Project : Happy
birthday P’Kwang [WAKETSU] 12.01.13
Au.Fic KHR 8059
[Yamamoto X Gokudera]
Drama comedy!? (มันอะไรกันล่ะนั่น!)
คำเตือน
เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ
และอีกอย่าง
ฟิคเรื่องนี้มัน...เว่อร์ได้โล่ วิปริตหน่อยๆ โรคจิตเล็กน้อย สาระค่อนข้างตกตะกอนนอนก้น
ขอให้มีความบันเทิง....ปรารถนาดีจาก
Miyaจ้ะ *v*
Introduction
ชีวิตของผม...เพอร์เฟค!
เพอร์เฟคแบบไหน?....ก็ถ้าคุณคิดว่าพวกยอดมนุษย์เขาเป็นกันยังไง....
นอกซะจากบินได้ ผมก็เป็นแบบนั้นแหล่ะ
ผมใช้ชีวิตอย่างนั้นมาได้สักพัก...แต่แล้ววันที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
วันที่ผมต้องกลายเป็นคนธรรมดา...
อยากรู้รายละเอียดไหมล่ะ?
ถ้าอยากรู้ก็เอียงหูมา...ผมจะเล่าให้ฟัง.....
“ทาเคชิ...นี่ฮายาโตะคุง
มารู้จักกันเอาไว้ซะสิ”
ตอนนั้นผมจำได้ว่าผมอายุสักประมาณเก้าขวบ
ใช่...เพิ่งเก้าขวบวันนั้นนั่นแหล่ะ
ผมกำลังยืนตาค้างท่ามกลางแขกเหรื่อนับร้อยที่มางานวันเกิดหรูหราภายในโรงแรมที่ครอบครัวเป็นเจ้าของ
ผมยืนนิ่งแข็งทื่อมองเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่พ่อจูงมาหา แต่หัวใจข้างในมันไม่ยอมนิ่งตามร่างกายน่ะสิ
เต้นตึกตักเหมือนมันจะหลุดออกมาจากนอกอก
อา...ถึงผมจะแค่เก้าขวบแต่ผมก็รู้นะว่าไอ้อาการใจเต้นน่ะมันเป็นยังไง
แล้วตามประสาคนหัวไวอย่างผม ผมรู้เลยว่าสาเหตุมันมาจากไหน
ใช่แน่ๆ...ต้องใช่แน่ๆ
รับประกันได้...
เค้าต้องเป็นเนื้อคู่ผม!
ไม่ต้องถามใคร
ไม่ต้องให้ใครมายืนยัน ผมยืนยันด้วยตัวของผมเอง
ตรรกะของสมองซีกซ้ายทำงานอย่างฉับไวแล้วมันตัดสินออกมาว่าเป็นอย่างนั้น แล้วผมก็เป็นพวกมั่นใจในตัวเองสูงเสียด้วย
เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางพลาด
หลังจากนั้น
ความคิดที่สองที่มันผุดขึ้นในหัวก็คือ...ไอ้หมอนี่บังอาจมาก
เชื่อมั้ยว่าตั้งแต่ผมเกิดมายังไม่ใครหรืออะไรทำให้ผมเป็นแบบนี้...จะรถบังคับ
ตัวต่อ เครื่องบิน สากกะเบือยันเรือรบราคาเหยียบหมื่น ผมยังไม่เคยตื่นเต้นกับมัน
แต่กับอีแค่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ผิวขาวจัด หัวเงิน ตาเขียว ปากแดง
หน้าตาน่ารักกว่าตุ๊กตาบลายธ์เป็นร้อยเท่าพันเท่าแค่นั้นเอง กลับทำให้ผมอยากจะแดดิ้น!
ไม่พอๆ...แถมยังเสนอหน้าเข้ามานั่งในหัวใจผมแบบไล่ไม่ยอมไปอีก
โหย!
บังอาจสุดๆ
“นายน่ะเหรอที่คนเขาคุยนักคุยหนาว่าเป็นอัจฉริยะ?”
สายตาจิกกัดของแขกตัวเล็กเจาะทะลุผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแล้วเท้าจรดปลายผมอย่างกับนางร้ายมองนางเอกในหนัง
แต่ขอโทษเถอะครับว่าผมไม่เจ็บไม่คันเท่าไหร่ เพราะเผอิญว่าเป็นพระเอกน่ะนะ แต่นางร้ายสวยเจิดตรงหน้ายังไม่หยุดแอ็คติ้ง
มีการยิ้มมุมปากให้อีกแน่ะ
“แต่....ดูหนังหน้าแล้วก็โง่ๆไม่ใช่หรือไง”
คราวนี้...เจ็บ แถมยังเป็นความเจ็บรสชาติใหม่ที่ผมไม่เคยพบไม่เคยเจอ
เกิดมาพ่อกับแม่ยังไม่เคยสอน
ผมเพิ่งได้รู้จักกับคำว่า ‘โง่’ เป็นครั้งแรกก็คราวนี้เอง แต่ไม่รู้ทำไมผมยังฉีกยิ้มรับคำว่าโง่ที่หลุดจากปากเล็กๆนั่นได้เหมือนมันเป็นคำชม
ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะดีใจทำซากอะไร
ผมต้องบ้าไปแล้ว
“ฉันชื่อยามาโมโตะ
ทาเคชิ ให้ฉันเรียกนายว่าฮายา...?”
“ไม่ได้! จะให้คนไม่สนิทมาเรียกชื่อได้ไงล่ะ
งี่เง่า!” แล้วคำว่า ‘งี่เง่า’ ก็ตามคำว่าโง่มาติดๆ
ใบหน้าถมึงทึงของเขาพร้อมกับแขนเล็กๆที่พากันกอดไขว้อยู่ตรงหน้านั่นยิ่งทำเหมือนตัวเองมีอำนาจหนักหนาทั้งที่มันไม่สมตัวเลยสักนิด
ผมอึ้งไปสักพักกับท่าทางเก๊กๆ แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
แต่...เห้ย! เดี๋ยวสิ...ไอ้หัวเราะคิกคักๆแบบนี้น่ะผมเคยทำที่ไหน
จริงๆด้วย...ผมบ้าไปแล้ว
แต่...ก็อยากบ้าแบบนี้ไปนานๆเลยแฮะ
“งั้นก็มาสนิทกันเถอะนะ!”
ผมจัดการคว้าข้อมือเล็กๆของคนตรงหน้าแล้ววิ่งทันที หูผมได้ยินเสียงก่นด่าดังไล่มาตลอดทางและเสียงฝีเท้าที่ไม่หยุดหย่อน
ความจริงมันน่าจะหนวกหูแท้ๆ แต่ผมกลับคิดว่าดีแล้วล่ะที่ได้ยิน
เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นเครื่องยืนยัน
ว่าข้างหลังผม ยังมีเขาตามมาอยู่...ไม่ได้หายไปไหน แม้มันอาจเป็นเพราะผมจับมือของเขาเอาไว้อยู่ก็ตาม
แต่สักวันผมจะปล่อยมือ...
แล้วให้เขาเป็นคนวิ่งมาคว้าผมไว้บ้าง...
“อะ ไอ้บ้า! นะ
นี่นายจะลากฉันไปถึงไหนเนี่ย ฮะ!!!”
เสียงหอบหายใจคล้ายว่าจะเป็นลมอยู่รอมร่อของร่างเล็กๆนั่นทำให้ผมต้องปล่อยมือก่อนหันไปยิ้มให้เขา
แล้วพยักเพยิดให้ดูอะไรข้างหน้า
“นี่มัน....”
ดวงตาสีมรกตหรี่ลงน้อยๆ คิ้วขมวดเป็นปม “ห้องข้อมูลของเครือยามาโมโตะ!”
“ใช่! เจ๋งใช่มั้ยล่ะ
หลังประตูเนี่ยมีข้อมูลทุกอย่างของกิจการครอบครัวฉันเก็บไว้
จะให้นายดูเป็นคนแรกเลยนา”
“ซื่อบื้อ!!”
เสียงเล็กๆตวาดใส่ผมอีกรอบ
ใบหน้าซีดเผือดพร้อมกับร่างกายที่สั่นระริกนั่นผมก็พอจะเดาได้ว่าคนตรงหน้าคงช็อกที่ไม่คิดว่าผมจะพามาสถานที่ล่อเป้าพวกคู่แข่งธุรกิจอย่างนี้ล่ะสิ
“จะดูถูกกันเกินไปแล้ว! อย่าคิดว่าฉันยังเด็กแล้วจะทำอะไรไม่ได้นะ!
ถ้าไม่อยากให้ธุรกิจเจ๊งกะบ๊งก็รีบๆกลับไปที่งานกันได้แล้ว!”.....เห็นมะ? ผมว่าแล้วไม่มีผิด
แล้วดูท่าทางมั่นใจของคนที่จะทำผมเจ๊งนั่นสิ...แหม....น่ากลัวจังเลย
“หืม? งั้นเหรอ
หมายความว่าถ้าฉันพานายเข้าห้องข้อมูลแล้ว
นายจะสามารถคาบไต๋ธุรกิจฉันออกไปได้งั้นแหล่ะ”
ผมตั้งใจยิ้มยียวนยั่วไอ้ตัวเล็กอย่างนึกสนุก “ถ้างั้น...จะลองดูหน่อยมั้ยล่ะ”
“นี่นาย!”
“แต่ว่าด่านแรกก็ต้องเข้าไปให้ได้ก่อนล่ะนะ
บอกเอาไว้ก่อนว่าห้องข้อมูลนี่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม
ถ้าคีย์รหัสไม่ถูกต้อง...เสียงเตือนภัยจะดัง แล้วนายได้ไปนอนในซังเตแน่ๆ”
ผมหัวเราะหึๆ มองใบหน้าขาวซีดของเขาที่เริ่มจะทวีความหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะว่านี่มันนิสัยผม
ได้เจอคนถูกใจก็เลยอยากแกล้ง...ก็แค่นั้นเอง
“แล้วเสียใจด้วยนะที่คนหน้าโง่ๆ
อย่างฉันเนี่ย แฮ็คระบบมันได้ตั้งแต่เจ็ดขวบ” ใส่ไฟเข้าไปอีก นั่นไง! ผมว่าแล้ว
ทนไม่ไหวจริงๆด้วย ร่างเล็กร้องชิเบาๆแล้วควักอะไรบางอย่างออกมาจากเสื้อสูท
ที่ผมเห็นก็คือแท็ปเล็ทเครื่องบางๆพร้อมกับสายยูเอสบีและไขควง
จากนั้นก็เดินเข้าไปแล้วจิ้มจึ้กเข้ากับตัวเครื่องระบบรักษาความปลอดภัยสุดเจ๋งของผม
ไขนู่นไขนี่ตามใจชอบ
สับสวิตซ์ขึ้นบนลงล่างปุบปับอย่างคล่องแคล่ว
แล้วก็คีย์อะไรบางอย่างลงบนหน้าจอแท็ปเล็ท นิ้วเล็กๆนั่นเคลื่อนไหวด้วยความเร็วปานลมกรด
หลังจากนั้นเจ้าเครื่องสแกนคนเข้าห้องก็ร้องประท้วงประหนึ่งว่าเหลือชีวิตอยู่อีกไม่กี่วินาที
มีแสงไฟแลบออกมาจากตัวเครื่องแล้วตามด้วยเสียงดังเปรี๊ยะๆเหมือนเวลาเอาลวดทองแดงเปลือยๆในสายไฟมาจ่อกัน
แต่ดูเหมือนคนประทุษร้ายจะไม่สนใจเลย ยิ่งเขาง่วนกับแท็ปเล็ท รปภ.ขนาดร้อยตารางเซนติเมตรของผมก็ยิ่งทรมาน
จนสุดท้ายมันระเบิดเสียงร้องแสบแก้วหู แล้วลุกไหม้ดังฉ่าไปต่อหน้าต่อตา
“เหอะ! ดับไปสักที
” ร่างเล็กเท้าเอวมองไอ้เครื่องคีย์รหัสที่เดินทางไปโลกหน้าแล้วอย่างสะใจ มือบางจัดการถอดอุปกรณ์หายนะนั่นออก
พร้อมปรายสายตามองมาทางผมที่ยืนอึ้ง ริมฝีปากบางยิ่งเหยียดยิ้ม
“ระบบรักษาความปลอดภัยห้องนี้น่ะ
ฉันส่งไวรัสให้มันแด๊กไปเรียบร้อยละ
แล้วก็ไม่ต้องให้ไอ้โปรแกรมเมอร์หน้าไหนมาแก้นะ มันเปล่าประโยชน์...โปรแกรมไวรัสนี้
ฉันเขียนเองกับมือตอนหกขวบ โดนแล้วจอดอย่างเดียว ไม่ต้องแจว”
“....”
“ก็ถ้าฉันกับนายรู้จักกันเร็วกว่านี้
ฉันก็คงแฮ็คห้องนี้ได้ก่อนนายล่ะนะ”
แล้วพ่อคุณก็ผลักประตูเข้าห้องข้อมูลไปอย่างหน้าตาเฉย
เห้ย...จริงน่ะ?
ล้อเล่น...ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย...
นี่เขาคิดว่าระบบรักษาความปลอดภัยของผมที่หนายิ่งกว่าปราการเหล็กนี่มันเป็นอะไร
ที่รองมือรองตีลล์โปรแกรมไวรัสมรณะนั่นน่ะเหรอ!! นี่ระบบผมต้องมาจบชีวิตอย่างอนาถ
ศพไหม้เกรียมเพราะแด๊กไวรัสหมอนั่นเนี่ยนะ!
“ว้าว! เจ๋งจริงๆด้วยแฮะ
นี่เก็บตั้งแต่รายนามลูกค้า รายนามผู้ถือหุ้น
ยอดสินค้าทุกอย่างตั้งแต่แนวโน้มห้าหกปีก่อนจนถึงสิบปีข้างหน้าโน่น
อืม...อัตราเจริญเติบโตก้าวกระโดดดีนี่ สิบถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์ต่อปีเชียว”
เจ้าตัวเล็กกวาดตามองแฟ้มสี่ห้าเล่มบนโต๊ะ
ซึ่งนอกจากไอ้ฝีมือการทำลายข้าวของชาวบ้านนั่นแล้ว
ผมยังต้องซูฮกในสายตาที่เฉียบแหลมช่างเลือกอีกด้วย
ก็ดูแต่ละข้อมูลที่หมอนั่นเจาะออกมาสิ ล้วนแต่เป็นเรื่องสำคัญของธุรกิจผมทั้งนั้น แถมพ่อคุณยังสามารถอ่านกราฟยอดหุ้นที่อุดมไปด้วยศัพท์เฉพาะทางเศรษฐกิจคล่องปร๋ออีกต่างหาก
ไม่เคยมีใครบอกหรือไงว่าไอ้สิ่งที่ทำอยู่นั่นน่ะ
เขาต้องใช้เวลาเรียนกันตั้งหลายปี
แต่คนตรงหน้ากลับทำได้ตั้งแต่ฟันน้ำนมยังร่วงไม่หมดปาก
ให้ตายสิ....นี่คนใช่มั้ย?
“นี่...”
เสียงเรียกของเขาทำให้ผมสะดุ้ง สายตาที่ช้อนมองมาคมกริบจนผมขนลุก “แล้วหุ้นส่วนรายใหญ่ของนายรายต่อไป
ก็คงเป็นเครือของฉันล่ะสิ?”
“อะ..อะไรนะ”
ผมครางถามเสียงแผ่ว นึกกลัวสายตาที่เหมือนจะแหวกทะลุทุกสิ่งทุกอย่างคู่นั้น
เขาปิดแฟ้ม ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“สิ่งที่เครือโกคุเดระแสวงหาคือสิ่งที่ดีที่สุด
และส่วนที่ยามาโมโตะต้องการก็คือการกระจายสินค้าสู่ผู้บริโภคทุกรูปแบบ พวกผู้ใหญ่คงเล็งเห็นผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายที่จะสามารถตอบสนองกันได้
เพราะฉะนั้นพ่อถึงได้พาฉันกับพี่สาวถ่อมาถึงงานวันเกิดนาย
ทั้งๆที่มันก็ไม่เห็นจำเป็น”
ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มแล้วเอ่ยอย่างมั่นใจ
พวกคุณรู้ไหมว่าผมจำตอนนั้นได้แม่น
เพราะมันคืออาการประหลาดที่แล่นวาบเข้ามาในหัวใจผมเป็นครั้งแรก หากเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นสิ่งที่คนอื่นเขาเรียกกันว่า
‘ประหม่า’
...มันเหมือนกับว่าตัวตนข้างในถูกฉุดกระชาก...เป็นวินาทีที่ผมได้รู้ว่า...
ต่อหน้าคนๆนี้แล้ว...ผมไม่มีอะไรเลย
“อีกไม่กี่ปีหรอก
ยามาโมโตะ ทาเคชิ ที่ยุคของฉันกับนายจะมาถึง แล้วตอนนั้นนายจะได้รู้ว่าคำว่า ‘ที่สุดในโลก’
นั้นมันไม่ได้กว้างพอให้คนสองคนยืน ต้องแก่งแย่ง...ชิงดีชิงเด่น ตะเกียกตะกายราวกับจะคว้าท้องฟ้ามาอยู่ใต้เท้าแทนพื้นดิน”
“....”
“และแน่นอนว่าถ้านายเล็งจุดนั้นเอาไว้...นายได้เจอฉันแน่!”
ผม...รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีอะไรเลยจริงๆ
ทั้งๆที่ผ่านมาหากมาถูกท้าต่อหน้า ในใจผมได้หัวเราะเยาะสมน้ำหน้าเจ้าคนไม่เจียมตัวนั่นไปแล้ว
แต่ตอนนี้มือของผมสั่นไปหมด เลือดในร่างกายสูบฉีดอย่างรวดเร็ว
เหงื่อเม็ดโตย้อยจากขมับทั้งๆที่อยู่ในห้องแอร์
ไม่ได้กลัวหรอก...
แต่กำลังนึกสนุกอยู่ต่างหาก
“หึ...งั้นเหรอ
เอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าถ้าฉันไปถึงจุดนั้นได้แล้ว...นายต้องอยู่ด้วยกันนะ”
“บ้า!! ก็พูดไปอยู่หยกๆว่ามันอยู่ได้แค่คนเดียว!”
“อ่าฮะ
ก็คนเดียวไง แล้วฉันค่อยอุ้มนายเอา...จะได้ไม่เปลืองที่” ผมยิ้มกว้างพร้อมส่งสายตาเอาจริงไปยืนยันเล่นเอาคนตรงหน้าแทบสำลัก
เขานิ่งอึ้ง อ้าปากค้าง ใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นสีชมพูทันทีเหมือนติดสวิซต์ไฟ
“คะ ใครจะให้แกอุ้มวะ!!? ชิ! เก่งกว่าฉันให้ได้ก่อนเถอะ ไอ้ซื่อบื้อ!”
“เก่งกว่า?
ฮะๆ นี่นายชอบคนที่เก่งกว่าเหรอเนี่ย”
หัวช่างจินตนาการของผมยังอุตส่าห์ตีความไปโน่น
ร่างเล็กถลึงตามองผมทันทีที่จบประโยค ตาที่ผมว่าโตแล้วมันถลนไปอีกไม่รู้กี่เท่า
ซึ่งผมก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆไม่แก้ไขคำตอบจนกระทั่งอีกฝ่ายยอมแพ้
มือสองข้างของเขาล้วงกระเป๋าก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง พร้อมกระซิบคำพูดเบาๆ
“ทุกคนล้วนสนใจคนที่อยู่ข้างหน้า
เพราะอย่างนั้นถึงได้มองว่าคนที่เก่งกว่าสำคัญ...มันก็เท่านั้น”
เพียงแค่ประโยคนั้นประโยคเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเหมือนตัวเองถูกสาปกลับไปกลับมา...จากยอดมนุษย์อยู่ดีๆก็กลายมาเป็นคนธรรมดาเดินดิน
แล้วหลังจากนั้นก็กลายเป็นว่าอยากกลับไปเป็นยอดมนุษย์อย่างเก่า
แต่มันไม่เพียงแค่นั้นน่ะสิ...หมอนี่ยังฝากความหวังน่าปวดตับผ่านดวงตาสวยๆนั่นมาอีก
ว่าสักวันผมต้องเป็นคนๆนั้นให้ได้...เฮ้! ผมไม่ได้โม้เข้าข้างตัวเองนะ
ผมเห็นจริงๆครับ
แต่ผมไม่รู้หรอกว่าจะทำยังไงให้เก่งกว่าเขาได้...บางทีอาจจะต้องเก่งกว่าคนทั้งโลก
เหมือนกับว่าถ้าผมบินอยู่...ผมก็ต้องอยู่ให้สูงเหนือใคร...
และมันจะเป็นวินาทีที่ดวงตาของผมจะสะท้อนทุกสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง...
ไม่เว้นแม้แต่....ท้องฟ้า....
SKYFALL
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น