หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Au.Fic Attack on Titan [Levi X Eren] FORENSIC : หลักฐานชิ้นที่ 2



Au.Fic  Attack on Titan [Levi X Eren] FORENSIC
Drama  action  investigation
NC-17
คำเตือน : คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ด้วยแนวเรื่องนี้เป็นฟิคที่ตัวหนังสือค่อนข้างเยอะ โปรดระวังอาการล้าทางสายตาจ้ะ



หลักฐานชิ้นที่ 2 : เปิดกรง



สำหรับคริชา เยเกอร์แล้ว เรื่องการประชุมรับผลชันสูตรศพเป็นกิจวัตรที่เขาต้องเจอประจำ แต่บรรยากาศที่จริงจังอึดอัดขนาดนี้มันไม่ได้มีมาบ่อยๆ เขายังจำได้ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในห้องประชุม เหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ระหว่างประเทศมองเจ้าแฟ้มในมือเขา ทุกสายตาส่งมาพร้อมกับความหวังว่ามันต้องชี้ตัวคนร้ายได้กว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์


พอๆกับสายตาญาติเวลาหมอออกจากห้องฉุกเฉินเลย คิดไปคิดมา สิ่งที่เอเลนพูดอาจจะถูก....


เด็กคนนั้นยังไม่พร้อมมาสู้แรงกดดันขนาดนี้แน่


“พันตรีเอียนถูกวางยาพิษ” เสียงดังขึ้นจากผบ.เอลวิน สมิธที่นั่งอยู่กึ่งกลางโต๊ะรูปตัวยูทันทีที่อ่านรายงานจบ สายตาเขากลอกไปรอบห้องเป็นเชิงว่าประโยคเมื่อสักครู่ไม่ได้ทบทวนสาเหตุการตาย แต่เป็นการเปิดประเด็นให้เสนอความคิดเห็น


“ใคร?” เสียงถามต่อ คำถามที่ทุกคนอยากรู้


“หรือพวกไหน?” อีกเสียงเสริม


“ใครหรือพวกไหน ตอนนี้อาจไม่สำคัญเท่ากับเขาถูกลอบวางยาได้ยังไง” คำสรุปจากผู้บังคับบัญชาที่หัวโต๊ะ นัยน์ตาสีฟ้าจางก้มลงมองเอกสารอีกครั้ง “ตามผลชันสูตรพันตรีเอียนเสียชีวิตแล้วถึงหกชั่วโมงแล้วจึงมีผู้ไปพบศพ ตรงกับคำให้การของบริกรในร้านอาหาร เขาเข้าไปตั้งแต่หกโมงเย็น สั่งอาหารสองชนิด แล้วหลังจากนั้นไม่ได้เรียกอะไรอีก จนกระทั่งเที่ยงคืนพอดีที่ร้านจะปิด ผู้จัดการถึงต้องไปเรียกเขา”


“ต้องไขประตูเข้าไปด้วยซ้ำค่ะ ห้องล็อกทันทีที่อาหารถูกเสิร์ฟ เรื่องนี้บริกรที่นำอาหารไปให้เขาเป็นพยานได้ เขาได้ยินเสียงลงกลอนกับหู แต่การที่ตำรวจหนึ่งคนถือแฟ้มเข้าไปขอห้องส่วนตัวมันก็ดูไม่แปลกอะไรเท่าไหร่ พวกพนักงานคงคิดว่าเขาอยากมีพื้นที่เงียบๆในการสะสางงาน...ไม่มีใครกล้าเข้าไปกวนเขาแน่”


ข้อคิดเห็นจากผู้หญิงเพียงคนเดียวของที่ประชุม เธอดันแว่นขึ้นเล็กน้อย แล้วหันไปหาชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้างตัว เขาอยู่ในกาวน์สีขาว บอกตำแหน่งชัดว่าเป็นคนของห้องแล็บ


“ตรวจสอบอาหารแล้วเป็นยังไง” ชายหนุ่มค้อมศีรษะนิดเป็นเชิงรับคำสั่ง เขาเปิดชาร์ทบันทึกผลแล้วรายงานทุกคำอย่างช้าๆและชัดเจน


“ไม่พบสารทั้งในชนิทเซิลและเบียร์สดครับ แต่ในที่เกิดเหตุเราพบกระดาษชำระถูกขยำเป็นก้อนกลมใต้โต๊ะ ตรวจสอบแล้วมีปฏิกิริยาตาม Berlin Blue Test พบไซยาไนด์ในปริมาณสูงมาก สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเครื่องมือในการฆาตกรรม”


“มีกล่องกระดาษชำระอยู่บนโต๊ะอาหารมั้ย” ร้อยเอกริโค่ซักต่อ ชายหนุ่มจากห้องแล็บส่ายหน้า


“ในห้องที่พันตรีเอียนอยู่ไม่มีครับ แต่ห้องอื่นตลอดจนทุกโต๊ะที่ไม่ใช่ห้องส่วนตัวมีทั้งหมด เราตรวจสอบทุกกล่อง ทุกแผ่นแล้ว ไม่มีสารพิษใดๆติดอยู่เลย....อีกทั้งเนื้อกระดาษยังเป็นคนละแบบกันด้วยครับ” คริชาเหมือนได้ยินเสียงฮือฮาจากตำรวจทุกคนดังขึ้นทันทีที่จบรายงาน เสียงหนึ่งดังต่อทันทีอย่างไม่ให้เสียจังหวะ


“กระดาษชำระแผ่นนั้นพันตรีเอียนอาจจะเตรียมไปเอง”


“ถ้าทำอย่างนั้นเขาจะได้รับไซยาไนด์ตอนไหนได้คะ พันโทคีธ” ดวงตาเฉี่ยวคมภายใต้กรอบแว่นของหญิงสาวปรายมองเขาทันที ทั้งห้องประชุมร้อนอ้าวฉับพลันเมื่อเริ่มมีการซักถามกันระหว่างเจ้าหน้าที่สองคน แต่เธอผู้เป็นฝ่ายเคาะระฆังไม่คิดจะสนใจ ไม่ใช่ว่าเธออยากกวนประสาทคนยศสูงกว่าซ้ำยังชอบจิกหัวใช้ลูกน้องเธอบ่อยๆ แต่ข้อสันนิษฐานเขามีจุดโหว่จริงๆ ของส่วนตัวแบบนั้น อยู่กับตัวตลอด ถ้าอย่างนั้นคดีนี้กลายเป็นคดีฆ่าตัวตายไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องไปถึงประเด็นอื่นเลย


คีธ ชาดิทชักสีหน้าทันควัน ขบฟันกรอดแล้วสวนกลับ


“แล้วจะบอกว่ามีคนเอาขึ้นไปให้เขางั้นเหรอ แล้วมันจะทำยังไง ในเมื่อพวกพนักงานบอกว่าห้องนั้นไม่เปิดรับใครตั้งหกชั่วโมง”


“พยานย่อมบอกตามที่แค่เขาเห็นค่ะ นั่นไม่ได้หมายความมันไม่มี อาจจะมีใครอาศัยช่องว่างตอนที่ไม่มีใครเห็น ขึ้นไปที่ร้านอาหารชั้นสอง แค่เคาะประตูสองสามที ก็เข้าไปสังหารพันตรีเอียนได้ไม่ยาก” คีธหัวเราะหึกับข้อคิดเห็นของหญิงสาว แม้มันจะฟังดูมีเหตุผลอยู่ แต่สำหรับเขาก็แค่ความคิดเห็นของเด็ก


“นั่นมันไม่มีหลักฐาน...เราต้องสันนิษฐานตามที่คนในเหตุการณ์เห็นเท่านั้น”


“หรือคิดกลับกัน หลักฐานมันอาจจะมี แต่เรายังหาไม่เจอ” ริโค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ในเมื่อดำเนินคดีตามข้อคิดเห็นของพยานแล้วมันเกิดตัน จะไม่ลองสันนิษฐานใหม่เหรอคะ แล้วค่อยไปหาหลักฐานสนับสนุนยังไม่สาย”


“นั่นมันไม่ต่างอะไรจากการเดาส่งๆ”

“มันคือการวิเคราะห์ค่ะ ท่านพันโท”

“วิเคราะห์?....หึ! โอเค งั้นเราจะวิเคราะห์ตามความคิดของเธอก็ได้” ชายสูงวัยแค่นรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาคราวนี้ส่อแววเหยียดหยามชัดเจน “เธอคิดว่าตำรวจสากลที่กำลังตามกลิ่นอาชญากรร้ายระดับโลกนี่จะเปิดประตูรับใครง่ายๆทั้งๆที่เขาตั้งใจลงกลอนตั้งแต่แรกรึไง! ฉันไม่เห็นด้วยกับเธอ เขาไปคนเดียว แล้วคนร้ายต้องเป็นใครสักคนที่เป็นพนักงานของร้านอาหารแน่! กระดาษที่ดูไม่ใช่ของทางร้านนั่นก็แค่ของตบตาเรา หลอกให้เราคิดว่าเป็นฝีมือคนนอก!


“ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปนะคะ” หญิงสาวยังคงค้าน พยายามสูดลมหายใจลึกๆไม่ให้เผลออารมณ์ขึ้นไปตามเสียงที่เน้นความกระด้างเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับไอ้ประโยคที่ว่า ฉันไม่เห็นด้วยกับเธอที่อีกฝ่ายพูดมันออกมาอย่างไม่เกรงใจ ราวตอกย้ำว่าเขากับเธอยังคงห่างยศ แต่เสียงของหญิงสาวยังคงนิ่งเรียบ อธิบายตามเหตุผลอย่างใจเย็น


“ไซยาไนด์เป็นสารเคมีที่มีความเป็นพิษสูงมาก ได้รับเข้าสู่ร่างกายเพียงปริมาณน้อยนิดจะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ เขาจะตายทันทีที่สูดมัน หรือกินมันเข้าไป ถ้าคนร้ายเป็นพนักงานจริงๆ แล้วเอากระดาษชำระแผ่นนั้นให้เขาตั้งแต่เสิรฟอาหาร เขาจะตายทันทีตั้งแต่หกโมงเย็น”


“แล้วยังไง” ชายสูงวัยกว่าถามกลับทันที สีหน้าแสดงความไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวผมสีเทากล่าวอย่างชัดเจน แทนคำตอบ ร้อยเอกริโค่ยื่นหลักฐานออกไปตรงหน้า เป็นเครื่องมือสื่อสารสีดำสนิทที่อยู่ในซองพลาสติก แล้วหน้าจอของโทรศัพท์ยังคงค้างที่หน้าบันทึกการโทรออก


“มีความเคลื่อนไหวค่ะ....ความเคลื่อนไหวสุดท้ายของเขาก่อนเสียชีวิต....ตอนเวลาทุ่มครึ่งโทรศัพท์เครื่องนี้ถูกโทรออกไปที่เบอร์ๆหนึ่ง และเบอร์นั้นเม็มว่า ไนล์


“อะไรนะ!


เท่านั้นพันโทคีธก็หน้าชาวาบราวกับถูกหมัดลุ่นๆซัดเข้าที่ครึ่งหน้า เขาชะงักเงียบและไม่ต่อบทสนทนาใดๆอีก รู้สึกหมดเหตุผลที่จะชี้แจงต่อที่ประชุมอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ในเมื่อเขาเป็นคนบอกเองว่าพันตรีเอียนอยู่คนเดียว นั่นหมายความว่าไม่มีใครไปยุ่งกับโทรศัพท์เครื่องนั้น นอกเสียจากเจ้าของ มือย่นหยาบกร้านกำแน่น ข้อสันนิษฐานของเขาถูกล้างสิ้นทันทีที่เจ้าหลักฐานโผล่มา แล้วเรื่องมันกำลังเข้าทางของหญิงสาวอย่างสวยงาม


การถอยทัพกลับของพันโธคีธทำให้การประชุมมีอากาศบริสุทธิ์ให้หายใจอีกครั้ง คริชาลอบถอนหายใจแผ่วเบากับเหตุการณ์ซ้ำๆในห้องประชุม แม้ว่าการโต้เถียงมันจะไม่รุนแรงถึงขั้นตบโต๊ะ ชี้หน้าหรือเขวี้ยงแก้วน้ำ แต่นี่มันก็คือสงครามความคิดย่อมๆ และดีที่ไฟสงครามนั้นมันยังไม่ลามมาถึงกองนิติเวช


แต่ต่อไปนี้มันก็ไม่แน่แล้ว...


เพราะหลักฐานโทรศัพท์นั่นมันไม่ทำให้แค่พันโทคีทชะงักไป เหล่าทีมนิติเวชของ C.S.I ก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยทั่วท้องด้วย ตามความคิดของพวกเขาแล้วศพนั่นต้องตายประมาณหกชั่วโมงเป็นอย่างต่ำแล้วอยู่ในท่านั้น ไม่มีใครพบ ไม่มีใครเคลื่อนย้าย แต่เมื่อเวลาเสียชีวิตของพันตรีเอียนคลาดเคลื่อนมาเป็นทุ่มครึ่งหรือหลังจากนั้น....ก็นับว่าพวกเขาวินิจฉัยผิดพลาด...


เอเลน....พลาด?


ถึงจะไม่น่าเชื่อ แต่คริชาก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นไปได้ เขาไม่ได้อ่านรายงานของเอเลน นั่นก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงอยู่ว่าจะโดนซัก แต่การที่ไม่มีคำถามใดๆผ่านมาถึงเขา แสดงว่าเอเลนยังทำงานได้รอบคอบเกินมาตรฐานเหมือนเดิม

เหมือนเวลาพักหายใจหายคอจะสิ้นสุดลงเมื่อร้อยเอกริโค่เริ่มขยับตัว

ยังไม่มีอารมณ์ใดแสดงออกทางสีหน้าเย็นชาของผู้กองสาว เธอหันไปทางนายตำรวจที่นั่งเรียงกันอยู่ทางปีกซ้ายของมุมห้อง เหล่าตำรวจจากเดรสเดินที่พากันนั่งเงียบแต่ความเย็นวาบเล่นผ่านไขสันหลังจนขึ้นสมองจนร่างกายสั่นผวา เมื่อต้องอยู่รายล้อมผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ระหว่างประเทศ คนร้ายจะเป็นใครก็แล้วแต่ แต่พวกเขาก็ราวกับมีความผิดที่ปล่อยให้คนสนิทของผบ.ด็อท พิคซิสต้องเอาชีวิตไปทิ้งง่ายๆระหว่างการปฏิบัติงาน


จินตนาการถึงสายตาของพวกตำรวจสากลที่มองมาพวกเขาได้ไหม โอ้โห....


รับประกันได้ว่ามันไม่เหมือนสายตาของผู้ร่วมอาชีพมองกัน เล่นเอาลืมไปเลยว่าตัวเองก็เป็นตำรวจ พวกเขาเหมือนกลายนักโทษคดีหนึ่งที่ต้องตอบทุกคำถาม และมันต้องเป็นเรื่องที่จะทำประโยชน์ให้คดีอย่างสูงที่สุด


“พันตรีเอียนไม่มีญาติหรือเพื่อนชื่อนี้ ทั้งของทางสำนักงานกลางที่เบอร์ลิน ที่อังกฤษก็ด้วย แสดงว่ามันต้องเป็นของตำรวจท้องถิ่นเดรสเดิน......ใคร?” เสียงเย็นเยียบฟังเป็นคำสั่งมากกว่าคำถาม แต่คำตอบยังเป็นความเงียบ ไม่ใช่พวกเขากลัวจนไม่กล้าส่งเสียง แต่มันหมายถึงคนที่นั่งอยู่ไม่มีใครเป็นเจ้าของชื่อ


“ถ้าอย่างนั้น มีคนชื่อ ไนล์จริงๆหรือเปล่า”


“มะ มี... มีครับ เป็นตำรวจที่เพิ่งย้ายมาจากฮัมบูร์กพร้อมๆกับที่ทางอังกฤษส่งตัวพันตรีเอียนมาปฏิบัติหน้าที่ครับ เขาสองคนค่อนข้างสนิทกัน”


“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน” ห้องเงียบไปชั่วอึดใจทันทีที่สิ้นคำถาม เหล่าตำรวจท้องถิ่นจากเดรสเดินมองหน้ากันเลิ่กลั่กราวกับคำถามนั้นมันตอบยากซะมากมาย จนริโค่ต้องส่งสายตาคาดคั้นไปพร้อมกับคำสั่งเร่ง “กรุณาตอบเร็วๆค่ะ”


“เขาหายไปครับ!


“เมื่อไหร่!


“ทันทีที่พันตรีเอียนเสียชีวิตครับ”


เงียบทันทีที่สิ้นสุดคำตอบ ทั้งเงียบและกดดันเป็นทวีคูณและไม่มีเสียงใดเล็ดลอดนอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศ คำตอบของนายตำรวจต่างถิ่นทำให้ร่างทั้งร่างของทุกคนที่นั่งอยู่ชาวาบจนไม่อาจขยับ ดวงตาทุกคู่เบิกกว้าง หรือบางทีก็ลืมไปแล้วว่าออกซิเจนเป็นสิ่งสำคัญของร่างกาย รู้สึกถึงความบานปลายของเรื่องมันแย่กว่าที่พวกเขาคาดไว้ นั่นมันเป็นข้อพิสูจน์ ข้อพิสูจน์อย่างดีเลยว่าการตามเรื่องการขนส่งยาเสพติดของอาชญากรร้ายระดับชาติที่ชายแดนมันปลิวหายไปในอากาศ


ตำรวจนายหนึ่งโดนสวมรอย เมื่อไหร่ไม่อาจรู้ได้ ดีไม่ดีนายตำรวจที่ชื่อ ไนล์คงกลายเป็นศพไปแล้วอีกคน แต่ที่แน่ๆคือตอนนี้ทางฝ่ายยุติธรรมอย่างพวกเขาเดินตามพวกวายร้ายอยู่หลายก้าว แล้วมันยิ่งไกลจนน่าใจหายเมื่อผนวกกับแฟ้มของพันตรีเอียนที่หายไป...แฟ้มที่ทางเดรสเดินยืนยันชัดเจนแล้วว่าคือข้อมูลทั้งหมดที่พันตรีเอียนหาได้เกี่ยวกับกลุ่มอาชญากรอาร์นัลโด....


นี่มันวิกฤติเลย....


“เจ้านกอินทรีตัวดีบินหนีไปเสียแล้วสิ...แล้วเราไม่ได้อะไรสักอย่างแม้แต่เงาปีกมัน”คำเปรยจากคีธ ชาดิทยิ่งตอกย้ำสถานการณ์น่าหวาดหวั่น แต่คนที่อยู่กึ่งกลางโต๊ะรูปตัวยูกลับยังมีสีหน้าที่เรียบเฉยอย่างเก่า แล้วเสียงทุ้มก็ว่าขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด


“หรือไม่...มันก็แค่บินกลับรัง หลังจากที่หาอาหารได้แล้ว”


สายตาของทุกคนเบนมาที่ประธานการประชุมโดยอัตโนมัติ ในขณะที่หัวหน้าทีมนิติเวชขยับยิ้มบางที่มุมปาก เขานึกนับถือผู้บัญชาการที่อายุน้อยกว่าเขาคนนี้เสมอ ไม่ตื่นกลัว ไม่เต้นไปตามเกมของศัตรูมากเกินไปจนหลงกลเสียเอง กลับหาช่องว่างแล้ววิเคราะห์คดีต่อ และไม่เคยรู้จักกับคำว่าสิ้นหวัง


“ริโค่ นานาบะ ฉันฝากพวกเธอตามข่าวเรื่องนายตำรวจไนล์ ยืนยันตัวตนของเขาให้ได้ภายในห้าวัน ส่วนเรื่องกระดาษที่อยู่ในมือของพันตรีเอียนมันก็เป็นสิ่งที่ทางอาร์นัลโดตั้งใจประกาศสงครามกับองค์กรตำรวจสากลทั่วทั้งยุโรปอย่างแน่ชัดอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์”


เห็นได้ชัดๆว่าถ้าหากข้อสันนิษฐานของผู้กองสาวเป็นจริง คนร้ายจงใจขยำกระดาษรูปนกอินทรีนั่นใส่มือของเอียน ปิดประตูแล้วล็อกห้องอย่างเดิมเพื่อไม่ให้ใครไปแตะต้องศพเขาได้จนกว่ามันจะแข็งไปทั่วร่าง เพื่อป้องกันไม่ให้กระดาษปลิวไป....ตั้งใจบอกให้รู้ขนาดนั้น ราวกับเป็นสาส์นสำคัญที่บังคับให้พวกเขาต้องอ่าน


และรับรู้ไว้ซะ...ว่าพวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว....


“ผมขอปิดประชุมแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกหน่วยที่ช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่”


สิ้นสุดประโยคราบเรียบของผบ.เอลวิน ผู้เข้าร่วมประชุมก็ลุกยืนขึ้นโค้งคำนับแล้วทยอยกันออกจากห้องโดยที่ไม่มีใครคัดค้านหรือซักถามใดๆอีก หากแต่ไม่ทันที่เหล่าแผนกชุดกาวน์สีขาวและมีชื่อแผนกติดบนแผ่นหลังจะได้ขยับตัว ชายหนุ่มผมสีทองก็ออกเสียงเรียกไว้ก่อน


“คุณหมอเยเกอร์ครับ ผมขอคุยด้วยสักครู่”


ทั้งแอคเคอร์แมนและฮานเนสเกือบสะดุดขาตัวเองทั้งๆที่ชื่อนั้นไม่ใช่ของตน เรื่องที่นึกกลัวผุดขึ้นในหัวจนไม่รู้จะซ่อนสีหน้าลำบากใจยังไง แต่เมื่อหัวหน้าทีมของพวกเขาพยักหน้าให้เบาๆเป็นเชิงบอกว่าออกไปก่อนถึงได้ก้าวขาออก ภาวนาในใจว่าผบ.เอลวินคงไม่สังเกตเห็นข้อบกพร่องแรกของทีมนิติเวชจนต้องปลดพวกเขาออกจริงๆ....ซึ่งเปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นไปได้ก็ไม่สูงเลย


“มีเรื่องอะไรครับ ผบ.”


“คือผมอยากคุยกับคุณหมอเรื่องรายงานการวินิจฉัย” คิ้วของคนสูงวัยกว่าเลิกขึ้นเล็กน้อย สบกับนัยน์ตาสีฟ้าจางที่นิ่งสนิทแต่แฝงมาด้วยความเคลือบแคลงสงสัย คริชายืนเงียบไป เริ่มเข้าใจแล้วว่าผบ.เอลวินต้องการอะไรจากเขา ถ้าหากจะโดนตำหนิเขาคงโดนไปตั้งนานแล้ว ไม่มีทางปล่อยให้ช่องว่างของบทสนทนามันยาวนานขนาดนี้หรอก คนสูงวัยกว่าถอนหายใจ แล้วค้อมศีรษะลงน้อยๆ เลือกตอบเฉพาะเรื่องที่เขาพอจะตอบได้


“หากมันผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยด้วยจริงๆครับ”


“ทำไมถึงคิดว่าผิดพลาด”


“ก็ถ้าไม่ผิด ผบ.คงไม่เรียกผมให้อยู่เพื่อพูดคุย” ชายสูงวัยว่าตามความรู้สึกจริง คนเป็นผู้บังคับบัญชาหัวเราะในลำคอ ยกปึกรายงานขึ้นมาไล่ดู แล้วคลี่ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี


“ไม่ใช่ครับ คุณหมอ ทุกอย่างมันดูเรียบร้อยและสมบูรณ์แบบ”


คำเฉลยทำให้คนเป็นแพทย์เลิกคิ้วสูงอีกครั้ง แล้วนั่นทำให้เขารู้ว่าเขาหลงกลผู้บัญชาการอายุน้อยกว่าตรงหน้าเข้าเต็มเปา อันที่จริงต้องบอกว่าเขาแพ้ตั้งแต่พูดออกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าขออภัย หากรายงานนั้นมันมีจุดบกพร่อง ผบ.เอลวินคงรู้ได้โดยปริยายแล้วว่าเขาไม่ใช่คนเขียนรายงาน แม้แต่ตัวหนังสือสักตัวบนกระดาษนั่น ยังไม่เคยผ่านสายตาเลยด้วยซ้ำ คนสูงวัยกว่าพรูลมหายใจ ยิ้มออกมาอย่างเหนื่อยๆ


เขาปิดผบ.เอลวินไม่ได้จริงๆด้วย


“รายงานนั่นอาจมีช่องว่างตรงช่วงเวลาที่ผู้ตายเสียชีวิตจนกระทั่งเคลื่อนย้ายศพ ข้อบกพร่องตรงนั้น....อธิบายว่าอย่างไรครับ”


เขา อธิบายว่าในห้องอาจมีการเปิดเครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าปกติ...ทำให้เวลาในการเสียชีวิตคลาดเคลื่อน เขียนเอาไว้เป็นหมายเหตุที่หน้าสุดท้ายเลย” ริมฝีปากของคนพูดยกเป็นรอยยิ้มนิดๆแล้วชี้ข้อความดอกจันตรงท้ายกระดาษให้คนเป็นแพทย์ดู ก่อนจะสำทับไปอีกว่า


“ต้องบอกว่าเขาวินิจฉัยได้แม่นเหมือนตาเห็นเลยนะ เพราะนั่นเป็นเรื่องจริง ทางภาคสนามยืนยันมาแล้ว”


ประโยคเชิงคำชมที่หาไม่ได้ง่ายๆจากผู้บัญชาการหนุ่มแห่งเบอร์ลินทำให้คริชาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วยิ้มออกมาบ้าง ทั้งดีใจและยอมรับความจริงในทีเดียวกัน นึกทึ่งในความสามารถของคนเขียนรายงงานนั่นไม่น้อย ไม่ได้เห็นกับตา ไม่ได้เป็นผู้ชันสูตร อาศัยเพียงแค่ข้อมูลที่แอ็คเคอร์แมนจดให้ แล้วเขียนข้อสันนิษฐานดักทุกทางที่มันพอจะเป็นไปได้ ไม่ยึดติดกับสิ่งที่พบเจอ....หากแต่สิ่งที่ไม่เคยเจอ เด็กคนนั้นก็คิดเผื่อเอาไว้แล้วทุกครั้ง


เอเลนพูดถูก...อย่างน้อยเขาน่าจะอ่านมันสักนิด ถ้าอย่างนั้นคงจะปิดผบ.เอลวินไปได้อีกนาน แล้วเด็กคนนั้นก็คือผู้ช่วยในเงาของทีมนิติเวชตามเดิม...


แต่ตอนนี้...คงเป็นไปไม่ได้แล้วสิ


“อยากพบเขาหรือเปล่าครับ”


แทนคำตอบ ที่คั่นหนังสือทำจากเหล็กสีเงินวาวถูกล้วงออกมาจากซองเอกสาร แต่ปลายนิ้วของผู้บัญชาการแห่งเบอร์ลินยังคงแตะนิ่งอยู่เช่นนั้นไม่ยอมหนีไปไหน เป็นเชิงว่าเขาแค่ให้ดู แต่ไม่ให้คืน...และอีกอย่างเพื่อตอบรับว่าเขายินดีไปพบผู้ปิดทองหลังพระนานถึงสองปีของทีมนิติเวชด้วยตัวเอง







มิคาสะเป็นคนน่ากลัว เรื่องนั้นเอเลนรู้แต่เด็กเพราะมักจะเห็นเหตุการณ์ที่เพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวของเขามักจะแสดงให้เห็นบ่อยๆเวลาเขาโดนแกล้ง แต่มันนานแล้วจริงๆที่ความน่าขนลุกนั่นมันจะพุ่งมาหาเขาตรงๆ นี่ถ้าไม่ต้องเข้าเรียนก่อน เขาคงต้องอธิบายให้เธอฟังนานสองนานว่าอยู่ดีๆที่คั่นหนังสือที่พกติดตัวอยู่เสมอ มันเกิดหายไปได้ยังไง มิคาสะไม่ได้คิดหยุมหยิมว่าเป็นของที่ตัวเองซื้อให้แล้วพอเขาปล่อยให้มันหายก็เกิดงอนขึ้นมา ยัยนั่นไม่ได้มีความคิดเป็นผู้หญิงขนาดนั้น


แต่แม่คุณคิดไปไกลว่าจะมีพวกโรคจิตมาแอบชอบเขา แล้วเกิดขโมยของส่วนตัวเล็กๆน้อยๆไปเป็นของดูต่างหน้า เข้าทำนองพวกแฟนคลับเก็บสะสมของใช้ที่ดาราทิ้งเป็นต้น พอฟังได้เท่านั้นแหล่ะเอเลนสรุปได้เลยว่าอนาคต มิคาสะอาจจะเป็นหมอที่ดี แต่คงไปเป็นนักสืบหรือหมอชันสูตรไม่ได้แน่...ความสามารถในการดมกลิ่นสืบสวนเข้าขั้นติดลบ


คิดดู...เขามีคนบรรยากาศทะมึนยิ่งกว่าผู้ร้ายในคุกมาเป็นเพื่อน แถมตามติดกันไปทุกที่แบบนี้ ใครที่ไหนจะกล้ามาจีบกันล่ะ ส่วนเรื่องเขาจะไปจีบใครนั้น แค่คิดก็เป็นไปไม่ได้แล้ว นี่ถ้าไม่มีคนประเภทเดียวหรือเหนือกว่ามิคาสะโผล่มา เอเลน เยเกอร์คงต้องจองคำว่าโสด ไปตลอดชีวิต


“อยู่ที่คนของสำนักงานกลางแน่นะ....เอเลน” เสียงใสแต่ฟังเย็นเยียบถามประโยคนี้เขามาเป็นร้อยๆรอบแล้ว เด็กหนุ่มร่างบางถอนหายใจเฮือกใหญ่ อยากเอาหัวโขกพวงมาลัยรถให้มันแตกๆไปซะแล้วยกสมองให้แม่คุณไปชำแหละดูเลย ว่าเขาไม่ได้คิดโกหก


“แน่สิน่ะ! เดี๋ยวถึงโรงพยาบาลคงขอพ่อคืนได้แหล่ะ” เด็กหนุ่มหักพวงมาลัยเข้าประตูสถานที่ราชการใหญ่ ตึกสีขาวสูงถึงสิบชั้นวางซ้อนกันเป็นแถบๆตามแผนกที่มีมากมาย ก่อนที่จะจอดเจ้าโฟล์กสวาเกนสีขาวที่โรงจอดรถเฉพาะบุคคลของตึกที่มีแผนกปฏิบัติการทางการแพทย์ ตึกที่มีคนเข้าออกน้อยกว่าปกติ เทียบไม่ได้กับพวกแผนกผู้ป่วยนอกหรืออุบัติเหตุฉุกเฉิน แต่ในความคิดของเอเลนแล้ว ไอ้แผนกที่เขาเข้าออกมาตั้งแต่เดินเตาะแตะนี่ไม่น่าเข้ายิ่งกว่าตึกอุบัติเหตุนั่นซะอีก


เพราะมันเป็นที่ตั้งของห้องแล็บ เศษชิ้นเนื้อ เลือด ของเสีย สารคัดหลั่ง ทุกสิ่งทุกอย่างต้องถูกส่งมาตรวจที่นี่ ซ้ำมันยังเป็นที่เก็บร่างไร้วิญญาณ เพื่อนร่วมงานคนสำคัญของพวกเขาที่บางคนก็ยังมีสภาพสมบูรณ์อยู่ แต่บางคนต้องบอกว่าสามารถเอาใส่ถุงแล้วห่อได้เป็นทรงกลมๆ


“เอเลน” เสียงเรียกจากหญิงสาวข้างตัวขณะที่กำลังเดินจ้ำไปที่ห้องทำงานของผู้ปกครองเรียกดวงตาสีมรกตปรายไปมอง สีหน้าของเด็กสาวนิ่งสนิท แต่ดวงตาสีดำของเธอกลับทอแววเป็นห่วง แต่มันก็ไม่ใช่แบบเดียวกันกับเรื่องที่คั่นหนังสือ เธอเงียบไปนิดราวกับกำลังตัดสินใจ แต่ในที่สุดก็พูดออกมา


“เรื่องรายละเอียดของคดีที่ได้จากแจน...ฉันรู้ว่าเอเลนจะไม่อยู่เฉยแน่” ดวงตาคู่โตเบิกขึ้น แล้วรีบเบือนหน้าหนีสายตาของเพื่อนสนิท ซ้ำยังสาวเท้าให้เร็วขึ้น มิคาสะเป็นแบบนี้ประจำ เอเลนอาจประเมินเธอว่ามีเซ้นส์เรื่องการสืบสวนต่ำ แต่เพราะนั่นทักษะการสังเกตคนอื่นเธอไม่มี หรือพูดให้ถูกคือเธอไม่สนใจ แต่ถ้าเป็นคนที่อยู่ในสายตาล่ะก็...ต่อให้เอากี่สิบทักษะนิติเวชที่เอเลนเรียนมาร่วมสองปีออกมาสู้ ก็ไม่ครณามือสักนิด


และคนที่อยู่ในสายตาของมิคาสะ แอ็คเคอร์แมนก็มีอยู่แค่คนเดียวในโลก นั่นก็คือเขา เอเลน เยเกอร์ นั่นแหล่ะ


แต่ในเมื่อเรื่องมันออกมาอย่างนี้ จะให้เขาทำยังไง มันออกมาชัดขนาดนี้ แม้จะไม่มีอะไรยืนยันว่ามันจะเป็นเบาะแสร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เถอะ สำหรับตำรวจสากลทั่วยุโรปแล้วมันคือสาส์นท้าทาย แต่สำหรับเอเลนแล้วมันคือกระดาษตอกย้ำอดีต...อดีตที่เปลี่ยนชีวิตเขาให้มาเป็นแบบนี้


“ฉันจะไม่คิดใหม่หรอกนะ มิคาสะ”


“รู้อยู่แล้วว่าถ้าเป็นเรื่องนี้ ฉันคงจะเปลี่ยนใจเอเลนไม่ได้ เพราะงั้นต่อไปนี้ฉันจะเป็นคนช่วยเอเลนเอง”


ข้อเสนอเอาจริงทำให้เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง ความจริงเขาไม่ควรจะตกใจขนาดนี้หรอก เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่มิคาสะอยากก้าวขาข้ามจากนักศึกษาธรรมดาๆมาเป็นเงาของนิติเวช แต่ทุกครั้งเขาก็จะบอกปัดและปฏิเสธไป ทำได้ไม่ยากเย็นเท่าไหร่เพราะเด็กสาวที่อยู่ด้วยกันมาแต่เด็กนี้ไม่กล้าขัดใจเขา ทำราวกับเป็นพี่สาวที่หวงน้องชายตัวน้อยๆ


แต่คราวนี้ไม่ใช่ นัยน์ตาสีดำของมิคาสะเอาจริงยิ่งกว่าครั้งไหน ราวกับว่าถ้าโดนปฏิเสธอีกรอบ เธอจะไปขู่เข็นกับพ่อเขาจนได้เรื่อง


 “ไม่ได้! ยังไงฉันก็ไม่ให้เธอมายุ่งเรื่องนี้เด็ดขาดเลย ไม่มีทะ...!” ฉับพลันเสียงของเอเลนก็หายไปในทันใดเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานของพ่อ และห้องที่มันควรจะว่างเหมือนทุกวันเพราะพ่อเขาคงจะไปชันสูตรศพอยู่ที่แล็บกลับไม่ใช่ พ่อเขานั่งอยู่ประจำโต๊ะ และเก้าอี้ตัวตรงข้ามก็มีชายร่างสูงแปลกหน้านั่งอยู่ด้วย แล้วมันยิ่งทำให้เขายืนตัวแข็งทื่อ เมื่อชายผู้มาใหม่ชูบางสิ่งบางอย่างในมือ


“ที่คั่น....นั่นมัน...”


“ดูเหมือนมันจะเป็นของเธอจริงๆสินะ” เมื่อใบหน้าจริงจังเคร่งขรึมนั้นระบายด้วยรอยยิ้มนิดๆมันทำให้บรรยากาศรอบกายเขาผ่อนคลายลงกลายเป็นคุณอาใจดีอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆที่ตัวตนของเขาไม่ธรรมดาเลย เมื่อยศทั้งหลายทั้งแหล่พร้อมชื่อนามสกุลติดอยู่บนปกเสื้อสูทเนื้อดีที่ไม่ใช่ใครอยากใส่ก็ใส่ได้ โดยเฉพาะคนๆนี้ คนที่เอเลนไม่เคยพบตัวเป็นๆแถมยังต้องหลบหน้าหลบตาเขามาถึงสองปี


“ผบ.เอลวิน...”


“ดีใจที่ได้เจอเธอ เอเลน”


“ทะ ทำไม ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้...ล่ะครับ” นัยน์ตาสีฟ้าจางจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มที่พอจะก้าวขาออก เขาวางกระเป๋าเป้แล้วนั่งลงที่โซฟาข้างห้องพร้อมกับเด็กสาวผมดำ นึกประเมินนิสัยของคนอ่อนวัยตรงหน้า อย่างน้อยเป็นคนที่ตั้งสติเร็ว ไม่ตื่นกลัว ไม่กระโตกกระตาก แล้วดวงตาคู่โตนั้นกำลังหรี่ลงนิดๆ ราวกับกำลังวิเคราะห์ทั้งตัวเขาและสถานการณ์ในห้อง


ตั้งแต่เขารับราชการตำรวจมา มันมีไม่กี่คนหรอกนะ ที่กล้ามองเขาด้วยสายตาแบบนี้...


นี่ขนาดยังไม่ได้พูดคุยอะไรเป็นงานเป็นการ เขาก็โดนเด็กหนุ่มคนนั้นสอบสวนแล้ว...ให้ตายสิ


“ฉันก็แค่อยากมาขอบคุณ...เธออุตส่าห์ช่วยงานสำนักงานกลางเบอร์ลินมาตลอดสองปีเลยไม่ใช่?


เป็นอย่างที่คาด  ดวงตาสีมรกตของเด็กหนุ่มเบิกกว้าง หันหน้าไปหาคนเป็นพ่อตัวเองโดยอัตโนมัติ และดูท่าว่าเขาจะตกใจจนพูดอะไรไม่ออก สายตาตื่นๆนั่นถึงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม แต่สิ่งที่เอลวินแปลกใจนิดหน่อยคือมันไม่มีการคาดโทษหรือโกรธเคือง ทั้งๆที่ที่ผ่านมาคุณหมอเยเกอร์บอกว่าเด็กคนนี้ขยาดการโดนเปิดตัวเข้าไส้ด้วยเหตุผลบางประการ แล้วเขาก็รู้สึกชอบใจกับเหตุผลของเอเลนไม่น้อย...


เขาจะไม่ปฏิเสธแน่ถ้าโลกใบนี้ไม่มีกำแพงที่ชื่อว่าอายุและตำแหน่งยศ



กำแพง.....



แต่มีอะไรไปกระตุ้นให้นกน้อยตัวนั้นมองกำแพงแปลกไป...



ว่ามันไม่ได้สูงอย่างเก่า....หรือต่อให้สูงแค่ไหนก็พร้อมจะบินข้าม...ขอแค่ใครสักคนเป็นผู้เปิดกรง....


“เธอเป็นบุคคลากรจำเป็นมากนะ แผนก C.S.I ของฉันโชคดีที่มีคนอย่างเธอ แต่จะโชคดีกว่านี้มาก ถ้าเธอจะยอมออกมาจากเงา”


เท่านั้นคนฟังทุกคนในห้องก็สะดุดลมหายใจ ห้องเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจที่กระหน่ำรัว พยายามหาคำตอบจากสีหน้าของผู้บังคับบัญชาสูงสุดในเยอรมัน แต่ความจริงก็ตอกย้ำพวกเขาอย่างชัดเจนเมื่อสีหน้าของผบ.เอลวินฉายชัดว่าเขาจริงจัง และที่พูดไปก็ไม่ได้จงใจล้อเล่นด้วย


บรรยากาศหนักอึ้งเข้าครอบคลุมห้องทำงานขนาดกะทัดรัดทันที นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็ก แน่ล่ะ คนใหญ่คนโตแห่งสำนักงานกลางเบอร์ลินกำลังทาบทามเขาเข้าทำงานทั้งๆที่เขาเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่ถึงปี ไม่มีปริญญาบัตร ไม่มีใบเกรดมายื่นให้เห็น มีแค่ตัวตนของเขากับผลงานที่ผ่านมาที่แม้จะทำประโยชน์ให้กับองค์กรแต่มันก็ไม่มีอะไรมายืนยันเลยว่าเขาเป็นคนทำจริงๆ ต่อให้ไปเปิดไฟล์คดีในคอมพิวเตอร์ หรือไปเห็นร่องรอยการวินิจฉัยพิลึกกึกกือบนกระจกกั้นห้อง มันก็น่าลงความเห็นว่าเป็นแค่การกระทำเด็กหนุ่มวัยคะนองคิดอยากลองวิชาเพียงเพราะมีพ่อเป็นนิติเวช


ทั้งๆที่ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่สายตาของคนตรงหน้าเอเลนกลับมองอย่างกลับตาลปัตร เขาเชื่ออย่างสนิทใจและไม่มีข้อสงสัยใดๆ เพียงแค่เจอที่คั่นหนังสือเขาในแฟ้ม และอาจฟังประวัติเขาจากพ่อนิดหน่อย อดคิดขำๆไม่ได้ว่าถ้าเขาตอบตกลงจะทำให้สำนักงานกลางเบอร์ลินเสื่อมเสียชื่อเสียงไหม ว่าวิธีการสัมภาษณ์เข้าทำงานมันออกจะเพี้ยนๆและง่ายดายขนาดนี้


“ทำไมล่ะครับ ผบ.เอลวิน” คำถามเดียวที่เอเลนคิดว่าเหมาะสม และเขาอยากรู้ที่สุด


“แววเธอเป็นคนตอบ และเธอได้ตอบฉันตั้งแต่เธอเดินเข้ามาในห้องแล้ว รู้ตัวไหม” คนสูงวัยกว่าเอนหลังลงกับพนักพิงหนานุ่ม แล้วว่าต่อ “ความจริงฉันตั้งใจแค่มาดูหน้าเธอ แล้วก็ขอบคุณอย่างที่เธอได้ยินนั่นล่ะ ไม่คิดจะบังคับใดๆและจะไม่พูดอะไรให้เธอลำบากใจเด็ดขาด...ฉันสัญญากับพ่อของเธอไว้อย่างนั้น”


ฟังดูเหมือนเป็นประโยคไม่กดดันใดๆ ซ้ำมันยังถูกพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มตามฉบับของคนตรงหน้าแล้ว ยิ่งฟังสบายเข้าไปใหญ่ แต่สำหรับเด็กหนุ่มร่างบาง นั่นเป็นคำพูดประกาศชัยชนะ เข้าทำนองเดียวกับเวลาแพ้ในเกมแล้วถูกผู้ชนะพูดใส่หน้าว่า ฉันคว่ำนายแบบไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย


ผบ.เอลวิน สมิธ คนนี้ทำงานอยู่ที่สำนักงานกลางเบอร์ลินมานาน แน่นอนว่าต้องมากกว่าสองปี เป็นหนึ่งในตำรวจที่รับผิดชอบใน คดีนั้น และรู้ดีว่าเหตุการณ์มันเกี่ยวข้องกับครอบครัวเยเกอร์ชนิดเป็นเรื่องใหญ่สาหัส เพราะฉะนั้นขอแค่เขารู้ว่าคดีในคราวนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรอาร์นัลโด เขาต้องกระโจนเข้าหาแน่


ใช่...คนตรงหน้าไม่ต้องพูดอะไรเลย ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องกดดัน ไม่ต้องเชิญชวนด้วยซ้ำ เขาก็พร้อมที่จะก้าวออกจากมุมมืดของนิติเวช แล้วคุยกับพ่อตรงๆวันนี้ว่าขอให้พ่อเอาเขาใส่พานไปประเคนให้ผบ.เอลวินที จะรับหรือไม่ก็แล้วแต่ ก็จะขอพยายามอย่างเต็มที่ที่สุด ถึงคนตรงหน้าจะเอาเรื่องอายุหรือประสบการณ์มาอ้าง เอเลนก็จะไม่เถียงใดๆ และจะไม่เซ้าซี้ แต่แค่ขอรับรู้ความเป็นไปของคดีทุกฝีก้าว และจะทำหน้าที่เป็นเงาของทีมนิติเวชนี้อย่างเต็มความสามารถ


ขอแค่เป็นคดีนี้...คดีนี้เท่านั้น!


แต่ดูท่าว่าทุกอย่างมันจะเป็นไปอีกทางทันทีที่ผบ.เอลวินพูดว่า เขาได้ให้คำตอบตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องแล้วซ้ำแววตาที่เขาเผลอแสดงความมุ่งมั่นออกมาแบบไม่ตั้งใจก็เป็นหลักฐานมัดตัว ว่าเขารู้แล้วเรื่ององค์กรร้ายข้ามชาตินั่นเป็นผู้สังหารพันตรีเอียน และไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอทาบทามนั่นแน่ๆ


อาฮะ...ลูกล่อลูกชนชั้นสูงเลย...เรียกได้ว่าขี้โกงก็คงไม่ผิด


นั่นคือสิ่งที่เอเลนกระซิบบ่นกับตัวเองในใจเมื่อสรุปอุปนิสัยของชายหนุ่มผู้กุมอำนาจสูงสุดของสำนักงานกลางเบอร์ลิน นึกชมพ่ออยู่ในใจ...นี่พ่อปิดเรื่องเขากับคนตรงหน้าได้ยังไงตั้งสองปี...เพราะแค่ไม่ถึงยี่สิบนาที ผบ.เอลวินก็รู้ความคิดเขาซะจนหมดไส้หมดพุง


“ถึงจะกะทันหันไปหน่อย แต่คดีนี้เรารอช้าไม่ได้ พรุ่งนี้ทางอังกฤษจะส่งทีมใหม่ระดับผู้เชี่ยวชาญมาที่เยอรมัน เขาเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ต่อจากพันตรีเอียน...และเท่าที่ฉันฟังมาคร่าวๆ เขาขาดหมอนิติเวชประจำทีม”


“ผบ.หมายถึง จะให้ผมไปสังกัดทีมนั้น?” ดวงตาคู่โตสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงใสๆดังขึ้นนิดหน่อยตามอารมณ์ตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่เอลวินเห็นว่าเอเลนแสดงกริยาได้สมกับเป็นเด็กผู้ชายตัวน้อยๆ ถึงแม้เรื่องที่ทำให้เด็กตรงหน้าดีใจมันจะเป็นสิ่งที่ฟังแล้วไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ เขาหัวเราะหึๆแล้วพยักหน้า อารมณ์เหมือนพ่อเวลาอนุญาตให้ลูกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนไม่มีผิด


“แต่ทางนั้นเขาไม่ใช่แบบฉันหรอกนะ เอเลน ต่อให้มาเห็นเธอตรงๆ หรืออ่านรายงานวินิจฉัยผลชันสูตรของเธอ เขาก็มองแค่ว่าทางเยอรมันขาดแคลนคนถึงกับต้องไหว้วานให้ลูกชายหัวหน้าทีมนิติเวชมาช่วยงาน...แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อาจเชี่ยวชาญโปรแกรม Word เป็นพิเศษแล้วพิมพ์รายงานตามคำสั่งพ่อ แลกกับเงินตอบแทนไปเที่ยวผับกับเพื่อน”


ก็ว่าอย่างนั้นแหล่ะ...


เอเลนยิ้มแห้ง รับฟังความจริงของโลกใบนี้ที่กำแพงในใจเขาเป็นผู้สลัก เป็นอีกครั้งที่นับถือชายผมทองตรงหน้า ผบ.เอลวินคงอ่านใจคนได้จริงๆ ไอ้ประโยคเมื่อสักครู่เขาคิดคนเดียวมาเป็นปีๆ ในที่สุดก็ได้ฟังมันกับหูจนได้


“พวกเขาไม่มีทางเชื่อ...จนกว่าจะเห็นเธอใส่กาวน์แล้วไปยืนอยู่ข้างเตียงผ่าศพ จากนั้นก็ลงมีด แจงสาเหตุการตายให้พวกเขาฟังเป็นข้อๆ...เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ น่าจะเป็นมะรืนนี้ตอนห้าโมงเย็น” ฟังข้อสรุปรวดเร็วแถมไม่เปิดโอกาสให้แย้ง ขากรรไกรของเอเลนอ้าค้างอย่างไม่ตั้งใจ มองร่างสูงยืนขึ้นบอกชัดว่าเขาหมดธุระ ร่างบางลุกผึงขึ้นจากโซฟา ไม่ใช่ว่าจะยืนส่ง แต่ทำไปตามสัญชาตญาณเมื่อจะรั้ง


ที่พูดเมื่อกี้...หมายถึงจะให้เขาไปชันสูตรศพให้เห็นกับตาเหรอ


เขา!.....อย่าเพิ่งสิ! เขาเนี่ยนะ!!


“เดี๋ยวก่อน” ไม่ใช่เสียงของเด็กหนุ่มร่างบาง แต่เป็นเสียงใสฟังเยือกเย็นอย่างคุ้นหูจากเด็กสาวข้างๆ นัยน์ตาสีดำสนิทจ้องเขม็งไปที่ผู้บัญชาการสูงสุดแห่งเบอร์ลิน แม้จะเป็นคนละอย่างกับเอเลนก็เถอะ แต่เอลวินก็ต้องยอมรับว่าไม่ค่อยมีใครมองเขาแบบนี้อีกเหมือนกัน


“เรื่องที่จะเอาเอเลนเข้าทำงาน...แน่ใจแล้วหรือคะ”


“ถ้าดูตามสิ่งที่เขาทำ ต้องบอกว่าเอเลนเข้าทำงานในสังกัด C.S.I มาตั้งนานแล้ว ฉันแค่มาทำอะไรๆให้มันชัดเจนขึ้น และมั่นใจว่าเอเลนคงต้องการแบบนี้” เอลวินแจงยาว โดยไม่ลืมใส่เหตุผลข้อสุดท้ายไปด้วย เท่าที่เขาดูจากสายตาและน้ำเสียงของเด็กสาวคนนี้เขาก็พอจะรู้แล้ว ว่าเธอเห็นเอเลนเป็นคนสำคัญมากแค่ไหน แต่ดูท่าว่าจะไม่เคยขัดใจเอเลนได้สักอย่าง


อ้างด้วยเจตนารมณ์ของคนที่เธอเห็นความสำคัญที่สุด....นั่นล่ะที่จะเป็นโซตรวนให้เธอหยุดชะงัก


นัยน์ตาสีดำมืดมนลงอย่างเห็นได้ชัด ทวนถามเสียงเย็นเยียบอย่างช้าๆ


“แม้ว่าคราวนี้เอเลนต้องออกภาคสนามอย่างนั้นเหรอคะ”


ฉลาด....


มุมปากของเอลวินยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อคำๆนี้ผุดเข้ามาในหัว เด็กสาวตรงหน้าเขามีกระบวนการทางความคิดไม่ธรรมดาเลย ซ้ำยังรู้สึกเร็วอีกต่างหาก เธอคงตีความได้ไม่ยากว่าถ้าหากเอาเอเลนใส่ลงไปในทีมเฉพาะกิจที่มีไม่กี่คนแบบนี้ นิติเวชคงได้กลายเป็นตำรวจภาคสนามกลายๆ ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานไม่เพียงพอ และบางทีศพบางศพต้องเร่งชันสูตรตั้งแต่ยังอุ่นๆอยู่ หรือดีไม่ดี แค่รอยเลือดในที่เกิดเหตุ เอเลนก็ต้องออกไปดูด้วยตัวเอง....


“นั่นมันมากเกินไปสำหรับเด็กอายุแค่สิบเก้าค่ะ ผบ.เอลวิน”


“แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เด็กอายุสิบเก้าจะทำไม่ได้เหมือนกัน” ชายหนุ่มผมทองสวนกลับเสียงเรียบเช่นเคย เขาเถียงง่ายๆเหมือนปลาไม่ใช่สัตว์บกก็ต้องเป็นสัตว์น้ำ ฟังดูกำปั้นทุบดิน แต่หลักฐานมันก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าเป็นเรื่องจริง


“แล้วก็ไม่ต้องห่วง ตำรวจทางอังกฤษใจดีกันทุกคน”


คำปลอบใจกลายๆนั้นดึงรอยยิ้มกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบนใบหน้าเด็กหนุ่ม สาบานได้ว่าเอากระจกมาส่องหน้าเขาตอนนี้มันต้องประหลาดเหลือคำบรรยาย ดวงตาคู่โตสีเขียวกลอกมองผู้ถืออำนาจบัญชาการสูงสุดของเบอร์ลินเดินออกจากห้องไป แล้วทิ้งตัวนั่งลงกับโซฟาตามเดิม นึกถึงวันมะรืนนี้ตอนห้าโมงเย็นแล้วใจสั่นเหมือนจะขึ้นเขียงสับหมู รู้สึกมวนในท้องแล้วชาไปทั่วร่างกาย ในหัวได้ยินเสียงหัวเราะแห้งๆของตัวเองดังห่างๆเป็นคำๆ



โอเค....เขากำลังกลัว


มีอะไรต้องกลัวงั้นเหรอ...ทำมาตั้งสองปีแล้วนี่...


ใช่...เขาทำมาสองปีแล้ว แต่งานที่เขาทำน่ะ...มันแค่อ่านรายงานการชันสูตรพ่อ แล้วก็วินิจฉัย


เคยจับมีดหมอผ่าศพไหม....แน่นอนว่าเคย หลายครั้งด้วย


แต่เคยลงมือผ่าเองต่อหน้าคนเป็นสิบไหม...




ไม่.........








ชายหนุ่มร่างสูงเดินกลับมาที่รถที่จอดอยู่ชั้นล่างของอาคารสีขาว ในมือล้วงเข้าในกระเป๋ากางเกงเพื่อหากุญแจรถ แต่ก่อนที่จะสัมผัสถึงมัน ความเย็นของโลหะจากบางสิ่งก็ทำให้เขาควักออกมาดูก่อน...ที่คั่นหนังสือ เขาคงลืมคืนเอเลน


แต่ไม่ทันที่จะหมุนตัวกลับเข้าไปในตึก โทรศัพท์ในกระเป๋าอีกข้างก็สั่นครืดคราดสองสามที มีเมลล์บางฉบับเข้ามา และที่ทำให้ผบ.เอลวินต้องขมวดคิ้วอย่างน้อยครั้งที่จะเป็น เพราะชื่อคนส่งเป็นคนที่อยู่ตำแหน่งเดียวกันกับเขา...เพียงแต่มาจากอังกฤษโน่น


นิ้วโป้งกดอ่านข้อความอย่างฉับไว พลันคิ้วเข้มก็เลิกขึ้นสูง พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก มือทั้งสองข้างเย็นชืด ขนบนแขนพร้อมใจกันลุกซู่อย่างไม่ทราบสาเหตุ เพียงเพราะบนหน้าจอปรากฏรายชื่อของตำรวจที่พร้อมจะจับเที่ยวบินมาถึงเยอรมันในวันพรุ่งนี้


พลันคำพูดของพันโทคีธ ชาดิท ก็ลอยเข้าหัว ว่าเจ้านกอินทรีตัวแสบนั่นบินหายไปแล้ว และพวกเขาจับไม่ได้แม้แต่เงาปีกของมัน แต่พอมันออกมาเป็นแบบนี้....


“แบบนี้อย่าว่าแต่เงาปีกเลย...จะถอนขนไม่ให้บินไปตลอดกาลก็อาจจะทำได้ก็ได้”


แต่มันไม่ใช่แค่คำพูดของคีธที่ผุดขึ้นมา คำพูดของเขาที่บอกกับเอเลนก่อนออกจากห้องก็ด้วย


“แล้วก็ไม่ต้องห่วง ตำรวจทางอังกฤษใจดีกันทุกคน”



ขอโทษเด็กคนนั้นตอนนี้จะทันไหม.....


.


.


.


.


.


TBC....


มิยะขอเม้าท์

ยะ ยังค่ะ ยังไม่เจอกัน นกน้อยเราเพิ่งจะออกจากกรง ฮ่าๆๆ // ยังมีหน้ามาหัวเราะ

แต่งไปแต่งมา รู้สึกกลัวผบ.เอลวินแฮะ แหะๆๆ  คิดอยู่นานเหมือนกันค่ะว่าจะให้คาร์แร็กเตอร์ของเฮียแกออกมาเป็นแบบไหนดี สาม สี่คำตีรันฟันแทงอยู่ในหัว ผู้นำ ฉลาด เฉียบขาด เหตุผล คืออยากเขียนตัวละครที่มีอุปนิสัยอย่างนี้ดูมานานแล้วค่ะ เพราะต้องมาเป็นหัวหน้าคุณรีไวด้วยล่ะ คงต้องรับมือพ่อสิบตรีนักวิสามัญคนนั้นไหว มันก็เลยออกมาคล้ายตัวโกงขนาดนี้นี่เลย ซึ่งนิสัยของผบ.เอลวินนี่ โดยออริจินอลแล้ว ค่อนข้างจะถูกใจมิยะอยู่พอสมควร >..<  ก็เลยต้องมาวางให้กลายเป็นคนน่าเคารพ แบบชวนหวาดๆนิดๆ อย่างที่เห็นเนี่ยแหล่ะค่ะ

ไปๆมาๆ ฟิคเรื่องนี้กลายเป็นว่าเราบรรจุตัวละครของไททันไว้มากพอสมควร ฮ่าๆๆ ประทับใจในตัวเจ๊ริโค่ สาวแว่นเป็นพิเศษเลยค่ะ แบบ เจ๊แกเท่ห์มาก เปิดตัวมาก็ชอบเลยค่ะ ชอบขั้นพีคเลยคือตอนที่เจ๊เป็นตัวหลักในการช่วยเปิดทางให้เอเลนเอาหินไปอุดกำแพง งืออออ สาวๆเรื่องนี้แมนไปย์ >/////<

ส่วนพันโทคีธ ซาดิสม์ เอ๊ย ชาดิท // โปรดอภัย อย่าเอาหัวมาโขกหนูนะ อันที่จริงยศของแกไม่ใช่พันโทหรอกค่ะ เอ๊ะ หรือ ใช่ไม่แน่ใจ ไอ้มิยะไม่ได้เช็ค แต่อุปโลกน์ใส่ให้ไปเฉยๆ เห็นอย่างงี้ แต่แอบเป็นแฟนพันธุ์แท้แกเลย โฮวววววววว คนอะไร ตะคอกได้มันส์มาก ประทับใจตั้งแต่การฝึกแรกแล้วค่ะ

สรุปคือ ชอบเกือบทุกคนในไททัน...ว่างั้น


แล้วก็มีอะไรมาให้ดูกันเล่นๆ // แต่คำนวณเป็นจริงเป็นจังสุดหูรูดเลยค่ะ อิอิ


เขาว่ากันว่ามนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบจัดอันดับ (เขาในที่นี้คือการ์ตูนเรื่องกิน-ติ๊ด-มะ) ขอแค่มีข้อมูลจะจัดอันดับอะไร ย่อมจัดได้หมดทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเรารู้ๆกันอยู่ว่าตัวละครใน Attack on Titan นั้นเปิดเผยเรื่องน้ำหนักและส่วนสูงของตัวละครเด่นๆมา เราจึงจะใช้ฐานข้อมูลนั้นมาเป็นประโยชน์ มิยะภูมิใจเสนอ ขอเชิญทุกท่านพบกับ.....


--อันดับดัชนีมวลกาย ของตัวละครเด่นๆใน Attack on Titan--


อนึ่ง ดัชนีมวลกายหาได้จากน้ำหนักหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง ว่าง่ายๆเป็นการวัดความ หนา-บางของร่างกายเรา ซึ่งน้ำหนักส่วนสูงนั้น ได้อ้างอิงจากหนังสือ Shingeki no Kyojin outside เคอะ มิยะจะวงเล็บไว้ให้หลังค่าดรรชนีมวลกายน้า เป็น [ส่วนสูง/น้ำหนัก]

อันนี้เป็นอันดับรวมของทั้งเรื่อง ปล. แต่ละคนไอ้มิยะจะแซะด้วยความรัก? *เพราะฉะนั้นจะมีการสปอยล์เนื้อหาบ้าง* ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ อยากคลุมสปอยล์เหมือนใน PANTIP จริงจัง ถ้าหากไม่อยากรับรู้เลื่อนลงไปเรื่อยๆ ไอ้มิยะสรุปแยกชายหญิงไว้ให้ ไม่มีเนื้อหาค่ะ =w=


1.ซาช่า เบลาส์ 19.48 [168/55] เปิดมาก็พลิกโผสุดหูรูดเลยค่ะ!! ไม่คิดเลยว่านางจะได้ที่ 1 โอวววววว คือไม่ทราบว่าคนกินเก่งนี่ ทำไมตัวเล็กกันทุกคนเลยหา!! มิยะเคยจัดของกินทามะไปเรื่องหนึ่ง (พี่สาวบางคนแถวนี้อาจจะจำได้) คนที่ได้ที่ 1 ก็คางุระอ่ะค่ะ โฮวววววว แต่ยินดีด้วยจริงๆ นางคือคนที่บางที่สุดในเรื่อง คืออยากถามสูตรลดความอ้วนมาก ฮา นี่กินยังไงให้หุ่นเป็นแบบนี้ TTwTT


2.คริสต้า แลนซ์ 19.97 [145/42] คนนี้แหล่ะค่ะที่คิดเอาไว้ว่าคงจะได้ที่หนึ่ง เพราะน้องน่ารักแบบตุ๊กตามินิจริงๆ นางฟ้าแห่งรุ่นที่ 104 ที่คงหาที่ไหนแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว คนที่แม้แต่หนูเลนยังยอมรับว่าน่ารักที่สุดในรุ่นอ้ะ แต่คนที่น่ารักที่สุดในรุ่นคนนี้ยังโดนคุณรีไวกระชากคอเสื้อเลยนะเคอะ คุณรีไวคงอยากบอกประมาณว่าไม่หวั่นไหว เพราะเทใจไปกับลูกเตะในศาลนั่นไปแล้ว >////< กิ๊สสส


3.อาร์มิน อัลเรตโต้ 20.70 [163/55] หากเก๊าอ่านนามสกุลผิดโปรดอภัย มันอ่านยากจริงๆ แต่อย่างไรก็ตาม ปรบมือให้กับเดอะวินเนอร์ของฝ่ายชายค่ะ!! โฮวววววว เป็นปลื้มกับพ่อหนุ่มน้อย บางยิ่งกว่าหญิงสาวหลายคนค่ะ!!! ถึงจะแอบคิดไว้แล้วก่อนคำนวณก็เถอะว่าอาร์มินนี่ต้องมาแรงแซงทางโค้ง แต่ไม่คิดว่าจะไต่อันดับได้ขนาดนี้ ปิติยินดี แอบคว้ามากอด >v<


4.ฮันซี่ โซเอะ 20.76 [170/60] นี่ก็อีกคน! ผิดคาดมาก อาเจ๊แว่นสุดโหด แต่ไปๆมาๆเจ๊สูงเท่าเอเลนแต่น้ำหนักน้อยกว่าตั้งสามกิโลนี่เนอะ คนสูง 170 เยอะเหมือนกันนะเรื่องนี้ เพราะมันคือความสูงคนรอบตัวคุณรีไวหรือไร ฮี่ๆ // หนูรักเฮย์โจวค่ะ


5.แจน กิลชูไตน์ 21.22 [175/65] ผลิกโผอีกคนแล้วครัช!!! คนนี้นี่อึ้งหนัก เล่นเอาคนจัดอ้าปากเหวอ ต้องบอกว่ากดเครื่องคิดเลขสามรอบค่ะคนนี้  // ขออภัยแม่ยกแจนคุง บางกว่าเอเลนอ้ะตัวเอ๊งงงงงงงงงง มางายยยยยย มาได้ไง วี้ดวิ้วววววววว นี่มันไม่ธรรมดาเลยนะแจนคุง ที่สองของฝ่ายชายเลยนะ นี่นายบางรองแค่น้องอาร์มินเองเหรออออออ ซ่อนรูปเหรอออ โฮกกกกกก สติแตกไปแล้วค่ะ คนนี้แหล่ะยอมให้เลย สาเหตุมันก็คงเป็นเพราะแจนคุงสูงพอสมควร แต่น้ำหนักนี่มากกว่าหนูเลนแค่สองโลเอง


6.ยูมิล *ยังไม่เปิดเผยนามสกุล* 21.29 [172/63] สูงได้สูงดี =w= หุ่นนางแบบมวาก! ไม่รู้จะแซะอะไรยูมิลจริงๆ เพราะต้องรวบรวมพลังลมปราณไประเบิดใส่คนถัดไป ฮ่าๆๆๆๆๆๆ


7.เอเลน แอ็คเคอร์แมน เยเกอร์ 21.79 [170/63] โฮวกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แห่กลองยาว ในที่สุดน้องลูกหมาเราก็ได้ตำแหน่งแล้วค่ะ ฮูเลฮูเลฮาฮา นี่ไม่มาคำนวณก็ไม่รู้เหมือนกันนะเนี่ยว่าหนูเลนเราก็ถือว่ามีหุ่นพอๆกับหญิงสาวนางแบบข้างบนเลย คว้าอันดับสามในฝ่ายชายค่ะ ความจริงถึงลูกหมาเราจะตัวเล็กแค่ไหน เก๊าก็แอบคิดไว้ว่าคงไม่น่าจะล้มหนูมินได้ ซึ่งก็ไม่ได้จริงๆ ฮ่าๆ แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยค่ะ ว่าจะแพ้แจนคุง ยกให้เป็นช็อกตารางเลยอ่ะ


8.เบลทรูท ฮูเบอร์ 21.97 [192/81] สูงโฮกๆ ไม่รู้จิแซวอะไรกับคนนี้เลย แซวไปเดี๋ยวจิเป็นการสปอยล์ไปซะ แต่แอบชอบคาร์แร็กเตอร์พี่แกอยู่ แถมผลสอบยังดีอีกด้วยสิ


9.มัลโก้ บ็อท 22.09 [178/80] พ่อหนุ่มคนดีที่ด่วนจากไปตั้งแต่ซีซันหนึ่ง แต่ประโยคที่เขาพูดกับแจนคุงยังตรึงใจค่ะ แบบเห็นฉากสองคนนี้ทีไร น้ำตามันจิไหลทุกที TT^TT


10.แอนนี่ เลออนฮาร์ท 23.06 [153/54] คนนี้ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ ฮา แต่เห็นนางตัวเล็กเพราะส่วนสูงนางนี่แหล่ะ แต่น้ำหนักไม่ใช่น้อยๆเลยเจ๊อะ นี่ถ้ามันไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นกล้าม? ไปซะหมด อาจจะดูอวบๆก็ได้


11.โคนี่ สปริงเกอร์ 23.23 [158/58] นี่ก็อีกคน เตี้ยล่ำ แต่เป็นอีกคนที่ไอ้มิยะอยากให้อยู่ไปนานๆเลยค่ะ เพราะรู้สึกว่าเวลามีโคนี่อยู่ในเรื่อง มันทำให้เรื่องนี้ดูซอฟต์ลง แบบ...ผู้ชายตัวเล็ก เตี้ยๆ นี่มันน่ารักเนอะ


12.มิคาสะ แอ็คเคอร์แมน  23.52 [170/68] พอมาถึงท้ายตาราง แอ็คเคอร์แมนก็โผล่ค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ โฮวววววววววววววววว ดรรชนีพุ่งพรวดพราดมาถึง 23 แล้วยังฟิตแอนด์เฟิร์มนี่เชื่อแล้วว่าตระกูลนี้เขาหนักแน่นกันจริงๆ งืออออ  เพราะปลาบปลื้มเป็นบ้าเป็นหลัง สรุปเรื่องนี้ เป็นพระเอกใช่มั้ยเคอะ!! *q*


13.รีไว แอ็คเคอร์แมน 25.39 [160/65] แอ็คเคอร์แมนค่ะ โฮววววววววววววววววววววววว นี่ติดๆกันเลยหรือ 25 นี่ไม่ธรรมดานะเธ้อ! ถ้าเป็นคนปกตินี่ลงพุงขั้นแม็กซ์ไปแล้ว แต่นี่...แต่นี่ โฮววววววววว ถอดเสื้อให้ดูหน่อยได้มั้ยคะ เฮย์โจวคะ คิดไว้แต่ก่อนจัดละ ว่าสองแอ็คเคอร์แมนนี่ต้องรั้งท้ายตาราง แล้วมันก็ผิดซะที่ไหน =q=


14.เอลวิน สมิธ 26.02 [188/92] ป๊ะป๋าเอลวิน สมแล้วแหล่ะ ฮ่า! จะดูแลเหล่าปูในกระด้ง?ได้จนตลอดรอดฝั่ง มันก็ต้องประมาณนี้แหล่ะ เอ่อ...ว่าแต่น้ำหนักนี่...วัดก่อนหรือหลังแขนขาดคะ? // อย่าแซวผบ.


15.ไรเนอร์ บราวน์ 27.75 [185/95] ไม่แปลกใจจริงๆ *[]* ยินดีด้วยกับหนุ่มผู้บึกบึนที่สุดในเรื่อง ฮ่าๆๆ อันที่จริงแล้วดรรชนีมวลกายเรื่องนี้นับว่าสมกับการเป็นทหารสมบุกสมบันกันจริงๆ คือแค่คนเริ่มต้นก็ปาไป 19 กว่าๆ แล้วอ่ะค่ะ แต่เรื่องอื่นที่ไอ้มิยะเคยจัดนี่ เคยลงไปถึง 15-16 นับว่าเป็นร่างกายที่เหมาะสมจะสู้กับไททันจริงๆ >w< b



สรุปอันดับชาย                                     สรุปอันดับหญิง
1.อาร์มิน อัลเรตโต้ 20.70                        1.ซาช่า เบลาส์  19.48
2.แจน กิลชูไตน์ 21.22                            2.คริสต้า แลนซ์ 19.97
3.เอเลน เยเกอร์ 21.79                            3.ฮันซี่  โซเอะ 20.76
4.เบลทรูท ฮูเบอร์ 21.97                          4.ยูมิล 21.29
5.มัลโก้ บ็อท 22.09                                5.แอนนี่ เลออนฮาร์ท 23.06
6.โคนี่ สปริงเกอร์ 23.23                          6.มิคาสะ แอ็คเคอร์แมน 23.52
7.รีไว แอ็คเคอร์แมน 25.39
8.เอลวิน สมิธ 26.02
9.ไรเนอร์ บราวน์ 27.75


เสียดายหน่วยรีไวค่ะ ถ้าหากใครทราบน้ำหนักส่วนสูง เพตโทร่า เอิร์ด กุนเธอร์ ออลโอ้ บอกไอ้มิยะได้นะ เดี๋ยวจัดให้เบย เรื่องอื่นก็จัดได้ อิอิ =w= เอาไว้ฟินเล่นๆ 


เอาไว้เจอกันตอนหน้า...พระนางจะเจอกัน...หรือไม่!?


ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนบล็อก เม้นท์ได้เป็นกำลังใจจ้ะ



Miya



4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ11 สิงหาคม 2557 เวลา 10:25

    สารภาพ...

    ตอนแรกที่อ่านฟิคเรื่องนี้จบแล้วเผลอตะโกนออกมาว่า บ้า
    เพราะแค่อ่านไปแค่ 3 ตอน ก็ทำให้คนอ่านคนนี้หลอน ถึงกับต้องมาเปิดเช็คทุกครั้งที่เล่นคอม

    พูดได้ว่า อ่านเรื่องนี้จบปับ พอไปอ่านเรื่องอื่น (ฟิค Attack อื่นๆ) กลายเป็นว่าอ่านเรื่องไหนๆ ก็ไม่สนุกอีกต่อไปเลย

    เรื่องนี้มีการบรรยายเป็นเลิศ นานๆ ทีจะเจอที... แต่ที่เพิ่งเคยเจอครั้งแรกเลยนะ... ทุกคนเรื่องนี้... เก่ง
    ฟิคแอคแทคส่วนใหญ่ อ่านแล้วเห็นจะมีคนเก่งจริงๆ อยู่ไม่กี่คน อย่างมิคาสะ รีไวน์ บางเรื่องก็แต่งเอเลนเป็นอะไรไปไม่รู้ แล้วยังเรื่องรักษาคาแร็กเตอร์ของตัวละครขอชมจากใจ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังดูหนังอยู่เลย


    เสียดายอย่างเดี่ยว...
    ไม่มา... [ขอร้องไห้แปปหนึ่ง T0T]

    ดังนั้น คุณ Miya สู้ๆ
    อย่างน้อยนักอ่านคนนี้จะคอยให้กำลังใจคุณอยู่เสมอ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. TTvTT อ่านแล้วยิ้มแก้มปริเลยค่ะ ขอบคุณมากๆเลยนะคะสำหรับคอมเม้นท์ ขอบคุณจากใจเลยเช่นกันค่ะ
      ดีใจมากๆจริงๆ คือ ไม่รู้จะกล่าวอะไรนอกจากขอบคุณมากๆเลยค่ะที่ชอบมัน
      ฟิคเรื่องนี้ไม่ได้ตั้งใจดองแต่อย่างใด ฮ่าๆๆๆๆ // มีหน้ามาหัวเราะ แต่ตอนนั้นมิยะหันไปปิดไหฟิคยาวเรื่องหนึ่งมา (SKYFALL) จากนั้นก็มีอีเว้นท์ให้ได้เปิดไหเรื่อยๆ =v= เลยไม่ได้หันมาแต่งเรื่องนี้ต่อเลยค่ะ
      แต่ที่แน่ๆคือไม่ทิ้ง เพราะฟิคเรื่องนี้ได้วางพล็อตเอาไว้แล้ว และองก์ฟิคมันก็ใหญ่มากด้วย คิดว่าทิ้งไปเสียดายแน่ๆ เพราะงั้นช่วยรอคุณหมอน้อยกับคุณตำรวจสุดโฉดอีกสักหน่อยนะคะ

      ฝากผลงานด้วยค่ะ *โค้ง

      ลบ
    2. ไม่ระบุชื่อ14 สิงหาคม 2557 เวลา 18:18

      สารภาพ...

      ฝากเนื้อฝากตัว (และแว่นเตรียมอ่านตาแฉะ)*โค้งตอบ...
      เราจะรอนะ

      คุณ Miya สู้ๆ [=0=]!!

      ลบ
  2. นกน้อยบินออกจากกรงแล้ว ยินดีกับน้องเลนด้วยครับ! แต่ผบ.เอลวินนี่น่ากลัวจริงๆ ถ้าพระเอกไม่มาเจอกันเร็วๆนี้เหมือนเอเลนจะโดนท่านผบ.งาบเลยครับ ตื่นเต้นแทน การเปิดตัวทำงานหน้าฉากและปฏิบัติงานจริงครั้งแรกของน้องจะเป็นยังไง ต้องไปเจอตำรวจอังกฤษที่ถูกบอกว่าใจดี(ตรงไหน)นั่นอีก เอเลนสู้ๆน้า(โบกธงอวยเด็กออกนอกหน้า)

    ตอบลบ