หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557

Au.Fic KHR 8059 [Yamamoto X Gokudera] SKYFALL-NEGOTIATION- : 03



Project : Happy birthday P’Kwang [WAKETSU] 12.01.13
Au.Fic KHR 8059 [Yamamoto X Gokudera]
Drama comedy!? (มันอะไรกันล่ะนั่น!)
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
และอีกอย่าง ฟิคเรื่องนี้มัน...เว่อร์ได้โล่ วิปริตหน่อยๆ โรคจิตเล็กน้อย สาระค่อนข้างตกตะกอนนอนก้น
ขอให้มีความบันเทิง....ปรารถนาดีจาก Miyaจ้ะ *v*


SKYFALL : 03



“นี่! ทำไมต้องเป็นอเมริกาด้วยล่ะ อังกฤษไม่ได้เหรอ” เสียงกระเง้ากระงอดของเด็กชายที่เกือบจะแตกเสียงหนุ่มอยู่แล้วต่อให้เงี่ยหูฟังแค่ไหนมันก็ไกลโขจากคำว่าน่ารัก แถมเจ้าคนหน้าหนาแต่เล็กแต่น้อยยังไม่กระดากสักนิด กอดแขนเด็กชายตัวเล็กบางอีกคนราวกับหมอนข้าง


...แต่เหมือน...นั่นจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายเลยนะ...ที่รู้ว่าไอ้บ้านี่มันสูง...


ที่รู้ก็คงเพราะใกล้...เลยได้สังเกต เผลอแป๊บเดียว ต้องเงยหน้าคุยด้วยแล้ว...


“จะทำไมซะอีกล่ะ ก็อาเจ๊ต้องไปต่อไฮสคูลที่โน่น ส่วนฉันจะเรียนที่ไหนมันก็เหมือนกันอยู่แล้ว” จะอยู่ที่ไหนก็ได้ A บวกบวกบวกบวก...ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย


“แบบนี้ก็แย่น่ะสิ”


“หา?


“แย่...สำหรับฉัน” แขนยาวๆอ้อมเข้าที่หลังคอแล้วดึงร่างเล็กเข้ามาแนบกาย แล้วก้มลงฝังใบหน้าเข้ากับไหล่มนทำเอาร่างเล็กๆกระตุกเกร็งขึ้นมา ตอนนั้นก็พูดไม่ค่อยถูกเท่าไหร่ แค่ความรู้สึกมันยังอธิบายไม่ได้เลย พยายามหาคำจำกัดความ แต่หัวที่มันเคยไวเสมอกลับเหมือนถูกชัทดาวน์ลงไปซะดื้อๆ


แต่เหมือนวินาทีที่ปลายนิ้วอีกฝ่ายแตะเข้าทีท้ายทอยแล้วลูบเบาๆคลับคล้ายว่าจะอ้อน...ตอนนั้น ได้ยินเสียงเข็มวินาทีบนนาฬิกาข้อมืออีกฝ่าย...มันดัง...แต่ช้ามาก....


ช้าจนเหมือนจะหยุดนิ่ง


“ที่ฉันอยากให้นายไปอังกฤษด้วยกัน ก็แค่อยากให้เห็นเท่านั้นแหล่ะ” เสียงของเจ้าบ้านี่ก็เนิบช้า ทั้งๆที่ปกติเวลาพูดกับเขามันจะทั้งเร็วทั้งรัวจนฟังไม่รู้เรื่อง


“....เห็นฉัน...ที่สักวัน....”



“.................”



หืม...?




สักวัน...อะไรนะ...?



ไม่...ได้ยินเลย...




พูดว่า...อะไรนะ....







...เดระ”


“โกคุเดระ...”


“นี่ โกคุเดระ” เสียงของใครบางคนที่ฟังคล้ายๆจะเป็นคนในความฝันแต่มันทุ้มและทรงอำนาจกว่าเยอะดังกรอกหูแผ่วเบา แต่มันก็เหมือนจะสู้ความง่วงขั้นแม็กซิมั่มของคนนอนไม่ได้ ยามาโมโตะยิ้มแห้ง นี่ถ้าเป็นสาวๆคนอื่นล่ะก็ ได้ยินเสียงเซ็กซี่ของเขาขนาดนี้จะลืมตาแล้วโผเข้าสู่อ้อมอกเหมือนในเรื่องเจ้าหญิงนิทราไปแล้วนะเนี่ย


ช่วยไม่ได้แฮะ


“เรียกชื่อแล้วไม่ตื่นนี่หมายความว่ายังไงครับ...อยากให้เรียกว่าที่รักเหรอ” เป่าลมข้างหูไปอีกเบาๆ คราวนี้ได้ผล เจ้าของดวงตาสีมรกตสุกใสเบิกโพลงสะดุ้งโหยงจนตัวลอยอย่างที่ยามาโมโตะนึกขำว่าถ้าเบาะของชั้นเฟิร์สคลาส โกคุเดระ แอร์ไลน์ (แต่ยี่ห้อ The Best) ไม่มีสปริงชั้นเยี่ยม สะโพกสวยๆนั่นอาจจะระบมก็ได้


“แก!! ทำไมมาอยู่ตรงนี้! มาตอนไหน! มายังไง! ทำอะไรลงไปบ้าง! บอกมา!!” ตื่นมาได้ก็เปิดปากโวย ถอยหลังกรูดจนติดกระจกทำเหมือนเขาเป็นโจรฆ่าข่มขืนร้อยศพ แต่แขนบางๆนั่นคว้าโน้ตบุ๊คมากอดแน่นจนร่างสูงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าบางที ไอ้ที่ถามว่า ทำอะไรลงไปบ้างคงหมายถึงเขาไปปู้ยี้ปู้ยำข้อมูลสุดเลอค่าที่บรรจุอยู่ในเจ้า Macbook Pro Retina เครื่องนั้นหรือเปล่า


หางคิ้วของท่านประธานยามาโมโตะ ทาเคชิถึงกับกระตุกหงึกๆ


ให้ตายเถอะ....นี่ระหว่างสวัสดิภาพของตน กับข้อมูลทางธุรกิจ เจ้าคนตรงหน้ายังอุตส่าห์เลือกอย่างหลัง...


แหม...แล้วที่เขาอดทนอดกลั้นเป็นสุภาพบุรุษทำได้แค่นั่งมองหน้าอีกฝ่ายหลับมาร่วมสิบกว่าชั่วโมงนี่มันคุ้มอะไร!


“กลับไปนั่งที่ตัวเองเลยนะ” โฮ่! ไล่มาได้นะทูนหัว อยากบอกว่าไม่ทันแล้วจ้า!


“ไม่เอาหรอก อีกสิบนาทีเครื่องจะแลนด์ดิ้งแล้วนะ นายก็รู้ว่ามันอันตราย” เด็กหนุ่มผู้มีโปรไฟล์เหนือมนุษย์ยักไหล่แถมยังคว้าซีทเบลท์มาคาดได้อย่างหน้าตาเฉย เรื่องอะไรเขาจะยอมกลับไป จนกว่าจะได้ยินคำขอบคุณสักคำที่เขาอุตส่าห์มาประคบประหงมดูแลตอนอีกฝ่ายหลับสนิทล้างคำว่าหน้าโง่ตัวโตๆที่ติดบนหน้าก่อนมันถึงจะดี!


แต่ยามาโมโตะ ทาเคชิเอ๊ย! นายมันก็แค่หัวหน้ากรรมกรก่อสร้างวิมานกลางอากาศ! หน้าตาคนข้างๆเขาไม่ได้ซึ้งในน้ำใจหล่อๆที่ไม่แพ้หนังหน้านายเลย แต่เขากำลังมองนายอย่างระแวงประหนึ่งผู้ก่อการร้ายต่างหาก!


“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันไม่ได้ดูอะไรในโน้ตบุ๊คนายเลย” น้ำเสียงที่พยายามปรับให้เนิบทุ้มเพื่อความน่าเชื่อถือ แถมหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายหนึ่งที เอ่อ..ไม่รู้เหมือนกันจะยิ้มยังไงให้ดูใสวิ้งจริงใจที่สุดว่าที่เขาพูดไม่ได้ตอแหล เผอิญว่าไอ้รอยยิ้มชั่วๆเลวๆใช้กวนเบื้องบาทคู่แข่งมันใช้มากกว่าอ่ะ ก็เลยติดไปแล้ว ซอรี่จริงๆ


“อีกอย่างก็...ต่อให้ดูไปก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะคนอย่างท่านประธานโกคุเดระ ฮายาโตะ คงไม่ล่อเสือล่อตะเข้โดยการเอาข้อมูลมาโชว์บนหน้าตักแล้วเผลอหลับไปแบบนี้หรอกใช่หรือเปล่า กลัวว่าจะเป็นกับดักของการวางกลยุทธ์ในการยื่นซองประมูลพรุ่งนี้มากกว่า"


ดวงตาสีมรกตสวยกลอกมาจิกเขาอย่างไม่ปราณีปราศรัยก่อนจะกลับไปมองตรงหน้าอย่างเดิม ริมฝีปากบางบิดยิ้มด้วยความหมั่นไส้อย่างที่เขาเห็นจนชาชิน


“ฉันล่ะเกลียดจมูกดีๆเหมือนหมาของแกจัง” และตามด้วยประโยคคำชมที่ซาดิสม์ที่สุดเท่าที่เคยฟังมา แต่ขอโทษเถอะที่ท่านประธานยามาโมโตะผู้เป็นเจ้าของโปรไฟล์เหนือมนุษย์เป็นมาโซคิสม์ ฟังยังไงก็ดีใจเหมือนไปโลกหน้า


“แต่เสียใจด้วยที่คราวนี้ฉันเก็บข้อมูลเอาไว้น้อยที่เพื่อป้องกันการล้วงตับของไอ้พวกแสนรู้หูกระดิกอย่างแก ยิ่งอยู่ไม่กี่วันฉันยิ่งต้องเก็บข้อมูลให้รัดกุม พูดง่ายๆเลยว่าถ้าแกจะศึกษาข้อมูลคู่แข่งอย่างเครือโกคุเดระ...มันมีก็แต่ต้องมาล้วงจากโน้ตบุ๊คเครื่องนี้เท่านั้น” 


เนื้อคู่หน้าสวยยักคิ้วขวา เจ้าตัวคงคิดว่ามันเท่ มือบางตบลงเบาๆกับเจ้า Macbook Pro Retina จนทำให้คนมองต้องหรี่ตาลง จับจ้องเครื่องมือไอทีเพียงชิ้นเดียวของเด็กหนุ่มร่างบางผู้เลื่องชื่อในวงการธุรกิจที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่นแง่อะไรกับเขา แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้ตามสัญชาตญาณ...ไม่สิ...ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่รู้โดยอัตโนมัติเมื่อจ้องมองดวงตาสีมรกตตรงหน้า โกคุเดระ ฮายาโตะก็เป็นแบบนี้ เป็นนักตกปลาตัวยงที่เหวี่ยงเบ็ดติดเหยื่อ แล้วไม่สนด้วยว่าเหยื่อนั้นจะจริงหรือปลอม แต่สุดท้ายเขาก็จะจับปลาได้ทุกที แล้วก็เชื่อเสมอว่าถ้าปลาไม่กินเบ็ดอันนี้ มันก็ต้องไปเสร็จอันถัดไปที่ไม่มีทางรู้ว่าอยู่ที่ไหน และจะโผล่มาเมื่อไหร่


แล้วปลาตัวใหญ่ที่ว่าคงรออยู่ที่เจนีวาเต็มไปหมด รวมหนึ่งตัวที่กล้าหาญชาญชัยว่ายมาหาผู้ล่าเองอย่างเขา


ให้ตายสิ...คนอย่างยามาโมโตะ ทาเคชิ ไม่ได้รู้สึกขนลุกแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว


“แกหมดโอกาสสุดท้ายที่จะล้วงความลับของฉันแล้ว ท่านประธานแห่ง The Best” ดวงตาคู่สวยเหล่มองเขาอีกครั้งเพื่อตอกย้ำให้รู้สึกเสียดายเหยื่อซะอย่างนั้น แต่เขาเกือบหลุดขำเมื่อเจ้าคนมีสีหน้ามั่นใจตลอดเวลานั่นกลับตัวเกร็งขึ้นฉับพลันเมื่อเขาตั้งข้อศอกบนพนักหนานุ่มแล้วเอามือเท้าคางตั้งใบหน้าหล่อทวยเทพซะเกือบชิดหน้าอีกฝ่ายแบบไม่บอกกล่าว ดวงตาสีเปลือกไม้คมกริบอ่านยากจ้องมองมาอย่างนิ่งงัน ริมฝีปากขยับถามเสียงนุ่ม


“เหรอ...” หนึ่งคำ สั้น ง่าย แต่มีหญิงสาวตายเกลื่อนมาแล้วไม่รู้กี่ศพ


ใบหน้าสวยจ้องเขาไม่กระพริบแล้วค้างอยู่อย่างนั้นจนผิดปกติ ปฏิกิริยาน่าขำที่เขาเองก็ใช่จะไม่เห็นบ่อยๆ มีหลายคนอยู่หรอกที่โดนเขาจ้องหน้าแล้วนิ่งเงียบเป็นรูปปั้น แต่กับโกคุเดระ ฮายาโตะมันต่างกันไป พวกนางแบบ ดาราสาวหุ่นเซียะตลอดจนลูกสาวประธานบริษัทอื่นคงหลงใหลเขาเหมือนเห็นเทพบุตร แต่กับคนตรงหน้ากำลังมองว่าเขาเป็นสัตว์ร้ายที่กำลังจะแว้งกัดทันทีเมื่อกะพริบตา แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็เอ่ยตัดบทเบาๆ


“...ก็เออสิ”


แถมใบหน้าสวยยังกลับไปเฉยชาเจือด้วยความมาดมั่นนิดๆอย่างเก่าเหมือนอาการเมื่อครู่เป็นแค่ภาพลวงตา การเก็บอารมณ์อย่างมืออาชีพที่ยามาโมโตะต้องกระตุกยิ้มบางๆว่าสมแล้วที่เป็นโกคุเดระ ฮายาโตะ


ดูภายนอกคงไม่มีอะไรที่ผิดปกติ แต่ถ้าเอาเครื่องอีเคจีมาตรวจคลื่นหัวใจ มันก็คงจะไม่แน่ นั่นเป็นสิ่งที่ทายาทคนรองแห่งเครือโกคุเดระต้องยอมรับโดยดุษณี


เพราะกับอีแค่คำไม่กี่พยางค์ว่า ก็เออสิเขากลับต้องใช้เวลาเรียบเรียงตั้งเกือบห้าวินาที นี่สินะเลเวลของลาสต์บอสที่อาเจ๊ของเขาพ่ายมาแล้ว แล้วดูเหมือนมันจะไม่มีอานุภาพทำลายแค่ผู้เล่นฝ่ายหญิง แต่ผู้เล่นฝ่ายชายอย่างเขายังรู้สึกลำบาก! นี่ถ้าเขาไม่ได้พกไอเท็มมาเต็มพิกัด เขาจะทำยังไง!


“เป็นบลัฟที่เจ๋งดี” ร่างสูงยิ้มรับก่อนจะผละออกไป เลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย “คิดบลัฟแบบนี้ได้นี่แสดงว่านายไม่กลัวว่าฉันจะแอบล้วงอะไรนายตอนนายหลับ?


ล้วงอะไรนายตอนนายหลับฟังถึงประโยคนี้แล้วโกคุเดระ ฮายาโตะ อยากเตะมันกลับไปเรียนภาษาญี่ปุ่นใหม่ว่าต้องระบุประธาน กริยา กรรมให้เรียบร้อย มันจะไม่ได้ออกมาฟังดูทุเรศหูได้ขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่คิดจะต่อความ นั่งปิดปากเงียบเพราะรู้สึกว่ายิ่งเขาคุยกับหมอนั่นมากเท่าไหร่ มันก็เหมือนเขาเผยอะไรต่อมิอะไรให้อีกฝ่ายรู้เท่านั้น อย่าลืมว่าตอนนี้เครือโกคุเดระกับยามาโมโตะ ไม่ได้เป็นฝ่ายเดียวกันแล้ว ความจริงควรสงวนปากสงวนคำมากกว่านี้ด้วยซ้ำ


แต่ใครจะไปรู้ว่าส่วนหนึ่ง มันก็เพราะไม่รู้จะรับมือแบบไหน...


กับสายตาของอีกฝ่ายที่เหมือนจะถามว่า ในสายตานายฉันดูเป็นคนน่าไว้ใจขนาดนั้นเลยเหรอ


แต่ก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นแหล่ะนะ...


อาการเงียบโดยกะทันหันของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของยามาโมโตะเท่าใดนัก นับว่าสมกับเป็นโกคุเดระที่รู้สึกตัวเร็วกว่าคนอื่น อันที่จริงเขาก็ไม่ได้มั่นใจอะไรนักหรอกว่าแบบเสนอซองประมูลของโกคุเดระมันอยู่ที่ไหนกันแน่ แล้วเขายอมรับว่าเผลอสะกิดใจกับคำบลัฟของอีกฝ่ายว่ามันอยู่ใน Macbookที่เจ้าตัวกอดไว้นั่นจริงๆ แต่ก็ไม่ถึงกับตั้งเป็นประเด็กหลัก เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ต้องไปพิสูจน์กันทีหลัง


สิ่งแรกที่เขารู้ความจริงคือโกคุเดระไม่มีเวลาเตรียมตัวมากนัก เห็นได้จากที่เจ้าตัวขึ้นชั้นเฟิร์สคลาสของสายการบินตัวเองทั้งๆที่เวลาออกบินมันทำให้การไปถึงค่อนข้างล่าช้า เขาไม่อยากจะพูดนักหรอกว่าบางทีโกคุเดระก็ชาตินิยมได้ไม่ถึงครึ่งของที่เจ้าตัวแสดงออก และไม่บ้าแบรนด์ของตัวเองเหมือนเขาที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเป็น The Best สำหรับร่างบางแล้วการทุบหม้อข้าวตัวเองบ้างเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจมันก็เป็นสิ่งที่ควรทำ ยิ่งการไปยื่นซองประมูลเสมือนการนัดบอดแบบนี้ควรไปถึงสถานที่สักสองถึงสามวันเพื่อสังเกตการณ์คู่แข่งและเตรียมแผนให้รอบกุมที่สุดจนกระทั่งถึงเวลายื่นซอง และโกคุเดระมักจะทำแบบนั้น บ่อยครั้งที่เขาเห็นร่างบางไปกับสายการบินอื่นเพราะเห็นว่าเจ้านกเหล็กในเครือของตนไม่สะดวก


เพราะขึ้นเครื่องบินของตัวเองฉันไม่ต้องเสียสักเยน มันคงทำให้สายการบินฉันขาดรายได้ไปไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าฉันพลาดเรื่องธุรกิจเพียงเพราะเตรียมตัวไม่ทัน มันอาจเท่าฉันระเบิดเครื่องบินตัวเองทิ้งไปอย่างน้อยหนึ่งลำ


เสียงแจ้วๆฉลาดเกินตัวของเด็กชายหัวเงินยังชัดเจนอยู่แม้มันจะผ่านมาหลายปี ซึ่งเขาก็เห็นด้วยอย่างช่วยไม่ได้ มันเลยทำให้เครื่องบินส่วนตัวของเครือยามาโมโตะเพิ่มจากสองเป็นสามลำหลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ และเขาเชื่อว่าคนอย่างโกคุเดระ ฮายาโตะ ไม่มีทางกลืนน้ำลายตัวเอง


แต่คราวนี้กลับไม่ใช่ คิดได้อยู่อย่างเดียวเท่านั้นว่าเจ้าตัวคงจะจองที่นั่งของที่อื่นไม่ทันการ ด้วยเพิ่งทราบถึงงานประมูลกะทันหันจากเอกสารบนโต๊ะในห้องข้อมูลของเขาเมื่อคืนนี้...อาจจะพูดได้นิดหน่อยด้วยซ้ำว่าเขาจงใจเอาไปล่อ...และแน่นอนว่าเขาก็มารอดักดูความสำเร็จของตนเองบนเจ้าเครื่องบินเครื่องนี้แทนที่จะเป็นลำส่วนตัวอย่างที่ร่างบางว่า


ใช่...เขาเองไม่ใช่คนดี ไม่ใช่นักธุรกิจใสซื่อมือสะอาดที่คิดจะสู้กับใครอย่างตรงไปตรงมาอยู่แล้ว บอกเอาไว้เลย เครือโกคุเดระเองก็เป็นเหยื่อที่เขาต้องจัดการคว่ำให้ได้ในพรุ่งนี้ ไม่มีคำว่าปรานี


ที่เขามานั่งข้างอีกฝ่ายโดยไม่เกรงกลัว...ก็ส่วนหนึ่งที่มันเป็นห่วง กลัวว่าจะล้มหมอนนอนเสื่อก่อนจะถึงเจนีวา เพราะอาการเพลียจัดจากการเตรียมเอกสารในคืนเดียวเท่านั้น


ที่ถามออกไปแบบนั้น...ก็ส่วนหนึ่งที่จะพยายามดูท่าทีอีกฝ่ายว่าที่จริงแล้วมองเขาเป็นคนน่าเชื่อถือหรือเปล่า


แต่ก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นแหล่ะนะ...


เขาไม่ลืมหรอก ว่าแท้ที่จริงแล้วเป้าหมายของเขาคืออะไร แล้วมันอยู่สูงกว่านี้ตั้งเท่าไหร่










เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์

11:42 AM.

เครื่องบินลดระดับลงบ่งการใกล้สิ้นสุดของการเดินทางข้ามน้ำข้ามประเทศนับสิบชั่วโมง สำหรับยามาโมโตะแล้วมันก็คงจะยาวไกลอยู่ แต่กับคนที่หลับมาจนมาตื่นเอาสิบนาทีสุดท้ายนี่คงจะรู้สึกต่างออกไป ทันทีที่รองเท้าของซีอีโออายุน้อยชั้นนำพร้อมด้วยผู้ติดตามอีกฝ่ายละคนเหยียบพื้นสนามบินกาแตร็งทำให้โกคุเดระต้องอดหรี่ตาสู้แสงแดดที่ส่องหน่อยๆไม่ได้ รู้สึกแปลกอยู่ที่เขาออกจากญี่ปุ่นก็สายแล้วแถมยังใช้เวลาเดินทางมากโข แต่ที่นี่มันก็เป็นเวลาแค่เกือบเที่ยง ต่อให้เดินทางบ่อยแค่ไหน ไอ้อาการเจ็ทแล็กก็ไม่มีปรานีเลยจริงๆ  


แต่อย่าคิดว่าในตอนนี้ถ้าเป็นเวลาปกติเขาไม่ได้แช่น้ำอุ่นๆอยู่ในจากุซซี่แล้วจิบไวน์ยามค่ำ เขาไม่ใช่เบียงกี้


พูดให้ตรงคือเขาคิดถึงจอพลาสมาหกสิบนิ้วแล้วมีตัวเลขวิ่งให้ควั่กอยู่ต่างหาก เปลือกตามันถึงได้เต้นไม่หยุดแล้วนิ้วที่เริ่มสั่นน้อยๆ มันบอกว่าเขาชินชากับการเฝ้าหุ้นมากแค่ไหน...ให้ตาย


ว่าแล้วก็เหลือบมองเพื่อนร่วมทางร่างสูงข้างตัว มองเลยไปถึงสัมภาระที่อยู่ในมือเจ้าเฟร็ดดอริกที่ผ่านการตรวจเช็กจากเจ้าหน้าที่สนามบินแล้ว ตามกำหนดการการประมูลแล้วพวกเขาจะเสียเวลาที่เจนีวาเพียงแค่สองวัน กระเป๋าเดินทางขนาดกลางเพียงใบเดียวกับกระเป๋าเอกสารตลอดจนแลปท็อปที่หมอนั่นหอบมาก็ดูไม่ผิดปกติ ต่อให้เขาไม่รู้ก็เถอะว่าไอ้เจ้ากระเป๋าเดินทางนั่นมันอัดเสื้อผ้าแบรนด์ประจำกายมามากแค่ไหน หรือส่งมาทางไหนอีกหรือเปล่า เพราะดูๆแล้วท่านประธานยามาโมโตะคนนี้เป็นพวกมีเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายบนตัวมากกว่าเจ็ดชิ้นทุกครั้งที่เจอ


“จัดของมาเยอะเกินไปหรือเปล่า” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นข้างตัวกับรอยยิ้มชวนอ่านยากทำให้ร่างบางไหวไหล่เล็กน้อย ก็ไม่แปลกอะไรที่จะโดนอีกฝ่ายสังเกตบ้าง อันที่จริงมันก็สมควรจะน่าสงสัยอยู่ เพราะในมือของลอร์ดคริสโตเฟอร์เรียกได้ว่าแทบไม่แตกต่างจากเฟร็ดดอริก เพียงเพิ่มมาเป็น Pierre Cardin สีน้ำตาลคลาสสิคอีกใบ


“ก็...พอดีมีพี่สาวบ้าแบรนด์ยุโรปอยู่คน มาถึงเจนีวาแต่ไม่ได้ของกลับไป ฉันคงโดนบ่นยิ่งกว่าแพ้ประมูลน่ะสิ” เลือกที่จะไม่โกหกแต่ก็ไม่ได้เรียกว่าถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ นึกหงุดหงิดไม่น้อยที่ตอนนี้อาเจ๊เขาไม่ได้บ้าของอิมพอร์ตสักเท่าไหร่แล้ว เพราะที่มีอยู่ที่บ้านเดี๋ยวนี้ก็เป็นแบรนด์เดียวกับที่เจ้าหน้าหล่อร้ายกาจข้างๆใช้อยู่


ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากเหตุการณ์ดูตัวสยองขวัญ อาเจ๊แกจะยอมเผาไอ้สินค้าแบรนด์นั้นทิ้งหรือเปล่า


“ที่จัดงานประมูลอยู่ที่โรงแรม Grand Hotel Kempinski Geneva” เสียงเกริ่นจากโกคุเดระพร้อมกับสายตาคำถามไปทางคู่แข่งคนสำคัญอ่านได้ว่า จะไปยังไงตามความหมายที่แท้จริงคือ ทางนั้นจะส่งคนมารับหรือต้องไปเอง แล้วถ้าคำตอบเป็นอย่างหลังเขาจะได้ให้คริสโตเฟอร์เรียกแท็กซี่ทันทีเท่านั้น ไม่ได้มีน้ำใจหรือเจตนาจะห่วงเรื่องการเดินทางของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย


ยามาโมโตะเพียงแค่ขยับยิ้มแล้วไม่ตอบอะไร แต่พยักเพยิดไปทางรถยุโรปสีดำหรูที่มาจอดเทียบฟุตบาธหน้าสนามบิน ข้างรถปิดสติกเกอร์ลวดลายประจำของโรงแรมที่เป็นจุดหมายของพวกเขาชัดเจน แล้วยิ่งชัดเจนกว่านั้นเมื่อพนักงานหนุ่มในชุดสูทสากลสุภาพเดินมาหยุดตรงหน้าแล้วโค้งให้พวกเขาสี่คน


“ยินดีต้อนรับครับ ผมเป็นคนที่จะพาท่านไปที่จัดงานประมูล” คำอธิบายต้อนรับสั้นๆด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงตามฉบับต้นตำหรับค่อนข้างฟังแปลกหูสำหรับทายาทฝ่ายโกคุเดระที่ชินอเมริกันมากกว่า แต่กับทางร่างสูงที่ถึงแม้จะได้ภาษีดีเพราะต้องย้ายไปอยู่แต่เด็กก็นับว่ายังฟังแปร่งๆอยู่ อาจเป็นเพราะที่นี่ไม่ได้ใช้แค่ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสาร


“คือ...ต้องขออภัยอย่างสูงครับที่เราจัดเตรียมรถมาเพียงคันเดียว” สีหน้ากระอักกระอ่วนใจเล็กน้อยของพนักงานหนุ่มทำให้โกคุเดระรู้ทันทีว่าเพราะอะไร ก็มันแน่แหล่ะว่าแขกคนสุดท้ายผู้ร่วมประมูลอย่างเขานั้นเพิ่งโทรแจ้งมาทางนี้เมื่อคืนว่าจะขอร่วมงาน การตัดสินใจปุบปับที่แม้แต่เจ้าตัวยังตั้งตัวไม่ติดแบบนี้จะมีหน้าไปโทษใครได้


“ช่างเถอะ” ร่างบางตัดบทแล้วหันไปบอกเลขาส่วนตัวเบาๆ “เอาของของฉันตามไปทีหลัง หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงจะติดต่อไป”


“รับทราบครับ แล้วท่านฮายาโตะจะเอาอะไรติดตัวไปหรือเปล่าครับ”


ร่างบางนิ่งไปนิดกับคำถามของลูกน้องคนสนิท แล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม


“แฟ้มเอกสารสีน้ำตาลแฟ้มเดียวพอ”





รถยุโรปคันสีดำสนิทแล่นไปตามถนนเมย์แร็งมุ่งสู่ทิศตะวันตก วิวโดยรอบไม่ทำให้สองนักธุรกิจที่เป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปีสนใจเป็นพิเศษ เพราะว่ากันตามตรง เจนีวาถือเป็นเมืองสงบที่กรุ่นกลิ่นอายธรรมชาติมากกว่าการแต่งเติมด้วยแสงสีเสียง ไม่มีตึกสูงระฟ้ามากมายนัก ส่วนใหญ่เป็นร้านค้า ร้านอาหารและคาเฟ่ที่นิยมแต่งแบบยุโรปคลาสสิค ผู้คนดูยิ้มแย้มแจ่มใสรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึง และแน่นอนว่าเด็กอายุสิบเก้าของที่นี่คงจะนัดกันไปปิกนิกกับเพื่อน เล่นกีฬา หรือเดินชอปปิ้งให้สำราญบานใจ ไม่ต้องมานั่งทำหน้าโป๊กเกอร์เฟซเหมือนพวกเขาสองคน


คิดแล้วก็ได้แต่ปลงสังเวช คงจะมีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่โกคุเดระรู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกเดียวกับยามาโมโตะ แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่รับผิดชอบอยู่มันขัดความสุข ไปๆมาๆทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปคงเป็นสิ่งที่ขัดกับพวกเขามากกว่า


นัยน์ตาสีมรกตคู่สวยเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ห่างออกไปประมาณสามคืบแล้วเผลอกอดเอกสารแน่นขึ้น มันคือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดทันทีที่ก้าวเข้ามานั่งในรถว่าประธานแห่ง The Best คนนี้ทำตัวแปลกประหลาด ร่างสูงนั่งนิ่งเงียบแล้วเอามือกอดอกพิงกับเบาะรถไม่พูดไม่จาแม้สักคำ ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้คู่คมกริบปรายมองออกไปนอกกระจกตลอดเวลาราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง


จนสุดท้ายดวงตาคู่คมที่มีเสน่ห์ร้ายกาจนั้นจะเบิกขึ้นเล็กๆและจ้องค้างเหมือนกับสะดุด พร้อมๆกับที่รถของทางโรงแรมติดไฟแดงและย้ำภาพนั้นเต็มสองตา ภาพเกิดขึ้นริมฟุตบาธที่มีชายเชื้อสายยุโรปอาวุโสวัยห้าสิบปลายๆกำลังลงมาจากรถ แท็กซี่ที่จอดอยู่หน้าบาร์แห่งหนึ่ง ดวงตาของเขาเป็นสีฟ้าและอ่านยากราวมหาสมุทรลึก จมูกโด่ง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มที่เด็กหนุ่มสองคนจากญี่ปุ่นคุ้นเคยในวงการธุรกิจอันโชกโชน แถมชายชุดดำที่ประกบซ้ายขวาของหมอนั่นยังให้บรรยากาศขนลุกแปลกๆ บ่งบอกชัดเจนว่าตาแก่นั่นมีชื่อเสียงทั้งด้านบวกและด้านลบพอๆกัน


และบังเอิญว่าชื่อเสียงด้านลบของตาเสือเฒ่านั่น ยามาโมโตะกับโกคุเดระรู้จักดี


“สตีเฟน แมคคาร์ที” ชื่อของตาแก่คนนั้นหลุดออกจากปากทางทายาทเครือโกคุเดระแผ่วเบา ก่อนจะหยุดลงแค่นั้นเพราะสายตาปรามจากเด็กหนุ่มอีกคนที่พยายามบอกว่าในรถนี้ไม่ได้มีพวกเขาแค่สองคน ร่างบางจึงหันไปหาคนขับรถแล้วขอร้องอย่างสุภาพ


“ขอโทษที แต่ช่วยจอดที่ร้านกาแฟข้างหน้านี่ได้ไหม แล้วกลับไปก่อนได้เลย พวกเราจะหาแท็กซี่กลับเอง” เน้นคำว่า พวกเราชัดเจน เพื่อเป็นการบังคับกลายๆให้ร่างสูงรับรู้ว่ามันต้องลงรถกับเขา ซึ่งยามาโมโตะก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเพียงแค่ตอบรับโดยการเหลือบมามองเขานิดหน่อยก่อนจะหันกลับไปทางเดิม คำขอร้องแปลกประหลาดทำให้พนักงานขับรถเหลือบตามองผ่านกระจกหลัง


“เอ่อ...แต่ว่า...ผมมีหน้าที่มารับท่านทั้งสองให้ไปถึงโรงแรมโดยทันทีครับ ไม่อาจแวะที่ได้” พนักงานหนุ่มมีแววลำบากใจแต่ก็ปฏิเสธอย่างแน่วแน่จนทำให้เด็กหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่เบาะหลังหรี่ตา กลิ่นไม่พึงประสงค์ที่โชยมาทันทีที่เห็นตาแก่นั่นยิ่งฉุนกึก ดวงตาสีมรกตหรี่ลงแล้วสบกับคนขับรถอย่างตรงไปตรงมา


“แต่ฉันว่ามันยังไม่จำเป็นเท่าไหร่ที่ต้องไปถึงโรงแรมตอนนี้นะ การชี้แจงเรื่องการประมูลจะมีภายในวันนี้เวลาหกโมงเย็น ซึ่งนั่นถือว่าตอนนี้เป็นเวลาส่วนตัว” เสียงของโกคุเดระเนิบช้าและอธิบายเพื่อตอกย้ำให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่ความกดดันที่เขาใส่ไปในน้ำเสียงนั่นกำลังทบทวนพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจของพนักงานขับรถคนนั้นมี เท่านั้นทำให้ผู้ทำหน้าที่เป็นสารถีต้องควบคุมสติด้วยการสูดหายใจเข้าออกช้าๆ เขาไม่ได้โกรธกับถ้อยคำที่เหมือนจะกวนประสาทของเด็กหนุ่มรุ่นลูกได้ แต่ต้องคอยบังคับใจไม่ให้หวาดกลัวกับท่าทีทรงอำนาจที่เหมือนมองทะลุทุกอย่างผ่านดวงตาสีมรกตนั่น


“หากเป็นคุณยามาโมโตะ ทาเคชิก็ได้อยู่ครับ แต่คุณโกคุเดระยังไม่ได้ลงทะเบียนร่วมประมูลอย่างเป็นทางการ เพียงแค่ติดต่อมาทางอีเมลเท่านั้น เอ่อ...ผมเกรงว่า....”


“ไม่มีปัญหา” เด็กหนุ่มตัดบททันที แต่ดวงตาที่สบกับเขาผ่านกระจกหลังนั่นยังเหมือนกับเข็มแหลมๆที่พร้อมทิ่มแทงทุกสิ่งทุกอย่างเช่นเดิม “คนของฉันจะเดินทางไปถึงก่อนแน่ และเขาจะจัดการทุกอย่างแทนฉันเอง...ฝากบอกทางกองประมูลว่าสามารถชี้แจงกับเขาได้...เขามีสิทธิ์ที่จะรับรู้เรื่องของประมูลแทนฉันทุกอย่าง เพราะชื่อของเขาก็ถูกระบุเป็นผู้ติดตามของเครือโกคุเดระตั้งแต่ตอนแรก”


“และเวลาเช็คอินของโรงแรมนี้คือบ่ายสามโมงเป็นต้นไป รับรองว่าไปตอนนี้ก็ได้แต่ไปนั่งรอที่เลาจ์เท่านั้น” เสียงทุ้มเอ่ยสำทับจากเด็กหนุ่มร่างสูงยิ่งทำให้สารถีหมดข้อทัดทาน จำต้องตีไฟเลี้ยวและจอดหน้าคาเฟ่แห่งหนึ่ง เรียกรอยยิ้มมุมปากของทั้งสองได้เกือบพร้อมกัน


“ขอบคุณ คุณ...” ดวงตาสีมรกตหรี่มองป้ายชื่อพนักงานที่ตั้งอยู่ในกรอบพลาสติกติดกับคอนโซลรถ ก่อนริมฝีปากบางบิดเป็นรอยยิ้มมากขึ้น “จาคอป ลาร์ค ชื่อของคุณสะกดยากอยู่ แต่รับรองฉันจำหน้าคุณได้ เดี๋ยวฉันบอกกับผู้จัดการของคุณเองว่าคุณเป็นพนักงานที่ยึดถือในหน้าที่แค่ไหน”


สารถีหนุ่มมั่นใจว่าน้ำเสียงของเด็กร่างบางผมสีเงินไม่ได้มีแววประชดประชันหรือแดกดันแต่อย่างใด เป็นการชมอย่างจริงใจ เขามั่นใจได้ด้วยรอยยิ้มกับแววตาที่ไม่โกหกนั่น แต่ไอ้อาการขนลุกไม่หายทั้งๆที่ผู้โดยสารคนสำคัญสองคนลงรถไปแล้วนี่มันหมายความว่ายังไง







“ขอที่ส่วนตัว ส่วนเครื่องดื่มยังไม่ต้อง” คำสั่งจริงจังเอ่ยขึ้นกับพนักงานสาวในร้านกาแฟดีไซน์เก๋ๆน่ารักๆทำเอาบรรยากาศร้านเริ่มชักมาคุ หญิงสาวในชุดเครื่องแบบของร้านนิ่งงงไปนิดหน่อย ข้อแรกก็คงจะมาจากโดนเด็กผู้ชายหน้าสวยอายุสิบเก้าแต่บุคลิกท่าทางห่างจากวัยไปมากเดินก้าวเท้าอาดๆเข้ามาประชิดตัว แถมยังรัวภาษาอังกฤษจนเธอไม่มีโอกาสพูดคำว่ายินดีต้อนรับด้วยซ้ำ ส่วนข้อสองก็คงเพราะเด็กหนุ่มร่างสูงสง่าอีกคนที่เดินตามมานั่นมีใบหน้าหล่อเหลาแบบไม่เกรงใจฟ้าดิน นี่ถ้าคิดว่าคาเฟ่เธอกลายเป็นกองถ่ายละครคงจะน่าเชื่อแบบไร้ข้อกังขา


และดูเหมือนข้อสองจะถูกกว่า จนทำให้คนสั่งต้องข่มใจนับหนึ่งถึงสิบแล้วพูดเสียงเข้มอีกรอบ “ขอที่ส่วนตัว”


“อ่ะ ค่ะๆๆ...ขอโทษด้วยค่ะ...เชิญทางนี้ค่ะ” หญิงสาวร่างเล็กรีบกุลีกุจอเดินนำไปข้างหลังของร้านที่นับว่าเงียบสงบใช้ได้ แอร์เย็นๆกับกลิ่นกาแฟเฉพาะสูตรของที่นี่กับวิวที่มองออกไปเห็นแปลงดอกไม้มันก็สมควรแล้วที่มองไปโต๊ะไหนก็มีแต่คู่รักหนุ่มสาว คงจะมีพวกเขาสองคนนี่แหล่ะที่มาอารมณ์แปลกกว่าคนอื่น ทำเหมือนร้านกาแฟเล็กๆเป็นห้องรับรองเก็บเสียงในโรงแรมของพวกมาเฟียหรือยากูซ่า


แถมเรื่องที่จะคุยก็ไม่ใช่เรื่องอี๋อ๋ออย่างเช่นว่าพรุ่งนี้ไปเดตไหนกันดี สวนสนุกล่ะเป็นไง?


“ทำไมตาแก่นั่นถึงมาอยู่ที่นี่ได้” คำถามแรกจากทางฝั่งเครือโกคุเดระ คิ้วเรียวขมวดหากันไม่ปิดบัง แต่ที่ยังคงเสียงเป็นปกติราบเรียบกว่าตอนบนรถก็เพราะได้เดาคำตอบไว้ครึ่งหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว


สตีเฟน แมคคาร์ที เจ้าของ แมคคาร์ที คอปเปอร์เรชั่น บริษัทจัดหาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของยุโรปและอเมริกาเหนือครอบคลุมไปถึงเอเชียบางส่วนที่เพียงแค่เอ่ยชื่อก็ไม่มีใครไม่รู้จัก พื้นที่ในครอบครองของตาแก่นั่นรวมแล้วทั่วทั้งโลกคงไม่ต่ำกว่าสองพันห้าร้อยเอเคอร์ อาจเป็นตัวเลขที่ไม่สูงนักและมีคนเถียงว่าพวกเจ้าของไร่รายใหญ่ๆอาจมีมากกว่านั้นด้วยซ้ำ แต่ราคาที่ที่หมอนี่เป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะในสวิตเซอร์แลนด์นี่ กินพื้นที่ในซูริค เจนีวา ออสโลในนอร์เวย์ เมลเบิร์นในออสเตรเลีย หรือแฟรงเฟิร์ตในเยอรมนี ต่างก็ติดท็อปเมืองค่าครองชีพสูง อัตราการเช่าที่คุ้มพอที่จะซื้อบ้านสักหลัง และแน่นอนว่าแม้แต่โตเกียว ก็ยังเป็นถิ่นที่สตีเฟนคุมที่ดินของนักธุรกิจใหญ่หลายราย


แน่นอน รวมถึงห้าง The Best Imperial ของเครือยามาโมโตะ และส่วนหนึ่งของสนามบินเครือโกคุเดระ


ซึ่งนั่นก็เป็นอดีต...เมื่อสี่ปีที่แล้ว สี่ปีที่แล้วที่เขายังเรียนอยู่ที่อเมริกา แล้วได้รับโทรศัพท์จากอาเจ๊ว่าเครือโกคุเดระเข้าขั้นวิกฤต ต้องทำให้เขาบินกลับญี่ปุ่นเดี๋ยวนั้น และทางเครือยามาโมโตะก็ไม่ต่างกัน สาเหตุก็เป็นเพราะเลือดพ่อค้าของสตีเฟนคนนี้ค่อนข้างสกปรกกว่าพ่อค้าปกติ


สกปรกถึงขั้นกล้าลากธุรกิจเครือใหญ่อย่างยามโมโตะและโกคุเดระไปเข้าปากอิทธิพลมืด...เกือบเปิดประตูสงครามระหว่างธุรกิจบนดินและใต้ดิน! ดูจากพวกชายชุดดำรอบกายหมอนั่นก็พอจะรู้แล้ว ว่าสตีเฟนทำงานเป็นนายหน้าค้าที่ผู้มั่งคั่งบังหน้าให้กับใครหรือ พวกไหน


“มีแฟมิลี่หนึ่งรายต้องการเป็นหุ้นส่วนกับ เบธิลด์ ทาวเวอร์” ชื่อของกิจการโรงแรมและห้างสรรพสินค้าในตัวขนาดใหญ่ใจกลางกรุงปารีสซึ่งเป็นชื่อเดียวกับกิจการที่พวกเขาต้องห้ำหั่นกันเพื่อแย่งชิงกันพรุ่งนี้หลุดจากปากเด็กหนุ่มผมสีดำสนิท เป็นคำตอบที่เติมเต็มใจคู่สนทนาที่เดาเอาไว้ครึ่งแต่ต้นแล้ว เท่านั้นหัวใจก็เต้นผิดจังหวะ ลมหายใจติดขัด เหงื่อที่ไม่รู้มาจากไหนเริ่มซึมชื้นฝ่ามือขาว ไม่รู้ว่าจะอธิบายว่ามันคือความตื่นเต้นหรือความหวาดระแวงดี แต่ที่แน่ๆคือไม่พระเจ้าก็ซาตานหาเรื่องตลกร้ายให้เขาอีกจนได้


แต่บางที...อาจจะไม่ใช่ทั้งพระเจ้าและซาตาน


“ฉันยอมรับนะ ว่าตอนแรกที่เห็นหมอนั่นใจฉันแทบหล่นไปถึงตาตุ่ม”


“งั้นนายก็เก่งมากที่เก็บหัวใจของนายทัน สติดีสมกับเป็นนายเหมือนเดิม” คำชมจากใจไม่ทำให้คนฟังยิ้มได้สักนิด มีเพียงดวงตาที่จ้องหนักกว่าเก่า ซ้ำยังหรี่ลงแล้วกล่าวช้าๆคล้ายสันนิษฐาน


“แต่ดูนายไม่ค่อยตกใจ อันที่จริงต้องบอกว่านายรู้ด้วยซ้ำว่าต้องเจอหมอนั่น” ....แถมยังมองหาอีกต่างหาก โกคุเดระต่อประโยคเอาไว้ในใจ ลำดับเหตุการณ์ได้ทันทีเมื่อคิดภาพประหลาดในรถ ที่คนตรงหน้าเงียบกว่าปกติแล้วมองออกไปนอกกระจก ทำตัวจริงจังจนน่าหงุดหงิด


“ก็แค่คิดว่ามันไม่น่าจะพลาด ยิงนัดเดียวได้นกสามตัว ถ้ามันยิงถูกน่ะนะ...”


“ยังไง?


“หนึ่งคือเป้าหมายหลัก มันตั้งใจมาประมูลเบธิลด์ ทาวเวอร์ให้กับนายจ้างของมันและโอกาสสำเร็จก็เป็นไปได้สูงซะด้วย นี่ฉันไม่ได้ดูถูกแผนประมูลและกำลังทรัพย์ของนายหรอกนะ โกคุเดระ และแน่นอนว่าไม่ได้ดูถูกตัวเองด้วย แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกนั้นแล้วมันทำได้ทุกอย่าง ได้เปรียบกว่าพวกเราทุกประตูทั้งกำลังคนและทรัพย์ สองและสามเป็นเป้าหมายรองนั่นคือการเจรจาเผื่อว่าเป้าหมายหลักพลาด”


“เจรจา?” โกคุเดระทวนแล้วถามต่อ “กับใคร?


“ใครก็ได้ ที่ได้เบธิลด์ ทาวเวอร์ไป” เสียงนุ่มทุ้มตอบกลับมาราบเรียบ ดวงตาสีเปลือกไม้คมกริบวาววับหากแต่จริงจังและเด็ดขาด ท่าทีของยามาโมโตะเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหวจนโกคุเดระแอบสงสัยไม่ได้ว่าใช่คนเดียวกับที่เขาเจอเมื่อวานหรืออยู่บนเครื่องบินหรือเปล่า เริ่มคิดบ้างแล้วว่าที่เขากำลังคุยอยู่ตรงหน้าคือซีอีโอหนุ่มอายุสิบเก้าปีผู้พา The Best ให้รุ่งเรืองมาได้จนถึงทุกวันนี้


นี่ขนาดเป็นแค่การสันนิษฐาน เขายังทำท่ามั่นใจว่ามันถูกไปแล้วกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์


“อาจเป็นฉันหรือนายก็ได้...ใช่มั้ย” ร่างบางต่อทันที เรียกประกายในแววตาของยามาโมโตะให้มากกว่าเดิม แต่คราวนี้เป็นการชมคนตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง...หัวไว เข้าใจอะไรรวดเร็ว และพร้อมที่จะคิดวางแผนอยู่ตลอดเวลา นี่แหล่ะ โกคุเดระ  ฮายาโตะ ร่างบางผ่อนลมหายใจก่อนจะทิ้งตัวลงพิงกับโซฟาสีสวย หัวเราะเสียงใสๆออกมาอย่างที่เขาชอบทำเวลาเจออะไรใหญ่ๆมาเป็นก้างขวางคอ “มันไม่คิดจะปล่อยพวกเราไปจริงๆด้วยสิ”


“สิ่งที่พวกมันต้องการก็ยังคงเหมือนเดิม คือเอาธุรกิจพวกโรงแรมหรือห้างสรรพสินค้ามาเป็นหุ้นส่วน ตลอดสี่ปีมานี้ที่ฉันพอจะสืบได้คือมันต้องการโกดังเก็บสินค้าเพื่อซุกซ่อนอาวุธและทยอยขนส่ง ทางออเดอร์สะดวกรับทางไหน มันก็เล็งใกล้ๆนั่นแหล่ะ อย่างเมื่อสี่ปีก่อนมีสงครามย่อมๆของพวกยากูซ่าในแถบคันโต ฉันหรือนายก็เลยเป็นตัวเลือกชั้นเยี่ยม”


...แต่มันก็พลาด เพราะฝีมือพ่อของเขาในการเจรจากับเจ้าสตีเฟนให้ส่งข้อต่อรองไปยังนายจ้างของมันคือการยอมรับการเซ็นสัญญาให้ที่ซุกซ่อนอาวุธเถื่อนของมันเวลาที่กำหนดแต่ด้วยเงื่อนไขที่ว่าทางเขาไม่เก็บค่าหุ้นเจ้าพวกนั้นเลยแม้แต่เยนเดียว นั่นคือการให้พื้นที่ยืนพวกมันแบบฟรีๆ และยินยอมขนส่งอาวุธทางไกลด้วยโกคุเดระแอร์ไลน์  แถมเมื่อจบเรื่องยังเผาเอกสารรวมถึงสัญญาทุกอย่างที่บ่งบอกตัวตนของพวกมันให้หายไปในกองเพลิง นับว่าเราติดต่อกันแค่นั้น และสิ้นสุดลงแค่นั้น


แต่ที่ร่างบางโดนเรียกให้กลับจากอเมริกาโดยกะทันหัน เพราะนายใหญ่ของโกคุเดระไม่ต้องการให้จบแค่นั้นน่ะสิ


เพราะโกคุเดระไม่มีทางเป็นอะไร เมื่อคนที่คุ้มครองเครือของเขาตอนนั้นอยู่ก็คือตำรวจสากล ฟังไม่ผิด เครือโกคุเดระได้รับการคุ้มครองจากตำรวจสากลทั้งๆที่ถูกตราหน้าว่าให้ที่ยืนพวกมาเฟีย และก้าวเข้าสู่โลกของศาลเตี้ยไปแล้วค่อนตัว นั่นคือบทบาทการเจรจาของเขากับยามาโมโตะที่เพิ่งอายุสิบห้า ว่าเขาพร้อมจะยื่นข้อมูลทุกอย่างทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังของแฟมิลี่ที่ว่านั่นตลอดจนเจ้าแมคคาร์ทีตัวดีให้ยามาโมโตะที่ไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วยให้เอาไปแฉกับเจ้าหน้าที่ตำรวจถ้าพวกนั้นทำเครือโกคุเดระเดือดร้อน (โดยค่าจ้างยามาโมโตะคราวนั้นคือการขึ้นปันผลเป็นเจ็ดสิบสามสิบ ทั้งๆที่แต่เดิมมันห้าสิบห้าสิบ)


ก็นับว่าหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่มีใครได้อะไร และไม่เสียอะไรมากมายบานตะไท เพียงแต่สวัสดิภาพของเครือยามาโมโตะ กับชื่อเสียงของโกคุเดระแอร์ไลน์เกือบเลือนหายไปในอากาศ เพียงแค่การติดต่อร่วมธุรกิจไม่กี่เดือนกับพวกวงการมืด


พวกมันมีดี เขาไม่เถียง เรื่องหัวการค้าบางทีอาจจะเรียกได้ว่าหัวใสกว่าพวกทำงานบนดินด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องเลวๆอย่างที่พวกมันฆ่าคนหรือมีวิธีการจัดการทางธุรกิจโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนาแถมกฎหมายยังเป็นแค่แผ่นกระดาษ เด็กหนุ่มร่างบางก็ไม่สน เรื่องที่อยู่ในสายตาเขาก็มีแต่ผลประโยชน์ที่ทำให้เครือโกคุเดระได้เปรียบเท่านั้น


แต่ที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกมันนานๆโดยการเซ็นสัญญาร่วมหุ้นกันถาวร ทั้งๆที่บางทีอาจมีเงินสกปรกๆเข้ากระเป๋ามากกว่าทุกวันนี้ก็เถอะ มันก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียว คือไอ้นิสัยหน้าเลือดจนหน้าด้านของไอ้พวกนั้น ที่พร้อมจะโกงพวกเขาเมื่อไหร่ก็ได้ และโกคุเดระไม่อยากอ่านเกมตามพวกมันให้ปวดหัวเล่น


แต่กับตาแก่สตีเฟน แมคคาร์ที หมอนั่นหันหลังกลับไม่ได้แล้ว...


มันต้องเอาเบธิลด์ ทาวเวอร์ให้ได้เท่านั้น! และอาจจะมีซ่องอย่างดีอย่าง The Best หรือการขนส่งชั้นวีไอพีอย่างโกคุเดระแอร์ไลน์ไปเป็นของกำนัล


“แล้วมันรู้ได้ไงว่าพวกเราจะมาที่นี่” ร่างบางถามต่อหลังจากครุ่นคิดไปนาน คิดว่าแผนการทั้งหมดคงเละไม่เป็นท่าหากพวกเขาไม่ก้าวเท้าออกจากโตเกียว


“ข่าว” ยามาโมโตะตอบสั้นๆ แต่มันคงสั้นเกินไปที่จะทำให้คู่สนทนาเข้าใจได้ทันที และแทนที่มันจะรีบบอกดีๆกลับยักคิ้วกวนประสาทเขาไม่รู้จักเวลาแล้วยกมือขวาขึ้นแล้วใช้ปลายนิ้วกวักเรียกพนักงานสาวอย่างมีมาด แค่นั้นแหล่ะ ถ้าไม่ติดเรื่องมารยาท โต๊ะของเขาคงมีคนมารับออเดอร์มากกว่าห้านาง


ไอ้หมอนี่!


Iced Americano” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมหันไปส่งสายตาหวานกับพนักงานสาวเหมือนจะขอเพิ่มช็อตกาแฟอีกสักสองสามช็อตยังไงยังงั้น โกคุเดระผ่อนลมหายใจ พยายามคิดอยู่ว่าคนที่เขาคุยอยู่นี่มันก็คู่แข่งทางการค้าคนหนึ่ง เขาผิดเองที่แว้บหนึ่งเผลอคิดว่ามันเป็นพวกเดียวกัน แบบให้ความร่วมมือพูดคุยดีๆไม่ออกนอกลู่นอกทางซึ่งไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ แถมหญิงสาวผู้โชคดีมารับรายการยังหันมาเป็นเชิงถามเขาต้องการรับอะไรอีกต่างหาก


Caramel Macchiato” ร่างบางว่า กาแฟชนิดหวานจัดที่เขาจะไม่แตะถ้าสมองไม่ต้องการน้ำตาลมากจริงๆ แต่การที่อยู่ดีๆยามาโมโตะ ทาเคชิเรียกกาแฟมาดื่มมันไม่ใช่จุดประสงค์เพื่อกวนประสาทเขาอย่างเดียว และต่อให้ไม่มีกาแฟ แต่ได้หนุ่มร่างสูงดีกรีนักธุรกิจมานั่งหล่อแบบไม่เกรงใจใครในร้าน พนักงานก็ไม่มีทางมาไล่ ต่อให้เป็นผู้จัดการก็ยังมองว่ายามาโมโตะ ทาเคชิเป็นตัวเรียกลูกค้าด้วยซ้ำ ดังนั้นเครื่องดื่มสองแก้วคงได้ทำหน้าที่เป็นแค่ของเบรกขั้นรายการเท่านั้น


“ข่าวอะไร” โกคุเดระซักต่อทันทีเมื่อโต๊ะเขาเริ่มเข้าสู่สภาวะสงบอีกครั้ง ก่อนที่ข้อสันนิษฐานจะแว้บขึ้นในหัว “ข่าวที่ว่านายกับฉันไม่ต่อสัญญากันงั้นสิ?


คู่สนทนาเงียบ ไม่ปฏิเสธ ไม่ตอบรับ แต่ให้ตีความเลยมันก็คือใช่ ดวงตาสีมรกตหรี่ลง ขมับเริ่มเต้นตุบๆอย่างที่มันชอบเตือนว่ามีเรื่องไม่ดีวิ่งเข้ามาหา แน่นอนว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเครือยามาโมโตะกับโกคุเดระสำหรับคนทั่วไปแล้วยังเหลือเวลาอีกราวเกือบเดือน แต่สำหรับคนในอย่างพวกเขารู้ดีว่ามันหมดไปตั้งแต่วันที่เบียงกี้ไปดูตัวกับท่านประธานหนุ่ม และการดูตัวที่ค่อนข้างจะไพรเวตพอควร ไม่มีแม้แต่นักข่าวหรือปาปารัซซี่สักคนแต่กลับเป็นข่าวได้ ใครจะเป็นคนปล่อย


แน่นอนว่าไม่ใช่เขา ก็ต้องเป็นไอ้คนหัวดำๆตั้งๆนี่แน่นอน นั่นแหล่ะที่เป็นการประกาศตอบรับสงครามกับสตีเฟน แมคคาร์ทีว่ายังไงเขาสองคนก็ต้องมาที่เจนีวาอย่างไม่มีข้อสงสัย


เฮอะ! ว่าแล้วไหมล่ะ คนที่เตะเขามาเจอเรื่องไม่เป็นเรื่องพรรค์นี้ ไม่ใช่พระเจ้าหรือซาตาน...


แต่เป็นยามาโมโตะ ทาเคชิต่างหาก


“โอ....เค ฉันรู้แล้วยามาโมโตะ นายจงใจหลอกล่อฉันมาที่เจนีวา นายคงจะรู้อยู่แล้วว่าเมื่อคืนฉันขึ้นตึกของนาย แล้วจงใจทิ้งกำหนดการประมูลที่นี่ไว้บนโต๊ะแล้วให้ฉันตะครุบ...เบธิลด์ ทาวเวอร์ที่ดูไปดูมาก็เป็นกิจการที่พอจะแทนที่ The Best ได้ ซ้ำในซองนายยังเขียนเช็คเอาไว้จำนวนหนึ่งซึ่งเป็นจำนวนเงินยื่นประมูล มันเป็นข้อมูลๆเดียวของนายที่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเท็จหรือจริง แต่ก็ตั้งใจเอาข้อมูลนั้นมาแลก.....?


“แลกกับความเชื่อใจให้นายมาอยู่ฝ่ายเดียวกับฉันตลอดการประมูล เพื่อขัดขวางไม่ให้สตีเฟนได้เบธิลด์ ทาวเวอร์ไป”


เสียงนุ่มทุ้มของอีกฝ่ายต่อทันใดก่อนที่บรรยากาศรอบโต๊ะสนทนาในร้านกาแฟจะเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง คราวนี้มันทั้งเงียบและเย็นเยียบอย่างน่าขนลุกเมื่อไม่มีใครหลุดปากอะไรออกมาอีก ดวงตาสองคู่สองสีสบกันแน่วแน่ ไม่มีใครหลบตา ไม่มีแววตระหนกตกใจ และไม่มีใครล้อใครเล่น เด็กหนุ่มสองคนยังคงนิ่ง เหมือนอยู่กับตัวเอง และอยู่กับอีกคน ราวกับจะจ้องให้มันมองลึกลงไปภายใน จนเป็นฝ่ายโกคุเดระเองที่ขยับยิ้มออกมา แล้วหัวเราะเสียงใส ขับบรรยากาศกดดันเมื่อครู่ให้เบาบางลง


“ฮะฮะฮะ นี่นายกำลังจะขอให้ฉันร่วมมือกับนาย เป็นก้างตาแก่เจ้าเล่ห์นั่น ง่ายไปนะ ยามาโมโตะ ทาเคชิ” ริมฝีปากบางบิดเป็นรอยยิ้มเยาะๆ แต่น้ำเสียงที่ไม่มีความจริงจังนั่น ก็ทำให้คนขอกันโต้งๆสบายใจไปกว่าครึ่งว่าโกคุเดระเข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อสาร “ลืมไปแล้ว? ว่าตอนนี้ฉันกับนายอยู่ในฐานะอะไร”

มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาคุยกันง่ายๆเลยสักนิด


“ถ้าจะให้ตอบตรงๆก็ว่าที่คู่หมั้น”


“คู่แข่งเฟ้ย ไอ้งี่เง่า!!” แย้งทันควันพร้อมกับใบหน้าขาวๆที่ขึ้นสีแดงก่ำ ตามด้วยคำสบถพรืดยาวเหยียดที่ถ้าพ่อเขามาได้ยินมีหวังอกแตกตายแหง ยามาโมโตะหัวเราะในลำคอแล้วอย่างอารมณ์ดี เขาโคลงศีรษะก่อนจะยกกาแฟดำร้อยเปอร์เซ็นต์ขึ้นดื่ม มองกริยาตอบสนองของคนไม่คุ้นชินเรื่องพรรค์นี้อย่างเพลินตา


“แน่นอนว่าฉันจำได้ว่าตอนนี้พวกเราไม่เหมือนเดิม วินาทีที่พี่สาวนายปฏิเสธการดูตัวยังติดตาฉันอยู่เลย แต่ฉันว่าที่ฉันทำมันก็ไม่ใช่การขอร้องนี่...มันเป็นการเสนอ”


โกคุเดระเงียบไป ที่ยามาโมโตะว่ามาก็ไม่ผิด เพราะจำนวนเงินที่เครือยามาโมโตะตั้งใจจะวางประมูลในพรุ่งนี้...จำนวนตัวเลขที่พวกกลุ่มธุรกิจอื่นทั่วโลกปรารถนาจะรู้ตอนนี้อยู่ในมือเขาจริงๆ ต่อให้เขาไม่ได้ถ่ายรูปหรือซีรอกซ์เช็คใบนั้น แต่โกคุเดระก็จำได้ขึ้นใจ จะเรียกว่ามัดมือชกหรือตกกระไดพลอยโจร เขาก็เดินตามอุบายของยามาโมโตะมาตั้งแต่ต้นแล้ว


“แต่ก็ใช่ว่าจำนวนเงินนั่นจะเป็นของจริง” 


“จะจริงหรือเท็จ น้ำหนักของความลังเลมันก็พอกับที่ฉันกับนายร่วมมือกันแล้วผลมันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จนั่นแหล่ะ” ร่างสูงสวนกลับเสียงเรียบ จิบกาแฟอีกอึกแล้วว่าต่อ “และมันก็อยู่ที่ว่านายจะตอบรับข้อเสนอของฉันหรือไม่ก็เท่านั้น”


“หึ ไม่ใช่ว่านายรู้คำตอบอยู่ตั้งแต่แรกแล้วเหรอ” ร่างบางเปรยเสียงเย็นเยียบ ในขณะที่จ้องคนวางแผนทั้งหมดไม่วางตา สิ่งที่หมอนี่กำลังทำคือการยอมรับโต้งๆเลยว่าไม่มีทางสู้ตาแก่สตีเฟนนั่นได้ถ้าไม่มีเขาช่วย ต่อให้เขากระโดดไปร่วมวงไพบูลย์ก็ยังจะมีโอกาสกอดคอกันตกนรก


แต่ถ้าเขาไม่ร่วมมือกับยามาโมโตะ โอกาสที่จะชนะริบหรี่ทันที เบธิลด์ ทาวเวอร์ได้ตกไปอยู่ในมือตาแก่สตีเฟนแน่ๆ ขอแค่ตาแก่นั่นได้มีโอกาสคุยกับเจ้าของจัดประมูลเถอะ ยื่นข้อเสนอนิดๆหน่อยๆ ถ้าคู่กรณีขัดใจก็แค่เรียกลูกน้องมาเอาปืนจ่อ ต่อให้จำนวนเงินในซองประมูลต่ำกว่าเขาและยามาโมโตะ คนชนะสุดท้ายก็ตาแก่สตีเฟนอยู่ดี


และเขาเองก็ต้องการเบธิลด์ ทาวเวอร์ ถ้าไม่ได้นั่นหมายความว่าเขาไม่มีทางเอาชนะ ยามาโมโตะ ทาเคชิได้ภายในสามเดือนแน่ แล้วถ้าหากไอ้การจับมือกันเฉพาะกิจนี่เกิดสำเร็จขึ้นมา สุดท้ายเขาสองคนได้มาห้ำหั่นกันเอง เขายังมีโอกาสเป็นต่อยามาโมโตะด้วยการกุมข้อมูลส่วนสำคัญที่สุดในการประมูลของเขา แม้จะยังไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ แต่นั่นก็พอที่จะยืดเวลาให้เก็บข้อมูลรอพิสูจน์ได้


อันที่จริง...เขาก็ตอบรับหมอนี่มาตั้งแต่เห็นหน้าตาแก่นั่นแล้วลากเขาเข้ามาในร้านกาแฟแล้วด้วยซ้ำ


“ฉันตกลงเรื่องข้อเสนอของนาย” ในที่สุดคำตอบก็พูดออกมาจากริมฝีปากบางอย่างแจ่มชัด เรียกรอยยิ้มยินดีปรากฎบนใบหน้าคมคาย ก่อนจะยกมือแกร่งขึ้นแล้วยื่นไปตรงหน้าสวยๆของอีกฝ่ายเพื่อรอการแสดงเครื่องหมายพันธมิตรกันอีกครั้ง แต่แทนที่มือเรียวบางนั้นจะยกมาสัมผัส กลับถือแฟ้มเอกสารสีน้ำตาลที่วางไว้บนตักมานานขึ้นโชว์แทน


“แต่ฉันไม่ใช่ลูกไก่ในกำมือนาย ที่ต้องเต้นไปตามเกมของนายตลอดเวลา” ริมฝีปากบางสีระเรื่อคลี่ยิ้ม หรี่ตามองคู่แข่งคนสำคัญเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นเฉียบ “ยังไม่ต้องรีบดื่มกาแฟนะ ยามาโมโตะ ทาเคชิ จากนี้ต่อไปนายต้องอยู่อีกยาวเพื่อฟังแผนของฉัน และแน่นอนว่ามันก็ไม่ใช่คำขอร้องให้นายต้องทำตาม...”


“.....”



“แต่เป็นข้อเสนอของคนที่จนตรอกกว่า...อย่างฉัน”


ดวงตาสีเปลือกไม้มีประกายระริกทันที ปรายไปที่แฟ้มเอกสารในมือบางที่เขาเองก็ลืมไปแล้วว่าโกคุเดระเอามันติดมาด้วย และด้วยสัญชาตญาณ...ไม่สิ...สำหรับหมอนี่ต้องเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่รับรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าไอ้สิ่งที่บรรจุอยู่ในซองนั่นมันเป็นตัวปัญหาแน่




ให้ตายสิ...

.

.


.

.

TBC...

มิยะขอเม้าท์

สวัสดีค่ะ สวัสดีอีกครั้งพร้อมกับบ้านหลังใหม่ ฮ่าๆ ห่างหายจากการอัพฟิคไปปีเต็มค่ะ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องล่าสุดที่แต่งก่อนจะเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งตอนนี้ก็มีมหาลัยเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และช่วงนี้เรียกได้ว่าไร้ภาระใดๆค่ะ เลยสร้างบ้านซะเลย แล้วก็ลงฟิคค่ะ ตอนที่สามนี่เป็นตอนล่าสุดที่เพิ่งแต่งเสร็จใหม่ๆเมื่อสามสี่วันก่อน และจะปั่นเรื่องนี้ก่อนค่ะ เพราะช่วงนี้ติดนิยายอยู่เรื่องหนึ่งที่เป็นนิยาย "คิวบิก หนี้หัวใจที่ไม่ได้ก่อ" อยู่ มันสนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบาย แต่มันคือสิ่งเลอค่าที่ทำให้คนอย่างไอ้มิยะตื่นมาปั่นตอนนี้จนจบทั้งๆที่แต่ละวันได้ไม่กี่หน้า โฮววววววววววว เลอค่าค่ะ เลอค่าจริงๆ ดีใจที่ได้อ่านมากๆ สนุกน้ำตาร่วงเลย แต่หากฟิคของเค้ามีตรงไหนติดขัด แปลกๆ ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ ไม่ได้แต่งมาเป็นปี กลัวมาก (กลัวลืมพล็อตด้วย//โดนโบก) อีกอย่างคือต้องคอยคุมอารมณ์ให้มันสมชื่อ ดราม่าคอมเมดี้ด้วย เรื่องนี้ เพราะฉะนั้น ขอประกาศไว้เลยค่ะว่าอิเนียนมันเป็นคนจริงจัง...จริงจังจริงๆนะ ฮ่าๆๆๆๆ

อ้า และที่ขาดไม่ได้ เจ้าของฟิคเรื่องนี้...

สุขสันต์วันเกิดนะคะพี่กวาง

ดีใจมากๆค่ะที่ได้มาเขียนเรื่องนี้ต่อ ต้องขอขอบคุณจริงๆที่ยังคิดถึงกันอยู่เสมอ คือ ชื่นใจทุกครั้งที่เอาไปโพสบอกเลยอ่ะว่าฟ้าถล่มลงมาแล้วนะ ฮ่าๆ ดีใจมากๆจริงๆค่ะ ที่เจ้าของชอบมันมากขนาดนี้ ขอบคุณค่ะ ขอให้พี่กวางมีความสุขมากๆ สุขภาพร่างกายแข็งแรง การงานดี เงินดี มีแต่คนรักคนชื่นชมแบบนี้ตลอดไปค่ะ เดี๋ยวจะไปถล่มโกดังนะ ฮ่าๆๆๆ 

อ้อ ย้ำอีกทีว่าเรื่องนี้อิเนียนเป็นคนจริงจัง...ย้ำแล้วนะ... 

เจอกันตอนหน้าค่า

Miya

2 ความคิดเห็น:

  1. ค้างโฮกกกก! พี่มิยะ สนุกมากเลยอะ คุ้มค่าที่มุกรอคอยมากT____________T
    ถึงจะไม่มีฉากกุ๊กกิ๊กไรมากก็ฟินได้ ฮี่ๆๆ>< ถึงมุกจะอ่านแล้วมึนหน่อยๆ กับโลกธุรกิจ แหะๆ = ="
    รอตอน 4 อัพอัพอัพ!!!*-*

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณน้องมุกมากๆๆๆๆๆๆ มาเจิมเลย ขอบคุณค่ะ ชื่นใจแล้วอ่ะ

      เรื่องนี้นี่อย่าว่าแต่น้องมุกเลย ตอนเก๊าหาข้อมูลเก๊าก็มึน ฮ่าๆๆๆๆๆๆ จะปั่นตอนสี่เดี๋ยวนี้แหล่ะจ้ะ

      บอกแล้ว ว่าอิเนียนเรื่องนี้มันจริงจัง

      ลบ