หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2559

Au.Fic Attack on Titan [Levi X Eren] FORENSIC : หลักฐานชิ้นที่ 5



Au.Fic  Attack on Titan [Levi X Eren] FORENSIC
Drama  action  investigation
NC-17                         
คำเตือน : เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ด้วยแนวเรื่องนี้เป็นฟิคที่ตัวหนังสือค่อนข้างเยอะ โปรดระวังอาการล้าทางสายตาจ้ะ



หลักฐานชิ้นที่ 5 นกน้อยกับฟ้ากว้าง



            เอเลนไม่รู้จริงๆว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ว่ายังไง เขาจำได้ ครั้งแรกที่เขาเข้าห้องชันสูตรกับพ่อเขาก็ยืนนิ่งอยู่สักพัก เพื่อตั้งสติ ปล่อยตัวเองซึมซับบรรยากาศของห้อง ทั้งจอมอนิเตอร์ หลอดไฟ เครื่องมือและร่างมนุษย์ไร้ลมหายใจก่อนจะเริ่มลงมีด เขายังจำได้ เขาเผลอพูดขอโทษศพด้วยตอนที่คมมีดมันกรีดผ่านเนื้อหนังซีดๆลึกไปหน่อย ตอนนี้ก็เหมือนกัน นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ชินชามาตั้งแต่แรก นี่คือห้องแล็ปจริง ศพจริงที่เขาต้องลงมือผ่าคนเดียว กับผู้ชมกิตติมศักดิ์อีกค่อนโหล

ตรงหน้าเขาคือผบ.เอลวิน และทีมสอบสวนพิเศษที่ไม่คุ้นหน้าซึ่งเอเลนเดาว่าเพิ่งบินตรงมาจากอังกฤษ เอเลนคำนวณคร่าวๆ บางทีเขาอาจขอเวลาสักสามถึงห้านาทีกำจัดความประหม่าก่อนลงมือทำงาน...ใช่ แค่สามถึงห้านาทีก็คงจะพอ...ถ้าไม่มีผู้ชายคนนั้น!

คนที่เอเลนร้องถามตัวเองในใจซ้ำๆว่าทำไมมาอยู่ที่นี่ได้!!

ผู้ชายร่างไม่ได้สูงใหญ่ ผมสีดำกับดวงตาคมกริบสีเถ้าถ่านและบรรยากาศเย็นชาเฉียบขาดเป็นเอกลักษณ์ที่เอเลนไม่มีวันลืม จะลืมได้ไง ก็เขากับคนๆนั้นเพิ่งช่วยกันจับวัยรุ่นขโมยของเมื่อวานนี้เอง ใช่ๆ เขาเป็นคนเดากับปากว่าคนๆนี้เป็นตำรวจ แต่เขาไม่ได้หมายความถึงตำรวจสากล และไม่ได้หมายความถึงคนที่จะมาเป็นหัวหน้าเขาด้วย!

“เอเลน...นี่คือสิบตรีรีไว” เสียงของผบ.เอลวินดึงสติเขากลับมาบ้าง แม้จะไม่มากนักแต่ผู้บัญชาการคนนี้กำลังยิ้มด้วยแววตาที่ภูมิใจ เอเลนเข้าใจดีทีเดียว สำหรับผบ.เอลวิน เขาและสิบตรีรีไวน่าจะเป็นคู่หูที่ดูจะเข้ากันมากที่สุดไม่ต่างจากไข่ดาวกับขนมปังปิ้งในจานเบรคฟาสต์ โอ้ เยี่ยมเลย...

“และนั่น...ทีมสอบสวนพิเศษจากอังกฤษ...พวกเขาจะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานเธอ ถ้าการทดสอบเป็นไปอย่างราบรื่น”

เอเลนแอบยิ้มแห้งๆ ทักทายกลับไป

“เป็นเกียรติที่ได้พบครับ”

“เคยพบกันแล้ว” คนตรงหน้าเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือจะหงุดหงิดนิดๆ สายตาเต็มไปด้วยร่องรอยของความโกรธอย่างที่เอเลนก็ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน “ใช่ไหม...เมื่อคืน”

ผบ.เอลวินร้องหืมออกมาแม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่เหมือนเจ้าตัวจะเข้าใจอะไรบางอย่างอยู่บ้างแล้วคนเดียวถึงเหลือบมองเขาด้วยสายตาอ่านยากแบบนั้น ส่วนลูกทีมของคุณตำรวจขาหนักก็พากันเหลือบมองหัวหน้าตัวเองอย่างสงสัย ยัง! นั่นไม่ใช่สิ่งที่เอเลนต้องกลัวไป พ่อของเขาต่างหากที่เขาต้องสนใจ พ่อยังไม่เห็นแผลเขา พ่อยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่ควรจะรู้ด้วย เพราะงั้นเขาเลยส่งสายตาอ้อนวอนให้คุณตำรวจตรงหน้าช่วยเห็นใจแล้วเลิกขุดเรื่องเมื่อคืนสักที

“เมื่อคืน ที่ซูปเปอร์มาเก็ต...”

“ครับ! ใช่ ที่ซูปเปอร์มาเก็ต เราพบกันโดยบังเอิญ” เอเลนรีบพยักหน้าหงึกหงัก แอบกลืนน้ำลายหนึ่งอึก เสียงแผ่วลงโดยอัตโนมัติ “แต่ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะบังเอิญกว่า..”

“ดูเหมือนเมื่อวานหัวหน้ารีไวจะเจอเรื่องบังเอิญไม่น้อยเลย แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี” ผบ.เอลวินสรุป เอเลนลอบทำสีหน้าปั้นยาก เลือกที่จะมองศพบนเตียงที่ดูจะน่ามองกว่า ฟังเอลวินอธิบายไปด้วย

“การทดสอบนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอ ศพนั้นคือคำถาม จงชันสูตรหาสาเหตุการตายและหาเบาะแสที่จะชี้ไปที่ตัวผู้สังหารให้ได้มากที่สุด เธอสามารถใช้อุปกรณ์ที่อยู่ในห้องนี้ได้ทุกชิ้น ระหว่างชันสูตรมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับคดีหรืออยากรู้อะไรเพิ่มเติมนายถามหาเบาะแสจากใครก็ได้ อ้อ แต่แน่นอนว่ายกเว้นพ่อของเธอ”

เอเลนขมวดคิ้วเหมือนได้ยินอะไรผิดไป เขาว่านี่ไม่เหมือนการทดสอบ

“ถามได้เหรอครับ”

“นี่ไม่ใช่การสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่เป็นการทำงานจริงๆ” รีไวว่าขึ้น น้ำเสียงยังคงกระด้าง “ทีมสอบสวนพิเศษ ทำงานเป็นทีม นายไม่สามารถหาตัวคนร้ายได้เพียงตัวคนเดียวอยู่แล้ว หรือถ้านายคิดอย่างนั้น นายก็สอบตกตั้งแต่ตอนแรก”

“ใช่แล้ว!” เอเลนสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกตะปบหมับเข้าที่ไหล่อย่างแรง ผู้หญิงคนนี้สูงพอๆกับเขา ไว้ทรงผมหางม้าสวมแว่น เธอยิ้มกว้าง ดวงตาโตหลังกรอบแว่นเอเลนว่ามันน่าขนลุกพอๆกับหัวหน้าของเธอ “ฉันฮันซี่ จากกองพิสูจน์หลักฐานยินดีที่ได้รู้จัก โว้ว...ดูใกล้ๆแล้วนายนี่หน้าเด็กเป็นบ้า ตอนแรกฉันก็นึกว่าผบ.เอลวินจะหาหมอหน้าเนิร์ดๆอายุสักยี่สิบห้า เจอตำรวจแล้วหน้าซีดเป็นไก่ต้ม โค้งปะหลกๆรอบทิศ”

“อ่า ถ้าผมเป็นหมอจบใหม่อายุยี่สิบกว่าๆผมก็ทำอย่างนั้นล่ะฮะ การที่หมออย่างเราเจอตำรวจมันมีอยู่แค่สองกรณีคือตอนทำคดีหรือไม่ก็โดนคนไข้ฟ้อง” เอเลนว่าด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “แต่เพราะผมยังไม่ใช่หมอ ก็ยังไม่รู้สึกกลัวตำรวจสักเท่าไหร่ ถ้าจะโดนฟ้องจริงๆ พ่อผมคงโดนก่อนเป็นรายแรก ผมเป็นแค่ลูกมือแกน่ะฮะ”

เท่านั้นคุณฮันซี่ก็หัวเราะฮ่าๆอย่างไม่คิดจะเก็บอาการซึ่งเอเลนก็เดาว่าเธอคงไม่ใช่ผู้หญิงที่มีจริตอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่ใช่เท่านั้นร่างทั้งร่างของเขายังถูกดึงไปกอด ไม่สิ รัด รัดมากกว่า รัดไม่พอยังโยกไปซ้ายไปขวาด้วย “รีไว! ฉันชอบหมอนี่!!” เธอตะโกน “ยกให้ฉันนะ จะเป็นพี่เลี้ยงอย่างดีเลย!

เอเลนหัวเราะแหะๆกับหน้าอกหญิงสาวที่น่าจะเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อซะส่วนใหญ่ เขาแอบเห็นลูกน้องของรีไวชายสาม หญิงหนึ่ง ทุกคนมีสีหน้าละเหี่ยใจและเหมือนทำท่าสวดมนต์อวยพรให้เขา เพียงแต่ไม่มีการเอามือแตะหน้าผาก ไหล่และอกภาวนาว่า อาเมนเท่านั้น ส่วนหัวหน้ารีไวทำเพียงถอนหายใจสั้นๆ

ผบ.เอลวินหยุดสถานการณ์วุ่นวายด้วยการปรบมือสองครั้ง มองหน้าเขาแล้วผายมือไปที่เตียงชันสูตรเป็นเชิงให้เริ่มได้แล้ว คุณฮันซี่ยกนิ้วโป้งแล้วขยิบตาให้แล้วเดินกลับไปรวมกลุ่มส่วนเขาก็เดินเข้าไปหาข้อสอบของเขาไม่รอช้า

“สวัสดีครับคุณเจฟเฟอร์สัน” เอเลนเอ่ยทักตามเนมแท็กบนข้อมือผู้ตาย เริ่มไล่สายตาสังเกต ศพตรงหน้าเขาเป็นเพศชายอายุยี่สิบปลายๆได้ องค์ประกอบร่างกายยังครบทุกส่วนไม่ขาดไม่แหว่ง ใบหน้ายาวผอมตอบ คิ้วเข้ม แม้ผิวเขาจะขาวซีดเพราะถูกแช่โรงเย็นมาร่วมกว่าสองวัน แต่ก็พอจะเดาออกว่าจริงๆแล้วคนๆนี้มีผิวสีแทนแก่ เค้าโครงของคนฮังการี เอเลนสรุปในใจ

“จากการตรวจสภาพศพ สาเหตุการตายมาจากการถูกยิงเข้าที่หน้าอกซ้ายครับ ตำแหน่งขั้วหัวใจพอดี เขามีรอยแผลเป็นจำนวนไม่น้อยนอกร่มผ้าทั้งจากปืนและมีด ใบหน้ามีรอยช้ำจากการวิวาท ริมฝีปากติดจะคล้ำไปหน่อย ท้องแขนมีจุดจ้ำเลือดหลายแห่งซึ่งน่าจะมาจากรอยเข็มฉีดยา...” เอเลนขมวดคิ้วเล็กน้อย พอจะรู้ได้คร่าวๆ ผู้ตายประวัติไม่ค่อยสะอาดนัก “ผมจะตรวจหาสารพิษในร่างกายเขาอีกครั้งครับ แต่เขาน่าจะเกี่ยวข้องกับสารเสพติดจำพวกเฮโรอีน...”

เอเลนเริ่มถอดเสื้อของศพแล้วสำรวจรอยกระสุน บาดแผลเป็นแฉก มีเขม่ารอยแผลรอบรอยแผล เด็กหนุ่มจับมีดกรีดเปิดหน้าอกตามลงไป ถ่ายภาพ แล้วคีบกระสุนหัวสีทองแดงที่ฝังอยู่กับเนื้อเยื่อหัวใจออกมาวางจ้องระดับสายตา “.45APC ครับ อาวุธคือปืนกึ่งออโตเมติกลำกล้องเกลียว เอ่อ พอจะจำกัดวงได้อยู่นะครับ...น่าจะเป็น...”

เสียงเอเลนแผ่วลง หรี่ตามองกระสุน “Glock 21 30 36 41 รุ่นใดรุ่นหนึ่ง ปืนยี่ห้อนี้ผมพอจะคุ้นอยู่บ้างครับ...พวกตำรวจใช้กันเยอะทีเดียว”

“วิ้ว” ฮันซี่ผิวปากเบาๆ ดวงตาเป็นประกายไม่ยอมละไปจากเด็กหนุ่ม ขยับเข้ากระซิบคนข้างตัว “ให้ตายซี่เอลวิน ฉันล่ะรู้ซึ้งเลยว่าทำไมแล็ปอาชญากรรมเบอร์ลินถึงเนื้อหอม ตำรวจสากลหรือ FBI ที่ไหนถูกสั่งมาสืบคดีที่นี่ยอมมาไม่มีอิดออด” เธอหัวเราะหึๆ ลอบสังเกตหน้าผู้บังคับบัญชาตน เบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ “นายนั่นล่ะ เก็บไว้กับตัวได้ยังไงตั้งนาน จะให้ฉันชมว่าปั้นคนเก่งหรือจะให้ด่าว่าเห็นแก่ตัวดี”

รีไวฟังแล้วส่ายหัวอย่างระอา ยัยนักพิสูจน์หลักฐานนี่ทำหน้าเหมือนตอนที่เห็นปืนพกเขาแรกๆไม่มีผิด

“เก็บอาการหน่อยยัยกระหายเลือด หมอนั่นก็แค่เด็กแปลกๆ”

“สเป็คสิ!” หญิงสาวรับด้วยรอยยิ้มกว้าง “นายต้องขอบคุณเอลวินงามๆเลยรีไว ฉันเห็นคนที่ทนอยู่กับนายได้ก็หลุดโลกกันทุกคน”

เอลวินไม่ว่าอะไร เขายักไหล่เล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าจางอ่านยากเหลือบมองเพื่อนต่างยศ เอ่ยเสียงชัดกังวานเหมือนจงใจให้ใครบางคนได้ยินเป็นพิเศษ  “จะบอกว่าแปลกก็ไม่ผิดหรอก ตอนที่ฉันเจอเด็กนั่นครั้งแรกก็ยอมรับว่าแปลกจริง แต่แทนที่จะพูดแบบนั้น ใช้คำว่า พิเศษจะดีกว่า...ดูสิ”

ห้องกลับมาไร้เสียงอีกครั้งเมื่อเอเลนละสายตาจากศพ เขาถอดปลอกปากกาเคมีแล้วหันหน้าเข้าหากระจก เริ่มละเลงข้อความสั้นๆที่ได้มาจากการชันสูตรอย่าง ถูกยิง’ ‘ใช้สารเสพติด’ ‘มีการต่อสู้เขาขีดลูกศรโยงแล้วใส่รายละเอียดการสันนิษฐานต่ออย่างรวดเร็ว เรื่องถูกยิงกับใช้สารเสพติดเขาระบุได้ แต่การต่อสู้นี่สิยังไม่เห็นทางสว่าง เอเลนเม้มปาก ถึงเขาจะพอจำกัดอาวุธได้แต่เขาก็ยังระบุตัวคนร้ายลงไปไม่ได้อยู่ดี ผู้ตายมีร่องรอยฟกช้ำจากการต่อสู้หลายแห่งใกล้เคียงเวลาเสียชีวิต เขาคงจะสู้กับใครมา ศัตรูมีแค่สองตัวเลือก ไม่พรรคพวกที่ขัดแข้งขัดขากันเอง ก็ต้องเป็นตำรวจ

เอเลนหันกลับไปสนใจเสื้อผ้าศพเขาคลี่มองดูมันอย่างละเอียด รอยเลือดวงกว้างที่กลางหน้าอกนั้นเป็นเลือดของผู้ตายไม่ผิดแน่ แต่มีเลือดอีกกลุ่มหนึ่งที่ประหลาด มันเป็นรอยสาดกระเซ็นเปื้อนแถวๆแขนขวา เอเลนขูดเลือดแห้งกรังนั้นใส่หลอดทดลอง พลิกหลังมือผู้ตายแล้วขูดเอารอยเลือดเล็กๆพร้อมกับเศษขุยอะไรบางอย่างในเล็บ เขาเก็บทุกอย่างใส่ภาชนะส่งตรวจ ทั้งหมดนั้นมันคือหลักฐานชี้ตัวคู่กรณีของเหยื่อ

“คุณฮันซี่ครับ คือผมอยากให้ช่วย” เอเลนร้องขออย่างสุภาพพร้อมๆกับหญิงสาวจากหน่วยพิสูจน์หลักฐานที่เดินเข้าไปรับเอาตัวอย่างมาไว้ในมืออย่างรู้งาน “ช่วยเอาของสามอย่างนี้ไปตรวจ DNA แล้วค้นประวัติในฐานข้อมูลของ CSI ทีครับ ผมอยากทราบว่าเขาเป็นใคร แล้วก็รบกวนช่วยตรวจสารพิษในร่างผู้ตายให้ผมทีครับ”

“สองนาทีก็ได้แล้ว” ฮันซี่รับรองด้วยรอยยิ้มสนุกสนานเธอกระโดดหายไปอีกห้องหนึ่ง ส่วนเหล่าผู้ชมการทดสอบที่เหลือไม่อาจละสายตาไปจากเด็กผู้ชายตรงหน้าได้ หลายคนแก่กว่าเอเลนเกินรอบ และยังคงจำได้ว่านั่นยังคงเป็นแค่นักศึกษา เพียงแต่ตอนนี้มันมีบางอย่างเบี่ยงเบนความคิดพวกเขาไป บุคลิกเอเลนเปลี่ยนจนน่าขนลุก สายตาของเขาจริงจังแต่มากกว่านั้นคือความเยือกเย็นและมีสมาธิกับงานสูง น้ำเสียงนิ่งเรียบในจังหวะจะโคนราวกับฟังการวินิจฉัยจากหมอคริชาพ่อของเขาไม่มีผิด ราวกับว่ารอบเตียงชันสูตรมีม่านบางๆกั้นอยู่ แล้วเมื่อไหร่ที่เอเลนยังคงอยู่ในม่านนั้น เขาจะยังคงปล่อยความคิดให้จมไปกับคดีและตัวเอง

DNA ที่นายสั่งตรวจนายสงสัยว่าเป็นของคนร้าย?” รีไวถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ เอเลนส่ายหน้า

“เป็นคู่กรณีที่สู้กับเขาก่อนตายครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนฆ่า” เด็กหนุ่มหันกลับไปทางกระจก เขาวาดช่วงอกของร่างมนุษย์ขึ้นมาง่ายๆ กากบาทที่จุดตาย “เขาถูกยิงนัดเดียวถึงชีวิตในระยะประชิดแต่ไม่ใช่ระยะที่ปากกระบอกปืนแนบเนื้อ มันผิดธรรมชาติจากที่คนสองคนกำลังต่อสู้ตะลุมบอนกัน อีกฝ่ายควักปืนขึ้นมา กดปืนกับอกศัตรูแล้วก็ลั่นไกดังปัง นี่มันเหมือนกับว่าคนร้ายมีเวลาเล็งจากข้างหน้าด้วยซ้ำ ดีไม่ดีอาจจะเป็นตอนที่สั่งให้คนๆนี้ยกมือขึ้นแล้วประสานไว้ที่ท้ายทอย”

เอเลนยิ้มเครียด “ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงลำบากใจที่จะเรียกผู้สังหารว่าคนร้าย บางทีเขาอาจจะเป็นตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่โดยชอบธรรม”

“หรืออาจจะเป็นตำรวจที่ก่อวิสามัญฆาตกรรมโดยเกินกว่าเหตุ” รีไวพูดต่อ น้ำเสียงเขายังคงเย็นชาอย่างเก่าแต่ดวงตาวูบไหวชั่วครู่จนแทบสังเกตไม่เห็น เอเลนจ้องดวงตาสีเทาคู่นั้นกลับไป มีความรู้สึกแปลกประหลาดตีตื้นขึ้นมามากมาย เขาเข้าใจดวงตาคู่นั้นเหมือนคุ้นเคยกับมันมาโดยตลอด มันเป็นสายตาของคนที่กำลังมองกำแพงสูงตรงหน้าตน

“ถูกแล้วครับ” เอเลนพยักหน้ายอมรับ เขาไม่ปฏิเสธ นี่คือความจริง ถึงตำรวจจะคือผู้พิทักษ์แต่ก็ทำผิดได้ แล้วตำรวจบางคนก็ยอมกระโดดเข้าหาความผิดนั่นโดยเหตุผลที่ต่างกันไป

“ผลการตรวจ DNA ได้แล้วเอเลน!” ฮันซี่ผลักประตูห้องชันสูตรเข้ามา เธอโบกกระดาษในมือ “ทั้งสามตัวอย่างตรงกันเป๊ะ มันคือสารพันธุกรรมของร้อยเอกไบรอัน วอล์คเกอร์”

“ตำรวจสากลนี่ครับ” เอเลนดูรูปถ่ายในเครื่องแบบ ก็นึกอยู่ว่าทำไมค้นฐานข้อมูลเจอง่ายขนาดนี้ “เขาเสียชีวิตแล้วเมื่อสามวันก่อนที่น็อตติงแฮมเมืองประจำการของเขาเอง เอ่อ ขอโทษที่ต้องถามนะครับ...ถ้าเขาอยู่อังกฤษ ไม่ทราบว่าเป็นคนรู้จักของคุณฮันซี่หรือเปล่า”

“ก็รู้จักอยู่หรอก” คนถูกถามยังคงมีรอยยิ้ม แต่เอเลนสังเกตว่ามันออกจะเป็นยิ้มที่เจื่อนไปหน่อย เธอยักไหล่ พยักพเยิดไปทางคนที่ยืนอยู่อีกทาง “แต่รีไวน่าจะรู้จักดีกว่า”

คนถูกพาดพิงถอนหายใจเล็กน้อยเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยอยากนึกถึง แต่เขาก็ยอมตอบเสียงราบเรียบ

“ลูกน้องฉันเอง หมอนั่นกำลังตามจับกลุ่มค้ายาข้ามชาติ เราทลายแก๊งค์มันได้ แต่มอร์แกน เจฟเฟอร์สันกลับหนีออกมาพร้อมของกลาง เกิดการไล่ล่าอยู่ห้าวันเต็มจนสิ้นสุดที่น็อตติงแฮม”

เอเลนพยักหน้า พอจะเข้าใจว่าสิ้นสุดในแบบไหน

ร้อยเอกวอล์คเกอร์กับเจฟเฟอร์สันน่าจะต่อสู้กันหนักพอดู ลงท้ายที่ฝ่ายตำรวจถูกฆ่าตาย หลังจากนั้นเจ้าเจฟเฟอร์สันก็หนีสุดชีวิต แน่ล่ะ เขาหนีลืมตายเลย ต้องขอบคุณการเก็บศพในความเย็นจึงทำให้การแข็งตัวของศพยังคงอยู่ ขาของหมอนี่แข็งจนกดไม่ลงบอกถึงการใช้งานมันอย่างหนัก เขาวิ่งเป็นระยะเวลานานอยู่ จนสุดท้ายก็ถูกผู้ที่ไล่ล่าฆ่า ซึ่งเอเลนพอจะระบุตัวได้แล้ว

“คือจากวิถีกระสุนนะครับ ภายนอกอาจจะไม่ชัดเจนนักแต่ตอนผมผ่าเอากระสุนออกจากเนื้อเยื่อศพก็เลยพอจะบอกได้ว่ามันแปลกไปจากปกตินิดหน่อย” เอเลนขีดเขียนลงบนกระจกลงไปอีก เขาวาดมนุษย์ง่ายๆยืนหันหน้าเข้าหากัน คนหนึ่งยื่นมือออกไปในท่ายิงปืน “การจะเล็งหน้าอกคนนั้นหากผู้สังหารกับผู้ตายส่วนสูงใกล้เคียงกัน วิถีกระสุนจะพุ่งทะลุอวัยวะต่างๆในแนวตรง ยิ่งเป็นผู้ใช้ปืนอย่างชำนาญจนสังหารจุดตายเหยื่อได้ภายในนัดเดียวอย่างนี้ด้วยแล้วไม่มีทางที่วิถีกระสุนจะเบี่ยงแน่นอนครับ แต่ว่านี่ไม่ใช่...”

เอเลนวาดลงไปอีกเส้น คราวนี้เป็นเส้นทแยง จากนั้นเขาเดินตรงไปที่จอแอลซีดีขนาดย่อม เป็นภาพของอวัยวะภายในช่วงอกผู้ตายตอนที่ยังไม่ได้กระสุนออก “มันเฉียงขึ้นนิดหน่อยน่ะครับ ผมถ่ายภาพแล้วลองใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์วิเคราะห์ดูมุมแล้วคำนวณลักษณะของผู้สังหารคร่าวๆได้ว่าเขาน่าจะตัวเล็กกว่าผู้ตายอยู่มากทีเดียวถึงต้องยกปากกระบอกปืนให้สูงขึ้นอีกนิด เอ่อ น่าจะตัวเล็กกว่าสักสามสิบเซนติเมตร ถ้าผู้ตายสูงร้อยเก้าสิบ คนยิงก็น่าจะสักร้อยหกสิบน่ะครับ”

จริงๆถ้าจะบอกให้ชัดเขาก็คิดว่าคนยิงน่าจะเป็นหัวหน้ารีไวนั่นแหล่ะ วิสามัญฆาตกรรม คำนี้มันอาจจะฟังแล้วรุนแรงแต่กับบางสถานการณ์มันคือสิ่งจำเป็นต้องทำ แล้วดูท่าว่าเจ้าพนักงานอย่างหัวหน้ารีไวจะถูกบังคับให้อยู่ในสถานการณ์แบบนั้นบ่อยครั้งด้วย แต่เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของฝ่ายสืบสวนที่ต้องไปสอบปากคำและหาตัวผู้ลงมือตามหลักฐาน ส่วนหน้าที่ของเขาหมดแค่นี้

“จบการชันสูตรเท่านี้ครับ ขอบคุณที่ให้โอกาส”

“บราโว่!” เป็นฮันซี่ที่ร้องออกมาคนแรก เธอปรบมือลั่นนำทุกคน ถลาเข้ามาคล้องคอเด็กหนุ่มแล้วลากกลับมาหาผู้สังเกตการณ์สอบจนเจ้าตัวจะเซล้ม “ยินดีต้องรับสู่ทีมสืบสวนพิเศษรีไวนะหนุ่มน้อย อ๊า! ฉันล่ะดีใจจัง คุณเลี้ยงลูกได้วิเศษมากค่ะคุณหมอเยเกอร์ จากนี้ไปไม่ต้องห่วงนะคะ ประสบการณ์การทำงานฉันจะเป็นคนยัดใส่กึ๋นให้หมอนี่เอง!

นายแพทย์คริชาค้อมศีรษะเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มฝากฝัง เอเลนหัวเราะแหะๆ เขาโล่งใจอยู่ที่มีคนยอมรับเขาได้แม้เธออาจจะมีนิสัยกระตือรือร้นแปลกๆไปสักหน่อย อันที่จริงนี่ก็คงเป็นนิสัยของเขาเหมือนกัน สรุปคือทั้งเขาทั้งฮันซี่ เราแปลกกันทั้งคู่นั่นแหล่ะ

“แต่พันตรีฮันซี่ ขอโทษนะครับที่ต้องขัด” เสียงทุ้มจากผู้ชายผมทองยาวถึงบ่าได้ ดวงตาของเขาดูอบอุ่นอยู่บ้างเมื่อมองมาทางเอเลน แต่นอกจากนั้นคือความแน่วแน่จริงจัง “เด็กคนนี้อาจจะยังไม่ได้ทำงานกับเราถึงแม้ว่าเขาอาจจะมีความรู้มากกว่าเด็กทั่วไปก็ตาม”

“ผมเห็นด้วยกับเอิร์ดครับ” คราวนี้ชายผมดำว่าบ้าง “เขายังมีข้อจำกัดในการทำงานหลายอย่าง ทัศนคติ ประสบการณ์ วัยวุฒิ หรือเครื่องมือการันตีความสามารถในทางรูปธรรม”

“พูดง่ายๆคือเรายังไม่ไว้วางใจที่จะหนีบเจ้าเด็กนี่ไปไหนด้วยแล้วพูดว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมงานของเราอย่างเต็มภาคภูมิ” ปิดด้วยผู้ชายผมสีน้ำตาลทองออกจะกระเจิงไปสักหน่อย ดวงตาของเขาก็ออกจะติดเหมือนเบื่อโลกไปสักนิด แต่สายตาที่มองมายังเอเลนนั้นเอาเรื่องใช้ได้ ในบรรดาทั้งหมดเขาคงจะมีอคติสูงที่สุด แต่เอเลนว่าคนๆนี้พูดได้จี้ใจเขาที่สุด ตรงประเด็นและชัดเจนดีมากด้วย

“นี่ ไม่เอาน่าออลโอ้ นั่นไม่ใช่เรื่องที่นายจะไปตัดสิน” หญิงสาวผมทองว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน เธอหันไปหาหัวหน้าของเธอ แจ้งอย่างเคารพ “เด็กคนนี้จะได้ทำงานกับเราหรือไม่ อยู่ที่คุณค่ะหัวหน้ารีไว”

คนเป็นหัวหน้านั้นก้าวเท้าขึ้นมาอีกนิดส่วนเอเลนก็อยากจะถอยหลังให้ห่างไปอีกหน่อย หัวใจนักศึกษาแพทย์ที่เคยนิ่งสงบไปแล้วมันชักจะแกว่งขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ขอฉันถามสักสองสามคำถาม”

“คะ ครับ เชิญถามได้เลย”

“มอร์แกน เจฟเฟอร์สันถูกตำรวจยิงตายจริงๆ นายคิดยังไงกับตำรวจคนนั้น” ดวงตาสีเทาคู่นั้นจ้องเข้าไปในดวงตาเอเลนลึกขึ้น “ถ้าตำรวจต้องฆ่าคนร้ายอย่างไร้ปรานี นายรู้สึกยังไง” โกรธไหม? เกลียดหรือเปล่า? รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะรับได้หรือไม่? รีไวอยากถามให้ครบ แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยมันออกไป เขาไม่ต้องการปิดกั้นความคิดของเด็กคนนี้ เด็กคนที่กล้าจ้องตาแล้ววิเคราะห์เขาตรงๆ เขาอยากจะรู้มันทั้งหมด

ชั่ววินาทีนั้นไม่มีร่องรอยของความลังเลในสายตาของเอเลน เขาหันไปหานักตรวจหลักฐาน

“คุณฮันซี่ครับ มีหนึ่งอย่างที่ผมไม่สามารถตรวจได้เพราะมันเกินหกชั่วโมง ตอนตายใหม่ๆบนมือของเจฟเฟอร์สันมีร่องรอยของเขม่าปืนหรือเปล่า”

“อื้ม มีสิ” ฮันซี่ตอบรับ “เยอะแยะเลยบนมือเขา บนเสื้อของเขานายน่าจะรู้แล้ว มันเปื้อนตั้งแต่ข้อมือยันใต้รักแร้ เราพบของกลางเป็นปืนลูกโม่เหน็บไว้ที่เอวของศพ ลายนิ้วมือมีแต่ของเจฟเฟอร์สัน แม็กซ์โล่งโจ๋โบ๋ ถามว่ากระสุนไปไหน มันฝังอยู่ทั่วไปเลยตามเสาและผนังบ้านในเมืองน็อตติงแฮม แล้วเผื่อนายจะอยากรู้ สองนัดนั้นพบอยู่กลางลำตัวของร้อยเอกไบรอัน วอล์คเกอร์ ฉันเช็คเอง ไม่ผิดแน่”

“คนร้ายมีปืน เขาจู่โจมตำรวจ แล้วยิ่งกว่านั้นมีเจ้าหน้าที่ตายหนึ่งคน” เอเลนสรุปง่ายๆด้วยรอยยิ้มบางในขณะที่หันกลับไปหาผู้ถาม “ผมไม่ค่อยรู้วินัยตำรวจ แต่ก็พอจะบอกได้ว่าในกรณีนี้เขาคงต้องถูกวิสามัญฯ เพราะฉะนั้นตำรวจคนนั้นเขาก็ทำตามหน้าที่อย่างดีที่สุดในแบบของเขา...ก็แค่นั้นครับ”

            ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น ไม่มีความคิดเห็นส่วนตัวหรือคำปลอบว่า สบายใจเถอะครับ คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเด็กคนนี้มีนิสัยชอบมองทุกอย่างตามความจริงตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ซึ่งรีไวก็เพิ่งเข้าใจว่าบางทีเขาอาจจะต้องการคนมาเข้าใจเขาแค่นี้ ความรู้สึกแย่บางอย่างที่มันถาโถมบนไหล่มาโดยตลอดตั้งแต่คืนนั้นลดลงไปเพราะประโยคนี้ มุมปากสองข้างของผู้ที่ได้ชื่อว่ายิ้มยากที่สุดยกขึ้นเล็กน้อย

            “ขอถามอีกคำ...”

            “ครับ”

            “นายคิดว่าฉันสามารถปกป้องนายได้ไหม...”

            เอเลนนิ่งไปกับคำถามนั้น รีไวก็คาดไว้อยู่แล้วและไม่คิดเร่งให้เด็กหนุ่มตอบ เขารอฟังอย่างใจเย็น เพียงแต่เป็นเวลาที่เร็วผิดคาดเมื่อเด็กหนุ่มยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มง่ายๆไม่ฝืนอะไร เหมือนกับว่านั่นไม่ใช่คำถามที่ตอบยากเลย 

            “ได้ครับ...ได้แน่นอน คุณมีวิธีปกป้องเพื่อนร่วมงานในแบบของคุณ แล้วไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหน ผมสัญญาว่าจะไม่บ่น” เอเลนยิ้มกว้างขึ้น “แต่ผมเองก็มีวิธีช่วยเหลือคุณในแบบของผมเหมือนกัน ก็หวังว่าคุณจะไม่บ่นด้วย”

            “ถ้ามันไม่ทำให้นายตาย” เสียงทุ้มต่ำสวนกลับมาแทบจะทันที แปลก...เอเลนเข้าใจในประโยคนั้น เข้าใจดีทีเดียว

            “ผมจะพยายามไม่ตาย”

            ...แค่นั้นก็พอแล้ว

            รีไวพยักหน้ารับรู้ เขาหันไปทางเอลวิน “ฉันขอรับเอเลน เยเกอร์เป็นแพทย์นิติเวชประจำทีม เราจะทำภารกิจต่อจากพันตรีเอียน ดิทริช สืบเบาะแสหาองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติอาร์นันโดแล้วจับมันเข้าคุกให้ได้”

            “ฉันเชื่อใจทีมของนาย ฝากด้วยล่ะรีไว” ผู้บัญชาการตำรวจสูงสุดแห่งเบอร์ลินว่าอย่างหนักแน่น เขาตบบ่าหัวหน้ารีไวสองสามทีแล้วเดินออกไปพร้อมกับนายแพทย์คริชา เอเลนนึกประหลาดใจอยู่นิดหน่อยที่บทจะรับช่วงต่องานมันจะง่ายขนาดนี้ อีกอย่างผบ.เอลวินที่เขากลัวแสนกลัวยังทำตัวสบายๆเวลาอยู่กับหัวหน้ารีไวอีกด้วย สองคนนั้นคงเป็นพวกไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ออกแนว เมื่อนายทำ ฉันไว้ใจ เข้ากันได้ดีทั้งๆที่นิสัยออกจะต่างกันขนาดนั้น

            “อาจจะกะทันหัน แต่เรามีงานแรกแล้ว เพ็ตโทร่า เรื่องที่ฉันให้ไปสืบได้เรื่องว่าไง”

            เพ็ตโทร่า รัล เอเลนอ่านชื่อเธอบนป้ายที่หนีบไว้กับกระเป๋าสูท จากบุคลิกแล้วเดาว่าคงเป็นตำรวจสายเลือดนักสืบเต็มขั้น เธอแจกกระดาษให้ทุกคน บนหน้านั้นอัดแน่นไปด้วยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ชายคนหนึ่ง แน่นอนว่าเอเลนไม่รู้จัก แต่รูปถ่ายที่แนบมานั่นน่ะ เขาจำได้แม่น

            โจรที่ปล้นร้านสะดวกซื้อเมื่อวานนี้!

            “เควิน บราวน์ อายุสิบเจ็ดปี ประวัติอาชญากรรมยาวสองหน้ากระดาษ แต่เป็นคดีเล็กน้อยอย่างพวกลักขโมยร้านสะดวกซื้อ เมาแล้ววิวาท ไม่มีคดีอุกฉกรรจ์ เคยโดนจับมาแล้วสี่ครั้ง แต่เพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะจึงต้องถูกส่งไปสถานพินิจ ปรับทัศนคติแล้วปล่อยออกมา”

            “ปรับทัศนคติท่าไหนถึงออกมาแล้วอยากก่อจลาจล” รีไวแดกดัน ริมฝีปากเขาแค่นยิ้ม “ของที่หมอนี่ขโมยแต่ละอย่างประกอบกันดีๆแล้วนักโทษอาญาร้ายแรงบางคนยังไม่กล้าทำด้วยซ้ำ”

            “อีกอย่างตามที่หัวหน้าว่า เขาขโมยพวกอาหารไป แบ่งได้คือสำหรับสองคนสามวัน”

            “แล้วไหนจะเสื้อชูชีพกับไฟฉาย” ออลโอ้หัวเราะหึ เขาเบะปากลงหนึ่งข้าง สีหน้าของเขาบอกชัดว่าขำประชด “หมอนี่อย่างกับจะไปปิกนิกแถวน้ำตกกลางป่าเลยนะครับหัวหน้า”

            “เออ ใช่ ถ้าไม่มีลูกเทนนิสกับคลอรีน นี่สามารถทำระเบิดเพลิงอย่างโง่ๆได้ แต่อานุภาพมันไม่โง่นา ทุกอย่างจะไหม้เป็นจุนตามที่ไอ้ลูกเทนนิสนี่เด้งไปถึง ก็รู้อยู่ว่ามันเด้งได้ดีแค่ไหน” พันตรีฮันซี่ให้ความคิดเห็น เอเลนฟังแล้วรู้สึกว่าตัวเองอยากจะโง่กว่าระเบิดเพลิงที่ว่านั่น เขาพอจะรู้ว่าสารเคมีชนิดใดทำปฏิกิริยากันแล้วมันจะเกิดไฟหรือเกิดระเบิด แต่คงคาดการณ์เป็นเรื่องเป็นราวอย่างทีมตำรวจเชี่ยวชาญพิเศษด้านอาชญากรรมอย่างนี้ไม่ได้ แต่พอฟังเรื่องแล้วเขาค่อนข้างจะปะติดปะต่อได้ ไอ้เด็กเควินนี่ไม่ใช่โจรลักเล็กขโมยน้อยจริงๆด้วย

            “อือ...ระเบิดเพลิงนั่นอาจจะมีเอาไว้เผาสักอย่าง...คงเป็นหลักฐาน หรืออะไรก็ตามที่พวกมันอยากทำลาย จากนั้นก็หนีไปตามเส้นทางที่จะไม่มีน้ำไม่มีอาหารสองสามวัน อาจจะเป็นป่า...เสื้อชูชีพข้ามแม่น้ำ ทะเล ส่วนโรเล็กซ์ที่หมอนั่นรูดมานั่นคงเอาไปจำนำ ราคาของมันทำให้เขาสามารถข้ามประเทศแบบกฎหมายไม่รับรองได้สบาย...หมอนี่เป็นพวกหนีคดีหรือไงเนี่ย”

            สิ้นเสียงเด็กหนุ่มเหล่าตำรวจสากลก็พากันจ้องคนพูด เอเลนเบิกตาโต เขาแทบอยากยกมือขึ้นกัด ไอ้นิสัยชอบคิดไปด้วยแล้วพึมพำไปด้วยมันติดมาตั้งแต่ทำงานในเงา เขากำลังโดนมองด้วยสายตาหลากหลายมีทั้งแปลกใจมีทั้งขยะแขยง เขาอาจโดนด่าในใจว่าเด็กประหลาดเป็นของแถม เอาเถอะ เอเลนทนได้ เขาเจอแบบนี้มาทั้งชีวิต แต่สายตาของหัวหน้าคนใหม่เขานี่สิ เขาไม่รู้จะนิยามว่ายังไงดี

            ปกติก็อ่านยากอยู่แล้ว ประกายในแววตาพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยเอเลนขอยืนยันว่ามันไม่น่าจะใช่ความถูกใจ ไม่มีใครเขาแสดงสีหน้าพอใจแบบนี้หรอก ยิ่งเป็นเขาที่มีฉากแรกพบไม่ประทับใจ ยิ่งไม่ใช่เด็ดขาดเลย

            “มีความคิดวิเคราะห์ที่ดีเลยไม่ใช่เหรอ หมอนิติเวช” แดกดันได้ร้ายกาจมาก แต่เอเลนก็ก้มหน้ารับอย่างดี “ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้มาจากโรงพยาบาล ตอนนี้เควินปลอดภัย หมอนั่นถูกย้ายมาอยู่ที่ห้องรวมตึกศัลยกรรม มีตำรวจเฝ้าอยู่สองนาย จากการตรวจเพิ่มเติม หมอนี่มีเฮโรอีนในกระแสเลือด”

            “เฮโรอีนเหรอ” ฮันซี่ถามเสียงเครียด รีไวพยักหน้ารับ

            “ปริมาณสูง น่าจะติดหนัก แต่คิดถึงความเป็นไปได้ เด็กอายุสิบเจ็ดธรรมดาที่ไหนจะมีเงินไปซื้อเฮโรอีนมาฉีดกันลงแดงได้ทุกมื้อ...หมอนั่นมีสังกัด เกิดคดีความแล้วคิดหลบหนีกับเพื่อนมันอีกคนหนึ่ง ถ้าคำนวณจากปริมาณอาหารที่ขโมยไปแล้ว”

            “หัวหน้าจะทำยังไงต่อไปครับ”

            “ไปเค้นเอากับเควินซะว่ามันเกี่ยวข้องกับอาร์นันโดหรือเปล่า คดีที่มันหนีอยู่นั่นใช่คดีฆาตกรรม เอียน ดิทริชหรือไม่” หัวหน้าทีมสอบสวนพิเศษยกกระดาษที่เขาอ่านตั้งแต่ก่อนการทดสอบของเอเลนจะเริ่มขึ้นขึ้นมา มันเป็นข้อมูลที่เพิ่งได้มาจากร้อยเอกริโค่ ตำรวจสายสืบหญิงมือฉมังของเบอร์ลินตามการมอบหมายของผบ.เอลวินเมื่อสองวันก่อน

            “ชื่อที่ปรากฏบนโทรศัพท์เอียนเป็นเบอร์สุดท้ายก่อนเขาตายก็คือเบอร์ของนายตำรวจไนล์ สถานภาพปัจจุบันคือหายสาบสูญ แต่ไม่มีรายงานว่าเสียชีวิตแล้ว เราจะไปถามเควินว่าคนที่จะหลบหนีไปกับมัน...ใช่นายตำรวจไนล์คนนี้หรือเปล่า”










            เอเลนไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมเขาถึงติดสอยห้อยตามทีมมาอยู่ในรถคันหรูที่ผบ.เอลวินจัดหาให้ทีมสอบสวนพิเศษเป็นจำนวนสองคันถ้วน เขาไม่เคยเห็นพ่อออกภาคสนาม นั่นอาจเพราะพ่อเขาแก่เกินไป แต่ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่านิติเวชต้องกะเตงไปกับทีมทุกครั้งแม้แต่การไปสอบปากคำผู้ต้องสงสัย

            เอเลนอยากค้านว่าการแบ่งคนสำหรับรถสองคันนั้นมันไม่บาลานซ์ เขาอยู่ในรถกับหัวหน้ารีไว ส่วนคันข้างหลังที่วิ่งตามมานั่นมีพันตรีฮันซี่เป็นคนขับพร้อมกับนักสืบเพ็ตโทร่า เบาะหลังมีเอิร์ด จิน นั่งมาอีกคน ส่วนที่เหลือสแตนด์บายที่สำนักงานมีหน้าที่เฝ้ามองเควิน บราวน์จากกล้องวงจรปิดที่ต่อตรงมาจากโรงพยาบาล คำสั่งทุกอย่างถูกออกอย่างรวดเร็วจากผู้ที่มีสิทธิ์การตัดสินเด็ดขาดที่สุดในทีม ไอ้เด็กใหม่อย่างเขาจะหือจะอืออะไรได้ ถามว่าความรู้สึกก่อนขึ้นอึดอัดอย่างไร ตอนในรถนั้นอึดอัดหลายเท่า!

            หัวหน้าเขาไม่พูดอะไรเลย ปล่อยให้เสียงแอร์ในรถมันทำงานแข่งกับเสียงหัวใจของเขา เอเลนเริ่มรู้สึกหายใจลำบาก มือและเท้าจิกแล้วจิกอีก เหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง เขากลัวอะไรแบบนี้ขึ้นสมอง เวลาที่ต้องอยู่กับใครสองต่อสองในบรรยากาศที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วยังเหมือนโดนจ้องเขม็งอยู่ตลอดเวลา ถ้าจะทำอย่างนี้นะ สู้ฆ่ากันเลยดีกว่า!

แต่ขอโทษเถอะ จะให้เขาทำยังไงได้ จะให้ทำยังไงได้ล่ะ!? 

            “หัวหน้าครับ” เอเลนถือวิสาสะเรียก น้ำเสียงเขาเจี๋ยมเจี้ยมเทียบกับเมื่อวานแล้วต่างกันราวฟ้ากับเหว เด็กหนุ่มกลั้นใจสักพักแล้วพูดมันออกไป

“ขอโทษนะครับ”

“ขอโทษเรื่องอะไร”

เอเลนสูดลมหายใจลึกกับคำถามเย็นชาที่ตอบกลับมาทันที เด็กหนุ่มเม้มปาก ระบบการเรียบเรียงเรื่องราวในหัวเหมือนช้ากว่าที่เคยเป็น “ไม่ค่อยแน่ใจครับ...รู้แต่ว่าต้องขอโทษ...คือแบบ ถ้าคุณยังโกรธเรื่องเมื่อวาน ผมคงไปขัดขวางการทำงานของคุณเข้าจริงๆ ขอโทษครับ” เอเลนพูดจบก็เหลือบมองหัวหน้าตัวเอง ประสานสายตาคมปลาบนั่นแล้วมันชวนให้หน้าซีดหนักกว่าเก่า เด็กหนุ่มแอบได้ยินเสียงระบายหายใจเบาๆด้วย มันเต็มไปด้วยความระอาจนรู้สึกได้

บราโว่ เอเลน เยเกอร์ นายเดาข้อหาของนายผิดไปไกลโขเลย

            “ถ้าอย่างนั้นก็เรื่องโทรศัพท์” เด็กหนุ่มเดาใหม่ สายตาน่าขนลุกที่มองมาอีกครั้งนั่นเหมือนจะบอกว่าเขาเดาถูก เด็กหนุ่มร้องครวญยาวเหยียดในใจ เอ่ยเสียงแผ่วอีกครั้ง “ต้องขอโทษ...จริงๆนะครับ”

            “รู้ตัวด้วยเหรอว่าผิด” หัวหน้ารีไวว่าด้วยน้ำเสียงทั้งดุทั้งเย็นชา “บางทีฉันก็แปลกใจกับความคิดของนาย มันทำงานเร็วจนน่าเหลือเชื่อเลย ชันสูตรศพจนกระจ่างโดยใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาที แถมแค่ฟังรูปการคดีก็สันนิษฐานได้ยอดเยี่ยมขนาดนั้นทันทีทั้งๆที่นี่เป็นครั้งแรกของการทำงานจริง นายทำงานได้น่าประทับใจสมกับที่เอลวินโฆษณาไว้ไม่มีผิด แต่ที่ฉันสงสัยคือ นายหัวเร็วขนาดนี้แต่ทำไมพอเป็นเรื่องความปลอดภัยของตัวเองแล้วถึงได้โง่นัก”

            “ครับ” เอเลนพูดได้แค่นี้จริงๆ

            “ฉันว่าฉันย้ำกับนายก่อนขึ้นแท็กซี่แล้วนะว่านี่มันอันตรายถึงชีวิตนาย แต่นายก็ละเลยคำสั่งไม่โทรหาฉัน...โห...ทำอย่างนี้อยากตายนักเหรอ” พลันบนหัวเขาก็เหมือนมีอะไรหนักๆวางทับลงมา เอเลนไม่กล้ามอง แต่จากสัมผัสแล้วน่าจะเป็นมือของหัวหน้ารีไวแต่เอเลนกลับรู้สึกว่ามันเหมือนอุ้งมือสัตว์กินเนื้อไม่มีผิด ปลายนิ้วเย็นเฉียบทั้งห้าออกแรงบีบนิดๆจนเขาอยากจะร้องไห้ออกมาสักครั้งให้รู้แล้วรู้รอด

            เอเลนรู้ซึ้งแล้ว ณ วินาทีนั้นว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่น่ากลัวกว่าการโดนมีดปาดคอหอยคือการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคนข้างๆ น้ำเสียงของหัวหน้ารีไวอดกลั้นความโกรธไม่ใช่น้อย เขาไม่สมควรไปยั่วให้แกมีน้ำโหมากกว่านี้ โดยเฉพาะตอนนี้ที่สถานะไม่เหมือนเดิม คนข้างๆนี่เป็นหัวหน้าเขาเต็มขั้น แต่พอย้อนกลับไปเมื่อวานมันพูดยาก เขายังไม่รู้จักคนๆนี้ดีแม้จะพอเดาว่าเป็นตำรวจ แต่เขาไม่เคยเห็นตำรวจกระโดดเตะขโมยจนซี่โครงหัก ไม่เคยเห็นตำรวจจับผู้ร้ายด้วยเชือกแทนกุญแจมือด้วย เอเลนขอยอมรับแบบหน้าไม่อายว่าเขากลัวจนไม่กล้าแม้จะแตะโทรศัพท์

            รีไวลอบสังเกตสีหน้าของเด็กที่อยู่เบาะข้างๆ มือของเขายังอยู่บนหัวมัน ถึงจะนั่งตัวแข็งทื่อซะขนาดนั้น แต่เขาเหมือนจะรู้ว่าเจ้าเด็กนี่กำลังคิดอะไร รีไวจึงระบายลมหายใจคลายปลายนิ้วออกเล็กน้อย มืออีกข้างหมุนพวงมาลัยเข้าจอดพอดีในที่จอดรถโรงพยาบาล เขาดับเครื่อง แต่ยังไม่ยอมปล่อยให้ใครลง

            “เอ่อ..หัวหน้าครับ”

            “ใช่ ฉันเป็นหัวหน้านาย แล้วด้วยตำแหน่งนี้ฉันก็มีหน้าที่ปกป้องลูกน้องในทีมของตัวเอง” ดวงตาสีเทาจ้องตอบเอเลนมาคล้ายจะตรึงให้นิ่งฟังคำพูดที่กังวานกลางความเงียบ “ตอนที่อยู่ในห้องชันสูตร นายตอบถูก...ฉันมีวิธีการปกป้องคนในแบบของฉัน ทุกภารกิจฉันจะพยายามรักษาชีวิตผู้ปฏิบัติงานภายใต้คำสั่งฉันเท่าที่จะทำได้ แต่ถ้าคนๆนั้นไม่คิดที่จะห่วงชีวิตตัวเองมันก็เกินกว่าที่ฉันจะรับผิดชอบ...แล้วนายก็สัญญากับฉันแล้วว่าจะพยายามไม่ตาย”

            ราวกับเอเลนฝันไป หรือบางทีเขาอาจจะหูฝาด เขาคล้ายจะได้ยินน้ำเสียงทุ้มนั้นกำลังทวงหาอะไรบางอย่างอยู่ มือที่วางอยู่บนหัวกำลังจะยกออกไปแต่ก่อนหน้านั้นเอเลนสัมผัสได้ว่ามือที่แข็งแรงนั้นลูบไปมาลงบนกลุ่มผมเบาๆ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่หัวหน้ารีไวทำจริงๆหรือจะเป็นเขาที่รู้สึกเองก็ตาม สิ่งที่เอเลนทำได้คือการพยักหน้าช้าๆ รับคำว่าเขาได้สัญญาไว้เช่นนั้น ใช้เวลาหนึ่งถึงสองนาทีนี้ในการสำนึกผิดแล้วกล่าวออกไปแค่ประโยคเดียว

            “ขอโทษครับ”     

            “ต่อไปฟังคำสั่งฉันอย่างเคร่งครัด แล้วมองสถานการณ์ให้ดี” รีไวย้ำ เขาเอาวอล์คกี้ทอล์คกี้ใส่หู ส่วนอีกอันก็ยื่นให้เด็กหนุ่ม ทั้งคู่ลงจากรถพร้อมกัน เช่นเดียวกับคันของพันตรีฮันซี่ที่ทุกคนอยู่ในสภาพพร้อมปฏิบัติงาน เสียงซ่าเบาๆดังอยู่ข้างหูเป็นระยะตามวิสัยก่อนจะเป็นเสียงออลโอ้ดังผ่านมา

            [OS เรียก OP ตอนนี้เควินถูกย้ายจากห้องรวมไปที่ห้องพักเดี่ยวแล้วครับ หน้าห้องมีตำรวจสองนายเฝ้า ฝั่งตรงข้ามระยะยี่สิบเมตรเป็นตึกร้าง เราได้ติดกล้องซุ่มดูเอาไว้แล้วพบชายน่าสงสัยหนึ่งคนกำลังเล็งไรเฟิลไปที่เควินครับ]

            “เอิร์ด” รีไวเอ่ยเพียงแค่ชื่อ ชายหนุ่มผมทองก็พยักหน้ารับคำทันทีแล้วแยกตัวไป ดวงตาสีเทาหันมามองคนในทีมที่เหลือแล้วออกคำสั่งรวดเร็วเฉียบขาด


            “เควินถูกสั่งเก็บปิดปาก คุ้มครองเขาให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นเราจะอาจจะต้องหาคำให้การจากศพเขาแทน”








            TBC...

มิยะขอเม้าท์

มาแล้วอีกตอน เย้ๆ! (ตอนนี้ปั่นจบหนึ่งตอนนี่รู้สึกฟินจนหาที่สุดไม่ได้ ฮ่าๆๆๆ) ขออภัยที่ช้าค่ะ แต่ตอนนี้นี่คือเป็นตอนที่คนเขียนรู้สึกว่ามันเป็นจุดสำคัญของเรื่องจุดหนึ่ง อยากเขียนที่สุดตอนหนึ่งเลย ก่อนอื่นเลยคือต้องขอขอบคุณสำหรับตอนที่แล้วค่ะ ที่ยังมีคนอ่านเรื่องนี้อยู่ ซึ้งใจจนไอ้มิยะน้ำตาซึม ต้องขอบคุณจริงๆนะคะที่ยังรอ TTvTT

แอบอธิบายนิดนึงถึงไอ้ตัวย่อนี่ OS มาจาก Observer แปลว่าผู้สังเกตการณ์ค่ะ ส่วน OP คือ Operator เป็นผู้ปฏิบัติการ เป็นคำย่อเรียกเวลาทีมรีไวแยกหน้าที่ปฏิบัติภารกิจกัน (โคตรตรงตัว สารภาพหน้าไม่อายว่าคิดไม่ออก ฮ่าๆๆๆ) ก็กลัวว่าหาชื่อทีมแล้วมันจะไม่เท่ห์เหมือนอัลฟ่าทีมของคุณยูชีจินอะไรอย่างงี้ >w< // งานติ่งก็มา
อิอิ พอหอมปากหอมคอสำหรับตอนนี้ เจอกันตอนหน้านะคะ

ปล. จากนี้ขอย้ายไปอัพฟ้าถล่มนกดำ 1 ตอนจ้า

ขอขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียน

Miya


11 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ12 เมษายน 2559 เวลา 00:32

    มาแล้ววววว เย่ๆๆๆๆ ดีจายยยยยยย~~~

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มาแว้วค่า มาแว้วววว มาตอบเม้นท์ช้าไปหน่อยขออภัย เดี๋ยวจะพยายามคลอดมันออกมาอีกเรื่อยๆเลย ฝากด้วยนะคะ

      ลบ
  2. ขอบคุณฮ้าาาาา
    ชอบคำถามจัง "นายคิดว่าฉันสามารถปกป้องนายได้ไหม"
    เขินแทนเอเลนนนน!!!
    อ่านตอนนี้น่ารักจัง

    จะรอต่อไปเรื่อยๆฮ้า สู้ๆฮ้า

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เอร๊ยยยยยยยยยยยย ขอบคุณค่า ขอบคุณจริงๆ มิยะดีใจที่บอกว่ามีคนบอกว่าตอนนี้น่ารักนี่แหล่ะ เพราะซ่อนความฟินไว้ในความระทึกซะเต็มที่ ฟิคเรื่องนี้มันอาจไม่ฟินทุกตอน แต่จะมีเป็นระยะๆตามแนวของมัน ฮ่าๆๆๆๆ ดีใจค่ะที่ยังมีคนเขิน // ประโยคนั้นนี่คุณรีไวตั้งใจถามจริงๆนะ อิอิ เป็นประโยคที่เต็มไปด้วยอะไรหลายๆอย่างเลย

      ฝากติดตามตอนต่อๆไปด้วยนะคะ >W<

      ลบ
    2. อ่านแล้วได้หลายๆอารมณ์ในตอนเดียวหาอ่านแบบนี้มานานแล้ววววววว
      หายากมาก ขอบคุณนะฮ้า ที่แต่งนิยายที่น่าติดตามให้อ่าน ^ ^
      (ปล.แค่รีไวล์อยู่กับเอเลนก็น่ารักแล้วววววว ^//^)

      ลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ12 เมษายน 2559 เวลา 01:22

    ยังรู้สึกประทับใจในทุกครั้งที่ได้อ่านเรื่องของคุณนะคะ

    ขอบคุณคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณค่ะ โอยยยย เป็นปลื้มมาก ขอบคุณนะคะ //โค้ง
      ฝากติดตามตอนต่อๆไปด้วยนะคะ

      ลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ12 เมษายน 2559 เวลา 15:25

    เห็นว่ามาแล้วกรี๊ดลั่นบ้านเลย ฮือ ดีใจ >// //< เฝ้ารอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ!

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ง๊ากกกกก ขอบคุณนะค้าาา เดี๋ยวเจอกันแหล่ะ เร็วๆนี้เลย ขอปั่นฟ้าถล่มฉลองวันเกิดอิเนียนแป๊บๆ ตอนนี้ถ้าว่างไปอ่านฟ้าถล่มก่อนได้ ฮ่าๆๆ // อะไรคือโฆษณาฟิคข้ามเรื่องวะคะไอ้คุณมิยะ =v=

      ลบ
  5. เอเลนน้อยน่ารัก พออยู่กับหัวหน้าแล้วรู้สึกการประมินสถานการณ์จะลดลงไปแบบเป๋อนิดๆนะครับ ไม่ค่อยใส่ใจตัวเองเลยนะหนู ทั้งๆที่หัวหน้าเค้าเป็นห่วงแท้ๆ

    หลังจากฟินเพราะความน่ารักของหนุ่มๆแล้ว.... พยานจะรอดรึไม่ หรือจะได้สอบปากคำศพ ลุ้นครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. อยากบอกว่า มิยะประทับใจทุกครั้งที่ได้อ่านเม้นท์ของคุณ Jadenchase อ่านฟิคได้สังเกตมาก ตรงนี้ต้องขอบคุณค่ะ ถูกค่ะ ถูกแล้ว ต่อให้เรื่องนี้เอเลนเก่งแค่ไหน แต่คนหนึ่งที่จะก้าวนำเอเลนเสมอก็คือหัวหน้ารีไว มันเป็นธรรมดาของความสัมพันธ์หัวหน้าและลูกน้อง ที่หัวหน้ารีไวต้องตามมีความคิดครอบคลุมและกว้างกว่าทั้งนี้ก็เพื่อดูแลค่ะ ดูแลในรูปแบบที่คุณรีไวบอก ซึ่งเป็นนิสัยของแกอยู่แล้ว

      เอเลนยังเด็กอยู่มาก สิ่งที่ยังขาดคือประสบการณ์การทำงาน ตรงนี้แหล่ะคือเป็นจุดเด่นเลย ซึ่งเขาจะพัฒนาต่อไปได้มากแค่ไหน จะทำให้ทีมยอมรับและภาคภูมิใจที่มีเด็กคนนี้อยู่ในทีมได้เมื่อไหร่ ต้องติดตามต่อไปค่ะฮ่าๆๆๆ มิยะชอบตรงที่ไม่ค่อยใส่ใจตัวเองนี่แหล่ะ งื้อออ เด็กดื้อไม่กลัวตายมันก็ต้องคู่กับผู้ใหญ่จอมดุแต่ช่างเป็นห่วงเป็นใย มิยะว่ามันน่ารักจริงๆค่ะ

      ขอบคุณมากนะคะที่ยังติดตาม ฝากตอนต่อๆไปด้วยค่า

      ลบ