หน้าเว็บ

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Au.Fic Toriko [Toriko x Komatsu] Himawari ความอบอุ่นของดวงตะวัน : 05



Au.Fic Toriko [Toriko x Komatsu] Himawari  ความอบอุ่นของดวงตะวัน
Period Romantic Drama
PG
คำเตือน เนื้อหาในเอนทรีนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย หากท่านใดไม่ต้องการรับรู้หรือรับไม่ได้ กรุณาปิดหน้าต่างนี้ไปค่ะ ความสัมพันธ์ของช่วงเวลาและสถานที่ในฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการผสมผสานของผู้เขียน ไม่มีความเป็นจริงในทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นไม่สามารถใช้อ้างอิงในเชิงวิชาการได้ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ



ตอนที่ 5




ม้าสีดำสนิทห้อตะบึงอย่างรวดเร็วตัดผ่านสายลมเย็นยะเยือกในเวลาย่ำค่ำ หากแต่ผู้เป็นเจ้าของม้ากลับไม่ลดความเร็วลงตามทัศนวิสัยที่แย่ลงเพราะแสงตะวันจวนลับขอบฟ้า กลับสะบัดบังเหียนให้เจ้าอาชาคู่กายเร่งกีบเท้าแม้จะรู้ว่ามันไม่สามารถทำตามคำสั่งของเขาได้อีกก็ตาม ชายหนุ่มใบหน้าคมคายนิ่งสนิทหากแต่แววตาสีดำนั้นประกายไปด้วยไฟโทสะ รังสีเข่นฆ่าฉาบรอบกายไม่จางหายเช่นเดียวกับหยาดโลหิตสดๆที่อาบไล้คมดาบในฝัก เจ้าตัวไม่สนใจจะเช็ดมัน เพราะตั้งใจเก็บมันไว้เป็นหลักฐานว่าเขาเพิ่งได้สังหารคนไป คนที่เขาไม่ควรแค่จะจบมันเพียงแค่ฟันคอฉับเดียว แต่น่าจะสับมันเป็นหมื่นชิ้นเสียด้วยซ้ำ!

ระยะทางจากวังหลวงจนถึงแคว้นซะสึมะนั้นกินเวลาราววันเต็มหากไม่พักม้า แต่บุรุษผู้เต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวกลับมาถึงมันภายในไม่กี่ชั่วยาม เขากระชากสายม้าให้มันหยุดวิ่งอย่างกะทันหันเมื่อถึงโรงเตี๊ยมกลางเก่ากลางใหม่แห่งหนึ่ง จอดพักมันไว้กับเสาไม้แล้วเดินเข้าไปข้างในนั่งตรงโต๊ะริมในสุดท่ามกลางสายตาของเหล่านักท่องราตรีที่นั่งอยู่ก่อนที่จ้องมาอย่างหวาดระแวง เถ้าแก่ของร้านเห็นแล้วสะดุดลมหายใจเฮือกใหญ่ คิดสะระตะไปถึงวิธีรับมือเมื่อเห็นแขกคนใหม่ของเขานั้นราวกับเป็นจอมยุทธ์ฝีมือเลื่องชื่อ พวกนี้พอเมาแล้วอาละวาดย่อมเป็นผลร้ายกับทรัพย์สินในร้านเขา

ยิ่งเป็นคนที่โชยกลิ่นเลือดมาแต่ไกลยิ่งควรต้องระวังให้มาก

“คุณชาย” เถ้าแก่กล่าวอย่างหวาดหวั่นเมื่อเข้าใกล้ “ไม่ทราบว่าท่านประสงค์รับสิ่งใดขอรับ”

“น้ำสะอาดเพียงเหยือกเดียวกับแก้วสองใบ” มาร้านเหล้า แต่ไม่สั่งเหล้านั่นถือว่าแปลก หากแต่มาคนเดียวแต่สั่งสำรับสองที่นั้นนับว่าแปลกกว่า ทำให้เถ้าแก่ร้านถึงกับผงะถอย เม้มริมฝีปากที่เปิดอ้าอย่างไม่ตั้งใจให้หุบลงอย่างเก่า เขารับคำเพียงแค่การโค้งให้แล้วจัดเตรียมให้ทันทีตามต้องการหลังจากนั้นจึงล่าถอย และจะไม่ให้แขกคนใดเฉียดใกล้โต๊ะๆนี้อีกเด็ดขาด รวมถึงตัวของเขาเองก็ด้วย

หลังจากนั้นไม่ช้านักก็ปรากฏร่างชายวัยกลางคนร่างกำยำเดินเข้ามาในร้าน ท่าทีของเขาปกติดูราวกับเป็นตาลุงแสวงหาความสำราญเพียงคนเดียวยามค่ำคืน ดาบข้างเอวเด่นเป็นสัญลักษณ์นักสู้ทำให้ทุกสายตาเหลือบมอง แล้วยิ่งน่าตกใจยิ่งขึ้นเมื่อเขานั่งลงกับเก้าอี้ตัวตรงข้ามบุรุษผมยาวสีดำ รินน้ำในเหยือกยกจิบ

“นึกอยู่แล้วว่าท่านต้องมา” เสียงแหบห้าวว่าอย่างไม่เดือดร้อน แม้ตามผิวกายจะรู้สึกเย็นยะเยือกกับไอสังหารที่แผ่ปกคลุมอย่างต่อเนื่อง เขาหัวเราะในลำคอนิดๆ “ท่านอารมณ์เสียด้วยเหตุอันใดรึ หรือภารกิจไม่สำเร็จ?

นัยน์ตาสีดำวาววับขึ้นทันที เสียงต่ำคำรามอย่างเหลืออด

“เจ้าไม่รู้หรือแค่แสร้งถามข้า”

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า” ชายสูงวัยกว่าว่าอย่างขำขัน รินน้ำในเหยือกจิบอีกจอก “ก็ในเมื่อไม่มีคนของข้าส่งข่าวกลับมารายงานแม้เพียงหนึ่งเงาหัว”

“ลูกน้องกระจอก วรยุทธ์อ่อนด้อยซ้ำพอภารกิจพลาดยังหนีหน้านายมันไม่ยอมมารับผิดแบบนี้ เจ้าควรจะตัดหางปล่อยวัดมันให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเสีย พูดตามตรงกับคนของเจ้า...ข้าผิดหวัง”

“เป็นเช่นนั้นเอง” อีกฝ่ายรับด้วยท่าทีที่ไม่ยี่หระอย่างเก่า มุมปากยกยิ้มมากขึ้น ทว่าแววตากลับเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง “พวกมันทำงานให้ข้ามาก็หลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ท่านก็รู้ว่าข้าหาใช่พวกนักเลงไร้หัวนอนปลายเท้าไม่รู้จักคุณธรรมปกครองคน ส่งคนไปทำงานมาก็มาก เบี้ยหวัดจ่ายให้ไม่เคยขาด งานใดยากข้าย่อมตบรางวัลเพิ่มหากมันทำสำเร็จ แต่หากงานใดพลาดข้าไม่เคยดุด่าเฆี่ยนตี กลับรับปากมันไว้ตั้งแต่ก่อนทำภารกิจว่าถ้าหากมันไม่สามารถเอาชีวิตกลับมาข้ายินดีอุปการะลูกเมียมัน ข้ากรุณาถึงขนาดนี้แล้วพวกมันยังกล้าหนีข้าไปได้ลงคอเช่นนั้นหรือ”

ชายสูงวัยส่ายหน้า หัวเราะร่วนออกมา พึมพำคล้ายอาลัยอาวรณ์ “แย่จริง ป่านนี้พวกมันจะไปซุกหัวนอนที่ใด แล้วถ้าหากได้บาดแผลจะได้รับการรักษาหรือไม่ ใครจะห้ามเลือดใส่ยา พวกโง่เอ๊ย มิได้ตายอย่างหมาข้างถนนหรอกรึ”

“เจ้าพูดอย่างกับว่าเจ้าเคยทำแผลให้พวกมัน”

“ไม่ผิด” ชายสูงวัยรับง่ายดาย เหลือบตาขึ้นสบกับเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่กะพริบ “ข้าเคยเป็นผู้ลงมือเยียวยาพวกมัน จะแผลเล็กหรือใหญ่ย่อมผ่านมือข้า เช่นนั้นข้าจึงจำได้ทุกอย่าง ทั้งเศษชิ้นส่วนเสื้อผ้า กลิ่นสาบเหงื่อ หรือกระทั่งกลิ่นเลือดข้าก็จดจำได้จนสิ้น...เจ้าชาย ดาบของท่านนั้นโชยกลิ่นเลือดของพวกมันอย่างรุนแรง”

บทสนทนาบนโต๊ะเงียบไปเมื่อสายตาของชายสูงวัยหรี่ลงเล็กน้อยพลางจับจ้องที่ดาบข้างเอวของเด็กหนุ่มผู้นั่งนิ่งไม่ไหวติงและไม่มีเจตนาปิดบัง ดวงตาของผู้มองสั่นไหวเพียงเล็กน้อยด้วยความขมขื่น ผสมปนเปแยกไม่ออกว่าเป็นความโกรธหรือความเจ็บปวดมากกว่ากัน

หากแต่สำหรับชายหนุ่มแล้วมันย่อมมีแต่เพียงความโกรธ

“มันไม่เป็นไปตามข้อตกลง ข้าต้องการกำจัดเพียงแค่ราชองครักษ์ซีบร้า แต่คมอาวุธนั้นมีความประสงค์ที่จะปลิดชีพเด็กชายคนหนึ่งซึ่งข้าไม่เห็นสมควร หรือท่านจะถกเถียงว่านั่นเป็นเพียงแค่ลูกหลง คนของท่านที่โอ้อวดหนักหนาว่าต่อให้เป็นพญามังกรก็สังหารได้ กลับแยกไม่ออกว่าคนไหนเป้าหมาย คนไหนคือผู้ไม่เกี่ยวข้อง”

“เด็กชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง?” อีกฝ่ายเอ่ยทวน หัวร่ออีกระลอกทำราวเป็นเรื่องขบขัน “เด็กน้อยผู้อยู่ใกล้ชิดราชองครักษ์อันดับหนึ่งจนกระทั่งกลายเป็นเหยื่อในรัศมีคมดาบสังหารได้ คงมิใช่ผู้ไม่เกี่ยวข้องแล้วกระมังฝ่าบาท” ผู้ผ่านโลกมามากกว่าตั้งข้อสังเกตอย่างไม่เกรงกลัวร่องรอยโทสะที่มันทวียิ่งขึ้นในดวงตาฝ่ายตรงข้าม คลี่ยิ้มทีหนึ่งแล้วว่าต่อเรียบเรื่อย

“ก็หรือเด็กคนนั้นคือผู้ไม่เกี่ยวข้องจริง ท่านจะเดือดร้อนไปไยเล่า ทฤษฎีเหวี่ยงแหจับปลาใหญ่จะได้ปลาน้อยติดขึ้นมาเป็นพะเรอเกวียนท่านคงเข้าใจยิ่งกว่าข้าอีกไม่ใช่รึ เว้นก็เสียแต่ว่า ปลาน้อยนั้นจะมีอิทธิพลต่อท่านผู้ไร้หัวใจ ยอมฉีกแม้แหของตนเองแล้วปล่อยมันลงน้ำอย่างเก่า ซ้ำยังเป็นเดือดเป็นร้อนห้อม้ามาต่อว่าข้าถึงซะสึมะ...ข้าล่ะชักอยากรู้..ใครกันหนอ เด็กคนนั้น”

ไอ้จิ้งจอกเฒ่า ชิเงะมัตสึ!

สตาร์จูนคำรามในอกอย่างโกรธเกรี้ยว ถ้าหากเขาไม่ตระหนักว่าที่นี่ยังไม่ถือเป็นสถานที่ลับมากมายนักเขาคงจะตวาดใส่หน้ามันด้วยอารมณ์ทั้งหมดที่มี หากแต่ตอนนี้ทำได้เพียงแค่หายใจเข้าออกช้าๆให้โทสะมันมอดไหม้ไปบ้าง สำหรับเจ้าชายอันดับสองแห่งแผ่นดินอย่างเขาที่อายุยังไม่ย่างยี่สิบปีคงนับว่าเป็นเด็กชายไม่ประสาในสายตาของชิเงะมัตสึ เบื้องหน้าเป็นขุนนางกร้านโลกผู้ฉลาดเฉลียว อาวุธทางบุ๋นที่ร้ายกาจที่สุดในแห่งแคว้นที่ขณะนครหลวงยังหาตัวเปรียบยาก แต่เบื้องหลังขุนนางผู้นี้กลับเลี้ยงนักฆ่าเอาไว้เหลือประมาณ รับใช้และปกปิดเรื่องเหม็นคาวฉาวโฉ่ของเหล่าตระกูลผู้ดีมาอย่างช้านาน สตาร์จูนตระหนักแต่แรกแล้วว่าต่อหน้าจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้ เขาไม่ใช่เจ้าชายที่มันจะมาหมอบแทบเท้ารับใช้ หากแต่เป็นลูกค้าเงินหนักคนหนึ่งที่มันมีสิทธิ์ต่อรองเลือกข้าง

แล้วดูท่าว่าคนที่มันเลือกข้างจะมีอิทธิพลค้ำฟ้า หรือไม่ก็ต้องเสนอผลประโยชน์ให้มันอย่างงาม มันถึงได้กล้าขัดคำสั่งเขาแล้วเล็งปลิดชีวิตสมบัติสำคัญของเจ้ารัชทายาทอย่างอุกอาจ

“กฎข้อสำคัญข้าเคยบอกท่านไปแล้วเจ้าชาย ว่าท่านไม่มีสิทธ์ถามถึงลูกค้ารายอื่นที่อาจจะไปขัดผลประโยชน์ของท่านบ้างเล็กน้อย ข้ารับงานของท่าน ข้าก็ทำ แต่ถ้าหากมีผู้มาจ้างวานเพิ่มข้าก็ต้องรับ และเป็นไปได้ว่าเหยื่อทั้งสองรายนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกัน เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นบ่อยนักในวงการเรา เป็นผลประโยชน์ทางการค้าที่ข้าจำเป็นต้องตักตวงตามประสาผู้ประกอบการโลภมาก ขอท่านอย่าถือสา”

คำอธิบายเรียบง่ายที่ชิเงะมัตสึอธิบายออกมาอย่างไม่เกรงกลัวเร่งให้บรรยากาศรอบโต๊ะหนาวยะเยือกไปถึงกระดูก เจ้ารัชทายาทอันดับสองของแผ่นดินจ้องผู้อาวุโสกว่าตนนิ่ง เขาก็คงจะยังเป็นเด็กอย่างที่อีกฝ่ายมองจริงๆ เพราะฉะนั้นเด็กไม่มีแรงอดทนต่อน้ำโหมากมายนัก ดาบเล่มสวยข้างกายยกขึ้นตวัดวูบแล้วทาบขวางที่ลำคอกำยำ รวดเร็วปานประหนึ่งชั่วสายลมพัด เสียงอืออาดังรอบกายคนทั้งคู่จากเหล่านักท่องราตรีโต๊ะอื่นที่ชมชอบการมีเรื่องทะเลาะวิวาท หากแต่จิตสังหารของจริงที่พวยพุ่งบ่งบอกชัดว่านี่ไม่ใช่การวางมวยจำอวดก็สามารถระงับความกระเหี้ยนกระหือรือเหล่านั้นได้ภายในชั่ววินาที ไม่มีใครกล้าจ้องมองทั้งคู่ ปล่อยให้กลายเป็นเหตุการณ์ตามปกติวิสัย

 นิ้วหัวแม่มือของผู้ถือครองดาบดันฝักให้เปิดออกเล็กน้อย ดาบคมส่วนหนึ่งเผยปรากฏ หากแต่ไม่งดงามเท่าที่ควรเพราะตามลำตัวมันกลับอาบโลหิตที่เริ่มเหนียวแห้ง ชายอาวุโสหลุบสายตามอง สูดกลิ่นเลือดที่ตนคุ้นเคยอย่างปวดแปลบในใจ แต่เหนือความรู้สึกอาวรณ์นั้น ชายผู้ผ่านโลกมามากสัมผัสได้เข้ากระดูกดำ ความโกรธาประมาณมากไม่ได้ที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างให้พ้นไปจากสายตา

“เจ้าว่าจมูกเจ้าไวต่อกลิ่นเลือดเพียงนั้น ให้ข้าทดสอบหน่อยเป็นไร” สตาร์จูนยิ้มเย็นชา “ไม่แน่ว่าถ้าหากเป็นเลือดจากคอของตัวเอง เจ้าก็อาจจะจำได้ทันทีชั่ววินาทีที่มันหลุดจากบ่า”

“ท่านคงไม่ทำเรื่องโง่ๆพรรค์นั้นที่นี่หรอก”

“ชาญฉลาดนัก สมกับเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของท่านหญิงริน” สตาร์จูนพยักหน้ารับ รอยยิ้มเริ่มจางไปจากใบหน้า ดวงตาของเด็กหนุ่มรุ่นย่างสิบแปดดำมืดยิ่งขึ้น ความอำมหิตที่เด็กวัยนี้ยังไม่ควรมีเข้าแทนที่ทีละน้อย “ครั้งนี้ข้าจะยอมฉลาดตามเจ้าไปก่อน ยังไม่ทำเรื่องโง่ๆที่นี้ตอนนี้ แต่ถ้าหากมันมีคราวหน้า แล้วไม่ว่าผลการกระทำจะเป็นเช่นไรข้าไม่สนใจเด็กคนนั้นปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน มีบาดแผลสองถึงสามแห่ง หรือถึงแก่ชีวิต โทษของเจ้าก็มีเพียงสถานเดียวคือถูกตัดสินให้ตายเท่านั้น”

“แล้วท่านจะเป็นเพชฌฆาตผู้โง่เขลาคนนั้นกระนั้นหรือ”

“ย่อมเป็นเช่นนั้น ให้สมกับนักโทษโง่ๆอย่างเจ้า” คำโต้กลับทันทีราวกับเป็นสัจธรรมคู่กันเงียบปากของชิเงะมัตสึไป หากแต่แววตาเจ้าเล่ห์ยังจับจ้องควานหาคำตอบจากเด็กหนุ่มอ่อนวัยตรงหน้าว่า แท้จริงแล้ว เด็กน้อยคนทำครัวคนนั้นมีความสำคัญต่อเจ้าชายอันดับสองคนนี้กันหนอ อีกทั้งยังเป็นที่หวงแหนของว่าที่จักรพรรดิโทริโกะจนทำให้มีผู้ที่ทนไม่ไหวสั่งเขาให้ส่งคนไปลอบสังหาร ร่างกายเด็กน้อยที่เล็กกระจ้อยร่อย แต่กลับแบกดวงใจที่ยิ่งใหญ่ของแผ่นดินไว้ถึงสองดวง ใครเล่าจะไม่อยากล่วงรู้ที่มา

สตาร์จูนรั้งดาบแล้วยึดกลับมันมาข้างกายอย่างเก่า รับรู้ถึงสายตาที่เคลือบแคลงสงสัยส่งมาหาตนอย่างไม่ปิดบัง เขาผ่อนลมหายใจเล็กน้อยสงบอารมณ์ที่มันชักจะหงุดหงิดกับความไร้มารยาทจนน่าขยะแขยงของอีกฝ่าย หากถูกถาม เขาจะไม่ยอมตอบ นั่นเป็นของตาย แต่ถ้าหากกลับกัน จะให้เล่าออกมา เขาก็ไม่รู้จะเล่าเช่นไรให้สมกับที่หัวใจตัวเองรู้สึก มันจะต้องใช้กี่หมื่นกี่พันคำ คนที่ยังไม่เคยสัมผัสความรู้สึกนั้นมาก่อนอย่างเจ้าชายอันดับสองผู้อาภัพนั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ ความรู้สึกที่ก่อขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับพายุในวันนั้น






เขาคือบุตรเพียงหนึ่งของพระสนมเอกในองค์จักรพรรดิ มารดานั้นสืบสายเลือดตระกูลของขุนนางชั้นสูง นั่นนับว่าเลือดในกายของเขาไม่มีครึ่งใดที่มาจากสามัญชนให้เป็นข้อกังขา เฉลียวฉลาดกว่าเด็กทั่วไป จัดอยู่ในระดับอัจฉริยะที่หากพลิกแผ่นดินหาก็ยังหาได้ยาก เป็นที่รักของท่านแม่ เป็นที่ภาคภูมิใจของเสด็จพ่อ เป็นที่เคารพของเหล่าบริวาร จนกล่าวได้ว่านี่อาจเป็นรัชทายาทที่เพียบพร้อมที่สุดเท่าที่แผ่นดินอาทิตย์อุทัยเคยมีมา

ในตอนนั้นเจ้าชายน้อยสตาร์จูนไม่ประสาเรื่องราว ไม่เข้าใจคำว่ารัชทายาท ไม่รู้ความหมายของคำว่าครองแผ่นดิน มันทั้งหมดนั้นเป็นไฉนเขาเคยร้องถามมารดา มารดาให้คำตอบเขาเพียงว่าเป็นอย่างเสด็จพ่อ เด็กน้อยหัวใจพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะในสายตาของเขา เสด็จพ่อคือวีรบุรุษผู้เก่งกาจ คือผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ๆที่ท่านเคยยกตัวเขาวางบนพระเพลา ที่ตรงนั้นสบายกว่าอะไร อยู่สูงกว่าทุกสิ่ง ทิวทัศน์ที่นั่นสามารถกว้านสายตาได้ถ้วนทั่วทั้งท้องพระโรง เสด็จพ่อบอกกับเขาว่าท่านใช้ที่ตรงนี้ทำให้ประชาชนนอกรั้ววังมีความสุข เจ้าชายตัวน้อยผู้เจริญชันษาเพียงสามขวบปีไม่เคยพบเห็น เป็นใครกันหรือ ประชาชน

บิดาหัวเราะร่วน โยกตัวเขาไปมา บอกด้วยน้ำเสียงขำขันว่า “เอาไว้เจ้าตัวสูงใหญ่ก่อน แล้วจะพาไปเห็น นี่นะ สตาร์จูน ขอเจ้าฟังคำพ่อเอาไว้อย่าง ไม่ว่าภายภาคหน้าจะเกิดอะไร เจ้าจงอย่าได้จดจำความสบายตอนที่เจ้านั่งอยู่บนตักพ่อนี่ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่หนใด เจ้าก็คือราชนิกุล มีผู้พร้อมที่จะประเคนความสบายให้เจ้าอยู่ทุกตารางวา แต่ผู้ที่เอาแต่แสวงหาความสำราญนั้นไม่ใช่ราชา แต่ผู้ที่มอบความสุขสบายให้ผู้อื่นนั่นจึงจะคือราชา ดั่งที่พ่อให้เจ้ายืมตักทิ้งน้ำหนักกายทั้งหมดเพื่อพักพิงอย่างปลอดภัยนี่ เข้าใจหรือไม่”

ตอนนั้นถึงเขาจะไม่เข้าใจกับว่ารัชทายาท แต่ถ้าหากมันเป็นคำใช้เรียกผู้จะกระทำอย่างเสด็จพ่อในอนาคต เขาย่อมปรารถนายินดีที่จะดำรงตำแหน่งนั้น เป็นคนที่ทุกคนเคารพรัก เป็นคนที่มีน้ำพระทัยกว้างขวาง มีหญิงสาวที่งดงามอ่อนโยนอย่างเสด็จแม่อยู่ข้างกาย ทุ่มเทกระทำราชการอย่างเต็มความสามารถ หากแต่เวลาว่างทั้งหมดก็อุทิศแสวงหาความสุขกับครอบครัวอย่างเรียบง่ายเช่นสามัญชน หากชีวิตในอนาคตเป็นเช่นนั้น สตาร์จูนก็ตรองแล้วว่ามันช่างคุ้มค่า

แต่เมื่อเขาอายุได้สี่ขวบปี ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับทารกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสมาชิกใหม่ของวังหลวง

เจ้ารัชทายาทประสูติแล้ว!’ เสียงของเสนาอำมาตย์ตะโกนกันเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งรั้ววัง เหล่าข้าราชบริพารนางในพากันหลั่งน้ำตาด้วยความปีติ ทุกคนกระตือรือร้นเทียวเข้าออกตำหนักหลวงของจักรพรรดิ ตะโกนกันซ้ำไปมาอยู่ตลอดว่า เจ้ารัชทายาทประสูติแล้ว ครานั้นเจ้าชายน้อยสตาร์จูนที่กำลังเรียนเขียนตัวอักษรอยู่ที่ตำหนักของพระมารดาเอียงคอมองความโกลาหลอย่างงุนงง หันไปหาผู้ให้กำเนิด เอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว

บ่าวข้างล่างท่าจะเลอะเลือน

เลอะเลือนเช่นไรหรือพระสนมเอกตรัสถาม

ก็ตะโกนกันอยู่ได้ว่า เจ้ารัชทายาทประสูติแล้วๆ ถึงข้าจะยังเด็กนัก แต่ข้าก็นับตัวเลขเป็นแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ข้าอายุสี่ขวบปี ก็หมายความว่าเกิดมาสี่ปีไม่ใช่หรือไร เพิ่งจะมาป่าวร้องกันว่าเจ้ารัชทายาทเพิ่งเกิด ไม่ให้เรียกว่าเลอะเลือน จะเรียกว่าอะไรเล่า พระมารดา

หญิงสาวผู้ให้กำเนิดไม่ต่อความบุตรชายอันเป็นที่รัก นางกลับจับจ้องดวงตาสีดำไร้เดียงสาได้เพียงชั่วครู่แล้วเบือนหลบก่อนจะดึงเด็กน้อยเข้าไปกอด ลูบเกศาดำขลับ ลูบแผ่นหลังเล็กๆแล้วกดจุมพิตที่ขมับ อ้อมแขนบางทว่าอบอุ่นเสมอครานี้สั่นระริก กระซิบที่กระหม่อมน้อยๆว่าให้ไปแต่งตัวเป็นชุดพิธีการเพื่อไปเฝ้าเสด็จพ่อ เจ้าชายน้อยสตาร์จูนยิ้มกว้างปฏิบัติทุกอย่างรวดเร็วไม่งอแง ก้าวขึ้นเกี้ยวกับพระมารดาอย่างกระตือรือร้นด้วยที่ว่าสองสามเดือนมานี้เขาพบกับเสด็จพ่อน้อยครั้งนัก เคยเอ่ยถามกับพระมารดา ก็ได้คำตอบมาเพียงว่าท่านทรงงานหนัก ออกว่าราชการติดต่อกัน ไม่มีเวลาเสด็จเยือนตำหนักเขาหรือเรียกเขาเข้าพบ เจ้าชายน้อยขยุ้มฮากามะด้วยความตื่นเต้น มองเส้นทางในวังจากพระแกลเล็กๆข้างตัวเกี้ยว พลันขมวดคิ้วอย่างสงสัยอีกครา ถึงจะยังไม่ประสานัก แต่เขาก็จำได้ นี่ไม่ใช่เส้นทางไปตำหนักหลวงอย่างเคย

เราจะไปวังตะวันออกกัน พระมารดาบอกเขา แต่เขาไม่รู้จัก ในช่วงชีวิตเพียงแค่สี่ปีของเจ้าชายสตาร์จูนนั้นเคยเยือนเพียงแค่ตำหนักหลวงกับตำหนักของผู้เป็นแม่เท่านั้น มีบ้างที่จะได้ไปวิ่งเล่นในสวนท้ายวังกับพวกพระพี่เลี้ยง มิเคยไปเยือนวังหลังเพราะเป็นเสด็จแม่บอกว่าห้ามไป ถึงไปก็มีแต่เด็กผู้หญิง เป็นเพื่อนเล่นให้เด็กผู้ชายเช่นเขาไม่ได้ คนของวังหลังที่เขาเคยพบปะมีเพียงคนเดียวนั่นคือ อดีตฮิมาวาริเซ็ตสึโนะ หญิงสูงวัยร่างเล็กใจดีที่ชอบทำขนมของโปรดให้เขารับประทานบ่อยครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น ถึงไม่เคยไปวังหลัง เขาก็ยังเคยได้ยินผ่านหูว่าขอบเขตรั้ววังมีสถานที่เช่นนั้นอยู่

แต่ วังตะวันออก นั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยได้ยิน

เขาก้าวเท้าออกจากเกี้ยวอย่างรวดเร็วทันทีที่มันหยุดตามประสาเด็กอย่างรู้จักสถานที่แห่งใหม่ วังตะวันออกปลูกด้วยหินและอิฐอย่างเช่นตำหนักอื่นทั่วไป ข้างหน้ามีพืชพรรณประดับอย่างที่ตำหนักเขาก็มี แต่ที่สะดุดสายตาเจ้าชายสตาร์จูนที่สุดเห็นจะเป็นทวารหลัก สลักเสลาลวดลายมังกรที่เขาไม่เคยเห็นจากที่ใด สวยงามแต่ก็น่ากลัวในทีเดียวกัน พระมารดายึดข้อมือเขาให้เดินตามเข้าไปข้างใน มีคนอยู่เต็มไปหมด สองข้างทางเดินนั้นมีคนนั่งอยู่เรียงราย เขาจำหน้าได้เพียงแค่บางคนว่าเป็นคนที่อยู่กับเสด็จพ่อบ่อยๆ เรียกว่าเสนาบดี มีหญิงสาวแต่งกายงดงามด้วยอาภรณ์คล้ายคลึงเสด็จแม่อยู่หลายท่าน และสุดท้ายที่สุดคือเสด็จพ่อของเขาที่นั่งอยู่บนแท่นสูง ข้างกายมีหญิงโฉมงาม งามกว่าพระมารดาของเขาไหม ด้วยอคติลำเอียงก็คงจะตอบว่าไม่ใช่ แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือนางดูสูงสง่า เปี่ยมบารมีกว่าพระมารดาของเขามากมายนัก

และท้ายที่สุดคือทารก ทารกผมสีฟ้าที่เสด็จพ่อโอบประคองไว้ในอ้อมพระกรอย่างหวงแหน

ข้ายินดีที่พวกเจ้าทุกคนมาร่วมพิธีเป็นสักขีพยานแต่งตั้งรัชทายาท เราช่างวาสนาดี ที่เทพสวรรค์กรุณาจุติแล้วกำเนิดเพื่อสืบสันตติวงศ์ของเรา มิทำให้วังตะวันออกแห่งนี้ร้างไร้ผู้ครอบครอง

สตาร์จูนไม่เข้าใจประโยคของเสด็จพ่อว่าท่านหมายความว่าอะไร แต่เสียงสรรเสริญของขุนนางอำมาตย์ดังเป็นถ้อยคำซ้ำๆ เจ้ารัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญอึงอลอยู่เช่นนี้นานสองนาน

เจ้ารัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

เดี๋ยว พวกเจ้าหมายถึงใครกัน

ดูสุขภาพพลานามัยแข็งแรงเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ พระเกศาสีฟ้าปานมหาสมุทร ดวงตาสีน้ำตาลดุจดั่งผืนปฐพี ในอนาคตเจ้ารัชทายาทจะเป็นผู้เป็นใหญ่ พระบารมีขจรไกลไปทั่วทุกเขตขัณฑ์

ไม่ได้หมายถึงข้าหรือ

เจ้ารัชทายาทโทริโกะ ขอพระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน

ไม่ใช่ข้าหรือ

เจ้ารัชทายาทโทริโกะ เหมาะสมยิ่งแล้ว

เจ้ารัชทายาท...ไม่ใช่ข้าหรือ ไม่ใช่สตาร์จูนผู้นี้หรือ
          
          เด็กน้อยส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไร ความคับข้องตีอยู่ในอกจนปวดแปลบและอยากปลดปล่อย มันเริ่มตั้งแต่เขานั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เห็นคนที่อยู่ข้างกายเสด็จพ่อไม่ใช่พระมารดา เห็นผู้ที่อยู่บนพระเพลาเป็นเด็กคนอื่นไม่ใช่ตน เห็นสายตาเสนาอำมาตย์ ข้าราชบริพารที่มองข้ามเขาไปแล้วจับจ้องเพียงเด็กคนนั้น การได้ยินถ้อยคำว่า รัชทายาทแต่ไม่ใช่ถ้อยคำเรียกตน ความไม่เข้าใจ ความเปลี่ยนแปลงกะทันหันที่ไม่ได้รับการบอกกล่าวเหตุผล สตาร์จูนกัดริมฝีปากของตนเองแน่น เบือนหน้าหลบภาพที่ตนไม่ประสงค์จะมอง มือน้อยบีบเข้าหากันจนพระสนมเอกต้องเอื้อมมือมาลูบมันอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลม นางมองลูกอย่างอาดูร เด็กคนนี้กลายเป็นเด็กผิดแผก เติบโตมาอย่างบิดเบือน อายุเพียงแค่สี่ขวบ แต่ต้องถูกสั่งสอนให้เก็บกลั้นอารมณ์ ถูกฝึกจารีตประเพณีให้เคร่งครัดในระเบียบพิธี ต่อหน้าพระที่นั่งของจักรพรรดิ ต่อหน้าเสด็จพ่อ เขาคือบุตรชายที่ท่านภาคภูมิใจที่ไม่อาจแสดงความอ่อนแออย่างการหลั่งน้ำตาแม้เพียงหยด

            “สตาร์ ลูกข้า” องค์จักรพรรดิตรัสเรียกพลางกวักมือให้เข้าไปหา เด็กน้อยลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปอย่างไม่มีรีรอ พระหัตถ์หนึ่งข้างโอบรั้งไหล่ของเขาเข้าใกล้ ส่วนอีกข้างยังคงประคองเด็กทารกให้เขาชม เด็กผมฟ้าควรจะมีความคล้ายเขาบ้างด้วยสายเลือดครึ่งหนึ่งก็มาจากบิดาคนเดียวกัน แต่มันกลับไม่ใช่ เขารู้สึกว่าตนเองแตกต่างกับเด็กคนนี้เกินกว่าที่จะเอื้อมถึง

            “นี่โทริโกะ เป็นน้องชายของเจ้า”

         สตาร์จูนได้รู้ ณ วินาทีนั้น ว่าแท้จริงแล้วที่เขาไม่ร้องไห้ อาจไม่ใช่เพราะนิสัยตนที่ถูกอบรมสอนสั่ง แต่เป็นเพราะนี่ไม่ใช่การสูญเสีย หรือการถูกแย่งชิง เขาไม่ได้เสียอะไรไป หากแต่มันไม่มีอะไรที่เป็นของเขาตั้งแต่แรกต่างหาก

          เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งเขาอายุย่างสิบห้าปี และเจ้ารัชทายาทโทริโกะเพิ่งกลายเป็นเด็กซนราวสิบเอ็ดชันษา สตาร์จูนลอบสังเกตน้องชายต่างแม่คนนี้อย่างเงียบๆ โทริโกะเติบโตมาด้วยบุคลิกที่ต่างกับเขาเล็กน้อย เด็กคนนี้ค่อนข้างร่าเริงแจ่มใส แต่ถึงกระนั้นกลับมีคนสนิทที่ตามติดกันต้อยๆแค่สามคน ซานี่ หนึ่งในโอรสที่เกิดจากพระสนมแห่งตำหนักริวจา โคโคะ ลูกชายท่านอัครเสนาธิการผู้ใกล้ชิดท่านพ่อ และสุดท้าย ซีบร้า เกิดในชนชั้นสามัญหากแต่ท่านสมุหกลาโหมเห็นถึงแววว่าคืออัจฉริยะทางการรบ จึงรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ชมดูก็พอจะคาดคะเนได้ว่าเด็กกลุ่มนี้จะกลายเป็นคณะปกครองที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต เขาไม่ได้มีความเห็นคัดค้านในสิ่งใด ออกจะยอมรับด้วยส่วนหนึ่ง แต่ก็พอจะได้ยินถึงพฤติกรรมของโทริโกะมาบ้าง

            เด็กคนนั้นรักสนุกและชอบการละเล่นกับพระสหายคนสนิทมากกว่าที่จะศึกษาเล่าเรียน เป็นเหตุที่ทำให้ท่านพ่อกลัดกลุ้มพระทัยบ่อยๆ ทุกครั้งที่โทริโกะไม่เข้าเรียนท่านจะลงโทษอย่างสาหัสสากรรจ์ ไล่เตะไล่ถีบเป็นที่ขำขันเอ็นดูกับผู้พบเห็น แต่สำหรับสตาร์จูนที่มองความคิดอ่านของเสด็จพ่อได้ดีกว่าใครเขาเข้าใจเต็มอกว่าท่านทุ่มเทกับโทริโกะมากเพียงใด หากไม่ใส่ใจ ไม่เข้มงวด ท่านไม่มีทางสละเวลาราชการเหล่านั้นมาดุด่าว่ากล่าว กับเขาท่านพ่อก็ไม่เคยปฏิบัติเช่นนั้น อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยทำสิ่งให้ท่านพ่อต้องกริ้ว แต่ถ้าหากคิดในอีกแง่มุม เขาทำตัวทีเล่นทีจริงอย่างโทริโกะ ท่านพ่อจะกรุณาวางพระหัตถ์จากกิจธุระ แล้วดุด่าลงโทษเขาบ้างไหม

         เจ้าชายสตาร์จูนสนใจศิลปะวิชาการอยู่หลายแขนง หากแต่ที่เป็นพิเศษกว่าสาขาอื่นก็คือเรื่องราวของยารักษาโรคและสมุนไพร สาเหตุมิใช่ใดอื่น มนุษย์เวียนจบกันอยู่เพียงเกิดแก่เจ็บตาย เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ของเขานับวันก็มีแต่ชราลง ซ้ำพวกท่านยังมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบผิดจากผู้อื่นมากมายนัก เป็นไปได้ว่าสุขภาพจะเสื่อมโทรมเร็ว เขา
ที่เป็นลูกก็ควรจะปรนนิบัติรักษาท่านได้ในระดับหนึ่ง เป็นเหตุผลที่เรียบง่ายเช่นนี้

            แต่การจะร่ำเรียนนั้นมิได้ง่าย เขาจำเป็นต้องมีอาจารย์ที่ชำนาญการพอที่จะสอนสั่ง ในรั้ววังมิมีอาจารย์เช่นนั้น ผู้ที่ชำนาญเรื่องสมุนไพรมีไม่มากนักแม้แต่หมอหลวงเอง เนื่องด้วยเป็นศาสตร์ใหม่ที่มาจากแผ่นดินใหญ่ ส่วนหนึ่งก็คือยังไม่มีผู้ศึกษามากมายนัก แต่อีกส่วนก็คือยังคงไม่ยอมรับศิลปะวิชาการจากต่างชาติ เขาเคยนำความประสงค์ไปแจ้งเสด็จพ่อ และท่านได้ตรัสตอบกลับมาเพียงว่าจะนำไปพิจารณาดูเท่านั้น เจ้าชายอันดับสองแห่งแผ่นดินได้เพียงค้อมรับ เพียงแต่ในใจลึกๆเขาก็ทราบดีว่านั่นไม่ใช่คำรับปาก จึงให้เหตุผลกับตัวเองแทนเสด็จพ่อว่าบางที ควรจะให้เวลาท่านสะสางงานก่อน เรื่องส่วนตัวของเขานั้นยังถือเป็นสิ่งเล็กน้อยนัก แต่กระนั้นเขาก็ทูลขออนุญาตเสด็จพ่อออกจากนอกรั้ววัง ใคร่หาตำราเรียนสักเล่มอ่านไปพลางๆก่อน ไม่ต้องมีคนติดตามให้มากพิธี เขาแค่อยากเดินตลาดใกล้รั้ววังดังเช่นเด็กหนุ่มธรรมดาผู้หนึ่ง

            ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เจ้าชายอันดับสองเสด็จออกจากรโหฐาน เขาแต่งกายด้วยชุดสีเข้มเรียบง่าย ปลดเครื่องประดับออกทั้งหมด ผูกผมยาวของตนไว้เพียงแถบผ้า พกดาบประจำกายติดไว้เพียงเล่ม เดินแทรกไปตามฝูงชนในตลาดอย่างแนบเนียน นัยน์ตาคมกวาดซ้ายแลขวามองสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างเพลิดเพลิน หวนคิดไปว่า รั้วหินสีขาวที่ตั้งตระหง่านเป็นแนวยาวนั้นช่างทรงอิทธิพลนัก ถึงขั้นแปรเปลี่ยนโลกได้กลับตาลปัตร ที่นี่ไม่มีใครเรียกเขาว่า เจ้าชายไม่มีถ้อยคำราชาศัพท์ยืดยาว เจ้าของร้านขายปลาเรียกเขาว่าน้องชายด้วยเสียงอันดัง ถามต่อว่าซื้อปลาไหม เพิ่งมาสดๆใหม่ๆ ในขณะที่แม่ค้าขนมหวานเรียกเขาว่าหนุ่มน้อยเจื้อยแจ้ว มีคนเดินชนเขาบ้าง แต่คนพวกนั้นก็กล่าวเพียงแค่คำว่าขอโทษ มิใช่นำหน้าด้วยวลีพระอาญามิพ้นเกล้าด้วยสีหน้าหวาดเกรง

            สตาร์จูนแย้มยิ้มนิดๆกับผลการเปรียบเทียบ เขาอาจจะยังตัดสินไม่ได้ว่าอะไรดีกว่า สำหรับเขาการปฏิบัติตามกฎประเพณีเช่นสายเลือดขัตติยาไม่ใช่เรื่องลำบาก มันคือหน้าที่ที่ปะปนรวมไปกับวิสัยส่วนตัวจนแยกไม่ออก แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าโลกภายนอกนั้นช่างอิสรเสรี เรียบง่าย และน่าสนุกสนาน และที่พวกเขายังคงมีรอยยิ้ม ดำรงชีพกันได้อย่างสุขสบายเช่นนี้ ทุกอย่างล้วนมาแต่หยาดเหงื่อของเสด็จพ่อที่หลั่งกับโต๊ะทรงงาน

            นี่น่ะหรือคือ ประชาชน

           ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มเดินเข้าไปในร้านหนังสือค่อนข้างใหญ่ ในร้านมีผู้คนอยู่ไม่หนาตามากนัก หากแต่ทุกท่านล้วนแต่เป็นผู้ใหญ่มีอายุ แต่งกายคล้ายเป็นเหล่าอาจารย์ หมอชาวบ้าน หรือไม่ก็คนหนุ่มบัณฑิตผู้มีชาติตระกูลดี พวกเขาล้วนเลือกหยิบอ่านม้วนกระดาษ หรือสมุดบันทึกไม่มีใครสนใจใคร เจ้าชายรัชทายาทตกที่นั่งลำบากเล็กน้อย ถึงร้านหนังสือนี่จะไม่ได้ใหญ่โตไปกว่าห้องสมุดในวังหลวง แต่การจะหาหนังสือที่เขาต้องการ มันก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าต้องใช้เวลากี่ชั่วยามกัน

        เขาสอบถามเจ้าของร้านถึงหมวดหมู่ยาสมุนไพรแล้วตรงรี่เข้าไป มุมนั้นปลอดคน บ่งบอกว่าความนิยมในหมวดหมู่ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่พูดว่าไม่มีคนเลยนั้นนับว่าผิด เพราะเขาเห็นคนๆหนึ่งกำลังยืนหันหน้าให้กับชั้นวาง ในมือกางหนังสือหนึ่งเล่ม ก้มหน้าอ่านไม่สนใจใคร เท่านั้นเจ้าชายอันดับสองแห่งแผ่นดินถึงกับทอดพระเนตรไม่วาง

            มีคนอยู่นับว่าแปลกแล้ว หากแต่คนอยู่นั้นเป็นเด็กน้อยสูงไม่ถึงอกของเขานั่นนับว่าประหลาดกว่า เด็กน้อยที่ว่าสวมชุดง่ายๆทะมัดทะแมงสีขาวเรียบ ผมสั้นสีดำสนิท ไม่ทราบหน้าตาเป็นเช่นไร เพราะเจ้าตัวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบกับผู้มาใหม่เลย หากจะว่าไร้มารยาทก็นับว่าช่างไร้มารยาทเสียจนน่าจับลงโทษ แต่ถ้าหากพูดถึงการมีสมาธิ เด็กคนนี้สมาธิสูงเสียจนน่าชื่นชม

            เจ้าชายอันดับสองไม่กล่าวอะไรนอกจากเดินอ้อมแผ่นหลังบอบบางนั้นไปยืนอยู่เคียงข้าง ดวงตาไล่ไปตามสัน บ้างเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่บ้างเป็นภาษาจีน “สมุนไพร ฮั้วลักเซียม” เสียงทุ้มเอ่ยพึมพำ เป็นชื่อหนังสือที่เขาต้องการหา แต่กวาดตามองคร่าวๆแล้ว ยังไม่พบ เป็นเช่นนั้นเขาคงต้องเลือกร้านหนังสือใหม่ แต่ก่อนที่จะตัดใจเดินออกไป เขาขอได้ไขข้อข้องใจกับตัวเองเสียหน่อยเกี่ยวกับเจ้าเด็กที่ยืนอยู่ข้างๆ เด็กประหลาดที่ไม่น่าจะถึงสิบขวบปี แต่กลับอ่านหนังสืออย่างเงียบงันราวกับเข้าใจเป็นวรรคเป็นเวร

            อ่านอะไรกัน?

            ดวงตาคมลอบสอดส่งลอดท่อนแขนเล็กเรียวไปยังเนื้อหาบนหน้ากระดาษด้วยความใคร่รู้ แก้ตัวกับตนเองว่ายามนี้เขาไม่ใช่เจ้าชายผู้เคร่งครัดในระเบียบมารยาท ซ้ำเจ้าเด็กน้อยยังตัวเล็กกระจ้อย การที่เขาจะเห็นมันทุกตัวอักษรนั้นช่างง่ายดาย พออ่านไปได้สองสามประโยค พระขนงก็เริ่มขมวดเข้าหากันเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ แต่เป็นเพราะหนังสือนั่นเป็นหนังสือเล่มที่เขาตามหาอยู่นานสองนาน คนเป็นเจ้าชายถึงกับยืนนิ่งอึ้ง ไม่ทราบว่าจะแสดงสีหน้าอย่างไรจึงค่อยๆเอียงพระศอหวังเห็นหน้าปกเพื่อยืนยัน แล้วก็ไม่ผิดพลาดเมื่อมันเขียนว่า สมุนไพร ฮั้วลักเซียม อยู่เด่นหรา

            เขาต้องการหนังสือเล่มนั้น แต่ไม่ทราบว่าจะทำเช่นไร ชายหนุ่มร่างสูงยืนนิ่งรับกับสถานการณ์ที่ตนไม่เคยพบมาก่อน ที่ผ่านมาสตาร์จูนถูกรายล้อมไปด้วยผู้ที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของเขา แม้ไม่เอ่ยปากเพียงใช้สายตามอง เหล่าผู้รับใช้ก็แจ้งใจแล้วว่าเขาต้องการสิ่งใด หากแต่ตอนนี้มันใช้ไม่ได้แม้เพียงนิด เขามองเสียจนลำตัวเจ้าเด็กนี่จะทะลุอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่รู้สึกรู้สา ครั้นจะให้เอ่ยขอไปตรงๆเขาก็รู้สึกกระดากแปลกๆ นั่นไม่นับว่าเขาไปแย่งสิ่งของมาจากเด็กน้อยไม่ประสา กลายเป็นผู้ใหญ่ที่เลวเช่นนั้นหรือ อีกประการ เขาก็ไม่มีความกล้าพอที่จะไปทำลายสมาธิอันนิ่งสงบไม่สั่นคลอนนั่นจริงๆ สตาร์จูนผ่อนลมหายใจ นึกขำขันสมเพชตัวเอง

            ออกจากวังครั้งแรกแปรเปลี่ยนตัวเขาได้เพียงนี้เชียว กับแค่เด็กน้อยคนเดียว เจ้าชายอันดับสองของแผ่นดินถึงกับกลายเป็นคนไร้ปากไร้เสียง ไม่กล้าแม้จะเอ่ยขอหนังสือหนึ่งเล่ม

            “เอ่อ..คือ” เสียงกังวานใสปานระฆังเงินดังขึ้นกะทันหัน สตาร์จูนแทบจะหยุดหายใจ “ไม่ทราบว่า คุณชายมีธุระอันใดกับข้าน้อยหรือขอรับ”

            เท่านั้นก็คงจะชัดแก่ใจแล้วว่าเขาจ้องมองเด็กน้อยจนรู้สึกตัว เจ้าชายอันดับสองยิ่งปฏิบัติองค์ไม่ถูก ตามวิสัยเขาย่อมไม่ส่งเสียงเอ่ออ่าหรือกวาดตาล่อกแล่กให้เสียบุคลิกสง่างาม ใช้เพียงแค่ความนิ่งสงบส่งผ่านไป แม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยความละอายใจก็ตาม

            “ข้าไม่ได้มีธุระอันใดกับเจ้า” เขาเอ่ยเสียงเรียบ “หากแต่มีกับหนังสือในมือของเจ้า”

พลันเด็กน้อยมองเขาสลับกับสิ่งในมือตน ยามนั้นเองที่เขาก็มีโอกาสตั้งสติแล้วสำรวจเจ้าเด็กที่ตนตีตราว่าประหลาดตั้งแต่แรกพบ ดวงหน้าแต่แรกที่ไม่เห็นปรากฏชัดเต็มสองตา คิ้วนั้นโค้งโก่ง ดวงตาสีดำขลับเป็นประกายไร้เดียงสาเช่นผู้เยาว์หากแต่เปี่ยมไปด้วยความเฉลียวฉลาด ปากนิด จมูกหน่อย ผิวกายไม่เรียกว่าขาวผ่อง หากแต่เป็นเหลืองนวลตามแบบคนประเทศนี้ไปทั่วทั้งกาย หน้าตาของเด็กคนนี้ธรรมดาไม่ผิดแผก ไม่มีสิ่งใดสะดุดใจให้จดจำเป็นพิเศษ แต่การกระทำกลับพิเศษ เมื่อมือน้อยนั้นยื่นตำราให้เขาโดยไม่มีรีรอหรือหวงแหนเลย

            “เจ้าอ่านจบแล้วรึ” อันที่จริงเขาควรจะถาม เจ้าอ่านมันรู้เรื่องด้วยรึ

            “มิได้ขอรับ” เจ้าเด็กน้อยปฏิเสธเสียงใส “ข้าน้อยยังอ่านไม่จบ แต่ก็ไม่อาจมองข้ามความต้องการของผู้อื่นได้ หนังสือเล่มนั้นข้ายังไม่ได้ซื้อ นั่นหมายความว่ามันยังไม่ใช่ของข้าน้อยขอรับ ข้าน้อยคงไม่อาจรั้งไว้กับตัวเอง อีกประการ ข้าน้อยมาที่นี่บ่อย จะมาเมื่อใดก็ได้ แต่ท่านที่ข้าน้อยไม่เคยเห็นหน้า อาจไม่มีโอกาสมาที่นี่บ่อยครั้งนัก เพราะฉะนั้นข้าน้อยจึงยื่นหนังสือให้ท่านขอรับ”

            สตาร์จูนจับจ้องเด็กตรงหน้านิ่ง ดวงตาคู่สุกใสที่สบกลับเขามานั้นไม่มีแววเสียใจเสียดาย รอยยิ้มนิดๆที่ประดับบนใบหน้าแสนธรรมดาทำให้สตาร์จูนคิดว่ามันน่าเอ็นดูขึ้นจม ริมฝีปากที่ไม่ค่อยแย้มสรวลกลับหยักขึ้นมา ไพล่อยากทราบว่าผู้ปกครองของเด็กคนนี้นี่ใครกันหนอ เหตุใดจึงเลี้ยงบุตรหลานได้ผิดไปจากวิสัยเด็ก ไม่มีความเอาแต่ใจ กลับกัน น้ำใจนั้นมากล้น คิดแล้วสตาร์จูนก็นึกสนุก ทรุดกายลงนั่งยองๆให้ความสูงพอดีกับเจ้าเด็กตรงหน้า ตรัสถามไป

            “แล้ว...ถ้าหากข้ามีความประสงค์จะซื้อหนังสือเล่มนี้วันนี้ นั่นหมายความว่าข้าก็เป็นเจ้าของมันโดยสมบูรณ์ เอามันกลับบ้านไป เป็นเช่นนี้แล้วต่อให้เจ้ามาในวันรุ่งขึ้น เจ้าก็ไม่ได้พบหนังสือเล่มนี้แล้ว เจ้าก็ยอมหรือ ไม่เสียใจที่ยื่นหนังสือให้ข้าแน่นะ”

            “มิได้ขอรับคุณชาย” เจ้าเด็กน้อยปฏิเสธคำเดิม “เพราะเนื้อหาในตำราเล่มนั้นไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์กับผู้อ่าน แต่ยังเป็นประโยชน์กับผู้ไม่ได้อ่านด้วย จะเป็นเช่นนั้นได้เมื่อผู้มีความรู้ใช้มัน ท่านโตกว่าข้าน้อย เป็นผู้ใหญ่กว่า เชื่อว่าท่านจะต้องใช้ความรู้ในตำรานั้นมอบประโยชน์แก่ผู้อื่นได้มากกว่าข้าน้อย ถึงข้าน้อยจะนึกเสียดาย แต่มันคงเทียบไม่ได้หากภายภาคหน้าเกิดเหตุที่ทำให้ข้าน้อยต้องนึกเสียใจที่ข้าน้อยไม่ได้ยื่นหนังสือให้ท่านไปขอรับ” เด็กน้อยว่าอย่างฉาดฉาน พลางชี้นิ้วเล็กๆไปบนชั้น “ถึงจะมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับหนังสือหมวดหมู่อื่น แต่ร้านนี้ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับสมุนไพรมากที่สุดแล้วขอรับ สองชั้นบนไล่จากทางซ้ายจะเป็นสมุนไพรจากแผ่นดินใหญ่ ล้วนใช้เป็นวัตถุดิบประกอบอาหาร แยกชัดเจนตามธาตุหยินและหยาง ส่วนล่างลงมาจะเป็นสมุนไพรรักษาโรคที่พบเห็นได้บ่อยนักในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่โรคร้ายแรงนัก สามารถอ่านให้เข้าใจและปฏิบัติเองได้ รักษาภายในและภายนอกมีครบทั้งคู่ขอรับ ส่วนข้างล่างนั้นเป็นสูตรยาโบราณรักษาอาการป่วยเรื้อรังและถอนพิษได้ ประกอบไปด้วยแปะฮวยจั่วจิเช่า พั้วกีไน้ โสม และเห็ดหลินจือขอรับ ขอคุณชายเลือกอ่านได้ตามอัธยาศัย”

            สตาร์จูนไล่สายตาตามคำของเด็กน้อยบอก นึกสนเท่ห์ประหลาดใจเป็นทบทวีเมื่อมันถูกต้องทุกประการ เด็กนี่คงจะอ่านหนังสือออกจริงๆ แต่ยิ่งกว่านั้นคืออ่านมันหมดทั้งชั้นแล้วอย่างนั้นหรือ ซ้ำยังเป็นศาสตร์ของโอสถที่ผู้ใหญ่บางคนยังไม่คิดจะแตะต้องมันเพราะความเข้าใจยากและเนื้อหาที่ต้องจดจำเยอะด้วยนี่นะ

            “เจ้าอายุเท่าไหร่กัน เด็กน้อย”

            “เรียนคุณชาย ปีนี้ข้าน้อยได้สิบเอ็ด” เจ้าชายสตาร์จูนแย้มสรวลที่มุมปาก อายุเท่าเจ้ารัชทายาท แต่ช่างต่างกันทั้งขนาดร่างกายและอุปนิสัยเสียจริง เขาพยักหน้าแล้วถามต่อ

            “ใครสั่งสอนให้เจ้าหัดอ่านเขียนตั้งแต่ยังเยาว์เช่นนั้นหรือ แล้วเรื่องสมุนไพรนี่เป็นสิ่งที่เจ้าชมชอบเอง หรือถูกใครบังคับมา”

            “ข้าน้อยอ่านเขียนเป็นเพราะท่านย่าขอรับ ท่านฝึกหัดข้าน้อยตั้งแต่ยังเล็ก กล่าวว่าการรู้หนังสือเป็นลาภอันประเสริฐ มิใช่ทุกผู้ทุกคนจะมีโอกาส หากอ่านเขียนเป็นแล้วจะทำการงานได้ง่ายดายนัก ไม่จำเป็นว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ อีกประการเรื่องของสมุนไพร ข้าน้อยไม่แน่ใจว่าเริ่มศึกษาเพราะความชมชอบไหม เพียงแต่ท่านย่าสั่งสอนว่า เมื่ออ่านเขียนเป็น ก็ควรใช้ความสามารถนั้นให้เกิดประโยชน์ ข้าน้อยเล็งเห็นว่าศาสตร์นี้เป็นศาสตร์ดี ทั้งยังเกี่ยวข้องกับวิชาชีพทางบ้านของข้าน้อยจึงศึกษาเรื่อยมา เป็นกิจวัตรที่สนุกสนานประการหนึ่ง”

            “อย่างนั้นรึ”

            “อา ข้าน้อยออกมานานมากแล้ว ทั้งยังไม่ต้องการรบกวนคุณชายเลือกหนังสือ เช่นนั้นขอลาขอรับ”

            เด็กน้อยโค้งให้เขาแล้ววิ่งออกไป จนทำให้เจ้าชายอันดับสองของแผ่นดินยกมือขึ้นหวังรั้งให้อยู่กลางอากาศ จะส่งเสียงเรียกก็ไม่ทันเสียแล้ว พระเนตรหรี่ลงทบทวนอากัปกริยาตนอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดเขาผู้ไม่เคยสนใจใครถึงประสงค์จะเรียกร้องให้เด็กคนนั้นอยู่ต่ออีกนิด เสียงใสที่ดังเจื้อยแจ้วยังติดอยู่ที่หูแต่กลับไม่น่ารำคาญ จะพูดต่ออีกสักกี่ประโยคเขาว่าเขาก็สามารถฟังมันได้ไปนานแสนนาน อีกประการ เขาประทับใจกับความคิดอ่านของเด็กที่ห่างกับเขาถึงสี่ปีนั่นนัก

            ช่างประหลาดไม่สมวัย จะว่าไปก็คล้ายเขาอยู่ส่วนหนึ่ง

           แต่ที่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพราะการเลี้ยงดู แต่เจ้าหนูคนนั้นคือคนธรรมดาสามัญ ถึงเนื้อตัวเสื้อผ้าจะผ่องแผ้วคล้ายผู้มีอันจะกินบ้านหนึ่ง แต่ก็ไม่น่าจะถูกเลี้ยงให้มีความคิดอ่านคล้ายผู้ใหญ่จนน่าตกใจขนาดนี้ได้ เจ้าชายสตาร์จูนทอดพระเนตรมองตามหลังเด็กน้อยไปจนกระทั่งลับตา ไพล่นึกไปถึงข้อเปรียบเทียบที่ตนคิดระหว่างในรั้ววังกับโลกภายนอกนี้ ที่ตอนแรกเขาไม่แน่ใจว่าชอบอย่างไหนมากกว่ากัน


            แต่ถ้าหากข้างนอกวังมีเด็กคนนั้น เขาก็มีเหตุผลที่จะชอบที่นี่มากกว่าอยู่ข้อหนึ่ง



          คืนนั้นเจ้าชายสตาร์จูนจุดตะเกียงอ่านตำราสมุนไพรอยู่จนดึกดื่น ไม่ทราบองค์ว่าล่วงเลยไปกี่ยามแล้ว เนื้อหานั้นไม่ได้สนุกสนาน แต่ก็ทำให้มุมปากของเขาหยักขึ้นเป็นระยะเมื่อลูบฝ่ามือไปทีละตัวอักษร เขายังคงจำใบหน้า น้ำเสียง กริยาท่าทางของเด็กน้อยนั้นได้ทุกอิริยาบถ คิดในใจว่าเขาจะมุ่งมั่นศึกษาตำราเหล่านี้ให้กระจ่างเชียว ส่วนหนึ่งเผื่อได้พบเด็กคนนั้นอีก จะได้พูดคุยซักถามกัน อยากรู้นักว่าแนะนำหนังสือให้เขาได้คล่องปร๋อขนาดนั้น แท้จริงแล้วแตกฉานถึงขนาดไหน แต่พลันความเงียบก็ถูกทำลายลงเพราะเสียงเลื่อนบานประตู ผู้ที่กล้าบุกรุกตำหนักองค์ชายอันดับสองยามวิกาล ซ้ำยังสามารถฝ่าทหารยามข้างนอกที่เขาบัญชาว่าห้ามรบกวนเป็นอันขาด เห็นทีจะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น

            “เสด็จพ่อ”

องค์จักรพรรดิทรุดกายนั่งอย่างเป็นกันเองตรงข้ามบุตรชายคนโต ยกมือระงับการค้อมกายถวายบังคม ท่านแย้มสรวลให้บางเบา พลางจับจ้องไปยังกองหนังสือตรงหน้าด้วยแววตาที่สื่อความหมายได้หลากหลาย

“วันนี้เจ้าไปข้างนอกมา” สุรเสียงเกริ่นนำอ่อนโยนหาฟังได้ไม่บ่อยนัก หากแต่สำหรับลูกนั้น ปรารถนายิ่งที่จะฟัง “พอเจ้ากลับถึงวังก็ตรงเข้าตำหนักไม่พูดจา ซ้ำยังแจ้งองครักษ์หน้าประตูว่าห้ามผู้ใดรบกวน พ่อก็เลยอยากรู้ว่าเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ประสบการณ์เปิดหูเปิดตาครั้งแรกประทับใจเจ้าหรือไม่”

“พ่ะย่ะค่ะ” เขารับ ยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อมองกองหนังสือตรงหน้า “ประทับใจมากทีเดียว” ว่าแล้วก็เงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างสำนึกผิด “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ อันที่จริงข้าตั้งใจจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อทันทีที่กลับมา หากแต่เกรงว่าท่านยังว่าราชการไม่เสร็จดีก็เลยไม่กล้าเข้าไปรบกวน แต่คราวหน้าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไร พ่อก็แค่ห่วงเจ้า ถ้าหากเจ้าว่าดีพ่อก็คลายใจ ว่าแต่...ที่เจ้าพูดว่าคราวหน้า?” สุรเสียงขององค์จักรพรรดิมีกระแสหยอกเย้าขึ้น พระเนตรหรี่ลงคล้ายจับผิดซ้ำยังแฝงไปด้วยเลศนัยจนผู้เป็นลูกชายต้องเบือนสายตาหลบอย่างที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน จักรพรรดิอิจิริวแย้มรอยสรวล แสร้งถามออกไปชัดๆ “ที่พูดว่าคราวหน้านั่นหมายความว่าเจ้าจะออกเยือนนอกวังอีกกระนั้นรึ...อะไรทำให้ลูกชายคนโตของข้านึกติดใจขนาดนั้นกันหนอ”

เจ้าชายสตาร์จูนผู้มีระเบียบกับตนเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าพระบิดายามนี้ถึงกับลืมจริยวัตร ในหัวพลันขาวโพลน ไม่มีสิ่งใดจะทูลตอบจึงได้แต่ส่งเสียงเอ่ออ่า องค์จักรพรรดิเห็นจึงยิ่งสรวลเสียงดัง ตบพระเพลาอย่างถูกใจยิ่ง เด็กหนุ่มได้แต่ก้มหน้านิ่ง ใบหน้าพลันเห่อร้อน อายจนไม่รู้จะทำเช่นไร

“ไม่ต้องตกใจไป พ่อไม่ได้คิดเค้นความจริงจากเจ้า จะอะไรก็ตามแต่ หากเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถอยู่กับมันและมีความสุขได้ พ่อย่อมยินดี” องค์จักรพรรดิว่าพลางยกพระหัตถ์ขึ้นลูบหนังสือบนโต๊ะบุตรชาย ทอดถอนใจหนึ่งที กล่าวขึ้นด้วยสุรเสียงทุ้มกังวาน

“สตาร์เอ๋ย...แต่เล็กจนโต พ่อไม่เคยเห็นสีหน้าผ่อนคลายของเจ้าอย่างเช่นวันนี้มาก่อน เจ้าแบกรับเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ตัวอย่างที่ดีแห่งมกุฎราชกุมาร บากบั่นพากเพียร ไม่เคยทำให้พ่อกับแม่เสียใจแม้เพียงครั้ง ได้ลูกเช่นเจ้าถือว่าเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล หากแต่บางทีจิตใจของคนเป็นพ่อแม่ ย่อมอยากเห็นลูกที่ไม่แตกต่างจากเด็กอื่น เจ้าเป็นเด็ก สมควรบ้างที่จะงอแง เอาแต่ใจ เที่ยวเล่น และเกียจคร้าน” องค์จักรพรรดิผ่อนลมหายใจ พึมพำเสียงเบาคล้ายรำพึงกับตัวเอง “ใช่...ถ้าหากเป็นเจ้า สามารถปฏิบัติเช่นนั้นได้ทั้งหมด”

เจ้าชายอันดับสองของแผ่นดินรับฟังอย่างเงียบงัน ใบหน้าคมคายนิ่งสนิท ถ้อยคำนี้เป็นการแสดงออกถึงพระกรุณาที่เสด็จพ่อมีต่อเขา คล้ายความห่วงใยใส่ใจอย่างที่เขาเคยร่ำร้องเรียกขอ หากแต่เหตุใด เขากลับไม่ยินดีในน้ำพระทัยของเสด็จพ่อแม้แต่นิด อย่างน้อยที่สุดความหนาวเย็นที่กำลังเริ่มเกาะกินหัวใจของเขามันเป็นผู้บ่งบอก


เช้ารุ่งขึ้นเขาเดินออกจากตำหนักตนเพื่อไปหอสมุด เขาไม่ต้องการเป็นธุระโดยการเรียกเกี้ยว จึงเลือกที่จะเดินเท้าแต่เพียงลำพัง โดยที่ลืมไปเสียสนิทว่าเส้นทางนั้นจำต้องผ่านวังตะวันออก เจ้าชายอันดับสองแห่งแผ่นดินชะลอฝีเท้าก่อนที่จะหยุดยืนอย่างไม่ตั้งใจเมื่อได้ยินเสียงของเจ้ารัชทายาทโทริโกะกับพระสหายดังก่อนเห็นตัว เขาทอดถอนใจหนึ่งที แล้วเลือกที่จะยืนแนบลำตัวกับเหลี่ยมเสาให้น้องชายดำเนินผ่านไปก่อนแล้วตนค่อยย่างเท้าต่อ ความสัมพันธ์ของเขากับเจ้ารัชทายาทนั้นจัดว่าต่างคนต่างอยู่ ไม่มีความสนิทสนมชิดเชื้อโดยที่เขาเป็นผู้ลอบสังเกตอีกฝ่ายเงียบๆ แต่ในขณะที่เจ้ารัชทายาทหาได้สนพระทัยในตัวเขาไม่ คาดว่าระหว่างการหลบยืนอยู่ตรงนี้ กับการต้องเดินต่อไปแล้วพบปะกัน จบด้วยที่ว่าเขาเป็นผู้โค้งกายถวายบังคมให้ จากนั้นก็แยกย้าย มันก็คงจะไม่ต่างอันใด

เสียงฝีเท้าของน้องชายต่างแม่นั้นใกล้เข้ามาทุกทีพร้อมกับเสียงติดอาการหงุดหงิดนั้นบ่นหงุงหงิงตลอดทาง

“เสด็จพ่อไม่เข้าใจข้าเลย ข้าบอกไม่อยากเรียนก็คือไม่เรียนสิ”

          “แต่ท่านก็ไม่น่าหนีมาทั้งอย่างนี้ มีหวังโดนองค์จักรพรรดิกริ้วอีกแน่” น้ำเสียงเจือไปด้วยความห่วงใยอย่างสุขุมนั่นคงจะเป็นโคโคะ สตาร์จูนส่ายหน้าเบาๆ น้องชายต่างแม่ของเขาก็ยังคงสร้างปัญหาเช่นเดิม

              “แต่ข้าว่าเจ้าทำถูกแล้ว” เสียงใสๆขององค์ชายซานี่ว่าบ้าง “ศาสตร์อะไรนั่น ข้าว่าไม่เห็นน่าสนุกสักนิดเลย”

            “ศาสตร์สมุนไพรและพืชยา” โทริโกะเอ่ยแก้ บ่นพึมพำอีก “ข้าว่าข้าทูลเสด็จพ่อไปแล้วนะว่าไม่ประสงค์จะเรียน เหตุใดจึงยังไปหาอาจารย์มาประเคนให้ข้าถึงตำหนักอีก ไม่ฟังกันบ้างเลย”

            โดยที่คณะปกครองในอนาคตไม่รู้เรื่อง ผู้ที่ยืนนิ่งฟังอยู่หลังเสารู้สึกว่าตนกำลังร่วงจากที่สูง ในหัวเคว้งคว้างไปหมด เขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกหลังจากนั้น ราวกับหัวใจถูกบีบจนชาดิก เมื่อวันก่อนเขาเคยทูลขอเสด็จพ่อเรื่องอาจารย์สั่งสอนวิชาสมุนไพร หากแต่ท่านกลับไม่ตบปากรับคำ แต่เขาไม่คาดหวังว่าเสด็จพ่อจะต้องตามใจ ต่อให้ปฏิเสธกลับมาแล้วอ้างเหตุผลแม้คำโป้ปดเขาก็จะยอมเชื่อ เพียงแต่ว่า อาจารย์ที่หาได้ยากปานพลิกแผ่นดินถึงเพียงนั้น...ศาสตร์ที่เขาอยากร่ำเรียนจนบังอาจทูลขอถึงเพียงนั้น ไม่ใช่ว่าท่านหาให้ไม่ได้...

            แต่มันเป็นเขาต่างหาก ที่ไม่สมควรได้รับ

            ความคับแค้นในอกดั่งโดนค้อนทุบไม่ได้รู้สึกมานานกลับตีตื้นขึ้น ณ สถานที่แห่งเดิม หากแต่นี่เขาถามตัวเองว่ามันคือความริษยาหรือ คือความน้อยเนื้อต่ำใจที่ถูกแย่งชิงอย่างนั้นหรือ มันก็คงไม่ใช่ เขาที่ตระหนักเจียมตัวอยู่เสมอว่าการที่ไม่มีอะไรตั้งแต่แรกย่อมไม่ต้องสูญเสียอะไร เพราะเช่นนั้นสิ่งที่เขารู้สึกมันก็คงจะเป็นความโกรธ ความโกรธและเสียดายแทนเจ้าน้องชายผู้เอาแต่ใจจนเคยตัว ไม่เคยไยดีในความใส่ใจที่เสด็จพ่อประทานให้ โดยที่ไม่รู้เลย ว่าใครบางคนตรงนี้ประสงค์ที่จะได้มันมาทั้งชีวิต

            ด้วยโทสะทั้งหมด เจ้าชายอันดับสองตบเท้าออกจากมุมเสา ก้าวเดินตามเด็กชายผมสีฟ้า เอ่ยทักออกไปอย่างไม่กลัวเกรง

            “จะเสด็จไหนในเวลาเรียนหรือพ่ะย่ะค่ะ เจ้ารัชทายาท” เสียงนั้น...ดุดันเย็นชาจนเด็กน้อยทั้งสี่คนหันกลับมามอง ผู้ถูกเรียกเบิกตากว้างขึ้น อาการตกใจนั้นไม่เหมือนกับเด็กที่โดนผู้ใหญ่จับได้ว่ากระทำความผิด แต่มันเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่ได้พบหน้าเขามากกว่า

            “เจ้าพี่สตาร์จูน”

            “ตอบกระหม่อมสิพ่ะย่ะค่ะ ว่าจะเสด็จไหน”

           “ไม่เกี่ยวกับเจ้าพี่นี่” เด็กน้อยเถียงด้วยสายตานิ่งเรียบ ถ้อยคำเดียวที่บอกปัดอย่างไม่สนใจยิ่งกระตุ้นให้โทสะของผู้เป็นพี่ยิ่งโหมกระพือ สตาร์จูนเชิดหน้าขึ้นหรี่ตาลงมอง แค่นหัวเราะหึ เดินเข้าใกล้พระอนุชาผู้มีศักดิ์สูงกว่าอย่างไม่เร่งร้อน หากแต่ท่าทีเขาแสดงชัดเจนว่าคุกคาม

           “พ่ะย่ะค่ะ ไม่เกี่ยว มันไม่เกี่ยวอะไรกับกระหม่อมเลย แต่กระหม่อมจะขอบังอาจทูลอะไรให้เจ้ารัชทายาทฟังเสียหน่อยเผื่อพระองค์จะไม่ทรงทราบ ข้างนอกนั้นมีกลุ่มคนมากล้นเหลือประมาณ มากยิ่งกว่าในรั้วในวังนี้ไม่รู้กี่เท่า ตอนนี้พวกเขาประกอบอาชีพอย่างแข็งขัน มีความสุขดี กินอิ่มนอนหลับนั่นก็เพราะความเหน็ดเหนื่อยขององค์จักรพรรดิที่นั่งทรงงานในตำหนักหลวงตลอดวันคืน หากไม่นับเวลาต้องมาจัดการกับความเหลวไหลของพระองค์ ท่านก็สละความสุขส่วนพระองค์แล้วมอบประชาชนเสมอมา แล้วพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ ในอนาคตเป็นทีที่พระองค์ต้องขึ้นไปนั่งแทนที่ที่เสด็จพ่อ ถึงตอนนั้นผู้ไม่เคยสละความสบาย จะยอมแลกพระเสโทสักกี่หยดเพื่อประชาชนของพระองค์กัน” 

          ยามนี้ร่างกายที่สูงใหญ่กว่าเล็กน้อยของพระเชษฐาเข้าประชิด เป็นการกระทำอันอุกอาจประการหนึ่งสำหรับเจ้ารัชทายาทผู้ไม่ควรจะมีคนสนทนาค้ำพระเศียรได้ขนาดนี้ ถึงโคโคะ ซานี่ ซีบร้าจะเริ่มมีใบหน้าเคียดขึ้งเขาก็ไม่สนใจ ถึงจะมีข้าราชบริพารสังเกตเห็นเขาก็ไม่ไยดี อย่างน้อยวันนี้เขาควรจะปลุกให้โทริโกะตื่นจากบ่อโคลนตม สำนึกในตำแหน่งของตนขึ้นมาบ้างแม้สักกะผีก

            “พระองค์ตรัสว่ามันไม่เกี่ยว ตอนนี้ก็คงจะใช่ แต่ถ้าหากวันใดที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ ผู้คนที่ยืนอยู่แผ่นดินนี้ทั้งหมดก็คือพสกนิกรใต้อาณัติ รวมถึงกระหม่อม ที่จะไม่ใช่พระเชษฐาต่างมารดา ไม่ใช่เจ้าชายอันดับสองอีกต่อไป หากแต่คือประชาชนผู้หนึ่งที่หวังพึ่งพระบารมี ราชาผู้ที่มอบความสุขให้กระหม่อมไม่ได้ กระหม่อมย่อมไม่ต้องการ ประชาชนก็ย่อมไม่ต้องการเช่นกัน ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ แต่เพื่อพี่น้องของกระหม่อมที่อยู่ข้างนอกนั่นแล้ว กระหม่อมไม่ยอมให้พระองค์นำความเหลวไหลมาทำให้พวกเขาล่มจม!

            เสียงฮือฮาดังไปทั่วบริเวณจากเหล่าเสนานางกำนัล ไม่เคยมีผู้ใดกล่าวกับเจ้ารัชทายาทด้วยถ้อยคำหยามเกียรติรุนแรงเช่นนี้มาก่อน พระสหายทั้งสามที่อยู่ข้างกายเบิกตากว้าง ในขณะที่ถูกกระทบกระทั่งโดยตรงกลับยืนนิ่ง ใบหน้าของเด็กชายอายุสิบเอ็ดปีเรียบเฉยเย็นชา ดั่งก้อนน้ำแข็งที่เผชิญหน้ากับไฟกองใหญ่ ขุนนางรับใช้ประจำตัวเขาเห็นท่าไม่ดีรีบปรี่เข้าประชิด กระซิบด้วยความตระหนก

          “เจ้าชายพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดขอพระราชทานอภัยจากเจ้ารัชทายาทเถิดพ่ะย่ะค่ะ กล่าวเช่นนั้นเป็นการไม่สมควรยิ่ง”

            “ไม่ ทุกอย่างที่ข้ากล่าวล้วนเป็นความจริง”

            “เจ้าชาย!

          “ไม่เป็นไรหรอก”สุรเสียงของเจ้ารัชทายาทดังกังวาน เป็นถ้อยคำราบเรียบฟังปลอดโปร่งอย่างที่สตาร์จูนไม่เคยได้ยินจากคนที่มีอุปนิสัยดื้อรั้นนี่ อีกทั้งรอยยิ้มที่มุมปากที่เขาก็ไม่เคยคาดเช่นกันว่ามันจะมาจากเด็กอายุเพียงสิบเอ็ดปี “ที่เจ้าพี่กล่าวมาล้วนถูกต้องทั้งหมดแล้ว ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขออภัยเจ้าพี่ที่ทำให้ท่านต้องอดทนกับการกระทำเหลวไหลมาโดยตลอดจนสุดท้ายเจ้าพี่คงจะทนไม่ไหว กล่าววาจาบังอาจกับข้าอย่างไม่เกรงอาญา”

            พระกรยกขึ้นกอดไว้หลวมๆที่แผ่นอก ดวงตาคมสีน้ำตาลจ้องนิ่งเสียจนน่าขนลุก ว่าต่อเรียบเรื่อย “ประเทศนี้ช่างไร้วาสนาที่ได้ข้ามาเป็นรัชทายาทแทนที่จะเป็นเจ้าพี่ แต่อย่างไรก็ตาม นี่มันก็ถูกกำหนดไว้แล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ จะปรีชาหรือโง่งม พากเพียรหรือเกียจคร้าน ข้าก็ยังคือว่าที่พระเจ้าแผ่นดิน โชคชะตานั้นเจ้าพี่บิดเบือนมันได้หรือ ทำได้หรือโดยการไปทูลเสด็จพ่อว่าให้ปลดข้าออกซะ แล้วแต่งตั้งเจ้าพี่ขึ้นนั่งตำแหน่งแทน”

            “เจ้ารัชทายาท!           

          “ถ้าหากเจ้าพี่กล้าทำ ถึงตอนนั้นข้าก็ไม่อาวรณ์ต่อสถานะหรอกพ่ะย่ะค่ะ ทั้งเจ้ารัชทายาท ทั้งวังตะวันออก ข้าจะปลดแล้วถวายให้เจ้าพี่ถึงพระหัตถ์
!

            ถ้อยคำที่เสมือนกล่าวโดยไม่คิดนั้นทำให้สติของเจ้าชายอันดับสองขาดผึง ถอดดาบประจำกายจากฝักแล้วยกมันขึ้นทาบพระศอของอนุชาโดยไม่รอรี แต่ชั่ววินาทีนั้นคมดาบในมือของราชองครักษ์ซีบร้าก็จ่อพร้อมที่จะสะบั้นเส้นเลือดที่คอของเขาได้ทุกเมื่อเช่นกัน เหล่าขุนนางอำมาตย์ตาเหลือก สูดลมหายใจกันหนึ่งเฮือก ในขณะที่นางกำนัลยกมือทาบอกร้องอย่างตกใจปานลมจะจับ บรรยากาศรอบกายสองสายเลือดขัตติยานั้นหนักอึ้งตึงเครียด ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครถอยห่าง เจ้าชายสตาร์จูนหรี่พระเนตรลงเหลือบมององครักษ์สามหาว เอ่ยเสียงเย็นเยียบ

            “รั้งดาบเจ้าไปเสีย ซีบร้า รู้หรือไม่ว่ากำลังกระทำตนไร้มารยาทอยู่กับใคร”

            “ถึงจะยุ่งยากแต่นี่เป็นหน้าที่ข้า รัชทายาทไม่มีดาบ สู้กับเจ้าไป เจ้าก็ต้องถูกคำครหาให้เสื่อมเสียเกียรติ ดังนั้นลงเอยที่ข้าเป็นผู้ประมือกับเจ้าเหมาะสมที่สุดแล้ว” สตาร์จูนไม่ต่อคำ เบือนสายตากลับมามองน้องชายตนที่ถึงแม้จะมีสิทธิ์สิ้นชีพเมื่อใดก็ได้แต่แววตานั้นกลับไม่ได้มีความเกรงกลัวเลย แต่กระนั้นสตาร์จูนก็ไม่เห็นความโกรธแค้นในดวงตานั้นเช่นกัน รัชทายาทโทริโกะเม้มริมฝีปากแน่น เอ่ยกับองครักษ์ตนด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

            “ซีบร้า เอาดาบเจ้ามาให้ข้า” เด็กชายผมสีแดงเพลิงลังเลอยู่วูบหนึ่งเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น ฝ่ายโคโคะกับซานี่มีสีหน้าตื่นตระหนก พอไม่ได้ดังใจ เจ้ารัชทายาทขมวดพระขนงแน่น ตวัดตามองพระสหาย ตวาดคำบัญชาด้วยอำนาจ

“ข้าบอกให้ส่งมา!

          ถึงจะสนิทสนมเติบโตมาด้วยกัน หากยศศักดิ์แต่กำเนิดยังคงเป็นกฎเกณฑ์ ซีบร้าจำต้องส่งดาบในมือให้อย่างไม่มีทางเลือก ก่อนจะถอยห่างไปรวมกับโคโคะและซานี่ที่ยืนคุมเชิงอยู่ทางด้านหลัง บรรยากาศเงียบสนิท สตาร์จูน ทบทวนวิเคราะห์ ในตอนแรกเขาทาบดาบไปเพราะอารมณ์จริงๆ หากแต่ตอนนี้มันก็ย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดไม่ได้แล้ว เรื่องจะจบเช่นไรเขาก็คือผู้มีความผิดอาญาร้ายแรง แต่ถึงกระนั้น ถึงจะถูกท่านพ่อตัดสินโทษสถานใดเขาก็พร้อมรับ หากแต่จะไม่ถอยการประลองนี้แม้เพียงครึ่งก้าว

           ทั้งสองตั้งท่าเป็นกระบวนเริ่มต้นเพลงดาบ ก่อนจะเป็นฝ่ายเจ้าชายสตาร์จูนที่เข้ารุกไล่ก่อน ดาบนั้นจ้วงแทงปาดฟันด้วยความเร็ว หากแต่ความเฉียบคมนั้นสตาร์จูนยอมรับว่าเขายังใส่ลงไปไม่ถึงครึ่ง สติที่เคยเลอะเลือนไปกลับคืนมาบ้าง  มันไตร่ตรองว่าที่นี่ไม่ใช่สนามประลองในวิชาการรบ อาวุธที่ถือมิใช่ดาบไม้ หากแต่คือดาบมีคมที่เอาไว้ฆ่าฟันกันจริงๆ เขาต้องการเพียงแค่ต้องการตักเตือนน้องตามครรลองของพี่ชายคนหนึ่ง มิได้ต้องการให้เลือดตกยางออก การลงมืออย่างไร้ปรานีนั้นนับว่าเกินกว่าเหตุ

            ฝ่ายโทริโกะเห็นกระบวนท่าพี่ชายผู้ชำนาญเพลงดาบ ทั้งจังหวะมือจังหวะเท้าสอดประสานกันไม่มีที่ติจึงทำได้เพียงหลบหลีกและปัดป้องยามเมื่อคมนั้นจะเข้าใกล้ตัว เขาขมวดคิ้วทุกครั้งที่โลหะสองชิ้นกระทบกันเป็นเสียงดังเคร้ง เจ้าพี่ของเขาเก่งกาจเพียงใดทำไมเขาจะไม่รู้ เทียบกับเขาที่เรียนๆเล่นๆย่อมไม่ใช่คู่มือ หากพี่ชายตั้งใจจะจะเถือเนื้อของเขาจริงๆ ย่อมทำได้ตั้งแต่กระบวนท่าแรก พลันมุมปากของเจ้ารัชทายาทก็หยักยิ้ม แค่นหัวเราะหนึ่งทีเป็นเชิงสมเพช

            “เห็นเจ้าพี่ตั้งใจร่ำเรียน แท้จริงแล้วก็ยังไม่แตกฉาน ไม่รู้รึว่าการออมมือเป็นการหยามเกียรติคู่ต่อสู้” คำร้องบอกได้ผลทันตาเมื่อเจ้าชายอันดับสองเปลี่ยนวิถีเพลงดาบครั้นแต่เดิมรวดเร็วพลิ้วไหวปานสายลม แต่ยามนี้กลับรุนแรงหนักหน่วงดุจสายฟ้า พระพักตร์ของสตาร์จูนฉาบไปด้วยความดุดันเย็นชา เพลงดาบที่ร่ำเรียนฝึกฝนมาจนช่ำชองกระหน่ำใส่น้องชายไม่ให้หยุดพักหายใจ เหล่าขุนนางอำมาตย์ยืนมองด้วยความอึดอัดความรู้สึกยิ่ง ไม่รู้ว่าจะเอากำลังที่ไหนไปห้ามเจ้าชายทั้งสองพระองค์ได้ อีกทั้งถึงทั้งคู่จะยังคงเป็นเด็กแรกรุ่น หากแต่นี่ไม่ใช่การทะเลาะไร้สาระ เดิมพันด้วยหนึ่งศักดิ์ศรีเจ้ารัชทายาทกับอีกหนึ่งความทระนงของผู้ที่แบกรับเกียรติบุตรในกษัตริย์มาทั้งชีวิต

            เจ้าชายอันดับสองออกมือออกเท้ามาได้สักพักเริ่มสังเกตท่าทางของน้องชาย โทริโกะแทบไม่วาดดาบตอบโต้เขาเลย แต่หากที่รุกรับกันไม่จบสิ้นนี้อาศัยความคล่องตัวกับการป้องกันมือเปล่าเป็นที่ตั้ง ทั้งใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นแม้จะเริ่มมีเหงื่อผุดผาดแต่กลับยิ้มหลอกล่อ มองการประลองเป็นตายนี้ราวกับเป็นเรื่องสนุก เห็นแล้วสตาร์จูนเกิดทิฐิ เหวี่ยงดาบอย่างแรงก่อนฟาดด้านทื่อเข้าที่ข้อมืออีกฝ่าย โทริโกะที่มัวแต่ป้องกันส่วนลำตัวตนไม่ทันระวัง รู้ตัวอีกทีเมื่อตนส่งเสียงร้องโอ๊ย พลันแขนทั้งข้างชาดิก ดาบหลุดจากมือแล้วสุดท้ายคือดาบของพี่ชายพาดเข้าที่ข้างๆคอเช่นเก่า

            “ถ้าหากกระหม่อมเป็นอริ หมายเป็นทรราชย์ต่อบ้านเมืองแล้ว นี่คือจุดจบของฝ่าบาท และเป็นจุดจบของประเทศนี้ด้วย”

            “เช่นกัน ถ้าหากเจ้าพี่คิดกบฏมีความประสงค์จะบั่นคอข้าจริงๆแล้ว ข้าก็คงจะระวังหัวของข้าให้มากกว่านี้ จะไม่ร้องเตือนให้ท่านเลิกออมมือให้ข้าเป็นอันขาด” เจ้ารัชทายาทสวนกลับพร้อมกับรอยยิ้มซุกซนยิ่งทำให้สตาร์จูนหงุดหงิดกว่าเก่า คำกล่าวนั้นประหนึ่งรู้ใจเขาว่าไม่กล้าที่จะปลิดชีวิตอีกฝ่ายจริงๆ คิดได้ดังนั้นเขาก็เมียงมองใบหน้าเด็กผมฟ้าอีกครั้ง คนที่เขาเผลอเข้าใจว่าจะเป็นเด็กประหลาดที่มีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่เพราะน้ำเสียงสีหน้าที่จริงจังเมื่อครู่ แต่แท้จริงแล้วก็เป็นเด็กไม่ประสาคนหนึ่ง โทริโกะคงไม่ทราบ ว่าถ้าหากเขาจะฆ่า เขามีครบถ้วนทั้งความกล้าและแรงจูงใจ

            ก็ถ้าหากรั้งตัวเองไม่อยู่ มันมากกว่านี้ รุนแรงกว่านี้ เขาสังหารได้ ได้แน่ๆ และไม่มีความลังเล

            “นั่นพวกเจ้าทำอะไรกัน!” พลันเหตุการณ์ทะเลาะใหญ่โตก็พังครืนลงเมื่อเสียงห้าวตวาดเข้ามาพร้อมกับบุรุษร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์ของจักรพรรดิเดินสาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทีโมโหยิ่ง สตาร์จูนรั้งดาบแล้วเก็บมันเข้าฝัก เช่นเดียวซีบร้าที่ก้มเก็บดาบตนบนพื้น เหล่าข้าราชบริพารก้มหน้านิ่งคางชิดอก ไม่ทราบจะรู้สึกเช่นไรระหว่างโล่งใจกับหวาดเกรงเมื่อพระเนตรที่มักจะทอแววอบอุ่นของพระองค์เต็มไปด้วยอารมณ์คุกรุ่นกวาดมองบุคคลในเหตุการณ์ทีละคน หยุดเป็นพิเศษที่คู่กรณี

            “ประดาบกันอย่างดุเดือดต่อหน้าธารกำนัลโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำเช่นนี้สมควรกับสถานะเจ้าฟ้าชายแล้วรึ!” น้ำเสียงดุกร้าวของท่านทำให้เด็กทั้งสองก้มหน้านิ่งรับผิด พระจักรพรรดิเสมองไปทางเด็กชายอายุน้อยกว่า บัญชาเสียงดัง “พาเจ้ารัชทายาทกลับวังตะวันออกเดี๋ยวนี้ นี่ยังเป็นเวลาที่ต้องทรงพระอักษร หากร่ำเรียนเสร็จแล้วจงมาพบข้าที่ตำหนักหลวง การกระทำของเจ้าสมควรได้รับโทษ โคโคะ ซานี่ ซีบร้า พวกเจ้าสามคนก็เช่นกัน รอจนกระทั่งเจ้ารัชทายาทเรียนเสร็จแล้วตามพระองค์มา โทษของพวกเจ้าก็สถานหนักเลยทีเดียว!

            เด็กทั้งสี่คนโค้งรับพระราชโองการ เช่นเดียวกับสตาร์จูนที่ค้อมหลังลงอีกเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงสายตาของพระจักรพรรดิที่ทอดพระเนตรมา เขาบอกกับตนไว้แล้วว่าโทษสถานใดก็พร้อมจะรับ ความเงียบบังเกิดเป็นช่องว่างเล็กน้อย เช่นเดียวกับผู้อื่นที่รอฟังคำตัดสินต่อเจ้าชายอันดับสอง ที่ตอนนี้นับว่าอาจเทียบเท่านักโทษอุกฉกรรจ์ ปองร้ายเจ้ารัชทายาท แม้เจตนาจะเป็นเช่นใดก็ตาม

            “ทหาร! คุมตัวเจ้าชายสตาร์จูนตามข้าไปรับโทษที่ตำหนักหลวง”


.


.


.


.


.


.
TBC...

มิยะขอเม้าท์

สวัสดีค่ะ ตอนนี้มิยะปิดเทอมแล้วค่ะ เวลาสองเดือนนี้จะขอทุ่มเต็มที่กับไหต่างๆเหล่านี้ค่ะ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียนบล็อก แม้มันไม่มีอะไรอัพเลยก็ตาม ขอบคุณจริงๆค่ะ สาเหตุที่เขียนไหนี้ก่อนเป็นเพราะตอนนี้มันยาวมาก อันที่จริงจะแต่งให้จบฉากย้อนอดีตเลย แต่คาดว่าคงไม่ไหวแน่ๆ ผู้อ่านจะตาแฉะไปก่อน ฮ่ะๆ ก็เลยขออนุญาตหั่นมาเพื่อการนี้ค่ะ ตอนนี้ทั้งตอนรวมถึงตอนหน้าส่วนหนึ่งจะเป็นฉากย้อนอดีตของพี่จูน เป็นมาอย่างไร รักชอบหนูมัตได้ยังไง แล้วเพราะอะไรถึงออกจากวังเป็นพักๆเช่นนี้ค่ะ
มิยะแต่งตอนนี้แล้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจนิดหน่อยคือ นี่เป็นอดีต ซึ่งมันหมายความว่าตัวละครเอกทุกตัวยังคงเด็กมาก (เนื่องจากปัจจุบันก็เด็กอยู่แล้ว) ก็เลยคิดว่าคำพูดคำจาจะเป็นผู้ใหญ่ไปไหม เคยลองเปลี่ยนคำ เปลี่ยนลักษณะการพูด แต่ว่ามันก็ไม่มีอะไรที่ใช่เลยค่ะ ไม่มีอะไรถูกใจแล้วคิดว่าเหมาะสมก่อนที่จะกลับไปเป็นแบบเดิม คือออกจะเป็นผู้ใหญ่กว่าตัวหน่อย โดยเฉพาะหนูมัต เด็กอายุสิบเอ็ดสามารถพูดเรื่องมีสาระได้เป็นวรรคเป็นเวรเช่นนี้หรือเปล่า ควรจะขี้เล่นกว่านี้ไหม ปกติแล้วควรจะเป็นแบบนั้น เด็กฉลาดส่วนใหญ่จะเจ้าเล่ห์ เล่นหูเล่นตา เรียกว่ากลิ้งกลอกบ้างก็คงไม่ผิด แต่มันคงไม่ใช่กับหนูมัต เพราะหนูมัตถูกอบรมสั่งสอนโดยยายเซ็ตสึ เป็นผู้ที่อยู่ในวังมานาน ระเบียบมารยาทนั้นค่อนข้างที่จะเคร่งครัด อีกประการคือครอบครัวของหนูมัตเป็นคนทำครัว สำหรับมิยะแล้ว คนทำครัวนั้นคือผู้ที่ดูแลปากท้องของผู้บริโภค ต้องใส่ใจในสุขภาพ ละเอียดถี่ถ้วน ใจเย็น จึงจะทำอาหารออกมาได้ในระดับคุณภาพ  ดังนั้น คงไม่แปลกอะไรที่หนูมัตจะเป็นเด็กจริงจัง อยู่ในกรอบ และเห็นแก่ผู้อื่นเสมอ

ฟิคเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องยาวไปเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าปมมันใหญ่มาก คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าคงออกมาแบบนี้ ฮ่าๆๆๆ ต้องขอให้ทุกท่านติดตามกันต่อไปค่ะ ขอบคุณน้องเตย เจ้าของวันเกิด ที่คอยถามหา คอยทวง งืออ ซึ้งใจ พี่สาวปิดเทอมแล้วจ้ะ จิขยันปั่นเลยเชียว คาดว่าเรื่องนี้คงจะต้องแยกปั่นกับเรื่องอื่น เพราะภาษานั้นแตกต่างมากๆ คงด้วยเป็นพีเรียดด้วย

ขอบคุณทุกท่านที่มาเยี่ยมเยียน เจอกันบทความหน้าค่ะ

Miya






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น