Project : Happy birthday Gokudera Hayato
Au.Fic KHR 8059 [Yamamoto X Gokudera]
Ft. Levi X Eren
Drama Action
คำเตือน
เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย
หากท่านใดรับไม่ได้หรือไม่ต้องการรับรู้กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ฟิคเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น
ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือหน่วยงานใดๆที่อ้างถึง
SKYFALL : 19
จอร์จิโอกรุ๊ป
07:32 AM.
เอเลนเคยบอกกับตัวเองว่าเขาไม่มีทางแบกหน้าอ่อนๆนี่ไปหาโอเปอเรเตอร์ของท่านประธานโดยเด็ดขาด
แต่ตอนนี้คงถึงเวลาที่จะต้องทำอย่างนั้น
ในมือเขากำเอกสารเพียงสองสามแผ่นเย็บติดกัน
เป็นหลักฐานที่เขาส่งใบสมัครงานไปที่สายการบินโกคุเดระแอร์ไลน์
อีกชุดเป็นคำอนุมัติที่ทางนั้นบอกว่าคุณสมบัติขั้นต้นของเขาผ่าน
เตรียมรอการสัมภาษณ์และระบุชัดเจนว่าต้องมาสัมภาษณ์ที่สำนักงานใหญ่สถานเดียว
นี่เป็นแผนที่รุ่นพี่เขาจัดการไว้โดยต้องการให้จอร์จิโอปล่อยตัวเขาไปญี่ปุ่นให้เร็วที่สุด
ไอ้ได้ไปช้าหรือเร็วนั่นมันยังไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องกังวล
จะได้ไปหรือเปล่านี่สิปัญหา!
ตอนนี้ในหัวเขาอัดแน่นไปด้วยข้อมูลทางธุรกิจที่พี่ฮายาโตะส่งมาให้อ่าน
อารมณ์มันต่างกับการท่องจำหนังสือสอบนิดหน่อยตรงที่ว่าสิ่งที่รุ่นพี่เขาส่งมาให้ไม่ใช่บทความทางธุรกิจหนาเป็นปึก
แต่มันเป็นไฟล์พาวเวอร์พอยต์ง่ายๆ แถมยังมีไม่กี่สไลด์ ทำเป็นแผนผังพร้อมรูปภาพประกอบเชื่อมโยงต่อกัน
ระบุด้วยวลีหรือข้อความสั้นๆในกรอบ
แต่มันก็ทำให้เขาเข้าใจได้อย่างน่าประหลาดทั้งๆที่ไม่มีหัวด้านธุรกิจเลย
เรื่องนี้เขาคงต้องยกเครดิตให้รุ่นพี่ตนอย่างไม่มีข้อแม้
ท่านประธานสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียไม่เพียงแต่อ่านนิสัยคู่แข่งตัวเองเก่งเท่านั้น
แต่ก็ยังมองรุ่นน้องได้ทะลุปรุโปร่งด้วย ยังไงเขาก็เด็กสายวิทย์
ย่อมไม่มีทางเข้าใจเนื้อหาที่อุดมไปด้วยศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์ได้ ขนาดจะจำยังยาก เพราะงั้นเขาต้องการแค่เนื้อหาสั้น
ง่าย ได้ใจความและเป็นเหตุเป็นผล พอ!
มือบางตบแก้มตัวเองดังแปะ
ตอนนี้กายเขาพร้อม ใจก็พร้อม ความรู้ไม่ค่อยพร้อม...แต่ก็น่าจะพอไหว
เด็กหนุ่มร่างโปร่งสูดลมหายใจลึกๆแล้วเดินเข้าไปหาพี่สาวโอเปอเรเตอร์หน้าสวย
ฉีกยิ้มทักทาย
“สวัสดีครับ
ผมเอเลนจากแผนกไฟฟ้า ผมต้องการพบท่านประธาน”
“นัดไว้หรือเปล่าคะ”
พี่สาวพนักงานยังคงรักษาภาพพจน์ได้อย่างน่าชม เธอถามสวนกลับมาตามแบบฉบับ
ยิ้มได้องศามาตรฐานของพนักงานต้อนรับที่ดีด้วย เอเลนหัวเราะเหอะๆในใจ
น่าเสียดายที่แขกอย่างเขาอาจทำให้พี่สาวคนสวยทนได้ไม่นานนัก
“ไม่ได้นัดครับ
แต่ผมอยากรบกวนคุณช่วยแจ้งท่านประธานให้หน่อยว่าผมขอพบ
เอ่อ...ไม่ต้องบอกรายละเอียดอะไรมากมายครับ แค่ชื่อเท่านั้น”
ทันใดนั้นเอเลนก็สังเกตว่าคิ้วเรียวสวยของหญิงสาวเลิกขึ้นนิดๆ เธอทั้งแปลกใจทั้งนึกขัน
ที่ผ่านมาเธอถูกฝึกอย่างดีว่าให้คัดกรองคนขึ้นพบท่านประธาน
ต้องดูรายละเอียดข้อมูลส่วนตัวอะไรสาระพัน
วันนี้กลับมีเด็กประหลาดที่อยากจะขอสิทธิ์เจอผู้บริหารสูงสุดของจอร์จิโอกรุ๊ปด้วยชื่อกับตัวเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นต้องให้ท่านประธานเป็นฝ่ายเรียกพบนะคะ”
หญิงสาวค้านอย่างสุภาพ
“ปกติเลขาท่านจะแจ้งดิฉันว่ามีใครต้องขึ้นพบเป็นการส่วนตัวบ้าง
แต่วันนี้ไม่มีชื่อของคุณค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็แจ้งเลยแล้วกัน”
พลันเสียงราบเรียบฟังเย็นชาของหญิงสาวอีกคนก็ดังขึ้นข้างหลังเอเลน
เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดหันไปมองพร้อมๆกับพนักงานโอเปอเรเตอร์ลุกยืนขึ้นทักทายด้วยการผงกหัวแล้วยิ้มเจื่อนนิดๆด้วยความเกรงใจอย่างที่สุด
ซึ่งเอเลนก็คิดว่าผู้หญิงตรงหน้าก็น่าเกรงใจจริงๆ
เธอน่าจะอายุมากกว่าเขาไม่เท่าไหร่ แต่การแต่งตัวด้วยกางเกงขายาวสีดำกับสูทผู้หญิงเข้ารูปกับบรรยากาศรอบตัวทำให้เธอทั้งน่าเคารพและน่าเกรงขามในความเป็นผู้ใหญ่
ใบหน้าเธอสวยคมและคงจะมีเสน่ห์กว่านี้มากถ้ายิ้มออกมาแทนการแสดงอารมณ์นิ่งเฉย
ดวงตาสีดำสนิทหรี่ลงมองเขาเพียงชั่วครู่ ทะลุทะลวงเสียจนน่าขนลุก มันให้ความรู้สึกไม่ต่างจากตอนที่เขาโดนท่านประธานมองเลย
หญิงสาวละสายตาจากเขาก่อนจะเหลือบมองพนักงานโอเปอเรเตอร์
กล่าวด้วยถ้อยคำเย็นชามากขึ้น
“นักศึกษาฝึกงานคนนี้นัดกับท่านประธานไว้แล้ว
สามารถขึ้นพบได้เลย เคลียร์คิวไปอีกสองชั่วโมง
หรือไม่ก็จนกว่าฉันจะบอกว่าท่านประธานว่าง”
เท่านั้นพี่สาวพนักงานคนงามถึงกับหน้าซีดก้มทั้งหน้าทั้งตัวเหมือนตนเองถูกตำหนิทั้งทางสายตาและน้ำเสียงอย่างชัดเจนโดยไม่คาดคิด
มิคาสะกลอกตามองเด็กหนุ่มอีกครั้ง กล่าวสั้นๆว่าให้ตามมา
เอเลนยังคงสับสนแต่ก็เดินตามเธอไปอย่างว่าง่าย
เขาพอจะเดาออกว่าผู้หญิงคนนี้คงจะเป็นคนใกล้ชิดกับประธานจอร์จิโอหรือไม่ก็ผู้บริหารตำแหน่งสูงๆเลยทีเดียว
เพราะไม่ว่าเธอจะเดินผ่านใคร คนๆนั้นก็ส่งสายตามาทักทายเธอด้วยความนอบน้อม
“ฉันมิคาสะ”
หญิงสาวว่าขึ้นทำลายความเงียบ เธอเว้นวรรคไปหน่อยแล้วขยายความ “มิคาสะ
แอ็คเคอร์แมน เป็นเลขานุการของประธานรีไว”
เอเลนเบิกตากว้าง
ปากเผลออ้าซ้ำยังหุบไม่ลง ตอบรับเสียงตะกุกตะกัก “หมะ
หมายความว่าคุณก็เป็นญาติของท่านประธานอย่างนั้นเหรอ”
“เป็นลูกพี่ลูกน้อง
แต่ก็ใช่ว่าจะสนิทอะไร” มิคาสะตอบเรียบๆ เอเลนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ
อดคิดไม่ได้ว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว พี่เป็นไงน้องก็เป็นงั้น วิธีการพูดจา น้ำเสียง
ท่าทาง หรือแม้กระทั่งบรรยากาศอย่างกับโขลกกันออกมาขนาดนี้ก็สมแล้วที่จะไม่สนิทกัน
ดูท่าที่เกี่ยวข้องคงจะเป็นแค่ตำแหน่งประธานกับเลขาเท่านั้นแหล่ะ
ดีไม่ดีออกแนวเลขาที่ไม่เชื่อฟังเจ้านายตัวเองด้วยซ้ำ สังเกตจากการอนุญาตให้เขาขึ้นมาชั้นบริหารกับตัวเองโดยไม่แจ้งคนที่จะไปพบซักแอะ
“แล้วทำไมถึงเข้ามาช่วยผมล่ะ”
“ฉันไม่ได้ช่วยนายหรอก
แต่นายได้รับอนุญาตให้เข้าพบแล้วจริงๆ” เธอตอบ
“เมื่อวานท่านประธานบอกฉันว่าอาจจะมีนักศึกษาฝึกงานที่ชื่อเอเลนมาพบ
ก็เลยให้ฉันมาดักรอนายอยู่ที่ชั้นล่าง แถมยังระบุเวลาด้วยว่านายอาจจะมาตั้งแต่เช้า
ให้ฉันเฝ้าดูสถานการณ์ เผื่อนายจะเล่นแผลงๆเพื่อหาเรื่องขึ้นไปเจอเขาอีก”
ฟังแล้วเอเลนถึงกับอุทานในใจเบาๆอย่างกับเด็กโดนผู้ใหญ่จับผิดอีกรอบ
เธอเป็นถึงเลขาเขาก็ต้องรู้เรื่องเมื่อวานแน่อยู่แล้ว แต่ที่เขาคาดไม่ถึงก็คือท่านประธานจะจำได้ด้วยว่าวันนี้เขาอยากเจอ
แถมยังส่งคนมารับอีกต่างหาก
“แปลกนะ”
มิคาสะว่าในขณะที่จับจ้องเด็กหนุ่มข้างตัว “คนๆนั้นน่ะไม่เคยใส่ใจคำพูดของใคร
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากเองว่าจะมีคนเข้ามาหาทั้งๆที่ไม่ได้นัดอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
แล้วก็ไม่เคยสนใจว่าใครจะทำอะไร แต่เขาก็ดันสั่งกำชับให้ฉันมาจับตาดูนาย ท่านประธานไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน”
“เอ่อ...อาจจะเป็นเพราะเขากลัวก็ได้ละมั้ง
ฮะๆ เขาคงกลัวผมจะทำจอร์จิโอวุ่นวาย เมื่อวานยอมรับเลยว่าก่อคดีไว้ไม่ใช่น้อย
สมควรโดนไล่ออกเสียด้วยซ้ำ เพื่อป้องกันเขาก็เลยให้คุณมาคุม ไม่งั้นวันนี้เขาคิดว่าบริษัทตัวเองอาจจะโดนตัดน้ำไม่ก็โดนเอามะเขือเทศปาใส่กระจกเพิ่ม”
เอเลนหัวเราะแห้งๆ เกาข้างแก้มนึกเดาในหัวไปเรื่อยแล้วว่าตามความรู้สึก“เป็นผมผมก็กลัว
จะไม่ส่งเลขามาดูคนเดียวหรอก สมควรเอาบอดี้การ์ดตัวใหญ่ๆมาสมทบอีกสักห้าหกคนเลยมากกว่า”
มิคาสะฟังแล้วอดยิ้มไม่ได้กับความช่างคิดของเด็กฝึกงาน
เธอพอจะเข้าใจลางๆแล้วว่าทำไมพี่ชายเธอถึงได้แปลกไปเมื่อคุยกับเด็กคนนี้
เธอยังรู้สึกเลย
แต่เด็กคนนี้คงไม่รู้ตัวหรอกว่าคดีที่ตนเองก่อมันส่งอิทธิพลกับรีไวมากกว่านั้น
โดยเฉพาะเจ้านมสดร้อนกับครัวซองต์ชิ้นโตที่เธอเห็นรีไวหิ้วติดกลับมา
คงเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นผนวกกับการไม่ค่อยฟังคำสั่งหากเป็นเรื่องเล็กน้อยเธอจึงเลือกที่จะยืนรอรีไวอยู่ที่รถแทนที่จะกลับไปก่อนตามที่เขาบอก
เธอจึงมีโอกาสได้เห็นสิ่งที่มันเห็นได้ยากมากๆตั้งแต่เธอเกิดมา อย่างแรกก็คือสีหน้าที่ผ่อนคลายแฝงไปด้วยอารมณ์ดีนิดๆของประธานจอร์จิโอแล้วยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อเหลือบมองของกินในถุงนั่น
อย่างที่สองก็คือเธอมีโอกาสได้เห็นรีไวทานอาหารตอนกลางคืน ไม่ใช่กลับไปที่คอนโด
แต่เป็นในรถ เรียกได้ว่าทันทีที่รถออกนั่นล่ะ เหตุการณ์นี้สร้างความแปลกใจให้ลูกน้องทุกคนแม้จะไม่มีใครกล้าถามที่มาของของกินพวกนั้นก็ตาม
แต่ถ้ามันมาจากเด็กคนนี้
เธอว่าก็คงจะไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่
เมื่อถึงประตูบานใหญ่มิคาสะเคาะประตูสองสามที
จากนั้นจึงเปิดเข้าไป
ห้องทั้งกว้างทั้งหรูยังทำให้เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดประหม่าได้เหมือนเดิม แถมวันนี้ไฟฟ้ายังครบถ้วน
มีความเย็นเครื่องปรับอากาศเพิ่มเข้ามาโดยที่เขาก็ไม่เข้าใจว่าท่านประธานจงใจเปิดประชดเขาหรือเปล่าทั้งๆที่อากาศยามเช้าของเดือนกุมภาพันธ์ในยุโรปมันก็ยังหนาวอยู่
เอเลนรู้สึกตัวเองตัวลีบเล็ก
แต่ละย่างก้าวของเขาจากประตูมันเบาอย่างกับแมวย่อง จนมิคาสะต้องคว้าข้อมือเขากึ่งจูงกึ่งลากให้เข้าใกล้โต๊ะของท่านประธานเร็วขึ้น
สุดท้ายแล้วเขาก็มายืนเจี๋ยมเจี้ยมอยู่เบื้องหน้าบุรุษที่นั่งอ่านเอกสารอยู่
เขายังคงดูดีและสมบูรณ์แบบในชุดสูทและยังแผ่รังสีได้น่าเกรงขามเหมือนเดิม
เอเลนไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าว่าวันนี้เขารู้สึกว่าสู้หน้าเจ้านายตัวเองไม่ติดยิ่งกว่าวันทำไฟดับซะอีก
ยิ่งห้องเงียบ เขายิ่งอยากเนรเทศตัวเองออกไปถ้าไม่ติดว่ามิคาสะยืนขวางปักหลั่นอยู่ข้างหลังล่ะก็
เอเลนสะดุ้งเฮือกเมื่อดวงตาคมปลาบสีเทาเหลือบขึ้นจากกองเอกสารแล้วจ้องเขานิ่ง
มือแกร่งวางปากกาแล้วเท้าศอกทั้งสองข้างกับโต๊ะ
จากใบหน้าเรียบเฉยเริ่มจะมีร่องรอยของความไม่สบอารมณ์เพิ่มเข้ามาทีละน้อยๆ
เหมือนกับว่าการที่เขายืนตรงนิ่งๆแบบนี้มันเป็นความผิดมหันต์
“ทักเขาไปสักคำสิ”
แล้วถ้อยคำเฉลยก็ดังแผ่วเบาจากมิคาสะที่อุตส่าห์ก้าวเข้ามากระซิบ
เอเลนฟังแล้วอยากจะยิงหัวตัวเองทิ้ง เขาตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
ในหัวมีภาพสไลด์ของพี่ฮายาโตะฉายเข้ามาแบบติดๆดับๆ
มันเขียนบอกมารยาทของการติดต่อเจรจาธุรกิจเอาไว้ด้วย
แล้วข้อแรกเลยก็คือการแสดงไมตรีจิตด้วยการกล่าวทักทายก่อน
สอบตก! แค่เข้าห้องนายก็สอบตกแล้วเอเลน
เยเกอร์!
“คือ...สวัสดีนะครับ”
ถึงจะช้าไปหน่อยก็เถอะ เขาก็ทักเจ้านายไปจนได้ อีกฝ่ายไม่ทักกลับ
แต่เบนสายตามาตกอยู่หน้าโต๊ะตัวเองมากขึ้น
ซึ่งเอเลนเพิ่งเห็นว่ามีเก้าอี้วางไว้อยู่หนึ่งตัว เหมือนจะเป็นตัวเมื่อวานด้วย
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยสั้นๆ
“นั่งสิ”
สิ้นคำอนุญาต
เอเลนก็จ้องเก้าอี้ตัวที่ว่า เขารู้ทันทีว่าวันนี้เขาไม่สามารถนั่งตรงนั้นได้
ที่ๆเหมาะกับเขาตอนนี้ก็คือเจ้าโซฟาตัวสีน้ำเงินที่เขานึกแขยงมันตั้งแต่แรกพบ
ยิ่งท่านประธานบอกว่ามันมีให้พนักงานสถานะใกล้ถูกปลดนั่ง เขายิ่งขยาดมัน
เอเลนยิ้มจาง
โค้งขออนุญาตเล็กน้อยก่อนจะเดินถอยไปข้างหลังแล้วนั่งลงกับโซฟาในที่สุด
“วันนี้ผมว่าผมสมควรนั่งอยู่ตรงนี้ครับ...เพราะที่ผมมาพบคุณ
ผมต้องการมาลาออก”
คิ้วเข้มได้รูปขมวดเข้าหากันทันที
เช่นเดียวกับมิคาสะที่เหลือบมามองเด็กหนุ่มคนพูดเช่นกัน ดวงตาสีเถ้าถ่านหรี่ลงราวสัตว์ร้ายเวลาล่าเหยื่อ
เช่นเดียวกับน้ำเสียงของเขาที่ฟังดูจะโกรธมากกว่าสับสนหรือตกใจ
“ว่ายังไงนะ”
“ผมต้องการที่จะย้ายสถานที่ฝึกงานครับ”
เอเลนขยายความ ก่อนจะวางเอกสารสองสามชุดไปบนโต๊ะ
“คือผมต้องการที่จะฝึกงานกับบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการบินโดยตรงและได้หาโอกาสให้กับตัวเองมาโดยตลอด
ซึ่งเมื่อสองวันก่อนบริษัทสายการบินใหญ่แห่งหนึ่งในญี่ปุ่นต้องการรับสมัครวิศวกรคนใหม่หนึ่งตำแหน่ง
ผมก็เลยลองส่งประวัติกับความสามารถคร่าวๆของตัวเองไป ฟลุ้คจัดเลยที่เขาให้ผ่าน”
ใบหน้าเด็กๆนั้นเปื้อนรอยยิ้มพร้อมกับเสียงหัวเราะแหะๆปิดท้ายยิ่งทำให้สองคนฟังนิ่งอึ้ง
รีไวทิ้งงานทั้งหมดไว้กับโต๊ะแล้วสาวเท้าอย่างรวดเร็วมาอยู่ตรงหน้าเจ้าเด็กตัวปัญหา
เขารีบนั่งลงตรงข้าม เช่นเดียวกับมิคาสะที่จับจองที่นั่งฝั่งซ้ายมือของเอเลน
มือแกร่งยกเอกสารบนโต๊ะขึ้นดู เขาไม่สนใจผลว่าเจ้าเด็กนี่สอบผ่านอย่างที่เล่าจริงไหม
สิ่งที่แรกที่ดวงตากลอกหาเลยก็คือชื่อของบริษัท
ตอนที่เด็กนี่กรอกประวัติการฝึกงานก็ต้องระบุเป็นชื่อของที่นี่
แล้วการที่ได้ผ่านแสดงว่าบริษัทการบินนี้กล้าบ้าบิ่นกระทั่งดึงตัวเด็กฝึกงานของจอร์จิโอกรุ๊ปไป
แต่ฉับพลันทั้งตราทั้งชื่อที่อยู่หัวกระดาษทำให้เขาขึงตา
ตวัดจ้องเจ้าเด็กตรงหน้าเขม็ง
“โกคุเดระแอร์ไลน์?”
“ครับ
เจ๋งไปเลยใช่ไหม” เอเลนยิ้มกว้าง “สายการบินที่ใหญ่และได้รายได้สูงที่สุดในเอเชีย
ภายใต้การบริหารของเด็กหนุ่มจบปริญญาเอกวัยสิบเก้าปี”
ชื่อของโกคุเดระ
ฮายาโตะแล่นวาบเข้ามาในหัวของรีไวทันทีที่ได้ฟัง เท่านั้นเขาก็รู้และไร้ข้อกังขาโดยสิ้นเชิงว่าทำไมทางนั้นถึงไม่กลัวและกล้าเสี่ยงกับจอร์จิโอถึงขนาดนี้
ทั้งความมั่นคง ความยิ่งใหญ่ รายได้ กำไร ความสามารถ
ศักยภาพของบุคลกรทั้งคนทำงานผู้บริหาร รวมถึงคุณภาพของเครือธุรกิจและหุ้นอยู่ในระดับท็อปของธุรกิจโลก
แม้แต่เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าทั้งหมดทั้งมวลจะวางอยู่บนมือของเด็กวัยรุ่นรูปร่างบอบบางคนหนึ่ง
แต่เมื่อผ่านเหตุการณ์จากเบธิลด์
ทาวเวอร์มาแล้วเขาก็เชื่อโดยสนิทใจ
ว่าโกคุเดระตั้งตัวอยู่บนกระแสเศรษฐกิจได้อย่างงดงามสมชื่อจริงๆ
แต่เขายังไม่คิดหรอกนะ ว่าหัวนกเหล็กตัวยักษ์ของเอเชียจะหันมาทางจอร์จิโอ
แต่ถึงหันมา ก็อย่าหวังว่าอะไรจะสำเร็จอย่างราบรื่นเหมือนอย่างที่ผ่านๆมา
“นายรู้อะไรไหม
ว่าที่ผ่านมาโกคุเดระแอร์ไลน์กับเราไม่เคยมีการถ่ายโอนพนักงานให้แก่กัน”
“ครับ ก็พอทราบ”
เอเลนรับ รีไวเอนหลังพิงพนักยกมือขึ้นกอดอก ถามไป
“แล้วรู้ถึงเหตุผลไหม”
เนื้อหาในสไลด์ที่รุ่นพี่ของเขาให้อ่านไหลเข้ามาในหัวเป็นช็อตๆ
เอเลนเลือกที่จะเอาข้อมูลพื้นฐานที่มันถูกแยกเป็นตารางอย่างชัดเจนมาตอบ “ธุรกิจทั้งสองไม่อยู่ในกรอบของการทับซ้อนหรือคล้ายคลึงกันในเชิงความรู้ความสามารถของพนักงาน
หรือต่อให้มีความต้องการที่จะยักย้ายจริงๆความมั่นคงระหว่างโกคุเดระกับจอร์จิโอกรุ๊ปก็ไม่ต่างกันมากนักด้วยสถิติย้อนหลังสิบปี
ทั้งหุ้น จำนวนลูกค้าขาประจำ ผลตอบรับก็อยู่ในระดับที่คู่คี่มาโดยตลอด
แลกกับต้องไปทำงานในต่างแดน หาสถานที่อยู่ใหม่ ปรับการใช้ชีวิตใหม่ที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวระหว่างประเทศตะวันตกกับออก
มันก็คงไม่คุ้ม
นี่อาจจะเป็นสาเหตุขั้นต้นที่คุณกับโกคุเดระไม่มีประวัติการย้ายพนักงานแก่กันและกัน”
“ใช่
แล้วยิ่งเป็นเด็กฝึกงาน ยิ่งไม่ควร” ประธานแห่งจอร์จิโอยื่นคำขาด โดยเฉพาะคำว่า ‘ไม่ควร’
เอเลนฟังแล้วมันน่าจะเป็นคำว่า ‘ห้ามไป’ เลยด้วยซ้ำ
“ทางมหาวิทยาลัยนายว่ายังไง”
“ผมโทรไปหา Adviser ของตัวเองตั้งแต่เช้าแล้วครับ แกต้องการคำอธิบายอยู่บ้าง ผมก็ชี้แจงไป
เขาก็เลยเข้าใจและส่งเรื่องให้อธิการบดีอนุมัติ” เอเลนตอบทันที
“คุณก็คงทราบอยู่แล้วว่าท่านประธานโกคุเดระน่ะจบมหาลัยเดียวกับผม
แล้วเรียกว่าเส้นใหญ่มากด้วย ถ้าหากเขาแค่อยากดึงเด็กปีสองคนหนึ่งไปทำงาน ทางมหาลัยไม่มีเหตุผลอะไรต้องค้านชนิดหัวชนฝาถึงแม้ผมจะอยู่ในความดูแลของคุณก็ตาม
ก็อย่างที่คุณก็ยอมรับเองว่าระหว่างที่นี่กับที่นั่นทำงานที่ไหนก็ไม่ต่างกัน”
สองตระกูลแอ็คเคอร์แมนได้ฟังแล้วก็อดเงียบไปไม่ได้เมื่อถูกดักทางด้วยคำย้อนกลับที่พวกเขาสองคนไม่มีสิทธิ์เถียง
สัญชาตญาณของน่าล่าในวงการเริ่มทำให้พวกเขาตื่นตัวเมื่อบรรยากาศการสนทนามันเริ่มที่จะเปลี่ยนไป
“แม้กระทั่งจะเป็นนักศึกษาที่มี
GPA
สะสมสูงมากๆอย่างนายก็ตามอย่างนั้นเหรอ” รีไวแย้งอย่างไม่เข้าใจ
เขาไม่คิดว่า Upenn จะกล้าเห็นแก่เส้นเด็กเก่ามากกว่าศิษย์ปัจจุบันที่คิดอยากจะยกให้ใครก็ให้
อยากจะส่งไปไหนก็ไป แล้วที่สำคัญที่สุดไม่เห็นหัวเขาสักนิดเลย
“คุณอย่าดูถูกศิษย์เก่าฟ้าประทานที่เป็นผู้มีอุปการคุณบริจาคเงินสมทบทุนมหาลัยเป็นล้านต่อปี
ให้เกียรติสละเวลามีค่ามาเสวนาให้นักศึกษา MBA ฟังครั้งละหลายชั่วโมง
เขาคือต้นแบบบัณฑิตที่เพอร์เฟ็ค อาจารย์เอ็นดู รุ่นน้องเคารพ รุ่นพี่ยอมรับ
เขามีอิทธิพลต่อ Upenn มากขนาดที่คุณคาดไม่ถึงจริงๆครับ”
เอเลนหัวเราะหึๆอธิบายคำถามในใจอีกฝ่ายแม้จะไม่เปิดปากถาม ย้ำไปอีก “ต่อให้ผมเกรดสูงแค่ไหนก็ยังถือเป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่ง
ทางมหาวิทยาลัยมีปัญญาปั้นเด็กแบบนี้อีกเป็นร้อยเป็นพันคน อีกอย่างก็คงเป็นด้วยธรรมชาติของอเมริกา
ประเทศที่ใครจะทำอะไรก็ได้ภายใต้กฎหมาย คณาจารย์ยังคงเห็นอิสระของนักศึกษาเป็นหลัก
ถ้าผมมีความต้องการเขาย่อมรับฟังน่ะครับ”
“หมายถึงนายสมัครใจไปทำงานที่ญี่ปุ่นเอง”
“ครับ”
เอเลนตอบทันที แล้วนิ่งเพื่อสังเกตสีหน้าของคนถามสักพักก็รีบอธิบายเพิ่ม “เอ่อ
ผมไม่ได้โดนบังคับ ขู่เข็นอะไรทั้งนั้นเลย คุณอย่าเข้าใจผิดนะครับ
อีกอย่างประธานโกคุเดระเขาก็..อือ...พ่อค้าเจ้าของธุรกิจธรรมดาที่รับสมัครวิศวกรการบิน
ผมที่อยากทำงานนี้อยู่แล้วก็เลยลองสมัครไป เป็นเหตุผลง่ายๆอย่างนี้แหล่ะ”
ฟังเด็กอายุสิบเจ็ดอธิบายแล้วรีไวปั้นหน้าดุยิ่งกว่าเดิมในขณะที่มิคาสะถึงกับต้องเบือนหน้าออกเล็กน้อยเพื่อกลั้นรอยยิ้มขำ
ขำทั้งคนพูดทั้งคนฟังนั่นแหล่ะ พี่ชายเธอคงอดฉุนไม่น้อยกับคำว่า ‘พ่อค้าเจ้าของธุรกิจธรรมดา’
เอเลนคงนึกว่ารีไวตีคาร์แร็กเตอร์ท่านประธานโกคุเดระผู้เลื่องลือคนนั้นมีรายชื่ออยู่ในพ่อค้าหนีภาษีเหมือนกันสินะ
ช่างจะคิดเข้าไปได้
ผู้บริหารสูงสุดของจอร์จิโอโน้มตัวเข้าใกล้เด็กหนุ่มอีกนิด
จ้องลึกเข้าไปในดวงตา
“นอกจากอยากไปทำงานที่โน่น
ก็ไม่มีเหตุผลอื่นที่จะไปแล้วใช่ไหม” เอเลนเลิกคิ้วนิดเหมือนแปลกใจที่ได้ยินคำถาม
แต่เขาก็ตอบไปตามความจริง
“ก็...ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไป”
รีไวพูดต่อทันทีโดยไม่ทันให้เด็กหนุ่มได้ตั้งตัว เอเลนถึงกับอ้าปากเหวอเมื่อโดนผู้ใหญ่ตรงหน้าเถียงเอาง่ายๆ
แถมมันยังไม่มีเหตุผลต่อท้ายด้วยอารมณ์เหมือนเด็กที่ขอพ่อแม่ไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วเจอคำปฏิเสธทันที
แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลอื่นจะอ้างจริงๆนั่นแหล่ะ
ไม่เข้าใจว่าแค่อยากไปนี่มันไม่เพียงพอตรงไหน
มันคือสิ่งพื้นฐานที่คนจะประสบความสำเร็จต้องมีเลยด้วยซ้ำ! ความพอใจในงานตัวเองเนี่ย!
“ทำไมล่ะครับ”
“นั่นก็เพราะนายจะทำงานโดยเอาความอยากเป็นที่ตั้งไม่ได้”
เขาตอบเรียบๆทว่าจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน “นายไม่ใช่เด็กสิบขวบที่พอเบื่อของเล่นอันนั้นก็จะหาชิ้นใหม่
ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปตามใจตนได้หมดทุกอย่าง ยิ่งเรื่องงานยิ่งสำคัญ
รับประกันได้แค่ไหนว่าในอนาคตนายจะไม่ทิ้งงานอยู่ตรงหน้าไปซะดื้อๆด้วยเหตุผลมักง่ายว่าอยากไปทำอย่างอื่น”
โลกที่เจ้าเด็กนี่ก้าวเข้ามาค่อนตัวไม่ใช่โลกที่แค่มีความคิดง่ายๆว่าอยากทำ
คิดว่าตัวเองทำได้ สู้ได้หรือแค่มีหัวนิดหน่อยก็เอาตัวรอดไปทุกๆครั้ง
มันยังต้องอาศัยและเสี่ยงอะไรอีกมากมาย มีทั้งได้และเสีย ชิงไหวชิงพริบกันอยู่ทุกวินาที
กว่านั้นก็คือการยืนหยัดอดทนได้ยามต้องล้ม ทนไม่ได้ ก็อยู่ไม่ได้
เอเลนเม้มปากอย่างคิดหนัก
เขานึกอยู่แล้วว่าการมาคุยกับนักธุรกิจระดับท็อปมันไม่ใช่เรื่องง่าย นี่ขนาดยังไม่ได้เริ่มเจรจาเลย
เขาก็โดนอีกฝ่ายฉะเป็นแผลเหวอะ แถมยังถูกข่มเชิงด้วยเรื่องอาวุโสอีกแน่ะ
เขาไม่ปฏิเสธว่าทุกคำพูดที่ท่านประธานตอกย้ำกับเขา
มันแสบทรวงชวนให้เถียงออกไปสักคำ
แต่ก็เถียงไม่ออกเพราะเหตุผลผู้ใหญ่ๆแบบนี้นี่แหล่ะ
ใช่
ท่านประธานรีไวเป็นผู้ใหญ่ ประสบการณ์ในวงการนี้สูงกว่าพี่ฮายาโตะของเขาเป็นสิบๆเท่า
แน่นอนว่าต้องสูงกว่าเขาเป็นร้อยเป็นพันเท่าด้วย
พลันคำพูดของพี่ชายที่ฝากเอาไว้แนบมาในเมลล์พร้อมไฟล์พาวเวอร์พอยต์ก็ผุดขึ้นในหัว
‘เอเลน
แกไม่ต้องคิดมาก แล้วก็ห้ามดูถูกตัวเองว่าแกเป็นแค่เด็กฝึกงาน เขาเป็นถึงหัวหน้าสูงสุด
แกมาเพื่อเจรจา ไม่ใช่สัมภาษณ์เข้าบริษัท
กฎของเจรจาไม่มีข้อไหนที่บอกว่าผู้น้อยหรือผู้ที่โง่กว่าจะแพ้
เราแค่ใช้คำพูดของเราโน้มน้าวให้เขาตอบตกลงในสิ่งที่เราต้องการ เราได้ เขาได้
เราพอใจ เขาพอใจ เกิดจุดตัดที่สมดุลทุกอย่างก็จะลงล็อก โลกธุรกิจมันตั้งอยู่บนพื้นฐานแค่นี้แหล่ะ’
เขาจะโทษใครดีระหว่างคำพูดที่ชวนฟังอยู่เสมอของรุ่นพี่หรือนิสัยลึกๆส่วนตัวของตนเองที่มันไม่เคยนึกกลัวอะไร
ตอนนี้รู้สึกว่าหัวใจตัวเองรัวกระหน่ำเพราะความตื่นเต้น
เสียงของตัวเองดังก้องอยู่ทั้งสองหูว่าให้เดินหน้าต่อซะ นายจะถอยตั้งแต่ยังไม่ได้ออกจากเส้นสตาร์ทไม่ได้
ไม่ได้เด็ดขาดเลย เอเลน เยเกอร์!
“ครับ
ผมทราบดีว่าการทำงานยิ่งทำกับคนหมู่มากแบบนี้มันเอาความต้องการของตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ได้”
เด็กหนุ่มกล่าวเสียงราบเรียบหากแต่กังวานและแฝงไปด้วยบรรยากาศบางอย่างให้ชวนตามฟังไปทีละคำๆ
แต่ดวงตาสีมรกตกลับเป็นประกายอย่างประหลาดมองหน้าคู่สนทนาแน่วแน่
“เพราะอย่างนั้นผมจึงคิดให้มีคนอื่นที่ได้ผลประโยชน์จากการที่ผมจะไปทำงานให้โกคุเดระแอร์ไลน์ด้วย
ซึ่งคนๆนั้นก็คือคุณ ท่านประธานรีไว”
เจ้าของชื่อขมวดคิ้วในบัดดล
เสียงทุ้มต่ำกดถามทันที “ว่าไงนะ”
“ผมมีข้อเสนอที่จะแจงให้คุณฟังถึงประโยชน์ที่คุณจะได้รับเมื่อปล่อยผมให้ไปทำงานกับโกคุเดระ
ผลประโยชน์นี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคุณจะไม่ปฏิเสธ อยากจะลองฟังดูหน่อยไหมล่ะครับ”
เมื่อจบประโยคของเด็กหนุ่มห้องทั้งห้องก็เงียบ
บรรยากาศรอบตัวของเอเลนยังคงดูสบายเช่นเดิมแต่ทว่าความจริงจังที่ส่งผ่านมานั้นราวกับไปถ่วงให้มันค่อยๆหนักอึ้งทีละน้อย
ไอกดดันจางๆแผ่มาชัดจนคนที่สัมผัสความรู้สึกนี้มาโชกโชนอย่างประธานแห่งจอร์จิโอต้องเปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งเครียดเป็นเริ่มระแวง
“การที่นายจะไปทำงานที่โกคุเดระ
ฉันจะได้ผลประโยชน์?” ชายหนุ่มว่าช้าๆทบทวน เอเลนพยักหน้า
“ตำแหน่งที่ผมสมัครไปคือในส่วนของการซ่อมบำรุงอากาศยาน
ตอนนี้โกคุเดระแอร์ไลน์กำลังมีโครงการพิเศษเพิ่มเครื่องบินขนส่งลำเลียงสินค้า
ทางประธานโกคุเดระต้องการเครื่องบินที่มีความเร็วสูงและมีประสิทธิภาพกว่าการส่งไปรษณีย์ทางอากาศเท่าที่เคยมีมาน่ะครับ”
เอเลนเกริ่น ชายหนุ่มขมวดคิ้วคิดตาม ถามต่อ
“รับกี่ตำแหน่ง”
“ตำแหน่งเดียวครับ...คิดว่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็แปลก”
ท่านประธานแห่งจอร์จิโอตั้งข้อสังเกตทันที
เขาเน้นเสียงหนักอย่างที่ไม่ปล่อยให้เด็กหนุ่มได้ตั้งตัว
“มันแปลกตั้งแต่นายบอกว่านายสมัครไปแล้ว โกคุเดระแอร์ไลน์ไม่ใช่บริษัทเล็กๆที่อยากจะได้พนักงานก็ติดประกาศเชิญชวนใครอยากเข้าก็เข้าได้
ทุกอย่างต้องผ่านการคัดสรร เพราะฉะนั้นมันจะมีซะก็แต่การทาบทามและดึงตัว
และถ้าฉันเดาไม่ผิด โกคุเดระ ฮายาโตะก็ทำแบบนั้นกับนายไปเรียบร้อยแล้ว...ใช่ไหม?”
เอเลนแทบไม่กล้าหายใจ มือเท้าเย็นชืดชุ่มเหงื่อทันทีเมื่อฟังคำวิเคราะห์ตรงๆจากคนเป็นผู้ใหญ่กว่า
ทุกคำพูดส่งมาพร้อมกับสายตาคมกริบที่จ้องไม่คิดปล่อยราวกับว่าถ้าไม่ได้คำสารภาพจากปากก็จะแผ่รังสีกดดันจนเขาเป็นบ้าตาย
ซึ่งก็สมใจท่านประธานแล้ว ตอนนี้เขาคิดจะเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ
เขาเคยเตือนรุ่นพี่ตัวเองไปแล้วว่าไอ้วิธีนี้มันไม่เวิร์ค
มันกลบเกลื่อนเรื่องที่พี่คิดย่องตอดมาดึงเขาออกจากรังพญาอินทรีนี่ไม่ได้หรอก
แต่เจ้าพี่ปิศาจตนนั้นกลับตอบเขากลับอย่างสบายๆด้วยว่าไม่เป็นไร
การรับสมัครนี่เพียงแค่จัดฉากให้เขามีหลักฐานยินยอมพร้อมใจไปทำงานที่โกคุเดระแอร์ไลน์เท่านั้น
จะเร็วจะช้าความก็ต้องจริงก็ต้องแตกออกมาอยู่ดี
เอเลนยอมรับเลย
มันแตกเร็วมาก เพราะคนอย่างเขาอย่าได้ลองโกหก อย่าได้ลองปิดบัง
เพราะมันไม่มีทางรอด และกับเจ้านายคนนี้ เขารับประกันเลยว่าต่อให้ปีกกล้าขาแข็ง
เขาก็คงจะไม่กล้าโกหกไปชั่วชีวิตแน่นอน
เมื่อเห็นเด็กตรงหน้าเอาแต่นิ่งเงียบ
รีไวถึงได้ย้ำคำถามด้วยน้ำเสียงดุจัด
“ตอบมาว่าใช่หรือไม่ใช่!”
เอเลนสะดุ้งเฮือก ตอบทันทีเหมือนพลทหารรับคำผู้บังคับบัญชา
“คะ
ครับ ใช่ครับ”
“งั้นนายกับโกคุเดระ ฮายาโตะก็รู้จักกัน?”
ท่านประธานแห่งจอร์จิโอซักต่อ เอเลนรู้สึกหัวเขาเริ่มติดพนักโซฟามากขึ้น
เท้าจิกแน่นกับพื้นพรมนุ่มๆ แบบนี้มันชักห่างไกลการเจรจาขึ้นมาทุกทีแล้วนะ
เจ้านายเขาน่ากลัวเป็นบ้า!
“ก็รู้จักในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกัน” เด็กหนุ่มตอบเสียงเบา
หวนคิดไปแล้วอดเหนื่อยใจไม่ได้ “แต่พอถึงตอนนี้แล้วผมไม่อยากสนิทกับเขาเลย” จากนั้นก็ระบายลมหายใจชุดใหญ่ออกมาเต็มที่อย่างไม่เกรงใจใคร
เอเลนซุกหน้ากับฝ่ามือของตัวเองอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ทำท่าอย่างกับจะปล่อยเสียงกรีดร้อง เพียงแต่มันยังคงเงียบ
สิ่งที่หลุดดังอู้อี้ออกมาคือคำถามที่ฟังดูไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เป็นประเด็นสนทนาเลย
“ผมขอพูดอะไรหน่อยได้ไหม”
“อะไร”
เอเลนสูดลมหายใจลึก
เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมคายที่ยังนิ่งสนิทแต่ก็เงียบฟังเขาอย่างตั้งใจ
นั่นเป็นเหมือนกุญแจที่ปลดล็อคความรู้สึกที่กดเอาไว้ตลอดสองวันมานี้
เอเลนไม่ยอมทิ้งโอกาสเก็บมันเอาไว้อีกแน่ เขาปล่อยลมหายใจยาวเป็นครั้งสุดท้าย
พร้อมๆกับความในใจทั้งหมดที่ไม่คิดกักเก็บ
“ผมล่ะแค้นเจ้ารุ่นพี่ยอดมนุษย์จนถ้าคิดว่าเจอหน้าคงต้องให้เลี้ยงข้าวกระเป๋าฉีกที่ส่งผมมาทำงานนี้! สองวันนี้คุณอาจจะตั้งคำถามกับตัวเองว่าไอ้เด็กประหลาดอยู่ตรงหน้านี่เป็นใคร
ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้ด้วยสีหน้าไม่เดือดไม่ร้อน ไม่กลัวเหรอ ผมพูดตรงๆ ผมกลัวมาก
แถมยังโคตรเครียด! เครียดมาก! ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมาทำอะไรแบบนี้เลย
ไม่คิดที่จะเผชิญหน้าทำตัวอวดดีกับคุณสักนิด
ถึงตอนเรียนอยู่ผมจะถือว่าเป็นระดับท็อปก็เถอะ แต่ผมก็ยังรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า
ระดับคุณคงถือว่าหลุดชั้นบรรยากาศไปเลยด้วยซ้ำ มันต่างกันเกินไปอ่ะ
ผมไม่เห็นหนทางที่จะเจรจายังไงให้คุณตอบตกลงได้เลย
ทุกอย่างมันดูไกลตัวจนผมต้องทบทวนตนเองว่ามานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ หวังเหรอ!?
หวังว่าคุณจะเซย์เยส โอเค เอเลน เยเกอร์ นายไปญี่ปุ่นได้งั้นเหรอ
แค่คิดก็รู้เลยว่านี่มันวิมานกลางอากาศชัดๆ! วิมานยังน้อยไป
เอาตึกแฝดสี่ The Best เลยดีกว่า!”
เด็กหนุ่มหอบหายใจ
เขาอาละวาดเอาแต่ใจซะจนหมดแม็กซ์ซ้ำยังไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
แม้อินทร์กับพรหมนั้นจะคือสองคนที่ใหญ่ที่สุดในบริษัทนี้ก็ตามที
รู้อย่างเดียวว่าถ้าวินาทีนี้เขาไม่ปล่อยมันออกมาเขาคงได้เป็นอะไรไปสักอย่าง
ไม่ตะคริวกินทั่วร่างก็โรคเครียดลงกระเพาะ ได้ผล...มันทำให้เขาโล่งขึ้นจม
ไม่ถึงกับเบาโหวงแต่ก็พอให้เขาตั้งลำได้
นึกขอบคุณสองแอ็คเคอร์แมนที่ยอมนั่งมองเขาเงียบๆไม่ขัดอะไร
หรือไม่ยกปืนขึ้นส่องเขาเดี้ยงไปซะเพราะความรำคาญ
“แต่ถึงอย่างนั้น...”
เสียงใสๆว่าขึ้นอีก “ถึงอย่างนั้น...ผมก็จะทำ
ถึงผมคิดว่าตัวเองไม่สมควรที่จะอยู่ที่นี่ แต่สุดท้ายก็ต้องกระเสือกกระสนมาอยู่ดี
เพราะฉะนั้นผมขอบอกให้คุณรู้ไว้ว่านี่คือความตั้งใจ
ไม่ใช่ความคิดชั่ววูบหรือทำไปเพราะอารมณ์ตัวเอง”
รีไวนิ่งอึ้ง
สบกับดวงตาสีมรกตวาววับแน่วแน่มั่นคงและเปี่ยมไปด้วยพลังราวกับจะสะกดเวลาให้หยุดลงเพื่อฟังคนพูดณ
วินาทีนั้น
ความรู้สึกที่ส่งผ่านมาบอกเขาอย่างชัดเจนว่าเจตนารมณ์ของเด็กคนนี้ที่จะไปทำงานที่ญี่ปุ่นนั้นมันหนักแน่นแค่ไหน
ไม่เกี่ยวกับเงินทอง ไม่เกี่ยวกับชื่อเสียง ไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับผู้บริหารของที่นั่น
แต่มันคือความปรารถนาที่จะได้ทำตามความฝัน และอย่าได้คิดจะเอาอะไรมาแลก
“ถ้าอย่างนั้นผมขอสารภาพครับว่านี่ไม่ใช่การเจรจาของคุณกับผมหรอก
แต่เป็นคุณกับท่านประธานโกคุเดระ” เด็กหนุ่มยิ้มมุมปาก
“คิดในอีกแง่นี่ก็เป็นโอกาสดีที่คุณจะได้รู้ความคิดความอ่านของเจ้าของกิจการอายุสิบเก้าที่คุณไม่เคยต่อกรกับเขาตรงๆ
โปรดรับฟังด้วยนะครับ”
“ก็ถือว่าน่าสนใจ”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นในที่สุดพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆที่เอเลนคิดว่าตัวเองตาฝาดไป
สีหน้าที่เคยเย็นชาอยู่เสมอของเจ้านายเขาฉาบไปด้วยอารมณ์สนุกสนานอยู่จางๆ “และถ้าเป็นถึงการเจรจากับโกคุเดระ ฮายาโตะ
อย่าหวังว่าฉันจะถอยให้ ส่วนนายก็เป็นตัวแทนกำลังทำธุรกิจระหว่างประเทศอยู่
อย่าคิดหนีเหมือนกัน”
ถ้าจะเตือนขนาดนี้
ขู่ฆ่ากันเลยดีกว่าไหม! เอเลนลอบทำหน้าขยาด แต่ก็เป็นอย่างที่ว่า เขาถอยไม่ได้อีกแล้ว
“ท่านประธานโกคุเดระติดตามคุณอยู่ทุกฝีก้าว เขาศึกษาธุรกิจของคุณ ทราบว่าคุณรับต่อชิ้นส่วนรถยนต์ยี่ห้อดังของฝรั่งเศส
แล้วตอนนี้ก็กำลังจะออกรุ่นใหม่ซะด้วย”
“ใช่”
รีไวพยักหน้ารับ เอเลนเดินเรื่องต่อ
“ปกติแล้วคุณจะส่งรถประกอบสำเร็จรูปไปตามโชว์รูมต่างๆในอิตาลีด้วยตนเอง
ทางบกบ้าง เรือบ้าง หรือแม้กระทั่งอากาศ คุณก็จะส่งช่างประกอบและรับรองคุณภาพให้กับทางบริษัทออโทโมบิลว่าจนกว่ามันจะถึงตลาด
จอร์จิโอรักษามาตรฐานเช่นนี้มาตลอด
นั่นทำให้บริษัทรถไว้ใจให้คุณประกอบชิ้นส่วนมาจนถึงทุกวันนี้” เอเลนเว้นวรรค
เหลือบตามองคนตรงหน้าที่นั่งนิ่งไม่ค้านไม่ตอบรับ เด็กหนุ่มไม่หลบตา
กล่าวเสียงราบเรียบ
“แต่ตอนนี้คุณกำลังเกิดปัญหา...บริษัทรถเร่งงานคุณและต้องการให้คุณส่งคนพร้อมชิ้นส่วนข้ามน้ำข้ามทะเลไปถึงรัฐนิวยอร์กเพื่อให้ทันโชว์วันเปิดตัวศูนย์การค้าสาขาใหม่ของเบธิลด์
ทาวเวอร์ ปัญหาที่คุณแก้ไม่ตกก็คือคุณคิดว่ามันจะไม่ทัน
ลำพังแค่เตรียมชิ้นส่วนก็กินเวลา ไหนจะจัดส่งอีก
ไหนจะไปประกอบให้สมบูรณ์ที่โน่นอีก
ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิดเมื่อวานที่การประชุมล่วงเวลาถึงดึก ก็คงเป็นเพราะเรื่องนี้”
“นายรู้ได้ไง”
รีไวขมวดคิ้วแน่น ถามกลับทันทีเมื่อโดนเด็กตรงหน้าตีเข้าเรื่องอย่างไม่ให้ทันตั้งตัว
แถมยังถูกต้องทั้งหมด อีกทั้งมันยังเป็นเรื่องสดๆร้อนๆที่เข้ามากลางห้องประชุมด้วยซ้ำ
หัวหน้าฝ่ายประสานงานติดต่อกับบริษัทรถเมลล์เข้ากลางที่ประชุมและต้องขออนุญาตแจ้งแทรกเรื่องอื่น
คนที่รู้ก็มีแต่พวกระดับสูง
“ผมไม่รู้หรอก
แต่ประธานโกคุเดระรู้” เอเลนยิ้มเจื่อน ความจริงต้องบอกว่าพี่เขายิ่งกว่ารู้ล่ะนะ
“เพราะฉะนั้นผมกลับไปที่เรื่องเครื่องบินขนส่งความเร็วสูงที่โกคุเดระกำลังจะสร้าง
นั่นล่ะครับประเด็น ถ้ามันสร้างสำเร็จคุณมีแต่ได้กับได้”
“ฉันจะได้ยังไง?”
“ท่านประธานโกคุเดระยินดีขนส่งชิ้นส่วนรถยนต์จากอิตาลีไปนิวยอร์กให้คุณแบบฟรีๆ
ทันทีที่คุณยินยอมส่งตัวผมไปทำงานที่เครือโกคุเดระ คำจัดกัดความของคำว่า ‘ยินยอมส่งตัว’ นั่นหมายรวมถึงคนของเครือโกคุเดระต้องได้รับตัวผมอย่างปลอดภัยที่สนามบิน”
เอเลนว่าอย่างละเอียด ในขณะที่รีไวกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองเมื่อได้ฟังข้อเสนอ...นี่สินะเงื่อนไขของโกคุเดระ
ฮายาโตะ...ส่งของให้ฟรีๆ
หึ! พูดเป็นเล่น ฟรีที่ไหน
นั่นมันแลกเป็นค่าตัวของเด็กอายุสิบเจ็ดที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาต่างหาก ยอมรับว่าเหยื่อปลายเบ็ดของประธานโกคุเดระหอมหวานสมคำร่ำลือ
เสียแต่ว่าเขาไม่ใช่ปลาโหยให้เด็กนั่นตกเล่น
“ถูกอย่างที่นายว่า
ฉันกำลังคิดไม่ตกกับการขนส่งอยู่พอดี แต่ไม่ได้จนมุมถึงขั้นต้องทำตามเงื่อนไขนั่น
ฉันยังคงขนส่งด้วยตนเองได้
ทดเวลากว่าที่นายจะปรับปรุงระบบเครื่องบินเสร็จคงใช้เวลาไม่ต่างกัน”
“ถ้าอย่างนั้นคุณรออะไรล่ะครับ”
เอเลนโต้กลับทันที “ถ้าคุณคิดจะส่งของจริงๆคุณรออะไรอยู่อย่างนั้นเหรอ
เร่งด่วนจริงๆคุณก็คงไม่เก็บเงียบ
แม้แต่แผนกผมก็ยังไม่ได้รับมอบหมายงานอะไรเพิ่มเติม
นั่นมันไม่ได้แปลว่าคุณยังไม่คิดส่งชิ้นส่วนรถยนต์ไปตอนนี้ไม่ใช่หรือครับ”
บรรยากาศเหนือโต๊ะสนทนาตึงเครียดทันควันเมื่อทางฝ่ายประธานจอร์จิโอกรุ๊ปไม่คาดคิดว่าเขาจะโดนตอกกลับคำต่อคำแบบนี้
แถมท่าทางของเจ้าเด็กคนพูดก็เป็นคนละคนกับเด็กที่บ่นกลัวนักกลัวหนาเมื่อครู่นี้ลิบลับ
“ผมไม่รู้หรอกว่าเหตุผลเบื้องหลังของคุณคืออะไร
แต่ถ้าคิดตามหลักพ่อค้าธรรมดาล่ะก็คุณคงจะตั้งใจถ่วงเวลา ขยับช่วงให้มันกระชั้นชิดกว่านี้แล้วค่อยส่งของเพื่อโก่งค่าบริการพิเศษจากบริษัทรถ”
“พยายามได้ดี
นายเดาถูก” รีไวแค่นหัวเราะ
ยอมรับแม้เรื่องที่ว่านั่นจะเป็นการเล่นตุกติกตอดเล็กตอดน้อย
“แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลอะไรที่ฉันต้องพึ่งเครือโกคุเดระ
ถ้ามันมีปัญหานักฉันจะบอกปฏิเสธทางบริษัทรถก็ได้ เพียงแค่งานโชว์งานเดียว
ฉันไม่เดือดร้อน”
“แต่ที่นั่นคือนิวยอร์กนะครับ”
ท่านประธานแห่งจอร์จิโอเงียบไปทันทีกับคำแย้งนั้น
เอเลนยิ้มมุมปาก เผลอร้องว้าวออกมาด้วยซ้ำ เขาล่ะซูฮกรุ่นพี่ตัวเองจริงๆพับผ่า
ดูท่าว่าจะอ่านทางรีไว แอ็คเคอร์แมนมาเป็นอย่างดีเลย
“ใช่ไหม
ท่านประธาน...คุณจะยอมปล่อยงานนี้ก็ได้ถ้าห้างเปิดใหม่นั่นไม่ได้อยู่ในนิวยอร์ก
ถึงแม้ประชาชนของที่นั่นจะใช้รถโดยสารเป็นหลักจนเรียกได้ว่ากว่าครึ่งไม่มีรถยนต์ส่วนตัว
แต่คุณก็ยังคิดที่จะส่งรถตัวใหม่ไปโชว์ที่เบธิลด์อยู่วันยังค่ำ
เพราะคุณค่อนข้างมั่นใจว่าห้างใหม่แกะกล่องนั่นดึงดูดลูกค้าจากรัฐอื่นด้วย
ดีไม่ดีอาจจะทั้งอเมริกา”
“แต่บางทีอาจจะไม่”
เสียงของหญิงสาวเพียงคนเดียวของห้องค้านออกมาในที่สุด ในมือของเธอยังคงถือแท็ปเล็ต
พลิกหน้าออกมาโชว์ให้ดู
มันเป็นข่าวล่าสุดที่ลงอินเทอร์เน็ตถึงความคืบหน้าในการซ่อมเบธิลด์สาขาปารีส “เวลาสองเดือนอาจจะไม่พอทำให้คนลืมข่าวฉาว
บางทีคนคงไม่คึกคักเท่าที่ควร”
เอเลนฟังมิคาสะพูดแล้วเขาก็เห็นด้วย
จำได้ว่าท้วงรุ่นพี่ตัวเองไปแบบนี้เหมือนกัน
แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาเล่นเอาเขาอึ้งไปเลย
ไม่รู้ว่าโลกนักธุรกิจมันกลมหรือเครือข่ายของโกคุเดระแอร์ไลน์มันแผ่ไปทั่วโลกแล้วกันแน่
ในเมื่อผู้บริหารสูงสุดของเบธิลด์ตอนนี้อย่างแดชีลล์
เลอรอยด์กลายเป็นเพื่อนซี้สุดๆของรุ่นพี่เขาชนิดขอให้ทำอะไรก็ได้อย่างนั้น
เรียกได้ว่ากันเองสุดๆ เอ็กซ์คลูซีฟกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เพราะงั้นไม่ใช่เรื่องยากที่รุ่นพี่เขาจะไปเป่าหูนายห้างหนุ่มคนนั้นให้ยังคงจัดงานเปิดต่อไป แถมยังคิดวิธีเรียกแขกให้เสร็จสรรพ
แต่จะเอาไปอ้างคงดูไม่ดีเท่าไหร่แฮะ
“บางทีผมว่าคุณน่าจะมองมุมกลับ”
เอเลนว่า รีไวฟังแล้วถึงกับเลิกคิ้ว เขาติดใจประโยคนี้ของเจ้าเด็กนี่นัก
เพราะมันมักจะตามด้วยเหตุผลที่เขาคาดไม่ถึง
“ในเมื่อตอนนี้วันเวลาที่เบธิลด์จะเปิดก็ถูกประกาศออกมาเรียบร้อย
อีกสักพักคงจะมีชิ้นโฆษณาออกมา เห็นได้ชัดว่าแดชีลล์ไม่แยแสข่าวระเบิดนั่นแม้แต่นิดเลยนะครับ
คราวนี้มันก็จะมีคนหลายแบบ
ชาวอเมริกันสักสามสิบเปอร์เซ็นต์ที่ไม่รู้จักห้างเบธิลด์และไม่คิดมากเรื่องข่าวอาจจะมองว่า
‘ถ้าเขาจะเปิดจริงๆ ก็คงจะปลอดภัยล่ะมั้ง ลองไปสักหน่อยก็ดี
เผื่อมีโปรโมชันสินค้าลดแลกแจกแถม’ อีกสักยี่สิบเปอร์เซ็นต์คงเป็นฐานความนิยมเก่าของเบธิลด์
ระดับห้างสรรพสินค้าพร้อมโรงแรมชั้นแนวหน้าของยุโรปน่ะผมว่าน่าจะสร้างความประทับใจได้ไม่น้อย”
“แล้วอีกครึ่ง?”
“เพราะว่ามีข่าวฉาว
ก็ย่อมต้องมีคนไม่ชอบ
แต่ไม่ว่าชื่อเสียงจะคาวแค่ไหนคนก็ยังให้ความสนใจอยู่วันยังค่ำ เข้าตามทำนองดาราบางคนยังต้องสร้างกระแสตนเองให้ตกเป็นข่าวเพื่อให้ดังขึ้นมา”
เอเลนอธิบาย “อีกครึ่งหนึ่งผมก็คิดว่าเป็นแบบนั้น นี่ผมให้ครึ่งหนึ่งเลยนะ
มันก็คงจะมีสักกลุ่มที่เป็นนักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการเก่าๆในนิวยอร์กที่ออกอาการอยู่ไม่สุขเพราะดันมีห้างใหม่มาตี
พวกเขาต้องไปดูลาดเลาแน่ ในใจคงคิดประมาณว่า ‘ไหนดูสิ ว่าไอ้หนุ่มหน้าหล่อชาวฝรั่งเศสคนนี้มันจะมีดีสมหน้าตามันไหม
ถ้าพลาดขึ้นมาอีกรอบจะรอสมน้ำหน้าให้’ จะคิดยังไงก็แล้วแต่
พวกเขาก็ไปอยู่ดี”
ดวงตาคมสองคู่ของผู้บริหารจอร์จิโอเหลือบมองกัน
แล้วก็รู้ได้โดยอัตโนมัติว่าต่างฝ่ายต่างไม่รู้จะเถียงอะไรกับเหตุผลนั่นจริงๆ
ถึงจะยังไม่มีหลักฐานว่าเรื่องที่เจ้าเด็กนี่พูดจะเกิดขึ้นจริง
แต่ก็นับเป็นการคาดการณ์เหตุในอนาคตที่เป็นไปได้สูง
“อีกอย่าง...ก็เพราะเป็นนิวยอร์ก”
เอเลนว่าขึ้นอีก สไลด์ที่ว่าก็วาบขึ้นในหัวว่าจุดแข็งของที่ตั้งห้างเบธิลด์
ทาวเวอร์สาขาใหม่นั้นอำนวยผลประโยชน์ต่อการเจรจา
“นอกจากนิวยอร์กจะเป็นเจ้าของการคมนาคมสาธารณะแล้ว
การขนส่งทางอากาศของที่นั่นยังติดอันดับท็อปอีกด้วย มีแอร์พอร์ตอยู่สามแห่ง
ช่วงนี้จนถึงก่อนที่ห้างเบธิลด์จะเปิด
แบรนด์ดังมากมายจะส่งขนส่งสินค้าตนเองขึ้นยานพาหนะมา
ให้ถึงเร็วที่สุดก็ต้องทางอากาศ ผมพูดอย่างไม่เกรงใจเลยนะ
ว่าถ้าคุณยังไม่คิดส่งสินค้าตอนนี้ คุณไม่ทันกินแน่
เขาจับจองคิวบนเครื่องกันจนหมด”
เอเลนยิ้มนิด
ว่าต่อไม่ให้เสียจังหวะ “แต่ถ้าคุณตกลงรับข้อเสนอของเรา
เครื่องบินประสิทธิภาพสูงจากโกคุเดระแอร์ไลน์ที่ไวยิ่งกว่าพวกนั้นหลายเท่าจะขนส่งสินค้าให้คุณเป็นเจ้าแรกและเพียงแค่เจ้าเดียว
ไม่ต้องอัดของเบียดกับใคร ที่ว่างทุกตารางนิ้วบนเครื่องเป็นของจอร์จิโอ”
“ท่านประธานคะ”
มิคาสะรีบพูดต่อทันทีพร้อมๆกับหันไปทางคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ
“นี่เป็นอีกโอกาสที่เอื้อกับเรา อย่างที่เอเลนบอก ค่าขนส่งทางอากาศนั้นราคาสูง
ทางบริษัทรถยินดีจ่ายให้เราอยู่แล้ว
และถ้านี่เราสามารถนำรถไปจัดโชว์ที่เบธิลด์ได้ทันเวลายังสามารถทันคิวขนส่งด้วยเครื่องบิน
แถมยังมีการคุ้มครองด้วยชื่อของสายการบินโกคุเดระอีก
เราสามารถเรียกโบนัสพิเศษได้อีกหลายเปอร์เซ็นต์”
“แน่นอนครับว่าเรื่องที่โกคุเดระขนส่งให้คุณฟรีนั้นเราจะเก็บไว้เป็นความลับแน่นอน
คุณเรียกค่าบริการจากบริษัทรถได้เท่าที่อยากจะเรียกเลย งานนี้กำไรเห็นๆ”
เอเลนสำทับเข้าไปอีก
หัวใจเริ่มเต้นกระหน่ำจนแทบหลุดยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของคนฟัง
ให้ตายสิ เขาเพิ่งรู้ว่าการเจรจามันสนุกขนาดนี้
ถึงว่ารุ่นพี่ของเขาทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่พัก
เขายอมรับเลยว่าศาสตร์นี้มันตอบสนองสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ได้อย่างดีเยี่ยม
รู้สึกดีเมื่อเป็นผู้ถือไพ่เหนือกว่า
รู้สึกสนุกเมื่อเป็นผู้ไล่ต้อน
กลิ่นของที่สูงที่เป็นไปได้เขาก็ไม่อยากสัมผัสมัน
เพราะกลัวว่าจะถอนตัวออกมาไม่ทัน...
เพียงแต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็ดับวูบลง
เมื่อแขนแกร่งทั้งสองข้างเอาลงไปกอดไว้หลวมๆ ท่อนขาไขว้กันเป็นท่านั่งไขว่ห้าง
รอยยิ้มเหยียดที่มุมปากทำให้ความมั่นใจของเอเลนสั่นคลอนพร้อมกับได้ยินน้ำเสียงเย็นชา
“สำหรับความฝันของเด็ก
ก็ถือว่าไปไกลพอสมควร” เขาว่าเยาะๆ “เรื่องที่นายพูดมาทั้งหมดฉันไม่ได้ว่าอะไร
และก็รู้ว่ามันเป็นไปได้ แต่พอมันมีความเป็นไปได้...ก็ต้องเป็นไปไม่ได้เช่นกัน
นายรู้ไหมว่าเพราะอะไร”
เสียงทุ้มกดต่ำจงใจขู่เขาอย่างไม่ปรานี
แล้วมันหนาวยะเยือกไปจนถึงไขสันหลังจนเด็กหนุ่มต้องขยับตัวเข้าไปในโซฟาเพื่อให้ห่างจากอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ
เช่นเดียวกับที่รีไวค่อยๆโน้มตัวเข้ามา
นิ้วแกร่งคว้าที่ปลายคางของเด็กหนุ่มแล้วจับล็อกให้อยู่กับที่
กระซิบถ้อยคำโหดร้ายอย่างไม่ไว้หน้า
“ทุกอย่างจะพังลงทั้งหมดถ้าหากนายไม่สามารถสร้างเครื่องบินลำนั้นได้
ต่อให้ฉันปล่อยนายไปทำงานนี่โน่น มันก็ไม่ได้หมายความว่านายจะทำสำเร็จ
ถ้าผลออกมาเป็นอย่างนั้นนายจะทำยังไง...ผลประโยชน์ที่เสียไปของโกคุเดระแอร์ไลน์และจอร์จิโอกรุ๊ป
อาจรวมถึงเบธิลด์ ทาวเวอร์ นายจ่ายไหวอย่างนั้นเหรอ”
หัวใจคนฟังกระตุกวูบ
รีไวปล่อยใบหน้าของเด็กหนุ่มให้เป็นอิสระแล้วเอนตัวกลับไปอย่างเก่า
แต่เอเลนก็ยังคงขยับไม่ได้
คำพูดเมื่อกี้คล้ายกับที่ลูกตุ้มน้ำหนักไม่รู้กี่กิโลกรัมหล่นทับไหล่ทั้งสองข้าง
รู้เพียงแต่ว่ามันคงทำให้เขาไม่กล้าขยับตัวไปอีกสักพัก เอเลนหัวเราะแหะๆในใจ ห่างเป็นคำๆ
ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังผจญกับลาสต์บอสตัวเบ้อเร่อ
แถมยังเป็นช่วงเวลาที่ปล่อยท่าไม้ตายออกไปหมดแล้วด้วย
ฉากต่อไปคือเตรียมตัวโดนปิศาจฆ่าอย่างอนาถไม่ต้องสงสัยเลย!
เอเลนสูดลมหายใจลึกแล้วปล่อยออกมาทีเดียว คิดอยู่แล้วว่าท่านประธานต้องไม่ไว้ใจเขา
ขนาดตัวเขากับพี่ฮายาโตะยังไม่มั่นใจเลยว่ามันจะสำเร็จ
แต่เรื่องนี้เท่านั้นที่เขาไม่สามารถให้ใครมาช่วยได้
จะไม่มีโพยบทพูดเหมือนอย่างวันนี้ อาจไม่ได้มีแผนสำรองสองสามเหมือนตอนตัดไฟ
ถ้าเขาทำไม่ได้ ทุกอย่างก็จบ ถึงตอนนั้นเขาจะรับความผิดพลาดของตนเองไหวไหม
“ผมจ่ายให้ไม่ได้หรอก”
เด็กหนุ่มยอมรับออกมา ริมฝีปากบางยิ้มซื่อๆอย่างไร้ทิฐิ
“ผมว่าเมื่อคืนผมก็พูดให้คุณฟังไปแล้วว่าผมแลกอะไรกับคุณไม่ได้สักอย่าง
และก็ไม่มีอะไรมาสัญญากับคุณด้วยว่าผมจะทำมันสำเร็จ”
รีไวย่นหัวคิ้วเมื่อเจ้าเด็กตรงหน้าไม่คิดจะยืนยันความมั่นใจอะไรกับเขาสักอย่าง
แต่ก็ชะงักไปเมื่อดวงตาสีมรกตนั้นจ้องเขากลับอย่างแน่วแน่
สายตานั้นนิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“แต่ถ้าคุณไม่ส่งผมไปมันจะไม่มีโอกาสสำเร็จเกิดขึ้นเลย
ผมไม่รู้ ไม่รับปากว่าทุกอย่างมันจะเรียบร้อยไหม แต่นี่เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจแล้ว
เพราะงั้นผมจะรับผิดชอบมันเอง คุณไม่ต้องเชื่อก็ได้
ผลลัพธ์ในอนาคตจะเป็นคนบอกคุณเอง ที่ผมจะพูดก็มีเท่านี้แหล่ะครับ”
สิ้นคำห้องก็เงียบ
เอเลนก้มหน้าลงทันที ปล่อยให้ไอเยือกเย็นจากคนตรงข้ามแผ่มากดดันเขาให้พอใจ
ประธานแห่งจอร์จิโอกรุ๊ปลอบระบายลมหายใจยาว เขารู้สึกไม่ชอบขึ้นมาเสียเฉยๆ
เขาเกลียดความเอาแน่เอานอนไม่ได้ แล้วเจ้าเด็กนี่ก็เป็นแบบนั้น เพียงแต่ว่าความรู้สึกที่มันชัดเจนอยู่ข้างในนี้ก็กลับตาลปัตร
เขาเกลียดเด็กคนนี้ไม่ลง...
บางทีคงเป็นเพราะคำพูดนั้น
คำพูดที่ว่า ‘ผมจะรับผิดชอบมันเอง’
หมอนี่พูดออกมาได้ด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย และไม่มีความลังเลใดๆ
ราวกับว่าต่อให้เป็นงานระดับโลก ถ้าหมอนี่ตั้งใจจะทำแล้วก็พร้อมที่จะแบกมัน
จะรับทุกอย่างไว้กับตัวและไม่พยายามทำให้ใครเดือดร้อนเพราะการกระทำของตัวเอง
เหมือนกับเมื่อวานที่หมอนี่อยู่ซ่อมไฟจนดึกดื่น
“แต่ว่าการที่ผมลาออกจากบริษัทกะทันหันแบบนี้
อาจทำให้จอร์จิโอเสียชื่อเสียงก็ได้
เพราะงั้นขอให้คุณช่วยบอกคนอื่นว่าผมโดนไล่ออกด้วยเรื่องทำไฟดับ
แบบนั้นก็คงจะไม่มีใครสงสัยเท่าไหร่” รีไวเลิกคิ้วนิดๆกับคำกล่าวนั้น
มันคงเป็นนิสัยส่วนตัวของหมอนี่จริงๆนั่นล่ะ
ดูท่าว่าการตัดไฟนั่นจะปูทางมาเพื่อให้เขาไล่ออกอย่างสบายใจด้วย
คิดแล้วก็ข่มใจนับหนึ่งถึงสิบ เขาจะจัดการยังไงกับเจ้าเด็กคิดเร็วทำเร็วแบบนี้ดี
หมอนี่ไม่ให้เขาตั้งตัวเลย
อยู่ๆก็มาให้เขาเจอหน้าตั้งสองวันติด
เถียงกับเขาชนิดที่ไม่มีใครกล้ามาก่อน ยื่นของกินมื้อดึกของตัวเองให้
กล้าวิจารณ์เรื่องส่วนตัวเขาตรงๆ ทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์สารพัด
แต่นี่กลับจะมาหายหน้าไปเฉยๆ เจ้าเด็กประหลาดนี่!
“แล้วนายจะไปญี่ปุ่นเมื่อไหร่”
ว่าแล้วเด็กวัยสิบเจ็ดก็กะพริบตาปริบๆเหมือนไม่เชื่อหูตัวเองนัก
รีไวทำหน้าดุ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องพูดซ้ำหลายรอบ
“ฉันถามว่านายจะไปญี่ปุ่นเมื่อไหร่!”
“พะ
พรุ่งนี้ครับ!
ไม่ก็มะรืน”
“เอาชัดๆว่าพรุ่งนี้หรือมะรืน”
“พรุ่งนี้ครับพรุ่งนี้!
เอ่อ อันที่จริงผมต้องบอกท่านประธานโกคุเดระก่อน เขาถึงจะล็อกที่เครื่องบินให้
แต่ระดับเขาแล้วน่าจะไวที่สุด ก็คงจะเป็นพรุ่งนี้น่ะครับ”
เอเลนรีบอธิบายจนลิ้นแทบพันกัน หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
เขายังไม่ชินกับน้ำเสียงดุหนักๆแบบนั้นจริงๆ ให้ตายสิ
แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านประธานต้องถามด้วย มันไม่เห็นจะสำคัญตรงไหนเลย
“นายคงต้องการเอกสารการเดินทางและระบุตัวตนว่าเป็นพลเมืองคนหนึ่งของญี่ปุ่น
ทางโกคุเดระคงต้องให้นายโกงอายุด้วยเพื่อให้นายทำงานแบบนั้นได้ใช่ไหม”
คนถูกถามนิ่งอึ้งไป เผลอพยักหน้ารับ รีไวระบายลมหายใจ ว่าต่อ
“เดี๋ยวฉันจะจัดการทุกอย่างให้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เด็กอย่างพวกนายจะเข้าไปยุ่งต่อให้เป็นโกคุเดระก็ตาม”
“แต่
แต่ว่า..!”
“กลัวอะไร”
เสียงทุ้มถามกลับ แล้วถ้าเอเลนฟังไม่ผิดมันไม่ได้แข็งกระด้างอย่างที่เคย
ซ้ำยังเจือไปด้วยอารมณ์เหมือนจะล้อเขาเล่นอยู่นิดๆ
“นายก็เป็นคนบอกเองว่าฉันเหมือนพวกไม่สนกฎหมายอยู่แล้ว
ถ้าอย่างนั้นมันก็คงไม่แปลกอะไรที่จะทำเรื่องพวกนี้ได้ง่ายใช่ไหม”
เอเลนถึงกับหน้าตึงไปทันที
เขาอึ้งในหลายๆความหมายแล้วดูท่าว่าคนพูดจะไม่เอ่ยแก้หรือรู้ตัวเลยว่าที่บอกจะจัดการเรื่องเอกสารให้นั่นมันเป็นเรื่องแปลก
เข้าใจอยู่ว่าสำหรับรีไว
แอ็คเคอร์แมนเรื่องพรรค์นี้คงเล็กน้อยเหมือนไปจ่ายของที่ตลาด
แต่มันจะไม่เล็กน้อยทันทีถ้าทำให้กับเขา
นี่คงไม่ใช่ความปรารถนาดีแบบว่าอยากทำก็ทำให้แน่ๆ
อย่างท่านประธานคงจะอยากให้เขาจะอยากให้เขาไปทำงานเร็วๆเพื่อขนส่งสินค้าให้เขาได้เท่านั้น
คิดในแง่ร้ายหน่อยก็ไล่ไปชัดๆนั่นแหล่ะ แต่ก็ช่างเถอะ
ในเมื่อมันจะออกมาในรูปแบบไหน ภารกิจของเขาก็สำเร็จแล้วนี่นะ
ได้ไป...ญี่ปุ่นแล้ว
“ขอบคุณมากครับท่านประธาน”
ร่างโปร่งบางลุกยืนขึ้นแล้วโค้งให้ช้าๆแล้วยืนตัวตรงด้วยความภาคภูมิใจ
ดวงตาสีขี้เถ้าเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มชัดๆ
รอยยิ้มกว้างที่วาดอย่างลงตัวบนใบหน้ามนทำให้เขารู้สึกว่าห้องนี้มันสว่างไสวยิ่งกว่าครั้งไหน
มันสว่างเสียจนเขาต้องหรี่ตามอง มันคงไม่ใช่รอยยิ้มที่มาจากความดีใจอย่างเดียว
แต่มันยังเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น ตั้งใจ และมุ่งไปทำสิ่งที่ตัวเองใฝ่ฝัน
คงคิดถูกแล้ว
ที่อนุญาต...
“ไปเตรียมตัวซะ
นายเหลือเวลาน้อย” เขาสั่งสั้นๆแล้วมองร่างโปร่งบางที่เดินหายออกไปจากห้อง
ใบหน้าคมคายเรียบเฉยลงอีกครั้ง เป็นอากัปกริยาที่คนมองอย่างมิคาสะเห็นแล้วก็ต้องแปลกใจ
พี่ชายเธอไม่เคยแสดงสีหน้าได้แตกต่างกันในช่วงเวลาเล็กน้อยแบบนี้ แต่เธอไม่คิดถามอะไร
เธอเข้าใจบรรยากาศเยือกเย็นที่แปรเปลี่ยนทันทีเช่นนี้โดยอัตโนมัติ
พี่ชายเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องเบื้องหน้าด้วย
“เหลืออีกหนึ่งเดือนที่เบธิลด์
ทาวเวอร์จะเปิด และก็เหลืออีกหนึ่งเดือนเช่นกันที่เราต้องขนส่งอาวุธ”
เขาเกริ่นเสียงเครียด “เตรียมทุกอย่างให้พร้อมมิคาสะ
เราจะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์”
“คิดอยู่แล้วล่ะค่ะว่าคุณต้องทำแบบนี้
แต่ยังไม่แน่ว่าเอเลนจะทำโปรเจกต์ของโกคุเดระแอร์ไลน์ได้สำเร็จนะคะ”
“ไม่หรอก”
เขาค้าน เหลือบมองประตูที่เพิ่งมีคนออกไปเมื่อกี้นี้ด้วยสายตาอ่านไม่ออก
“ถ้าเด็กนั่นบอกว่าจะทำ ฉันคิดว่าเขาต้องทำได้”
หญิงสาวร่างโปร่งนิ่งไปสักพักแล้วก้มหัวนิดๆรับคำ
พลันโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น นิ้วเรียวกดรับมันแล้วเอาแนบหูอยู่สักพัก
ใบหน้าสวยเย็นชาเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิ้วขมวดแน่นก่อนจะพูดสั้นๆ “เข้าใจแล้ว”
“มีอะไร”
“สายของเราจากซิซิลีติดต่อมาค่ะ
แล้วดิฉันคิดว่าคุณควรคุยกับเขาเดี๋ยวนี้”
.
.
.
.
.
TBC...
มิยะขอเม้าท์
สวัสดีค่ะ เย้ๆ เอาฟ้าถล่มมาถล่มอีกตอนแล้ว ตอนนี้สารภาพ แต่งนานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก แบบว่ากว่าจะกระเตื้องแต่ละบรรทัดแต่ละประโยคมันทำไมยากเย็นเยี่ยงนี้ คงจะเป็นเพราะว่าตอนนี้เป็นไม่กี่ตอนในฟิคไอ้มิยะ หรือเรียกได้ว่าเป็นตอนแรกเลยก็ได้ที่มิยะแต่งโดยไม่เปลี่ยนฉาก มันยาวนานจริงๆค่ะ ซึ่งช่วงนี้ท่านผู้อ่านจะปวดตาเล็กน้อย ตัวหนังสือเยอะมาก ฮ่าๆ แต่ตอนนี้ได้เวลาเดินเครื่องเต็มพิกัด ปมพร้อม ซึ่งมิยะจะอัพอีกหนึ่งตอนสำหรับเรื่องนี้ และต้องขอลัดคิวไปแต่งฮิมาวาริ จะพยายามอัพอีกให้ได้หลายๆเรื่อง เลยค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ อา...มิยะอยากหาอิมเมจคุณรีไว ไปค้นๆแฟนอาร์ตไม่ยักเจอคุณรีไวในชุดสูทแบบดูภูมิฐานเท่าไหร่ (หรือไซส์คุณท่านไม่เหมาะกับแต่งสูทก็ไม่รู้ อั่ก! // อะไรฟาดหลังคอ) ก็เลยหาที่ถูกใจมาฝากไม่ได้เลย แต่ได้ห้องทำงานมาแทน ฮ่าๆ เรียกว่าใกล้เคียง ถ้าพรมเป็นสีน้ำเงินแล้วมีป้ายที่ทำจากแก้วลงทรายนะ ใช่เลย ออกทึมๆประมาณนี้แหล่ะ คิดว่าถ้าเปิดม่านมันก็คงสว่างขึ้นจมเลยค่ะ ซึ่งเป็นส่วนที่คุณรีไวใช้นั่งอ่านเอกสารค่ะ แล้วมันยังมีทางเดินไปห้องอื่นๆด้วย เหมือนกินนอนอยู่ในนี้จริงๆ เห็นแล้วอยากมีมั่งจัง
แล้วก็เป็นธรรมเนียมว่าต้องมีเพลงประจำภาคด้วย ซึ่งภาคนี้มิยะได้ฟังเพลงนี้ตอนนั่งแต่งมาสองสามตอนแล้ว น่าจะอธิบายความสัมพันธ์ของหนูก๊กกับอิเนียนได้ดีที่สุด เพลงแปลว่าขอบคุณค่ะ เคยประกอบละครมาเฟียที่รัก มิยะชอบมากตอนนั้น ฮ่าๆๆๆ คิดว่าเพลงมันมีความหมายดี แล้วก็ซึ้งมาก แถมยังค่อนข้างตรงกับตัวละคร เลยเอามาให้ฟังค่ะ ซึ่งจะหาอีกสักเพลงเอาไว้เป็นตัวแทนหนูเลนกับคุณรีไวด้วย
ตอนนี้น้องเลนเราโดนปล่อยตัวแล้ว เกิดเรื่องวุ่นๆแล้วด้วย ซึ่งแต่ละคนแต่ละฝ่ายจะทำยังไงต่อไป จะมาบรรจบกันแบบไหน ขอให้ติดตามตอนต่อไปค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียน
Miya
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น