Au.Fic Attack on Titan [Levi X Eren] FORENSIC
Drama action
investigation
NC-17
คำเตือน :
เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ด้วยแนวเรื่องนี้เป็นฟิคที่ตัวหนังสือค่อนข้างเยอะ
โปรดระวังอาการล้าทางสายตาจ้ะ
หลักฐานชิ้นที่
4 ความต่างของ 180 กับ 360 องศา
“ศพนี้พบในน้ำ” คำพูดสั้นๆดังจากอาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชหลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบสนิท
เอเลนหัวเราะเหอะๆในใจขณะที่สังเกตการณ์อยู่วงนอกระยะห้าเมตร
เขาล่ะรู้สึกสงสารรุ่นพี่นักศึกษาแพทย์ที่ยืนทำหน้าอิหลักอิเหลื่ออยู่รอบเตียงผู้ตายเหลือหลาย
ก็อาจารย์เล่นไม่บอกข้อมูลอะไรนอกเหนือจากนั้นสักอย่าง
สมแล้วที่เป็นการสอบ
ถูกต้อง สอบ
เป็นการสอบชันสูตรศพของนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิกที่นับว่าโหดหินยิ่งกว่าทำข้อเขียนเป็นไหนๆ
ไอ้คำว่า ‘ศพนี้พบในน้ำ’ นั่นฟังยังไงมันก็ไม่ช่วยอะไรเลย
เสื้อผ้าผู้ตายยังชื้นหมาด โคลนติดทั่ว ผิวหนังบวมอืด ใครมาดูก็รู้ว่าเพิ่งเอาขึ้นมาจากน้ำชัดๆ
“คำสั่งให้ชันสูตรว่าศพจมน้ำตายหรือถูกฆาตกรรมก่อนจับศพถ่วงน้ำเพื่ออำพรางคดี”
พ่อของเขาที่ยืนอยู่ข้างๆพูดขึ้น วันนี้พ่อเขาไม่ได้มาในฐานะแพทย์นิติเวชของ C.S.I. แต่มาสังเกตการณ์ในฐานะอาจารย์พิเศษที่เคยมาสอนนักศึกษาอยู่ร่วมสามชั่วโมง
เพราะเหตุผลนี้ล่ะเขาถึงยอมตามพ่อมาด้วย
ทัศนศึกษา
พูดอย่างนั้นก็ดูเหมาะกับเด็กน้อยวัยสิบเก้าปีดีอยู่
เพียงแต่ชีวิตของเขามันไม่ได้สบายขนาดนั้น ที่มานี่ก็เพื่อการศึกษาล้วนๆ
ช่วยไม่ได้ที่ระหว่างนี้ไม่มีคดีใหญ่ๆเลย ทางทีมนิติเวชของพ่อเขาเลยขาดแคลนศพ
เอเลนก็เลยขาดกรณีศึกษาไปโดยปริยาย สุดท้ายก็เลยต้องลงเอยที่การมาดูรุ่นพี่สอบชันสูตรแบบนี้
ช่วยไม่ได้ ก็พรุ่งนี้แล้วนี่
ที่เขาต้องสอบเข้าหน่วยพิเศษของผบ.เอลวินน่ะ แต่พูดว่าสอบก็เถอะ
มันดูเหมือนจะเป็นการโชว์ความสามารถของเขาล่ะมากกว่า
“นี่พ่อ พ่อพอจะรู้จักทีมสอบสวนพิเศษที่มาจากอังกฤษนั่นไหม
ทีมที่ผมจะไปเข้าน่ะ แบบ..เขามีกันกี่คน มีใครบ้าง แล้วแต่ละคนนิสัยเป็นยังไง
เอ่อ..ใจดีอย่างที่ผบ.เอลวินบอกจริงๆหรือเปล่า”
นายแพทย์คริชาฟังคำถามลูกชายแล้วเลิกคิ้วสูง
เกือบหลุดขำเสียงดังออกมาแล้วถ้ายังยั้งสติเอาไว้ก่อนว่าอยู่ระหว่างสังเกตการณ์สอบ
“อะไรกันเอเลน อย่าบอกนะว่าลูกกลัว?”
“พ่อจะไม่ให้ผมกลัวหรือไง!?”
เด็กหนุ่มกระซิบเสียงเครียด “พ่อดูอย่างผบ.เอลวิน
มีใครอยู่ใกล้แกได้เกินยี่สิบนาทีมั่ง
ความฉลาดแกเหมือนจะทะลุตับไตไส้พุงใครได้หมดอย่างนั้นแหล่ะ แล้วทีมพิเศษที่ผบ.เอลวินยอมรับมันจะต่างอะไรกัน
ฟันธงได้ แต่ละคนอย่างกับปิศาจแหงๆ”
คริชาหัวเราะ
เผลอเห็นด้วยกับคำนินทาของเอเลนอย่างไม่มีเหตุผล
“ก็นะ
ถ้าเป็นหน่วยสอบสวนที่ประจำการอยู่อังกฤษแล้วมีผลงานเด่นๆก็มีอยู่ไม่กี่ทีมหรอก
แล้วพ่อก็รู้จักหัวหน้าทีมอยู่คนหนึ่ง
เมื่อสองปีก่อนเขาเคยมาปฏิบัติงานเป็นระยะเวลาสั้นๆที่เบอร์ลิน
แล้วถ้าพ่อเดาไม่ผิดคนที่มาคราวนี้ก็คงจะเป็นเขาเหมือนเดิมนั่นล่ะ”
“จริงดิ!? แล้วเขาเป็นไง เอ่อ แก่ไหม สูงหรือเปล่า ดุมากไหม”
คนเป็นพ่อฟังแต่ละคำถามเงียบๆ เอเลนถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก
เด็กคนนี้กำลังไม่มั่นใจ สิ่งที่เอเลนอยากถามมากที่สุดน่าจะเป็น ‘เขาจะรับได้ไหมถ้าจะมีเด็กเข้าไปทำงานด้วย’
แพทย์นิติเวชมือหนึ่งแห่ง
C.S.I ยิ้มอ่อนโยน
เอื้อมมือไปโอบไหล่เล็กๆของลูกชาย ว่าขึ้นด้วยเสียงทุ้มเนิบ
“เอเลน พ่อย้ำกับลูกเสมอว่าในโลกของการทำงานมันไม่ง่าย
ลูกพลาดไม่ได้ ไม่มีใครแนะนำ ทุกอย่างต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง
วันใดที่ลูกทำพลาดลูกจะถูกติเตียน ไม่ต้องวิญญาณคนตายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรอก
เพื่อนร่วมงานของลูกนี่ล่ะเป็นคนแรก ถึงลูกอายุเท่านี้เขาก็ไม่ปราณี
ดีไม่ดีจะยิ่งเป็นเป้าให้ประณามด้วยซ้ำ”
เอเลนพยักหน้า ทั้งเข้าใจและยอมรับ
“แต่ถึงเป็นอย่างนั้น...พวกเขาก็จะเคารพลูกในฐานะเพื่อนร่วมงาน
ทีมสอบสวนพิเศษน่ะทีมเวิร์คสำคัญมาก ถึงลูกจะไม่มีใครคอยสอน
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนอยู่คนเดียว จะมีคนคอยประคับประคองลูก
แต่ในขณะเดียวกันที่ทีมเกิดมีสถานการณ์วิกฤติขึ้นมาลูกก็ต้องเป็นฝ่ายช่วยพวกเขาด้วย
เราเสี่ยงชีวิตเพื่อกันและกัน ให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมทีมยิ่งกว่าสิ่งใด
อย่างน้อยๆ หัวหน้าหน่วยพิเศษจากอังกฤษที่พ่อรู้จัก...เขาเป็นคนแบบนั้น”
“ดูพ่อจะชอบเขานะ”
เอเลนสรุปด้วยรอยยิ้ม “ไม่ค่อยเห็นพ่อชมตำรวจคนไหนตรงๆนอกจากผบ.เอลวินเลย”
“ชอบสิ เพราะเขาเหมือนลูกอย่างกับแกะ”
“หา!”
“นักศึกษาแพทย์ เอเลน เยเกอร์”
เสียงเรียกเต็มยศจากอาจารย์ภาควิชานิติเวชทำให้เขาจบบทสนทนากับพ่อโดยอัตโนมัติ
หันไปทางศพจมน้ำหน้าตื่นเพราะคิดว่าบางทีเขาอาจจะคุยกับพ่อดังไปจนรบกวนการสอบ
เพียงแต่เขาคิดผิด เมื่ออาจารย์ในชุดกาวน์มองหน้าเขาด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม
“ไหนๆมาแล้วจะลองชันสูตรศพนี้หน่อยไหม”
เท่านั้นไม่เพียงเขาที่เบิกตาโต เหล่ารุ่นพี่ชั้นคลินิกก็หันมาจ้องเขาตาเป็นมัน
หลายคนหลายความคิดไป แต่ทุกคนน่าจะมีความคิดร่วมกันอย่าง ‘ไอ้เด็กตัวกะเปี๊ยกนี่จะรู้อะไร
เรียนมาร่วมหลายเดือนยังคางเหลืองเลย’
ไม่เป็นไร เขาเข้าใจ
“จะดีเหรอครับอาจารย์
นี่มันเป็นการสอบ”
“ไม่เป็นไร กลุ่มนี้สอบเสร็จแล้ว
ผมก็บันทึกคะแนนเรียบร้อยแล้วด้วย อีกอย่างอาจารย์หมอคริชาก็เป็นคนขออนุญาตเอง”
...สุดท้ายก็มีแต่เขาคนเดียวที่เข้าใจ แต่พ่อจอมประหลาดของเขาไม่เข้าใจ! ถนัดจังเรื่องทำตัวเด่นเนี่ย
ไม่รู้ว่ายอมเอาชื่อมือหนึ่งนิติเวช C.S.I แห่งเบอร์ลินมาแปะไว้บนหน้าอ่อนๆของเขาได้ยังไง
เด็กหนุ่มร่างโปร่งลอบกลอกตาไปหาพ่อตัวเองแล้วแยกเขี้ยวหนึ่งทีก่อนที่จะเดินไปข้างเตียงศพ
จ้องใบหน้าผู้ตายที่มีคำใบ้เพียงหนึ่งเดียวว่า ‘ศพนี้พบในน้ำ’ แล้วนิ่งคิดเพียงชั่วครู่ก่อนจะนำถุงมือผ่าตัดมาสวม
สมาธิของเขาจมดิ่งพร้อมกับแรงรัดของถุงมือยาง ข้างตัวเงียบกริบ
ในหัวเริ่มเรียบเรียงกรณีศพจมน้ำเป็นลำดับ บางทีเอเลนก็กลัวตัวเอง
สมองของเขาชินกับการทำงานจนกลายเป็นระบบคิดวิเคราะห์อัตโนมัติไปแล้ว
ปลายมือเด็กหนุ่มลงน้ำหนักกดลงบนหน้าอกศพ
สังเกตการไหลออกของน้ำที่จมูกที่น้อยกว่าปกติ เด็กหนุ่มมุ่นหัวคิ้ว
เขาไล่สายตาตั้งแต่ศีรษะ ใบหน้า ลำคอ ลำตัว แขนขาทั้งสองข้าง
ทั้งๆที่เป็นศพใหม่แต่ก็ไม่หลงเหลือบาดแผลหรือสาเหตุการตายใดที่เป็นจุดสังเกต เอเลนย้ายมือไปจับที่ขาของผู้ตาย
ความแข็งผิดปกติทำให้เขาต้องนิ่วหน้าอีกครั้ง
“การสอบนี้ห้ามผ่าศพเหรอครับ รุ่นพี่”
เอเลนเงยหน้าถามผู้เข้าสอบทุกคนด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าศพยังไม่มีร่องรอยการลงมีดใด
“เปล่าหรอก
แต่เราทุกคนตอบว่าศพนี้เป็นการฆาตกรรมก่อนถูกจับถ่วงน้ำ จึงยุติที่ไม่มีการผ่าศพ
เพราะเธอก็เห็น ผู้ตายไม่มีบาดแผลภายนอก
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นไปได้ก็คือผู้ตายอาจจะโดนยาพิษหรือเสียชีวิตจากระบบอวัยวะภายในล้มเหลว”
“ถ้าอย่างนั้นจะเป็นอะไรไหมครับถ้าผมจะขอผ่า”
เอเลนเอ่ยต่อทันทีทำให้คนที่อยู่ในห้องนั้นมองหน้ากันเลิกลั่ก
ที่นี่เป็นแผนกนิติเวชของโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัยที่ทำคดีทั่วไปไม่เกี่ยวกับองค์กรตำรวจสากล
เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่เอเลนจะกลายเป็นแค่เด็กโนเนมไม่รู้อีโหน่อีเหน่
การขอผ่าศพกะทันหันแบบนี้มันออกจะเป็นเรื่องที่เกินไปหน่อย
“ผมอนุญาตนะ” อาจารย์คุมสอบว่า บุ้ยปากไปทางศพ
“แต่เธอต้องให้เหตุผลที่ต้องการจะผ่าเสียก่อน
นี่เป็นเรื่องของศีลธรรมนักศึกษาแพทย์เยเกอร์ ถึงเขาเป็นคนตาย
แต่เขาก็มีญาติมิตร
ครอบครัวของเขาคงไม่ปลื้มเท่าไหร่แน่ถ้าเราส่งร่างเขาไปประกอบพิธีทางศาสนาแบบไม่ครบสามสิบสอง”
“เอ่อ ครับ คือศพนี้แปลก” เอเลนเริ่มว่า
เลื่อนมือไปกดที่หน้าอกอีกครั้ง
“มันผิดจากวิสัยการจมน้ำธรรมดาตรงที่น้ำที่ขังอยู่ในทางเดินหายใจและปอดมีน้อยเกินไป
หากเป็นอย่างนี้อาจสงสัยได้ว่าเขาถูกฆ่าตายก่อนจับถ่วงน้ำจึงไม่มีการหายใจเอาน้ำเข้าไปก็จริงอยู่
แต่ว่า...” เอเลนเอื้อมมือไปออกแรงบีบที่ขาศพอีกครั้ง
“Rigor mortis (การแข็งตัวของกล้ามเนื้อ)
คือขาของผู้ตายแข็งเร็วกว่าปกติ...สาเหตุนี้เกิดได้จากที่ผู้ตายใช้กล้ามเนื้ออย่างหนักก่อนเสียชีวิตอย่างเช่นสะบัดขาตะเกียกตะกายเอาตัวรอดครับ
มันคงเป็นไปไม่ได้ถ้าหากเขาตายตั้งแต่บนบก ” เอเลนตอบ ส่วนผู้คุมสอบพยักหน้ายิ้มๆให้เขาก่อนที่จะอนุญาตให้เขาหยิบมีดได้
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึก เขารู้แล้ว คราวนี้รู้ไต๋พ่อจอมหาเรื่องซะหมดเปลือกเลย
พ่อรู้ว่าเขาไม่เคยผ่าศพต่อหน้าคน นั่นก็เป็นเรื่องที่เขากังวลยิ่งกว่าอะไร แน่ล่ะ เขาคือเอเลน
เยเกอร์ที่อยู่แต่ในเงามาตลอดสองปี เขาไม่เคยทำงานท่ามกลางสายตาจับจ้อง
แต่เขาไม่คิดว่าพ่อจะแก้จุดอ่อนเขาแบบนี้
ให้ตายสิ
เอเลนรู้สึกว่าชื่อแพทย์นิติเวชมือหนึ่งบนหน้าชักเปราะบางลงเรื่อยๆแล้ว
เด็กหนุ่มผ่าเปิดอกของศพเลาะชั้นกล้ามเนื้อของศพ
ท่องเอาไว้ในใจว่ามีดในมือเขามันคมชนิดว่าปาดผ่านเบาๆเส้นเลือดและเส้นประสาทก็ขาดไปแล้วหลายเส้น
อย่าริอ่านมาสั่นในเวลานี้เด็ดขาด นอกจากต้องห่วงหน้าพ่อก็ห่วงนิ้วตัวเองด้วย
เอเลนพยายามตัดสายตาที่จ้องตนไม่กะพริบให้เหมือนกับว่าเขาอยู่เพียงคนเดียวในห้องเหมือนกับตอนพิมพ์รายงานการวินิจฉัย
ส่วนมือก็ทำไปตามขั้นตอน เปลี่ยนมีด หยิบกรรไกร
จับโพรบคุ้ยก็แค่ให้มันเป็นอย่างทุกครั้งที่เขาฝึกกับพ่อ
เอเลนผ่อนลมหายใจเมื่อในที่สุดเขาตัดซี่โครงของศพออก
เปิดเห็นก้อนสามก้อนอยู่ในช่องอก ปอดสองข้างและถุงหุ้มหัวใจ
“จะเปิดปอดและหลอดลมแล้วนะครับ” เอเลนว่า หัวใจเต้นกระหน่ำ
มือที่อยู่ใต้ถุงมือยางเย็นชืดทว่าชื้นด้วยเหงื่อจนถุงมือแนบเนื้อสนิท
เอเลนผ่าหลอดลมตามแนวยาว เขาแหวกตรวจท่อกลวงภายในและผ่าเนื้อปอดดู
ไม่พบโคลนหรือสิ่งแปลกปลอมใดนอกจากเมือกลื่นๆที่คัดหลั่งออกมาจากทางเดินหายใจ
นั่นนับว่าเป็นสัญญาณดี
ข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง
“ผู้ตายไม่ได้ถูกฆาตกรรมก่อนครับ แต่เขาจมน้ำตาย
มันเป็นกรณีน้อยมากอาจจะสักสิบถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่ผู้ตายมีภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นโดยเส้นประสาทตอนจมน้ำ
เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการสูดเอาน้ำเข้าไป ไม่มีน้ำและโคลนคั่งปอด
และเพราะการอุดกั้นทางเดินหายใจนี้จึงมีการขังแก๊สเอาไว้ในร่างกาย ศพก็เลยขึ้นอืดเร็ว”
สิ้นคำเด็กหนุ่มเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นในห้องชันสูตร
นักศึกษาแพทย์ปีคลินิกตัวจริงจ้องเขาตาเหลือกบ้างตาเยิ้มบ้าง
เอเลนหัวเราะเหอะๆในใจเป็นรอบที่สองของวัน นึกอยากจรลีออกจากห้องชันสูตรให้เร็วที่สุดเพียงแต่สิ่งเขาพอจะทำได้คือวางมีดวางกรรไกรแล้วเดินถอยหลังไปยืนชิดข้างพ่อตัวเองซึ่งทำท่าจะกระซิบอะไรบางอย่างกับเขาอยู่ก่อนแล้ว
“จบหลักสูตรติวเข้มแล้วเอเลน
พรุ่งนี้ไปหาผบ.เอลวินได้เลย”
เด็กหนุ่มมองค้อน กัดฟันประชดกลับ
“ขอบคุณอย่างสุดซึ้งเลยฮะ คุณหมออัลเบิร์ต ร็อบบิ้นส์”
“พ่อนะพ่อ ทำตัวอย่างนี้ มีหวังอายุราชการไม่ยืนแน่ๆ”
เอเลนบ่นอุบกับตัวเองตามด้วยเสียงถอนหายใจยาวเหยียด
เด็กหนุ่มคลึงหัวตาในขณะที่เดินไปตามทางบนคอนโด
เขาเพิ่งกลับจากห้องชันสูตรที่โรงพยาบาล หลังจากภาคปฏิบัติแล้ว
พ่อยังไม่ลืมภาคทฤษฎี โยนตำราพลิกศพทั้งหลายแหล่ให้เขากลับมาอ่านอีกหลายเล่ม
ทั้งสาเหตุการตาย เวลา อาวุธ บ่งถึงรูปพรรณสัณฐานคนร้ายที่เหลือบนตัวศพ
ตลอดจนสิ่งที่อาจทำให้รูปคดีผิดพลาด
เรื่องพวกนี้เขาต้องบอกทันทีหลังจากการผ่าพิสูจน์จบลง นั่นคือมาตรฐานการทำงานกับ C.S.I
เอเลนหยุดยืนอยู่หน้าห้องตัวเอง
คลำกุญแจในกระเป๋ากางเกงเตรียมไขหากแต่สายตาเหลือบไปเห็นกล่องบางอย่างที่วางอยู่หน้าห้องตรงข้าม
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย
มองจากรูปทรงแล้วมันแพ็คเรียบร้อยเหมือนจะมีคนมาอยู่ยาวๆอย่างไรอย่างนั้น
“ถ้าไม่ใช่ตำรวจกับหมอก็ดีสิน้า...”
ก็ชีวิตเจออยู่แต่สองอาชีพนี้นี่ เขาเอียนเป็นเหมือนกันนะ
ยิ่งตำรวจสากลกับหมอผ่าศพนี่ไม่เอาเด็ดๆเลย
เอเลนเดินตุปัดตุเป๋เข้าห้อง
เขาทิ้งหนังสือทั้งตั้งลงบนโต๊ะ คอนโดนี้หลังจากซื้อเอเลนก็สั่งต่อเติมพิเศษ
กั้นค่อนห้องด้วยกระจกใสที่ตอนนี้มีปากกาเคมีหลากสีแต่งแต้มไปแล้วเกือบทั้งตารางนิ้ว
ผนังอีกฟากถูกแปะด้วยกระดาษ A0 ที่เติมเนื้อหาการแพทย์เรียงเป็นแถบ
ทั้งหมดทั้งมวลนั้นมีเอาไว้เพื่อรองรับความคิดของเขาเวลาวินิจฉัยคดี
เอเลนมีนิสัยหนึ่งอย่างที่เขาไม่ค่อยอยากจะเปิดเผยกับผบ.เอลวินสักเท่าไหร่นัก
นั่นคือเวลาทำงาน
เขาชอบนั่งคุกเข่ากับพื้นเขียนบนกระดาษแผ่นใหญ่ๆราวกับเด็กน้อยวาดรูปเล่น
หรือเวลาคิดอะไร เขามักจะเขียนมันบนกระจกไม่ก็กำแพง อะไรก็ได้กว้างๆสักอย่างหนึ่ง
ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้สึกอึดอัดแล้วทำงานไม่ค่อยจะได้
เอเลนก็หวังว่าพรุ่งนี้ผบ.เอลวินจะเตรียมกระดาษชาร์ทให้เขาเอาไว้สักปึก
เขาพลิกหนังสือชันสูตรศพเล่มแรก
นั่งหลังตรง โคมไฟเหนือศีรษะส่องเห็นตัวอักษรอย่างดี แต่ตัวหนังสือเบื้องหน้ากลับเบลอ
หนังตาหนักขึ้นจนรู้สึกได้
ง่วง...สาเหตุคงเป็นเพราะเหนื่อยเกินไปแล้วก็อาการขาดคาเฟอีนของนักศึกษาแพทย์ติดกาแฟ
เด็กหนุ่มหาวหนึ่งหวอดก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็น
ทุกอย่างมีพร้อมจากฝีมือการเติมเสบียงของมิคาสะ แต่สิ่งที่ขาดก็คือกาแฟกระป๋อง
เอเลนขยี้หัวตัวเองสองสามที
ห้องเขาอยู่ชั้นยี่สิบสามความขี้เกียจลงไปซุปเปอร์มาเก็ตข้างล่างตีตื้นขึ้นมาเป็นอันดับแรก
ก่อนที่มันจะถูกแซงด้วยเนื้อหาชันสูตรศพที่เขายังอยากทบทวนเป็นรอบสุดท้าย
เขาคว้าโทรศัพท์
กระเป๋าตังค์และเสื้อกันหนาวออกจากห้อง ชะงักเล็กน้อยกับห้องตรงข้ามที่เขาเพิ่งเห็นกล่องวางอยู่เป็นตั้งแต่ตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่กล่องเดียว
คงเป็นไปได้ว่าถูกเอาเข้าไปข้างในแล้ว
เอเลนแทบไม่สนใจเพื่อนข้างห้องสักเท่าไหร่นัก
แต่บางทีเขาควรมาทักทายผู้อยู่อาศัยคนใหม่แบบดีๆ แบบเป็นความประทับใจแรกพบ
ด้วยที่ว่าต่อไปในอนาคตเพื่อนข้างห้องอาจจะต้องทนกับชีวิตประจำวันของเขา
‘นอนสี่ชั่วโมง ติดคาเฟอีน
แถมยังกินอาหารสำเร็จรูป’ ครบสูตรวิถีอายุสั้น แต่เอเลนก็ทำตัวอย่างนี้มาแล้วเกือบสองปีเต็ม
เด็กหนุ่มถอนลมหายใจอย่างเบื่อหน่ายเมื่อเดินเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่อยู่ติดคอนโดเขา
แอร์เย็นๆกับแสงไฟสว่างจ้าไม่ค่อยช่วยให้รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาสักเท่าไหร่
ตอนนี้เขาง่วงจนแทบสลบได้อยู่แล้ว
เด็กหนุ่มสาวเท้าไปที่ข้างในสุด
เปิดตู้แช่แล้วกวาดกาแฟกระป๋องจำนวนหนึ่งเพื่อมาประทังหนังตาไปอีกสามสี่วัน
แต่ไม่ทันที่จะเดินออกจากตรงนั้นสายตาเขาก็หยุดที่คนข้างๆพอดี เป็นเด็กวัยรุ่น
อาจจะอยู่ไฮสกูลแต่สูงสักร้อยแปดสิบ
เขาจะไม่หยุดมองเลยถ้าเจ้าเด็กนี่มีกลิ่นไม่ชอบมาพากล ใส่หมวกแก๊ป
เสื้อแจ็กเก็ตและสะพายกระเป๋าข้าง
กางเกงยีนส์ขาเดฟมีกลิ่นน้ำมันนิดๆบ่งว่าเป็นพวกแว้นจัด
ในมือหมอนี่ถือกระป๋องน้ำอัดลม แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเดินไปที่เคาท์เตอร์เหมือนกับรออะไรบางอย่างอยู่
เอเลนรู้
เด็กนี่คงรอให้เขาเดินออกจากหน้าตู้แช่ จากนั้นมันคงจะเอาน้ำอัดลมนั่นยัดกระเป๋า
แล้วก็วิ่งตรงรวดเดียวออกจากร้านไป ตำแหน่งที่หมอนี่ยืนอยู่มันไม่มีสิ่งกีดขวางใด
คนในร้านก็ไม่เยอะ ถ้าเกียร์หมาบวกกับตีนผีการโจรกรรมอาจจะสำเร็จ
แต่เขาล่ะ เขาจะเอายังไงกับหมอนี่ดี
เขามาตัวเปล่า
อีกฝ่ายเป็นเด็กวัยรุ่นสูงกว่าดูแข็งแรงกว่า
ยิ่งเทียบกับเขาที่กึ่งหลับกึ่งตื่นตอนนี้ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้
แถมเขาไม่รู้ว่าใต้แจ็กเก็ตเด็กนี่จะมีมีดหรือปืนพกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเขาควรจะทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วปล่อยให้กล้องวงจรปิดเล่นงานเจ้าหมอนี่เอง ดูเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดสำหรับคนธรรมดา
ใช่ ถ้าเขาเป็นนักศึกษาแพทย์ธรรมดา...ไม่ใช่ทีมนิติเวชแห่ง C.S.I ที่โดนพ่อยัดเรื่องหลักความถูกต้องและความเป็นธรรมวันละสี่ห้ารอบล่ะก็นะ
ใช่ ถ้าเขาเป็นนักศึกษาแพทย์ธรรมดา...ไม่ใช่ทีมนิติเวชแห่ง C.S.I ที่โดนพ่อยัดเรื่องหลักความถูกต้องและความเป็นธรรมวันละสี่ห้ารอบล่ะก็นะ
“นี่....เลิกเถอะ” เขาว่า
เด็กตัวสูงสะดุ้งสุดตัว หันมามองเขาหน้าซีด
“น้ำอัดลมนั่นถ้านายไม่คิดจะซื้อดีๆก็วางมันซะ
ที่นี่มีกล้อง” เอเลนเตือนเข้าไปอีก คราวนี้เด็กตรงหน้าจ้องเขากลับตาเขม็ง
ดวงตาสั่นระริกคิดสะระตะว่าจะเอายังไงกับเขาดี มันเป็นเวลาเพียงชั่ววินาทีที่วัยรุ่นตรงหน้าเขาล้วงเข้าในแจ็กเก็ตแล้วชักมีดวาดออกมาทางด้านหน้า
สติสัมปชัญญะของเอเลนมีไม่ครบ
แต่สัญชาตญาณทำงานปกป้องตนได้แค่เบี่ยงตัวหลบพร้อมกับร้องออกมาอย่างตกใจ
มันพ้นคอหอยเขาไปหวุดหวิด แต่หัวไหล่ถูกเฉือนลึกสักสองเซ็นได้
ซ้ำยังเซล้มไปชนตู้ไอศกรีมคงเพิ่มรอยช้ำที่สีข้างมาอีกสักปื้นสองปื้น
เสียงคนร้องโวยวาย ภาพคนร้ายออกเท้าวิ่ง
กลิ่นเลือดตัวเอง ต้องขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เขาตื่นเต็มตา เอเลนกัดฟัน
หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างบ้าคลั่งในขณะที่ตะเกียกตะกายตัวเองวิ่งตามไอ้เด็กเปรตนั่น เป็นอย่างที่เขาเดาไว้ไม่มีผิด หมอนี่เกียร์หมา
หน้าซุปเปอร์มีฮาเลย์จอดอยู่หนึ่งคันเป็นหลักฐานตีนผี ถ้ามันขึ้นคร่อมฮาเลย์มันเมื่อไหร่
เขาไม่มีทางรวบตัวมันได้แน่ แถมข้างหน้าไม่มีใครมาขวางโจรไว้สักคน
“ใครก็ได้ช่วย...!” เขาเค้นกล่องเสียงออกไปแม้รู้ว่ามันไร้ผล
เพียงแต่ชั่ววินาทีต่อมาเอเลนรู้สึกลมพัดวูบผ่านเขาไปทางด้านซ้าย
หางตาเห็นเพียงอะไรสักอย่างสีดำสนิท เขามองภาพเบื้องหน้าอย่างมึนงง ปรากฏเป็นชายหนุ่มผมดำสนิทรูปร่างไม่ได้สูงใหญ่แต่กลับไวยิ่งกว่าโจร
ท่อนขาเขายกขึ้นอย่างรวดเร็วแหวกอากาศตวัดฟาดกึ่งกลางตัวคนร้ายอย่างแรง
จนร่างทั้งร่างปลิวกลับมาอยู่ในซุปเปอร์มาเก็ต
เอเลนหยุดชะงัก
เขายืนตัวนิ่งแข็งในขณะที่มือยังกดบาดแผล ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
เขาไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ ได้แต่มองเหตุการณ์เบื้องหน้าแล้วกลืนน้ำลายช้าๆ
ผู้ชายที่เป็นเจ้าของลูกเตะนั้นเอเลนเห็นแล้วว่าตัวไม่ใหญ่
พอมองชัดๆกลับตัวเล็กกว่าที่เขาเห็นตั้งแต่ทีแรก
เป็นบุรุษวัยกลางคนผมสีดำอย่างคนตะวันออก ใบหน้าคมคายที่มองแล้วติดจะเย็นชาอยู่เป็นนิสัย
ดวงตาสีเทาขี้เถ้าคมกริบเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญราวกับชินชา
เขาใส่เสื้อยืดสีดำ
กางเกงขาวอร์มขายาวดูสบายๆเช่นเดียวกับอากัปกริยาที่กำลังเดินเข้ามาหาคนร้ายอย่างไม่เร่งร้อน
เอเลนมองซ้ายขวาหน้าและหลัง
ลูกค้าตลอดจนพนักงานทุกคนไม่มีใครกล้าส่งเสียง
แต่หน้าซีดๆและขาสั่นๆก็พอจะบอกได้ว่าทุกคนอยู่ในอารมณ์เดียวกับเขาเช่นกัน
เด็กวัยรุ่นพกมีดมาขโมยของดูไม่ใช่ประเด็นที่ทุกคนจะตื่นตระหนก
แต่เป็นการกระทำของพลเมืองดีคนนี้ต่างหาก สาบานได้ เอเลนไม่เคยเห็นอะไรที่ทั้งผาดโผนและรุนแรงอย่างนี้มาก่อนในชีวิต
เอเลนสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเขาถูกดวงตาคู่คมนั้นจ้องมาตรงๆโดยไม่มีคำพูดใด
ก่อนที่คนตรงหน้าจะย่อตัวลงจับแขนคนร้ายไพล่หลังอย่างชำนาญไม่สนใจคำร้องโอดโอยจะเป็นจะตาย
“เอาเชือกมา”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยสั่งสั้นๆ เอเลนไม่รู้ว่าสั่งใคร แต่ดูเหมือนจะเป็นเขาเอง เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกตั้งสติเตรียมเรียกขอเชือกกับพนักงานหากไม่ติดว่าเขาได้ยินเสียงอะไรแปลกๆมาจากคนร้ายเสียก่อน
เด็กวัยรุ่นที่ถูกจับกดพื้นในท่านอนคว่ำอยู่เริ่มมีอาการประหลาด
เขาดิ้น หายใจเสียงดังจนเป็นอาการหอบ ไอหลายทีจนน่ากลัว และสุดท้ายสำลักออกมาเป็นฟองเลือด
ผู้หญิงหลายคนในร้านร้องกรี๊ด ส่วนเอเลนรีบถลาเข้าไปนั่งข้างคนร้าย
ดวงตามองทั้งกองเลือดทั้งร่างกายที่ดิ้นพล่านด้วยความคิดหลากหลาย
และสุดท้ายตัดสินใจเงยหน้ามองชายหนุ่มพลเมืองดีแล้วบอกเสียงเข้ม
“ส่งโรงพยาบาลด่วนเลยครับ”
“ทำไม” คำถามสวนกลับทำให้เอเลนเริ่มคิดแล้วว่าคนๆนี้บางทีก็มากเรื่อง
“ซี่โครงเขาหักครับ ซ้ำยังทิ่มปอดจนมีเลือดออกภายใน”
เขาว่าอย่างรวดเร็ว มือสอดเข้าใต้ทรวงอกผู้ร้ายด้านที่โดนเตะแล้วไล่กดจนได้ยินเสียงร้องพร้อมใบหน้าเหย
หักเป็นชิ้นเลย หลายซี่ด้วย ขณะหายใจเข้าปอดด้านนั้นยุบ ไม่เท่านั้นริมฝีปากที่เกรอะกรังไปด้วยเลือดเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว
สีหน้าเอเลนไม่สู้ดียิ่งขึ้น เขารอไม่ได้แล้ว
“คุณพนักงานครับ! รบกวนโทรตามรถพยาบาลที
บอกว่ามีคนไข้ฉุกเฉิน ผู้ป่วยมีภาวะอกรวน ซี่โครงหักราวห้าซี่
จากตอนที่เกิดเหตุผ่านไปได้ราวสามนาทีแล้ว”
พนักงานหลักเคาท์เตอร์มองเขาอย่างตะลึงลาน
ความช็อกจากเหตุการณ์หลายอย่างทำให้สติของพวกเธอยังกลับมาไม่ครบนัก
ตอนนี้ยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อมีเด็กหนุ่มหน้าอ่อนมาสั่งพวกเธอราวกับตัวเองเป็นหมอ
แต่กองเลือดสดๆที่สำลักออกมาจากปากคนก็เพียงพอที่จะทำให้เธอยกหูโทรศัพท์ต่อสายด่วนถึงโรงพยาบาลได้
เอเลนถอนหายใจอย่างโล่งออก
เขาหันกลับมาหาคนเจ็บอีกครั้งก่อนจะถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองม้วนเป็นก้อนเตรียมสอดเข้าใต้สีข้าง
หากแต่มือแข็งแรงกลับตะปบหมับเข้าที่ข้อมือเขาแล้วบีบมันจนรู้สึกชาขึ้นมาหลายส่วน
“นายกำลังขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ฉัน” ชายหนุ่มว่าเสียงดุ
“คุณเป็นตำรวจเหรอ” เอเลนนิ่วหน้าถามกลับ แต่อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร
เขาเลยตัดบทให้สิ้นเรื่องสิ้นราว “คุณจะเป็นตำรวจหรือแค่พลเมืองดีก็ช่าง แต่ตอนนี้คุณก็กำลังขัดขวางการทำงานของผมอยู่เหมือนกัน”
“โห นี่นายเป็นหมอเหรอ” คำถามถูกย้อนกลับมาทันทีพร้อมกับหัวคิ้วที่ขมวดนิดๆซ้ำแววตาที่ดูจะน่าขนลุกกว่าเดิม
เอเลนตีอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ออก
แต่ร้อยทั้งร้อยจากประสบการณ์เขาคงจะโดนสบประมาทหรือหาว่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะอยู่
ยังไงเขาก็เด็ก ถึงจะเป็นนักศึกษาแพทย์ก็เถอะแต่พูดไปมันก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี
“ช่างเถอะครับ แต่ถือว่าผมขอร้องว่าให้ผมได้ปฐมพยาบาลเขา
พอหมอมาแล้วเขาคงจะอธิบายให้คุณฟังเอง”
“ถ้านายไม่ใช่หมอ ฉันยอมให้นายปฐมพยาบาลเขาไม่ได้”
คนตรงหน้าว่าอย่างไร้เยื่อใย เอเลนยิ่งเหวอหนัก
“นี่คุณ! ปอดเขาทะลุนะ!”
“นายรู้ได้ยังไง” ชายหนุ่มว่าเสียงเฉียบ
เอเลนขมวดคิ้วมากขึ้น ยิ่งฟังเสียงหอบเสียงไอคนร้ายที่นอนอยู่
ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดคนตรงหน้า
“คุณเตะเขาไงครับ จำไม่ได้เหรอ
ต้องเรียกกระโดดเตะด้วยซ้ำ แรงแค่ไหนคุณรู้ดีนี่ เสียงดังอั้กเลย ผมยังได้ยิน”
“นั่นใช่คำตอบที่ดีหรือไง”
เอเลนเผลอสะดุ้งเล็กน้อยกับน้ำเสียงเย็นเยียบ “ฉันถามอะไรนายก็ตอบให้ตรง
ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะคิดได้ว่านายเป็นคนสมรู้ร่วมคิดกับหมอนี่ปล้นร้านสะดวกซื้อ
พอถูกจับก็ใช้แผนเรียกร้องให้ส่งโรงพยาบาลก่อน พอสบโอกาสก็ชิงหลบหนี”
“มันจะเป็นอย่างนั้นได้ไงเล่า!”
เด็กหนุ่มร้องอย่างเหลืออด ชี้เข้าที่หัวไหล่ตัวเอง “มีไอ้บ้าที่ไหนยอมโดนมีดปาดเลือดซ่กเพราะแค่จะขโมยน้ำอัดลมบ้างล่ะครับ!
ลงทุนขนาดนี้ขโมยทองดีกว่าไหม!?”
“ไม่แน่ มันอาจจะเป็นแผนก็ได้”
“โว้ว! ฟังกันบ้างสิ!! ก็บอกแล้วไงว่าเขาซี่โครงหัก
ทิ่มปอดทะลุจนไอออกมาเป็นฟองเลือดนั่นหมายความว่าตอนนี้ปอดเขามีเลือดคั่งแล้วครับ!
ชิ้นส่วนกระดูกที่หักมันไปขวางการขยายของปอดจนเขาหายใจไม่ได้
ผู้ป่วยเลยหอบซ้ำยังมีอาการเจ็บอกแบบนี้!”
เอเลนว่าอย่างฉุนเฉียวพร้อมกดหน้าอกโจรอีกครั้ง
เสียงร้องโอ๊ยดังขึ้นสมใจเอเลนทันที “พอปอดเสียหายมันทำให้ระบบหายใจของเขาล้มเหลว
คุณก็เห็นว่าปากกับเล็บของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงๆเขียวๆเพราะขาดออกซิเจน
ผมจำเป็นต้องเอาผ้าม้วนวางทับแล้วพันโดยรอบเพื่อยึดอกเขาให้อยู่กับที่เหมือนเป็นการดามไม่อย่างนั้นอาการเขาจะแย่ลงเรื่อยๆ
ภาวะขาดออกซิเจนแบบนี้จะดีจะร้ายนับเป็นนาทีนะครับ! ช้ากว่านี้เขาจะตาย!!”
ว่าจบเอเลนหอบหายใจ เขาไม่ได้โกรธใครจริงๆจังๆจนต้องโวยวายอย่างนี้มานานแล้ว
โอเค สติเขาใกล้จะหลุด วันนี้เขาทั้งเหนื่อยทั้งง่วงซ้ำยังเสียเลือดไม่ใช่น้อย
แต่ตอนนี้เขาจะมาปล่อยให้อารมณ์ครอบงำไม่ได้ มีคนเจ็บอยู่ตรงหน้า
เขายังมีงานต้องทำ ถึงเขาจะไม่ใช่แพทย์เต็มตัว
ถึงไม่รู้ว่าช่วยไปมันจะช่วยยืดชีวิตคนไข้ได้นานแค่ไหน แต่เขารู้หนึ่งอย่างว่าถ้าเขาไม่ทำ
เขาจะเสียใจไปชั่วชีวิต
“ขอโทษครับ” เอเลนว่าขึ้นใหม่
สูดลมหายใจช้าๆให้ใจเย็นลงแล้วสบตาอีกฝ่ายกลับไปอย่างแน่วแน่ “ขอโทษที่ตะคอก...ผมไม่ได้ตั้งใจจะโมโหใส่คุณ
แต่พยายามจะบอกว่าเขาอาการหนักมาก แล้วกำลังจะตาย คุณพอจะเข้าใจใช่ไหม”
“ก็แค่นั้น”
"หา?"
ไม่มีคำพูดใดมากกว่านั้น ชายหนุ่มผมดำแค่รับอย่างเรียบง่ายก่อนจะช่วยยกตัวคนเจ็บให้เอเลนเริ่มดามซี่โครงเขาได้สะดวก
ไม่เพียงเท่านั้นเขายังสั่งซื้อผ้ายืดหนึ่งม้วนจากเค้าท์เตอร์ขายยาแล้วจ่ายเงินสดๆ ถ้านี่ไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉินเอเลนคงจะอึ้งไปหลายวินาทีอยู่
การกระทำของคนตรงหน้าเอเลนไม่เข้าใจแม้แต่อย่างเดียว แน่ล่ะ
ผู้ชายคนนี้เป็นคนเย็นชาและเฉียบขาด เขาพูดน้อยมาก
และไม่มีคำอธิบายใดๆราวกับว่าไม่ได้ต้องการให้ใครมาเข้าใจตัวเอง
เอเลนตัดความคิดในหัวออกไปแค่นั้นแล้วจัดการยึดการเคลื่อนไหวหน้าอกผู้เจ็บได้สำเร็จพร้อมกับที่เสียงหวอรถพยาบาลดังอยู่ข้างนอกร้าน
ไม่เท่านั้นยังมีรถตำรวจท้องถิ่นมาอีก
ทีมฉุกเฉินรีบกุลีกุจอเข้ามาพร้อมกับเปลหามช้อนร่างคนเจ็บขึ้นรถไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับคำอธิบายจากบุรุษพยาบาล
“ขอโทษด้วยครับ
แต่คนไข้ฉุกเฉินมากต้องรีบทำการรักษาด่วนเพราะปอดของเขาเสียหายจากเศษกระดูกซี่โครงเป็นจำนวนมาก
นี่ดีนะครับที่ปฐมพยาบาลแล้ว ไม่อย่างนั้นปอดของเขาอาจเสียหายหนักกว่านี้”
เอเลนรู้สึกได้ถึงดวงตาสีขึ้เถ้าคู่คมปรายมองทางเขาเล็กน้อยก่อนจะหันไปพยักหน้ากับบุรุษพยาบาลเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วินาทีนี้จะให้เอเลนทำอะไรได้ล่ะ
กลั้นยิ้มแก้มแทบแตกสิ
“รบกวนคุณตำรวจไปสอบปากคำที่โรงพยาบาลนะครับ
ขออภัยในความไม่สะดวก เอ่อ...แล้วเด็กคนนี้...” บุรุษพยาบาลมองมาทางเขา
เจาะจงเป็นพิเศษที่หัวไหล่เขาที่ชุ่มเลือดเป็นวงกว้าง เอเลนตาเหลือกทันที ไม่เอานะ
เขาไม่ไปโรงพบาบาลเด็ดขาดเลย อย่าลืม เหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้โรงพยาบาลที่มาก็ต้องเป็นที่ๆใกล้ซุปเปอร์มาเก็ตนี้ที่สุด
ใกล้คอนโดเขาที่สุด แล้วมันจะเป็นโรงพยาบาลไหนได้นอกจากโรงพยาบาลพ่อเขา!
อย่า!
อย่าคิดว่าถ้าพ่อเขารู้ว่าเขาเอาตัวเข้าไปปะทะคนร้ายซึ่งๆหน้าจนได้แผลฉกรรจ์มาขนาดนี้แล้วพ่อเขาจะปลื้ม
มันคนละแบบกับแผลวีรบุรุษอยู่โข
อย่างดีพ่อจะประณามเขาอยู่หลายอาทิตย์เรื่องการดูแลตัวเอง ยึดกุญแจรถกุญแจคอนโด
ถูกเทศน์ในหัวข้อหลักความปลอดภัยในการประกอบอาชีพสืบสวนจนกว่าจะสำนึกผิด
แล้วอย่างเลวร้ายที่สุดคือโดนบอยคอตเรื่องการสอบสวนคดีกับทีมนิติเวช เขาได้กลับไปเป็นนักศึกษาแพทย์ธรรมดาไร้พิษไร้ภัยสมใจ
ซวย! กรณีนั้นคือซวย!
“ไม่ ไม่เป็นอะไรครับ เอ่อ...มันไม่ลึกมาก
คลินิกแถวนี้..”
“นายต้องไปโรงพยาบาล”
เสียงทุ้มของผู้ใหญ่ร่างเล็กข้างเขาขัดทันทีพร้อมกับสายตาที่มองมาติดจะท้าทายอยู่เล็กน้อย
“ไม่ลึกมาก?
ไหนนายบอกฉันว่านายโดนมีดปาดเลือดซ่ก แผลขนาดนี้ยอมแลกกับทองได้”
“ลึกจริงๆหนุ่มน้อย
เธอน่าจะโดนเย็บไม่ต่ำกว่าเจ็ดเข็ม” บุรุษพยาบาลประเมินด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
เอเลนแสดงสีหน้าอิหลักอิเหลื่ออย่างปิดไม่มิด
“แต่ผมต้องให้การกับตำรวจ..”
“นั่นไม่ใช่หน้าที่ของนาย แต่เป็นฉัน”
ชายหนุ่มว่าด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดเหมือนอย่างเคย แถมยังไม่ฟังคำเถียงเขาแล้ว
หันกลับไปสรุปกับบุรุษพยาบาลหน้าตาเฉย “ผมกับเด็กคนนี้จะขึ้นรถตำรวจท้องถิ่นตามไป
ส่วนคุณออกรถได้เลย คนไข้ต้องได้รับการรักษาด่วนไม่ใช่เหรอ”
“คุณเห็นแค่ตอนที่เขาหลบหนีนะครับ
ส่วนผมเห็นตอนที่เขาขโมยจะๆ คิดว่าคุณตำรวจเขาอยากจะฟังความจากปากใคร”
เสียงเด็กหนุ่มดังเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหูเขา
เป็นเสียงที่รีไวคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกที่ได้ยินว่ามันช่างเด็กสมกับหน้าตาของผู้พูด แต่ความเป็นเหตุเป็นผลกลับสวนอายุ
อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็ได้ที่ทำให้เขาปล่อยให้อีกฝ่ายพูดได้เรื่อยๆ
ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่มีแบบนี้หรอก
เขาลากเด็กคนนี้มาโรงพยาบาลได้สำเร็จ
ตอนนี้กำลังสาวเท้าเดินไปที่ห้องฉุกเฉิน คนร้ายถูกเข็นไปอีกทางที่ห้องผ่าตัด
ส่วนพวกตำรวจท้องถิ่นกำลังรอฟังการให้ปากคำที่ห้องรับรองของโรงพยาบาล
รีไวเหลือบตามองบาดแผลของเด็กหนุ่มเล็กน้อย ความสาหัสมันอาจเทียบไม่ได้กับแผลจากอาวุธปืนที่เขาหรือพวกตำรวจเคยได้รับกันอยู่บ่อยๆ
เพียงแต่สำหรับเด็กนักเรียนนักศึกษาที่ไม่น่าจะถึงยี่สิบนับเป็นเรื่องสะเทือนขวัญ
เด็กนี่สมควรร้องโหวกเหวกโวยวาย บ่นเจ็บไปสามบ้านแปดบ้าน
หรือเป็นลมสลบเพราะเห็นเลือดก็ไม่แปลก แต่การที่ยังยืนอยู่ได้ด้วยสติเต็มเปี่ยม
มันทำให้เขาคิดว่าเด็กนี่ไม่ธรรมดา
ความจริงมันไม่ธรรมดาตั้งแต่วิเคราะห์อาการคนเจ็บเป็นฉากๆแล้ว
“นายว่านายเห็นเขาขโมยของ”
“แน่นอนฮะ” อีกฝ่ายตอบอย่างชัดเจน
“น้ำอัดลมหนึ่งกระป๋อง ตอนมือขวาเขาแกว่งมีด มือซ้ายเขายัดมันเข้าไปในกระเป๋าใบใหญ่ที่สะพายอยู่ข้างเอว
แยกประสาทซ้ายขวาได้ดีเยี่ยม
เขาน่าจะไปแต่งตัวเป็นโจ๊กเกอร์โชว์โยนลูกบอลในสวนสนุก
ชั่วโมงนึงน่าจะได้ตังค์มาซื้อน้ำอัดลมสักลัง”
“งั้นเหรอ” รีไวรับ มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มไม่รู้ตัว
“แล้วอย่างอื่นล่ะ”
“อะไรครับ?”
“นายเห็นเขาขโมยอย่างอื่นไหม” เขาถามไป
เด็กผู้ชายทำหน้าครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า พลางหยุดเดินแล้วมองหน้าเขา
รีไวแสดงสีหน้าไม่ออกไปสักพักเมื่อสบตาคู่โตสีเขียวนั้นตรงๆ
เป็นอีกอย่างที่เขาเห็นว่ามันช่างซื่อตรงสมกับเป็นเด็ก
“มีอะไร”
“เพราะเรื่องนี้ที่ผมเป็นห่วงคุณอยู่
เขาเป็นโจรลักเล็กขโมยน้อยนะครับไม่ใช่ลักลอบส่งยาบ้า
การกระทำของคุณอาจจะโดนบันทึกว่าทำเกินกว่าเหตุ” ใบหน้าอ่อนมีรอยยิ้มจางๆ
สรุปความเป็นจริงให้เขาเสียงแผ่ว “คุณเกือบฆ่าคน”
“ก็คงใช่” เขายอมรับ
ยอมรับอย่างที่ตัวเองทำเวลาถูกกล่าวหามาโดยตลอด แล้วก็จบแต่เพียงเท่านั้น
แต่ไม่รู้ทำไม คราวนี้เขาอยากอธิบายมากกว่าปกติ
เขาอยากบอกความคิดของตนให้เด็กคนนี้ฟังโดยไม่มีเหตุผล
“เพราะโลกที่ฉันอยู่มันไม่ได้ตรงตามทฤษฎี...เหตุการณ์จริงกับตัวหนังสือมันต่างกัน
จะมองแค่ร้อยแปดสิบองศาเหมือนตอนท่องตำราไม่ได้
แต่ต้องวิเคราะห์ให้ได้สามร้อยหกสิบ ยกตัวอย่างเช่น คนร้ายคนนั้น
นายบอกว่านายเห็นเขาขโมยแค่น้ำอัดลม นั่นเพราะนายเห็นเขาถือน้ำอัดลมพอดี
แต่ก่อนหน้านั้นคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสามห่อ อาหารกระป๋องอีกสาม
เสียหายที่สุดน่าจะเป็นแผนกอุปกรณ์กีฬา เสื้อชูชีพ ลูกเทนนิส
และคอรีนผงที่ใช้ฆ่าเชื้อในสระน้ำ ไฟฉายหลายกระบอกพร้อมถ่านอัลคาไลน์
นี่ยังไม่รวมนาฬิกาโรเล็กซ์ที่หมอนั่นรูดเอาจากลูกค้าคนหนึ่งตอนเดินสวนกันตั้งแต่เข้าซุปเปอร์มาเก็ต”
รีไวขยับยิ้มหยันในขณะมองไปที่หัวไหล่ของเด็กหนุ่มตรงหน้า
แล้วเอื้อมมือไปเปิดชายเสื้อจนเลิกขึ้นครึ่งตัว
ปรากฏให้เห็นรอยช้ำสีม่วงๆที่สีข้างอย่างรวดเร็วจนเอเลนดึงกลับแทบไม่ทัน
“อีกอย่างเขาพกอาวุธ ทำร้ายผู้อื่นบาดเจ็บ นี่เหรอคือวิสัยของโจรลักเล็กขโมยน้อยนาย?”
รีไวชะงักไปเมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของเด็กตรงหน้า
เด็กนี่ยิ้ม จ้องเขาตาไม่กะพริบ พึมพำเสียงเบาคล้ายกับจมอยู่ในความคิดแล้วสรุปให้ตัวเองฟังเท่านั้น
“คุณเป็นตำรวจจริงๆด้วย”
“กระบวนการวิเคราะห์เริ่มดีแล้วนี่”
“ไม่ใช่แค่สามร้อยหกสิบองศา
แต่ผมคิดได้สามมิติเลยล่ะฮะ” เด็กหนุ่มหยอกพลางกลั้วหัวเราะ ดวงตาสีเขียวเป็นประกาย
ลดเสียงลงเป็นกระซิบ “ดูๆไปแล้วที่หมอนั่นขโมยแต่ละอย่างมันไม่น่าใช่ของที่เด็กวัยรุ่นเงินหมดตูดน่าขโมยสักเท่าไหร่
เข้าทางผู้ร้ายหนีคดีมากกว่า นี่อย่าบอกนะ ว่าคุณจับตามองหมอนี่อยู่”
“ก็ไม่ใช่เรื่องที่นักศึกษาแพทย์อย่างนายต้องรู้”
เขาสวนกลับทันที และหมายความอย่างที่ว่าจริงๆ ไม่ได้ขู่ เด็กตรงหน้าทำตาโต
แล้วเขาก็รู้ด้วยว่ามันตกใจเรื่องอะไร “มีนักศึกษาสักกี่คณะที่ซื้อกาแฟเผื่อไปสามวันทั้งๆที่ไม่ใช่ช่วงสอบของมหาวิทยาลัย
แล้วอีกอย่างเผื่อนายจะได้กลิ่นมันจนชิน...แต่มือนายมีกลิ่นถุงมือผ่าตัด”
เอเลนร้องอ้อ พยักหน้าสองสามที ในดวงตายังคงเต็มไปด้วยการคิดวิเคราะห์
เอเลนร้องอ้อ พยักหน้าสองสามที ในดวงตายังคงเต็มไปด้วยการคิดวิเคราะห์
“แต่คุณกลับไม่ได้กลิ่นเลือดจากตัวผมเลยสินะครับ ผมว่ามันแรงพอที่จะกลบกลิ่นถุงมือได้ด้วยซ้ำ”
รีไวไม่ตอบรับ เด็กหนุ่มนักศึกษาแพทย์จึงสรุป
รีไวไม่ตอบรับ เด็กหนุ่มนักศึกษาแพทย์จึงสรุป
“คุณคงชินกับมันมากทีเดียว
คุณตำรวจ”
รีไวรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมากะทันหัน หรือจะพูดให้ชัดก็คือเป็นความรู้สึกปกติเวลามนุษย์ถูกแทงใจดำ
รีไวรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมากะทันหัน หรือจะพูดให้ชัดก็คือเป็นความรู้สึกปกติเวลามนุษย์ถูกแทงใจดำ
“ไปทำแผลซะ” เขาไล่ น้ำเสียงนั้นเย็นชาขึ้นโดยอัตโนมัติ เด็กหนุ่มตรงหน้าชะงักไปนิดแล้วถ้ารีไวมองไม่ผิด มันมีร่องรอยหม่นหมองเอาไว้ในดวงตาจางๆ หากแต่ว่ามันเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆจนแทบไม่สังเกต สีหน้าแบบนั้นทำให้คนมองเกือบพูดขอโทษออกไปแล้ว หากแต่ไม่ทัน รีไวถูกยิ้มให้พร้อมกับคำบอกลาก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้าประตูห้องฉุกเฉินไปไม่ต่อปากต่อคำ หากแต่ก่อนปิดประตู เด็กคนนั้นกลับหันมามองเขาอีกครั้ง
"เมื่อกี้...ไม่สิ ตั้งแต่เจอกัน ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณโกรธแม้แต่ครั้งเดียว...แต่ถ้าคุณโกรธ ผมก็ขอโทษ...ขอโทษจริงๆนะฮะ อ่า บางทีเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ยังไงหลังจากให้ปากคำกับตำรวจคุณก็กลับบ้านดีๆ....ราตรีสวัสดิ์นะครับ"
รีไวมุ่นหัวคิ้วมากขึ้น เขาพูดอะไรไม่ออก แต่ก็อยากจะบอกเด็กนั่นให้ชัดๆ เขาไม่ได้โกรธ มันแค่หงุดหงิด อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงมารู้สึกหงุดหงิดเอาป่านนี้ ตลอดเวลาที่ทำงานมาเขาถูกประณามด้วยเรื่องพรรค์นี้มาน แต่คงเพราะมันเป็นคำประณามจากพวกกบในกะลาครอบ เขาถึงไม่รู้สึกอะไร แต่พอเป็นเด็กคนนี้ เด็กที่กล้ามองตาแล้ววิเคราะห์เขาตรงๆด้วยน้ำเสียงเป็นกลางคล้ายว่าเขาเป็นข้อมูลอย่างหนึ่ง
"เมื่อกี้...ไม่สิ ตั้งแต่เจอกัน ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณโกรธแม้แต่ครั้งเดียว...แต่ถ้าคุณโกรธ ผมก็ขอโทษ...ขอโทษจริงๆนะฮะ อ่า บางทีเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ยังไงหลังจากให้ปากคำกับตำรวจคุณก็กลับบ้านดีๆ....ราตรีสวัสดิ์นะครับ"
รีไวมุ่นหัวคิ้วมากขึ้น เขาพูดอะไรไม่ออก แต่ก็อยากจะบอกเด็กนั่นให้ชัดๆ เขาไม่ได้โกรธ มันแค่หงุดหงิด อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงมารู้สึกหงุดหงิดเอาป่านนี้ ตลอดเวลาที่ทำงานมาเขาถูกประณามด้วยเรื่องพรรค์นี้มาน แต่คงเพราะมันเป็นคำประณามจากพวกกบในกะลาครอบ เขาถึงไม่รู้สึกอะไร แต่พอเป็นเด็กคนนี้ เด็กที่กล้ามองตาแล้ววิเคราะห์เขาตรงๆด้วยน้ำเสียงเป็นกลางคล้ายว่าเขาเป็นข้อมูลอย่างหนึ่ง
มันน่าโมโห
ตำรวจหนุ่มผ่อนลมหายใจเพื่อปรับอารมณ์ คว้าโทรศัพท์ในกระเป๋าเขาแล้วต่อเบอร์หาลูกน้อง
ตำรวจหนุ่มผ่อนลมหายใจเพื่อปรับอารมณ์ คว้าโทรศัพท์ในกระเป๋าเขาแล้วต่อเบอร์หาลูกน้อง
“เพ็ตโทร่า ช่วยสืบหาประวัติคนให้ฉันหน่อย...ไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตนทั้งบัตรประชาชน
ใบขับขี่ หรือแม้แต่ทะเบียนรถ แต่มีภาพวงจรปิดที่ร้านสะดวกซื้อกับลายนิ้วมือบนมีดพก
ฉันขออย่างละเอียดภายในวันพรุ่งนี้...แล้ววันนี้ฉันไม่เข้าสำนักงานแล้ว
ฝากบอกเอลวินด้วย”
รีไวเว้นวรรคไป
มองไปทางประตูห้องฉุกเฉินแล้วให้เหตุผล
“มีเด็กคนหนึ่งตกเป็นผู้เสียหาย
จากวิถีมีดแล้วคือหวังแทงถึงตาย ฉันจะอยู่ดูจนกว่าจะมั่นใจว่าเด็กนั่นกลับถึงบ้าน”
“นายก็เลยให้เบอร์โทรศัพท์เขาไป
แล้วบอกเขาว่าถ้าถึงบ้านแล้วก็โทรบอกด้วยงั้นเหรอ” เพื่อนต่างยศว่าขึ้น
รีไวเหลือบตามองคู่สนทนาแล้วกลับไปมองเอกสารตัวเองอย่างเก่า
เขาไม่อยากมองหน้าเพื่อนที่เหมือนจะกลั้นขำสุดความสามารถอย่างนั้น
แววตาเอลวินกำลังบอกชัดเจนว่า
เขาทำตัวเหมือนพ่อเวลาที่ลูกสาวขอไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อน
“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง”
“ก็ปกตินายไม่ทำอะไรอย่างนี้ไง
ฉันถึงถาม” เอลวินตอบชัดเจน ขยับยิ้มอย่างนึกสนุก “แล้วเด็กคนนั้นโทรกลับมารายงานนายหรือเปล่าล่ะ”
‘ไม่’ คำนี้รีไวตอบในใจ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขานึกหงุดหงิดมาตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเย็นวันนี้
เจ้าเด็กประหลาดที่ดูจะหัวไวแต่ที่จริงกลับซื่อบื้อกว่าที่คิด
เมื่อคืนเขายังจำได้ เด็กนั่นตาเบิกโตหลังจากทำแผลเสร็จ ถามเขาหลายคำว่าทำไมถึงยังรออยู่ แต่ทั้งๆที่เขาไม่ยอมตอบอะไรหมอนี่ก็ยังเดินตามเขาออกจากโรงพยาบาลต้อยๆ แล้วตอนที่เขาส่งหมอนั่นขึ้นรถแท็กซี่เขาก็ให้เบอร์ติดต่อไปย้ำแล้วว่าเป็นเรื่องความปลอดภัย เขานั่งรออยู่ค่อนคืน แต่ก็ไม่มีมาเลยสักสาย เขาบอกไปแล้วว่าถ้าเขาอดนอนมันจะเป็นยังไง โดยเฉพาะการอดนอนแบบไร้ประโยชน์อย่างนี้!
ให้ตายสิไอ้เด็กบ้านั่น! ยังไงก็น่าโมโหอยู่วันยังค่ำ!!
“เอาน่ารีไว
ตอนนี้นายช่วยเลิกสนใจงานสักพักเถอะ ทำใจให้สบายด้วย ใกล้ห้าโมงแล้ว” เอลวินว่า รีไวเงยหน้าขึ้นนิด
มองไปด้านข้างคือลูกทีมเขาครบทุกคน ตอนนี้อยู่กันที่ห้องแล็บอาชญากรรมของสำนักงานCSI เอลวินว่านี่คืองานเลี้ยงต้อนรับที่ตั้งใจจัดให้กับทีมเขา
ถ้าอย่างนั้นรีไวขอลงความเห็นว่าไม่เจอกันพักเดียว เอลวินมีรสนิยมที่แปลกขึ้นเยอะ
พระเอกงานวันนี้คือศพที่เขายิงตายเองกับมือนอนอยู่บนเตียงห่างจากเขาไปประมาณยี่สิบเมตร
ในห้องมีเครื่องมือผ่าศพและอุปกรณ์ชันสูตรล้ำสมัยครบครัน
แต่สิ่งที่ดูจะแปลกไปสักหน่อยคือกระจก
กระจกขนาดเมตรคูณเมตรติดล้อเลื่อนได้พร้อมกับกล่องใส่ปากกาเคมี
และที่แปลกยังมีอยู่อีกอย่าง
เมื่อเวลาห้าโมงตรงเสียงเคาะประตูกระจกก็ดังขึ้นพร้อมกับมีคนเข้ามาสองคน
คนแรกเขาจำได้ ชายวัยกลางคนผมยาวสวมแว่นทรงกลมในชุดกาวน์ หมอนิติเวชคริชา เยเกอร์
หมอผ่าศพมือฉมังที่ CSI
เบอร์ลินหวงนักหนาจนไม่ยอมส่งตัวข้ามประเทศไปทำงานที่ไหน
คริชายิ้มและผงกหัวให้ทีมสอบสวนพิเศษเป็นเชิงทักทาย พลางหลบให้ผู้มาเยือนคนที่สองออกมายืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา
เด็กหนุ่มหน้าอ่อนวัยไม่ถึงยี่สิบ
ผมสีน้ำตาลธรรมชาติ ดวงตาสีเขียวจ้องมาข้างหน้าพลันเบิกกว้างขึ้นเมื่อสบตากับเขา เมื่อวานเด็กคนนี้อยู่ในชุดลำลอง
วันนี้ก็เช่นกันเพียงแต่มันกลับคลุมทับด้วยเสื้อกาวน์แขนยาวสีขาวสะอาดยาวจนถึงเข่า
ข้างหลังปักตัวอักษรสีแดงแสดงถึงหน้าที่ว่า ‘FORENSIC’
ผู้บัญชาการตำรวจสากลแห่งเบอร์ลินผายมือไปทางเด็กหนุ่ม
กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดเจน
“ขอแนะนำให้รู้จัก
นี่คือแพทย์นิติเวชแห่ง CSI
เบอร์ลินที่ต้องการให้ทีมสอบสวนพิเศษรีไวพิจารณาฝีมือเพื่อเข้าไปทำงานในทีม”
เอลวินพยักหน้าเป็นเชิงให้เขาพูดต่อ เด็กหนุ่มรู้สึกมึนงง เลือดลมไหลเวียนตีกันจนมั่ว หัวสมองขาวโพลนไปหมด เขาหลบสายตาจากนายตำรวจร่างเล็กโดยอัตโนมัติ ค้อมหัวแล้วแนะนำตัวออกไปเสียงแผ่ว
"เอเลน เยเกอร์ครับ...”
TBC...
มิยะขอเม้าท์
สวัสดีค่า สวัสดีทุกคน โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ดีใจ
ดีใจมากที่ทลายไหนี้ได้สักที คือเป็นไหที่นานมาก แต่สัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ทิ้ง
แล้วผลปรากฏว่ากระแสตอบรับดีกว่าที่คิดไว้มากๆๆ
คือคิดว่าไม่ค่อยมีใครชอบอ่านแนวนี้ซะแล้ว คือขอขอบคุณจริงๆค่ะที่คอยตามอ่าน
ตามทวง ตามจิกไอ้มิยะ ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณตัวเองด้วยที่ยังไม่ลืมพล็อต ฮ่าๆๆๆๆ
เรื่องนี้นะ มันยากคนละแบบกับฟ้าถล่ม แต่ที่เหมือนกันคือเขียนสนุกมาก
ชอบตอนที่ได้มีโอกาสเปิดตัวพระนางสักที ฮ่าๆๆ เพราะยังไงวันนี้มันเป็นวันดีนี่นา
“สุขสันต์วันเกิดเอเลน”
สุขสันต์วันเกิดหมาน้อยของมี้
ขุ่นมี้ดีใจมากที่มอบของขวัญให้หนูทัน เกือบไม่ทันไปซะแล้ว ขอให้มีความสุขจ้ะ
เป็นที่รักของหัวหน้าเช่นนี้เรื่อยไป ขุ่นมี้จะทลายไหนี้ไปเรื่อยๆ
อันนี้เรื่องจริงเพราะขุ่นมี้จะปิดเทอมแล้ว
ถึงจะแค่หนึ่งเดือนแต่จะประคบประหงมให้ดีที่สุดเลยค่ะ
เจอกันตอนหน้าน้า
Miya
@#$%&!!! อารมณ์แบบว่านี่คือความฝันใช่ไหม โฮกกกกกก นึกว่าจะทิ้งไปแล้ว [เปิดรอทุกวันจนเลิกหวังไปแล้ว] 😭 ดีใจมากเลยนะฮะที่กลับมา รีบๆ มาต่อไวๆ นะฮะ ในที่สุดก็ได้พบกัน >.<
ตอบลบกลับมาแล้วค่ะ กลับมาแล้ววววว TvT งืออออออ ทางคนเขียนเองก็คิดถึงเรื่องนี้และคนอ่านไม่ต่างกัน ต้องขอบคุณจริงๆ ขอบคุณมากๆ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงได้ แต่ก็ขอบคุณที่ยังเข้ามาดูอยู่ เป็นฟิคที่ไม่คิดจะทิ้งจริงๆเพราะคนอ่านบวกกับความรักในตัวลูกหมานี่แหล่ะ ฮ่าๆๆ ขอบคุณนะคะ มิยะก็อยากประกาศให้โลกรู้ว่ากลับมาแล้ว จะแต่งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยค่ะ ฝากด้วยนะคะ
ลบจะเชื่อไหมคะ ว่าเค้าเข้ามาดูทุกวันเลยอะ เค้าอ่านของคุณมิยะตั้งหลายเรื่อง สนุกทุกเรื่องเลย ประทับใจมาก ประทับใจผลงานของคุณมาตลอดเลย
ตอบลบส่วนตอนนี้ ที่ที่เค้าประทับใจที่สุดก็คือ...ในที่สุด คุณก็กลับมา
โฮววววววววว อ่านแล้วน้ำตาซึม TvT ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาดู สำหรับคนเขียนการที่มีคนมาประทับใจในผลงานเราแล้วบอกว่าสนุก แค่คำนี้ คำนี้สั้นๆจริงๆอ่ะ กำลังใจมันมหาศาลมาก ขอบคุณค่ะ ขอโทษที่หายไป จริงๆแล้วไม่ได้ไปไหน จะบอกว่าเข้าบล็อกตัวเองทุกวันเหมือนกัน แต่เวลาเรียนนั้นหนักหนาสาหัสมาก เลยทำให้แต่งไม่ค่อยจะได้เลย จึงต้องดองเค็มเยี่ยงนี้ ฮ่าๆๆๆ แต่ตอนนี้ปิดเทอมแล้วค่ะ จะแต่งให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฝากด้วยนะคะ
ลบแอบเข้ามาส่องบ่อยๆอยู่เหมือนกันค่ะว่าเมื่อไหร่จะอัพ อยากอ่านต่อมากกกมมมกกกมากมากกกก แต่ไม่กล้าทวง 55555 สู้ๆนะคะเป็นกำลังใจให้ เย่ยยยยย~~!
ตอบลบปล.ความรู้สึกเดียวกะเม้นข้างบน ดีจัยยยยห์;////;
ฮ่าๆๆๆๆๆ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ จริงๆทวงได้ค่ะ ทวงเล้ยถ้าเห็นว่าไอ้มิยะมันหายเข้ากลีบเมฆไปอีกละ มิยะเข้ามาดูบล็อกทุกวัน มีบางท่านไปทวงทางแชท ไม่รู้จะขอโทษยังไงดี TTvTT ที่ทำให้รอขนาดนี้ รู้สึกผิดกับคนอ่านเรื่องนี้มาก เพราะทวงมาเยอะมากๆ จะไถ่โทษเท่าที่ทำได้เลยนะ TvT ฝากผลงานด้วยนะคะ
ลบขอบคุณนะฮ้าาาาา
ตอบลบชอบมากฮ้าา สู้ๆนะฮ้า นิยายสนุกมากฮ้าาาา
ขอบคุณมากค่าาา >w< ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ขอบคุณที่ชอบและบอกว่าสนุก TTvTT ดีใจมากมาย ฝากติดตามต่อไปเรื่อยๆด้วยนะคะ
ลบจะตามต่อไปฮ้าาาา ^ ^
ตอบลบ