หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Au.Fic KHR 8059 [Yamamoto X Gokudera] Ft. Levi X Eren SKYFALL -BlackBird- : 16



Project : Happy birthday Gokudera Hayato
Au.Fic KHR 8059 [Yamamoto X Gokudera] Ft. Levi X Eren
Drama Action
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ฟิคเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือหน่วยงานใดๆที่อ้างถึง



SKYFALL : 16




          Prato, Italy

          จอร์จิโอ กรุ๊ป

            เด็กหนุ่มร่างโปร่งส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรก้าวเท้าเดินเตาะแตะในเขตบริษัท อ้าปากหาวหวอด นิ้วชี้กับนิ้วโป้งคลึงหัวตาไปด้วยอย่างไม่เกรงใจสายตาใคร ความจริงก็ไม่เห็นมีใครต้องเกรงใจเท่าไหร่เพราะตอนนี้เป็นเวลาหกโมงครึ่ง เช้าตรู่เกินกว่าจะมาทำงานแถมยังชวนให้ขดตัวนอนอยู่ในผ้านวมแต่เขาก็ทำไม่ได้ สาเหตุก็คือเมื่อวานนี้มีใครมอบหมายภารกิจสุดตื่นเต้นให้เขา กว่าจะคุยกันจบเวลาที่อิตาลีก็ล่วงไปถึงทุ่มแล้ว มันก็อาจจะพอดีให้เขาอาบน้ำอาบท่า กินข้าวเย็นแล้วเข้านอนได้อย่างปกติ ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่หัวสมองเขาสิมันไม่ยอมพักผ่อน คล้ายๆกับเครื่องจักรที่ปิดสวิซต์ไม่ลงเพราะโดนกระตุ้นอย่างหนัก เพราะงั้นก็เลยคิดอะไรไปเรื่อยจนถึงตีสอง อย่างน้อยๆก็ทำการบ้านที่รุ่นพี่ทิ้งให้เขาไว้

            ช่วยสืบทีว่าเจ้านายรักสันโดษของแกจริงๆแล้วมีนิสัยส่วนตัวเป็นยังไง เอาให้ลึกที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ รวมถึงประวัติคร่าวๆ เขามีครอบครัวไหม เพื่อนสนิท ลูกค้าประจำ ทัศนคติของลูกน้องที่มีต่อเขา ได้ยิ่งเร็วยิ่งดี ไม่เกินสามวัน
     
       ต้องยอมรับเลยว่าตอนแรกเขาอึ้งนิดหน่อยกับงานที่ได้รับ เขาคิดว่าพี่ฮายาโตะจะให้เขาสืบเรื่องที่เกี่ยวกับธุรกิจมากกว่านี้ซะอีก แต่ก็ต้องเก็บข้อทักท้วงไปอย่างไม่มีข้อแม้ เพราะเข้าใจโดยอัตโนมัติว่าส่วนนั้นพี่เขาจะจัดการเอง ถึงตรงนี้เอเลนก็หวนคิดว่าแท้จริงแล้วรุ่นพี่เขาเป็นตัวอะไรกันแน่ มนุษย์หรือเปล่า ที่อิตาลีเพิ่งทุ่มกว่า แต่ญี่ปุ่นปาเข้าไปตีสามแล้ว อีกอย่างไอ้เวลาสามวันนั่นมันก็คงจะน้อยไปสำหรับการเรียนรู้นิสัยใคร แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบไว้เหมือนกันเพราะที่โดนกำหนดเด๊ดไลน์มาตายตัวขนาดนี้เพราะเรื่องมันคงจะเร่งด่วน โปรเจคนี้มีเวลาทำไม่มากนัก

            ส่วนสาเหตุหลักก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้...

            เครือธุรกิจThe Bestของยามาโมโตะที่ทำให้พี่เขาปล่อยวางไม่ค่อยจะเป็น แต่จะว่ามันเป็นผลเสียก็คงไม่ถูกนัก เพราะเขายังคงจำได้ สีหน้าของรุ่นพี่ที่ชื่นชมธุรกิจนั้นแค่ไหนตอนพูดถึง โกคุเดระเติบโตได้เพราะยามาโมโตะ เป็นทั้งคู่แข่งและพันธมิตร ว่าอย่างนี้ก็คงไม่ผิด แต่ไหงอยู่ดีๆไฟสงครามของสองผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งเอเชียลามมาถึงนักศึกษาตัวเล็กๆอย่างเขาด้วยก็ไม่รู้

            แต่พอคิดแล้วก็มีแต่ต้องปลงอนิจจัง เพราะเขาเองต่างหากที่กระโดดลงเรือสำราญลำใหญ่ที่ชื่อว่าโกคุเดระ แอร์ไลน์ไปเรียบร้อย และไม่คิดจะถอนตัวออกมาแน่ๆ ก็เพราะเจ้าพี่ชายตัวดีดันทุ่มกับเขาซะหมดหน้าตักขนาดนี้ แถมฟังข้อเสนอเมื่อคืนนั่นสิ มันทำให้ปฏิเสธลงซะที่ไหน

            เอเลนหยุดความคิดตัวเองชั่วครู่เมื่อประตูร้านกาแฟของบริษัทอยู่ข้างหน้า เขาต้องการให้มันเป็นแหล่งพลังงานสำคัญที่จะผ่านวันนี้ไปได้ อย่างน้อยก็ครึ่งเช้า แต่ไม่ทันที่จะเดินต่อคนที่เพิ่งเดินออกมาพร้อมๆกับที่พนักงานร้านผลักประตูออกให้ก็ตรึงสายตาของเขาได้ชะงัก เท้าที่สาวมาตลอดทางหยุดลงอย่างไม่มีเหตุผล

            เป็นผู้ชายร่างเล็กในเสื้อโค้ตตัวยาวสีเทาหม่น ข้างในเป็นกั๊กสีดำสนิทคลุมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวอีกที เส้นผมของเขาเป็นสีดำอย่างที่เห็นไม่ค่อยง่ายนักในประเทศแถบตะวันตก ดวงตาคู่คมที่เหมือนจะหรี่อยู่นิดๆแม้จากระยะไกลเอเลนก็รู้ว่าเขาถูกจ้อง มันเยือกเย็น เฉยชา ทว่าความเหี้ยมเกรียมที่ฉาบอยู่นั้นก็ทำให้ตัวสั่นเอาได้ง่ายๆ ผู้ชายคนนั้นเดินอย่างช้าๆมาทางเขาพร้อมกับผู้ชายในชุดสูทสีดำอีกสองคนที่ประกบจากทางด้านหลัง นิ้วเรียวแข็งแรงทั้งห้าจับอยู่รอบแก้วกาแฟแบบร้อนพร้อมฝาปิดเรียบร้อย เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดยังคงยืนนิ่ง ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรหรือแสดงท่าทีแบบไหน จนกระทั่งชั่ววินาทีที่ถูกเดินผ่านไป ดวงตาสีขี้เถ้านั้นปรายมองมาทางเขาเพียงเล็กน้อย ร่างกายทางซีกซ้ายของเขาก็ตอบสนองแล้วส่งไปทั่วทันที มันน่าขนลุก สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนอย่างบ้าคลั่งว่าเขาเจอคนที่ไม่สมควรเจอเข้าให้แล้ว

            ทั้งๆที่ตัวเล็กกว่า ทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไร แต่เอเลนรู้สึกว่าตัวเองถูกคุกคามด้วยบรรยากาศที่หนักอึ้ง ตัวตนของคนๆนั้นแท้จริงแล้วยิ่งใหญ่จนไม่อาจคาดเดา

            โดยที่เด็กฝึกงานจากมหาลัยดังไม่เห็น บุรุษผู้เดินผ่านมาแล้วปรายตามองเขาอยู่สักพักแม้เท้าจะไม่หยุดเดิน จนกระทั่งเด็กหนุ่มทำท่าทางเหมือนตั้งสติได้แล้วเข้าร้านกาแฟไปเขาจึงได้กลอกตามามองทางเบื้องหน้าตามเดิมเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เสียงทุ้มต่ำฟังทรงอำนาจก็เอ่ยขึ้น

            “เด็กนั่น...”

            ลูกน้องที่เดินตามมาถึงกับมองเจ้านายตนเล็กน้อยด้วยความแปลกใจโดยที่คาดไม่ถึงว่าคนๆนี้จะเอ่ยถาม ถึงแม้ว่าบุคคลที่สามที่ถูกอ้างนั้นจะเป็นเด็กและดูไม่เหมาะกับบริษัทใหญ่ขนาดนี้ก็ตาม ชายชุดดำนึกเพียงเล็กน้อยก่อนจะตอบชัดเจน

            “เอเลน เยเกอร์ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียที่ถูกส่งมาฝึกงานครับ ตอนนี้ก็ได้อยู่ประจำแผนกเทคโนโลยีไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ประมาณสองอาทิตย์แล้วครับท่าน” คนฟังรายงานไม่ตอบรับอะไรจนลูกน้องตีความหมายความนิ่งจนเรียกว่าเย็นชานั่นเป็นความไม่สบอารมณ์ ก็เพราะเจ้าเด็กนั่นดันยืนทื่อๆรอให้เจ้านายเขาเดินผ่านโดยไม่โค้งศีรษะแสดงความเคารพหรือทักทายแม้แต่คำเดียว

            “เอ่อ...ถ้าหากท่านไม่พึงพอใจในมารยาท ผมจะบอกให้..”

            “ไม่ต้อง” เสียงเย็นชาตัดบทอย่างดุดัน สำทับลงไปอีก “ฉันไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยไร้สาระพรรค์นั้น”

            ลูกน้องทั้งหมดพากันเงียบในบัดดลแม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ของนายตนเป็นส่วนมาก แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามคงไม่มีใครกล้าเปิดปากถามหรือท้วงอะไรได้อีกแล้ว ในบริษัทนี้ ไม่สิ ในโลกนี้คงมีแต่คนโง่กับคนบ้าไม่กลัวตายเท่านั้นที่กล้าทำให้เจ้านายของเขาหงุดหงิดตั้งแต่เช้าเริ่มงาน แล้วที่ผ่านมามันก็ยังไม่เคยมีคนบ้าหรือคนโง่ที่ว่าแม้แต่คนเดียว







            เอเลนต้องรวบรวมสติของตัวเองผลักประตูร้านเข้ามา เสียงเครื่องบดกับกลิ่นกาแฟช่วยดึงตัวตนของเขาให้กลับมาผ่อนคลายได้บ้างหลังจากที่เมื่อกี้นี้เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าตนเองเจอใคร แล้วแสดงท่าทีอะไรลงไปบ้างเพราะเท่าที่สมองมันยังจดจำ มันจำแค่ว่าเขายืนนิ่งอย่างกับรูปปั้น แต่จะให้ขยับยังไงไหว ก็ไอ้บรรยากาศทะมึนที่เขาเล่าให้รุ่นพี่ฟังไปเมื่อคืน เขารับมันอย่างจังเลยเมื่อกี้

            ถึงจะไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยเห็นรูปแต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าเมื่อกี้นี้...ประธานสูงสุดแห่งจอร์จิโอ กรุ๊ปแน่ๆ

            “คาราเมล มัคคิเอโต ไอซ์เบลนด์ เทคโฮมครับ” เขาเอ่ยเมนูประจำกับพนักงานสาวที่เคาท์เตอร์แล้วเลือกที่จะยืนอยู่ตรงนั้นไม่นั่งรอ ใบหน้าของเด็กหนุ่มปรากฏรอยลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจถามออกไป “เอ่อ...คือ ผู้ชายคนเมื่อกี้ ที่ใส่โค้ตแพงๆแล้วมีบอดีการ์ดตามประกบน่ะฮะ..”

            เขาเว้นไว้แค่นั้นเหมือนต้องการให้บาริสตาเติมคำในช่องว่าง พี่สาวพนักงานเงยหน้าจากงานเช็ดแก้วเล็กน้อยสีหน้าเธอออกจากอึ้งๆแล้วยิ้มขำ

            “ท่านประธานน่ะจ้ะ” พอฟังคำตอบแล้วเอเลนก็ร้องบิงโกในใจทันที ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจที่อยู่ดีๆคนเห็นตัวยาก บทจะเจอก็เจอเอาซะง่ายๆ แล้วไม่ต้องถามต่อว่าหมอนั่นสูงสุดไหม มีคนใหญ่กว่าหรือเปล่า แค่ฟังจากเสียงคนตอบที่ดูจะเกรงใจอย่างถึงที่สุด กับประสบการณ์มีตแอนด์กรีตตัวต่อตัวเมื่อกี้เขาก็สรุปได้ว่าหมอนั่นอยู่บนยอดแผนผังผู้บริหารแน่ๆ

            คิดแล้วก็อยากลาออกจากเรือพี่ฮายาโตะกะทันหัน แค่เจอหน้าไม่กี่วิก็โดนมองเขม็งจนตัวเขาเหลือสองนิ้ว นี่ไปนั่งจ้องหน้าเจรจาตกลงกัน ตัวเขาจะเหลือเท่าไหร่ ขี้ผงอาจจะใหญ่ไปก็ได้

            “ท่านมาเช้าขนาดนี้ทุกวันเลยเหรอฮะ” เขาถามต่อ

            “เป็นส่วนใหญ่นะ เพราะห้องพักส่วนตัวของท่านก็อยู่ตึกนี้นี่แหล่ะ ไม่เกินเจ็ดโมงครึ่งท่านจะโทรลงมาแล้วให้นำกาแฟไปส่ง เป็นอย่างนี้ทุกวันจ้ะ” เธอว่าด้วยรอยยิ้ม เงียบเหมือนนึกอะไรบางอย่างแล้วพูดต่อ “แต่พักนี้ดูเหมือนว่าท่านจะถึงห้องทำงานเร็วกว่าปกติหน่อย แล้วยังลงมารับกาแฟด้วยตัวเองด้วย ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยจ้ะ ท่านไม่ค่อยจะชอบออกจากห้องทำงานเท่าไหร่ เพราะอย่างนี้ล่ะมั้งพนักงานใหม่หลายๆคนก็เลยยังไม่เคยเห็นท่าน ดูท่าเธอก็ด้วยใช่ไหมล่ะ”

            เขายิ้มแห้ง พยักหน้าให้ก่อนจะรับกาแฟปั่นมาไว้ในมือ จ่ายเงินแล้วเดินออกไปพลางคิดไปด้วย ในตอนแรกเขาก็คิดอยู่ว่าคนนั้นน่าจะเป็นคนเก็บตัว ปิดกั้น เข้าถึงตัวยาก มีพร้อมทั้งอำนาจ น่าเกรงขาม น่าเชื่อถือ เป็นที่เคารพสุดๆตามแบบประธานบริษัทชั้นนำ จอร์จิโอแข็งแกร่งได้แค่ไหน เขาผู้ที่ครอบครองมันอยู่ก็คงจะต้องมั่นคงได้ขนาดนั้น แต่ไอ้มาทำงานเช้าสุดๆประหนึ่งพนักงานโอทีนี่ มันเหนือความคาดหมายของเขาไปเลย แต่ก็พอจะเดานิสัยส่วนตัวหมอนั่นได้อีกสองสามข้อล่ะนะ

            คนๆนั้นไม่ใช่แค่อาศัยบารมีของจอร์จิโอที่สั่งสมมานานแล้วนั่งเปล่าๆกินบุญเก่า แต่ยังทำงานหนักสมตำแหน่ง ตรงต่อเวลา ดีไม่ดีระเบียบจัด ทุกอย่างรอบตัวต้องเพอร์เฟค ห้ามผิดพลาด หรือพลาดได้น้อยมากๆ พอเอาไปรวมกับสี่ห้าอย่างข้างบน ผู้ชายที่เป็นเจ้านายเขาก็นับได้ว่าเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง ยิ่งรูปลักษณ์ของเขา คนหนุ่มน่าจะไม่เกินสามสิบห้า หน้าคมเย็นชาอยู่เป็นนิตย์ ยิ่งทำให้หมอนั่นอย่างกับเจ้าชายน้ำแข็ง หรือไม่ก็มาเฟียผู้น่าหลงใหลตามฉบับนิยายเป๊ะๆ

            “เอเลน!” เสียงเรียกเข้ามาดึงเขาออกจากความคิดตัวเอง เอเลนหันไปมองพบเด็กหนุ่มผมผิวขาวผมสีทองสว่าง อยู่ในเสื้อช็อปสีเข้มและหมวกสีเหลืองแบบพิเศษพร้อมทำงาน คนๆนี้เพื่อนร่วมแผนกที่สนิทกับเขาที่สุดตลอดที่ฝึกงานมาสองสัปดาห์ เป็นนักศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้าของลา ซาเปียนซา มหาวิทยาลัยดังติดอันดับของโรม อายุมากกว่าเขานิดหน่อย อยู่ที่นี่ก่อนเขาหนึ่งปี ใกล้จบแล้ว ด้วยเป็นนิสิตลุ้นเกียรตินิยมจึงถูกส่งมาฝึกคุมระบบไฟฟ้าของจอร์จิโอ และดูท่าว่าจะโดนดึงตัวไว้ทำงานที่นี่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

            “หวัดดี อาร์มิน” เขาทักกลับด้วยรอยยิ้มพลางวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะในห้องพัก จากนั้นก็เอาช็อปมาสวมบ้าง เดินเข้าหาเพื่อนซี้เพียงคนเดียว ก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้นเพราะบริษัทนี้ไม่รับนักศึกษาสุ่มสี่สุ่มห้า ส่งมาปีละคนสองคน แล้วก็ต้องเป็นหัวกะทิชนิดคัดกันหลายต่อหลายรอบ เพราะฉะนั้นคนที่อายุน้อยกว่ายี่สิบห้าในที่นี้คงจะมีแค่เขากับอาร์มินเท่านั้น แค่วินาทีแรกที่เขาเข้ามาแนะนำตัวกับแผนก สบตาสีฟ้ากระจ่างแล้วเอเลนก็รู้ทันทีว่าเขาสองคนคงได้เป็นเพื่อนสนิทกันทันทีแน่ๆ อย่างน้อยก็คงจะคุยกันรู้เรื่องมากที่สุด อีกอย่างก็ไม่อยากสู้สายตากระหายเลือดจากพวกคนแก่หวงตำแหน่งในบริษัทเพียงตัวคนเดียวด้วย

            “เอเลนหน้าซีดนะ ตาคล้ำด้วย” อาร์มินตั้งข้อสังเกตอย่างกังวล “จริงๆแล้วเอเลนมาบริษัทเช้าไป น่าจะพักผ่อนอีกหน่อย ต้องเขียนรีพอร์ตส่งมหาลัยทุกวันด้วยไม่ใช่หรือไง”

            เด็กหนุ่มยิ้มขอบคุณกับความห่วงใย แต่เขานอนน้อยเป็นนิสัยซะแล้ว เดินเข้าที่ทำงานไม่เกินเจ็ดโมงจนยามจำได้ ยิ่งร้านกาแฟนี่แทบจะได้บัตรวีไอพีแล้วด้วยซ้ำ พองานเข้าเขาถึงได้นอนไม่หลับกว่าเก่า  ความดันคงจะต่ำจริงๆ แต่ไอ้เรื่องหน้าซีดนี่คงไม่ใช่เพราะพักผ่อนไม่เพียงพออย่างเดียว แต่เขาเพิ่งไปเจอเรื่องน่ากลัวมา

            “แล้วทำไมวันนี้นายมาเช้าจังอ่ะ”

            “มาดูระบบไฟของชั้นผู้บริหาร” อาร์มินตอบเขาในขณะยังง่วนอยู่กับตู้จ่ายข้างหน้าที่มีสายไฟโยงเรียงกันเป็นตับ มีแผงสวิตซ์อะไรต่างๆมากมาย นิ้วขาวๆหมุนปุ่มนู้นปุ่มนี้อย่างคล่องแคล่ว “วันนี้มีประชุมใหญ่ของเบื้องบนน่ะ ถึงขนาดเชิญท่านประธานนั่งหัวโต๊ะเลยด้วย ก็ต้องรอบคอบหน่อยล่ะนะ บอสเล่าว่าคราวก่อนหัวหน้าการตลาดพรีเซนท์งานอยู่ดีๆ โปรเจ็คเตอร์ดับฟึ่บ ท่านประธานสั่งแจกซองขาวแผนกเรายกชุด”

            “ขนาดนั้นเลยเหรอ!” เอเลนอุทาน แค่ฟังก็ขนลุกซู่ “ไล่ออก...มันไม่เกินไปหรือไง”

            “ก็คงจะเกินไปถ้าที่นี่ไม่ใช่จอร์จิโอ แล้วไม่ใช่ท่านประธานน่ะนะ” เด็กหนุ่มผมทองหัวเราะแหะๆแล้วไหว ไหล่น้อยๆเหมือนมันเป็นเรื่องปกติที่ควรจะชินชา “เขาค่อนข้างจะรักความสมบูรณ์แบบ ยิ่งสิ่งไหนสำคัญเขาจะยิ่งเข้มงวด ถ้าตึกจอร์จิโอนี่เหมือนร่างกายมนุษย์ แผนกเราก็คล้ายกับหัวใจที่ปั๊มเลือดไปเลี้ยง ไฟฟ้าน่ะสำคัญกับบริษัทนี้มาก...เพราะการผลิต การประกอบ แทบทุกขั้นทุกตอนของสินค้าบริษัทเราต้องใช้ไฟฟ้า ถ้ามันหยุดจ่ายโดยไม่ตั้งใจไปแม้สักสามหรือห้านาทีอาจตามมาด้วยความเสียหายมากมาย เวลาของนักธุรกิจหนึ่งวินาทีฉันก็จินตนาการไม่ค่อยออกหรอกว่าแลกเป็นเงินเป็นทองได้เท่าไหร่ แต่คงคุ้มค่าพอที่จะเอาพนักงานที่เลินเล่อออกสักหกเจ็ดคน”

            เอเลนเลือกที่จะจบบทสนทนาเรื่องนี้โดยอัตโนมัติเหมือนมันเป็นเรื่องน่ากลัวเกินกว่าจะฟัง ผนวกกับข้อสันนิษฐานของตัวเองว่าบริษัทนี้มีชื่อเสียงในโลกมืด เขายิ่งรู้ว่ามันเป็นไปได้ง่ายๆที่จะเอาใครเข้าใครออกโดยไม่สนหลักมนุษยธรรม

            “แล้วไอ้การประชุมนี่...มันใช้เวลานานหรือเปล่า”

            “นานมากนะ” อาร์มินตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด เพราะนับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญที่พนักงานจอร์จิโอทุกคนทราบดี “จะเริ่มตั้งแต่เช้า กว่าจะจบก็ค่ำๆ ถ้ายืดเยื้อก็ปาเข้าไปถึงดึกเลยก็มี จะมีการพักเป็นระยะและเป็นเวลาอย่างเคร่งครัด ระหว่างนั้นผู้ไม่เกี่ยวข้องกับการประชุมห้ามขึ้นไปที่ชั้นบริหารโดยเด็ดขาด ในขณะเดียวกันผู้เข้าประชุมก็ห้ามลงมาข้างล่าง แม้แต่ขอออกจากห้องประชุมยังเป็นเรื่องยากเลย”

            เอเลนแทบล้มทั้งยืนกับคำบอกเล่า การประชุมบ้าอะไร แถวบ้านเขาเรียกกักบริเวณชัดๆ นั่นมันหมายความว่าต้องนั่งบนเก้าอี้เกร็งๆ พูดภาษานั่งธุรกิจ ฟังสำเนียงนักธุรกิจ ถกประเด็นอย่างนักธุรกิจ ทำกันไปได้ยังไงตั้งสิบๆชั่วโมง พี่ฮายาโตะอาจจะทนไหว แต่เขาน่ะไม่ไหวแน่ แล้วอีกเรื่องที่ไม่ไหวก็คือเรื่องที่ได้รับมอบหมายมา...

            เขาจำเป็นต้องเจาะเรื่องราวส่วนตัวของท่านชายเย็นชานั่นแบบละเอียดภายในเวลาสามวัน หมายถึงวันนี้ พรุ่งนี้ และมะรืนแค่นั้น บอกเลยว่าวันนี้เทพีแห่งโชคอยู่ข้างเขา พิสูจน์ได้จากเมื่อเช้าก็ได้ เขาพบเป้าหมายแล้ว แล้วไอ้วิธีจัดการเขาก็มีในหัวแล้วด้วย แถมเป็นไปได้เขาไม่อยากจะใช้วิธีนี้สักนิดถึงได้ขบคิดมันค่อนคืน แต่หัวสมองน้อยๆมันก็ย้ำกับเขาว่า วิธีนี้แหล่ะ มีวิธีนี้เท่านั้น

            การจะทำความรู้จักคนแบบเบื้องลึก ต้องพูดคุย คุยต่อหน้า ตัวต่อตัว จับทั้งสีหน้าแววตาแล้วจะรู้ถึงจิตวิญญาณ...

            มันไม่โอเค! เขาเป็นคนคิดเขายังอดตำหนิตัวเองไม่ได้ ยากสุดๆ โอกาสสำเร็จใกล้ติดศูนย์ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะโดนหมอนั่นฆ่าเอาทางสายตา หรือถูกไล่ตะเพิดออกจากห้องตั้งแต่ทักทายกันได้ห้าวิ แค่วิธีขึ้นไปเจอเขายังคิดไม่ออก แถมวันนี้ยังมีการประชุมใหญ่ของเบื้องบนอะไรนั่น ประธานบริษัทของเขาไม่มีทางเดินลงมาให้เห็นง่ายๆเหมือนเมื่อเช้าอีกแน่

            “จะไม่ลงมาเลย...หรือไม่เรียกใครขึ้นพบเลยเหรอ...” เด็กหนุ่มพึมพำออกมาเบาๆเป็นนิสัยเวลาที่จมอยู่ในห้วงคิด แต่ก็คงจะดังพอให้อาร์มินได้ยิน อีกฝ่ายจึงย้ำกลับมา

            “อื้อ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ก็คงจะเป็นอย่างนั้นนั่นแหล่ะ”

            ปัญหา?

เอเลนทวนคำนั้นในใจ นิ่งเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ตู้จ่ายไฟที่อยู่ถัดจากอาร์มิน เปิดมันออกแล้วจัดการเช็คระบบไฟเหมือนที่คนข้างๆทำทุกประการ ทำให้เพื่อนผมทองมองสิ่งที่เขาทำอย่างงงๆ

            “เอเลน ตู้นั้นเป็นของชั้นยี่สิบสอง วันนี้ไม่มีตารางใช้ห้อง ไม่ต้องเช็คก็ได้”

            คนโดนท้วงยิ้มกว้างรับ แต่ยังไม่ยอมหยุดมือ ตอบด้วยน้ำเสียงฟังสบายๆ “เอาน่า เช็คไว้ก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่ ฟังนายเล่าแล้วฉันก็เกิดกลัวขึ้นมาน่ะสิ ถ้าพลาดขึ้นมาก็ซวยเห็นๆ นายทำงานที่นี่มาตั้งปี ไม่ค่อยสะทกสะท้านเท่าไหร่หรอก แต่ฉันสิ เพิ่งจะมาได้แค่สองอาทิตย์ ถ้าถูกไล่ออกตอนนี้นอกจากจะไม่ได้เงินเดือนแล้วคงโดนมหาลัยกากบาทแดงบนยอดหน้าเป็นของแถมแน่ ไม่คุ้มๆ” เสียงใสหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ดวงตาสีเขียวเป็นประกายวิบวับ ขยายความเสียงแผ่วจนเหมือนกระซิบ

            “แล้วก็...กันไว้...เผื่อเกิดปัญหา”








            ขณะเดียวกัน

          Tokyo, Japan

          ตึกบัญชาการหลัก โกคุเดระ แอร์ไลน์

          โกคุเดระเพิ่งจะได้มีเวลาส่วนตัวหลังจากเข้าประชุมกับฝ่ายสำรวจการตลาดที่ทำงานรวดเร็วเป็นที่พึงพอใจมาก ตอนนี้เขาได้ข้อมูลลูกค้าที่มีแนวโน้มจะส่งสินค้าปริมาณมากและต้องการรักษาเวลาที่สุดมาแล้วหลายราย ดูคร่าวๆก็คงไม่มีปัญหาอะไร ปัญหาก้อนโตที่เขาต้องแก้ตอนนี้มันก็มีอยู่เรื่องเดียว แล้วมันก็อยู่ที่อิตาลี

            มันเป็นนิสัยของเขาเวลาจะต่อรองกับใคร เขาต้องการที่จะทราบข้อมูลใหญ่ๆสองอย่างของคู่เจรจาเพื่อการเตรียมตัว อย่างแรกก็คือเรื่องส่วนตัว และอย่างที่สองก็คือเรื่องไม่ส่วนตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นความต้องการหรือเป้าหมายที่ต้องการจะได้ผลประโยชน์ทางธุรกิจ

            ไอ้อย่างแรกนั่นเขาฝากให้เอเลนรับผิดชอบไปแล้ว อย่างที่สองจึงเป็นงานของเขา

            ยอมรับว่ามันไม่หมู เขาไม่มีข้อมูลเบื้องลึกของจอร์จิโอกรุ๊ปเลย เรียกว่าในสื่อเขียนไว้ขนาดไหน เขาก็รู้แค่นั้น เนื่องจากว่าทั้งเขาและฝ่ายนั้นไม่เคยทำสัญญาซื้อขายกันสักครั้ง ไม่เคยมีสถานะเป็นคู่ค้า แน่นอนว่าคู่แข่งยิ่งไม่ใช่ สาเหตุหนึ่งก็คือเส้นทางธุรกิจของเขามันไม่ซ้อนทับกัน ต่างคนต่างอยู่ ถ้าเอเชียนี้มีเขากับ The Best ครอบครอง ทางฝั่งยุโรปก็คงจะอยู่ในเงาของจอร์จิโอ...คิดถึงข้อนี้แล้วก็อยากคลึงขมับ มันเหมือนเขากำลังเตรียมตัวเจรจากับคนระดับยามาโมโตะอีกครั้งเลยสิ ดีไม่ดีสูงกว่านั้นอีก


            “ลอร์ดคริสโตเฟอร์” เขาเรียกเลขาที่นั่งอ่านเอกสารอยู่ แต่สายตานั้นกลับไม่ได้หันไปตามเสียง จ้องอยู่กับหน้าจอพีซีตัวเองเหมือนเดิม “นายรู้จักจอร์จิโอ กรุ๊ปใช่ไหม...คิดว่าเป็นยังไง”

            เลขาร่างสูงโปร่งใช้เวลาประเมินไม่นานนักแล้วตอบอย่างสุภาพ “ระดับสูงครับ...แต่ผมก็คงจะให้ความเห็นได้ในส่วนของบุคลากรที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรง...ทางนั้นมีทรัพยากรบุคคลในมาตรฐานที่สูงมาก สูงตั้งแต่การคัดกรองคนเข้าทำงาน เพราะฉะนั้นคนของจอร์จิโอสามารถทำงานได้ทุกรูปแบบ เอ่อ..คือ..ต้องขออภัยนะครับถ้าหากคำตอบของผมไม่สามารถตอบคำถามในใจท่านได้ตรงๆ”

            “เปล่าๆ แค่นี้ก็ช่วยได้มากแล้ว” เขาหันไปยิ้มขอบคุณแล้วกลับมาไล่สายตากับคอมพิวเตอร์อีกครั้ง นิ้วก็เขี่ยเมาส์ไปเรื่อยๆอยู่ที่หน้าเว็บไซต์ของไอ้นกอินทรีตัวเขื่องนั่น รังมันแตกต่างจากคู่แข่งที่เขาคุ้นเคยโดยสิ้นเชิง จอร์จิโอเป็นเสมือนโรงงาน ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า ดังนั้นการขนส่งผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปไปยังตลาดสำคัญพอๆกับการผลิต ยิ่งผลงานเป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มันย่อมต้องมีการดูแลเป็นอย่างดี แม้แต่ไดโอดตัวเดียวก็คงหลุดไปไม่ได้ ฟังจาก ลอร์ดคริสโตเฟอร์ว่าคนทางนั้นมีศักยภาพสูงลิ่ว ทำงานได้ทุกรูปแบบ ที่ผ่านมาพวกเขาคงจะทำการขนส่งสินค้าจำหน่ายทั่วโลกด้วยตัวเอง

            แย่...ไอ้พวกยึดตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนี่แหล่ะ เป็นพวกที่เขาไม่อยากจะต่อกรด้วยจริงๆ

            อีกอย่างก็คือสินค้าของจอร์จิโอนั้นมันไม่จำกัดเทศกาล หมายความว่า มันไม่เหมือนพวกเสื้อผ้าแฟชันที่ใส่ไปสักพักก็โดนโละเก็บเข้าโกดัง พวกนี้มันขายได้ทั้งปี ได้เรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องมีช่วงบูม แต่รายได้ก็เข้าไม่ขาด อีกทั้งยานพาหนะทางบก ที่นี่ยังเป็นที่ผลิตชิ้นส่วนพร้อมประกอบให้เสร็จสรรพ นี่ก็อีกเหมือนกัน การกำหนดจำนวน ระยะเวลาที่ดำเนินการ บริษัทแม่ของยานยนต์พวกนั้นจะเป็นผู้กำหนด ต่อให้ตอนนี้จอร์จิโอต้องการขนส่งสินค้าใจแทบขาดแค่ไหน แต่ถ้าเจ้าของแบรนด์รถพวกนั้นไม่มีความต้องการ ก็ทำไม่ได้อยู่ดี

            คิ้วเรียวเริ่มขมวดเข้าหากันเมื่อในหัวมันยังไม่มีอะไรที่พอจะเป็นทางออกได้เลย ว่าแล้วก็หลับกะพริบตาช้าๆ กดนิ้วไประหว่างคิ้วตัวเองเมื่อมันเริ่มจะปวดหนึบ เมื่อคืนเขาพักผ่อนไม่ถึงสี่ชั่วโมง แล้วพอใช้ความคิดมากๆน้ำตาลก็ดันมาต่ำอีก แต่เขาจะมาหยุดคิดเอาตอนนี้ไม่ได้ เวลามันไม่ได้มีมากขนาดนั้น

            “ท่านฮายาโตะ...เดี๋ยวผมไปสั่งกาแฟเย็นให้นะครับ คาราเมล มัคคิเอโตอย่างเดิมนะครับ” เสียงนุ่มทุ้มของเลขาส่วนตัวดังขึ้นพร้อมกับที่เจ้าตัวลุกจากโต๊ะทำงานด้วย โกคุเดระเอานิ้วออกจากคิ้วตัวเองโดยอัตโนมัติเมื่อรู้ว่าตนเผลอแสดงท่าทางขาดน้ำตาลและคาเฟอีนให้ลอร์ดคริสโตเฟอร์เห็นซะแล้ว

            “อ่ะ เอ้อ ความจริง...ไม่ต้องก็ได้” เขาเถียงอุบอิบ “แค่เพลียสายตาเฉยๆ”

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะบางทีท่านก็ไม่ได้พูด แต่ผมเห็นก็ต้องรู้ได้ทันทีครับว่าท่านต้องการอะไร” ลอร์ดคริสโตเฟอร์แย้งอย่างสุขุมสมกับที่ทำงานกับเขามานาน  โกคุเดระหลบตาอย่างลำบากใจ เกาข้างแก้มตัวเอง แล้วบอกออกไปเสียงแผ่ว

            “คืออันที่จริงก็พยายามลดอยู่น่ะ...เหมือนหมอนั่นจะไม่ค่อยอยากให้ฉันดื่มกาแฟมากเท่าไหร่”

            “เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ” เลขาร่างสูงโปร่งยิ้มกว้างมากขึ้น เข้าใจได้ทันทีว่า หมอนั่นหมายถึงใคร “ท่านยามาโมโตะบอกว่าถ้าหากเป็นเรื่องจำเป็นก็ทำได้ครับ ถ้าเป็นเรื่องที่สำคัญกับโกคุเดระ ต่อให้เจ้าตัวไม่พูดว่าต้องการ ก็จงจัดให้ทันทีท่านย้ำผมมาแบบนี้...ดังนั้นกรุณารอสักครู่ครับ”

            ว่าแล้วคนเป็นเลขาก็โค้งให้แล้วเดินออกจากห้องไปเลยโดยไม่สนใจท่าทางอึ้งๆ ของเขาแม้แต่น้อย แล้วกว่ามันจะกลับมาเป็นปกติได้เขาต้องรวบรวมสติมากพอสมควรทีเดียว บางทีเขาก็เคยคิดว่าเจ้าลอร์ดคริสโตเฟอร์ผู้ไม่เคยรับฟังคำสั่งใครนอกจากเขาทำไมถึงไปเชื่อฟังท่านประธานแห่ง The Best ได้มากขนาดนั้น เรื่องสถานะที่เปลี่ยนไปเหรอ อันนั้นมันไม่ค่อยจะเกี่ยวหรอก ให้เดาจริงๆยามาโมโตะต้องเล่นขี้โกงอ้างเหตุการณ์ระเบิดที่เบทิลด์ ทาวเวอร์ ลอร์ดคริสโตเฟอร์มีความผิดอยู่หลายกระทง หนึ่งคือปล่อยให้เขาบาดเจ็บหนัก และสองยังรวมหัวกับแดชีลล์ เลอรอยด์หลอกว่าเขาตายแล้วนั่นแหล่ะ คิดแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ยามาโมโตะน่ะเป็นโรคแค้นฝังหุ่นซะด้วย

            แต่จะว่าไป ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกดีหรอกนะ...ไอ้นิสัยเผด็จการนิดๆของหมอนั่นน่ะ

            ถ้าเป็นเรื่องที่สำคัญกับโกคุเดระ ต่อให้เจ้าตัวไม่พูดว่าต้องการ ก็จงจัดให้ทันที


          เฮ้!...เดี๋ยวนะเดี๋ยว...


ต่อให้ไม่ต้องการ ก็จะจัดให้งั้นเหรอ


            พลันมือบางก็คว้าเม้าส์อีกครั้ง เลื่อนคลิกไปที่ส่วนของการประกอบรถยนต์ทันที รายชื่อยี่ห้อรถยนต์ที่จอร์จิโอประกอบชิ้นส่วนให้ประมาณห้าหกชื่อ เขารู้ว่ามันมีมากกว่านี้แน่ แต่ไอ้แค่ชื่อที่เห็นก็นับว่าเป็นรถป๊อปปูลาร์ที่ทั่วโลกนิยมขับ จอร์จิโอคงเอามาเป็นเครดิตให้กับตัวเอง แถมหนึ่งในนั้นมันยังเข้าตาเขาอย่างจัง ริมฝีปากบางกระตุกยิ้ม

เขาได้หมากแล้ว แต่ก็อย่างว่าตอนนี้เขาไม่สะดวกเดินหมากเอง เพราะงั้นมันถึงต้องมีคนเดินแทน

            ประธานแห่งโกคุเดระ แอร์ไลน์คว้าโทรศัพท์เครื่องหรู ส่ายหน้านิดหน่อยก่อนจะหาเบอร์เป้าหมาย สองวันนี่เขาหมดค่าโทรทางไกลไปเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว เขาปล่อยให้เสียงสัญญาณดังเป็นจังหวะข้างหูสักพัก ไม่นานเกินรอก็มีคนรับสาย น้ำเสียงและสำเนียงอีกฝ่ายยังคงนุ่มทุ้มน่าฟังไม่เปลี่ยน

            [ไง โทรหาฉันได้นี่ พ่อนายไม่อยู่เหรอ] ....แล้วก็ยังทักได้กวนประสาทไม่เปลี่ยนด้วย

            “นายก็รู้ว่าพ่อฉันเป็นพวกนักธุรกิจหมื่นล้าน...ยุ่งจะตาย ไม่มีเวลามาเฝ้าหรอก อีกอย่างฉันมันเด็กวัยรุ่นรักอิสระ คงไม่ค่อยชอบอยู่กับพ่อตลอดเวลาสักเท่าไหร่” เขาแก้ตัวยิ้มๆ ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะเบาๆอย่างถูกใจด้วย

            [โอเค งั้นฉันจะไม่ฟ้องพ่อนายละกันว่าแอบโทรทางไกลหาผู้ชาย ตกลงมีเรื่องอะไร]

            “อือ...ฉันคิดถึงนายมั้งแดช”

            คนฟังเงียบไป แม้จะไม่นานนัก แต่มันก็เป็นช่องว่างอย่างเห็นได้ชัด [เฮ้ๆ ไม่เอาน่า พูดงี้เดี๋ยวก็โดนพ่อทำโทษหรอกเด็กน้อย ดีไม่ดีฉันจะซวยไปด้วย แล้วไอ้ซวยของฉันนี่หมายถึงโดนหมอนั่นฆ่าหั่นศพ ขนาดนั้นเลย] น้ำเสียงของชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสบอกชัดว่าขยาดเรื่องนี้จริงจัง [อยู่ๆก็ได้รับโทรศัพท์นายแบบนี้นะ ให้ฉันเดามันไม่ใช่เรื่องโทรมาถามสาระทุกข์สุกดิบ นายไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกเดจาวูรุนแรงมาก บอกฉันซิ ว่านายไม่ได้มีงานให้ฉันทำน่ะโกคุเดระ]

            “ฉันมีงานให้นายทำ” เขาว่าขึ้นในที่สุด ได้ยินเสียงอีกฝ่ายแทรกเบาๆว่า ว่าแล้วแต่เขาไม่มีเวลาให้แดชบ่นมากขนาดนั้น รีบแจงรายละเอียดอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้ฉันอยากดึงคนๆหนึ่งมาทำงานด้วย แต่เขาดันเป็นไข่ทองคำอยู่ในรังโคตรใหญ่ แถมยังเป็นรังติดกาวแงะยาก เพราะงั้นฉันถึงต้องหาวิธีให้ฝั่งนั้นเป็นคนแงะแล้วส่งมาให้ฉันเอง แลกกับที่ฉันคงต้องจ่ายค่าไข่ทองคำให้เขาอย่างงาม ไอ้วิธีที่ว่าน่ะฉันคิดออกแล้ว และงานที่จะให้นายทำ...มันเป็น  สเต็ปแรก”

            [นายกำลังหาข้อต่อรองให้บริษัทนั้นส่งคนมาทำงานกับนายอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้... ระดับโกคุเดระ แอร์ไลน์ที่มีคนต่อแถวสมัครงานยาวเป็นหางว่าว มีตัวเลือกเยอะแยะเนี่ยนะ...ทำไมถึงหาวิธีซับซ้อนขนาดนั้น นี่ไอ้รังโคตรใหญ่ของนายมันใหญ่ขนาดไหนกันแน่] แดชตีความด้วยน้ำเสียงหวาดระแวงอย่างไม่ปิดบัง แล้วเขาก็คงจะไม่สามารถขอให้หมอนี่ทำงานได้แน่ๆถ้าไม่บอกความจริงไป

           “ขนาดจอร์จิโอ กรุ๊ป” แทบจะทันทีที่เขาพูดจบ ปลายสายก็สวนเขากลับมาด้วยคำอุทานภาษาฝรั่งเศสชุดใหญ่ๆ โกคุเดระก็ยังฟังไม่ค่อยออกหรอก แต่จากประสบการณ์ก็บอกได้ว่าผู้บริหารของเบธิลด์ ทาวเวอร์นั้นกำลังด่าเขาอยู่แน่ๆ และที่แดชตกใจขนาดนี้ น่าจะเป็นเพราะว่ารู้จักบารมีจอร์จิโอดีกว่าเขา ก็สมที่เป็นเครือธุรกิจที่อยู่ยุโรปเหมือนกัน

            [ไม่ๆ โกคุเดระ คราวที่แล้วฉันอาจจะยอมทำตามแผนการนายเพราะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แต่ตอนนี้ฉันบอกเลยว่าแค่นายคิดจะไปแหย่บริษัทนี้ มันก็เป็นเรื่องแล้ว ฉันไม่ได้ดูถูกนาย แต่กำลังพูดแทนเครือธุรกิจทั่วโลก ถ้าสองขั้วอำนาจอย่างนายกับจอร์จิโอมีปฏิสัมพันธ์กันเมื่อไหร่ นายรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะถูกแจกจ่ายไปอย่างกว้างขวางจากที่เป็นอยู่มาก ที่ตามมาคืออะไรถ้าไม่ใช่ผลผลิตจากบริษัทอื่นจะต้องลดราคาให้ถูกลงฮวบฮาบ ไม่งั้นก็ไม่สามารถขายได้ ดีต่อผู้บริโภคหรอกนะ แต่หายนะสำหรับเจ้าของกิจการเลย]  แดชเว้นวรรค น้ำเสียงของชายหนุ่มฝรั่งเศสจริงจังและเย็นเยียบ เห็นได้ชัดว่าทั้งเตือนทั้งขู่ให้เขาถอยจากเรื่องนี้ซะ

            [คราวนี้ล่ะพวกเจ้าของกิจการน้อยใหญ่ได้รวมหัวกันเล่นงานคนที่ทำพวกเขาใกล้เจ๊งแน่ ฉันไม่ได้อยากจะพูดหรอกนะว่าระหว่างจอร์จิโอกับนาย นายจะต้องโดนเล่นก่อน...อย่างน้อยแค่อายุของผู้บริหารสูงสุดนายก็ต่างจากเขาอยู่ประมาณสิบห้าปี หักไม้อ่อนมันย่อมง่ายกว่าหักไม้แก่แถมยังเป็นไม้แก่เสริมใยเหล็กด้วย...ต่างคนต่างอยู่อย่างสงบก็ดีอยู่แล้ว  อีกอย่างนายคิดออกหรือไง...ความต้องการของจอร์จิโอ กรุ๊ปน่ะ มันก็เหมือนไปถามราชาผู้มั่งคั่งว่าเขาขาดอะไรนั่นล่ะ ไม่มีอะไรที่เขาต้องการจากนายหรอก]

            “ไม่ต้องการ ฉันก็จะบังคับให้ต้องการไง”

            [หา?]

            “ฉันบอกว่าถ้าไม่มีอะไรที่จอร์จิโอต้องการจากฉัน ฉันก็จะทำให้มันมีขึ้นมา” โกคุเดระเน้นย้ำช้าๆ “รู้อยู่แล้วว่าเขาทั้งใหญ่ทั้งเพียบพร้อมน่ะ ฉันนั่งศึกษาข้อมูลเขามาทั้งคืนยิ่งดูก็ยิ่งรู้ ตอนแรกก็บ่นกับตัวเองแบบที่นายพูดนั่นแหล่ะ แต่แดช...โลกที่เรายืนอยู่นี่มันไม่มีใครอิ่มเป็นหรอก ยิ่งตัวใหญ่จะยิ่งตะกละ เพียงแต่มันจอร์จิโอน่ะไม่เคยตะกละให้คนนอกอย่างเราเห็นก็เท่านั้น เราถึงต้องเอาอะไรไปล่อจนมันยอมแลกสิ่งที่เราต้องการเช่นกัน...โอกาสฉันรู้ว่ามันไม่มี แต่เราก็สร้างเองได้ไม่ใช่เหรอ” โกคุเดระว่ายาวๆ แล้วยิ้มจางเมื่อรู้ว่าใครเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาคิดเรื่องนี้ออก ไม่ว่าตอนนี้หรือเมื่อก่อน เขาก็มักจะฉุกคิดได้จากคำพูดของหมอนั่นเสมอ

            แดชีลล์ระบายลมหายใจหนักๆ แต่ยังไม่วายบ่นกลับมาอีก [นายทำฉันเปลืองน้ำลายฟรี]

            “ก็ไม่คิดว่านายจะค้านยาวขนาดนั้นนี่ ขอบใจที่ห่วงนะแดช แต่งานนี้ฉันถอยไม่ได้” ร่างบางเม้มริมฝีปาก ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงมือวางกับโต๊ะ “ฉันพอจะรู้ว่านายยังอยู่ที่ปารีส ฉันต้องการให้นายไปที่สำนักงานเลขที่ 75 ถนน De La Grand Armee

            [สำนักงานใหญ่ของรถยนต์ยี่ห้อดังในฝรั่งเศส?]

            “ใช่ ลูกค้ารายสำคัญของจอร์จิโอเลยทีเดียว” โกคุเดระยิ้มกริ่ม มองตรารถยนต์ที่เป็นที่โด่งดังอย่างพึงพอใจ ก่อนจะคลิกไปที่เพจใหม่ เป็นเพจของบริษัทออโทโมบิล รถยนต์ยี่ห้อนั้นโดยตรง “ตอนนี้รุ่นใหม่กำลังจะออก แล้วฉันก็เดาว่าเขาคงส่งไปให้จอร์จิโอเตรียมประกอบพร้อมตกแต่งเรียบร้อย เพียงแต่ยังไม่ส่งไปที่โชว์รูมรถที่ไหนเท่านั้นเอง กำหนดการเปิดตัวเหลืออีกเดือนนิดๆ นายจะว่ายังไงถ้าที่เขาจะไปเปิดตัวเป็นที่แรกคือ งานแกรนด์โอเพ่นนิ่งชั้น G เบธิลด์ ทาวเวอร์ สาขานิวยอร์ก”

            [หน้าที่ฉันคือไปติดต่อให้ทางบริษัทส่งรถรุ่นล่าสุดไปจัดโชว์ในวันเปิดห้างของฉัน พอเป็นอย่างนี้ทางจอร์จิโอจะต้องขนส่งทั้งช่างประกอบทั้งชิ้นส่วนมาที่อเมริกา...อ้อ] แดชีลล์ร้องออกมาเมื่อเหมือนจะคิดอะไรได้เข้าเค้า โกคุเดระแทบจะจินตนาการถึงรอยยิ้มรู้ทันของอีกฝ่ายออกเลย [การขนส่ง...นี่สินะ ค่าตัวน่ะ]

            “ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าทางบริษัทรถจะไม่ปฏิเสธนาย...เบธิลด์ ทาวเวอร์ที่มีหุ้นส่วนเป็นประธานแห่ง The Best เป็นใครก็ต้องสน อีกทั้งยังเป็นสาขาที่เหมือนศูนย์กลางเศรษฐกิจ การเงินของสหรัฐ ไม่สิ ของโลกเลยต่างหาก มันเป็นโอกาสทองให้เขาติดปีกบิน แต่ต่อให้ฝ่ายรถยังสองจิตสองใจ เมื่อนั้นเขาอาจจะถามความเห็นจากจอร์จิโอ ฉันว่าฉันสามารถทำให้จอร์จิโอตอบตกลงได้ ผลประโยชน์มันได้ต่อกันเป็นทอดๆอย่างกับลูกโซ่” หัวใจของเขาเต้นแรง นิ้วเรียวไล้ริมฝีปาก เมื่อหมากของเขามันวางเรียงในกระดานอย่างลงล็อก พึมพำเสียงเบาราวกับพูดกับตัวเอง “ยิ่งเป็นนิวยอร์กล่ะก็นะ”

            “โอเค โกคุเดระ ฉันรู้ว่าตอนนี้นายจินตนาการไปไกล แต่นายอย่าลืมนะว่าเมื่อเดือนก่อนเบธิลด์ ทาวเวอร์สาขาหลักโดนระเบิด...เนี่ย ตึกบัญชาการฉันยังมีแต่โครงเหล็กเปลือยๆอยู่เลย นายคิดว่าคนเขาจะกล้ามาสักกี่คน จากการคำนวณฉันยอมรับว่าคงไม่ถึงเป้า  บอกตามตรงว่าเรื่องนี้ฉันปรึกษายามาโมโตะอยู่ ว่าควรจะเลื่อนการเปิดสาขานิวยอร์กไปหรือเปล่า”

            “ไม่ต้องเลื่อนๆ” ร่างบางแย้งออกไปทันที อมยิ้มมุมปากเมื่อในหัวคิดอะไรได้ทันควัน แต่อีกฝ่ายจะยอมทำตามที่เขาบอกหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ “ขอแค่นายอยู่เป็นตัวเอกของงานก็พอ” เขาว่า สำทับลงไปอีก “มันคงถึงเวลาที่นายต้องใช้รูปร่างหน้าตาของตัวเองให้เป็นประโยชน์ ประกาศไปเลย ทำโฆษณาสักชิ้นฉายบนจอใหญ่ๆกลางเมืองก็ได้ว่านายจะอยู่เป็นมาสคอตในงานนั้น ทีนี้แหล่ะแดช นายจะได้รู้ว่าพลังมหาชนที่เรียกว่าติ่งนั้นมันของจริง บ้านไหนที่มีลูกสาว บ้านนั้นไปแน่ พวกเธอจะขอพ่อแม่ตั้งแต่เห็นหน้านายบนจอแอลซีดี แม่คะ พาหนูไปหน่อย หนูจะไปดูหน้าพ่อของลูก เชื่อเถอะว่าพวกเขาแทบลืมเรื่องระเบิดที่อยู่ห่างไปอีกซีกโลกนั่นไปเลย”

            ชายหนุ่มชาวฝรั่งเศสเงียบไปอีกครั้ง โกคุเดระไม่ค่อยอยากจะจินตนาการหรอกว่าอีกฝ่ายทำหน้าแบบไหนเมื่อเขาพูดจบ แก้เก้อ เขาก็เลยเพิ่มเติมไปอีก “หรือนายจะเรียกท่านประธาน The Best ไปยืนเป็นมาสคอตคู่ก็ได้ รับรอง...ถล่มทลาย”

            เท่านั้นแหล่ะ ได้เงียบกว่าเก่า เงียบจนเหมือนสายเขาโดนตัดไปเลย โกคุเดระกลอกตาไปมาซ้ายขวา เห็นลอร์ดคริสโตเฟอร์ก้มหน้าก้มตาอ่านแฟ้มเอกสาร แต่ไหล่หมอนั่นสั่นระริกรู้เลยว่ากลั้นขำอย่างสุดความสามารถ แต่เขาคิดว่าแดชคงไม่ขำด้วยแน่ๆ เมื่อเสียงนุ่มทุ้มสำเนียงภาษาอังกฤษอเมริกันดังขึ้นใหม่อย่างเยือกเย็น

            [ทั้งหมดที่จะให้ทำนี่...ถือเป็นการขอร้องหรือเปล่า]

            “เอ่อ...คิดว่าไม่” เขาปฏิเสธทันที “ถ้าขอร้อง...นายคงจะไม่ยอมทำตามอ่ะ เพราะเรื่องก็ออกจะเยอะขนาดนี้...แลกเปลี่ยนก็แล้วกัน เมื่อกี้ฉันเพิ่งได้ข้อมูลสินค้าจากฝ่ายสำรวจการตลาดของบางห้าง นายคงใช้เป็นข้อมูลคู่แข่งได้”

            เสียงถอนหายใจดังลอดออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ตามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ [แฟกซ์มาภายในห้านาที]

            “อื้อ ได้สิ ไม่มีปัญหา”

            [นี่โกคุเดระ...]

            “หือ?

            [ถ้าพูดว่าขอร้อง...ฉันก็ยอมทำให้นะ]

            เสียงนุ่มทุ้มที่พูดประโยคนั้นมันแผ่วเบาจนเขาต้องเงี่ยหูฟัง แล้วถ้าไม่ได้รู้สึกไปเองมันไม่ได้เป็นน้ำเสียงล้อเล่นหรือหยอกเย้าอย่างเคย จริงจังแต่แฝงไปด้วยการเว้าวอนนิดๆอย่างที่เขายังอดรู้สึกว่ามันแปลกๆไม่ได้ แต่อาการแบบนี้ของแดชเขาไม่ใช่ว่าเขาเคยเจอเป็นครั้งแรก ตอนที่หมอนี่มาเที่ยวญี่ปุ่นเขาก็มีโอกาสได้เจอบ้างสองสามครั้ง แดชจะทำตัวใกล้ชิดกับเขากว่าตอนประมูลเบธิลด์มาก จับมือ กอดคอ หรือพูดคล้ายๆอ้อนแบบนี้ แต่เขาก็พอจะดูออกหรอกว่าที่ทำไปเพราะต้องการยั่วโมโหเพื่อนต่างวัยของตัวเอง แต่ไม่คิดว่าตอนยามาโมโตะไม่อยู่อย่างตอนนี้ก็จะมีให้เห็นด้วย

เสียงใสหัวเราะแหะๆกลับไป กระอักกระอ่วนนิดหน่อยกับบรรยากาศที่ไม่ค่อยชิน

“ไม่เป็นไรอ่ะ ฉันยังยึดอุดมการณ์เดิมอยู่ นี่เป็นเรื่องธุรกิจ ฉันไม่ขอร้องนายหรอกน่า อีกอย่างถ้าทำอย่างนั้นได้จริงๆ ฉันมีความรู้สึกว่าฉันเอาเปรียบนาย”

[ซื่อบื้อเป็นบ้า] แดชสวนกลับมาทันที ก่อนจะตัดบท [เอาเป็นว่าจะจัดการให้ตามที่บอก แต่ถ้าไม่เป็นไปตามแผนก็อย่ามาโวยกันนะ แค่นี้ล่ะ แล้วจะติดต่อกลับไป]

            ถึงจะไม่เข้าใจว่าแดชหงุดหงิดเรื่องอะไรก็เถอะ แต่เขาก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง มือบางคว้ากาแฟแก้วโปรดมาดูดเติมพลังให้ตนอย่างเต็มที่ ดวงตาสีมรกตมองไปข้างหน้า ฉาบไปด้วยประกายของความหวังชัดเจน



            บินเลย นักล่าแห่งยุโรป ได้เวลาออกจากรังแล้ว...








            การประชุมใหญ่ของเบื้องบนเริ่มได้ชั่วโมงกว่าๆ เอเลนเหลือบมองนาฬิกาในขณะต่ออุปกรณ์ชิ้นส่วนไฟฟ้ากับแผงวงจรขนาดเล็ก อันที่จริงมันไม่ค่อยจะตรงกับสายงานเครื่องกลของเขาเท่าไหร่นัก เพียงแต่ว่าหัวข้อย่อยที่เขาถนัดอย่าง Aeronautics มันเกี่ยวกับไฟฟ้าพอๆกับศาสตร์ของไหล ยิ่งได้ฟังข้อเท็จจริงจากอาร์มินแล้วว่าแผนกนี้เกิดขาดแคลนคนกะทันหันเพราะท่านประธานผู้สมบูรณ์แบบ เขาก็เลยโดนจับยัดเข้ามาในฝ่ายไฟฟ้าก็เป็นได้

            “จะว่าไปแล้ว เหมือนเมื่อเช้าผมยังไม่ได้เซ็นชื่อเป็นเวรเช็คตู้ไฟเลย” อาร์มินโพล่งขึ้นมาเหมือนเพิ่งคิดได้ แต่ก็นิ่วหน้าอีกรอบ “อืม...จำได้ว่ามองหาแล้วนะ แต่ชาร์ตมันไม่ได้อยู่ที่เดิม”

            “บอสอาจจะเอาไปก็ได้มั้ง” เขาสันนิษฐานบ้าง ตั้งหน้าตั้งตาบัดกรีต่อไปโดยเหมือนไม่ค่อยใส่ใจนัก ได้ยินเสียงอาร์มินครางรับเบาๆเช่นกัน ดวงตาสีมรกตเหลือบมองเพื่อนข้างตัว ลังเลใจชั่วครู่แต่ก็ตัดสินใจถามออกไป

            “นายว่า...ประธานสูงสุดของเราน่ะ น่ากลัวมากไหม เอ่อ แบบ...ถ้าทำให้เขาโกรธ หงุดหงิดอะไรเทือกนั้นน่ะ นายว่าจะโดนอะไรบ้าง”

            “ไม่รู้สิ” คำตอบที่ตอบกลับมาทันทีทำให้เอเลนหันไปมองเพื่อนซี้โดยอัตโนมัติ อาร์มินยิ้มเจื่อน ขยายความ “ก็เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครเคยทำให้ท่านโกรธน่ะสิ แต่ผมก็พูดแค่เท่าที่ผมเห็นน่ะนะ ท่านก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอกมั้ง แทนที่จะบอกว่าน่ากลัว เรียกว่าน่าเกรงขามมากกว่า การกระทำของท่านอาจจะดูโหดร้ายก็จริง แต่ก็มันก็สมเหตุสมผลเสมอแหล่ะ เพราะอย่างนั้นถึงได้เป็นที่เคารพของทุกคนในบริษัทไง”

            เอเลนพยักหน้ารับ แต่ก็ขอรับฟังไว้เพียงแค่ครึ่งเดียว อาร์มินเป็นคนฉลาดและซื่อตรง เพราะอย่างนั้นถ้ามองอย่างคนซื่อตรงท่านประธานของเขาก็อาจจะเป็นแค่คนหนุ่มไฟแรงที่เพิ่มดีกรีเป็นความดุเย็นชาขึ้นมานิดหน่อย แต่สำหรับเขาที่มีนิสัยชอบระแวงไปทุกจุดก็มองออกทันที หมอนั่นน่ะ...ไม่เคยมีใครทำให้โกรธ หรือไม่กล้าทำให้โกรธกันแน่...ไอ้เท่าที่เห็นนั่นก็อีก แล้วที่ไม่เห็นล่ะ เขาไม่อยากจะคิด อีกอย่าง ไอ้การประชุมนี่น่ะที่บอกคนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ฟันธงได้เลยว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจบนดินเท่านั้นแน่

            “เอเลน?

            “ฉันเมื่อยๆน่ะ ขอไปยืดเส้นยืดสายแป๊บนะ ไม่นานๆ สองนาที” เขาว่าพลางลุกขึ้นเดินออกจากห้องทำงานทันที แต่ที่ๆเขาจะไปไม่ใช่มุมพักผ่อนหรือห้องน้ำ แต่เป็นห้องจ่ายไฟที่เพิ่งมาเมื่อเช้านี้ เอเลนมองตู้ที่เรียงต่อกันด้วยสายตาที่นิ่งสนิท เหมือนกับว่ากำลังจ้องบางอย่างอย่างมีความหมาย เขาละสายตาจากมันสักพักแล้วหยิบใบเซ็นชื่อที่หนีบไว้กับชาร์ตออกมาจากลิ้นชัก ความจริงแล้วเป็นเขาเองที่เอามันไปซ่อนไม่ให้อาร์มินเห็น

            ช่องว่างที่เว้นไว้เขาเซ็นชื่อตัวเองลงไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับลงวันที่พร้อมเวลาให้เหมือนช่องอื่นทุกประการ เอเลนกลับมายืนอยู่หน้าตู้จ่ายไฟอีกครั้ง เจาะจงพิเศษที่ตู้ของชั้นบริหาร เขาเปิดมันออกด้วยหัวใจที่เต้นระทึก ทุกสิ่งที่อย่างเบื้องหน้าเขานั้นอาร์มินทำมันไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว และไม่มีปัญหาอะไร แต่เพราะมันไม่มีปัญหานั่นล่ะ จะเกิดปัญหากับตัวเขาเอง เอเลนสูดลมหายใจลึกจนสุดปอด วินาทีนี้เขาไม่ได้ต้องการสมาธิเพื่อตัดสินใจ เพราะเขาตัดสินใจได้ตั้งนานแล้ว แววตาที่เด็กหนุ่มมองไล่ไปตามอุปกรณ์ต่างมันไม่ได้หวาดกลัวผลลัพธ์ แต่เขากลัวที่จะทำมันไม่สำเร็จมากกว่า

            เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างชั่วคราว สัญชาตญาณตัวบอกความรู้สึกทั้งหมดดับวูบ เหลือเพียงตรรกะ ในหัวโล่งวาบแล้วลงมือดัดแปลงวงจรภายในตู้จ่ายไฟ วัตถุประสงค์ของเขาคือทำยังไงก็ได้ให้ไฟของทั้งชั้นผู้บริหารดับลง แต่ไม่สิ้นคิดขนาดหยิบคีมมาตัดมันมั่วซั่ว ไอ้ตู้นี่เขาไม่มีทางเอาเงินเก็บตัวเองมาใช้หนี้หมด เพราะงั้นก็คงต้องทำให้ไฟฟ้ามันเดินผิดตำแหน่ง สลับสายนู้นสายนี้จนมั่นใจว่ามันลัดวงจรแต่ไม่เป็นอันตรายถึงขึ้นระเบิดบึ้มต่อหน้าต่อตา เอเลนจิ้มปลั๊กตัวสุดท้ายไปกับช่องรับ และทันทีที่เขาหยุดมือ นั่นหมายความว่าไฟฟ้าทั้งชั้นของผู้บริหารที่กำลังมีประชุมใหญ่อยู่มันต้องหยุดจ่ายด้วย เขาแทบจะได้ยินเสียงดัง วุ่บ!’ ขึ้นในหัวเลย

            ทำไปแล้ว ทำไปแล้ว เอเลน เยเกอร์ นายทำมันลงไปแล้ว!!

            เขาเป่าปากไล่ความเครียด มองผลงานของตัวเองแล้วลมจะจับ ความรู้สึกที่มันหรี่ดับไปวกกลับมาอีกครั้ง หัวใจเต้นกระหน่ำ แถมร่างกายเย็นชืดและชาไปทั่วเหมือนคนทำอะไรผิดสถานหนัก แน่นอน เขาทำผิด แล้วมันไม่ใช่เรื่องขี้ปะติ๋วอย่างลืมทำการบ้านมาส่งอาจารย์ แต่นี่เขากล้าตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ไปเลี้ยงสมองของจอร์จิโอ  เรื่องน่ากลัวที่ไม่มีใครแม้แต่กล้าคิด แต่เขาก็ทำมัน! ทำมันสำเร็จแล้วด้วย

แล้วก็เพราะมันเป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝัน มันย่อมอยู่ไม่ได้เกินนาที

เขาได้ยินเสียงฝีเท้าลงส้นอย่างหนักวิ่งมาที่ห้องนี้ ประตูเปิดดังผลั่วะอย่างเร่งร้อน เป็นหัวหน้าแผนกของเขาเอง ผิวหน้าที่ขาวอย่างคนยุโรปเต็มขั้นของแกซีดหนักกว่าเดิม ดวงตาเบิกกว้าง เหงื่อท่วมจนเปียกเต็มเสื้อเชิ้ต ในมือบีบวิทยุสื่อสาร ซึ่งเอเลนเดาว่าคงได้รับแจ้งแล้วว่ามีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น

“ผะ ผู้ดูแลการประชุมติดต่อมา...ขะ..เขาบอกว่าไฟดับ” เสียงของแกสั่น สีหน้าหวาดผวาแต่ก็พยายามคุมสติให้พูดได้ชัดเจนมากที่สุด “เกิดอะไรขึ้น เยเกอร์!

ยังไม่ทันที่เขาจะเปิดปากพูดอะไรพวกอาร์มินกับเพื่อนร่วมงานในแผนกก็วิ่งมาดูเช่นกัน ทั้งหมดเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูล็อกเป็นเชิงว่าเขาต้องหารือกันเป็นการใหญ่แน่ๆ ห้องเงียบสนิท ได้ยินแต่เสียงลมหายใจหนักๆเพราะใครสงบสติอารมณ์ได้สักคน แต่กระนั้นทุกคนก็สมกับเป็นบุคคลคุณภาพที่จอร์จิโอคัดเลือก ไม่มีใครโหวกเหวกโวยวาย สายตาของพวกเขาหยุดนิ่งที่ตู้จ่ายไฟที่เป็นปัญหามองสลับกับเด็กหนุ่มผู้ที่อายุน้อยที่สุดในแผนกแล้วยังยืนคู่กับมัน ท่าทีนิ่งสงบซ้ำยังดูจะสบายๆผิดกับหัวหน้าแผนกราวฟ้ากับเหว ภาพแปลกประหลาดเบื้องหน้าทำให้ทุกคนพร้อมใจกันตะโกนก้องอยู่ในอกว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!!’

และถ้าเอเลนเดาไม่ผิด อาร์มินน่าจะตะโกนดังกว่าใครเพื่อน

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมไฟถึงดับได้” หัวหน้าแผนกเขาสูดลมหายใจช้าๆเพื่อพยายามสงบอารมณ์ เขาหันไปทางเด็กหนุ่มผมทอง “ฉันจำได้ว่าเวรคนเช็คตู้ไฟชั้นบริหารวันนี้เป็นนายใช่ไหม อัลเรตโต้”

“คะ ครับ ใช่” คนถูกถามตอบในทันทีแม้เสียงจะสั่นอยู่บ้าง “แต่ผมมั่นใจว่าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”

“ใช่ครับ ผมยืนยันได้ อาร์มินเช็คทุกอย่างได้ถูกต้อง ไม่มีอะไรผิดพลาดจริงๆครับบอส” ในที่สุดเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูด สายตาทุกคู่กลับมาจับจ้องเขาทันที แต่คนตกเป็นเป้าสายตากลับไม่ตื่นตระหนกเลย ร่างโปร่งบางยืนตัวตรงว่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบจริงจัง

“แต่ผมเป็นคนพลาดเอง ผมเป็นคนทำให้ไฟของชั้นบริหารดับ...ทั้งหมดเป็นความผิดผม ต้องขอโทษจริงๆนะฮะ”

คำขอโทษ คำสารภาพทุกอย่างหลั่งไหลออกมาอย่างไม่คิดปกปิด แถมร่างโปร่งบางนั้นยังโค้งประกอบคำพูดทำให้ทุกคนยืนมองเด็กหนุ่มด้วยความอึ้ง บางคนกะพริบตาปริบๆ เจ้าเด็กคนนี้รู้หรือเปล่าว่าพูดอะไรออกมา ต่อให้ทำจริงๆนั่นก็ถือว่าเป็นความงี่เง่า แต่ไอ้ที่ทำและยอมรับออกมาตรงๆถือว่าทั้งงี่เง่าและบ้าบิ่นเลย อาจจะฟังขัดกับหลักคุณธรรมคนดีไปหน่อย แต่ถ้าอยากจะอยู่รอดในจอร์จิโอกรุ๊ปแห่งนี้ บางทีการปกปิดความผิดของตัวเองมันก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ บางคนความผิดเล็กน้อยยังกุเรื่องมากมายเพื่อกลบเกลื่อน แต่ความผิดครั้งนี้มันใหญ่โตมาก กลับกัน เจ้าเด็กนี่ยอมรับออกมาอย่างหน้าซื่อๆ

บ้าหรือเปล่า!!

“เอเลน...” อาร์มินครางเรียก พยายามพูดกับเขาช้าๆชัดๆ ลำดับเหตุการณ์เมื่อเช้าในหัว “นะ...นายจะเป็นคนทำได้ยังไง ในเมื่อคนที่แตะต้องตู้ไฟนั่นมีแค่ผมคนเดียว”

“มีแค่นายคนเดียวที่ไหน ฉันด้วยต่างหาก ฉันเพิ่งแตะมันเมื่อกี้สดๆร้อนๆเลย ไม่เชื่อไปเปิดกล้องวงจรปิดดูสิ” เขาเถียงกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆอย่างเก่า พลางชี้ไปที่กล้องที่เพดานมุมห้องด้วย คราวนี้แหล่ะ ทั้งห้องได้เงียบกว่าเดิม เพื่อนร่วมแผนกได้พากันส่งสายตาหลากหลายมาให้เขา บางคนออกอาการสงสารเจือปลงตกอย่างปิดไม่มิด บางคนหวาดกลัวว่าจะถูกเด้งออกจากบริษัทพร้อมเขา แต่บางคนไม่แสดงอาการใด เห็นได้ชัดว่าช็อกไปแล้ว

“ตะ แต่ยังไง ผมก็ต้องรับผิดชอบนะ เพราะวันนี้เป็นเวรผม ถ้าหากทางเบื้องบนเขาต้องการไต่สวนจริงๆ เราต้องเอาตารางเวรไปให้เขาดู ก็ยังเป็นชื่อผมอยู่วันยังค่ำ” อาร์มินยังคงเถียง ดวงตาสีฟ้ากระจ่างกลับมาแน่วแน่ได้เหมือนปกติ แถมท่าทางก็ไม่ได้โกรธแม้แต่นิดต่อให้รู้ว่าเขาเป็นคนทำจริงๆ เอเลนเม้มปากคิดหนักกับท่าทางดื้อดึง เขานับถือใจเพื่อนซี้คนนี้จริงๆให้ตายสิ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะนิสัยซื่อตรงหรือเปล่า อดคิดไม่ได้ว่าจอร์จิโอโชคดีที่มีพนักงานเปี่ยมทั้งคุณภาพและคุณธรรม แต่อาร์มินโชคร้ายไปหน่อยที่มาอยู่ในบริษัทไม่ค่อยสนคุณธรรมเท่าไหร่

เอเลนระบายลมหายใจ นิ้วโป้งชี้ไปบนโต๊ะ เด็กหนุ่มผมทองมองตาม ดวงตาเบิกกว้างกว่าเก่า

“ชาร์ตเซ็นชื่อ!?

“โทษที...บอสไม่ได้เอาไปหรอก แต่ฉันเอาซ่อนไว้เอง” เขาพูดเสียงอ่อย ก่อนจะต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ชื่อนายเป็นเวรก็จริง...แต่คนเซ็นน่ะเป็นฉัน ถ้าเบื้องบนเกิดอยากหาคนผิดอย่างที่นายว่า เขาต้องสนหลักฐานก่อนเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว นายจะเอาลิควิดมาลบแก้ก็ได้ แต่บอกเอาไว้เลยว่าถ้านายทำอย่างนั้น คนผิดก็ยังเป็นฉันไม่เปลี่ยนแปลง แถมฉันยังมีวิธีทำให้ตัวเองผิดมากขึ้นด้วย ไม่ต้องห่วง ถ้าเขาถามมาฉันก็อ้างให้ได้ว่านายกับฉันเราเปลี่ยนเวรกัน มีเหตุผลร้อยแปดประการให้เขาเชื่อว่านายไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งนายก็ไม่เกี่ยวข้องจริงๆ ฉันทำคนเดียวล้วนๆเลย”

เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดยิ้มกว้าง บรรยากาศรอบกายเขายังคงผ่อนคลายไม่เปลี่ยนทั้งๆที่สถานการณ์มันกลับตาลปัตร เขารู้ว่าทุกคนกำลังคิดว่าเขาเป็นสติไม่สมประกอบหรือเปล่า ทำงานเครียดเกินเลยอยากหาอะไรพิเรนทร์ทำหรือไง ไม่กลัวเหรอ เขาก็อยากจะตะโกนกลับไปหรอกนะว่ากลัว ไม่มีทางที่จะไม่กลัว! เขากลัวตลอดเวลาที่คิดวิธีนี้ได้นั่นแหล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นมันจะเกิดประโยชน์อะไร เพราะต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็ทำเหมือนเดิม

“เยเกอร์ เธอทำแบบนี้ทำไม” หัวหน้าแผนกเขาถามอย่างแห้งแล้ง ไม่เชื่อว่านักเรียนดีเด่นมหาวิทยาลัยดังจะทำอะไรสิ้นคิดขนาดนี้

“ผมมีเหตุผลที่จะต้องทำครับบอส ไม่ทำไม่ได้” เขาว่า “แล้วก็รู้ครับว่าผลของการกระทำคืออะไร แต่สบายใจได้ฮะ ยังไงงานนี้ก็ต้องมีคนรับผิดชอบ ผมจะพยายามทำให้ทุกคนไม่ได้รับซองขาว จะทำอย่างสุดความสามารถเลย แต่ทุกคนจะต้องปล่อยผมขึ้นไปเคลียร์ปัญหาด้วยตัวเอง ซึ่งผมว่ามันก็คงเหลือเวลาอีกไม่นานนัก”

ไม่ทันขาดคำดี วิทยุสื่อสารของหัวหน้าแผนกไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ก็ดังขึ้น แม้จะมีเสียงซ่าบ้างตามธรรมชาติของมัน แต่ทุกคนในห้องก็ได้ยินอย่างชัดเจน เป็นคำสั่งเฉียบขาดที่ราวกับคำตัดสินประหาร

ส่งคนขึ้นมาพบท่านประธานให้เร็วที่สุด

แต่สำหรับเอเลน นี่คือเสียงสวรรค์

เด็กหนุ่มร่างโปร่งบางยิ้มให้ทุกคนก่อนจะเดินออกจากห้องแล้วตรงไปที่ชั้นที่แต่เดิมโดนกำชับนักหนาว่าห้ามขึ้นไปเหยียบท่ามกลางสายตากังวลไล่หลัง บางคนอาจจะสวดภาวนาให้เขารอดกลับมาเป็นๆด้วย แผนกไฟฟ้าของจอร์จิโอ กรุ๊ปที่เปรียบเหมือนหัวใจของบริษัทถึงกับยกนิ้วคลึงขมับ พวกเขายังคงไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ที่เจ้าเด็กใหม่นั่นทิ้งระเบิดไว้ให้ เพราะเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก...ไม่ใช่เรื่องไฟดับ...



แต่เป็นเรื่องที่มีคนทั้งโง่ทั้งบ้ากล้าทำให้ท่านประธานสูงสุดโกรธจัดจนกระทั่งเรียกขึ้นไปพบ


.


.


.


.


.


TBC...


มิยะขอเม้าท์

ลงอีกตอนสำหรับ ฟ้าถล่มภาคนกดำ ง๊ากกกก คือ สารภาพว่าแต่งไปได้สองตอนถึงกับเอนหลังหงายเงิบ มันใหญ่มาก จากความรู้สึกของคนแต่ง มันใหญ่มากจริงๆ ใหญ่กว่าภาคเจรจาด้วย เพราะงั้นบางท่านอาจจะรู้สึกว่าตัวหนังสือมันเยอะหน่อย แต่มิยะตั้งใจให้เป็นแบบนี้ เพราะที่ตั้งเป้าไว้คือ ภาคนี้อารมณ์ นิสัยของตัวละคนจะละเอียดขึ้น สถานการณ์ การพูดคุยจะค่อนข้างเป็นงานเป็นการ เพราะว่าคู่กรณีนั้นใหญ่มากๆจริงๆค่ะ เปิดตัวคุณรีไวนี่มิยะหลับตาคิด จะทำยังไงให้อารมณ์คนๆนี้คือผู้มีอิทธิพล แต่ยังคงความเป็นผู้นำธุรกิจที่อยู่บนดินด้วย ผลออกมามันก็เลยออกแนวโคตรโหดแบบนี้แหล่ะ แต่มาดูกันว่าถ้าเจอเด็กแสบแล้วมันจะเป็นยังไง ติดตามตอนหน้าค่ะ
เป็นธรรมเนียมของฟิคฟ้าถล่มที่มิยะต้องสรรหาสถานที่ถ่ายทำ แต่ยังคงหารูปตึกโมเดลของจอร์จิโอไม่ได้ ฮ่าๆๆๆ ก็เลยเอาสถานที่ๆมีอยู่จริงมาให้ดูก่อน เป็นมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย หรือ  Upenn ที่หนูก๊กกับหนูเลนเรียนอยู่ แล้วนี่เป็นหน้าตาของตึกที่หนูเลนเรียนหล่า

วันนี้เม้าท์เพียงเท่านี้ เจอกันใหม่ค่ะ ตอนหน้ามิยะอาจจะอัพช้าหน่อย เพราะต้องเข้าค่ายปลีกวิเวกหนึ่งอาทิตย์ เอาไว้เจอกันค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียน


Miya


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น