หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Au.Fic KHR 8059 [Yamamoto X Gokudera] SKYFALL-NEGOTIATION- : 07



Project : Happy birthday P’Kwang [WAKETSU] 12.01.13
Au.Fic KHR 8059 [Yamamoto X Gokudera]
Drama comedy!? (มันอะไรกันล่ะนั่น!)
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
และอีกอย่าง ฟิคเรื่องนี้มัน...เว่อร์ได้โล่ วิปริตหน่อยๆ โรคจิตเล็กน้อย สาระค่อนข้างตกตะกอนนอนก้น
ขอให้มีความบันเทิง....ปรารถนาดีจาก Miyaจ้ะ *v*



SKYFALL : 07



หลังจากที่โกคุเดระได้เข้าเจรจากับแดชีลล์ 1 ชั่วโมง

ย่าน Place du Molard

เด็กหนุ่มร่างสูงสวมเชิ้ตสีดำก้าวขาลงจากแท็กซี่พร้อมกับเลขาคนสนิท สายตากว้านหาร้านค็อกเทลตามหมายนัดทางโทรศัพท์กับ เคลล์แมน มาร์ตัน นักธุรกิจจากฮังการี ต้องบอกว่าในขณะที่โกคุเดระเจอศึกหนักทั้งก่อนและหลังออกจากมุ้ง ทางเขาเป็นงานง่ายกว่าเยอะ แทบไม่ต้องลงทุนหาข้ออ้างนัด แค่บอกว่าทำตามคำพูดของท่านประธานเครือโกคุเดระเมื่อวานนี้ที่เลาจ์...อยากพบปะสังสรรค์เป็นการส่วนตัวเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลทางธุรกิจกันนิดหน่อย เคลล์แมนก็รีบเซย์เยสแล้วบอกสถานที่มาทันที

แต่คำเตือนของโกคุเดระก็ทำเขาหวาดระแวงไม่น้อย พวกชุดสูทดำพกปืนออโตเมติกสองคนอย่างต่ำคงตามติดเหยื่อของเขาอย่างกับปลิง มันดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลกับเขาและเฟร็ดดอริกที่มามือเปล่าเลย....ว่าไหม

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองป้ายชื่อร้านแล้วก้าวเข้าไปอย่างไม่รอช้าและไม่มีการตรวจบัตรประชาชน แต่เขาก็ชินแล้วกับสายตาพวกดอร์แมนของผับที่ไหนๆก็พากันบอกว่า ไอ้หนุ่มนี่คงไม่ต่ำกว่ายี่สิบสี่ ก็คงต้องขอบคุณโรคเครียดอ่อนๆ ประจำตัวที่มันทำให้หน้าเขาโกงอายุได้...ถ้าจำไม่ผิด เขาเข้าผับครั้งแรกกับเพื่อนม.ปลาย แล้วบุคลิกท่าทาง การแต่งตัว การมีเค้าหน้าแบบเอเชีย รวมถึงการพูดจาก็พาผ่านคนตรวจบัตรฉลุย ทั้งๆที่ตอนนั้นเพิ่งจะสิบสอง

บรรยากาศเมื่อพ้นประตูทำให้เขาแปลกใจนิดหน่อย เพราะถึงแม้จะเป็นตอนกลางวันแต่ร้านค็อกเทลก็ยังมีคนมานั่งดื่มกันหนาตา ซ้ำยังตกแต่งสไตล์คาวบอยทั้งๆที่นี่คือประเทศในยุโรปตะวันตก มีหัวกะโหลกสัตว์แขวนแทนกรอบรูป แล้วใช้พวกหนังวัวป่ามาประดับแทนม่านแต่สามารถปิดกั้นแสงแดดได้ดีเยี่ยม ข้างในมันเลยค่อนข้างสลัว ดูฮาร์ดคอร์เข้ากันดีกับพวกโต๊ะไม้ไม่ลงแล็กเกอร์

แต่เด็กหนุ่มร่างสูงไม่มีเวลามานั่งเก็บเกี่ยวบรรยากาศมากไปกว่านั้น แล้วจำต้องเมินสายตาหวานเยิ้มของสาวนั่งดริ๊งค์สวมมินิสเกิร์ตในชุดคาวบอยเกิร์ล เพราะวันนี้ธุระของเขามีเพียงแค่กับคนที่นั่งอยู่ข้างในสุดของร้าน ที่กำลังชูแก้วเรียกเขานั่นแหล่ะ...

ยามาโมโตะส่งสัญญาณมือให้เลขาคนสนิทแยกตัวไปนั่งอีกทาง...เพราะการคุยกันที่ดี ไม่ควรทำให้บรรยากาศอึดอัด แล้วถ้าวันนี้แขกของเขาอารมณ์ไม่ดี เขาคงไม่ได้ข้อมูลแน่

“แหม...เคาท์เตอร์เลยเหรอครับ” ทักจบ เด็กหนุ่มก็เลื่อนเก้าอี้ทรงกลมขาสูงแล้วนั่งลง ส่งยิ้มนิดๆให้กับบาร์เทนเดอร์สาวสวยแล้วเอ่ยชื่อเครื่องดื่ม “ตากีนี่ (Tequini)” เชื่อไหม...ว่าเขาต้องได้ผลไม้เชื่อมสองชิ้น

“ขอบคุณที่ให้โอกาสผม ท่านประธานยามาโมโตะ” ชายสูงวัยกว่ายื่นมือออกมาให้จับ ซึ่งเด็กหนุ่มก็ตอบรับด้วยความยินดี ใครจะไปรู้ รอยยิ้มของเขาอาจทำให้คนชุดดำที่ยืนคุมเชิงอยู่โน่นตายใจว่าเขาไม่ได้มาร้ายก็ได้

เคลล์แมนชวนเขาคุยอยู่หลายเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่จะถามเกี่ยวกับโปรแกรมที่วางแผนไว้ หรือภายภาคหน้าเขามีโปรเจคจะทำอะไร ซึ่งเขาก็ตอบกลางๆไปตามภาษา บอกยังไม่ตัดสินใจบ้างเพราะต้องปรึกษากับคุณพ่อ แต่พอเรื่องมันวนเวียนอยู่กับเขา ที่ไม่พ้นเป็นประเด็นเลยก็คือกรณีการยกเลิกสัญญาหุ้นส่วนกับเครือโกคุเดระ ซึ่งเขาก็บอกปัดๆไปว่าเปิดโอกาสให้เราสองฝ่ายได้มองธุรกิจอย่างอื่นบ้างจะดีกว่า แต่ก็ยังช่วยเหลือกันเมื่อยามเดือดร้อน ผ้าเช็ดหน้าเมื่อวานยังเป็นข้อยืนยันให้ได้อยู่

แน่นอนว่าไม่ได้พูดเรื่องการดูตัว ในเมื่อเขาเป็นคนปล่อยข่าวเอง เขารู้อยู่ว่าเขาให้ข่าวอย่างไร แล้วไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะอย่างนั้นเรื่องฉาวๆให้เป็นขี้ปากชาวบ้านอย่าง คุณหนูใหญ่ตระกูลโกคุเดระสลัดรักท่านประธานยามาโมโตะหรือ ประธานบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียปฏิเสธหญิงสาวผู้เพียบพร้อมจากตระกูลโกคุเดระหรืออย่างแย่ที่สุดก็เป็นประมาณ สเป็คของยามาโมโตะ ทาเคชิไม่ใช่ผู้หญิง เขาไม่มีวันให้เกิดขึ้นเด็ดขาด เพราะทุกวันนี้เขาก็ยังสนผู้หญิง...เพียงแต่คนที่อยู่เหนือคำว่าสนใจมีเพียงคนเดียว...และเป็นผู้ชาย แค่นั้น

ส่วนตอนนี้เคลล์แมนกำลังดื่มด่ำกับวอดก้า กิ๊บสัน บทสนทนาเลยเงียบไป แล้วถ้าเขาไม่เริ่มบ้าง มันคงจะไม่ไปไหนสักที

“ช่วงนี้กำลังจะเข้าฤดูใบไม้ผลิ พวกแบรนด์ชั้นนำก็กำลังแข่งกันออกคอลเล็คชันนะครับ ทั้งกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า น้ำหอม” ยามาโมโตะเริ่มชวนคุย บนใบหน้าหล่อเหลาแสร้งเจือรอยกังวลอย่างถ่อมตัว “พอต้นซีซันทีไร คู่แข่งผมเยอะทุกที”

“เป็นถึง The Best ยังกลัวอีกเหรอครับ แต่แฟชันมันก็ไม่เข้าใครออกใครจริงๆ มาไว ไปไว” น้ำเสียงของชายจากฮังการีเต็มไปด้วยความเห็นใจ

“ครับ...ไม่เหมือนไวน์” เด็กหนุ่มรับ เข้าเรื่องธุรกิจของอีกฝ่ายอย่างจงใจ “ธุรกิจแบบนี้ก็ดีนะครับ ไม่ต้องกังวลเรื่องฤดูกาลด้วย ซื้อขายได้ทุกโอกาส แถมตัวเอ้ที่ผลิตเครื่องดื่มแบบนี้ก็ยังมีน้อย...แต่ผมประทับใจไวน์ที่คุณหมักมากเลยนะ เคยดื่มอยู่สองสามครั้งตอนมาสัมมนาที่เวียนนาปีที่แล้ว...”

“เป็นเกียรติมากเลยครับที่ชอบ!” เคลล์แมนตาวาว กุลีกุจอรับขวดไวน์มาจากลูกน้องที่ยื่นให้อย่างรู้งาน“ขวดนี้เป็นตัวใหม่ที่ผมบ่มเองกับมือ ถ้าไม่รังเกียจช่วยรับไปด้วยนะครับ รับรองจะติดใจ”

เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง...นั่นแหล่ะที่ต้องการ

“อ๋อ ขอบคุณครับ” พอรับวัตถุทำจากแก้วห่ออย่างดีด้วยกระดาษสาเนื้อหนา ก็จัดการแกะเชือกที่คอขวดเปิดห่อออกเล็กน้อย พิจารณาเพียงชั่วครู่....เหมือนเป๊ะกับขวดที่ให้ตาแก่สตีเฟน ถึงขั้นนี้ก็ต้องบอกว่าเขาเล็งเป้าถูกล่ะนะ

เขาขยับขวดไวน์ไปข้างๆเพื่อรับค็อกเทลสีใสจากบาร์เทนเดอร์สาว กระตุกยิ้มมุมปาก...เขาได้ผลไม้สองชิ้นจริงๆ

เด็กหนุ่มยกแก้วขึ้นจิบ แล้วว่าต่ออย่างสบายๆ

“ทางแถบเอเชียก็มีตลาดไวน์อยู่บ้าง แม้จะไม่บูมเท่ายุโรป อย่างอินเดียนับว่ามีการผลิตไวน์ที่น่าสนใจพอดูเลยนะครับ มีการผสมผสานสายพันธุ์องุ่นหลายชนิด เคยขยายกลุ่มลูกค้ามาที่ยุโรป แล้วตอนนี้กำลังตีตลาดในออสเตรเลียและรัสเซีย  จีนกำลังจับมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในฝรั่งเศส ได้เปรียบเรื่องเนื้อที่การผลิตมากกว่าชนชาติอื่น ส่งขายไปทั่วทั้งอเมริกาเหนือ หรือแม้แต่ญี่ปุ่น ก็มีหัวเรี่ยวหัวแรงอยู่แถวยามานาชิและนางาโนะ มีสายพันธุ์ขององุ่นที่ผสมเองด้วย”

“ว้าว!” เคลล์แมนร้อง ดวงตาเป็นประกายด้วยความชื่นชม “คุณรู้ละเอียดจริงๆ ผมเคยไปดูพื้นที่การผลิตอยู่บ่อยครั้งในจีน แต่ยังชั่งใจอยู่เพราะกลัวว่าไวน์ขาวของ Oremus จะไม่ค่อยเป็นที่นิยมของคนเอเชียน่ะ”

“มันแล้วแต่คนชอบครับ คุณมาร์ตัน” ยามาโมโตะให้ความเห็นไปอย่างสุภาพ คล้ายๆปลอบใจอยู่ในที “ถ้าอยากรู้เรื่องตลาดไวน์ในเอเชียให้ลึกกว่านี้ ผมมีช่องทางติดต่อเอเย่นต์หลายรายที่มาขายกับทาง The Best ส่วนผมก็รู้เพียงแค่นั้นล่ะครับ ไปฟังเค้าเล่ามาอีกทีนึง แต่ถ้าเป็นประโยชน์กับคุณได้...ผมก็ยินดี”

เด็กหนุ่มฉีกยิ้มอย่างมีไมตรีอย่างถึงที่สุด แต่เล่าเรื่องจริงเคล้าเท็จไปซะอย่างละครึ่ง ส่วนเรื่องที่มาของแหล่งข้อมูลน่ะเท็จล้วนๆ เขาเคยคุยกับพวกนายหน้าค้าของเมาพวกนั้นที่ไหน เพิ่งไปหามาจากอินเทอร์เน็ตเมื่อเช้านี้เอง แต่ก็นะ...จะต้อนแล้ว มันต้องต้อนให้จนมุม...

“เอ้อ...อยู่ไหนนะ...นามบัตร...” ยามาโมโตะแสร้งค้นหาในสมุดสะสมของตนเอง แต่ก็โดนเบรกเอาไว้ก่อน

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่รบกวนดีกว่า”

ยามาโมโตะร้องบิงโกในใจ นั่นแหล่ะ...จนมุม

“อ้าว ทำไมล่ะครับ” เด็กหนุ่มแกล้งถามอย่างสงสัยสุดๆ “ไม่สนใจเหรอครับ”

“เปล่าครับ แต่ตอนนี้ผมกำลังมีโปรเจคใหญ่อยู่แล้วน่ะ ดูท่าว่าถ้าไม่ทุ่มสักหน่อยคงรอดยาก เพราะตลาดมีคู่แข่งเยอะ ซ้ำสินค้ายังเป็นที่โด่งดัง แถมนักดื่มก็รสนิยมสูง” ชายชาวฮังการีเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจและมีรอยยิ้มเกร็งๆบนหน้า แต่ที่เขาพูดมานั่นก็พอจะสรุปได้แล้ว ตลาดต่อไปที่เคลล์แมนคิดจะขยายก็คงไม่พ้น...ฝรั่งเศส ที่ๆไวน์ป็อบปูล่าแถมแพงสุดๆ แล้วศูนย์กลางการจำหน่ายแน่นอนว่าต้องเป็น เบธิลด์ ทาวเวอร์ สาขาใหญ่ปารีส

ที่พูดออกมาแบบนั้นคงจะมั่นใจแล้ว ว่าตัวเองต้องได้เบธิลด์ไปแน่ๆ

“แหม..ยินดีด้วยนะครับ ผมเชื่อว่าอย่างคุณมาร์ตัน แม้แต่โรมาเน กองติก็คงต้องหลบทางให้” เขาหยอดไปอีก เอ่ยชื่อไวน์ติดอันดับโลกเชื้อชาติฝรั่งเศสอย่างจงใจ

“ขอบคุณครับ แต่ยังไม่ฝันไกลถึงขั้นล้มกองติหรอก แค่สูสีกับโซวีญอง บลองก์ผมก็ดีใจมากแล้ว” คนสูงวัยกว่ายิ้มเขินๆ เอ่ยแก้อย่างไม่ถือตัว แต่ก็ไม่รู้เลยว่าได้รัดคอตัวเองเรียบร้อยแล้ว

แค่นี้คงจะพอ ยามาโมโตะคิดกับตัวเอง

เด็กหนุ่มดูนาฬิกา ซึ่งมันก็สมควรแก่เวลา และเขาก็ได้ข้อมูลที่เพียงพอแล้ว เขาคว้าแบงก์ฟรังก์สองสามใบวางบนเคาท์เตอร์ จำนวนมูลค่าให้มากกว่าราคาตากินี่ของตนเองอยู่โขเป็นนัยว่าจ่ายให้เคลล์แมนด้วย ในเมื่อมาดีก็ต้องดีให้ตลอดรอดฝั่ง นั่นเป็นนโยบายของเขา...อย่างน้อยๆก็ให้พ่อค้ามือสะอาดคนนี้ได้เห็นวิถีของคนธรรมดาก่อนจะก้าวขาไปเผชิญกับอีกโลกหนึ่ง

เพราะไม่ว่าผลมันจะเป็นยังไง...ใครจะแพ้ ใครจะชนะ แต่เคลล์แมน ก็คงจะไม่ได้กลับออกมาง่ายนัก

“ผมต้องไปแล้ว ขอให้โชคดีครับ คุณมาร์ตัน” เด็กหนุ่มยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้าย

ท่านประธาน The Best คว้าขวดไวน์ที่ได้รับเป็นของกำนัลแล้วเดินกลับออกมาจากร้านพร้อมกับเฟร็ดดอริก ก้มมองมันในมืออีกครั้งแล้วพลิกไปมา บรรจุภัณฑ์สวย ไวน์ใสไร้ตะกอน แม้แต่ฉลากก็ออกแบบอย่างประณีต ดูก็รู้ว่าผู้ผลิตเอาใจใส่กับมันมากแค่ไหน เขายิ้มให้ ไม่รู้ว่าจะรู้สึกยังไงดีระหว่างสงสารกับสมเพช เท่าที่คุย เคลล์แมน มาร์ตันเป็นแค่พ่อค้าคนหนึ่งที่อยากให้ธุรกิจตัวเองเจริญรุ่งเรือง มีความอยากได้อยากมีตามประสาคนในวงการนี้ แต่ก็รู้จักทำอะไรเองอย่างน่านับถือ ค่อนข้างหัวอ่อน...แล้วก็บ้ายอด้วย

ถูกล่อลวงเด็กหนุ่มร่างสูงสรุปสาเหตุในที่สุด

แต่ยามาโมโตะเองก็ไม่ใช่คนดีที่พอมาเจอเรื่องแบบนี้ก็จะโทษว่าฝ่ายที่ไปหลอกคนอื่นนั้นผิด เขาอยู่มาในวงการนี้ เคยเจอทุกรูปแบบ เคยแม้กระทั่งเป็นคนทำเอง ความจริงต้องบอกว่านักตกปลาไม่รู้หรอกว่าจะมีปลาตัวไหนมาติดเหยื่อ ทำได้อย่างดีที่สุดคือการเสาะหาแหล่งปลาชุมแล้วเหวี่ยงฮุกลงไป ถ้าโชคดีเบ็ดก็จะกระตุก แล้วเผอิญว่าเคลล์แมนเป็นคนกระตุกสายเบ็ดของสตีเฟนก่อนใคร ซึ่งยามาโมโตะก็อดยอมรับไม่ได้ว่าตาเสือเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นได้ปลาตัวใหญ่เลยทีเดียว

ฝรั่งเศสเป็นราชาแห่งการผลิตไวน์ ยิ่งถ้าได้ผูกไมตรีกับตลาดใหญ่ใจกลางกรุงได้แล้ว มันยิ่งกว่าติดปีกบิน นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เคลล์แมนมาประมูลเบธิลด์ ทาวเวอร์ แล้วก็คงอยากได้มันจนตัวสั่น

แต่ปลาหิวเหยื่อมากๆ ก็ยิ่งติดเบ็ดง่าย...มันเป็นสัจธรรม

พลันความคิดก็หยุดชะงักลงเมื่อมีพาหนะสีดำเป็นมันปลาบแล่นผ่านหน้าเขาไป ยามาโมโตะมองตาม เพราะว่านี่เป็นเขตตัวเมือง รถค่อนข้างเยอะ เลยทำให้เขาทันเห็นผู้โดยสารชัดเจน และผู้โดยสารที่ว่านั่นก็นั่งกันไปเต็มทั้งสองคัน คันละห้าคน สวมเครื่องแต่งกายสีทะมึนไม่ต่างจากรถ กลุ่มบุคคลที่เขาคุ้นตาดีเพราะตามติดอยู่กับเจ้าของแมคคาร์ทีคอปเปอร์เรชันตลอดสองวัน

“ลูกน้องของสตีเฟนนี่ครับ” เฟร็ดดอริกเอ่ยขึ้นเรียบๆแต่เต็มไปด้วยความสงสัยไม่ต่างจากเจ้านาย เขาหรี่ตา ยิ่งสงสัยมากขึ้นเมื่อเห็นทิศทางที่พวกมันมุ่งหน้าไป

“ทางไปสนามบินกาแตร็ง”

สิ้นคำเปรยของเลขาคู่ใจดวงตาคู่คมสีเปลือกไม้เบิกกว้างขึ้น เหตุผลที่ทำให้ลูกน้องของสตีเฟนตรงดิ่งกันไปสนามบินอย่างต่ำสิบคนค่อยๆไหลเข้ามาในหัว ตอนนี้งานยังไม่เสร็จแท้ๆ ยังไม่ได้ประมูลเลยด้วยซ้ำ แล้วสตีเฟนก็น่าจะอยู่ที่โรงแรม ถ้าอย่างนั้นลูกน้องของหมอนั่นมาเพ่นพ่านกันอยู่แถวนี้ได้ยังไง ซ้ำสตีเฟนไม่ได้มาด้วย...ไม่ใช่คำสั่งของหมอนั่นแน่...แต่อาจจะเป็นเบื้องบน...

พอคิดมาถึงจุดนี้หัวใจก็ยิ่งเต้นถี่หนัก เพราะปลายทางที่พวกนั้นจะไปสว่างวาบอยู่ในหัว แล้วมันมีอยู่ที่เดียว

“เฟร็ดดอริก นายรีบจับเที่ยวบินไปปารีส...เดี๋ยวนี้เลย!” เลขาคนสนิทของเขาชะงักไปนิดกับคำสั่งเร่งด่วนแล้วยังเฉียบขาดเป็นเชิงไม่ให้ถามใดๆทั้งสิ้น ส่วนตัวเขาก็คว้าโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง กดหมายเลขปลายทางแล้วท่องอย่างร้อนรน

“รับสิ รับสิ รับสิ รับโทรศัพท์หน่อย โกคุเดระ!





“เอาจริงเหรอเนี่ย!” ชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสร้องออกมาอย่างไม่เชื่อหูเมื่อฟังแผนการจบ ทำให้คนเล่าต้องพยักหน้าย้ำว่าทุกอย่างที่เขาเล่าเป็นเรื่องจริง แล้วโกคุเดระพอจะเดาปฏิกิริยาของแดชีลล์ออกอยู่ ดูท่าแล้วที่หมอนี่ตกใจผสมกลัวคงไม่ใช่ว่าเขาจะหาเรื่องตายโดยเดินไปเข้าปากตาแก่สตีเฟน แต่คงเป็นเรื่องการแกล้งทรยศยามาโมโตะ

คงไม่คิดว่าโลกนี้จะมีคนกล้าเป็นศัตรูกับเครือของ The Best ...ต่อให้เป็นแค่การเล่นละครก็เถอะ เขายังแอบเสียวสันหลังวูบๆ ไม่ได้เลย เพราะเป็นครั้งแรกล่ะมั้ง...ที่พูดว่าจะหักหลังหมอนั่นอย่างเต็มปากเต็มคำ
            
“ก็บอกแล้ว ว่าฉันเลือกไม่ได้ นายก็น่าจะเข้าใจอยู่นะ...เวลาจำกัดแบบนั้น เราไม่มีเวลาคิดถึงสิ่งที่สมบูรณ์แบบ...คิดว่าทำยังไงให้รอดก็พอ”

แล้วทำแบบนี้มันจะรอดมั้ยแดชีลล์ครวญในใจ อยากยกมือมาแปะหน้าผากตัวเองให้หายเครียดก็กลัวว่ามันเสียมารยาทเกินไปหน่อย เลยทำได้แค่ถอนหายใจยาว เหลือบตามองคนที่กล้าคิดเรื่องแบบนี้ ว่าคนคิดสติไม่ปกติแล้ว คนยอมรับอย่างเพื่อนเขายิ่งไม่ปกติกว่า แล้วสุดท้ายคนสมรู้ร่วมคิดอย่างเขานี่สิ จะไม่ปกติที่สุด

“เจ้ายามาโมโตะปล่อยนายมาได้ยังไง”

“ไม่รู้” ร่างบางยักไหล่ “เห็นหมอนั่นเป็นคนไม่ชอบเสียเปรียบแบบนั้น แต่ก็เป็นคนรักษาสัญญานะ ข้อแรก คนที่เป็นฝ่ายเสนอให้ฉันเป็นพันธมิตรด้วยก็คือหมอนั่น แล้วฉันก็บอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องทำตามแผนของฉัน ข้อสอง ฉันว่าข้อนี้คงสำคัญที่สุด ขอแค่แย่งเบธิลด์มาจากสตีเฟนได้ก็พอ แต่เราสองคนไม่ได้ตกลงกันว่าใครจะเป็นฝ่ายได้ นั่นหมายถึงฉันหรือหมอนั่นก็ได้...ถูกมั้ย”

ดวงตาคมหรี่ลง...นั่นหมายถึงกลายเป็นการแข่งขันระหว่างยามาโมโตะกับโกคุเดระสินะ

“นี่เป็นแค่เรื่องตบตาสตีเฟน...หรือนายคิดจะหักหลังหมอนั่นจริงๆ” แดชีลล์ถามกลับทันทีโดยไม่ทันให้เด็กหนุ่มร่างบางได้ตั้งตัว ดวงตาสีฟ้าอมเทาคาดคั้น แต่ต่อให้ยิ่งจ้อง สิ่งที่ได้กลับมาก็มีแค่สายตาว่างเปล่า ในที่สุดเด็กหนุ่มร่างบางก็ยิ้มออกมา

“ฉันเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่นักสังคมสงเคราะห์ ที่สนใจก็มีเฉพาะการแลกเปลี่ยนและผลประโยชน์สูงสุดที่โกคุเดระจะได้รับเท่านั้น...ซึ่งหมอนั่นเองก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรสำคัญกับเขาไปมากกว่าการเป็นจุดสูงสุด...หมอนั่นทิ้งได้ทุกอย่างเพื่อแลกกับการทำให้ The Best เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลกนี้จริงๆ”

พอพูดแล้วก็รู้สึกโหวงเหวงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ บทสนทนาของเด็กวัยเก้าขวบสองคนลอยเข้ามาในหัวเขา เพราะตั้งแต่ตอนนั้น...ดวงตาของหมอนั่นมองแต่ข้างหน้า...ไม่หวาดกลัวความเวิ้งว้างและเดียวดาย จับจ้องเพียงแค่จุดหมายของตนเอง ไม่สนใจสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่รอบๆ...ข้างซ้าย...ข้างขวา หรือข้างหลัง.....

โกคุเดระเงียบไปนิด แล้วว่าขึ้นใหม่ด้วยน้ำเสียงร่าเริงกว่าเก่า แม้มันจะฟังดูฝืนๆ “นายไม่ต้องห่วงเรื่องที่ฉันจะทรยศยามาโมโตะจริงๆหรือเปล่า เพราะมันก็ไม่แปลกอะไรถ้าจะเกิดขึ้น...แต่ถึงตอนนั้น เพื่อนคนเก่งของนาย...อย่างท่านประธานแห่ง The Best น่ะ...ไม่มีทางปล่อยให้ใครมาตลบหลังง่ายๆหรอก”

“เฮ้อ....” เสียงถอนหายใจที่โกคุเดระไม่คิดจะได้ยินจากชายหนุ่มเบื้องหน้า แถมใบหน้าหล่อเหลายังมีรอยเอือมระอาอยู่ด้วย “พอไม่ใช่เรื่องงาน พวกนายสองคนงี่เง่าพอๆกันเลย แต่ก็ช่างเถอะ! ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันนี่”

ดีมาก คำพูดสุดท้ายนั่น โกคุเดระอยากได้ยินที่สุดเลย

“ใช่ จบเรื่องของฉัน ว่าต่อด้วยเรื่องของนาย พอได้ทบทวนแผนแล้ว ฉันพอจะคิดอะไรบางอย่างเข้ามาในหัวได้...เดเมียน เลอรอยด์ พ่อของนาย”

“พ่อของฉันทำไม”

“ก็ฉันยังไม่รู้น่ะสิ ว่าเขาเป็นหมากขาวหรือหมากดำ” เด็กหนุ่มตอบตรงๆ “ฉันไม่อยากสงสัยพ่อนายนะ แต่ที่ฉันบอกนายไปมันคือวิธีการปกติที่สตีเฟนน่าจะทำ แต่นายก็รู้ว่ามันยังมีแผนการไม่ปกติ นายไม่ได้อยู่กับพ่อนายตลอดเวลา นายกล้ารับประกันไหมว่างานประมูลนี้ไม่ได้ถูกจัดเป็นฉากหน้า แต่ที่จริงแล้วเดเมียนได้ขายเบธิลด์ ทาวเวอร์ให้กับสตีเฟนเรียบร้อยแล้ว นายไม่รู้ ฉันไม่รู้ ไม่มีใครรู้ว่าเราแพ้มาตั้งแต่ต้น”

“ไหวพริบนายดี แต่เดาผิดไปอย่าง” ชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสยกยิ้ม แล้วแก้ไขเรื่องที่บอกว่าเขาเดาผิด “ฉันรู้”

“โอเคเลย” โกคุเดระลากเสียงยาวตอบรับ สมควรจะดีใจแต่ตอนนี้ชักไม่สบอารมณ์ ขมับเต้นหนึบๆเป็นลางสังหรณ์ส่วนตัว “กรุณาบอกด้วยว่ารู้อะไร” ร่างบางเอ่ยเสียงเขียว

“เป็นอย่างที่นายกลัว เมื่อเดือนที่แล้วมีเงินจำนวนห้าสิบล้านดอลลาร์สหรัฐโอนมาที่บัญชีหลักของบริษัท ตีเป็นเงินยูโรก็ประมาณสามสิบหกล้าน ระบุชื่อบัญชีผู้ส่งเป็นของแมคคาร์ทีโดยตรง ตอนนั้นวุ่นวายพอดู พวกผู้บริหารตื่นตระหนกกันใหญ่ มีทั้งคนเชื่อและคนไม่เชื่อ จนกระทั่งพ่อของฉันออกมายืนยันว่าเป็นเลขที่บัญชีของแมคคาร์ทีคอปเปอร์เรชันจริง ถึงได้เริ่มจัดการกันสักที”

“แล้วพ่อนายทำยังไงกับเงินนั่น!” โกคุเดระรีบถามต่อ

“ไม่ได้แตะต้อง ปล่อยทิ้งไว้เฉยๆในบัญชี แล้วเร่งการจัดการประมูลให้เร็วขึ้น ซึ่งทางสตีเฟนเองก็ไม่ได้คิดอยากทำเรื่องโจ่งแจ้งไร้หัวคิดแบบนี้เท่าไหร่...มันแค่ขู่ แล้วเงินสามสิบหกล้านนั้นก็เหมือนเป็นการจอง”

“ให้ตายสิ...” เด็กหนุ่มร่างบางสบถอุบ ทิ้งหลังตัวเองลงกับโซฟา ไถลตัวให้เอนไปอีกโดยไม่สนเรื่องการวางมาดหรือมารยาท หวังให้เลือดมันไหลไปเลี้ยงหัวบ้างสักนิดก็คงจะดี เพราะตอนนี้คำหลายคำกำลังตีรันฟันแทงกันมั่วไปหมด เงิน เดเมียน เคลล์แมน ข่มขู่ อะไรอีกล่ะ ความกลัวของเดเมียน ความบ้าของบอสตาแก่แมคคาร์ที และแน่นอนว่ามันต้องมี แผนการ การหักหลังปลอมๆของเขา พันธมิตรที่เชื่อใจไม่ได้อย่างยามาโมโตะก็ผุดขึ้นมาด้วย ในหูได้ยินเสียงวิ้งๆ เหงื่อชื้นซึมตามฝ่ามือ ข้อพับและขมับ หายใจไม่ค่อยสะดวก หัวคิ้วปวดหนึบ มันไม่ได้เป็นบ่อยนัก ความจริงคือหลังจากเรื่องของสตีเฟนเมื่อสี่ปีก่อน มันก็ไม่เคยปรากฏอาการอีกเลย

เขารู้ดี ว่าอาการแบบนี้เรียกว่าอะไร

ชัดเจน เขากำลังสติแตก

โกคุเดระเบื่อตัวเองเวลาสติแตกอย่างนี้ที่สุด แต่เขาไม่ใช่พวกที่อยู่ในสถานการณ์วิกฤติแล้วจะร้องออกมา มันเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ข้างในจนเคยนิสัย เรื่องเก่าเรื่องใหม่มันจะวิ่งชนกันให้วุ่น แล้วตอนนี้เขาไม่ได้ใจเย็นพอที่จะนั่งนิ่งๆแล้วจับเรื่องราวกระจัดกระจายนี่ให้มันเป็นระเบียบตามเดิม

ปล่อยมันไปก่อน ตอนนี้ต้องคิดประเด็นเดเมียน เขาสะกดจิตตัวเองอย่างนั้น ใช้คำว่า สะกดจิตนั่นแหล่ะถูก เพราะตอนนี้สติเขาไม่ค่อยจะมี

อย่างแรก โลกนี้ไม่มีใครเป็นคนดีได้ตลอด คนเราก็ต้องเลวกันบ้าง ถ้าสัญลักษณ์ความเลวคือสีดำ แน่นอนว่ามันจะเด่นชัดในที่สว่าง เพราะงั้นเวลาจะทำเรื่องเลวๆมันถึงต้องไปหามุมมืด ที่แดชีลล์พูดกับเขาก็คือสิ่งที่รู้ แล้วที่ไม่รู้ล่ะ ที่ไม่เห็นล่ะ โดยเฉพาะไอ้การจองฉาวโฉ่นั่น รู้ได้ไงว่าไม่มีเบื้องหลังมากกว่าการขู่

เรื่องแบบนี้หาสถานการณ์สมมติได้ไม่ยาก เคยไปซื้อของที่คนแย่งกันอย่างชุลมุนใช่ไหม ตอนนั้นหัวของคุณก็คิดทุกอย่างที่จะได้ของเร็วกว่าคนอื่น วิธีแรกเลยก็คือพยายามดันตัวเองให้ไปอยู่แถวหน้าสุด ตระโกนสั่งไปพร้อมกับจ่ายเงินเสร็จสรรพ โดยประมาณเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของคนขายไม่เคร่งเรื่องการมาก่อนหลัง เขาลัดคิวให้คุณแน่ๆ

เรื่องนี้ก็คล้ายๆกัน

รับประกันได้ไหมว่าเดเมียนที่ดูใจดีมีศีลธรรมคนนั้นจะไม่ตาวาวกับเงินสามสิบหกล้านยูโรที่ได้มาง่ายๆเหมือนถูกลอตเตอรี่ หรือถ้าเดเมียนเป็นคนดีที่หาได้ยากจริงๆ....มันก็ต้องลุ้นกันอีกทีว่าจะยังเป็นพ่อพระอยู่หรือเปล่าถ้าต้องนั่งคุกเข่าต่อหน้าปากกระบอกปืน

เขาไม่ได้เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย แต่ตอนนี้ต้องบังคับตัวเองให้มองโลกในทุกๆทาง คาดไปถึงสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุด แต่ถ้ามันเป็นอย่างกรณีสุดท้าย นั่นถือว่าวิกฤติ ซึ่งเขายังคิดเข้าข้างตัวเองว่าบอสของสตีเฟนไม่ใจร้อนขนาดนั้น พวกมันต้องรอผลการประมูลก่อน และต่อให้แพ้จริงๆก็คงจะเข้าเจรจากับผู้ชนะ อีกหลายสเต็ปที่จะชักปืนขึ้นมาเป็นข้อต่อรอง เพราะงั้นตอนนี้สตีเฟนคงยังโอ๋เดเมียนเหมือนแขกคนพิเศษหรือพระราชา เสนอนู่นเสนอนี่ให้ เอาใจสุดชีวิต แล้วสุดท้ายมนุษย์ ร้อยทั้งร้อย แพ้คนปากหวานกับกิเลสของตัวเอง

เฮ้อ...นี่เขาคิดเล่นๆนะ มันจะโผล่หางออกมามั่งไหม ขอสักอย่างก็ดี เหมือนอย่างในหนัง ที่ตัวร้ายใจร้อนทนไม่ไหวทำเรื่องฉาวๆแล้วมีคนจับได้ เมื่อเอาหลักฐานไปยื่นต่อหน้าก็เลยโดนปรับแพ้ ตัวเอกก็ชนะไปอย่างงดงาม แฮปปี้เอนดิ้ง

เด็กหนุ่มไถลตัวลงอีกนิด มือล้วงกระเป๋ากางเกงแต่ไม่ใช่แค่ล้วงเปล่าๆ กดปุ่มบนรีโมทที่พนักงานสาวให้เขามาก่อนเข้าห้อง สวัสดิการพิเศษจากท่านประธาน The Best นั่นแหล่ะ แล้วก็เรียกได้ว่าสมคุณภาพ เพราะไม่ถึงนาทีก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พนักงานสองคนเดินเข้ามาในห้องทันทีโดยไม่ต้องรอฟังคำอนุญาต แววตาของพวกเขาเคร่งเครียดจริงจัง คิดว่าเขามีเรื่องร้อนใจ

ไม่ผิด ก็ตอนนี้เขาเดือดร้อนจริงๆ

“ขอกาแฟ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ ไม่เพียงแต่พนักงานที่เลิกคิ้วขึ้น แดชีลล์ก็ด้วย

“อะ อะไรนะคะ”

“ขอกาแฟ อะไรก็ได้ แต่หวานจัดๆ” เขาระบุไปอีก ก่อนจะถามคนตรงหน้า “นายล่ะ เอาอะไรมั้ย”

เหมือนเป็นการเล่นเกมตั้งสติระหว่างแดชีลล์กับบริกร ซึ่งสรุปแล้วเป็นชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสที่คว้าชัย เขาส่ายหน้าปฏิเสธในที่สุด ตามติดมาด้วยบริกรสองคนที่เสมอกัน พวกเขาพยักหน้ารับงงๆแล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วปุบปับตามความต้องการของโกคุเดระ ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาต้องการน้ำตาลและกาเฟอีน...ด่วนด้วย

“นายเป็นแบบนี้บ่อยไหม” แดชีลล์ถาม คงหมายถึงการคิดเร็วทำเร็วแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแล้วไม่ปรึกษาใครเวลาจิตหลุด

“ไม่ค่อย...” ร่างบอบบางยิ้มจางๆ เมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น “เวลาฉันท้อๆ แล้วคิดอะไรไม่ออก นอกจากของกระตุ้นสมอง...กาแฟหวานๆหนึ่งแก้ว ฉันจะได้รับโบนัสพิเศษจากคนเสิร์ฟด้วย...ไม่คุณแม่...ก็อาเจ๊ พวกเธอจะดึงฉันเข้าไปกอด ลูบผมอยู่นาน กระซิบอยู่บนหัวว่า....เหนื่อยใช่ไหม....ไม่เป็นไร...เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ตบท้ายด้วยการกดจมูกลงกลางกระหม่อมฉันเบาๆ ส่วนพ่อกับพี่ชายฉันไม่ค่อยอยู่...เลยไม่เคยทำ แต่พอรู้ พวกเขาจะโทรมาทันที แล้วพูดประโยคเดียวกับแม่และอาเจ๊นั่นแหล่ะ”

เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก ลำคอตีบตัน ปวดแปลบที่ปลายจมูก ชัดเจนมากขึ้นเมื่อน้ำใสๆล้นเอ่อ มันเกือบไหลถ้าเขาไม่ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้คลึงที่หัวตาสองข้าง รับรู้ถึงความเป็นจริงตอนนี้ เขาอยู่คนเดียว ไม่มีประโยชน์ที่จะร้องไห้ ไม่มีใครมาปลอบแบบนั้น อย่าหวังกับแดชีลล์ ต่อให้หมอนั่นเป็นสุภาพบุรุษแค่ไหน เห็นเขาร้องไห้ออกมาจริงๆ คงยังลังเลที่จะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เลยมั้ง...

แต่มันก็แปลก ขนาดบอกตัวเองว่าอยู่คนเดียวกับสถานการณ์แบบนี้ ต่อให้ร้องไปก็ไม่มีใครสน เขากลับหาข้อโต้แย้งได้ เมื่อคืน เขาก็เครียดหนัก...แต่ไม่มีกาแฟ ไม่มีอ้อมกอด ไม่มีคำให้อภัยอย่าง ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ผ่านไป

มีแค่คำพูดเตือนสติ...แค่ฝ่ามืออุ่นๆที่วางลงอย่างนุ่มนวลบนกลุ่มผม

แค่นั้น...แต่เขาก็กลับมาได้

ให้ตายสิ...นี่ฉันแพ้นายอยู่เรื่อยเลยใช่ไหม....แพ้ที่ต้องร่ำร้องหานายอยู่เรื่อย...อย่างตอนนี้ฉันอยากได้ยินเสียงนายเป็นบ้า


แต่มันยังไม่ใช่เวลา...หน้าที่ของฉันยังไม่จบ จะเอาหน้าไปพบนายได้ยังไง...

“อย่างที่ว่า เรายังหาข้อสรุปให้พ่อนายไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันก็ถึงเวลาที่ฉันจะระบุว่านายจะเป็นหมากอะไรสักที” เด็กหนุ่มร่างบางว่าขึ้นหลังจากที่เงียบไปนาน สีหน้าเรียบเฉยจริงจังค่อยๆกลับมาพร้อมกับน้ำเสียง “ฉันเข้าไปเจรจากับพ่อนายแบบนี้ไม่ได้...อันที่จริงไม่มีใครทำได้ นอกจากนาย”

“ต่อให้ฉันเป็นลูก ก็ใช่ว่าพ่อจะเชื่อทุกคำที่ฉันบอกนะ”

“ฉันไม่ได้ให้เขาเชื่อนาย แต่ฉันอยากให้เขาเชื่อฉัน” เด็กหนุ่มแย้งด้วยถ้อยคำประหลาด แล้วขยายความไปอีกว่า “นายฟังแผนฉันไปแล้ว คืนนี้ในงานเลี้ยง ฉันต้องเข้าไปต่อรองกับสตีเฟน ฉันจะพยายามทำให้สำเร็จ ส่วนนายฉันขอแค่นายไปบอกพ่อว่าให้รอ รออย่างใจเย็น ทำตัวเป็นปกติ ไม่ต้องกลัว เบธิลด์จะไม่เป็นอะไรถ้าฉันและยามาโมโตะยังอยู่ที่นี่...ฟังดูเน่าๆเหมือนพวกฮีโร่พูดเนอะ...แต่ฉันก็อยากให้พ่อนายเชื่ออย่างนั้น”

เด็กหนุ่มหัวเราะแหะๆ แต่ไม่มีคำตอบรับใดๆจากอีกฝ่าย ชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสทำเพียงแค่นั่งนิ่งๆแล้วก็ยิ้มออกมาเมื่อมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ค่อยๆผ่อนคลาย มันก็ฟังน้ำเน่าจริงๆอย่างที่เจ้าตัวว่า แต่แววตา น้ำเสียง ท่าทาง และที่สำคัญที่สุดคือความเข้มแข็งของหัวใจ เด็กหนุ่มได้สะกดเขาเอาไว้อีกครั้ง ทั้งหมดทั้งมวลมันเป็นส่วนประกอบ ให้เขารู้สึกว่าคำพูดของคนสติยังไม่เข้าที่เข้าทางเท่าไหร่นั่นน่าเชื่อถือขึ้นจม

พนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกาแฟตามที่สั่ง ดูได้จากสีอ่อนๆนั่นแล้วคงหวานจัดสมใจ แถมฟองครีมยังราดคาราเมลเต็มแม็กซ์อีกต่างหาก โกคุเดระดูดมันทีเดียวพร่องไปจากปากแก้วค่อนข้างเยอะ แดชีลล์อาจไม่รู้ละเอียดนักว่าที่ผ่านมาเด็กคนนี้เจออะไรมาบ้าง แต่ที่เขาพอจะนึกภาพออกก็คือการทำงานกับยามาโมโตะ มันไม่ใช่เรื่องง่าย หมอนั่นไม่เคยหยุด แน่นอนว่าคนตามก็ต้องไม่หยุดเหมือนกัน เพราะนั่นหมายถึงการก้าวถอยหลังอย่างไม่ตั้งใจ

เด็กคนนี้กลายเป็นคนติดน้ำตาลและกาเฟอีน เครียดเป็น ท้อเป็น และร้องไห้เป็น เพียงแต่มันกินเวลานานไม่ได้ ไม่เกินสามหรือห้านาทีต้องกลับมาสู้ใหม่ ฉลาด รอบคอบ แต่เรื่องบางเรื่องกลับตามไม่ทัน ทุกอย่างหล่อหลอมขึ้นมาให้กลายเป็นโกคุเดระ ฮายาโตะ

เพราะมียามาโมโตะ โกคุเดระถึงได้เป็นแบบนี้ จะว่าอย่างนั้นก็คงไม่ผิด

“ขอถามสักเรื่องได้ไหม” แดชีลล์เอ่ยขึ้น น้ำเสียงสบายๆเป็นเชิงบอกว่าไม่ใช่เรื่องเครียด

“อะไร”

“ทำไมนายถึงยอมมาที่เจนีวาล่ะ”

คิ้วโก่งโค้งขึ้นเมื่อฟังคำถามจบ ก้มลงใช้หลอดเขี่ยน้ำแข็ง ถามออกไปเบาๆ “นายจะอยากรู้ไปทำไมอ่ะ”

“จะบอกฉันว่าหลงกลเจ้ายามาโมโตะก็พอจะเชื่ออยู่หรอกนะ แต่นายไม่น่าเป็นคนทำเรื่องใหญ่แบบนี้อย่างกะทันหัน พวกแขกคนอื่นบ่นกันขรมไปหมดว่าอยู่ดีๆนายโผล่มาได้ไง”

คนถูกถามเงียบไป เม้มปากคิดแล้วก็เกือบหลุดขำเมื่อเหตุที่แท้จริงแว้บเข้าหัว จริงสิ ช่วงนี้มีเรื่องเยอะแยะจนเขาเกือบลืมมันไปเลยแฮะ

“เมื่อสองวันก่อน มีเด็กอายุสิบเก้าสองคนทำข้อตกลงบ้าๆบอๆกัน” โกคุเดระเกริ่น น้ำเสียงบอกชัดว่าทั้งจริงจังทั้งขำ “ยามาโมโตะบอกกับฉันว่าถ้าภายในสามเดือน ฉันไม่สามารถทำให้โกคุเดระแอร์ไลน์รุ่งกว่าเดิมได้ ฉันจะแพ้ แล้วหลังจากนั้นก็คงต้องกลับไปเซ็นสัญญาร่วมหุ้นกับเขาตามเดิม เพราะงั้นฉันเลยตาลีตาเหลือกรีบหาหุ้นส่วนให้เร็วที่สุด แล้วเผอิญฉันรู้เรื่องเบธิลด์ ทาวเวอร์ของนายเข้าพอดี”

โดยการลอบขึ้นตึกชาวบ้านแล้วไปขโมยข่าว(ที่เขาจงใจวางล่อ)มา โกคุเดระเลือกที่จะไม่บอกแดชีลล์ไป คงไม่คุ้มเท่าไหร่ที่จะเห็นหมอนั่นทำหน้าแหยใส่แล้วถอนตัวการเป็นพันธมิตรกะทันหัน เพราะดันมาร่วมมือกับคนที่ไม่เข้าตามตรอกออกตามประตู

สีหน้าคนฟังเปลี่ยนไปนิดกับคำเล่า แปลกใจผสมทึ่ง แต่ก็พยักหน้าเบาๆเข้าใจ แล้วเป็นอีกครั้งที่โกคุเดระสงสัยในสมรรถภาพการได้ยินของตัวเอง เหมือนได้ยินเสียงทุ้มเปรยว่า เด็กแว่วมาด้วย

“แล้วถ้าหากเกมนี้นายชนะ?” 

“โกคุเดระกับยามาโมโตะก็ขาดจากกันโดยสมบูรณ์” ร่างบางตอบไม่ยาก แต่พลันคำตอบที่หลุดจากปากไม่ยากก็ทำให้มือที่ถือหลอดเขี่ยน้ำแข็งอยู่หยุดชะงัก ความโหวงเหวงในใจแปลกๆหวนกลับมาอีกครั้งอย่างไม่รู้สาเหตุ เขากลืนน้ำลาย หายใจช้าๆเพื่อปรับอารมณ์ตัวเอง แต่ดูท่าว่ามันจะไม่มีเวลาทำตัวให้เป็นปกติได้นานนัก

โทรศัพท์เครื่องสีขาวของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างเปิดเผยสั่นครืดคราด หน้าจอสว่าง ระบุชัดเจนว่ามีคนโทรเข้า แล้วชื่อพร้อมเบอร์ที่เม็มไว้มันก็ช่างเหมาะสมกับเวลาแม้ว่าในความคิดลึกๆของโกคุเดระมันอาจช้าไปสักสิบห้านาที แดชีลล์กลั้นยิ้ม ไม่ล่ะ นาทีนี้ต้องเรียกว่ากลั้นหัวเราะมากกว่า เขาหันหน้าไปอีกทาง แต่แก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะอาการกักอารมณ์ขำขันไว้อย่างสุดความสามารถ

“ฮัลโหล” เขากรอกเสียงไป พยายามควบคุมให้มันนิ่งที่สุด

[พระเจ้า! นายรับแล้ว] คนโทรมาร้องอย่างโล่งอก ผสมกับเสียงจ้อกแจ้กและเครื่องยนต์ เดาได้ว่าโทรมาจากฟุตบาธข้างถนน แต่เสียงทุ้มก็ยังย้ำซ้ำอยู่ข้างหูเขา [นายรับแล้วจริงๆ ขอบคุณที่รับ]

ทางนี้ต่างหากที่ควรจะบอกว่าขอบคุณที่โทร...

“อย่าพูดอย่างกับว่านายโทรหาฉันเป็นสิบรอบ แล้วฉันเพิ่งรับสิ มีอะไร”

[มี ด่วนด้วย] ปลายสายว่าอย่างจริงจัง ทำให้คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอีกครั้ง แต่ไม่ต้องรอให้ถาม เรื่องด่วนก็ว่าขึ้นทันที [ปลาของนายกำลังว่ายไปปารีสฝูงใหญ่ คาดว่าจุดหมายคงลงที่เบธิลด์ ทาวเวอร์ ฉันไม่รู้จุดประสงค์ แต่ตอนนี้เฟร็ดดอริกกำลังจับเที่ยวบินตามไป คิดว่าไม่เกินชั่วโมง...]

จากนั้นยามาโมโตะรัวอะไรมาบ้างเขาไม่รับฟัง เหมือนหูมันอื้ออึงไปแล้ว เขาจับได้เพียงแค่ประโยคแรกๆที่บอกว่าพวกแมคคาร์ทีไปปารีสโดยกะทันหัน เท่านั้นในหัวก็คิดสะระตะ แต่คำถามหลักที่ต้องหาคำตอบให้ได้คือ ไปทำไมคนหลายคนขนาดนั้น ตาแก่สตีเฟนไม่มีอำนาจขนาดสั่งได้แน่ เพราะพวกมันเป็นคนของมาเฟียที่มาติดตามพ่อค้าค้าที่จอมเจ้าเล่ห์นั่นเฉยๆ...คำสั่งเบื้องบน นั่นแหล่ะคำตอบ

แล้วบอสของแมคคาร์ทีให้สั่งลูกน้องให้ไปเบธิลด์ตอนนี้ทำไม ผลประมูลยังไม่รู้ ถ้าอย่างนั้นเขาพลาดเหรอ? พลาดทำอะไรให้พวกมันจับได้จนพวกมันต้องเดินนอกแผน ไม่น่าใช่...เขาเชื่อใจยามาโมโตะอยู่ หมอนั่นรอบคอบพอไม่ให้ใครจับได้ ต้องบอกว่าตอนนี้คนที่จะพลาดคือพวกมันด้วยซ้ำ...

เดี๋ยวสิ...เดี๋ยวนะ โกคุเดระหยุดความคิดตัวเอง แล้วทบทวนใหม่ช้าๆ

ถ้าพวกมันพลาดงั้นเหรอ...

พลาดหมายถึงแพ้...แพ้หมายถึงไม่ได้เบธิลด์ ทาวเวอร์ นี่ถ้าเขาเป็นบอสมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ในยุโรปที่กำลังจะขยายอำนาจไปทั่วแผ่นทวีปยูเรเชีย แต่กลับปล่อยให้ปราการชั้นเอกที่ควรจะมาอยู่ในมือแน่ๆหลุดมือไป ถ้าเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นจริง...ถ้าเขาเป็นมาเฟียที่จะทำอะไรก็ได้...เขาจะทำยังไง...

เท่านั้น ดวงตาสีมรกตคู่สวยก็เบิกค้าง

“ให้กลับมา!” ท่านประธานแห่งโกคุเดระสั่งขึ้นด้วยเสียงที่เรียกได้ว่าแทบตวาด แต่มันสั่นเครือด้วยความตกใจและหวาดระแวง ปลายสายเงียบไป เงียบเหมือนวางไปเลย จนทำให้เขาต้องสั่งขึ้นใหม่ “ให้หมอนั่นกลับมานะ ยามาโมโตะ นี่มันอันตรายเกินไปแล้ว”

[อือ...ฉันก็คิดเหมือนนายนั่นแหล่ะ ต้องบอกว่าคาดไม่ถึงกับไพ่สุดท้ายกับพวกมันจริงๆ แต่ถ้าไม่ให้คนตามไปดู เราจะยืนยันความคิดของเราไม่ได้ แล้วสุดท้าย...แผนการของนายอาจจะไม่สำเร็จ] เสียงทุ้มว่าอย่างเรียบเรื่อยและใจเย็น มันทำให้หัวคิ้วคนฟังยิ่งขมวดมากขึ้น โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ร่างบางถือโทรศัพท์แน่น ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังข้างหู แล้วโกคุเดระจำได้ ว่ามันเป็นเสียงหัวเราะประจำที่ยามาโมโตะใช้เวลารู้ทันเขา

รู้ทันโดยใช้การวิเคราะห์ แม้ไม่ได้อยู่ด้วย แม้เขาไม่เคยบอกเล่า แค่คิดในใจ...แต่ยามาโมโตะก็รู้
            
            [นายต้องการไม่ใช่เหรอโกคุเดระ...หลักฐานฉาวๆของแมคคาร์ทีที่จะเอาไปซื้อใจเดเมียนน่ะ]

เขาเงียบไป ก่อนจะยอมรับออกมา ก็ใช่แล้วว่าขึ้นใหม่ด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “แต่นายไม่จำเป็นต้องให้ลูกน้องนายไปเสี่ยง! เลขาประธานบริษัทคนเดียวกับลูกน้องมาเฟียทั้งฝูงมันขัดกันมากแค่ไหน เด็กอนุบาลยังตอบได้! ถึงนายจะสั่งแค่ให้เขาไปดูแล้วเก็บหลักฐาน มันรับประกันไม่ได้ว่าระหว่างสอดแนมอยู่ดีๆ ลูกน้องคู่ชีพนายจะไม่โดนคนทุบหัวจากข้างหลัง อย่างดีเอาไปทรมานบอกแผนการเรา อย่างเลวคือยิงทิ้งตรงนั้น”

โดยที่โกคุเดระไม่เห็น คนฟังเงียบๆอย่างยามาโมโตะถึงกับเลิกคิ้วกับประโยคเมื่อกี้ ถามตัวเอง นี่เขาฟังไม่ผิด? เปรียบเทียบกันแล้ว ถูกพวกสตีเฟนรู้แผนการถือเป็นเรื่องดี ส่วนลูกน้องของเขาตายกลายเป็นว่าเลว?

[แล้วนายจะทำยังไง ให้ส่งลอร์ดคริสโตเฟอร์ของนายไปแทนงั้นสิ?] ปลายสายสวนกลับมาทันที รอบที่สองแล้วที่ยามาโมโตะอ่านความคิดเขาได้เหมือนพยาธิในกระเพาะ มันทำให้เขาก็เถียงไม่ออก ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจอยู่กับที่ เสียงหัวเราะรู้ทันเลยดังขึ้นอีกระลอก

[สองคนนั้นได้รับการฝึกฝนมาจากที่เดียวกัน นายไม่ต้องห่วงเรื่องฝีมือ รับรองว่าคุณภาพงานเหมือน...]

“ไม่เหมือน” โกคุเดระค้านเสียงเรียบโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ แล้วต่อด้วยเหตุผล สิ่งที่ไม่เหมือน...คือลอร์ดคริสโตเฟอร์เป็นลูกน้องฉัน ไม่ใช่ลูกน้องนาย ฉันรู้ว่าครอบครัวหมอนั่นมีกี่คน มีใครบ้าง แล้วตอนที่หมอนั่นเข้าทำงาน พ่อของหมอนั่นก็ฝากชีวิตเอาไว้กับฉัน ตัวคริสโตเฟอร์เองก็สาบานว่าจะอุทิศตัวได้เพื่อฉัน เพื่อเครือโกคุเดระ แต่เฟร็ดดอริกของนาย...ไม่ใช่”

 ห้องเงียบขึ้น เด็กหนุ่มร่างบางก้มหน้านิ่ง ในหูได้ยินเสียงเพียงแค่บรรยากาศรอบตัวของปลายสาย ไม่มีคำค้านใดๆ เขาจึงพูดต่อ

             “ให้เขากลับมาซะ ถ้าเป็นอะไรไป ฉันไม่มีปัญญาไปขอโทษนาย” ระดับความแข็งของเสียงลดลง โกคุเดระพรูลมหายใจยาว ก่อนแล้วต่อด้วยคำที่ไม่มีใครคิดฝัน 

             “...ขอร้อง”

             บทสนทนาเว้นวรรคทันที แล้วมันก็เป็นโอกาสที่ทำให้ท่านประธานสายการบินได้เงยหน้ามองชายหนุ่มอีกคนในห้องด้วย เขาไม่รู้ว่ายามาโมโตะจะคิดยังไงหรือทำหน้ายังไงกับคำพูดสุดท้ายนั่น แต่ถ้าข้อสันนิษฐานของเขาตั้งแต่แรกว่าแดชีลล์กับยามาโมโตะเหมือนกัน พวกเขาก็คงจะแสดงออกเหมือนกัน...ซึ่งตอนนี้มันอึ้งเหลือคำบรรยาย

[หมอนั่นโชคดีมากจริงๆนะ ที่เป็นสาเหตุให้นายยอมขอร้องฉัน] ยามาโมโตะหัวเราะหึๆ มีกระแสเย็นชาแฝงมาด้วย [แต่ขอโทษนะ มันไม่ทันแล้ว อีกอย่างเราไม่มีเวลามาพะวงเรื่องนี้อย่างเดียว คืนนี้ต่างหากที่สำคัญ...เสร็จธุระกับแดชแล้วใช่ไหม...ฉันจะไปรับ]

สายตัดไป โกคุเดระลดหูลงแล้วนิ่งมองหน้าจอ ตัดสินใจเริ่มกดพิมพ์ข้อความแล้วส่งมันไปหาลูกน้องคนสนิททันที เนื้อความไม่ต่างจากคำสั่งของยามาโมโตะตอนสั่งเฟร็ดดอริกที่หน้าร้านค็อกเทลเท่าไหร่ เพราะถึงเขาไม่ใช่คนดี ไม่ใช่พ่อพระที่ยอมเห็นคนอื่นไปอยู่ท่ามกลางอันตรายไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อยากเห็นใครต้องมาเดือดร้อนเพราะแผนการของเขา เขาแค่ใช้หมาก...แต่ไม่เคยคิดจะทำลายหมาก

ส่วนเรื่องที่คุยกับยามาโมโตะทางโทรศัพท์ แม้มันจะเกี่ยวกับเบธิลด์โดยตรงแต่โกคุเดระก็ยังไม่พร้อมจะเล่าให้ชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสตรงหน้าฟัง เขาต้องรอหลักฐานให้แน่ชัดจริงๆ ก็คงต้องขอบคุณที่แดชีลล์ฟังภาษาญี่ปุ่นของเขาไม่ออก เลยไม่ได้ถามไถ่อะไรเมื่อวางหู แม้ว่าน้ำเสียงกับท่าทางของเขาตอนคุยมันจะดูน่าสงสัยมากก็เถอะ

“ดูเหมือนว่านายต้องไปแล้ว?” ชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสถามยิ้มๆ กระเซ้าไปอีก “คุยนานหน่อย คุณพ่อโทรตามเลยสิ”

“ถ้าแค่โทรมาตามเฉยๆ จะดีมากเลย” โกคุเดระลากเสียงยาวประชดประชัน แต่กระนั้นก็ยังมีรอยยิ้มบางๆบนใบหน้า มันเป็นมารยาทที่คนในวงการธุรกิจรู้จักดี สัญญาณเมื่อเจรจาจบ แล้วผลการเจรจาออกมาสวย คราวนี้มือเรียวบางเป็นฝ่ายยื่นออกมาก่อน เสียงใสๆกล่าวชัดถ้อยชัดคำ

“ยินดีที่ได้ร่วมงาน คุณเลอรอยด์” แดชีลล์ยิ้มขำ จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ยอมเรียกชื่อให้ได้ยินจริงๆด้วยสิ

“เอาเลยเหรอ...ฉันนึกว่าเราจะได้เช็คแฮนด์กันที่เบธิลด์ ทาวเวอร์ซะอีก”

“ไม่ล่ะ...เผื่อไม่มีโอกาส” เด็กหนุ่มร่างบางว่าเบาๆ จ้องมองมือของอีกฝ่ายที่ยื่นออกมาบ้างแล้วกระชับแน่นกับอุ้งมือเขา ความรู้สึกโล่งเปลาะหนึ่งคืบคลานสู่จิตใจ แต่มันก็เป็นเปลาะเล็กๆ เพราะนึกถึงเรื่องที่ต้องทำคืนนี้ การตกลงกันระหว่างเขากับแดชีลล์อาจจะดูเด็กไปเลยก็ได้ เพราะชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสคนนี้คือมิตร ถ้าเรียกให้เหมือนสถานะของยามาโมโตะก็คือเขียนว่ามิตรแต่อ่านว่าคู่แข่ง เขาแค่มายืนยันว่าแดชีลล์จะไม่ใช่ตัวขัดขวางแผนของเขา แล้วมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี

แต่กับสตีเฟน แมคคาร์ที หมอนั่นไม่ใช่...เขาเป็นศัตรู แถมยังเป็นศัตรูที่เคยมีเชื้อไฟอยู่ด้วย พูดตรงๆ เขายังไม่เห็นหนทางที่มันจะสำเร็จ

เด็กหนุ่มร่างบางลุกออกไปจากห้อง ทิ้งให้ห้องเจรจาตลอดสองชั่วโมงมีเพียงชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสคนเดียว ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มทวีรอยยิ้ม จนสุดท้ายต้องหัวเราะออกมาเบาๆ พึมพำว่า เด็กหนอเด็ก เขาฟังไม่ภาษาญี่ปุ่นไม่ออก อันนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ชื่อที่โกคุเดระใช้เรียกเลขาของตัวเองกับยามาโมโตะมันเป็นภาษาอังกฤษนี่ แล้วฟังจากน้ำเสียง การแสดงออกอย่างร้อนรน เขาเดาได้อยู่ว่ามันต้องเกิดเรื่องอะไรไม่ดีกับฝั่งยามาโมโตะสักอย่าง


แต่จะว่าฟังไม่ออกเลย มันก็ไม่ใช่นะ อย่างน้อยๆเขาก็พอจะได้คำง่ายๆบ้างล่ะ อย่าง สวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ และ ขอร้อง


อย่างคำพูดสุดท้ายก่อนวางหูของโกคุเดระ เขาได้ยินชัดๆเลยว่า ขอร้อง

“ปากบอกว่าถ้าจะทรยศเขาจริงๆก็ทำได้ แต่แค่ลูกน้องเขาเดือดร้อนก็ยังทนไม่ได้เลยเนี่ยนะ” ว่าแล้วก็ขำขึ้นมาอีกรอบ คิดว่าดีแล้วที่ออกมา ดีแล้วที่ตอบรับคำเชิญของโกคุเดระ ดีที่สุดคือเด็กคนนั้นยอมมาเจนีวา แล้วถ้าหากสำเร็จ เขาคงจะยอมฝากเบธิลด์ ทาวเวอร์ที่คุณแม่สร้างขึ้นมาเอาไว้ในอุ้งมือเล็กๆนั่นได้

กระดาษหนาเนื้อดีใบเล็กยังวางอยู่บนโต๊ะ เป็นกระดาษที่เขียนด้วยลายมือของโกคุเดระเองเพื่อใช้นัดเขา กำกับด้วยประโยคสุดท้ายที่ทำให้เขาต้องขับรถมาที่นี่ก่อนเวลานัดตั้งชั่วโมง มันเป็นประโยคสั้นๆ และหาได้ยากมากในวงการแบบนี้ แต่เด็กคนนั้นก็เขียนมันออกมาอย่างไม่มีการลังเล


ฉันจะช่วยนาย...








TBC…


มิยะขอเม้าท์

ครั้งนี้ขอนุญาตอัพเป็นสองตอนรวดเลยค่ะ เพราะมีความรู้สึกว่าตอนที่หกกับเจ็ดนี่ อ่านต่อกันคงจะได้อรรถรสมากกว่าแน่ๆ คือขอสารภาพ เขียนสองตอนนี้เล่นเอาพลังงานหมดไปเป็นถังๆ เป็นสองตอนที่ค่อนข้างเครียดไปกับตัวละคร คือมันเครียด ไอ้มิยะเครียดด้วย ฮ่าๆๆๆ ถ้าหากเรื่องนี้จบเมื่อไหร่ ไอ้มิยะจะขอเม้าท์ว่า ตอนหนูก๊กเครียด ไอ้มิยะคิดถึงอะไร ถ้าเล่าตอนนี้ก็กลัวจะยาวไป แต่ในความเครียดนั้นไอ้มิยะมีไฟสุดๆเลยค่ะ มันเลยปั่นได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ 

ถ้าหากมีท่านใดแอบสงสัยนิสัยหนูก๊ก ที่มิยะเปิดตัวมาตอนแรก อาจจะเห็นว่าหนูก๊กจะโวยวายมากกว่านี้ หรือใจร้อนกว่านี้ อันนั้นจริงค่ะ หนูก๊กเรื่องนี้เป็นคนเครียดง่าย อ่อนไหวพอสมควร และเมื่อเจออะไรที่ไม่ชินทำให้เกิดอาการเขิน ตกใจ โกรธ หรือเศร้า ก็จะรู้สึกอย่างรวดเร็ว แต่มีวิธีแสดงออกต่างกัน ซึ่งถ้าเป็นอาการเขิน จะแสดงออกรุนแรงมาก (ฮา) หรือถ้าตกใจกลัวหรือสับสน ซึ่งต้องเจอบ่อยๆในเหตุการณ์เหมือนชีวิตประจำวัน ก็จะไม่แสดงออกมา เป็นต้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว อย่างที่แดชบอก คือไม่เกินห้านาที เพราะถ้าเกินกว่านี้ หนูก๊กจะเหมือนอยู่กับที่ แล้วก้าวถอยหลังอย่างไม่ตั้งใจนั่นแหล่ะ เรียกได้ว่าเก็บกดพอสมควรเลยค่ะ 

ตอนนี้เป็นการแยกการทำงานอย่างแท้จริง >w< ตอนนี้คงรู้สึกว่าหนูก๊กเด่นกว่าอยู่ไม่น้อย แต่แน่นอนว่าบทและความคิดอิเนียนไม่มีทางน้อยหน้าหนูก๊กของเราแน่นอน และฟิคเรื่องนี้ดำเนินมาจนจะถึงไคลแมกซ์แล้ว

ปล.เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้ มิยะจะขอรีไรท์ตอนอินโทรถึงตอนที่สอง แต่ไม่เปลี่ยนเนื้อเรื่องหรือบทสนทนาแน่ค่ะ แค่การบรรยายบางตอนเท่านั้น เข้าไปใหม่อาจจะเปลี่ยนไปบ้าง ไม่ต้องตกใจจ้ะ =w=

ส่วนเพลงนี้ แปะจนกว่าจะจบ ครึๆ




ขอขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียนบล็อก เม้นท์ได้เป็นกำลังใจจ้ะ 

Miya



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น