้าเย็นเฉียบ
แล้วไม่กล้าขยับไปไหนนอกจากถือเครื่องมือสื่อสารให้แนบหูแล้วนิ่งเงียบ
รอฟังข้อมูลที่เขาอยากรู้มากที่สุด
“แน่นอนว่าไปตรวจดีเอ็นเอก็คงผิดกันไปไกล
แดชีลล์ เลอรอยด์ไม่ใช่ลูกของคุณหญิงแชคก์”
คนฟังข้อมูลรู้สึกหัวใจของตัวเองกระตุกวูบแล้วเปลี่ยนเป็นเต้นผิดจังหวะ
พยายามรวบรวมเสียงถามต่อ
“ละ แล้ว
กับเดเมียน?”
“คนนั้นพ่อจริงๆ
คุณหญิงแชคก์หย่ากับสามีคนแรกตั้งนานแล้ว
จากนั้นก็แต่งงานใหม่กับนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงตระกูลเลอรอยด์
แต่ฝ่ายชายก็มีลูกติดล่ะนะ แดชีลล์เพิ่งจะอายุสิบขวบ
แต่คุณหญิงแชคก์ก็จัดการส่งเสียเอ็นดูเขาทุกอย่าง
อาจเพราะตอนหย่ากับสามีเธอยังไม่มีลูก
ก็เลยเห็นแดชีลล์เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียว”
คนฟังเรื่องราวน่าเหลือเชื่อกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ทีแรกเขาเองก็เคยคิดว่าแดชีลล์ใช่ลูกของเดเมียนแน่เหรอ ไหนจะเรื่องที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อหรือเห็นหมอนั่นแม้แต่เงา
อาจจะเป็นเพราะหมอนั่นเป็นลูกชายบ้านเล็กที่ไม่ได้รับความรักเพียงพอจากพ่อ เลยถูกเลี้ยงให้เป็นพวกบ้าเรียนหรือทำงานเบื้องหลังอย่างเดียว
แต่นี่โกคุเดระต้องยอมรับว่าที่เขาคิดมันผิดไปไกล...
สรุปคือ
ทั้งเดเมียน ทั้งแดชีลล์นั่นแหล่ะ...มาทีหลังทั้งคู่
แล้วตอนนี้คนมาทีหลังที่ว่านั่นได้กุมกิจการทั้งหมดของเบธิลด์
ทาวเวอร์...กำลังไปได้สวยด้วยสิ แต่เพียงแค่ขยับขยายให้กิจการรุ่งเรือง
มันบอกอะไรไม่ได้เลยในเรื่องของความภักดี
ยิ่งถ้าทั้งคู่ไม่ใช่สายเลือดของผู้ก่อตั้ง มันยิ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าทั้งคู่จะหวังดีกับเบธิลด์
ทาวเวอร์ไปตลอดรอดฝั่ง
แดชีลล์รักและนับถือคุณหญิงแชคก์
ขนาดไม่ใช่ลูกแท้ๆแต่ก็ถูกใส่ใจขนาดนั้น มันก็ไม่แปลกหรอก
แต่จะรู้ได้ยังไงว่าเดเมียนไม่ได้หวังฮุบเบธิลด์ผ่านทางลูกชายตัวเอง
แล้วมันมีอะไรรับประกันไหม ว่าสองพ่อลูกนั้นจะไม่เอาเบธิลด์ไปขายทอดตลาดมืดถึงมือสตีเฟน
ถึงตอนนี้คำถามใหม่ก็ผุดขึ้นในหัว....
ทั้งคู่คิดยังไงกับเบธิลด์
ทาวเวอร์ กันแน่?
“เมื่อกี้เจ๊บอกว่าแดชีลล์กับเอเบลล์ไม่ได้เลิกกันเพราะไม่มีเวลาให้กัน?”
“เอ้อ
ใช่” ปลายสายตอบรับ ก่อนที่จะเงียบไปสักหน่อย แต่พอเสียงของเธอดังขึ้นอีกครั้งโกคุเดระต้องย่นคิ้ว
เพราะมันเบามากจนฟังเป็นเสียงกระซิบ “หลังจากที่คุณหญิงแชคก์เสียชีวิต เบธิลด์ ทาวเวอร์ก็แย่
ยอดจำหน่ายสินค้าลดลงฮวบฮาบ หุ้นก็ตก เดินเข้าหาคำว่าเจ๊งทุกวันนั่นแหล่ะ
แต่มีคนยื่นมือมาช่วย คนเดียวกันกับที่มาหาเราเมื่อสี่ปีก่อน...”
“สตีเฟน
แมคคาร์ที!” โกคุเดระอุทาน
“ใช่” เบียงกี้รับ
“เรื่องนี้เอเบลล์ไม่รู้หรอก แต่พี่เดาเอาว่าเพราะหมอนั่น
เบธิลด์ถึงยืนได้อีกครั้ง โกดังใต้ดินของเบธิลด์ ทาวเวอร์กลายเป็นโรงงานผลิตอาวุธ
แล้วสต๊อกสินค้าใหญ่พอให้ซุกซ่อนของผิดกฎหมายถูกใจบอสของสตีเฟนอย่างจัง
เห็นว่าหลังจากนั้นเบธิลด์มีเงินมาหมุนกิจการก้อนโต
แล้วก็นั่นล่ะ...มันเป็นดาบสองคม คนรับเงินสกปรกมันอยู่ไม่สุขหรอก
อารมณ์เหมือนขโมยของ แล้วต่อให้ไม่มีใครจับได้
ในใจลึกๆก็ต้องกลัวกันเป็นธรรมดา...แล้วอย่างนายแดชีลล์อะไรนั่นคงเป็นพวกห่วงตัวคนอื่นมากกว่าตัวเอง...โดยเฉพาะคนที่เขารัก”
“เพราะแบบนั้น...หมอนั่นเลยเลิกกับเอเบลล์”
โกคุเดระสรุป ริมฝีปากเม้มสนิทเมื่ออะไรๆมันชักจะเข้าเค้ามากขึ้น
แล้วที่ตอนนี้ตาแก่สตีเฟนยังมาร่วมประมูลอยู่ที่เจนีวา ก็เพราะเบธิลด์
ทาวเวอร์ยังไม่ได้เซ็นสัญญาร่วมหุ้นกับแมคคาร์ทีคอปเปอร์เรชั่นอย่างถาวร
เรื่องนี้ยังคาใจเขาอยู่ แต่มันก็คงจะมีวิธีเดียวที่จะหาคำตอบได้...
นั่นก็คือไปถามเอาจากแดชีลล์ตรงๆ
“ขอบคุณมาก
เดี๋ยวกลับไปอยากกินอะไร อยากไปไหน จะจัดให้เต็มที่เลย” ร่างบางบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง
เมื่อเหลือบตามองตัวเองในกระจก ปรากฏว่าเขาเผลอแย้มรอยยิ้มที่ไม่ได้ยิ้มมานานแล้วออกมา
เชื่อเลยว่าถ้ายามาโมโตะหรือใครมาเห็นอาจจะร้องจ๊ากแล้ววิ่งออกจากห้อง
รอยยิ้มแบบนี้เขาไม่เคยให้ใครเห็นจริงๆนอกจากครอบครัว
แล้วมันก็ห่างเหิน...เพราะไม่ค่อยมีเวลาให้กับคนทางบ้าน
ถ้าไม่รวมพ่อกับแม่แล้ว
ก็มีคนแค่สองคนเท่านั้นที่เคยเห็นมัน
เสียงหวานๆของพี่สาวแสดงอาการหมั่นไส้มาตามสาย
โกคุเดระเดาสีหน้าของอีกฝ่ายได้เลย
มันเป็นแบบเดียวกันตอนอาเจ๊จิกเรื่องรูปร่างหน้าตาเขานั่นแหล่ะ
“นายไม่รู้หรอก
ไอ้น้อง ว่าพี่ต้องทนตอบคำถามพวกนักข่าวกับแขกมากแค่ไหนเรื่องที่เราถอนหุ้น The Best เอเบลล์ก็เอเบลล์เถอะ ไมค์จ่อปากได้ไม่ถึงครึ่งของพี่เลย ฮึ่ย! ต้องฉีกยิ้มปั้นเรื่อง เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว....ไม่มีฮายาโตะนี่...เหนื่อยจริงๆนะ”
เสียงของเบี้ยงกี้แผ่วไป
จนทำให้เขาต้องเรียกปลายสายเบาๆ มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มบาง อาเจ๊ไม่เหมือนเขา
ไม่เคยพูดอะไรออกมาตรงๆ จนกระทั่งเป็นเรื่องอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ
เธอถึงจะพูดออกมา...
“ฮายาโตะ...พี่คิดถึง...”
ความเงียบที่ส่งผ่านกันระหว่างโทรศัพท์มือถือทั้งสองเครื่อง
ถ้าเป็นอย่างทุกครั้ง เขาก็คงจะตอบเบียงกี้ไปแล้วว่า ‘จะรีบกลับไป’
แต่ตอนนี้เขากลับไม่พูด ให้เวลามันเดินต่อไปเรื่อยๆ
เหมือนกับว่าไม่พูดไปมันจะดีกว่า หรือบางทีเขาก็พูดไม่ออก
จนกระทั่งอาเจ๊หัวเราะออกมาแล้วว่าต่อ
“อ้อ
แถมให้อีกเรื่อง ถือเป็นโบนัสก็แล้วกัน.....ให้พี่เดา พี่เดาว่านายคงไปถามข้อมูลพวกสป็คแฟนของแดชีลล์มาจากยามาโมโตะใช่มั้ย
นี่ถ้านายมาเห็นหน้าเอเบลล์ โฟล โบดูออง ด้วยตัวเองนะ ไม่ต้องไปเสียเวลาถามใคร...”
“เจ๊หมายความว่าไงอ่ะ”
“แค่นายเดินไปหน้ากระจก
จินตนาการว่าตัวเองผมยาวแล้วมีทุกอย่างที่หญิงสาวมี.....นั่นแหล่ะ แฟนสาวที่แดชีลล์รักมากที่สุด”
คราวนี้เขาอ้าปากค้างจริงๆ
สมองตื้อไปชั่วขณะ พยายามหุบมันลงแล้วนับเลขในใจหนึ่งถึงสิบกับน้ำเสียงกระดี๊กระด๊าแถมเจืออาการขำขันดังมาตามสายนั่น
แล้วตอบกลับไปลอดไรฟัน
“อาเจ๊...ที่บอกว่าผมหน้าตาเหมือนเอเบลล์
เพราะจะชมตัวเองว่าสวยใช่ไหม”
ถึงมันจะเป็นประโยคติดตลกที่จริงหรือไม่จริง
เขาไม่รู้ แต่เบียงกี้ไม่น่ามาพูดกับเขาเลย มันทำให้ความมั่นใจในการเจรจาของเขาลดลงจม
ดวงตาสีมรกตมองเข้าไปในร้านกาแฟตรงตามที่ยามาโมโตะบอก
ดูจากการตกแต่งและขนาดของร้านที่ไม่หรูหราเกินไปจนเป็นที่เตะตา
ซ้ำพนักงานในร้านก็ยังดูมีบรรยากาศของพวกเลขาประธานบริษัทมากกว่าจะเป็นบริกร
ที่นี่คงไม่ใช่แค่คาเฟ่นั่งจิบกาแฟตากแอร์อย่างเดียว
“สวัสดีค่ะ
ท่านประธานโกคุเดระ”
หญิงสาวในชุดพนักงานคนหนึ่งโค้งให้เขาทันทีเมื่อเดินเข้ามาในร้าน
หล่อนผายมือเข้าไปข้างในอย่างรู้งาน “แขกมารอพบอยู่ที่ห้องรับร้องแล้วค่ะ”
นี่หมอนั่นมาถึงก่อนเขา!?
ท่านประธานแห่งสายการบินเลิกคิ้วขึ้นโดยอัตโนมัติ
แล้วพยักหน้าลงเบาๆ เดินตามหญิงสาวไปหลังเคาท์เตอร์ บรรยากาศเปลี่ยนไปแบบหน้ามือกับหลังเท้า ความเงียบคืบคลานส่วนหลังร้านที่จัดแบ่งเป็นห้องๆ ตามทางเดินได้ยินเพียงแค่เสียงเดินของเขากับพนักงานไปตามพื้นพรมหนา
บนผนังสุดทางเดินมีกล้องวงจรปิด ไม่เท่านั้น มันยังมีอยู่ระหว่างห้องสองข้างทางด้วย
แล้วให้โกคุเดระเดา ในห้องก็ต้องมีอีกแน่ๆ
“ห้องนี้ค่ะ
เป็นห้องเก็บเสียง และถ้าหากต้องการใช้โทรศัพท์ กรุณาใส่ micro SD นี้ในตัวเครื่องค่ะ มันจะป้องกันการดักฟังได้”
หญิงสาววางชิพขนาดเล็กกับบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนจะเป็นรีโมตขนาดหน้าตัดสี่ตารางเซนติเมตรในมือเขา
เธอเงยหน้าขึ้นมองแล้วกำชับ
“รีโมตนี้จะส่งสัญญาณเสียงไปที่วอล์คกี้ทอล์คกี้ของดิฉันกับพนักงานอีกสองสามคนที่หน้าร้านค่ะ
หากท่านโกคุเดระมีปัญหาอะไรสามารถเรียกได้ทุกเมื่อ
เพราะพวกเราเป็นทีมที่ท่านประธานตั้งขึ้น เพื่อคอยช่วยเหลือท่านโกคุเดระในครั้งนี้...ขอให้โชคดีค่ะ”
ขากรรไกรเกือบอ้าค้างอย่างไม่ตั้งใจเมื่อฟังพนักงานที่ดูช่ำชองกับเรื่องแบบนี้สาธยาย
เธอโค้งให้เขาหนึ่งทีแล้วเดินกลับไปที่หน้าร้านเพื่อรอสแตนด์บายอย่างมืออาชีพ แล้วทิ้งให้เขายืนมองประตูอยู่คนเดียวท่ามกลางความเงียบ
เขาจัดการใส่ชิพที่เพิ่งได้มาลงในโทรศัพท์มือถือ
เตรียมการให้เรียบร้อยรวมถึงการลูบผมตัวเองเพื่อจัดทรง ความกดดันก่อนเริ่มงานออกฤทธิ์อีกครั้งจนเขาต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
มือเริ่มเย็นและชื้น หัวใจเต้นถี่
ข้างในนั้นคือคู่สนทนาที่อายุและประสบการณ์การทำงานอาจจะไม่ได้ครึ่งของพวกคู่ค้าคนอื่นๆที่โกคุเดระเจรจามา
แต่เขากลับรู้สึกร่างกายหนักอึ้งเหมือนเอาการสัมมนาใหญ่ๆสักสี่ห้างานมาทุ่มใส่ในวันเดียว
แดชีลล์
เลอรอยด์ ไม่ต่างอะไรกับ ยามาโมโตะ ทาเคชิ ถ้าเขาเผลอหรือไม่ตั้งใจล่ะก็
เขาจะไม่มีทางไล่ตามอีกฝ่ายทัน นี่เป็นเรื่องที่เขาเตือนตัวเองให้ขึ้นใจ
แล้วตั้งแต่เขาเหยียบเจนีวานี้ เขาหันหลังกลับไม่ได้
และทุกขั้นของแผนการก็พลาดไม่ได้ ไม่อย่างนั้น มันจะพังต่อกันเป็นโดมิโน่
ใช่...งานนี้ก็พลาดไม่ได้เหมือนกัน
มือบางผลักประตูเข้าไปในห้อง
ภายในไม่มีอะไรมากนอกจากโซฟาสีขาวสองตัวที่ประกบโต๊ะไม้สีดำโมเดิร์น และคนที่นั่งรออยู่พร้อมกับเจ้ากล่องผ้าเช็ดหน้า
คนเพิ่งเข้ามาเลิกคิ้วหน่อยๆเมื่อเห็นวันนี้แขกของเขาดูแปลกตาในชุดไปรเวทเป็นเสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมสีฟ้าอ่อนพับแขนถึงข้อศอกกับกางเกงยีนส์สีดำสนิททำให้บรรยากาศรอบเขาดูเด็กลงแล้วสบายกว่าปกติ
แต่สายตาที่หมอนั่นมองเขา ก็ยังคงเป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิม
“นายนี่...ถนัดเรื่องให้คนรอนะ”
มุมปากเขายกเป็นรอยยิ้มนิดๆพร้อมประโยคจิกกัดไม่ใช่ทักทายไม่เชิง แต่กับโกคุเดระ
ฮายาโตะที่ชักชินกับนิสัยของอีกฝ่ายก็รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเป็นพิษเป็นภัยกับความรู้สึกเท่าไหร่
“แต่นายก็รอ...ความจริงต้องบอกว่านี่ยังไม่ถึงเวลานัดด้วยซ้ำ”
“เพราะนายมีวิธีนัดได้น่าสนใจ...นับว่าเป็นคนแรกเลยที่กล้านัดฉันก่อนเวลาน้อยกว่าหกชั่วโมง
แล้วทำให้ฉันต้องมานั่งรอ”
คราวนี้น้ำเสียงของแดชีลล์ไม่ได้มีรอยตำหนิอยู่ขัดกับรูปประโยค
กลับกันเขารู้สึกชื่นชมนิดๆจนทำให้คนฟังยิ้มออกมา
แม้จะรู้สึกใจแกว่งไม่น้อยเมื่ออีกฝ่ายเปิดกล่องผ้าเช็ดหน้าแล้วดึงกระดาษโน้ตออกมาจากใต้กล่อง
ข้อความสุดท้ายที่เขาเขียนไปคงจะเป็นสิ่งที่ทำให้อีกฝ่าย ‘สนใจ’
นั่นล่ะ
“ฉันจะทำตามที่ฉันเขียน
แต่นายก็ต้องให้ความร่วมมือกับฉันก่อน” เสียงของคนอ่อนวัยก่อนว่าขึ้นอย่างจริงจัง
“ฉันต้องขอโทษที่บอกว่าฉันไปสืบประวัตินายมา
แล้วรู้ว่านายเคยทำธุรกิจกับแมคคาร์ทีคอปเปอร์เรชันมาก่อนตอนเบธิลด์
ทาวเวอร์ใกล้ล้ม แล้วนายก็รู้ดีว่าผลลัพธ์มันเป็นยังไง”
ดวงตาสีฟ้าอมเทาคู่คมหรี่ลงมองเด็กหนุ่มตรงหน้า
ที่เขาแปลกใจไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองถูกคุ้ยประวัติ
แต่เป็นวิธีการพูดของประธานบริษัทอายุน้อย
วิธีที่พูดเหมือนยังไม่ตัดสินว่าเขาชอบหรือไม่ชอบที่จะลงทุนกับกลุ่มวงการมืดในคราบนักธุรกิจมือสะอาด
แม้ในหัวเขาจะเดาไปไกลแล้วว่าระดับโกคุเดระ ฮายาโตะ
ลงทุนสืบเรื่องของใครคงจะได้ละเอียดแบบเจาะลึก แล้วก็คงจะรู้คำตอบอยู่แล้ว
แต่ก็ไม่พูดออกมา ราวกับว่าจะให้เขาเป็นคนเอ่ยปากเอง
รองผู้บริหารเบธิลด์
ทาวเวอร์ยิ้มบางผ่อนรับผ่อนสู้ แล้วตอบอย่างตรงไปตรงมา “ใช่...ถ้าไม่ได้แมคคาร์ที
เบธิลด์คงแย่ ตาแก่นั่นเงินหนักอยู่
เพียงแค่ค่าเช่าที่ให้สูงกว่าเอเจนซี่ทัวร์ที่มาพักกับโรงแรมฉันตั้งสองเท่า
ฉันชอบนิสัยทุ่มเต็มร้อยของหมอนั่นนะ
แต่ต้องบอกว่าขยาดเรื่องที่ต้องจ่ายเต็มร้อยให้กับเขาเหมือนกัน”
“แน่นอน
ฉันก็ว่าน่ากลัว เพราะฉันก็เคยโดนหมอนั่นเล่นมา ยามาโมโตะก็เหมือนกัน
ยังดีที่ฉันกับพ่อไหวตัวทัน เตรียมการทุกอย่างให้เรียบร้อยเพื่อหลุดจากอุ้งมือมันทันทีที่ร่วมธุรกิจกันเสร็จ
นายไม่อยากจินตนาการหรอกว่ามันวุ่นวายแค่ไหน ทั้งนักข่าว ทั้งลูกค้า
ฉันรู้สึกอยากจะมีสักสิบปากเอาไว้อธิบาย”
คนฟังเกือบหัวเราะออกมากับท่าทีคนเล่า
สีหน้ากับท่าทางบ่งว่าขยาดเรื่องในอดีตจริงๆ
ซ้ำยังใช้น้ำเสียงที่เหมือนไม่ใช่การเจรจาธุรกิจอย่างที่เขาคิดไว้เลย
มันเหมือนเป็นการชวนคุยเล่นๆในวงเพื่อนสนิทมากกว่า
เช่นเวลาเล่าเรื่องแสบๆในวัยเด็กแล้วถามเพื่อนว่าเคยเจอเหมือนกันไหม
พูดตรงๆ
เขาไม่เคยเริ่มการคุยกับประธานบริษัทหน้าไหนด้วยบรรยากาศแบบนี้มาก่อน...แล้วก็ไม่คิดจะเจอด้วยตลอดชีวิตที่เดินในวงการนี้
แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ทำให้เขาเจอจนได้
“นายเก่งนะ
ที่ผ่านมันมาได้” แดชีลล์ชมจากใจ เรียกรอยยิ้มซื่อๆบนใบหน้าอ่อนเยาว์ได้ทันที เสียงใสฟังสบายหูยังว่าไปเรื่อย
“ถ้านายชมว่าฉันเก่ง
ฉันก็ต้องชมนายว่าเก่งเหมือนกัน เพราะนายก็เจอเหมือนกับฉัน แถมยังผ่านมันมาได้ด้วยนี่”
“แต่ฉันว่าฉันไม่ได้ใช้วิธีเหมือนนายหรอก
โกคุเดระ”
“งั้นนายใช้วิธีอะไร”
คนอ่อนวัยกว่าถามกลับด้วยน้ำเสียงแบบเดิม ดวงตาสีมรกตสวยเป็นประกายวิบวับทันทีอย่างธรรมชาติเหมือนเด็กอยากฟังนิทาน
แล้วเขาก็เกือบทำตัวเป็นพี่ชายใจดีเล่าไปแล้วหากไม่รู้สึกสะกิดใจบางอย่างกับวัตถุประสงค์ของคำถาม...
เด็กหนอเด็ก
ยังไงก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำนั่นแหล่ะ
ประโยคคำถามนั้น
เขามองออกหรอกว่าโกคุเดระต้องการอะไรจากเขา ต้องการให้เขาพูดอะไร
เพราะแบบนั้นจึงยังพูดไม่ได้หากคนตรงหน้าไม่มีกึ๋นโน้มน้าวใจที่เพียงพอ วิธีการสร้างบรรยากาศของโกคุเดระ
เขายอมรับว่ามันแปลกใหม่และน่าสนใจ เจ้าตัวก็ฉลาดที่จะใช้
แถมยังกะจังหวะได้ไม่เลว เสียแต่มันยังหยาบ แล้วก็โจ่งแจ้งจนเป็นที่สังเกต
“ฉันนึกว่านายจะถามฉันว่า
‘นายรู้ได้ยังไงว่าฉันใช้วิธีอะไร’ ซะอีก” แดชีลล์ถามเสียงเรียบ
แต่ดวงตาของเขากลับมีประกายของความรู้ทันอย่างที่โกคุเดระไม่ชอบ นั่นล่ะที่คนอ่อนวัยกว่ารู้สึกว่าการเจรจาครั้งนี้มันไม่ง่ายแล้ว
แน่ล่ะ...มันไม่ง่าย
มันไม่ง่ายตั้งแต่ต้น อันนั้นเขารู้ แต่ใครจะไปคิด ว่าเพื่อนต่างวัยของท่านประธาน The Best จะสร้างแรงกดดันใส่เขาตั้งแต่เริ่มคุยได้ไม่เท่าไหร่ ให้ตายสิ! เหมือนเจ้าบ้านั่นไม่มีผิด
เขาล่ะอยากจะรู้ว่าทำตัวแบบนี้ใครบ้างที่คุยกับไอ้สองคนนี้แล้วไม่อกแตกตายไปซะก่อน
สมแล้วที่เป็นเพื่อนกัน
ไอ้พวกไม่น่าคบ!
“ก็...ฉันไม่คิดว่ามันต้องถามนี่”
เด็กหนุ่มร่างบางตอบง่ายๆ “เพราะถ้าฉันถามจริงมันคงจะต้องไล่ไปตั้งแต่นายรู้จักฉันได้ยังไง
แล้วคิดว่านายคงไม่อยากจะบอกนักว่าตัวเองไปแอบสืบประวัติของคนอื่นมาจากไหน
ขนาดฉันยังไม่กล้าเล่าให้นายฟังเลย...แต่ถ้านายอยากเล่า ฉันรับฟังแน่
แต่ขอแปะไว้เป็นหลังจากที่จบการประมูลได้มั้ย ตอนนี้ฉันยอมรับว่าไม่มีเวลามากขนาดนั้น”
เป็นอีกครั้งที่แดชีลล์รู้สึกว่าท่านประธานอายุน้อยตรงหน้าตอบได้น่าสนใจ
หรือถ้ามันจะเป็นแค่การอ้าง ก็ต้องเรียกได้ว่าอ้างได้น่าฟัง
เห็นได้ชัดเลยว่าต่อให้เขารู้สึกว่ากำลังไล่ต้อนโกคุเดระเท่าไหร่
คนตรงหน้าก็ไม่ยอมหงอหรือถอยหลัง แถมยังแอบขู่เขาเรื่องเวลาด้วย
ดวงตาสีมรกตจ้องเขาอย่างแน่วแน่
แต่ไม่ให้ความรู้สึกอึดอัดเช่นสายตาบังคับ เพราะโกคุเดระไม่เคยมีบรรยากาศแบบนั้นอยู่รอบตัวตั้งแต่แรกที่เจอกันอยู่แล้ว
แต่มันเป็นสายตาของคน ‘จดจ่อและสนใจ’ ที่ทำก็เพื่อขอข้อมูล ไม่ใช่ล้วงข้อมูล
แล้วเขาก็คงเหมือนคนใจร้ายไปเลย
ถ้าไม่ทำตามคำขอนั่น...
“โอเค....ก็ได้”
เมื่อชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสถอนหายใจบอกชัดว่ายอมแพ้ ทำให้โกคุเดระแย้มรอยยิ้มโล่งอก ทั้งๆที่ในใจร้องเตือนว่ามันก็แค่ยอมเฉพาะตอนนี้เท่านั้นแหล่ะ
“ที่ฉันไม่ได้เซ็นสัญญาร่วมหุ้นกับแมคคาร์ทีอย่างถาวรก็เพราะฉันยื่นข้อเสนอกับสตีเฟนไปว่า
ในอีกสองปีถ้ามันยังสนใจเบธิลด์ ทาวเวอร์อยู่
ให้ออกจากโลกมืดแล้วมาสู้กันบนดินอย่างแฟร์ๆ การประมูลที่เจนีวาจัดขึ้นก็เพราะรักษาสัญญา...ตอนนั้นฉันไม่คิดอะไรนอกจากจะทำยังไงก็ได้ให้เบธิลด์ของคุณแม่รอดพ้นมือตาแก่นั่น...ขอแค่สักปีสองปีก็ยังดี...”
นัยน์ตาสีฟ้าอมเทาสั่นไหวเพียงวูบเมื่อเขาพูดถึงแม่
แล้วว่าต่อด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ซึ่งไม่แน่ใจว่าสมเพชหรือขำขันกันแน่
“แต่มันก็เหมือนได้แค่ยืดเวลาตายน่ะนะ...ต้องบอกว่าฉันคิดตื้นไปหน่อย
ไม่คิดว่าสองปีผ่านไป ตาแก่นั่นจะติดใจเบธิลด์เหมือนเดิม...”
“มันน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้นี่”
ข้อคิดเห็นจากคนฟังโพล่งออกไปทันทีโดยไม่รอคำอนุญาต แถมยังฟังตรงเผงจนคนพูดเพิ่งรู้สึกว่าบางทีอาจจะเป็นการเสียมารยาท
เลยว่าขึ้นใหม่ “เอ่อ...ฉันหมายถึง นายน่าจะหาวิธีอื่น
ระดับเจ้าของห้างสรรพสินค้าและโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป
สามารถจัดการอะไรๆได้เด็ดขาดกว่านี้อยู่แล้ว”
“แต่ฉันไม่ใช่เด็กเหนือมนุษย์อย่างพวกนายที่จบป.เอกกันตั้งแต่สิบแปด...เลยไม่ทันคิด”
เสียงเย็นประชดกลับ ยิ่งทำให้คนฟังเครียดหนักกว่าเดิม...หมายความว่าประโยคแก้ของเขามันไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เด็กหนุ่มยิ้มแห้ง เอ่ยขึ้นเสียงอ่อยๆ
“ขอโทษที”
“ขอโทษเรื่องอะไร”
ชายหนุ่มย่นคิ้ว
ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดที่ไม่น่าจะหลุดออกจากปากคนอย่างท่านประธานโกคุเดระง่ายๆ
“ก็ขอโทษเรื่องเมื่อกี้ที่ฉันบอกว่าน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้...ความจริงฉันน่าจะรู้ว่าตอนนั้นแค่นายตั้งใจปกป้องเบธิลด์ของคุณหญิงแชคก์อย่างสุดความสามารถมันก็ดีมากๆแล้ว...นายคงไม่อยากให้บริษัทของแม่นายไปอยู่ในมือของหมอนั่นใช่มั้ยล่ะ”
“ใช่สิ”
ไม่รู้ว่าเป็นคำขออภัยง่ายๆหรือรอยยิ้มจางๆสำนึกผิดจากใจที่ทำให้เขาเผลอตอบรับออกไป
แต่พลันรู้ตัวว่าตัวเองตกหลุมพรางที่เจ้าเด็กตรงหน้าขุดอย่างแนบเนียนก็เมื่อเห็นรอยยิ้มดีใจแบบเด็กวาดกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงกัน
ดวงตาคู่สวยสีมรกตเป็นประกายวิบวับแล้วสิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างไม่ปิดบัง
ราวกับดีใจ...ดีใจมากที่เขาพูดคำว่า ‘ใช่’ ออกมา นี่ถ้าโกคุเดระสามารถปรบมือแล้วกระโดดตัวลอยได้ ก็คงจะทำไปแล้ว
“นายเป็นพวกเดียวกับฉัน
ฮะฮะ เป็นอย่างนี้จริงๆด้วย” สำทับด้วยประโยคทวนความคิดตัวเองที่ตอกย้ำความดีใจ
แล้วก็ย้ำด้วยว่ายกแรก ชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสแพ้เขาอย่างราบคาบ แต่คนแพ้ก็อดไม่ได้ที่จะสวนกลับ
“อย่าบอกนะว่าแค่เรื่องแค่นี้
นายก็เหมาว่าฉันจะร่วมมือกับนายน่ะ”
“เปล่า” เด็กหนุ่มรับง่ายๆเช่นเคย
แต่ดวงตาสีมรกตสดใสขึ้นจม “ความจริงเมื่อกี้เป็นแค่คำยืนยัน
แต่ฉันคิดว่านายต้องอยู่ฝั่งฉันตั้งนานแล้ว...เอ่อ...ความจริงก็สามชั่วโมงก่อนได้”
“ยังไง?”
“นายเป็นคนดี”
“หา!?”
เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาต้องอุทานคำนี้ เพียงแต่ครั้งนี้มันอดไม่ไหวที่ต้องร้องออกมาจริงๆ
เพราะเหตุผลสั้นๆไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังฟังไม่เข้าเค้า
มาอารมณ์เหมือนเมื่อวานตอนชมว่าเขาหล่อไม่มีผิด
“นายเป็นคนดี”
คนพูดยังย้ำอีกครั้ง ซ้ำยังว่าอย่างช้าๆชัดๆ “ถึงฉันจะเจอนายยังไม่ถึงวัน
คุยกันไม่ถึงชั่วโมง แน่นอนว่าไม่กล้าฟันธงเรื่องนิสัยนาย แต่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ
เอเบลล์ โฟล โบดูอองก็ช่วยยืนยันให้ฉันได้
ต้องขอโทษอีกรอบที่ฉันต้องพูดเรื่องคนรักเก่าของนายนะ
แต่ที่นายเลิกกับเธอก็เพราะไม่ต้องการให้เธอมาติดร่างแห
เผื่อตาแก่สตีเฟนนั่นเกิดคิดทำอะไรแผลงๆ...แค่นั้น
มันก็พอจะยืนยันได้แล้วว่านายเป็นคนดี และไม่อยากให้บริษัทของผู้มีพระคุณต้องกลายเป็นซ่องของพวกมาเฟีย”
ใช่...เป็นครั้งแรกที่โกคุเดระอยากขอบคุณยามาโมโตะเป็นล้านๆครั้งที่อุตส่าห์รู้เรื่องของแดชีลล์นอกเหนือไปจากกูเกิ้ล
เพราะเอเบลล์ช่วยเขาไว้ได้มากจริงๆ
“ยัยนั่นยังจำเรื่องของฉันได้ทุกอย่างเลยสิ”
ถ้อยคำแกมเอ็นดูพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนชั่วครู่ปรากฏบนใบหน้าคมคาย
แล้วที่โกคุเดระเอ่ยชื่อของเธอออกมาก็บอกชัดเจนแล้วว่าไปหาข้อมูลเขามาจากไหน
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงเลย
“แล้วยังไง
ปัญหาของนายยังไม่จบนะ รู้ว่าฉันเป็นพวกเดียวกับนายแล้วยังไงต่อ รู้ว่าหมากเป็นสีขาวหรือดำ
แต่นายยังไม่รู้ว่าฉันเป็นอะไร เบี้ย บิชอป เรือ ม้า ควีน หรือ คิง”
ผู้ร่วมอุดมการณ์คนใหม่อธิบาย
โกคุเดระรู้สึกว่าถึงแม้ว่าเขาจะยังมีสายตาราวกับกำลังทดสอบหรือเหนือกว่าอยู่บ้าง
แต่ก็ให้ความรู้สึกสบายกว่าเก่าเยอะ แต่ปัญหาที่อีกฝ่ายบอกเมื่อกี้ทำให้เขาต้องนิ่งชะงักไป
ใจเริ่มโหวงอีกครั้ง ท้องไส้ตีมวนกันจนรู้สึกปั่นป่วน...ก็....เขายังไม่รู้เลย
เฮ้! เขาไม่ได้โกหกนะ
ยังไม่รู้จริงๆ นั่นสิ...แล้วยังไงต่อ....
แล้วยังไงต่อล่ะ!
“บอกเอาไว้ก่อนเลยว่าฉันก็เหมือนยามาโมโตะ
เราใช้ประโยชน์จากกันและกัน ฉันใช้นายเกราะป้องกันไม่ให้เจ้าสตีเฟนได้เบธิลด์ไป
ส่วนนายจะใช้ฉันทำงานเพื่อแย่งเบธิลด์มาอยู่ในมือ
แต่ถ้านายยังไม่รู้ว่าจะให้ฉันทำอะไร มันก็เปล่าประโยชน์”
“ฉัน...”
เสียงหยุดไปแค่นั้นเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แต่ขนาดไม่มีอะไรจะพูด
ดวงตาของโกคุเดระยังสบตากับเขาไม่มีหลบ อาการแบบนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ได้คิดหรอก
แต่ลองคิดแล้วแต่คิดไม่ออกต่างหาก ห้องตกเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
ไม่มีใครเร่งใครให้พูดอะไรออกมา
มันเป็นช่วงเวลาที่แดชีลล์ได้สังเกตสีหน้าของโกคุเดระ
ฮายาโตะยามที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นนัก นัยน์ตาไหวระริก ถ้าให้อธิบายคือการกลอกไปมาระหว่างซ้ายกับขวาเล็กน้อยและรวดเร็ว
ริมฝีปากเม้มหากันเป็นระยะๆ นี่อย่าบอกนะ ว่าระหว่างจ้องตากับเขาอยู่
หมอนี่ก็คิดหาวิธีไปด้วย
ชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสยิ้มออกมานิดๆ
เมื่อสุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มร่างบางก็ทิ้งตัวลงกับโซฟา สารภาพอย่างไม่อาย“ฉันคิดไม่ออก”
“ใช่....นายคิดไม่ออกหรอก”
แดชีลล์ตอบรับอย่างไม่เดือดร้อน ทำให้คนสารภาพขมวดคิ้วฉับ
“นายหมายความว่าไง”
“นายจะยังไม่รู้ว่าให้ฉันช่วยอะไร
จนกว่านายจะได้ทบทวนแผนการของนายใหม่” แขนแกร่งของชายหนุ่มวางลงบนโต๊ะ
โน้มตัวเข้าหาคู่สนทนามากขึ้น ดวงตาสีฟ้าอมเทามีประกายเจ้าเล่ห์ “...ทีนี้ก็บอกมาสิ
ว่านายคุยอะไรกับยามาโมโตะที่ร้านกาแฟเมื่อวานนี้”
“นาย...รู้?”
เด็กหนุ่มถามเสียงแผ่ว หรี่ดวงตาลงใคร่ครวญ สันนิษฐานสาเหตุออกไป
แม้เป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็ตาม “นี่หรือว่า...คนขับรถที่ชื่อจาคอป ลาร์ค...”
“ที่จริงเขาชื่อแมทธิว
เบิร์นเนอร์” แดชีลล์หัวเราะ พอจะเดาสีหน้าคนถามออกว่าคิดอะไรอยู่ จึงเฉลยให้ว่า “ลูกน้องฉัน
ไม่ใช่ของสตีเฟน ถ้านายสังเกตจะเห็นว่าป้ายหน้าคอนโซลรถมีแต่ชื่อ นามสกุล
และเบอร์โทรศัพท์ของโรงแรม ไม่มีรูปถ่าย ก็เลยสวมรอยง่ายดี”
โกคุเดระกลืนน้ำลายอึกใหญ่
เขายังจำประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับสารถีหนุ่มคนนั้นได้ดีว่าเขาจะไปรายงานให้ผู้จัดการฟังว่าหมอนั่นยึดถือในหน้าที่ตัวเองแค่ไหน คราวนี้คงต้องชมต่อหน้าผู้จัดการของเขาจริงๆ
ริมฝีปากบางเบะออกอย่างละเหี่ยใจ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง
“ลูกน้องนายนี่เยี่ยมไปเลยเนอะ”
“ขอบคุณ”
แดชีลล์ตอบรับคำชมโดยไม่สนความรู้สึกที่แหลกสลายของคนคาดการณ์ผิดสักนิด
แล้วถามอย่างเร่งๆว่า “สรุปว่ายังไง....เรื่องแผนที่นายจะดำเนินการในคืนนี้น่ะ”
นิ้วเรียวเกาข้างแก้มตัวเอง
ใบหน้าสวยเบือนหลบเหมือนไม่รู้จะบ่ายเบี่ยงยังไงดี แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามากั๊ก
หรือไม่ไว้ใจผู้ร่วมแผนการคนใหม่ตรงหน้านี่
แล้วเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่าถ้าไม่เล่า แดชีลล์ก็คงช่วยอะไรเขาไม่ได้จริงๆ
เพราะฉะนั้นเขาจึงจำเป็นต้องบอกแดชีลล์หมดเปลือกถึงบทสนทนาของเขากับยามาโมโตะเมื่อวานนี้....
“หลังจากที่นายขอเลื่อนเวลาได้แล้ว
นายจะทำยังไงต่อ” เด็กหนุ่มร่างสูงถามขึ้นต่อหลังจากฟังขั้นตอนแรกเสร็จ เขาดันแก้วกาแฟทรงสูงไปข้างๆราวกับต้องการนั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ
ดวงตาคู่คมจ้องคู่สนทนาตรงหน้าแล้ววิเคราะห์ดวงหน้าสวยๆนั่นไปด้วย...สีหน้าโกคุเดระเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันบอกนายไว้ก่อนนะ...ยามาโมโตะ”
เสียงใสเอ่ยขึ้นแผ่วๆ กับรอยยิ้มไม่มั่นใจนั่นทำให้คนมองเริ่มกังวล “นี่มันอาจไม่ใช่แผนที่ดีที่สุด
แต่มันก็เป็นความผิดนายที่ลากฉันมาเจอเรื่องยุ่งกะทันหันแบบนี้ แล้วหัวฉันคิดแผนไปไกลจนถอยไม่ได้แล้ว คิดวิธีอื่นก็ไม่ออกด้วย เพราะฉะนั้นนายมีหน้าที่ต้องฟัง...ฟังอย่างเดียว
ห้ามค้าน แล้วฉันบอกให้ทำอะไรก็ต้องทำ....ฉันไม่ขอให้นายรับปาก
เพราะนายไม่มีสิทธิ์เลือก นอกจากตอบตกลงเท่านั้น”
ร่างบางสูดลมหายใจ
รีบพูดต่อทันทีราวกับว่ากลัวจะได้ยินคำปฏิเสธจากอีกคนดังแทรก “คืนวันงานเลี้ยง
ฉันจะเข้าเจรจากับสตีเฟนแบบตัวต่อตัว”
ดวงตาสีเปลือกไม้เบิกขึ้นทันทีที่จบประโยค
ความกลัวบางอย่างแล่นเข้าสู่กลางหัวใจจนเขาเกือบเผลอตบโต๊ะไปด้วยซ้ำ
แต่ไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากอะไร
โกคุเดระก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเบรกเขาทันทีแถมยังทำท่าเหมือนเขาเป็นสัตว์กินเนื้อตัวใหญ่ที่พร้อมจะกระโจนหาใครเมื่อเปิดกรงหรือปลดโซ่
“โอเคๆๆ
โอเค ฉันรู้ว่านายไม่พอใจ ใครมันจะไปพอใจได้! ใครจะอยากทำเรื่องที่เหมือนตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบแบบนี้
ฉันรู้ๆ เพราะงั้น...อย่าเพิ่งโกรธได้มั้ย...ช่วยฟังให้จบก่อน”
ใครว่าเขาสนเรื่องนั้น!!
ยามาโมโตะแทบเถียงความในใจออกไปทันที
ถึงมนุษย์จะแยกความกลัวไม่ได้ แต่เรื่องพื้นฐานแค่ว่ามันเกิดมาจากอะไร
รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว
เจ้าคนบ้าดีเดือดตรงหน้าพูดกับเขาอย่างไม่สนใจเลยว่าจะไปคุยกับสตีเฟน แมคคาร์ที
ทั้งๆที่รู้ว่าหมอนั่นเป็นใคร แล้วตัวเองมีชนักติดหลังกับตาแก่นั่นอันใหญ่แค่ไหน
คิดว่ามันจะเหมือนไปเจรจาธุรกิจกับลูกค้าธรรมดาๆงั้นเหรอ
แค่เข้าใกล้หมอนั่นในรัศมีห้าร้อยเมตรก็เหมือนไปอยู่กลางสนามยิงปืน
แล้วอย่างตาแก่นั่นต่อให้เป็นเด็กก็ไม่เว้น
ใช่...ขนาดเขาอายุแค่สิบห้า
ไปคุยกับหมอนั่นครึ่งชั่วโมงตอนโกคุเดระแอร์ไลน์ถูกคุกคาม
ยังรู้สึกเหมือนจะไม่ได้กลับออกมาเลย
“ไม่ได้”
เสียงเข้มดุสั้นๆอย่างที่เขามักใช้กับคนใต้การปกครอง
แต่ลืมไปว่าคนตรงหน้ามันไม่ใช่ แถมยังไม่สะทกสะท้านด้วย จนคนค้านต้องผ่อนอารมณ์ลง
แล้วให้เหตุผลจริงๆไป “มันอันตรายเกินไป
ตาแก่นั่นทำได้ทุกอย่างแม้แต่ให้ลูกน้องสักคนมายิงนายทิ้งในห้อง
แล้วก็ปิดเรื่องไม่ให้มีใครรู้เรื่องสักคน แล้วปล่อยข่าวไปว่าท่านประธานโกคุเดระมีเรื่องผิดใจกับผู้เข้าประมูลคนอื่นจนถูกบอดี้การ์ดเขาเก็บเงียบๆ”
“หมอนั่นไม่ฆ่าฉันหรอก”
เสียงใสๆตอบอย่างมั่นใจ
“ถึงสตีเฟนจะทำงานให้มาเฟีย
แต่หมอนั่นก็ยังยืนอยู่ในฐานะพ่อค้าบนดินมากกว่า คงจะไม่คิดฆ่าใครง่ายๆ
ไอ้มือปืนที่อยู่รอบๆตัวหมอนั่นก็ไม่มีวันชักปืนมาส่องใครแน่ถ้าไม่มีคำสั่งของบอสพวกมันโดยตรง
แล้วที่สำคัญ...มันก็คงไม่กล้าทำร้ายผู้บริหารยักษ์ใหญ่ในเอเชียที่พวกมันหมายปองเอาไว้”
ฟังเหตุผลที่พอเป็นเกราะป้องกันตนเองได้ของโกคุเดระแล้วเขาคิดคำเถียงไม่ออก
ได้แต่นิ่งเงียบรับฟัง แล้วปล่อยให้อีกคนพูดต่อไปเรื่อยๆ
“จากที่ฉันคิดๆดูแล้ว
สตีเฟนปล่อยเบธิลด์ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันไม่คิดจะสู้กับพวกเราอย่างตรงไปตรงมาแน่
เงินมันหนักก็จริง แต่นายก็รู้ว่ากิจการของพวกมาเฟียน่ะมีมากมายล้นฟ้า
ไม่รู้ว่าเยอะกว่าสาขาห้าง The Best Imperial นายกี่เท่า
ถ้าเอาเงินมากองกับตรงนี้มากเกินไป กิจการอื่นจะได้รับผลกระทบ
โดยเฉพาะธุรกิจที่ทำกับพวกวงการมืดด้วยกัน
ถ้าขัดคอกันขึ้นมาคงไม่จบที่การเจรจาเหมือนอย่างพวกเราหรอก...”
ยามาโมโตะพยักหน้าน้อยๆกับคำวิเคราะห์แล้วเห็นด้วยทุกเงื่อนไข
ที่โกคุเดระกำลังคิดก็คือ บอสของสตีเฟนก็มีข้อจำกัดเรื่องทุนทรัพย์
พวกมันไม่กล้าลงทุนกับอะไรที่ยังไม่ให้ผลประโยชน์กับมันแน่ เบธิลด์ ทาวเวอร์จะเป็นปราการชั้นเยี่ยม
หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ สู้ลงทุนสูงๆไปเกิดได้ไม่คุ้มเสียขึ้นมาก็แย่อยู่
“ถ้าให้วางแผนโดยหลักพื้นฐานตามที่พ่อค้าโลกสว่างเขาทำกันอ่ะนะ
ที่สตีเฟนจะทำ...ก็คงเหมือนกับนาย” ริมฝีปากสีอ่อนคลี่ยิ้มนิด
คว้าแก้วกาแฟตนแล้วเอาไปชนเบาๆกับแก้วของอีกฝ่ายจนเกิดเสียงดังกิ๊งเหมือนชนแก้วไวน์
เอ่ยเน้นการคาดการณ์เสียงหนักแน่น
“หาพรรคพวก...คนเดียวหัวหาย
สองคนเพื่อนตายอยู่แล้ว เมื่อกี้เราก็เจอหมอนั่นหน้าร้านเหล้านี่
อาจจะนัดใครไว้ก็ได้”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าสตีเฟนร่วมมือกับใคร”
ยามาโมโตะถามทันที
“ไปถึงโรงแรมก็จะรู้เอง
ฉันให้ลอร์ดคริสโตเฟอร์เช็คให้ได้ว่าผู้เข้าประมูลใครอยู่โรงแรมหรือไม่อยู่ ณ
ตอนนี้ เมื่อกี้บอกไปใช่มั้ยล่ะว่าฉันจะนัดพวกผู้เข้าประมูลไปที่เลาจ์
ก็แค่ไปขอยืมโทรศัพท์จากโอเปอเรเตอร์ โทรไปหาพวกเขาถึงห้องพักก็สิ้นเรื่อง
หมายเลขห้องกับหมายเลขโทรศัพท์ภายในของโรงแรมเป็นเบอร์เดียวกันอยู่แล้ว
เท่านี้ก็รู้....ว่าใครอยู่หรือไม่อยู่”
ท่านประธานสายการบินเงียบไปชั่วครู่
ดวงตากลอกขึ้นมองเพดานอย่างเวลาที่กำลังคิดอะไรเพิ่มเติม
“อือ...แต่ถ้ามีคนไม่อยู่มากกว่าหนึ่งคน
ฉันจะให้ลอร์ดคริสโตเฟอร์ถามพนักงานขับรถของโรงแรมว่าใครไปไหนบ้าง
เราจะจำกัดคนที่มาแถว La
Perfumarie แต่หลังจากที่เรารู้แล้วว่าใครถือหางข้างแมคคาร์ที...ต่อไปก็เป็นหน้าที่นาย”
“จะให้ฉันทำอะไร”
ท่านประธานแห่ง The
Best เลิกคิ้วนิด แล้วเย้าด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ให้ฉันไปขอให้พวกเขาแตกคอ
เลิกเป็นพันธมิตรกัน ต้องขอบายนะ ขัดแข้งขัดขาเจ้าพ่อ เดี๋ยวโดนเป่าเอา”
“ใครว่าล่ะเฟ้ย!”
ร่างบางสบถพรืดกับความคิดเห็นไม่เข้าท่า ที่รู้ทั้งรู้ว่าหมอนั่นแค่แกล้งเขาเล่น
แต่ก็นั่นแหล่ะ ปล่อยให้อีกฝ่ายขำจนสาแก่ใจ ก่อนจะพูดต่อ “ฉันแค่ขอยืมวาทศิลป์ผนวกกับนิสัยช่างสอดรู้สอดเห็นนิดหน่อย
ไปแง้มมาทีว่าหมอนั่นกับสตีเฟนตกลงจะทำอะไรกัน ไม่ต้องไปแซะมากจนเขารู้
ขอแค่นิดเดียวให้พอมีเบาะแส ฉันให้เวลาทั้งวันของวันพรุ่งนี้...อย่าให้ฉันต้องเลื่อนการประมูลอย่างสูญเปล่า
เข้าใจมั้ย”
น้ำเสียงของท่านประธานสายการบินกดต่ำเพื่อย้ำ
ก่อนจะว่าขึ้นอีกประโยคอย่างราบเรียบ แต่ฟังกำชับหนักแน่นและจริงจังกว่าเก่า
“ถ้าเห็นท่าไม่ดี
รีบออกมาเลยนะ เพราะสตีเฟนต้องส่งคนมาคุมพันธมิตรของตัวเองอยู่แล้ว
พยายามอย่าให้ไอ้พวกนั้นจับไต๋นายได้
เพราะก่อนที่นายจะได้รู้เรื่องแล้วเอามาเล่าให้ฉันฟัง...นายได้ถูกลากไปตัดลิ้นก่อนแน่”
“อ๋อ
นายห่วงฉัน?” แต่คนฟังคำสั่งน่ากลัวยังอุตส่าห์ตีความไปโน่น
ตาคู่สวยถลึงมองอย่างดุๆทันที นึกสาปแช่งเจ้าบ้าพูดอะไรไม่รู้เวล่ำเวลา
ยามาโมโตะหัวเราะหึๆ แล้วย้อนกลับไปอีกเรื่อง
“แล้วนายจะเอาอะไรไปเจรจากับแมคคาร์ที”
โกคุเดระนิ่งไปกับคำถามราบเรียบ ความสบายใจบนใบหน้าเลือนหายไปทันที
เด็กหนุ่มร่างบางเม้มริมฝีปาก ดวงตาสีมรกตกลอกหลบไปอย่างไม่ตั้งใจ
ทำให้คนที่จ้องอยู่แปลกใจขึ้นมา...ตั้งแต่ไหนแต่ไร...โกคุเดระไม่เคยหลบสายตาเขา
แล้วไม่เคยทำสีหน้าลำบากใจแบบนี้ต่อหน้าเขาด้วย
“เป็นผลประโยชน์ที่หมอนั่นอยากได้จนตัวสั่นมาตลอดสี่ปี...ฉันจะเอาไปประเคนให้มันถึงตัก”
ท่านประธานร่างบางเริ่มพูดขึ้น ดวงตาของเขาชักมีประกายแห่งความมุ่งมั่น
บอกชัดเจนว่าเขาวางพนันกับเหยื่อชิ้นนี้...ว่ามันใหญ่และโอชะพอที่ปลาอย่างสตีเฟนจะอ้าปากงับเต็มคำ
ดวงตาสีมรกตคู่สวยหันกลับมามองคนเบื้องหน้าอีกครั้ง
แล้วน้ำเสียงเย็นเยียบก็เอ่ยแผนการแปลกประหลาดขึ้น
โดยไม่สนใจว่าจะทำให้คนฟังเหมือนถูกสาปกลายเป็นหิน
“ฉันจะหักหลังนาย...ยามาโมโตะ”
TBC…
จะขอยกยอดเม้าท์ไปในตอนที่เจ็ดเลยนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น