หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Au.Fic KHR 8059 [Yamamoto X Gokudera] Ft. Levi X Eren SKYFALL -BlackBird- : 17



Project : Happy birthday Gokudera Hayato
Au.Fic KHR 8059 [Yamamoto X Gokudera] Ft. Levi X Eren
Drama Action
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ฟิคเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือหน่วยงานใดๆที่อ้างถึง




SKYFALL : 17





ร่างโปร่งบางของเด็กหนุ่มเดินไปตามทางบนชั้นที่ดูจะหรูหรากว่าชั้นอื่น ทั้งปูพรมแดงอย่างดีประตูหน้าต่างก็ออกแบบได้สวยอย่างมีสไตล์ ชั้นนี้ควรจะดูดีมีระดับกว่านี้ถ้ามีแสงไฟกับความเย็นของเครื่องปรับอากาศ แต่นี่ขาดไปทั้งสองอย่างมันเลยทั้งเงียบทั้งสลัวอย่างน่าขนลุก ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก เขาเห็นชายสวมชุดสูทสีดำสองคนดักรออยู่ด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง เตรียมตัวนำทางเขาไปห้องท่านประธาน อันที่จริงมันเหมือนพัศดีมาคุมตัวนักโทษมากกว่า

เขาเดินตามชายสองคนไปช้าๆท่ามกลางสายตาของคนที่ยืนอยู่ประปราย อาจจะเป็นเพราะว่าเขาใส่เสื้อช็อปบอกตำแหน่งและแผนกชัดเจน ทุกคนเลยรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าเขาต้องเป็นจำเลยตัวเอ้ แต่ก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าจำเลยคนนี้ยินยอมพร้อมใจกระโดดเข้าตะแลงแกงด้วยตัวเอง เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย คิดบ้างแล้วว่าถ้ารอดจากที่นี่ไปทำงานที่ญี่ปุ่นได้เมื่อไหร่ พี่ฮายาโตะต้องได้จ่ายค่าจ้างให้เขาเป็นสองเท่า

ชายในสูทดำพาเขามาหยุดหน้าห้องที่เป็นประตูไม้สวยติดกันสองบาน บ่งบอกว่าห้องนี้เป็นห้องที่กว้างมากแค่ไหน ไม่มีป้ายแขวนเหมือนบริษัททั่วไปว่าอยู่หรือไม่อยู่ คงเป็นเพราะคนจะขึ้นมาพบได้ต้องอยู่ในระดับคนสนิทมากที่รู้ตารางงานของท่านประธานดี หรือไม่ก็โดนเรียกพบเป็นกรณีพิเศษ

ซึ่งเอเลน เยเกอร์ถือเป็นกรณีหลัง ควรดอกจันด้วยว่าพิเศษมาก

ชายในชุดสูทเปิดประตูออกด้วยท่าทีสำรวม แต่ไม่มีการเคาะทำให้เขาต้องเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ แต่ไม่ทันได้เอ่ยถามอะไรก็ถูกทั้งลากทั้งดันเข้ามาในห้อง เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีจุ๊ปากแล้วส่ายหน้าเบาๆขณะที่กวาดตามองไปรอบๆ มันทั้งกว้างทั้งใหญ่ แถมยังถูกแบ่งเป็นส่วนๆ พรมหนานุ่มสีกรมท่าปูทุกตารางเมตร โต๊ะทำงานอยู่ข้างในสุดมีเพียงโต๊ะเดียวทำให้รู้ว่าต่อให้ห้องใหญ่แค่ไหน ก็มีคนอยู่เพียงแค่คนเดียว เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นเน้นใช้สอยมากกว่าประดับตกแต่งเป็นทรงเรียบหรูสีเข้มประมาณดำหรือออกเงินๆซะส่วนใหญ่ตัดกับผนังสีขาว ด้านในถัดจากโต๊ะทำงานเข้าไปอีกก็เป็นประตูซึ่งเอเลนเดาว่ามันคงเป็นห้องพักผ่อน เด็กหนุ่มขยับยิ้มโดยไม่ตั้งใจ เจ้านายของเขาไม่ชอบออกห้องเพราะอย่างนี้ ที่ทำงานพร้อมที่นอนในตัวแถมเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน เป็นเขาก็กินนอนอยู่ในนี้นี่แหล่ะ

“ไปรอท่านประธานที่โซฟาหน้าโต๊ะทำงาน”

“โซฟา?” เขาย่นคิ้ว แม้จะเห็นมันก็เถอะ แต่ก็อดสงสัยลึกๆไม่ได้ “ไม่หรูสำหรับผมไปหน่อยเหรอ”

บอดีการ์ดสองคนถึงกับหรี่ตามองเจ้าเด็กฝึกงานคนใหม่ที่ดูจะไม่มีทีท่าหวาดกลัวตั้งแต่เข้าห้อง แถมยังกลอกตาสำรวจโน่นนี่ยังกับมาทัศนศึกษา แล้วดูคำถามสิว่ามันใช่เวลามาถามที่ไหน ดูท่าฝ่ายรับคนเข้าจะเพี้ยนถึงได้เอาเด็กประหลาดๆเข้ามา

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตอบไปเรียบๆ “แขกของท่านประธานส่วนมากมีแต่คนใหญ่คนโต ไม่ประธานบริษัทก็ระดับผู้นำองค์กร เราจึงจัดไว้ให้ท่านเหล่านั้น” แล้วก็มองเด็กในเสื้อช็อปตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำเสียงไม่แน่ใจว่าคาดไม่ถึงหรือสมเพช “แต่ไม่คิดว่าสักวันหนึ่งจะมีเด็กอย่างเธอเข้ามา เธอไม่ควรสงสัยให้มานักเมื่อยู่ในห้องนี้ มันไม่ใช่ที่ๆจะเจรจาต่อรอง”

ถ้อยคำถากถางชัดเจนย้ำเพื่อให้รู้สถานะตัวเองว่าทำผิดเรื่องร้ายแรงแค่ไหน แต่เด็กหนุ่มร่างโปร่งกลับไม่มีท่าทีหงอตามที่พวกเขาต้องการ ใบหน้าเด็กๆนั้นมีรอยยิ้มอารมณ์ดีดูสบายแล้วสบายตา ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ แต่มันเป็นธรรมชาติจนสะกดคนมองได้

“งั้นก็ถือเป็นเกียรติของผมที่ได้นั่งโซฟารับแขกของท่านประธาน ตัวสีน้ำเงินๆตรงนั้นใช่ไหม” เด็กหนุ่มชี้แล้วเดินตรงไปทันที ข้างในดูเป็นส่วนตัวกว่าข้างนอกมาก ตู้หนังสือข้างหลังโต๊ะสูงจนถึงเพดาน อัดแน่นด้วยทุกชั้นจนแทบไม่มีช่องว่าพร้อมไม้ยาวๆใช้หยิบเรียบร้อย นาฬิกา ที่ทับกระดาษ ที่เสียบปากกา คอมพิวเตอร์พีซี ทุกอย่างวางอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะขนาดเขาไม่ใช่เจ้าของห้องยังอดคิดไม่ได้ว่ามันน่าหยิบใช้ แต่ที่เด่นสะดุดตาเป็นที่สุดเห็นจะเป็นป้ายทำจากแก้วลงทรายสีทองตามร่องสลักอย่างสวยงามเป็นชื่อพร้อมตำแหน่ง

“รีไว แอ็คเคอร์แมน”

“มีปัญหาอะไรกับชื่อฉัน” เสียงต่ำเยือกเย็นดังประชิดอยู่หลังคอจนทำให้เอเลนสะดุ้งสุดตัว เด็กหนุ่มกลับไปมองถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ผู้ชายที่น่าจะสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตรในชุดสูทเต็มยศยืนอยู่ข้างหลังเขา

บรรยากาศรอบตัวอย่างกับกำแพงน้ำแข็งสูงตระหง่านไม่มีทางปีนได้ ต่อให้พยายามปีนคงได้โดนเจ้าของกำแพงนี้สอยร่วงลงมาทันที ดวงตาสีเทาราวกับเถ้าถ่านหรี่มองเขาราวกับประเมิน รอยประหลาดบางอย่างฉาบอยู่ในแววตา แม้มันจะเล็กน้อยมากกระทั่งเอเลนไม่รู้ว่าคืออะไร แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เอเลนกล้าการันตี

ท่านประธานจำหน้าเขาได้ จำได้แน่ๆ

“เอเลน เยเกอร์ แผนกไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ครับ” เขาแนะนำตัวสั้นๆ พลางมองอีกฝ่ายที่เดินไปนั่งเก้าอี้สำนักงานสีดำตัวใหญ่ เอเลนเผลอตาค้างไปชั่วขณะกับภาพเบื้องหน้า เขาแทบลืมไปเสียสนิทเลยว่าแท้จริงแล้วด้วยสรีระ คนตรงหน้าตัวเล็กกว่าเขาถึงสี่นิ้ว แต่กลับให้บรรยากาศเหมือนชายร่างสูงสักร้อยแปดสิบหรือเก้าสิบไม่มีผิด เป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของยุโรป เป็นคนที่ทั่วทั้งโลกนับถือและจับตามอง

ว่ากันง่ายๆ ออร่า...แรงสุดๆ

“ไม่นั่งรึไง” คำถามคำแรกพร้อมสายตาที่มองทะลุไปยังโซฟาตัวสวยด้านหลังทำให้เอเลนหลุดจากภวังค์ เขายิ้มเจื่อนและให้เหตุผลไปตามตรง

“ผมว่ามันหรูไปน่ะครับ เอ่อคือ...ผมไม่ใช่แขกคนสำคัญของคุณ ไม่น่าจะได้นั่ง เอ่อ...ไม่ทราบว่าคุณมีเก้าอี้สักตัวไหมครับ แข็งๆ ไม่ต้องยัดฟองน้ำก็ได้”

คำกล่าวของเด็กหนุ่มทำให้คนแก่กว่าเป็นสองเท่าอดเลิกคิ้วไม่ได้ อันที่จริงเด็กนี่ทำให้เขาแปลกใจตั้งแต่แรกที่มันเข้ามาแล้ว แน่นอนว่าเขาเป็นคนเรียกหาแผนกไฟฟ้าเพราะความผิดพลาดที่ก่อไว้อย่างใหญ่หลวง แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้าเด็กนี่ เขาสันนิษฐานได้สองอย่าง กรณีแรกคือในแผนกไฟฟ้ามีผู้ใหญ่รังแกเด็กเยอะเกินไป คงส่งมารับโทษแทน หรือเป็นกรณีที่สองที่คนตรงหน้าถูกส่งมาเพื่อเป็นฮีโร่พาทั้งแผนกรอดพ้นจากโทษ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็อยากจะรู้นักว่ามันจะทำได้ยังไง

จะมีเหตุผลอะไรมาแก้ตัวให้เขายอมรับได้งั้นเหรอ

ประธานแห่งจอร์จิโอกรุ๊ปขยับยิ้มมุมปากนิดๆอย่างไม่ตั้งใจ ว่าเสียงเรียบ “ปกติโซฟาตัวนั้นมีเอาไว้ให้แขกนั่งก็จริง แต่ก็มีเอาไว้สำหรับคนในด้วย โดยเฉพาะพวกที่มารับเงินเดือนก้อนสุดท้าย นายเองก็มีสิทธิ์นั่ง แล้วดูเหมือนว่าวันนี้จะมีสิทธิ์สูง”

“ก็คงจะอย่างนั้นล่ะครับ” เอเลนยิ้มแห้ง ยอมรับ “แต่ยังไงผมก็มีข้อชี้แจงคุณอยู่สามข้อ หนึ่ง ผมไม่ได้มารับเงินเดือนก้อนสุดท้ายแน่นอนครับ ผมเข้าบริษัทได้สองอาทิตย์แถมยังไม่ใช่ลูกจ้างด้วย อีกอย่างผมอาจจะยังไม่อยู่ในถึงเวลาที่ต้องนั่งรอคำสั่งให้ออกจากบริษัท เพราะผมมีเรื่องที่จะต้องบอกให้คุณทราบ อย่างน้อยก็ทำไมถึงต้องทำให้คุณต้องเลิกประชุมกลางคัน หลังจากนั้นจะทำยังไงกับผมก็แล้วแต่ครับ”

ฝ่ายชายหนุ่มขมวดคิ้วทันทีกับประโยคนั้น สายตาของเขาเย็นยะเยือกเช่นเดิม แต่คราวนี้มีความเหี้ยมเกรียมเพิ่มขึ้นมาด้วย เสียงทุ้มต่ำคำราม

“ฉันไม่ต้องการคำแก้ตัว”

“ถ้างั้นก็เหตุผล” เอเลนเอ่ยแก้ทันที “ถ้าเป็นเหตุผล คุณคงจะอยากฟัง แล้วผมว่าคุณต้องซักผมนานแน่ๆ เพราะงั้นผมอยากขอที่นั่งที่ไม่ใช่โซฟาตัวนั้น...อีกอย่างผมยืนก็ไม่น่าจะได้ด้วยครับ มันคงดูไม่ดีเท่าไหร่ถ้าผมต้องยืนค้ำหัวเจ้านาย เอ่อ ขอโทษครับ แต่มันดูไม่ดีจริงๆนะ ลูกน้องชุดดำสองคนหน้าห้องเริ่มส่งสายตาแปลกๆมาทางเราแล้วด้วย”

มันเป็นครั้งแรกที่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้ แล้วเป็นครั้งแรกที่เขาต้องหยุดฟัง ไม่ปล่อยมันผ่านไป เขากำลังหงุดหงิด ต้องเลิกประชุมเพราะเรื่องที่ไม่สมควรจะเกิด แต่ไม่ใช่ว่าเลิกไปเลยหรอก เขาให้ผู้เข้าร่วมทั้งหมดอยู่ในห้องรับรองที่ดูแลโดยเลขาส่วนตัว จากนั้นก็มาที่นี่โดยหวังจะได้เปลี่ยนแผนกไฟฟ้ายกชุดอีกรอบ หรือไม่ถ้าเหนือความคาดหวังหน่อยคือแผนกนี้มีวิธีเอาตัวรอดที่เขารับได้

แต่ที่เขาไม่เคยคาดเลยคือการที่ตัวเองจะได้นั่งเงียบฟังเจ้าเด็กเมื่อวานซืนพล่ามเหตุผลไม่หยุดปากเพราะแค่อยากได้เก้าอี้ตัวเดียว แล้วสุดท้าย สิ่งที่คาดไม่ถึงมากที่สุดคือต้องยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้ เสียงทุ้มร้องบอกลูกน้อง

“เอาเก้าอี้มา” อย่างน้อยก็ตัดปัญหา เขาคิดอย่างนั้น

เอเลนยิ้มออกมาอย่างดีใจ ที่เขาดื้อแพ่งอยากได้ที่นั่งไม่ใช่อะไร เพราะงานนี้เขามาเพื่อสังเกตคน แล้วระดับพี่ฮายาโตะก็อยากได้คุณภาพงานชนิดถึงไหนถึงกันแน่ๆ เพราะงั้นเขาไม่มีทางนั่งอยู่ห่างจากคู่กรณีเป็นวาขนาดนั้นหรอก ให้ตายยังไงคงไม่ได้อะไร ถึงเขาจะไม่ใช่คนในวงการนี้ แต่แค่ดูตัวอย่างรุ่นพี่ตัวเองเขาก็พอรู้ว่าพวกนักธุรกิจชั้นนำนั้นมีหน้ากากกันกี่ชั้น

เอเลนนั่งลงกับเก้าอี้ตรงหน้าผู้ครองตำแหน่งใหญ่ที่สุดแห่งจอร์จิโอ ระหว่างเขาสองคนมีโต๊ะทำงานกั้น อีกฝ่ายวางท่อนแขนแข็งแรงไว้กับโต๊ะ นัยน์ตาจ้องเขานิ่งๆ ราวกับเปิดโอกาสให้พูดและเอเลนไม่คิดทิ้งโอกาสนั้น

“คุณดูไม่ค่อยโกรธเท่าไหร่” เด็กหนุ่มตั้งข้อสังเกต “ผมนึกว่าคุณจะโกรธผมมากกว่านี้ซะอีก เพราะเรื่องที่ทำมันก็ไม่สมควรได้รับการให้อภัย แต่คุณยอมที่จะรับฟังผม ขอบคุณจริงๆครับ”

“แล้วคิดว่าเข้ามาจะต้องเจอกับอะไร” เอเลนเลิกคิ้วขึ้นนิดกับคำถามนั้น เม้มปากคิดพลางมองเข้าไปในดวงตาผู้ถาม ให้พูดตรงๆเขามองไม่ออกหรอกว่ากำลังโดนหยั่งเชิงหรือลองภูมิอะไร ยังมองไม่เห็นอะไรในแววตานั้นด้วยซ้ำ

“ว่ากันตามตรงผมคิดว่าจะโดนคุณตำหนิด้วยปรัชญานักธุรกิจประมาณว่าหนึ่งนาทีที่นักธุรกิจหยุดงานนั้นมันแลกกับอะไร แล้วก็ เอ่อ...คุณคงไม่ฟังผมพูด ยื่นซองขาวให้ผมทั้งปึก บอกให้เก็บข้าวเก็บของออกไป หรือไม่...” ดวงตาสีเขียงสุกใสเลื่อนต่ำลงมมองไปที่ใต้สูทแถวสีข้าง มันคงจะมีอยู่แน่ๆล่ะ ดูจำนวนชั้นของเครื่องแต่งกายและอาการป่องออกเขาก็พอจะรู้แล้วว่าเจ้านายเขาพกสิ่งที่พ่อค้าธรรมดาเขาไม่พกกัน แล้วมันไม่โอเคเลยถ้าเขาจะได้จบชีวิตวัยรุ่นเพราะสิ่งนั้น

เอเลนกลืนน้ำลายช้าๆ ตัดบททันที

“ไม่มีอะไรครับ”

“ไม่มีอะไร?” ดวงตาคู่คมหรี่ลงอย่างรู้ทัน เปรยเสียงเย็น “นายรู้ไหมว่าคนจะเป็นภัยเพราะไอ้อาการโกหกไม่เก่ง และรู้ไหมว่าคนที่โกหกฉันจะลงเอยยังไง”

“แต่ผมว่าผมพูดออกไปตรงๆมันก็คงจะลงเอยไม่ต่างกันนัก เผลอๆแย่กว่าด้วยซ้ำ” เอเลนเถียงออกไปเบาๆ มันก็จริงนี่ จะให้เขาพูดหรือไงว่าผมรู้นะว่าไอ้บริษัทนี้มันแหล่งฟอกเงินชั้นเยี่ยม มาเฟียทั้งบริษัทมีมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ไอ้คนตรงหน้าเขาคงคือหัวหน้าแก๊งค์เต็มขั้น เขาไม่ใช่ลูกนกที่ร้องบอกนายพรานว่าแกพกปืนใช่ไหม แน่จริงยิงมาเลย... ไม่ใช่แล้ว! นกมันยังบินหนีได้ แต่เขาสิ ถ้าโดนส่องขึ้นมาจริงๆก็ดับสนิทตรงนี้นี่แหล่ะ

“ฉลาดดีนี่” คนตรงหน้าเอ่ยชม แต่รอยยิ้มไม่แน่ใจว่าเป็นการประชดอย่างเลือดเย็นหรือถูกใจ “แต่ฉันอยากจะรู้ว่านายจะฉลาดได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง นายจะเป็นคนแรกที่ทำเรื่องผิดพลาดในบริษัทฉันและไม่ถูกไล่ออก”

“ผมไม่มีข้ออธิบายเรื่องทำไฟของชั้นบริหารดับ อะไรที่มันพลาดยังไงก็คือพลาด แต่ผมพอจะมีสิ่งที่ทดแทนได้ ยังไงการประชุมวันนี้ก็สำคัญมาก คงไม่ดีที่มันจะหยุดลงไปดื้อๆ เพราะงั้นผมของเสนอให้ไปใช้ที่ชั้นยี่สิบสองแทนครับ ชั้นนั้นมีทั้งห้องพักรับรองและห้องประชุมใหญ่ไม่ต่างกับชั้นบริหารมาก อย่างน้อยก็คงประชุมต่อได้” รีไวนิ่งฟังกับคำกล่าวของเด็กหนุ่มก่อนจะปรายตามองลูกน้องที่เพิ่งจะลดเครื่องมือสื่อสารลงจากหู ชายฉกรรจ์ร่างสูงหันมาทางผู้เป็นเจ้านายทันที โค้งรายงาน

“ทางแผนกไฟฟ้าติดต่อมาครับว่าได้เตรียมห้องประชุมที่ชั้นยี่สิบสองเอาไว้แล้วครับ แล้วก็บอกว่าถ้าหากผิดพลาดอีกพร้อมจะรับผิดชอบโดยการลาออกทั้งแผนก”

คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันทันที กล้าพูดกันขนาดนี้แถมยังกับเขา ถ้าไม่ใช่พวกไม่มีอะไรจะเสียก็พวกมั่นใจว่าจะไม่เสียอะไร

“รู้ไหมว่าการประชุมนี้สำคัญมากแค่ไหน มันละเอียดและมีข้อสุ่มเสี่ยงมากมายที่จะผิดพลาด การย้ายห้องประชุมโดยพลการไม่ใช่สิทธิ์ที่นายจะทำ ที่นี่คือสถานที่ทำงานจริง ไม่ใช่โรงเรียนที่นายจะเอาประสบการณ์เด็กๆมาตัดสินใจจัดการ”

เอเลนรู้สึกเหมือนตัวเองผงะถอยไปนิดหน่อยโดยอัตโนมัติ เพียงแต่แปลก มันไม่ได้เจ็บใจหรือหน้าชาเท่าที่ควรแบบเดียวกับเวลาโดนผู้บังคับบัญชาด่า แต่มันเหมือนอารมณ์โดนพ่อแม่ดุมากกว่า เขาก็ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือว่าท่านประธานตรงหน้าทำอย่างนั้น พอดีเลย ไอ้เขามันคนดื้อเงียบด้วย อดเถียงออกไปไม่ได้

“แต่ประสบการณ์เด็กๆของผมก็ตัดสินใจได้อย่างหนึ่งว่าห้องประชุมของชั้นที่ยี่สิบสองเหมือนชั้นบริหารทุกอย่าง ทั้งจำนวนที่นั่ง จอ โพเดียม เครื่องเสียงหรือแม้กระทั่งการติดอุปกรณ์ป้องกันการดักฟัง” เอเลนเว้นวรรค เบือนตาหลบโดยอัตโนมัติเมื่อสายตาของเจ้านายเขาเยือกเย็นจนผิดปกติ “เพราะงั้นผมว่ามันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ไปใช้ห้องนั้น อย่างน้อยก็ได้ดำเนินการประชุมต่อนะครับ”

“นายพูดเหมือนกับว่านายได้เตรียมเหตุการณ์ล่วงหน้าเอาไว้แล้ว ไฟที่ดับนั่นก็เป็นการจัดฉากอย่างจงใจใช่ไหม”

“ไม่ใช่นะครับ” สีหน้า แววตา ท่าทาง น้ำเสียงและความรวดเร็วในการตอบรีไวก็สรุปได้เลยว่าเจ้าเด็กนี่มีอะไรปิดบังเขาอยู่ บางทีเขาอาจจะหวังอะไรกับเด็กอายุสิบเจ็ดมากเกินไป คิดอยู่ว่ามีอะไรให้สนใจ แต่ดูเหมือนจะเป็นการดันทุรังที่เปล่าประโยชน์

เขาบอกไปแล้วนะว่าถ้าโกหกแล้วไม่รอดก็อย่าทำ และห้ามทำถ้าอยู่ต่อหน้าเขา...

“ไม่เป็นไร ฉันมีวิธีการของฉันในการง้างปากนาย” ดวงตาสีขี้เถ้าเบือนกลับไปมองลูกน้องสูทดำที่อยู่ข้างๆ “บอกมิคาสะให้เริ่มประชุมต่อที่ชั้นยี่สิบสอง วาระต่อไปไม่มีฉันก็ดำเนินการต่อได้ เดี๋ยวฉันตามไป แต่อาจจะช้าหน่อยถ้าเด็กฝึกงานมันดื้อด้านกว่าที่คิด”

ชั่ววินาทีนั้นที่เอเลนเห็นประกายความเลือดเย็นเล่นปลาบไปตามดวงคู่คมจนทำให้เขาสูดลมหายใจลึกๆทันทีเพราะรู้สึกว่าออกซิเจนไม่เพียงพอชั่วขณะ รีไวรอจนกระทั่งคนนอกออกไปทั้งหมด ห้องเงียบกริบ ร่างแข็งแกร่งโน้มตัวนิดๆเข้าหาเด็กตรงหน้า

“ฉันจะถามเป็นครั้งสุดท้าย ตกลงจงใจทำใช่ไหมเรื่องไฟนั่น มีจุดประสงค์อะไร” เอเลนตัวแข็งเกร็งฉับพลัน น้ำเสียง สีหน้าของอีกฝ่ายอย่างกับว่านี่คือการสอบสวนในห้องมืดๆ เขาเป็นคนโกหกไม่เก่ง อันนั้นรู้อยู่แล้ว แต่เพราะไอ้การโกหกไม่เก่งนี่แหล่ะที่ยิ่งจงใจจะทำมัน เพื่อทำให้ประธานสงสัยเขาให้มากที่สุด เคลือบแคลงให้มากที่สุดนี่แหล่ะดี
เป็นการรับประกันว่ารีไว แอ็คเคอร์แมนจะอยู่คุยกับเขา ไม่ปล่อยเขากลับไปดื้อๆ

“อันที่จริงผมต้องการคุยกับคุณ แต่ผมหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ได้ เพราะลำพังเด็กฝึกงานคงไม่มีโอกาสได้พบ แค่คิดว่าผมเดินไปหาโอเปอเรเตอร์แล้วบอกว่า ขอผมพบท่านประธานหน่อยได้ไหมครับ ผมคงจะโดนเธอมองตั้งแต่หัวจรดเท้าข้อหาไม่เจียม ขออะไรในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”

เอเลนยิ้มเจื่อน “เพราะงั้นผมก็เลยต้องหาวิธีที่ทำให้ท่านเรียกพบ ขอโทษจริงๆนะครับที่ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่”

ว่าแล้วก็โค้งให้ ทำเอาบรรยากาศในห้องมันแปลกเข้าไปอีก คราวนี้ก็ชัดแล้วว่าไอ้สองกรณีที่เขาคิดไว้แต่แรกนั้นมันผิด กลายเป็นตัวเลือกที่สาม มีคนกล้าทำพลาดเพื่อให้มาเผชิญหน้ากับเขา เขาไม่คิดว่าจะมีใครทำ แต่เจ้าเด็กนี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันเอาจริง

 รีไวยอมรับว่าเขาโกรธมาก แม้จะนึกถูกใจเด็กวัยสิบเจ็ดคนนี้อยู่นิดหน่อยที่เป็นคนกล้าทำกล้ารับ มันไม่เห็นง่ายๆนักในสังคมนี้ แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับงานของเขา เป็นสิ่งที่เขาเคร่งครัดกับมันมาเสมอและไม่เคยให้อภัยหากใครมาขัดขวางมัน แต่สุดท้ายเขาก็รู้สึกได้ว่าอารมณ์ของตัวเองอ่อนลงเล็กน้อย ถึงจะไม่มาก แต่ก็ทำให้เขายังไม่เซ็นยกเลิกการฝึกงานของหมอนี่ เพียงแค่คำสั้นๆง่ายๆว่า ขอโทษ

เขาไม่ได้ยินคำขอโทษบ่อยนัก เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่มีโอกาสได้พูดคำนั้น และเขาก็ไม่อยากจะได้ยินด้วย แต่พอมันมาจากปากเด็กคนนี้มันกลับทำให้เขาฟังได้อย่างประหลาด มันเอ่ยออกมาอย่างสบายๆ แต่ก็จริงจังและทรงพลัง

“ผมจะรับผิดชอบเรื่องนี้เองครับ แต่ผมก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้มันส่งผลกระทบกับบริษัท ไฟที่ผมตัดไปเป็นชั้นบริหารไม่เกี่ยวกับโรงงานที่กำลังผลิตโปรดักส์ของเราอยู่ ผมไม่ได้มีเจตนาทำลายงาน แต่ก็แค่อยากมาพบคุณเท่านั้น”

“แล้วมีธุระอะไร”

“ผมอยากถามครับว่าจริงๆแล้ว ใครเป็นคนคัดเลือกให้ผมเข้ามาทำงานในบริษัทนี้”

รีไวย่นหัวคิ้วเล็กน้อยกับคำถามนั้น ตอบกลับเสียงเรียบเฉย “นั่นมันสำคัญถึงขั้นนายต้องก่อเรื่องเพื่อขึ้นมาพบฉัน?” ส่ายหน้าเบาๆเหมือนมันเป็นสิ่งที่ไร้สาระสิ้นดี “ขี่ช้างจับตั๊กแตน”

“แต่มันก็เป็นเรื่องที่ผมจะสมควรทราบ ผมยังเป็นนักศึกษานะ คุณอย่าลืม แล้วก็เป็นเด็กทะเยอทะยานที่อยากเข้าทำงานตรงกับสายของตัวเองเหมือนกัน ผมดีใจและเป็นเกียรติที่ได้อยู่แผนกไฟฟ้าของจอร์จิโอ แต่ว่ากันตรงๆว่าที่นี่มีวิศวะไฟฟ้าที่เขาจบมาโดยตรงพร้อมจะทำงานให้คุณอย่างเต็มความสามารถ ยอมรับเลยครับว่าผมคงสู้เขาไม่ไหว” เอเลนยิ้มน้อยๆออกมา “เพราะงั้นกรุณาบอกผมเถอะครับว่าใครเลือกผมเข้ามา แล้วเพราะอะไร ถ้าหากมีบางอย่างที่เข้าใจผิด คนที่ได้รับผลเสียน่ะมันฝ่ายบริษัทมากกว่าที่จะเป็นผม วันนี้ผมอาจจะจงใจพลาด แต่ในอนาคตผมคงพลาดเข้าจริงๆ ความไม่ถนัด หรือความไม่พอใจในตำแหน่งตนมันส่งผลน่ากลัวกว่าที่คิดนะครับ”

เอเลนพยายามปั้นหน้าให้นิ่งที่สุด ก็พอรู้หรอกว่าหน้ากากดินเหนียวมันยังไม่บังอาจสู้กับหน้ากากแก้ว เขาต้องลุ้นทุกวินาทีที่ความเงียบมันเป็นช่องว่าง แล้วรู้สึกโล่งอกเมื่อคนตรงหน้าเปิดปาก

“ตอนแรกเราจะดูก่อนว่าแผนกไหนต้องการทรัพยากรบุคคล แล้วก็ให้นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์กรเป็นผู้ตรวจสอบคุณสมบัติ ผ่านหัวหน้าแผนกนั้นๆ แล้วสุดท้ายก็เป็นเลขาของฉันที่จะอนุมัติ ถ้าคะแนนด้านใดด้านหนึ่งต่ำกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าทำงาน” เสียงทุ้มต่ำอธิบายอย่างละเอียด กดตามองเด็กตรงหน้าแล้วสำทับเสียงเย็น

“นึกเสียดายที่นั่งในบริษัทที่กำลังจะหลุดไปเพราะการกระทำสิ้นคิดบ้างหรือยัง”

เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดหดคอโดยอัตโนมัติเหมือนโดนดุอีกระลอก กลั้นใจอ้อมๆแอ้มๆถามกลับไป “งั้น...ท่านประธานก็ไม่ได้มีความคิดเห็นที่จะนำผมเข้าทำงานตั้งแต่แรก”

ความเงียบเป็นคำตอบในบัดดล เอเลนไม่สามารถสบตากับคนตรงหน้าได้นานนักจนต้องหลุบตาลงหลบทั้งที่ไม่รู้เหตุผลเพราะสู้สายตาที่เหมือนจะมองทุกอย่างออกอย่างทะลุปรุโปร่งอย่างนั้นไม่ได้ หรือไม่เขาก็รู้สึกแปลกๆอย่างกะทันหันเมื่อทบทวนคำถามของตัวเอง ยอมรับด้วยว่ามันพิลึกสิ้นดี

“เปล่า” รีไวตอบสั้นๆ

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ ก็ระดับจอร์จิโอขนาดนี้แล้ว จะแผนกไหนก็ต้องเต็มไปด้วยคนคุณภาพ เพราะอย่างนั้นท่านประธานถึงไว้ใจให้พวกเขาจัดการ ไม่ใช่เรื่องที่คนระดับผู้บริหารสูงสุดต้องมาเป็นธุระเลยนี่นะ

“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าคุณยังไม่รู้ศักยภาพของพนักงานแต่ละคนดีพอ” เสียงพึมพำหลุดออกไปจนได้จนเอเลนต้องตะครุบปิดปากตัวเองเมื่อสัมผัสได้ว่าดวงตาคู่คมกริบนั้นมองมาอีกครั้ง แต่แปลกที่มันไม่ได้มีความโกรธเคืองอย่างที่คิดไว้

“ต่อให้รู้ไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร” น้ำเสียงของรีไวทรงพลังและจริงจัง “ในโลกของการทำงานไม่ได้สวยหรูที่เด็กอายุสิบเจ็ดวาดฝันไว้หรอกนะ ทุกคนมีหน้าที่ของตนและต้องอยู่ตำแหน่งนั้นอย่างเข้มแข็งที่สุด โดยเฉพาะคนเป็นหัวหน้า ฉันมีหน้าที่คือบริหารจอร์จิโอให้กลายเป็นธุรกิจที่มั่นคงที่สุดในโลก ใครที่แบกรับจอร์จิโอไม่ไหว ฉันพร้อมจะทิ้งไป และรับคนใหม่ที่มีความสามารถเข้ามาแทนได้ทุกเมื่อ แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นเด็กอย่างนายก็ตาม”

“แต่ถ้าเด็กคนนั้นทำพลาด คุณก็พร้อมที่จะเอาเขาออกทันทีเช่นกันใช่ไหมครับ” เอเลนต่อทันทีพร้อมสบตากลับไป ไม่มีความสั่นไหวในดวงตาของเขา เหมือนถามเพียงเพราะมันเป็นสัจธรรมของคนตรงหน้า รีไว แอ็คเคอร์แมนคือคนที่มีได้ ก็ต้องทิ้งได้ เอเลนคิดแบบนั้น

แล้วมันก็เป็นความจริง

“ใช่” คนถูกถามยอมรับออกมาได้ในที่สุดแม้จะเว้นช่วงไปเล็กน้อยก็ตาม รีไวย่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นเจ้าเด็กตรงหน้ายิ้มออกมานิดๆเมื่อได้ฟังในคำตอบ ตามปกติแล้วมันก็ควรจะเสียใจ กังวลหรือหวาดกลัว แต่เด็กนี่ไม่มีสักอย่าง สิ่งเดียวที่แสดงทางสีหน้าคล้ายกับว่ายอมรับ โล่งอก เป็นไปตามคาด อะไรทำนองนั้น  เขามองอารมณ์เหล่านั้นด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ทำเหมือนราวกับว่าถ้าโดนไล่ออกวันนี้ มันก็พร้อมจะเก็บข้าวของออกไปโดยไม่มีอิดออดอย่างนั้น ซึ่งที่ผ่านมาเขาไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน นั่นล่ะที่ทำให้ไม่สบอารมณ์มาก

เขาไม่สบอารมณ์กับเด็กนี่ไปหมดทุกอย่าง แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ปฏิเสธที่จะเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา

ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างไม่ทราบสาเหตุ เพราะตนรู้สึกแปลกจนไม่อาจควบคุม

“หมดเรื่องแล้วใช่ไหม” เขาถามเสียงราบเรียบ “เพราะการกระทำบ้องตื้นของนายไม่ส่งผลกระทบมาก ครั้งนี้ฉันจะยกให้ ไปซ่อมไฟให้เสร็จซะ แต่ถ้าไม่เสร็จภายในวันนี้ ฉันจะไล่ออก”

ดวงตาเด็กน้อยจ้องเขากลับเหมือนลุ้นให้พูดอะไรต่อ คนอายุมากกว่าระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย สำทับไปอย่างอดไม่ได้ “ไล่ออกแค่นายคนเดียว”

เท่านั้นล่ะเจ้าเด็กมหาลัยถึงได้ดีดตัวลุกยืนขึ้น เจ้าตัวฉีกยิ้มจนห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์สีทึมๆสว่างไสวทันตายิ่งกว่าเปิดผ้าม่าน ร่างโปร่งบางโค้งให้เขารัวๆ ร้องอย่างยินดี “ขอบคุณครับ! ขอบคุณมากๆ”

เอเลนมองเจ้าของห้องที่กำลังเดินออกไปด้วยความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ คนนั้นอยู่สูงแค่ไหนทำไมเขาจะไม่รู้ เด็กอย่างเขาไม่สมควรที่จะเข้าห้องนี้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ แต่เขาก็อุตส่าห์ให้เข้ามา ถึงตั้งใจว่าเพื่อที่จะลงโทษก็เถอะ แต่สุดท้าย ท่านประธานก็ยอมรับฟังเขา พูดคุย ให้ข้อมูลตั้งหลายอย่าง ซึ่งเขายอมรับว่าบางสิ่งก็เป็นเขาที่จงใจหลอกล่อให้อีกฝ่ายพูดมันออกมา เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้ละเอียดเหมือนอาจารย์สอนเลคเชอร์ขนาดนั้น แล้วก็ต้องขอบคุณด้วยที่อีกฝ่ายยอมตอบคำถามของเขาอย่างชัดเจน

มันเป็นคำถามที่พี่ฮายาโตะย้ำกับเขามาว่าให้หาคำตอบจากรีไว แอ็คเคอร์แมนให้ได้

เอเลน นอกจากนิสัยเจ้านายแกแล้ว แกช่วยถามเขาด้วย ว่าระหว่างผลประโยชน์ของจอร์จิโอกรุ๊ปกับเด็กฝึกงานอย่างแก เขายอมที่จะเสียอะไร
            
เด็กหนุ่มร่างโปร่งบางขำเบาๆกับตัวเอง เขาว่าเขาตอบไอ้พี่บ้านั่นไปทันควันว่าก็ต้องจอร์จิโอกรุ๊ปอยู่แล้ว ตบท้ายด้วยการเหน็บไปนิดๆว่าพี่เอาอะไรมาถาม มันก็เหมือนเสือจะกินอะไรระหว่างเนื้อกับหญ้านั่นแหล่ะ เด็กอนุบาลยังตอบได้

            แต่รุ่นพี่เขาก็ยังคะยั้นคะยอให้เขามาเป็นการบ้านอีก คราวนี้แหล่ะจะตอบให้ชัดเลย ขีดเส้นใต้เน้นๆด้วย


            ไม่ว่าอะไรที่จะมาตัดสินใจคู่กับจอร์จิโอกรุ๊ป เมื่อนั้นมันจะไม่ใช่การเลือก แต่จะเป็นประกาศิตทันทีว่าจะต้องเป็นจอร์จิโอกรุ๊ปเท่านั้น...










            [ก็อย่างที่เล่าไปนั่นแหล่ะ ประธานจอร์จิโอที่พี่ให้ผมไปเสี่ยงตายสืบน่ะเข้าหาโคตรยาก เข้าหายากยังไม่พอ เข้าถึงก็ยากอีกต่างหาก] เสียงใสๆบ่นมาตามสาย ฟังจากเสียงละเหี่ยปนอ่อนใจของเอเลนแล้ว โกคุเดระพอจะเดาได้อยู่หรอกว่าเป้าหมายของเขานั้นเคี้ยวยากขนาดไหน แถมพอรู้ว่าเอเลนใช้วิธีการใดที่เข้าไปหาข้อมูลเขาก็อดทึ่งไม่ได้ หมอนี่เดินออกมาจากห้องประธานบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งยุโรปโดยไม่โดนอะไรสักอย่าง ทั้งๆที่ตั้งใจป่วนเขาขนาดนั้น

            จะว่างี่เง่า บ้าบิ่น หรือไม่ห่วงชีวิต แต่เขาก็คิดว่ามองรุ่นน้องตัวเองไม่ผิด เอเลนมีวิธีการเอาตัวรอดได้อย่างน่ากลัว

            [แต่ก็เป็นคนที่เข้าใจได้ง่ายดีนะ] เอเลนยังเล่าอีก ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ [รีไว แอ็คเคอร์แมน เป็นนักธุรกิจที่บาลานซ์อำนาจโลกมืดกับโลกสว่างได้สมดุลสุดๆ หมอนั่นคงทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมในทั้งสองด้าน ใครขวางทางเขาพร้อมที่จะฆ่าทิ้งได้อย่างไม่ปรานีตามวิธีการของมาเฟียนั่นล่ะ แต่เขาก็มีเหตุผลและรอบคอบเสมอถ้าการกระทำนั้นส่งผลโดยตรงต่อจอร์จิโอกรุ๊ป พี่ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าเขาเป็นมาเฟียเลือดผสมหรือบริสุทธิ์...]

            เสียงรุ่นน้องเงียบไป เขาคิดตาม พลันขนลุกทั่วทั้งร่าง

            [มันบริสุทธิ์ทั้งสองแบบ แล้วแต่ว่าเขาจะใช้แบบไหนตามสถานการณ์ใดต่างหาก]

            “คงใช่ ไม่งั้นแกเผลอตัดไฟบริษัทสุ่มสี่สุ่มห้า เกิดไปโดนฝั่งโรงงานเข้า แกคงได้กลายเป็นศพอยู่ในห้องหรูๆนั่นล่ะ”

            [เออ ถ้าเขาไม่กลัวเลือดผมเลอะพรมหรูๆน่ะนะ] เอเลนสัพยอกกลับมาอย่างอารมณ์ดี เขาฟังน้ำเสียงของรุ่นน้องแล้วก็โล่งใจไปโข อันที่จริงถึงเขาจะมอบหมายงานไปอย่างนั้นแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ห่วง นึกอยู่ว่าถ้าเกิดเรื่องไม่ดีกับเด็กคนนี้ขึ้นมา เขาคงต้องหาแผนสองแผนสาม ยกตัวอย่างเช่นว่าส่งคนไปตามดูที่จอร์จิโอ หรือไม่งั้นเขาอาจจะแอบขึ้นเครื่องไปจัดการเองเงียบๆ เสี่ยงเป็นข่าวก็ยอมล่ะ แต่ถือว่าเขากับเอเลนโชคดีที่ยังไม่ต้องทำขนาดนั้น เพราะมันประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อ

            แถมเอเลนยังดูสบายๆเหมือนเดิม เด็กคนนี้ยังไม่เปลี่ยนไป ใช่ เขาขอแค่นี้เท่านั้น...

            “ฉันจะส่งข้อมูลเจรจากับรีไวไปให้ภายในเที่ยงคืนตามเวลาอิตาลี นายอ่านให้เข้าใจ สงสัยตรงไหนก็เมล์กลับมา พอดีฉันไม่ค่อยสะดวกคุยน่ะ”

            [อ๋อ...โอเค] เอเลนรับง่ายๆแต่ก็ไม่วายถามขึ้น [แล้วพี่จะไปไหนอ่ะ ตอนนี้ญี่ปุ่นก็คงประมาณหกโมงเย็น แปลกนะที่พี่จะออกจากบริษัทแล้ว จะรีบไปไหนอ่ะ]

            โกคุเดระเม้มริมฝีปาก ตอนนี้เขาอยู่ในรถหรูคู่ใจ ส่วนสถานที่ปลายทางก็มาถึงมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดวงตาสีมรกตมองทิวทัศน์เบื้องหน้าที่คุ้นตายิ่งกว่าอะไร [สิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลกที่เป็นตึกแฝดสี่] ริมฝีปากบางยิ้มน้อยๆ [ยิ่งกว่าทัชมาฮาลหรือหอเอนปิซาเสียอีก แกรู้มั้ยว่าที่นี่แขกเต็มทุกซีซัน]

            [หา!? The Best?] เอเลนร้องเสียงหลง [แล้วพี่ไปทำอะไรที่นั่น ไหนบอกว่าหมั่นไส้เขานักไง ยังไม่ได้ต่อสัญญาหุ้นส่วนกันด้วยไม่ใช่เรอะ]

            คนโดนท้วงกะพริบตาปริบๆอยู่สักพัก จะว่าไปก็ใช่ สถานะของเขากับยามาโมโตะที่คนภายนอกรู้ก็คู่แข่ง คู่ค้าที่แตกคอกันอยู่ ขนาดตัวเขาเองก็ยังอดรู้สึกแปลกๆไม่ได้ เดือนที่แล้วที่อะไรหลายๆอย่างมันเปลี่ยนไป แต่เขาก็ไม่ได้บอกใคร คงเป็นเพราะว่าเขายังอยากรักษาความสัมพันธ์แบบเดิมให้มากที่สุด อย่างน้อยก็ช่วงนี้ล่ะนะ

            “ก็...มากินข้าว”

            [กินข้าว!?]

            “เออ กินข้าว” เขาย้ำ แล้วพึมพำไปอีกเหมือนย้ำกับตัวเอง “กินข้าวเฉยๆ ไม่มีอะไรพิเศษทั้งนั้นแหล่ะ...ความจริงก็มาปรึกษาเรื่องงานด้วย” พูดเองก็ยิ่งเม้มปากตัวเองแน่นขึ้น ส่วนเอเลนก็ครางรับอือๆออๆ เขารู้ว่าเด็กวิศวะนั่นมันยังคลางแคลงใจอยู่ แต่พอเอาเรื่องงานมาอ้างก็คงพอทำให้เอเลนปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน

            [โอเคๆ กินข้าว พักผ่อนมั่งก็ดีแล้ว ผมก็กลัวสุขภาพพี่จะแย่เหมือนกันนะ นั่งจนรากงอกติดเก้าอี้ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วนี่...แต่พี่มากินข้าวกับประธานยามาโมโตะเป็นการส่วนตัวเนี่ย แฟนเขาไม่ว่าอะไรหรือไง” ฟังไอ้รุ่นน้องตัวดีพูดแล้วเขาแทบเอาหัวโขกพวงมาลัย เอเลนก็ยังเดาไปเรื่อยๆไม่หยุดปาก [ผมจำหน้าคุณยามาโมโตะ ทาเคชิได้นะ ล่าสุดเขาออกงานไปชิงเบธิลด์กับพี่นี่ ยอมรับอ่ะขนาดผมเป็นผู้ชายยังใจสั่นเลย หล่อโคตร! รวยด้วย เก่งอีกต่างหาก ขนาดนี้คงไม่รอดหรอกมั้ง มีแฟนแล้วใช่ป่ะ แล้วพี่รู้จักแฟนเขามั้ย เป็นไง สวยเปล่า”

            โกคุเดระกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาอาจจะตีสองหน้าหรือเก็บความรู้สึกเก่งถ้าเป็นเรื่องงานนะ แต่พอเป็นเรื่องพรรค์นี้เขาก็ยังสอบตกอยู่เหมือนเดิม ทั้งๆที่ตัวเองก็น่าจะถูกเรียกว่า แฟนของหมอนั่นได้เต็มปากเต็มคำแล้วนั่นล่ะ จะให้เขาตอบยังไง ดูท่าโกหกเจ้าเอเลนไปคงไม่ใช่เรื่องฉลาดหรอก แต่ถ้าบอกความจริงหมดก็คงจะซื่อไปเหมือนกัน

            “ก็...รู้จัก” เขายอมรับ “เอ่อ...สวยไหมหรอ อาจจะไม่สวยก็ได้มั้ง แต่ก็เคยมีคนพูดอยู่นะว่าสวย” คนที่พูดนั่นก็คืออาเจ๊ของเขาเอง “อือ...แล้วก็...เป็นคนดื้อด้วย ขัดใจหมอนั่นได้ทุกอย่าง อยู่นิ่งๆไม่เป็น ไม่รู้เหมือนกันว่าทนได้ไง”

            [หรอ...] เด็กหนุ่มอีกคนพึมพำ [แต่คงเป็นเพราะคนนิสัยอย่างนั้น คุณยามาโมโตะถึงได้ชอบล่ะมั้ง ก็พี่คิดดู คนอย่างท่านประธาน The Best จะหาผู้หญิงสักคนมาเข้าใจมันก็ยากเหมือนกันนะ ใช้ชีวิตไม่ต่างจากพี่เลยไม่ใช่หรือไง ถ้าเป็นสาวน้อยบอบบาง น่ารัก น่าทะนุถนอมเขาไม่มีทางทนไหวหรอก แล้วคุณยามาโมโตะเองก็คงจะไม่ต้องการแบบนั้นมั้ง มันก็เหมือนที่คนเป็นหมอแล้วชอบคบกับหมอด้วยกันเองอ่ะพี่ เพราะความเข้าใจหลายๆอย่างมันตรงกันที่สุดไง เป็นคนคอยขัดบ้าง อยู่ข้างๆทำงานตอนดึก คอยกระตุ้น คอยให้กำลังใจ พี่อาจจะบอกว่าไม่เข้ากัน แต่ผมว่าเขาเหมาะสมกันที่สุดแล้วนะ ต้องบอกว่าสมกับเป็นคนรักของคุณยามาโมโตะเลยล่ะ]

            โกคุเดระนิ่งอึ้ง โสตประสาทดับไปชั่วขณะจนมันดังวิ้งๆ หน้าร้อนฉ่าจนเขาต้องรีบยกมือขึ้นทาบมัน ไม่สามารถพูดอะไรได้จนต้องรีบตัดบทแล้ววางสายทันที เขาได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นโครมครามดังชัดเจนในที่เงียบจนตัวเองยังนึกกลัว เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอเลนก็ดี ลอร์ดคริสโตเฟอร์ก็ดี หมอนั่นก็ดี ทำไมขยันทำเขาอยากเอาหน้าซุกฝ่ามือนัก

            ร่างโปร่งบางถือถุงพลาสติกใบโตสองสามใบลงมาจากรถ เป็นอาหารเย็นและแน่นอนว่าของโปรดยามาโมโตะทั้งนั้น โกคุเดระยิ้มอย่างอ่อนใจ ก็เพราะหมอนี่ดันชาตินิยมไม่สมกับเด็กเรียนนอก ชอบพวกเซ็ทอาหารญี่ปุ่นแล้วก็ต้องพิถีพิถันเลือกร้านระดับพรีเมี่ยม ของสดมากใส่กล่องแพ็คน้ำแข็งอย่างดี เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าแบกมาได้ยังไง

            อาจเป็นเพราะวันนี้ยามาโมโตะงานยุ่ง หมอนั่นโทรมาหาเขาตั้งแต่เที่ยงว่าจะไปรับช้าหน่อย เขาก็เลยบอกไปว่าไม่ต้องมา เดี๋ยวจะไปหาเอง แถมยังจัดการเรื่องอาหารมาดินเนอร์ที่ห้องพักของหมอนั่นเรียบร้อย

            เขาคิดอยู่ตลอดว่าช่วงนี้เป็นไปได้ก็ไม่อยากจะทำตัวว่ายากกับหมอนั่นนัก ยามาโมโตะเหนื่อยมาก เขาไม่อยากให้หมอนั่นมานั่งรอแถมยังต้องขับรถอีก ยิ่งไหล่เคล็ดง่ายเพราะโรคประจำตัวอยู่ด้วย และเขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองมีความผิดติดตัวที่ให้ตายยังไงก็บอกไม่ได้ อารมณ์เหมือนลูกกำลังทำอะไรลับหลังพ่อแม่อย่างนั้น ด้วยพฤติกรรมแบบนี้ หาอะไรทำไถ่โทษหน่อยก็คงจะดี

            โกคุเดระเดินเข้าตึก The Best ฝั่งที่เป็นโรงแรม The Best  Amari รู้สึกยังไม่ค่อยชินกับสายตาของคนที่นี่ตั้งแต่คนเปิดประตู โอเปอร์เรเตอร์แล้วก็ผู้จัดการฝ่ายต่างๆ คิดแล้วก็อดรู้สึกตงิดๆไม่ได้ เมื่อก่อนเขายังมีปัญหากับยามที่นี่ชนิดจะวางมวยกันอยู่แล้ว...ก็แน่ล่ะ เขาเป็นคู่แข่งของเจ้านายพวกนี้ ก็เลยโดนมองอย่างระแวงว่าจะมาล้วงข้อมูลลับอะไรของเครือยามาโมโตะหรือเปล่า แต่ตอนนี้มันพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่รู้เจ้าบ้านั่นยัดอะไรใส่สมองลูกน้อง เขาถึงได้ถูกมองประหนึ่งพระราชาหรือไม่ก็เทพเจ้าขนาดนี้

            “สวัสดีตอนเย็นครับท่านโกคุเดระ” ชายหนุ่มร่างสูงผมสีดำสนิททักทายเขาด้วยรอยยิ้ม โกคุเดระเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าจะได้เจอคนๆนี้ที่ชั้นล็อบบี้เลย

            “หวัดดีเฟร็ดดอริก” เขาทักกลับ ถามไปทันที “ไม่ได้อยู่กับยามาโมโตะหรอ”

            “ท่านประธานทราบว่าคุณจะมาก็เลยให้ผมมารับครับ อีกอย่างตอนนี้ท่านประธานอยู่ที่ฟิตเนสเซ็นเตอร์ หากท่านโกคุเดระต้องการพบก็เชิญได้เลยครับ ผมจะให้คนนำทางไป อีกอย่าง...” ดวงตาคู่คมสีออกครามๆเหลือบมองไปยังถุงพลาสติกในมือบางที่แขกคนสำคัญออกแรงหิ้วมันจนขึ้นข้อขาว เฟร็ดดอริกเดาได้เลยว่าถ้าเจ้านายเขามาเห็นต้องดีใจแน่ๆ แต่อีกอย่างหนึ่งเขาก็แอบเย็นสันหลังไม่ได้ถ้าปล่อยให้ประธานโกคุเดระ แอร์ไลน์ต้องเจ็บมือเพราะหิ้วของหนักเขาจะต้องโดนคาดโทษอะไรบ้าง เลขาผู้ชำนาญงานถึงขออนุญาตนำข้าวของทั้งหมดมาถือเองอย่างสุภาพ

            “ผมจะเป็นผู้จัดโต๊ะอาหารเย็นให้ทั้งสองท่านเองครับ เชิญท่านโกคุเดระตามอัธยาศัย”

            “เอ่อ...เอางั้นเหรอ” ผู้โดนบริการยังไม่คลายใจ ไม่แน่ใจว่าเขาโยนงานให้คนตรงหน้าอีกหรือเปล่า “แน่ใจนะว่านายไม่มีงาน ฉันไม่ค่อยอยากรบกวนนาย พอจะรู้ว่าหมอนั่นใช้งานนายหนักจนสมควรขึ้นโบนัสให้สิบเท่าได้อยู่แล้ว”

            “มิได้ครับท่าน” ร่างสูงรับด้วยรอยยิ้มกว้างขึ้น “เพราะที่ผมทำอยู่นี้ก็เป็นหนึ่งในงานที่ท่านยามาโมโตะได้มอบหมายให้ และมันก็จัดเป็นสิ่งที่ต้องพึงปฏิบัติเป็นอันดับแรกครับ ต่อให้ผมมีงานค้างอย่างอื่น การมารับท่านโกคุเดระย่อมสำคัญกว่า ไม่ใช่ภาระใดๆ แต่มันคือการเรียงลำดับความสำคัญที่ถูกต้อง ขอท่านโกคุเดระวางใจครับ”

            ท่านประธานร่างบางถึงกับเอนตัวไปข้างหลังนิดๆ เม้มปากจนเป็นเส้นตรง เขารู้อยู่หรอกว่าหมอนั่นมันเว่อร์ แต่ไม่คิดเลยว่าจะแบ่งความเว่อร์มาถึงลูกน้องได้ขนาดนี้ ให้ตายสิ!

            “เข้าใจล่ะๆ เดี๋ยวฉันไปหาหมอนั่นเองก็ได้...พอดีจำได้ว่าเคยไปน่ะ ไม่ต้องมีคนนำหรอก ฝากเรื่องอาหารเย็นด้วยนะเฟร็ดดอริก”

            “ครับท่าน”

            “เอ้อ! แล้วก็...ถ้าพอจะมีผลไม้วิตามินซีสูงๆติดตู้เย็นอยู่ ไม่ส้มก็บลูเบอรี่น่ะ ช่วยทำเป็นเครื่องดื่มให้หน่อย พักนี้หมอนั่นเสี่ยงทำให้โรคประจำตัวกำเริบ มันคงจะช่วยบรรเทาได้ระดับหนึ่ง ความจริงชาคาโมมายล์ก็ดีอยู่ แต่ฉันไม่ค่อยอยากให้บริโภคคาเฟอีนตอนเย็นเท่าไหร่”

            คราวนี้เฟร็ดดอริกไม่ว่าอะไรนอกจากจะมองเขาอยู่ชั่วครู่แล้วคลี่ยิ้มแสดงความยินดีที่จะรับคำสั่ง ร่างโปร่ง
บางของท่านประธานวัยสิบเก้าปีเดินทะลุจากชั้นล็อบบี้ไปอีกโซน เพราะที่นี่เป็นฝั่งโรงแรมเพราะงั้นถึงมีฟิตเนสขนาดใหญ่รวมถึงคอร์ทเทนนิส สนามไดรฟ์กอล์ฟและสระว่ายน้ำ ถ้าหากอยู่ในช่วงต้องทำงานหนักจนไม่มีเวลากลับบ้าน ยามาโมโตะจะพักอยู่ที่นี่ แค่คิดถึงห้องชุดสุดหรูชั้นบนสุดที่มองเห็นมหานครโตเกียวได้ทั้งเมืองกับสถานที่อำนวยความสะดวกขนาดนี้ มันก็คงไม่ต่างจากบ้านเจ้ายามาโมโตะสักเท่าไหร่

            พอถึงห้องฟิตเนสเขาก็ชะเง้อมองเข้าไปผ่านกระจกใสๆ คนข้างในมีประปรายจึงใช้เวลาไม่นานนักในการตามหา แต่สุดท้ายเขาก็เห็นแต่แขกแต่ตัวเจ้าของโรงแรมไม่เห็น โกคุเดระกัดปากคิดสักพักก่อนจะผลักประตูเข้าไป เหล่าเทรนเนอร์และผู้ดูแลบางคนตาเหลือกอยู่สักพักก่อนจะส่งสายตามาทักทายเขาด้วยความเคารพ ส่วนพวกรักษาหุ่นที่กำลังยกดัมเบลอยู่พากันมองจนเหลียวหลังด้วยสายตาแปลกๆ เขาก็รู้หรอกว่าตัวเองแต่งตัวไม่เหมาะกับเข้าห้องกีฬาถึงจะถอดสูทนอกออกแล้วก็เถอะ ส่วนไอ้อาการหนาวหลังปนจั๊กจี้แปลกๆนั่นเขาจะพยายามมองข้ามไปซะ

            โกคุเดระเดินทะลุมาทางด้านหลัง มันเป็นสนามฝึกยิงปืนขนาดย่อม ตรงนี้คนน้อยกว่ามาก และเท่าที่โกคุเดระสังเกตเห็น ก็มีเพียงเด็กหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มกำลังตั้งท่ายืนเล็งเป้าที่อยู่ห่างออกไปอย่างสวยงาม ในมือแกร่งจับปืนสั้น ใส่เครื่องป้องกันเสียงและแว่นตา ร่างโปร่งบางถอนหายใจเบาๆอย่างเหนื่อยหน่าย เลือกที่จะพิงตัวกับกรอบประตู ยกแขนเรียวขึ้นกอดอกไว้หลวมๆ มองเจ้าคนมาออกกำลังกายคลายเครียดด้วยกีฬาที่น่าจะทำให้เครียดกว่าเก่า

            เสียงปืนดังต่อเนื่องสองสามนัดเว้นระยะสม่ำเสมอกัน ดวงตาสีมรกตหรี่ลงเพื่อเพ่งมองผลงาน มันใกล้เคียงเป้าบริเวณศีรษะของหุ่นอยู่หรอก แต่ก็ห่างออกไปเยอะ เขาพอจะรู้ว่ายามาโมโตะฝึกยิงปืนตั้งแต่เด็ก เคยแม้กระทั่งมายืนดูใกล้ๆอย่างนี้ด้วยซ้ำ จำได้ว่าหมอนั่นแม่นกว่านี้ ว่าแล้วเขาก็ลอบสังเกตใบหน้าหล่อเหลาของคนยิง ดวงตาสีเปลือกไม้ยังคงมองตรงไปข้างหน้า ไม่มีแววหงุดหงิดที่กระสุนพลาดเป้า มีเพียงความมุ่งมั่นที่จะทำต่อไปและทำต่อไป ราวกับว่าถ้านัดนี้ไม่เข้า นัดต่อไปไม่โดน มันก็จะต้องมีสักนัดที่สำเร็จ

            นั่นแหล่ะยามาโมโตะในยามที่มีสมาธิสูงที่สุด เขาจะไม่วอกแวกหรือล้มเลิกกลางคันเด็ดขาด เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร โกคุเดระคลายอ้อมแขนลง เขาก็ไม่อยากจะเข้าไปขัดยามาโมโตะตอนกำลังจมอยู่กับตัวเองนักหรอก แต่ถ้าปล่อยไปหมอนั่นจะกินข้าวเย็นสาย อีกอย่าง ไหล่นั่นสักแต่จะระบมมากขึ้น

            เขาสาวเท้าเข้าไปยืนเยื้องข้างหลัง แต่ขนาดนี้ยามาโมโตะก็ยังไม่รู้ตัวและกำลังจะยิงนัดต่อไป ริมฝีปากบางขยับยิ้มนิดๆ สิ่งที่เขาจะทำไม่ใช่ถอดเครื่องป้องกันเสียงของหมอนั่นและเรียกเอาดื้อๆ อะไรที่ยามาโมโตะตั้งใจจะทำแล้วแต่มันยังไม่สำเร็จ เจ้าตัวย่อมไม่ต้องการจะเลิกหรอก เพราะอย่างนั้นเขาถึงต้องทำให้กระสุนเข้าเป้าสักนัดนั่นแหล่ะ

ร่างโปร่งบางเข้าใกล้อีกนิดก่อนที่จะสอดมือเข้าช่วยพยุงช่วงศอกของอีกฝ่ายแล้วจับมันเอียงซ้ายอีกเล็กน้อย ส่วนฝ่ามืออีกข้างเขาใช้ดันแผ่นหลังแข็งแรงให้ตั้งตรงขึ้นเพราะมันเอนลงมามากเกินไป ยามาโมโตะคงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่คงเป็นเพราะอาการล้ามากกว่า เด็กหนุ่มคนถือปืนไม่แม้แต่จะหันไปมองผู้ช่วยเขายังคงหรี่ตาลงมองตรงไปที่จุดเป้าหมาย ตั้งสติจากนั้นก็เหนี่ยวไก คราวนี้กระสุนพุ่งทะลุกึ่งกลาง คิดเป็นคะแนนเต็ม ยามาโมโตะเป่าลมออกจากปากดังฟู่ เขาปลดอุปกรณ์ทุกอย่างออกแล้วหันมามองคนตัวเล็กกว่า

            “ลำบากนายจนได้” เสียงทุ้มว่าด้วยรอยยิ้ม “ได้นายช่วยแล้วเข้าเป้าเป๊ะ นี่ขนาดไม่ได้เล็งเองนะ”

            “แน่อยู่แล้ว” โกคุเดระยืดอกรับ “นายก็น่าจะรู้ว่ามือขวาฉันแชมป์แม่นปืนจากสถาบันบอดีการ์ดชั้นนำนี่นา ถึงจะโดนหมอนั่นเคี่ยวเข็ญสอนตั้งนาน แต่ก็ยังทาบชั้นครูไม่ติดหรอกนะ นายก็เถอะ คิดยังไงมายืนยิงเกร็งๆตอนนี้ เดี๋ยวไหล่ก็หลุดจนได้หรอกไอ้บ้า ตาก็ปวด ต้องขมวดคิ้ว ต้องใช้สมองอีก ใช้เวลาพักได้สิ้นเปลืองชะมัด เป็นฉันฉันกระโดดลงน้ำเย็นๆสบายๆไปแล้ว”

            “อ้อ” ยามาโมโตะยิ้มกริ่ม ขยับหน้าเข้าใกล้คนพูดแจ้วๆโดยอัตโนมัติ “ที่พูดนี่อยากเห็นฉันในชุดว่ายน้ำล่ะสิท่า”

            ทันใดนั้นใบหน้าสวยที่แต่เดิมขาวซีดก็มีสีเลือดจางๆมาแต่งแต้มอย่างน่ามองสมใจคนช่างยั่ว แต่ผิดคาดที่ไม่มีคำเถียงด้วยเสียงขุ่นๆ ดวงตาสีเขียวสวยเหลือบขึ้นมองเขาแล้วหลุบลงสลับกัน พรูลมหายใจยาว แล้วสบกลับไปอย่างแน่วแน่ ถึงหน้าจะแดงมากก็ตาม

            “ถ้ามันทำให้นายรู้สึกสบายจะยอมเห็นก็ได้ ถ้านายเป็นตะคริวอยู่ในสระก็จะยอมกระโดดลงไปช่วยทั้งชุดทำงานนี่แหล่ะ ขอให้ไอ้โรคเครียดง่ายของนายได้บำบัดบ้างเถอะ”

            คิ้วเข้มของยามาโมโตะเลิกขึ้นทันทีกับคำบอกนั่น มันฟังจริงจังสมกับเป็นโกคุเดระ แถมแววตานั้นมั่นคงเป็นเชิงว่าถ้ามีเหตุการณ์อย่างนั้นก็พร้อมจะทำตามที่พูดอย่างไม่มีข้อแม้ ยามาโมโตะคลี่ยิ้มจาง เขารู้สึกว่างานที่เหนื่อยมาทั้งวันและมันกำลังถมอยู่บนบ่าทั้งสองข้างเขาได้ปลดมันออกไปจนรู้สึกเบาโหวง หัวใจที่มันมักจะเต้นเนิบนาบกลับมาหนักและผิดจังหวะ เขาอยากจะหาคำตอบว่าทำไม แต่ยิ่งพยายามถามตัวเองเท่าไหร่ คำตอบมันก็ชัดเจนเพียงหนึ่งเดียว ถึงกับต้องพึมพำในใจว่า นั่นสินะ

โกคุเดระไม่เหมือนคนรักในอุดมคติที่ตอนเย็นจะต้องเตรียมต้อนรับเขากลับบ้าน หาน้ำเย็นๆมาให้ดื่ม เข้ามาถอดเสื้อสูทออกให้พร้อมกับรอยยิ้มสวยๆกับคำถามน่ารักๆว่า เหนื่อยไหมไม่มีการปรนนิบัตินวดเฟ้นให้เขาหายเมื่อย อ้อมกอดที่อบอุ่นหรือการจูบที่แสนหวาน ไม่มีเลย...

            แค่ฝ่ามือที่วางอยู่บนบ่าอย่างนุ่มนวลเขาก็ผ่อนคลาย มีเพียงคำแนะนำ คำชี้แนะ กับคำมั่นสัญญาว่าจะเคารพทุกอย่างที่เขาทำและตัดสินใจและจะอยู่ข้างๆคอยสนับสนุนทันทีที่เขายื่นมือขอความช่วยเหลือ จะเฝ้ามองตลอดเวลาไม่ให้เขาต้องเผชิญกับอันตรายเพียงคนเดียวเด็ดขาด เพียงแค่นั้นยามาโมโตะก็ต้องโละทิ้งคำจัดกัดความของคนรักในอุดมคติไปอย่างไม่มีข้อแม้ ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพียงแค่นี้ ขอแค่เท่านี้ ขอแค่เป็นโกคุเดระ


            ที่ตรงนี้คือที่พักพิงที่ดีที่สุดของเขาแล้ว...


            คิดแล้วมือเรียวแข็งแรงก็รั้งท้ายทอยเข้าใกล้ เคลื่อนริมฝีปากอุ่นๆประทับลงกับหน้าผากเนียนแล้วค่อยๆกดลงไปด้วยน้ำหนักเท่าเดิม ค้างไว้เนิ่นนานอย่างทุกครั้งที่เขาทำ ความจริงใจของเขาต้องการทำให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ ให้มันสมกับที่เขารู้สึก แต่ถ้าต้องแลกมาด้วยอาการตัวสั่นเล็กๆกับการทำให้โกคุเดระต้องเสียศูนย์ เขาก็เลือกที่จะไม่ทำมันก็ได้

            “ขอบคุณ” เสียงทุ้มกระซิบ ย้ำไปให้ตราตรึง “ขอบคุณมาก...”

            “ว้าว! ถ้ารู้ว่ามาช่วยนายเล็งปืนแล้วจะได้ฟังคำหายากขนาดนี้ ฉันมาทุกวันแน่ๆ” คนตัวเล็กหัวเราะหึๆ ดันตัวเขาออกเล็กน้อย นิ้วเรียวเกาข้างแก้มที่อุ่นระอุ สูดลมหายใจแล้วสบดวงตาคู่คมนั้นไปอีกครั้ง น้ำเสียงน่าฟังของนักธุรกิจที่เจรจาต่อรองกับใครมานัดต่อนัดตอนนี้ฟังนุ่มนวลทว่าน่าเชื่อถือกว่าคราวไหน

            “ยามาโมโตะ ฟังฉัน...นายไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างให้สำเร็จเดี๋ยวนี้ ถึงเวลามันจะเร่งรัดแค่ไหนแต่นายยังจำเป็นต้องถอยบ้างหรือถามหาผู้ช่วยบ้าง อย่างตอนนี้นายจำเป็นต้องทานอาหารเย็น เร็ว! เดี๋ยวซาชิมิไม่สดแล้วนายจะมาโทษฉันไม่ได้นะ”

            ท่านประธานแห่ง The Best ถูกอีกฝ่ายดึงมือให้เดินตามเป็นเด็กๆ แถมยังพูดไปตลอดทาง เขายืนอยู่ข้างๆอาจจะไม่เห็นสีหน้าของโกคุเดระได้ทั้งหมด แต่ก็พอจะเดาออกว่ามันน่าจะมีความสุขและผ่อนคลายดังเช่นน้ำเสียง

            “ให้ตายสิ นายไม่รู้หรอกว่าฉันต้องรอทางร้านเตรียมนานแค่ไหน สั่งกำชับโน่นนั่นนี่เพื่อรักษารสชาติให้เหมือนทานที่ร้านเป๊ะๆ เฟร็ดดอริกของนายน่าจะรู้อยู่แล้วล่ะ แต่ก็น้า ยามาโมโตะ ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะนายรู้ไหม”

            “หืม เพราะฉัน?

            “ก็ใช่น่ะสิ” โกคุเดระหันมาย่นคิ้วใส่ “ดูแต่ละมื้อที่นายเลี้ยงฉัน! รวมๆกันเกือบราคาเท่าเครื่องสำอางอาเจ๊ได้มั้ง ตอนนี้ถึงคราวฉันเลี้ยงนายบ้างจะให้น้อยหน้าได้ไง เตรียมยากแค่ไหน รอนานแค่ไหนก็ต้องสรรหามาให้นายจนได้แหล่ะน่า มื้อนี้ห้ามเหลือ ถ้าเหลือฉันฆ่านายแน่!

            “แล้วนายรู้ไหมว่าทำไมฉันต้องบังคับให้นายกินเยอะขนาดนั้น” กลับกลายเป็นคนคาดโทษที่ถามกลับ ยามาโมโตะบีบมือบางนั้นแน่นขึ้น กล่าวเรียบเรื่อย “ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากให้นายแข็งแรงกับป้องกันโรคกระเพาะ แต่สาเหตุที่สองที่ฉันไม่เคยบอกเลยก็คือ ฉันกลัว...กลัวว่าวันหนึ่งจะไม่สามารถนั่งกินข้าวกับนายได้อีก กลัวว่าสักวันจะไม่ได้อยู่ข้างๆนาย เพราะงั้นขอแค่ช่วงเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก็ได้ ขอให้ฉันได้ใช้เวลากับนาย นั่งอยู่ตำแหน่งที่มองหน้านายได้ชัดๆ ฉันอยากจะทำมันให้มีค่าที่สุด ใครจะไปรู้...ว่ามื้อเย็นมื้อนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของเราสองคนก็ได้”

            โกคุเดระฟังแล้วเงียบไปแต่เขาไม่รู้สึกใจหายหรือเศร้าอะไรทั้งนั้น ยามาโมโตะก็ไม่ได้พูดเพื่อให้เขาสะเทือนอารมณ์ด้วย ระหว่างเราสองคนมันไม่เคยมีช่วงเวลาให้ซึ้ง...นี่คือความจริง...ความจริงที่มันพร้อมจะเกิดได้ทุกวินาที เพราะอย่างนั้นตอนที่มันยังไม่เกิดเขาก็เลยต้องใช้มันให้คุ้มค่าตามที่อีกฝ่ายบอก ทำทุกอย่างเพื่อป้องกันสถานการณ์อย่างนั้น แต่ถ้าหากถ้ามันเกิดขึ้นแล้วเขาก็ไม่มีทางแก้ไขได้ ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับมัน...

            “นั่นสินะ...” ร่างโปร่งบางยิ้มจางๆ แต่น้ำเสียงของเขากลับซื่อตรงชัดเจน แล้วฟังไร้กังวลใดๆเมื่อพูดประโยคต่อไป “แต่นายวางใจได้ เห็นอย่างนี้แต่ฉันก็ปุถุชนคนธรรมดาที่ชอบของฟรีมากกว่าเสียตังค์อยู่แล้ว เพราะงั้นฉันจะพยายามทุกวิถีทางเกาะปอกลอกนายไม่ปล่อย จะไม่ปล่อยไปตลอดชีวิตเลย!

            ฉันสัญญา...


            .


            .


            .


            .


            .

            TBC...

มิยะขอเม้าท์

สวัสดีค่า ขออภัยที่หายไปนาน มิยะไปเข้าค่ายที่ไม่อาจใช้โทรศัพท์กับอินเทอร์เน็ตได้ แต่นี่อุตส่าห์แอบเอากระดาษไปเขียนๆกลับมาพิมพ์ก็ยังช้าเลย ฮ่ะๆ อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้เป็นตอนที่ยากพอสมควรสำหรับผู้เขียน มันเหมือนความรู้สึกตอนเขียนภาคแรกกลับมา มิยะจะบอกว่ามันยากมากตอนเขียนฉากนั่งคุย ยิ่งเป็นระหว่างตัวละครหลักด้วย ซึ่งตอนนี้เป็นการปูคาร์แร็กเตอร์คุณรีไวครั้งแรกและค่อนข้างละเอียดพอสมควร มิยะเครียดกับนิสัยคุณรีไวอยู่มากเหมือนกันค่ะ ต้องคิดและปรับเปลี่ยนอยู่นาน ซึ่งมิยะไม่อยากให้คุณรีไวน่ากลัวจนเกินไป เพราะคุณรีไวไม่ใช่เจ้าพ่อมาเฟียที่น่าเกรงขามเพราะอำนาจเท่านั้น แต่ต้องด้วยความสามารถและนิสัยของผู้นำบนโลกสว่างด้วย ซึ่งนี่ล่ะค่ะที่ยาก มันออกจะขัดกันอยู่พอสมควร ซึ่งมันท้าทายสำหรับมิยะที่จะวางบทให้คุณรีไวในอนาคตนี้ จะพยายามเขียนให้ตัวละครตัวนี้มีมิติมากที่สุดค่ะ ส่วนตัวหนูเลนเองก็จะให้นักอ่านช่วยติดตามน้องต่อไปเรื่อยๆ ฮ่าๆๆๆ ว่าจะต่อกรกับคนใหญ่คนโตไปอีกสักกี่น้ำ ถ้าพูดถึงตัวพระนายสี่ตัว หนูเลนถือว่าเล็กสุด และแตกต่างจากอีกสามคนที่สุดทั้งประสบการณ์และหน้าที่การงาน แต่การเขียนเอเลนเป็นอะไรที่มิยะชอบมาก เหมือนเราได้ปล่อยวางนิดๆเวลาเขียนตัวละครตัวนี้ เขาเป็นคนที่จริงจัง แต่ก็คิดอะไรง่ายๆสบายๆ บางทีอาจจะมองว่าดันทุรังบ้าง ซึ่งเป็นนิสัยที่เอเลนจะใช้เอาตัวรอดในโลกธุรกิจนี้ค่ะ 

ตอนนี้มีฉากหวานด้วย มิยะรู้สึกว่าคู่รีเอกับ 8059 นี้มันแตกต่างกันอยู่ ทั้งนี้แต่ละคู่จะไปได้ถึงแค่ไหนนั้น ต้องขอให้ทุกท่านช่วยติดตามกันต่อไปค่ะ เหะ เหะ

วันนี้ขออนุญาตจบการเม้าท์เพียงเท่านี้ ขอขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียน

Miya



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น