หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

Au.Fic Attack on Titan [Levi X Eren] FORENSIC : Introduction



Project : Happy Birthday to Eren [30.03.14]
Au.Fic  Attack on Titan [Levi X Eren] FORENSIC
Drama  action  investigation
NC-17                         
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ



Introduction



เยอรมนี


โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเบอร์ลิน


ในห้องปลอดเชื้อสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างหลายตารางเมตรมีเตียงหลายเตียงวางเรียงกันอยู่เป็นจำนวน 5x6 แต่จะให้เรียกว่าเตียงคงไม่ถูกเท่าใดนักเมื่อมันเป็นเพียงแค่ถาดเหล็กความยาวประมาณร่างมนุษย์นอนได้พอดิบพอดี ตัวถาดถูกยกสูงด้วยขาสี่ขาที่ติดล้อเล็กๆสามารถเคลื่อนย้ายได้ 


ข้างเตียงมีชายวัยกลางคนผมยาวสีน้ำตาลถูกมัดไว้อย่างหลวมๆ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนแล้วผูกเนกไทเข้าชุดกันพร้อมกับกางเกงขายาวสีดำเรียบร้อย และท้ายที่สุดคือเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดคลุมทับ กลางหลังมีตัวอักษรสีแดงปักไว้อย่างชัดเจนว่า ‘FORENSIC’ พร้อมกับลูกทีมที่แต่งตัวคล้ายคลึงกันอีกสองสามคน


ดวงตาภายใต้แว่นกรอบกลมจับจ้องไปที่ร่างคนไม่ไหวติงตรงหน้าโดนอาศัยความสว่างเพียงแค่หลอดนีออนเหนือศีรษะเพียงหลอดเดียว คนที่นอนอยู่เขายังคงมีสภาพที่เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง หากแต่ไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ ไร้จังหวะการเต้นของหัวใจ และไม่มีการสูดออกซิเจนเข้าปอด และระบบอวัยวะภายในหยุดทำงานโดยสมบูรณ์



ศพ...



สภาพสุดท้ายของมนุษย์ที่ใครๆก็ไม่อยากมอง ไม่อยากสัมผัสจับต้องและหวาดกลัว แต่สำหรับพวกเขา...นี่คือเพื่อนร่วมงานคนสำคัญ ในฐานะพยานปากเอกที่พูดไม่ได้แต่พร้อมจะคายข้อมูลทุกอย่างที่จะเป็นประโยชน์แก่การเสาะหาสาเหตุและบุคคลที่ทำให้คนที่นอนอยู่หลับอย่างไม่มีวันตื่น และผู้สอบสวนก็คือกลุ่มบุคคลที่มีตัวอักษรแปดตัวอยู่บนแผ่นหลัง


“พร้อมนะ แอ็คเคอร์แมน” เจ้าของชื่อที่นั่งอยู่อีกโต๊ะพร้อมกับกระดาษและปากกาพยักหน้ารับ คริชา เยเกอร์สวมถุงมือไนไตรและหน้ากากอนามัยก่อนที่จะเริ่มแตะต้องศพ ปากว่ารายงานผลทันที


“ผู้ตายเป็นชายชาวเยอรมัน อายุประมาณ 35-40ปี มีรอยแผลเป็นที่สู้กับอาวุธปืนมาสี่รอย ไม่มีบาดแผลภายนอกนอกจากรอยช้ำเล็กๆบริเวณหน้าผากด้านขวา ริมฝีปาก เล็บมือ เล็บเท้าเป็นสีคล้ำ มีเศษแล็กเกอร์ติดที่ปลายเล็บของนิ้วชี้ กลาง นาง ข้างขวา...มีรอยจ้ำโลหิตตกสู่ที่ต่ำบริเวณสีข้าง ข้างขวาเช่นเดียวกัน ยาวตั้งแต่ใต้รักแร้จนถึงขาหนีบ...เป็นสีชมพูค่อนข้างสด...ส่วนการอยู่ตัว...” นิ้วชี้ใต้ถุงมือกดไปบริเวณรอยจ้ำนั้นทันที หนักเบาสลับกันสองถึงสามครั้ง และหลังจากนั้นถึงส่งสัญญาณให้ลูกทีมพลิกศพไปอีกข้าง หากแต่รอยช้ำยังคงอยู่ที่เดิม


“ไม่มีการตกของโลหิตหลังเสียชีวิตใดๆอีก...อยู่ตัวแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์ อ้อ! เรื่องแผลเป็นจากอาวุธปืนไม่ต้องบันทึกนะ”


ชายวัยกลางคนจัดการพลิกศพให้อยู่ในท่านอนหงายอีกครั้งแล้วคว้าเข้าที่กราม ออกแรงบีบอย่างไม่ปรานีแล้วไล่สำรวจไปตาม คอ ข้อนิ้วมือ จนถึงกล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างต้นแขน ต้นขาและหน้าแข้ง “การแข็งตัวของศพเป็นไปทั่วร่างกายแล้ว ที่แขนขวามีการงอของข้อศอก ขาทั้งสองข้างอยู่ในลักษณะชันขึ้นทั้งคู่ ขาซ้ายเป็นมุมกว้างกว่าขาขวา...ฮานเนส...เตรียมอุปกรณ์ผ่าศพ”


สิ้นคำสั่งมีดผ่าตัดหลายขนาดตั้งแต่เบอร์สิบจนถึงเบอร์ยี่สิบสี่และขนาดเล็กอย่างเบอร์สามและสี่ถูกวางเรียงบนผ้าปลอดเชื้อสีเขียวเข้มแล้วเข็นมากับรถเข็นคันเล็กๆ จากนั้นตามมาด้วยกรรไกรเมโย กรรไกรเม็ทเซ็นบอมและกรรไกรตัดไหม คีมจับ ก๊อซ สำลี สิ่งจำเป็นพื้นฐานเช่นเดียวกับการผ่าตัดคนเป็น


คริชาเลือกมีดเบอร์ค่อนข้างหนาแล้วจัดการกรีดผ่านเนื้อศพไล่จากไหล่ด้านขวาและด้านซ้ายมาจรดกันที่กึ่งกลางอกพอดีอย่างสวยงามก่อนที่จะลากตรงผ่านลิ้นปี่จนไปถึงอวัยวะเพศ รอยการผ่าของแพทย์นิติเวชมือหนึ่งเรียบสนิท เลือดของศพซึมออกมาตามรอยมีดตัดกับผิวซีดๆดูราวกับเอาเส้นไหมสีแดงมาขึงบนร่างกายเป็นรูปตัว Y


เขาใช้เวลาครู่หนึ่งในการเปิดชั้นหนังและเลาะชั้นไขมันหยุ่นๆของศพออก กลิ่นไม่พึงประสงค์จากร่างคนตายหลายชั่วโมงที่ไม่ได้ให้ฟอร์มาลีนคละคลุ้งไปทั้งห้องแต่ทุกคนก็ยังอยู่ในสภาวะปกติ ราวกับพวกเขาชินกับเรื่องธรรมชาติแบบนี้เหมือนปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน เสียงเลื่อยไฟฟ้าหน้าตัดกลมดังขึ้นแล้วบรรจงกรีดเข้าที่ใต้รักแร้ยาวลงมาจนถึงสีข้างผู้ตาย เลือดที่ยังคงอยู่ในร่างกายทว่าไม่ไหลเวียนกระเซ็นเปื้อนกระจกป้องกันใบหน้า ก่อนที่นายแพทย์วัยกลางคนจะยกซี่โครงของเขาออกมาวางข้างนอก


ขั้นตอนต่อไปก็ไม่ต่างอะไรจากการเรียนชั่วโมงชีววิทยา...


นับว่าโชคดีไม่น้อยที่ศพเป็นผู้มีรูปร่างสมส่วน ไม่อย่างนั้นเขาคงจะใช้เวลามากกว่านี้ กว่าจะได้เห็นอวัยวะภายในตั้งแต่อกจนถึงช่องท้อง มันมีการจัดเรียงและรูปร่างที่เหมือนกับหุ่นร่างกายในห้องวิทยาศาสตร์ทุกประการ เพียงแต่มีสีที่ไม่น่ามองมากกว่า มีรายละเอียดอย่างพังผืด เส้นเอ็น หลอดเลือดและกล้ามเนื้อพันกันยุ่งเหมือนระบบสายไฟของคอมพิวเตอร์ ทุกเส้นล้วนคล้ายคลึงกัน แต่ชื่อเรียกของมันกลับต่างกันโขเลยทีเดียว


“อวัยวะภายในมีสีคล้ำกระจายทั่วไป แต่เลือดของศพเป็นสีแดงสดผิดปกติ” แพทย์นิติเวชวัยกลางคนว่าต่อ ก่อนที่จะใช้กรรไกรเม็ทเซ็นบอมพร้อมกับมีดเบอร์เล็กตัดเนื้อเยื่อออก แล้วยกกระเพาะอาหารออกมาวางต่างหากจากนั้นจึงเริ่มใช้มีดกรีด “ภายในกระเพาะอาหารยังมีเศษอาหารเหลืออยู่เล็กน้อย และมีกลิ่นเฉพาะ...” คริชาขมวดคิ้วเล็กน้อยกับกลิ่นจางๆที่ได้รับที่เขาไม่คุ้นเคยเท่าใดนักจนต้องเปิดแมสก์เล็กน้อยเพื่อดมกลิ่นชัดๆ อาจะเป็นเพราะไม่พบในเคสของนิติเวชมานานมากแล้ว แต่กลิ่นนี้ก็ทำให้ระบุสาเหตุการตายของศพตรงหน้าได้เกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์


“กลิ่น Bitter Almond...” เท่านั้นเขาก็วางมีดและคีมถ่างแล้วจัดการเย็บปิดรอยกรีดกระเพาะอาหารเรียบร้อย ก่อนที่ใส่คืนไปที่ศพอย่างเก่า จากนั้นจึงหันไปหาผู้จดบันทึกที่อยู่กับโต๊ะแล้วออกคำสั่ง “เอาผลการชันสูตรไปให้เอเลนได้เลย แอ็คเคอร์แมน...เด็กคนนั้นคงจะกลับจากมหาลัยแล้วนั่งอยู่ในห้องหนังสือ เดี๋ยวฉันขอเวลาสักนิดในการเย็บแผลศพ”


“รู้มั้ยคริชา ว่าถ้าใครได้ยินเข้าเขาคงคิดว่าทีมนิติเวชของเราประสาทกลับ...นายนี่เลี้ยงลูกไม่เหมือนใครจริงๆ” เพื่อนสนิทที่ทำหน้าที่เป็นลูกทีมของแพทย์ผ่าศพมือหนึ่งกลั้นหัวเราะทำให้คนที่เลี้ยงลูกไม่เหมือนใครที่ว่าเงยหน้าขึ้นมอง แววตาของเขามีรอยยิ้มแล้วแย้งกลับ


“นายไม่รู้เหรอ ว่าผู้พิพากษาบางคนเอาลูกตัวเองไปนั่งฟังคำตัดสินในศาลตั้งแต่ห้าขวบ...” ถ้อยคำทีเล่นทีจริงเจือเสียงหัวเราะแล้วส่ายหัว ก่อนที่สำทับกับอีกประโยค “อีกอย่างมันเป็นความต้องการของเด็กคนนั้นเอง...ด้วยนิสัยของเขา นายก็รู้ว่าฉันไม่มีปัญญาไปขัด”


“ระวังเถอะ ถ้าเอเลนโตกว่านี้หน่อย นายตกงานแน่...คริชา” คำแช่งของเพื่อนทำเอาหัวหน้าทีมนิติเวชมือฉมังหัวเราะเสียงดังกว่าเก่า แล้วสวนกลับออกไปทันที


“ยังเร็วไปน่า เขาก็แค่เด็กอายุสิบเก้าปีเท่านั้นเอง”







ร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้สำนักงานหนานุ่มในห้องขนาดกะทัดรัดที่สามด้านของผนังห้องเป็นที่พิงของชั้นหนังสือสูงเกือบติดเพดาน เบื้องหน้าเขาคือหนังสือ Anatomy เล่มหนาที่ปรากฏภาพอวัยวะช่วงอกหราเต็มหน้ากระดาษเนื้อมันลื่นมือแล้วแต่ละอวัยวะระบุรายละเอียดเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษเล็กๆอัดแน่น  ส่วนข้างหนังสือมีกระดาษขนาด A0 ซ้อนทับกันหลายสิบแผ่น แล้วเด็กหนุ่มกำลังเอาปากกาเคมีหลากสีละเลงลงไปไม่หยุด


ดวงตาสีเขียวมรกตสดใสฉายแววความมุ่งมั่นจริงจังไล่กรอกไปมาซ้ายขวาเป็นระยะๆ เม้มริมฝีปากบ้าง ขมวดคิ้วบ้างยามใช้ความคิด จมดิ่งอยู่กับโลกเบื้องหน้าไม่สนใจใคร ถือเป็นภาพคุ้นตาของใครก็ตามที่เดินเข้ามาในห้องหนังสือเวลาห้าโมงเย็น เพื่อนสนิทของบิดาคนตรงหน้ามองคนอ่อนวัยกว่าแล้วขยับยิ้ม เขาเดินเข้าห้องมาได้เกือบสองนาทีแล้ว แต่ดูเหมือนเอเลนก็ยังไม่เห็น


“เอเลน...” เขาเอ่ยเสียงเรียก แต่ไม่มีคำขานรับ เด็กหนุ่มยังคงอยู่กับหน้าหนังสือแล้วก็กระดาษเหมือนเดิม ทำให้คนเรียกถอนหายใจแล้วเปลี่ยนวิธีใหม่ เคาะหลังนิ้วกับประตูห้อง


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ก็ยังไม่รู้สึกตัว...ซ้ำยังเร่งอัตราการอ่านและเขียนให้เร็วกว่าเก่าอีกต่างหาก


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“เอเลน!” คราวนี้ทั้งเคาะทั้งเรียกให้ดังกว่าเก่าจนมันก้องไปทั้งห้องเงียบๆ...ได้ผล...เด็กหนุ่มหยุดชะงักปากกาแล้วเงยหน้ามองเขาทันที ตาโตๆราวกับเด็กน้อยเบิกกว้างขึ้นเหมือนสะดุ้งตกใจแล้วตามมาด้วยเสียงหัวเราะแหะๆอย่างสำนึกผิดทำให้คนเรียกยิ่งมั่นใจว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวมาจนถึงวินาทีที่แล้ว


“ขอโทษครับ คุณอา คือ...ผม..อ่านหนังสือเพลินไปหน่อย” มือบางคว้าที่คั่นหนังสือเหล็กรูปเด็กผู้ชายตัวน้อยในยูนิฟอร์มของหมอแบบเสียบมาคั่นไว้แล้วปิดมันลง ก่อนจะลุกยืนขึ้นเกาข้างแก้มอย่างเขินๆ “เสร็จแล้วเหรอครับ”


“ใช่...นี่ผลชันสูตร ถ้าเสร็จแล้วก็เอาไปวางบนโต๊ะพ่อเธอได้เลย...ไม่ต้องรีบมาก็ได้นะ เอเลน...กว่าจะไปส่งก็บ่ายแก่ๆ ไม่ใช่ตอนเช้าอย่างทุกวัน” คนอาวุโสกว่ายิ้มให้อย่างเอ็นดูแล้วยื่นกระดาษสองสามแผ่นให้ เด็กหนุ่มรับมันมาดูแล้วพลิกอ่านหยาบๆทั้งสามแผ่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นฉับพลันเมื่อนึกถึงอีกเรื่องขึ้นมาได้


“มิคาสะโทรบอกคุณอาหรือยังฮะว่าวันนี้เค้าจะไปซื้อของ เลยไม่ได้เข้ามาที่นี่”


“เรียบร้อยแล้ว ว่าแต่...เธอกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย” คำตอบรับจากคนสูงวัยกว่าที่ทำหน้าที่เป็นทั้งเพื่อนของพ่อและพ่อของเพื่อนสนิททำให้เอเลนพยักหน้ารับก่อนจะหันไปมองกระดาษแผ่นใหญ่บนโต๊ะ มือน้อยลูบท้ายทอย แล้วตอบสบายๆว่า “ก็แค่ศึกษาอะไร...นิดหน่อยน่ะครับ”


ไม่นิดหน่อยแล้วมั้ง...


พ่อของเพื่อนสนิทกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วมองผลงานของลูกชายเพื่อนตัวเองด้วยสีหน้าปั้นยาก กระดาษที่ใหญ่กว่า A4 ถึง 16 เท่าเต็มไปด้วยรูปวาดและตัวหนังสือหลากสีสัน มีเส้นโยงใยต่อกันอีลุงตุงนังไม่แพ้เส้นเลือดของศพเมื่อสักครู่ แถมดูจากเนื้อหาแล้วมันยังอัดแน่นไปด้วยชื่อโรคที่เกี่ยวกับอวัยวะนั้นๆ ชื่อยา วิธีการรักษาภายในภายนอก มีทั้งภาษาเยอรมันและอังกฤษปะปนกัน มองดูคล้ายลายแทงขุมสมบัติ แต่ทว่าเส้นทางคือภายในร่างกายมนุษย์แทนที่จะเป็นป่าเขาลำเนาไพร นี่ยังแค่แผ่นที่สังเกตเห็นได้บนโต๊ะ แล้วที่ไอ้กองๆอยู่บนพื้นนั่นอีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่


เห็นอย่างนี้แล้วเขาก็อยากจะถอนคำพูดที่โทษคริชาว่าเลี้ยงลูกไม่เหมือนใคร บางทีอาจจะเป็นเพราะเด็กคนนี้ทำให้เพื่อนเขาต้องเลี้ยงลูกอย่างไม่มีใครเหมือนก็เป็นได้



เพราะเอเลนน่ะ... พิเศษ



“เขียนมาซะละเอียดเชียวนะฮะ กลัวผมวินิจฉัยพลาดขนาดนั้นเลย” เสียงใสๆฉอเลาะพร้อมกับรอยยิ้มทะเล้นน่ามองของเด็กหนุ่มทำเอาคนเขียนแอบสะดุ้งโหยง โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน


“เปล่าๆ อาก็แค่เขียนตามที่พ่อเธอบอกนั่นแหล่ะ ตรวจสอบหมดทั้งภายในภายนอกน่ะ ที่ละเอียดเพราะมันอาจจะเป็นเคสฆาตกรรม” ท่าทางของพ่อเพื่อนทำให้เอเลนหัวเราะร่วน ก่อนจะค้อมหัวให้เป็นเชิงว่าขอโทษที่ทำให้ผู้ใหญ่คนหนึ่งตกใจ


“ผมล้อเล่นฮะ คุณอา ละเอียดก็ดีแล้วครับ...เพราะพยานของเราคนนี้ไม่สามารถพูดได้ เราถึงต้องล้วงข้อมูลด้วยความสามารถทางการแพทย์ให้ได้มากที่สุด นั่นคืองานของทีมนิติเวช...ใช่มั้ยฮะ”


เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสดใสและรอยยิ้มซื่อๆทำให้คนมองยิ้มตามไม่ได้ ก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้ามุมห้องที่มี iMac สีขาวตั้งอยู่ แล้วเลื่อนกระจกปิดกลายเป็นห้องส่วนตัวหรือถ้าว่ากันให้ถูกคือกลายเป็นโลกส่วนตัวของเอเลนไปแล้ว เพราะกระจกใสๆที่กั้นเป็นห้องเล็กมีตัวหนังสือเขียนด้วยปากกาเคมีชนิดพิเศษเขียนเต็มไปหมด รูปแบบการเขียนที่สมควรพูดว่าเป็นการละเลงดูยุ่งเหยิงไม่ต่างกับกระดาษ A0 แล้วมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆถ้ามีคดีเพิ่มเข้ามา...เวลาที่เขาสับสนกับผลชันสูตร หรือต้องการอะไรเป็นรูปธรรมที่เห็นชัดเจนมากขึ้น เขาก็มักจะระบายลงกับกระจกกั้นห้อง


“รอยช้ำหลังการตายมีสีชมพู...อือ...แล้วก็อวัยวะภายในสีคล้ำ..แต่..เลือด..เป็นสีแดงสด...กระเพาะอาหารมี...กลิ่น...อัลมอนด์...” เสียงพึมพำกับตนเองเริ่มเงียบลงเรื่อยๆพร้อมๆกับสมาธิที่เริ่มจมดิ่ง แววตาของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปจากสดใสเป็นมุ่งมั่นจริงจังไม่โฟกัสไปที่ตัวหนังสือลายมือของพ่อเพื่อน แต่กำลังอยู่กับข้อมูลในหัวของตัวเอง จากนั้นนิ้วเรียวก็พิมพ์กับแป้นสีขาวแล้วพูดเบาๆว่า “Chemical Asphyxia (การเสียชีวิตเนื่องจากสารเคมีบางอย่างที่ทำให้เซลล์ไม่สามารถรับออกซิเจนได้) สารเคมีจำพวกไซยาไนด์...”


“รอยช้ำอยู่ตัวและการแข็งตัวของศพทั่วทั้งร่าง...แสดงว่า...ตายมามากกว่าสิบสองชั่วโมงแต่ไม่เกินยี่สิบสี่...อืม...มีการงอของแขนขวาและขาทั้งสองข้าง...นี่..”


เสียงพึมพำเบาๆหยุดนิ่งไป ร่างบางทิ้งตัวพิงลงกับพนักเก้าอี้ เปลือกตาบางปิดลงแล้วเริ่มโยกตัวเมื่อใช้ความคิดจนเกิดเสียงดังของเก้าอี้ดังเอี๊ยดอ๊าดเป็นจังหวะ ในหัวของเขาเริ่มลำดับภาพผู้ตายที่อยู่ในท่านั่งอาจจะกำลังรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ...เขาได้รับพิษ...มีอาการหายใจติดขัด...ดิ้นทุรนทุราย มือขวาของผู้ตายคว้าเข้ากับขอบโต๊ะแล้วครูดมัน ก่อนที่จะล้มจากเก้าอี้...ศรีษะของเขาน็อกพื้นจนเกิดรอยช้ำ วินาทีสุดท้ายของชีวิตคือท่าล้มนอนตะแคงขวา คุดคู้เป็นรูปตัว C ทิ้งน้ำหนักตัวไปที่สีข้างและขาขวา แขนงอข้างตัว...หลังจากนั้นหกชั่วโมงจึงมีผู้มาพบศพ


“โอเค! เพอร์เฟค!” รอยยิ้มเล็กๆปรากฏพร้อมกับลืมตาขึ้น แล้วจัดการพิมพ์ข้อมูลทั้งหมดลงไปกับแป้นคอมพิวเตอร์ มองหน้าเอกสาร Word เบื้องหน้าด้วยความโล่งใจ...ไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน...แต่นี่ก็เป็นอีกคดีที่เขาหวังว่ามันจะสำเร็จแล้วผ่านไปได้ด้วยดี


ใช่...ทั้งหมดนี่คือหน้าที่ของเขา


อ่านผลการชันสูตรของพ่อแล้ววินิจฉัยรูปแบบของคดีแล้วจัดการพิมพ์ส่งให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แถมหน่วยงานที่พ่อเขาสังกัดก็ใหญ่ไม่ใช่เล่นๆ เป็นสำนักงานกลางแห่งชาติประจำเยอรมัน แผนก C.S.I องค์การตำรวจสากล แต่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ระดับสูงไม่เคยรู้และไม่เคยเห็นหน้าตาเบื้องหลังความสำเร็จของคดีตลอดสองปีมานี้เลย...ว่ามาจากเด็กอายุเพียงแค่สิบเก้าปี...


แต่นั่นเอเลนก็คิดว่ามันดีแล้ว...ลองพวกเขารู้สิว่าใครเป็นคนพิมพ์รายงานการสันนิษฐาน คงได้หัวเราะเยาะใส่หน้าพ่อเขาแล้วปากระดาษลงตรงนั้น ดีไม่ได้อาจจะถูกจับข้อหาดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ตำรวจ



เพราะเขาก็แค่เด็กที่ชื่อ เอเลน เยเกอร์



เป็นเด็กอายุสิบเก้าปี นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง คณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเยอรมัน...









อังกฤษ


มณฑลน็อตติงแฮมเชอร์ เมืองน็อตติงแฮม


02:47 AM.


ปังๆๆ!!


ตึกๆๆๆๆๆ


เสียงวิ่งลงปลายเท้าอย่างหนักสลับกับเสียงปืนเป็นระยะๆ ชายหนุ่มวัยยี่สิบปลายคนหนึ่งกำลังแบกเป้ใบโตไว้บนหลัง เหงื่อไหลโซมกาย ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ ดวงตาทั้งคู่กลอกซ้ายขวาอย่างรวดเร็วเพื่อหาหนทางรอดของชีวิตทั้งๆที่เสียงปืนสามนัดเมื่อกี้เป็นของเขา ทั้งๆที่ไม่มีกระสุนปืนของฝ่ายตรงข้ามสวนกลับมาสักนัด แต่สิ่งที่อยู่ภายในใจของผู้หนีตอนนี้มีแต่คำว่าไม่รอดแน่!’ ยิ่งวิ่งหนี ยิ่งหลบซ่อน กลับยิ่งรู้สึกว่าความตายมันกำลังหายใจรดต้นคอเขาทุกวินาที!


เขาอาจจะรอด...ใช่...อาจจะรอด...ถ้าคนที่ตามเขามานั่นไม่ใช่ผู้ชายคนนั้น!


ร่างที่ไม่สูงเกินหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตรทว่ารวดเร็วและแข็งแรงกำลังวิ่งไล่อย่างไม่ลดละ เส้นผมสั้นสีดำสนิทปลิวปัดไปตามแรงลมที่มาจากความเร็วของเจ้าตัว ดวงตาเรียวคมสีเทาราวขี้เถ้านิ่งฉาบไปด้วยแววเย็นชาเด็ดขาดกลอกซ้ายขวาแล้วขีดเส้นทุกตรอกซอกซอยในย่านนี้ในหัว มือแกร่งกระชับแน่นเข้ากับ Glock 21 SF  ปืนกึ่งออโตเมติกรุ่นพิเศษที่คนธรรมดาไม่มีสิทธิ์ได้ถือ มันพิเศษพอๆกับเสื้อสูทเนื้อดีที่คลุมร่างกายแข็งแกร่งอยู่ กับตราลูกโลกมีกระบี่ปักกลาง มีตราชั่งแห่งความยุติธรรม และสุดท้ายคือตัวอักษรแปดตัวบนกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอก


‘INTERPOL’


และบัตรเคลือบอย่างดีที่ติดอยู่ตรงปกเสื้อสูท บอกชื่อและตำแหน่งของผู้ล่าที่ทำให้ผู้หนีรู้ตัวดีว่าไม่มีทางรอด


‘Lance Corporal Levi’


ร่างแข็งแกร่งลัดเลาะไปตามซอกซอยนับสิบอย่างไม่มีการลังเล หูทั้งสองข้างฟังเสียงฝีเท้า เสียงหอบหายใจ เสียงปืนของผู้หนีราวกับเสือล่าเหยื่อ จากทีได้ยิน เหยื่อของเขาเสียกระสุนไปแล้วหกนัด และสองในหกนั้นฝังอยู่ในร่างไร้วิญญาณของลูกน้องเขาเมื่อยี่สิบนาทีก่อน นอกเหนือจากนั้นหมอนี่ยังเป็นสมาชิกของแก๊งค์ส่งยาเสพติดข้ามประเทศที่หอบเอาเงินของกลางจำนวนห้าแสนดอลลาร์จากการซื้อขายเฮโรอีนที่ชายแดน แล้วหนีจากสายตาเขามากบดานอยู่ในน็อตติงแฮมถึงห้าวัน


รวบรวมทุกข้อหาแล้ว...โทษของมันก็มีอยู่สถานเดียว...


ตึก!


เสียงฝีเท้าที่กระทบพื้นถนนหายไปทำให้ผู้ล่าต้องหยุดชะงักทำให้ความเงียบยามค่ำคืนตอนเกือบตีสามหวนกลับมาอีกครั้ง มีอยู่ไม่กี่สาเหตุนั่นคือผู้ต้องหาหลบซ่อนตัวหรือขึ้นพาหนะหนีไปแล้ว แต่แถวนี้ไม่มีรถให้หนี แล้วก็ไม่มีแท็กซี่มาวิ่ง ไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ และคนที่มีชนักติดหลังถึงห้าแสน แถมเป็นของร้อนแบบนั้น อีกอย่างยังเป็นผู้เหลือรอดคนเดียว...จะมีใครหน้าไหนมาช่วย...


หืม...? เงินร้อนๆห้าแสน...แถมไม่ต้องแบ่งกับใคร...


ดวงตาสีเทามองทอดไปตามถนนเบื้องหน้าที่มีห้างร้านและบ้านเรือนอยู่ประปรายตามประสาเขตนอกเมือง สายตาเฉียบคมวิเคราะห์ภาพเบื้องหน้าเพียงชั่วครู่ ทุกสิ่งก่อสร้างเงียบสนิทยกเว้นร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ท่อนขาแข็งแรงเดินไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน เลือดในกายลดอุณหภูมิลงแต่บรรยากาศรอบตัวของตำรวจหนุ่มยังคงร้อนระอุ แล้วยิ่งทวีความดุดันยิ่งขึ้นเมื่อดวงตาเรียวจับจ้องไปที่บ้านหลังหนึ่งที่เปิดไฟอยู่


เขาเหลือบมองชื่อบนป้ายหินอ่อนหน้าบ้านเล็กน้อยก่อนที่จะกดกริ่ง รอสักพักแต่ในความรู้สึกคือนานกว่าปกติจึงมีหญิงสูงวัยกับลูกสาววัยรุ่นในชุดนอนออกมารับ ตรงเอวของหญิงวัยสี่สิบยังมีเด็กชายตัวน้อยๆกอดแน่นแถมใบหน้ายังติดแดงๆแล้วมีน้ำตาอยู่ที่ขอบตา ก็น่าแปลกอยู่ว่าเกือบตีสามแล้ว แต่สมาชิกบ้านนี้ก็ยังไม่มีใครทำท่าง่วงนอน


นอนดึกเป็นประจำ?...นอนไม่หลับ?...หรือ...ถูกปลุก?


“ขอโทษที่รบกวนยามวิกาล มิสซิสโจนส์...” ไม่มีคำแนะนำตัวจากตำรวจหนุ่มที่สีหน้ายังนิ่งเรียบเย็นชา แต่การจับบัตรประจำตัวบนปกสูทยื่นไปข้างหน้าเล็กน้อยให้เจ้าของบ้านดูบ่งบอกอาชีพทำให้หญิงสูงวัยสะดุดลมหายใจเฮือก ใบหน้าขาวซีดมีเหงื่อผุดพราย แต่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ระหว่างประเทศคนนี้ไม่มีเวลาพอที่จะมารักษาน้ำใจชาวประชา ร่างแข็งแกร่งเบียดแทรกเข้าสถานที่รโหฐานอย่างรวดเร็ว


“เข้าไม่ได้นะ!! นี่คุณมีหมายค้นหรือเปล่า!!” เสียงค้านจากเจ้าบ้านทำให้คนที่ทำเหมือนเป็นผู้บุกรุกหยุดฝีเท้า ใบหน้าคมคายหันมา ดวงตาคู่นั้นเย็นเยียบจนน่าขนลุก


“โห...ถามเหมือนในละครทีวีเลยนะ” ริมฝีปากที่มักตึงเรียบอยู่เสมอหยักขึ้นเพียงเล็กน้อยจนมองเหมือนตาฝาดไป “คุณคิดว่าการที่ตำรวจคนหนึ่งกำลังตามจับผู้ร้ายหลบหนีกลางดึกสงัดแบบนี้...มันจำเป็นต้องมีไอ้ของแบบนั้นมาเสมอเลยหรือไง...คนที่ผมตามจับอยู่คือหนึ่งในสมาชิกเอเย่นต์ค้ายาเสพติดที่หนีมาพร้อมกับเงินห้าแสน...ผมขอเวลาไม่เกินห้านาที...แล้วถ้าผมลงมามือเปล่า คุณโทรไปหาองค์การตำรวจสากลประจำอังกฤษได้เลย แต่ถ้าผมได้ของกลางกลับมาแล้วผลปรากฏว่ามันไม่ครบห้าแสน....”


“....”


“ผมคงต้องขอเชิญคุณไปกับผม มิสซิสโจนส์...” เสมือนเป็นคำตัดสินของจอมปิศาจ เท่านั้นสมาชิกในบ้านก็เข่าอ่อนแล้วร่วงลงไปนั่งกับพื้น ร่างกายของพวกเธอสั่นระริก เหงื่อไหลท่วมกาย ใบหน้าเหยเกราวกับจะร้องไห้ออกมาให้ได้ แต่คนเป็นตำรวจสากลไม่สนใจ เดินขึ้นบันไดไปอย่างเงียบงันโดยที่เขาไม่ลืมมองทะลุไปถึงประตูหลังบ้าน หน้าต่างทุกบานที่ล็อกจากข้างในยังคงอยู่ในสภาพเรียบร้อย แถมยังไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบริเวณนี้อีกเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้เหยื่อของเขาก็เหมือนหมาจนตรอก


ฝีเท้าของร่างแข็งแกร่งยิ่งเบาลงและเบาลงเมื่อเหยียบชั้นสองของตัวบ้าน นัยน์ตาสีเทากวาดมองทุกห้องริมทางเดินอย่างรวดเร็ว แล้วเดินตรงไปที่ห้องริมสุดซึ่งน่าจะเป็นห้องเก็บของ และดูเหมือนพระเจ้าจะเข้าข้างฝ่ายยุติธรรมไม่เบา เมื่อประตูมีฝุ่นเกาะหนาจนขยะแขยงลูกตาเขาขนาดนี้ แต่ลูกบิดจับประตูกลับสะอาดเป็นหย่อมๆ ผู้ล่าผ่อนลมหายใจเล็กน้อย นิ้วชี้เรียวพร้อมที่ไกของปืนคู่ใจ ก่อนที่จะ...


โครม!!!!


ท่อนข้างแข็งแรงยกขึ้นถีบประตูไม้สนอย่างดีเต็มแรงจนบานพับสี่ตัวหลุดแล้วร่วงกราวกับพื้น ส่วนเจ้าแผ่นไม้ก็ล้มตึงเข้าไปในห้อง และถ้าได้ยินไม่ผิด เหมือนได้ยินเสียงของเจ้าของบ้านกรีดร้องเบาๆอยู่ชั้นล่างด้วย ภายในห้องมีกล่องลังตั้งซ้อนกันเป็นชั้นๆ และส่วนใหญ่เป็นพวกเฟอร์นิเจอร์เก่าๆที่ใช้งานไม่ได้แล้ว ตำรวจหนุ่มหยุดชะงักเมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ แล้วย้อนทบทวนความคิดของตัวเองใหม่


ใช้งานไม่ได้แล้ว...ใช่มั้ย?


หวืดดดด....โครม!!!!!!


ตำรวจหนุ่มเหวี่ยงขาขาเดิมอย่างแรงแหวกอากาศแล้วฟาดเข้ากับตู้ไม้อัดมีลิ้นชัก เฟอร์นิเจอร์เก่าล้มโครมลงกับพื้นแล้วคายสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นหมด เสื้อผ้าเก่าๆ ตุ๊กตาขาดๆ หนู.... แมลงสาบ...แล้วก็หมาจนตรอก...


กริ๊ก!


“ยกมือ แล้วค่อยๆลุกขึ้น...” เสียงทุ้มต่ำเยือกเย็นกับสัมผัสแข็งๆที่หลังศีรษะทำให้คนที่หนีมาถึงห้าวันตาเบิกกว้าง กลืนน้ำลายอึกใหญ่ หัวใจเต้นรุนแรงจนเหมือนมันจะวายไปภายในนาทีนี้ แล้วยิ่งหันหลังกลับไปพบกับใบหน้าเหี้ยมเกรียมของผู้ล่าแล้ว เขาไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจ ใช่...เขาคิดผิดไป...เขาคิดตื้นไป...เขาฆ่าตัวตายทันทีที่เข้ามาหลบอยู่ในบ้านหลังนี้! มันเป็นที่ๆเขาคิดว่าจะปลอดภัย หากนายตำรวจตรงหน้าเขาแยแสกฎของเจ้าหน้าที่มากกว่านี้!!


แต่ยิ่งสบดวงตาเย็นชานั้นแล้ว เขาเพิ่งจะรู้เอาเดี๋ยวนี้เอง ว่าคนตรงหน้าไม่สนใจอะไร นอกจากจะฆ่าเขาเท่านั้น!


ให้ตายสิ...นี่ตำรวจใช่มั้ย...


“ที่นี่...เป็นสถานที่...ของบุคคลอื่น...”เสียงของอาชญากรเอ่ยออกมาอย่างยากเย็นพร้อมกับไพ่ตายใบสุดท้ายที่กำลังจะงัดออกมาใช้ อย่างน้อยๆก็ขอเพียงแค่รักษาชีวิตไปอยู่ในคุกบัดซบๆอาจจะเป็นการดีกว่าตายด้วยน้ำมือของคนที่แทบจะไม่ใช่ตำรวจนี่! ใบหน้าตอบมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดพราย “แก...ไม่กล้ายิงฉันที่นี่หรอก...ฮะฮะ”



และนั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเป็นครั้งที่สอง...


“กล้า...”


ปัง!


สิ้นเสียงตอบสั้นๆ Glock 21 SF ก็แผดดังลั่นพร้อมกับร่างของชายหนุ่มล้มตึงไปกับพื้นแล้วนอนนิ่งสนิททั้งๆที่ตายังเบิกกว้าง ที่หน้าอกมีกระสุนเพียงนัดเดียวเจาะทะลุกลางอกค่อนไปทางซ้ายนิดหน่อย มือแกร่งค่อยๆลดปืนลงแล้วมองศพด้วยท่าทีเฉยชา เลือดจากปากแผลไหลเอื่อยๆนองพื้นแล้วเลอะตัวกระเป๋าทำให้ผู้สังหารขมวดคิ้วยุ่งว่าเขาน่าจะกระชากกระเป๋ามันออกมาก่อน ถ้าเป็นอย่างนี้คงต้องโทรเรียกลูกน้องให้มาเก็บของกลาง


อากัปกริยาของตำรวจหนุ่มยังคงเป็นไปตามปกติทั้งๆที่เขาเพิ่งจะทำการวิสามัญฆาตกรรมแถมในสถานที่พักอาศัยของผู้อื่นไปสดๆร้อนๆ เพียงแต่นี่เป็นรายที่สี่ร้อยเศษๆแล้ว ตั้งแต่เขารับราชการมา มือแกร่งคว้าสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงแล้วกดเบอร์ออก ไม่นานก็มีคนรับสาย แถมยังไม่ใช่เจ้าของโทรศัพท์อีกต่างหาก


[ว่าไงรีไว! งานเสร็จแล้วเหรอ ปืนที่ฉันปรับแต่งให้เป็นไง อัตราการยิงรัว Full Auto อยู่ที่ 1500 RPM นัดต่อนาทีเชียวนา ลองไปหรือยัง!!] ดวงตาสีเทากลอกขึ้นฟ้าหน่ายๆ แล้วตอบกลับไป


“ฉันยิงไปแค่นัดเดียว...แล้วนี่เพ็ตโทร่ากับพวกของฉันไปไหน... ฮันซี่”


[กำลังจะรถออกไปรับนายแล้ว ใช้GPS ที่ติดอยู่กับบัตรนายตามตัว อีกสักสิบห้านาทีคงถึง เปล ผ้าขาวห่อศพ พร้อม!] น้ำเสียงร่าเริงของหญิงสาวที่อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยทำให้คนฟังอยากล้วงมือผ่านโทรศัพท์ไปบีบคอหอยเจ้าหล่อน อ่า ใช่...แล้วก็ไอ้เปลกับผ้าขาวห่อศพนั่นด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพรรคพวกชินกับการจัดการคนร้ายของเขาแค่ไหน ร่างแข็งแกร่งถอนหายใจแล้วสำทับไปอีกว่า


“กุญแจมืออีกสองคู่ ข้อหารับของโจร เอาทนายหรือคนจากศาลเยาวชนมาด้วยก็ดี มีเด็กไม่บรรลุนิติภาวะตกเป็นจำเลย”


[ลูกเล็กเด็กแดงยังไม่เว้นเลยนะ รีไว ระวังเถอะ จะไม่มีเด็กน้อยๆเข้าใกล้ให้ชื่นหูชื่นตา] คำแช่งทีเล่นทีจริงของหญิงสาวมือหนึ่งแห่งกองพิสูจน์หลักฐานไม่แปรเปลี่ยนสีหน้าของคนฟัง เขาปล่อยมันผ่านไปเหมือนลมกรอกหู แต่กับประโยคต่อมาเขากลับปล่อยผ่านมันไปไม่ได้เพราะหญิงสาวปลายสายพูดมันด้วยน้ำเสียงจริงจังจนกลายเป็นโรคจิต


[กลับมาแล้วมาเปิดข้อความที่ฝากไว้ในโทรศัพท์ด้วยล่ะรีไว จากบอสใหญ่พิคซิส...]


“....”



[ฉันว่างานนี้นายโดนหนักแน่ๆ พ่อสิบตรีนักวิสามัญฯ]


.


.


.



TBC…

มิยะขอเม้าท์

สวัสดีค่ะ นี่เป็นฟิคไททันเรื่องแรก โฮกกกกกกกกกกกกก อยากบอกเป็นครั้งที่ร้อยว่าอดทนอดกลั้นกับการ์ตูนเรื่องนี้มานานมากกกกกกกกกกกก ทั้งๆที่มันออกมานานแล้ว แต่เพิ่งได้ดู เพิ่งได้ฟิน เพิ่งได้แต่ง ว้ากกกกกกกก *ทึ้งหัว คือ หลงใหลเป็นปลื้มกับเรื่องนี้ค่ะ มีออสกาด้านภาพ แสง สี เสียง ซาวด์แทร็กซ์ จะยกให้หมดเลยจริงๆ ทำเอาไอ้มิยะขนลุกไปหลายตอน ตอนซึ้งตอนเศร้านี่น้ำตาไหลเลย เพราะงั้นด้วยความรักความชอบ จึงบังเกิดจินตนาการ แล้วเป็นฟิคเรื่องนี้แหล่ะ แหะๆๆ 


แต่ในที่สุดก็เสร็จทัน ถึงจะแค่อินโทรก็เถอะ แล้วก็ไม่ควรอ่านตอนก่อนกินข้าวหรือกำลังกินอยู่ ฮา! แอบรู้สึกว่าอินโทรหนูเลนมันยาวกว่าอินโทรเฮย์โจว // หลบดาบ มะ ม่ายช่ายยยย ไม่ได้เกิดจากความลำเอียงแต่อย่างใด แต่เมื่อในวันนี้ มันเป็นวันพิเศษนี่เน้อ >3< // คว้าเจ้าของวันเกิดมาจูบกระหม่อม


สุขสันต์วันเกิดจ้า หนูเลน!


มีความสุขมากๆน้าาา แม่ยกรักแม่ยกหลง เจ้านายรักเจ้านายหลง น่ารักๆอย่างนี้ตลอดไปจ้ะ ถ้าจะสงสารกันก็เอาซีซันใหม่มาเร็วๆเต๊อะ! จะขาดใจแล้วววววว ว่ากันด้วยชื่อเรื่อง แหะๆๆ Forensic นี้มาจาก Forensic Medical หมายถึง แพทย์นิติเวช คือคนที่ทำงานสืบสวนเกี่ยวกับศพเพื่อหาหลักฐานหรือเบาะแสสาเหตุการตาย และนำไปสู่การดำเนินคดีค่ะ ส่วนหนูเลนเรื่องนี้ขยับอายุมานิดนึง เป็นหนุ่มมหาลัย แน่นอนว่าอายุเฮย์โจวก็ขยับด้วย // หลบดาบอีกรอบ เดี๋ยวตอนหน้าพวกอุปกรณ์เครื่องมือแล้วก็ปืน Glock 21 SF คู่กายคุณรีไว จะเอามาให้ดูนะคะ


ฮี่ๆ ไว้เจอกันตอนหน้าจ้ะ


Miya     

2 ความคิดเห็น:

  1. ง๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แอบอู้งานมาอ่านอินโทร คืออ่านของเอเลนแล้วขนลุก...นี่มันฟิคหรือนวนิยายสืบสวนสอบสวนคะ บทบรรยายละเอียดมว๊ากกกกกกกกกกกก >v< โอยยยยลูบแขนๆ สมกับที่คนแต่งกำลังจะไปเรียนด้านนี้จริงๆ อิ๊อิ๊ นี่ศึกษาเพื่อแต่งฟิคหรือเตรียมตัวเป็นเฟรชชี่คะนี่ กร๊ากกกกก (โดนเหยียบ...ใครว่าหนูอยากจะอยู่นิติเวชค้า น้องมิยะอาจจะอยากเป็นหมอเด็ก ก็เด็กๆ(?)มันน่าร้ากกกกก น่ากิน(?)นี่นา >///<) พูดถึงเด็กๆ เจอประโยคนี้ของฮันซี่เข้าไป

    "ลูกเล็กเด็กแดงยังไม่เว้นเลยนะรีไว ระวังเถอะ จะไม่มีเด็กน้อยๆเข้าใกล้ให้ชื่นหูชื่นตา"

    อุฮิฮิฮิ ระวังคุณรีไวแกเคืองแล้วไปคว้าเด็ก(?)มาควงเย้ยนะคะ แอร๊ยยยยยย >////< อ่านแล้วดิ้นปั้ดเลยค่ะประโยคนี้ >/////<

    มาพูดถึงฟิคกันบ้าง เป็นฟิคที่แปลกแหวกแนวมากเลยค่ะฟฟฟฟฟ แต่ชอบนะไม่ใช่ไม่ชอบ เพราะเหมือนได้อ่านทั้งเรื่องของการสอบสวนสืบสวนคู่ไปกับเรื่องราวของความรักเลยอ่ะ ซึ่งปกติฟิคมันจะโฟกัสที่เรื่องของความรักอย่างเดียว ส่วนพวกนิยายสืบสวนมันก็มักจะเน้นแต่เรื่องสืบสวน พอน้องมิยะเอามารวมกันแบบนี้ยัยมี๊เลยสครีมลั่นบ้านเลยค่ะ ชอบนิยายสืบสวนอยู่แล้วด้วย ได้ตัวเอกอย่างหนูเลนกับคุณรีไวมาเดินเรื่องแบบนี้โฮกตายกันไปข้างอ่ะ >////<

    โอยยยย แค่คิดว่าอัจฉริยะนิติเวชจะต้องมาเจอกับพ่อสิบตรีวิสามัญแล้วร่วมมือกันนี่มันก็อิ๊อร๊างวี๊ดว๊ายแบ้วอ่ะ >////<

    คือคุณรีไวผู้ไม่เคยสนใจอะไร อ่านๆไปก็นี่มันตำรวจหรือมาเฟียกันแน่ฟ๊ะ ถึงขนาดตามไปสอยคนร้ายในบ้านคนอื่นหน้าตาเฉยงั้น อยากจะรู้จริงจริ๊งงงง ว่าจะมีอะไรมาทำให้คุณท่านใจสั่นได้บ้างไหมนะ =w= คือน้องมิยะปั้นคุณรีไวในเรื่องนี้ให้อิมเมจเหมือนซาตานกำลังไล่เหยื่อเลยค่ะ อ่านไปก็รู้สึกถึงขนนกสีดำปลิวว่อนยังไงไม่รู้ ง๊ากกกกก จะเท่ห์ไปไหน >v<

    ส่วนหนูเลนก็ตรงคาแรกเตอร์มาก คือนอกจากสิ่งที่สนใจแล้วก็จะไม่มีอะไรอยู่ในสายตาอีก555 น่าร้ากกกกก >///< ชอบบทบรรยายเกี่ยวกับผนังกระจกกั้นห้องจังค่ะ คือมันสื่อถึงความสับสน ความคลุ้มคลั่งในจิตใจของเอเลนได้ดีจนรู้สึกขนลุกตามเลยอ่ะ รู้สึกว่าลูกชายมี๊ในเรื่องนี้นี่ "พิเศษ" จริงๆด้วย งื้ออออ แค่คิดว่าจะต้องมาเจอกับพญาซาตานข้างบน......เตรียมตั้งกล้อง(โดนโบก!)

    ในช่วงทอล์คพูดถึงอนิเมะของไททัน...เนอะคะ...อยากจิประเคนรางวัลทุกสาขาให้ไปจริงๆอ่ะ ทั้งเนื้อเรื่อง ภาพ แสง สี เสียง ซาวน์แทรค คาแรกเตอร์ เสียงพากย์ บลาๆๆๆ คือเกิดมาไม่เคยเห็นอนิเมะที่ทำออกมาดีขนาดนี้มาก่อนเลยค่ะ โฮวววววววววว ชอบมากกกกก เพราะงั้นเอาภาคสองมาๆๆ >v<

    คืออยากจะบอกว่าดีใจที่น้องมิยะมาทางสายลูกหมา(โดนเหยียบ) เอ่อ สายเอเลนเหมือนกัน555 เก๊าจะได้มีฟิคคุณภาพอ่านเพิ่มขึ้น อิอิ ดีใจที่ล่อลวงสำเร็จ กร๊ากกกกก

    ตอน 1 เดี๋ยวตามไปอ่านนะกรั๊บ ดูจากเนื้อหาอินโทรแล้วคิดว่าต้องหาเวลาและสมาธิในการอ่านแบบตั้งใจๆเลยอ่ะ น่าจะมีเงื่อนขำอะไรให้คิดตามแน่ๆเบย ชอบๆ ขอบคุณที่แต่งฟิคดีๆมาให้อ่านนะค้า จูบรัวๆๆ >3<

    ตอบลบ
  2. อ๊าาาาาาา หนูเลนน่ารักกกก น่ารักเกินไป ชอบความจริงจังนั่นจริงๆ คิดอยู่ตลอกว่าเอเลนเป็นเด็กฉลาด แต่แทบไม่มีใครดึงเรื่องนี้ออกมาใช้เลย ฮืออ ส่วนอาเฮียคาแรคเตอร์จะว่าใช่ก็ใช่ แต่เหมือนเปลี่ยนนิดหน่อย เข้ากับบทดีครับ ถึงจะรู้สึกว่ายศ lance corporal มันจะต่ำไปหน่อยก็เถอะ;w; เพราะถ้าอิงจริงๆรีไวซังเป็น captain เป็นหน่วยพิเศษ เพราะไม่ได้จบหลักสูตรมา (ทำไมดูอวยหนูเลนเกินไปแบบนี้ เพราะรักฮับ #เตี้ยเหยียบ)

    ตอบลบ